ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ประเด็น 2 สิ่งนี้ มีผลพวงที่ทำให้ราคาทองสปอต ลดลง แต่บางคนก็อาจจะเถียงว่า ปริมาณทองจริงขาดแคลน ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แล้วราคาทำไมลด ก็อย่างที่เคยย้ำเสมอว่า ปริมาณทองกระดาษ และ ปริมาณทอง "สมาชิก" มากกว่า ปริมาณทองจริงไม่ทราบว่ากี่เท่าตัว แต่คงเยอะจึงสร้างความผันผวนได้มากขนาดนี้ สังเกตุให้ดีว่า ช่วงนี้ สหรัฐฯ พยายามทำให้ค่าเงินตัวเองแข็งค่าขึ้น ซึ่งมันจะเป็นคุณในการนำเข้าสินค้าจากต่างแดนมายังสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบ / อุปกรณ์เครื่องใข้ไฟฟ้าต่างๆ เพื่ออะไร เพื่อลดการขาดดุลทางการค้า. มันก็คงมีแต่ประเทศสาระขันธ์มั่ง ที่ออกมาโวยวายเวลาค่าเงินแข็ง ไม่ได้ดูที่คุณประโยชน์มากกว่าพิษภัยเสียอีก ค่าเงินแข็งแสดงว่าเศรษฐกิจดี ในขณะที่ค่าเงินอ่อน คือเศรษฐกิจไม่ดี

 

ดอลลาร์ที่แข็งค่าได้ส่งผลให้ความน่าลงทุนในทองคำลดลง เพราะทำให้สินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์มีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ

 

นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตร โดยมีรายงานว่า คณะกรรมการเฟดกำลังหารือกันเกี่ยวกับกรอบเวลาในการชะลอโครงการดังกล่าว

 

โดยปกติแล้ว ทองคำจะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเงิน เนื่องจากนักลงทุนจะเข้าซื้อโลหะมีค่า เพราะวิตกว่ามาตรการเหล่านี้อาจทำให้มูลค่าของเงินลดลง นอกจากนี้ นักลงทุนมักใช้ทองเป็นตัวปกป้องความเสี่ยงจากเงินเฟ้อซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่างๆ

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

 

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 15 พฤษภาคม 2556 07:34:25 น.

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าเข้าซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของเยอรมนีและสหรัฐ

 

ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.4% ปิดที่ 305.66 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2551

 

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 8,339.11 จุด เพิ่มขึ้น 59.82 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3,966.06 จุด เพิ่มขึ้น 20.86 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,686.06 จุด เพิ่มขึ้น 54.30 จุด

 

 

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) โดยดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาราอย่างคึกคัก และยังขานรับการแสดงความคิดเห็นในด้านบวกของผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้นขึ้น 123.57 จุด หรือ 0.82% ปิดที่ 15,215.25 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 16.57 จุด หรือ 1.01% ปิดที่ 1,650.34 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 23.82 จุด หรือ 0.69% ปิดที่ 3,462.61 จุด

 

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐอาจจะเพิ่มขึ้นอีก โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลกลางสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ในคืนนี้ตามเวลาไทย

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ร่วงลง 96 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 94.21 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 22 เซนต์ ปิดที่ 102.6 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) ทำสถิติปิดลบติดต่อกัน 4 วันทำการ เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและการทะยานขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์ก ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายทองคำและหันไปลงทุนในตลาดหุ้น

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ร่วงลง 9.8 ดอลลาร์ หรือ 0.68% ปิดที่ 1,424.5 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.ปิดที่ 23.379 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 31.7 เซนต์ ส่วนสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 7.15 เซนต์ ปิดที่ 3.2880 ดอลลาร์/ปอนด์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค.ปิดที่ 1,501.90 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 17.40 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.ปิดที่ 727.15 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 8.45 ดอลลาร์

 

-- ราคาทองคำตลาดลอนดอนปิดวันทำการล่าสุด (14 พ.ค.) ที่ 1,433.75 ดอลล์/ออนซ์

-- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากรายงานยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะชะลอโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาล

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 102.3 เยน จากระดับของวันจันทร์ที่ 101.93 เยน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 0.9658 ฟรังค์ จากระดับ 0.9585 ฟรังค์

 

ค่าเงินยูโรร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 1.2937 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2970 ดอลลาร์สหรับ ขณะที่เงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับ 1.5221 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5290 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงแตะระดับ 0.9878 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9953 ดอลลาร์สหรัฐ

 

-- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปีครึ่งเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) อันเนื่องมาจากข่าวการควบรวมกิจการของธุรกิจสาธารณูปโภคขนาดใหญ่

 

ดัชนี FTSE 100 ปิดเพิ่มขึ้น 54.30 จุด หรือ 54.30% แตะที่ 6,686.06 จุด ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2550 อย่างต่อเนื่อง

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

http://www.ryt9.com/s/iq03/1649882

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ชอบมากเลยค่ะ ความรู้ที่นำมาอธิบาย ทำให้เข้าใจตามไปด้วย ขอขอบคุณด้วยใจจริง นับถือน้ำใจมากๆค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สั่งกิตติรัตน์เรียกถกแก้ค่าเงินนัดพิเศษอีก2ครั้ง (15/05/56)

นายกรัฐมนตรี สั่ง "กิตติรัตน์" เชิญก.แรงงาน-อุตฯ-พาณิชย์ ร่วมประชุมแก้ไขปัญหาค่าเงินบาท เร่งพิจารณา 7 ข้อเรียกร้องเอกชน

 

นพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้รับทราบผลการประชุมร่วมระหว่าง กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และภาคเอกชน เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 56 ที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ดูแลข้อเรียกร้องของภาคเอกชน 7 ข้อ ในการดูแลค่าเงินบาท ได้แก่

 

1.ผลักดันให้ใช้เงินบาทเป็นเงินสกุลหลักสำหรับการค้าขายในภูมิภาค 2.สนับสนุนให้มีผู้เรียนสายอาชีพเพิ่มมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานโดยเฉพาะแรงงานฝีมือในระดับอาชีวะ รวมทั้งจัดทำโครงสร้างพื้นฐานต่างๆโดยเฉพาะด้านพลังงานเพื่อรองรับภาคการผลิต 3.มีมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น

 

4.ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ขายสินค้าให้กับผู้ส่งออกซึ่งเมื่อได้รับเงินตราต่างประเทศแล้วสามารถใช้เงินตราต่างประเทศชำระสินค้าในประเทศไทยโดยไม่ต้องแลกเป็นเงินบาท 5.จัดหาแหล่งเงินทุนด้วยอัตราผ่อนปรน เพื่อสนับสนุนสินค้าประเภทต่างๆ 6.ลดอากรนำเข้าให้กับผู้ประกอบการอัญมณีที่นำมาจัดแสดงสินค้าในประเทศ 7.ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย จัดทำข้อมูลเปรียบเทียบค่าเงินบาทเทียบกับประเทศอื่นๆและประเทศคู่ค้า โดยไม่อิงกับสกุลเหรียญสหรัฐเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะเงินเยน พร้อมกับเผยแพร่ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ นายกิตติรัตน์ ย้ำว่า กระทรวงการคลังจะร่วมมือกับ ธปท. ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพและเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภูมิภาค ซึ่งระดับค่าเงินบาทที่ผู้ประกอบการรับได้ คือ 29-30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยแนวทางระยะสั้นได้มีข้อเรียกร้องให้ใช้มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาภาระ ขณะที่ระยะยาว มีข้อเสนอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน

 

ด้าน รท.สุนิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้กระทรวงการคลังจัดประชุมนัดพิเศษในลักษณะเดียวกับเมื่อวันที่ 13 พ.ค. อีก 2 ครั้ง โดยให้เชิญหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงแรงงาน อุตสาหกรรม และพาณิชย์ เพื่อให้มีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวม

 

 

ที่มา หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ (15/05/56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น้ำมันลบ-ทองคำลงแรงหลังดอลลาร์แข็งค่า แต่หุ้นมะกันทุบสถิติสูงสุดอีก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 พฤษภาคม 2556 05:29 น.

556000006035001.JPEG

เอเจนซี/เอเอฟพี - ราคาน้ำมันนิวยอร์กวานนี้(14) ขยับลงพอสมควร หลังไออีเอปรับเพิ่มประมาณการณ์กำลังผลิตสหรัฐฯและตัดลดคาดคะเนอุปสงค์โลก ส่วนวอลล์สตรีท ทุบสถิติสูงสุดอีกครั้ง เหตุผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ชี้ยังสามารถดีดตัวขึ้นได้อีก ผิดกับทองคำที่ปิดลบแรง หลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 96 เซนต์ ปิดที่ 94.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 22 เซนต์ ปิดที่ 102.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันมีขึ้นหลังจากทบวงพลังงานระหว่างประเทศ(ไออีเอ) ซึ่งมีฐานประจำการในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ออกรายงานระบุว่าฐานการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯจะเป็นแหล่งอุปทานใหม่ๆอันสำคัญในช่วง 5 ปีข้างหน้า นอกเหนือจากกลุ่มโอเปก ซึ่งก่อความกังวลต่อสภาวะอุปทานล้นตลาด

 

ราคาน้ำมันยังถูกซ้ำเติมหนักไปอีก เมื่อในรายงานของไออีเอ คาดหมายว่าอุปสงค์พล้งงานโลกในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นโดยรวมแค่ 6.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับ 90.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2013 สู่ระดับ 96.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2018 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ลดลงจากการประมาณการณ์คราวก่อนซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคม 2012

 

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(14) ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลรอบใหม่ เหตุนักลงทุนกลับมามองในแง่ดี หลังจากผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันชื่อดังคนหนึ่งระบุว่าในปี 2013 นี้ วอลล์สตรีท ยังเหลือที่ว่างสำหรับปีนขึ้นไปจากระดับปัจจุบัน

 

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 123.57 จุด (0.82 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15,215.25 จุด นับเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล แนสแดค เพิ่มขึ้น 23.82 จุด (0.69 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,462.61 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 16.57 จุด (1.01 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,650.36 จุด ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลเช่นกัน

 

นักวิเคราะห์กล่าวว่าการขยับขึ้นของตลาดหุ้นวานนี้(14) แทบไม่ได้แรงหนุนจากข้อมูลใหม่ทางเศรษฐกิจ และระบุว่าปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนวอลล์สตรีท ก็คือความเห็นของนายดาวิด เทปเปอร์ ผู้จัดการกลุ่มกองทุนแอพพาลูซา แมนเนจเมนท์ ซึ่งบอกกับซีเอ็นบีซีว่าตลาดยังสามารถปีนขึ้นไปสูงกว่านี้

 

ด้านราคาทองคำวานนี้(14) ยังคงปิดลบต่อเนื่อง หลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและนักลงทุนถอนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อเก็งกำไร โดยทองคำตลาดโคเมกซ์ของสหรัฐฯ ลดลง 9.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,424.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000057986

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำ-น้ำมันดิบ ปิดร่วง

15/05/2013 , 07:55

 

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง 9.8 ดอลล์ที่ 1,424.5 ดอลลาร์/ออนซ์เงินดอลล์แข็งค่า ฉุด

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ร่วงลง 9.8 ดอลลาร์ หรือ 0.68% ปิดที่ 1,424.5 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.ปิดที่ 23.379 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 31.7 เซนต์ ส่วนสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 7.15 เซนต์ ปิดที่ 3.2880 ดอลลาร์/ปอนด์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค.ปิดที่ 1,501.90 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 17.40 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.ปิดที่ 727.15 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 8.45 ดอลลาร์

 

การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้สร้างแรงกดดันให้กับสัญญาทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวานนี้ ดัชนีดอลลาร์พุ่งขึ้นแตะระดับ 83.547 จากระดับของวันจันทร์ที่ 83.276

 

นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายทองคำและหันไปลงทุนในตลาดหุ้น

 

http://www.isnhotnews.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นายกฯ ยอมรับวิธีแก้ปัญหาค่าเงินยังไม่ตรงกัน (15/05/2556)

นายกรัฐมนตรี สั่งรัฐมนตรีคลังติดตามค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด ยอมรับยังมีความเห็นไม่ตรงกันในวิธีการแก้ปัญหา แต่เชื่อทุกฝ่ายมีเป้าหมายเดียวกันในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

 

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ารัฐบาลเป็นห่วงเรื่องเสถียรภาพค่าเงินบาท และ เข้าใจปัญหาของภาคเอกชนดี โดยเฉพาะในส่วนของผู้ส่งออกจึงได้ขอให้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรียกประชุมในส่วนที่ภาคเอกชนร้องขออย่างต่อเนื่อง รวมทั้งติดตามการแก้ปัญหาด้านการเงินการคลังอย่างใกล้ชิด โดยหวังว่าทุกหน่วยงานจะนำข้อคิดและข้อเรียกร้องของภาคเอกชนไปร่วมมือกันแก้ปัญหาต่อไป ซึ่งต้องแยกบทบาทระหว่างรัฐบาลที่มีหน้าที่ดูในภาพรวม ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการในส่วนของรายละเอียดภาคปฏิบัติในด้านมาตรการการเงิน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าขณะนี้วิธีการแก้ปัญหาของทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่ตรงกัน แต่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและค่าเงินบาท จึงหวังว่าวิธีการที่แตกต่างกันจะสามารถนำไปสู่เป้าหมายร่วมกันได้ โดยรัฐบาลจะดูแลอย่างเต็มที่

 

ที่มา : ครอบครัวข่าว (วันที่ 15 พฤษภาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยโพสต์: เงินบาทการเมือง (15/05/2556)

แม้ดูเหมือนปัญหาค่าเงินบาทจะสร่างซาลงไปหลังจากได้มีการประชุมอย่างเป็นทางการ ระหว่างนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม โดยไม่มีมาตรการอื่นใดออกมา นอกจากภาพความลงรอยระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารชาติเท่านั้น

 

ยิ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มาตอกย้ำอีกครั้งว่า นายกิตติรัตน์ และนายประสาร จะแก้ปัญหาด้วยกันเพราะมีเป้าหมายเดียวกัน คือการรักษาเสถียร ภาพเศรษฐกิจ และเสถียรภาพของค่าเงินบาท ก็ยิ่งทำให้น่าคิดว่าเป็นจริงเพียงใด หากพิจารณาจากพฤติกรรมและท่าทีของนายกิตติรัตน์ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งมา

 

ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ ในบรรดาองค์กรทั้งภาคการ เมืองและเศรษฐกิจนั้น เหลือเพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้นที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่สามารถควบคุม และชี้นกเป็นไม้ได้ หนึ่งในนั้นคือ ธนาคารชาติ ในบังเหียนของนายประสาร! เรียกว่าเป็นองคาพยพด้านเศรษฐกิจหนึ่งเดียว เฉกเช่นกับศาลสถิตยุติธรรมที่ยังธำรงความเป็นอิสระและการทำหน้าที่ได้สมศักดิ์ศรีแบบขวางหูขวางตารัฐนาวายิ่งลักษณ์เสมอมา

 

แม้รัฐบาลจะได้กัดเซาะและพยายามควบคุม โดยได้ส่ง นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ไปเป็นประ ธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย แล้วก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนวีรพงษ์ก็ไม่สามารถสั่นคลอนและยึดแบงก์ชาติตามที่วาดหวังได้

 

และหากจับตานายกิตติรัตน์ตั้งแต่รับหน้าเสื่อเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเป็นต้นมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป้ามุ่งของนายกิตติรัตน์คือ การปลด หรือเปลี่ยนนายประสาร อย่างต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นเจ้าตัวคงไม่ให้สัมภาษณ์แบบเปิดใจไม่ไวท์ไลว่า คิดปลดผู้ว่าฯ ธปท.อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยอ้างเรื่องของการลดดอกเบี้ยเป็นจุดสำคัญ แต่หากติดตามให้ดีจะเห็นว่านายกิตติรัตน์นั้น เขม่นนายประสารตั้งแต่เรื่องพระราชกำหนดโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินกลับไปสู่ธนาคารชาติ ที่พ่วงอยู่ในพระราชกำหนดกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำ 3.5 แสนล้านบาทแล้ว

 

ยิ่งหากพินิจให้ลึกลงไป คงไม่ใช่มีเพียงเรื่องของการทำงาน และทำหน้าที่ของแต่ละฝักฝ่ายถ่ายเดียว แต่มันเป็นเรื่องของความแค้นสะสมฝังลึกในอดีตส่วนหนึ่งด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่านายประสารนั้น ก่อนดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ก็รู้จักมักคุ้นกับนายกิตติรัตน์เป็นอย่างดีแล้ว เพราะเคยทำงานอยู่ใน ธปท.และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) ในขณะที่นายกิตติรัตน์ยังวนเวียนอยู่ในสายตลาดทุน โดยเฉพาะการนั่งเป็นเอ็มดีในเครือข่ายพ่อมดการเงินอย่าง "ปิ่น จักกะพาก" ทั้ง บล.เอกเอเชีย หรือ บล.เอกธำรง

 

นายประสารในวันนั้น เป็นผู้คุมกฎและคุมเกม ส่วนนายกิตติรัตน์เป็นเพียงแค่ผู้เล่นที่ต้องปฏิบัติตามแบบเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งปฏิเสธอีกไม่ได้เช่นกันว่าในครานั้น "เครือข่าย ฟินวัน" ถูกจับตาและจับจ้องมากเป็นพิเศษ ความไม่ลงรอยและเห็นต่างจึงมีมาแต่ไหนแต่ไร และเมื่อปัจจุบันหัวโขนที่ต่างคนต่างสวมใส่ได้กลับตาลปัตร โดยนายกิตติรัตน์จากผู้เล่นมาเป็นผู้วางนโยบาย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ถึงเวลาสะสาง หรือเช็กบิลหนี้เก่าได้เริ่มขึ้น

 

เพราะปฏิเสธอีกไม่ได้เช่นกันว่า การเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยนั้นจะเป็นยาวิเศษอย่างเดียวในการแก้ไขปัญหาค่าเงินได้ เพราะไม่มีผลพิสูจน์หรือผลวิจัยใดๆ รับประกัน แต่ทำไมนายกิตติรัตน์จึงขมีขมันอย่างยิ่งที่จะให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย หรือเป็นเพียงการตีฆ้องเอาใจภาคเอกชนเท่านั้นว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งเฉย หรือเป็นการโยนหินวางเกมในอนาคตว่า หากปัญหาเศรษฐกิจใดๆ ที่จะก่อเกิดในอนาคตนั้นมิใช่การบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล แต่เป็นการดึงดันและดื้อรั้นของ ธปท.ที่ไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ย

 

เหรียญย่อมมี 2 ด้าน การที่ค่าเงินแข็งก็เฉกเช่นกัน แม้การส่งออกจะมีปัญหาบ้าง แต่การนำเข้าทั้งสินค้าทุน และเชื้อเพลิงก็ถูกลงมิใช่เหรอ และยังเป็นผลดีต่อการชำระหนี้อีกต่างหาก แต่ทำไมรัฐบาลกลับยกเรื่องความเสียหายด้านการส่งออกเป็นฉากบังหน้าเพียงอย่างเดียว หรือเพียงเพื่อปูทางลงในอนาคตหากไม่สามารถจำหน่ายข้าวในโครงการรับจำนำที่ล้นสต็อกอยู่ได้ ทั้งที่เรื่องค่าเงินแทบไม่มีผล แต่ประเด็นสำคัญคือราคาข้าวของไทยในตลาดโลกนั้นแพงหูฉี่ต่างหาก

 

และที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง เมื่อไทยใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว ซึ่งไม่ใช่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง แต่รัฐบาลและนายกิตติรัตน์กลับกำลังย้อนกลับไปใช้อัตราแลกแบบคงที่แบบกลายๆ เพราะฟันธงถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมคือการให้ค่าเงินอ่อน หรือนี่เป็นการชี้โพรงให้กระรอกแก่บรรดาผู้โจมตีค่าเงินกันแน่

 

พินิจพิเคราะห์เรื่องทั้งหลายทั้งมวลแล้ว เกมค่าเงิน บาทของรัฐบาลครั้งนี้ ก็เป็นเพียงการเมืองในภาคเศรษฐ กิจที่เป้าประสงค์สุดท้าย นอกจากปลด เปลี่ยนผู้ว่าฯ แบงก์ ชาติแล้ว อีกประการหนึ่งคือ การหาแพะบูชายัญประชานิยมที่จะถึงคราวล่มสลายในอนาคตเท่านั้นเอง.

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ (วันที่ 15 พฤษภาคม 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คลังตั้งเพดาน29-30บาท/ดอลล์-ครม.สั่งถกกนง.นัดพิเศษอีก2ครั้ง แบงก์ตั้งรับ28บาท/ดอลล์ (15/05/2556)

แบงก์กสิกรไทย ไปตั้งรับบาทแข็งจุดที่เลวร้ายที่สุด 28.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปี ยอมรับลูกค้าเอสเอ้มอีกระทบแน่ หนี้เน่าขยับขึ้นชัวร์ ขณะที่ในการประชุมครม.สั่งการให้ รมว.คลังไปเร่งทำการบ้าน 7 ข้อ และตั้งวง กนง.นัดพิเศาอีก 2 หน “กิตติรัตน์” ยันเลิกทะเลาะกันเองแล้ว ยอมรับอยากเห้ยบาทอยู่ที่ 29-3.0 บาท/ดอลล์

 

นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารคาดการณ์เงินบาทในช่วงปลายปีนี้จะแข็งค่าขึ้นถึงระดับ 28.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมีความผันผวนระหว่างปี แต่ความเร็วในการแข็งค่าน่าจะชะลอตัวลงจากความไม่แน่นอนเรื่องแนวทางการดูแลเงินบาทของรัฐบาล ส่วนผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อธุรกิจเอสเอ็มอี ส่วนที่เป็นลูกค้าธนาคารมีพอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอีรวม 480,000 ล้านบาท เป็นผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออก 40,000 ล้านบาท และส่งออกอย่างเดียว 16,000 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ลูกค้าเอสเอ็มอี ที่ทำธุรกิจส่งออกเป็นหลักซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 20 % ได้รับผลกระทบในการแข่งขันกับคู่แข่งจากประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับข้าว อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และไม้ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ คิดเป็นจำนวนลูกค้า 459 ราย ยอดสินเชื่อ 9,181 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2 % ของเอสเอ็มอีทั้งหมด

 

อย่างไรก็ตาม หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจะส่งผลให้ยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลของสินเชื่อเอสเอ็มอี เพิ่มขึ้นจาก 3.19 % ?ในเดือนมีนาคม? เป็น 3.37 % ในสิ้นปีนี้ แต่ธนาคารจะมีการตัดหนี้เสียที่มีการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ประกอบกับ ฐานสินเชื่อเอสเอ็มอีใหญ่ขึ้น ทำให้เอ็นพีแอล ลดลงมาอยู่ที่ 3.05 ?% ตามเป้าหมาย

 

“กันธนาคารได้ประเมินผลกระทบกรณีเลวร้ายสุด? หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปถึง 28.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หนี้เสียจะไม่เกิน 9,000 ล้านบาท จากพอร์ตลูกค้าที่มีความเสี่ยง 22,000 ล้านบาท"

 

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังกาประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงการแก้ปัญหาค่าเงินบาทในขณะนี้ว่า สื่อมวลชนคงได้ติดตามการหารือระหว่างนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กับคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน และส่วนหนึ่งรัฐบาลได้ชี้แจงมาตรการของรัฐบาลไปแล้ว วันนี้(14พ.ค.)มติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้ฝากให้นายกิตติรัตน์ เรียกประชุมอย่างต่อเนื่องในส่วนภาคเอกชนร้องขอ รวมถึงการติดตามแก้ปัญหาการเงินการคลังโดยองค์รวมต่อไปเพราะเราเป็นห่วงสถียรภาพค่าเงินบาท ซึ่งรัฐบาลเข้าใจปัญหาของผู้ส่งออก ความผันผวนที่เกิดขึ้นทุกฝ่ายต้องร่วมกันในการติดตามแก้ไขอย่างใกล้ชิด หวังว่าหน่วยงานทุกหน่วยงานที่รับฟังปัญหาเอกชนในการหารือเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมาคงจะนำข้อคิดข้อเรียกร้องต่าง ๆ ไปแก้ในส่วนของผู้ที่รับผิดชอบต่อไป

 

“หวังว่าจะได้เห็นการแก้ปัญหาด้วยกัน เพราะต่างคนต่างแก้คงจะไม่สามารถทำงานได้ แม้ว่ารัฐบาล รมว.คลัง จะมีหน้าที่ดูในองค์รวม แต่ในทางปฏิบัติ เรื่องมาตรการการเงินเป็นเรื่องของธปท. แต่เป้าหมายเราต้องการเห็นเป้าหมายเดียวกัน คือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ และเสถียรภาพของค่าเงินบาท“

 

ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่าทุกฝ่ายให้ความมั่นใจในการดูแลค่าเงินบาทให้มีสเถียรภาพมากขึ้น เพื่อให้เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้า และผู้ประกอบการยอมรับได้โดยเคลื่อนไหวระดับ 29-30 บาท/ดอลาร์สหรัฐ

 

ผู้สื่อข่าวรายงาน ?นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้กระทรวงการคลังจัดประชุมนัดพิเศษในลักษณะเดียวกับเมื่อวันที่ 13 พ.ค. อีก 2 ครั้ง โดยให้เชิญหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงแรงงาน อุตสาหกรรม และพาณิชย์ เพื่อให้มีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวม

 

ด้านนพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้หารือการดูแลค่าเงินบาท จึงมีคำสั่งให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เร่งดำเนินการ 7 ข้อ ในการดูแลค่าเงินบาทร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 1. การผลักดันให้เงินบาทเป็นสกุลหลักในการค้า การลงทุน ในแถบประเทศเพื่อนบ้าน 2.การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานฝีมือในระดับอาชีวะ? โดยต้องหาทางลดอุปสรรคการเคลื่อนย้ายแรงงานในภูมิภาคนี้ และสนับสนุนให้มีการเรียนสายอาชีพ? 3.เนื่องจากเงินบาทแข็งค่า ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตในประเทศหันไปใช้วัตถุดิบนอกประเทศมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมต่อเนื่องได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์ จึงให้หาทางสนับสนุนให้หันมาใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น

 

4.การพิจารณายกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ขายสินค้าให้กับผู้ส่งออก และเมื่อได้รับเงินตราต่างประเทศแล้ว ขอให้สามารถนำเงินตราต่างประเทศมาชำระสินค้าในประเทศโดยไม่ต้องแลกเป็นเงินบาท? 5. การช่วยเหลือจัดหาแหล่งเงินทุนด้วยอัตราผ่อนปรน เพื่อสนับสนุนสินค้าประเภทต่าง ๆ? 6. การพิจรณาลดอากรนำเข้าให้กับผู้ประกอบการอัญมณีที่นำมาจัดแสดงสินค้าในประเทศ และ 7.การขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย จัดทำข้อมูลเปรียบเทียบค่าเงินบาทเทียบกับประเทศอื่น ๆ และประเทศคู่ค้า โดยไม่อิงกับสกุลดอลลาร์เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะเงินเยน เพื่อเผยแพร่ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า (วันที่ 15 พฤษภาคม 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

"เงินบาททรงตัวรอปัจจัยใหม่" (15/05/2556)

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของค่าเงินประจำวันอังคารที่ 14 พฤษภาคม 2556 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 29.59/61 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (13/5) ที่ 29.71/73 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทนั้นแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันจันทร์ภายหลังจากที่ไม่มีการประกาศมาตรการพิเศษสำหรับดูแลค่าเงินบาทภายหลังการประชุมระหว่างผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังเมื่อวานนี้ โดยในวันนี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ๆ ที่ 29.58-65 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่ที่จะมากระตุ้นตลาด ก่อนเปิดตลาดที่ระดับ 29.60/62 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯนั้น ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขยอดค้าปลีกที่ดีเกินคาดของสหรัฐฯซึ่งทำให้นักลงทุนคาดการณ์มากขึ้นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะลดวงเงินในการทำการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน (QE) ภายในสิ้นปีนี้ โดยดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ได้รับการเปิดเผยในระยะหลังนั้นออกมาเป็นที่น่าพอใจและส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นเริ่มฟื้นตัว สำหรับยอดค้าปลีกของสหรัฐนั้นปรับตัวสูงขึ้น 0.1% ในเดือนเมษายน ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะปรับตัวลดลง 0.3%

 

สำหรับค่าเงินยูโรวันนี้เปิดตลาดที่ระดับ 1.3016/19 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ 1.2985/87 ดอลลาร์/ยูโร สกุลเงินยูโรนั้นยังคงได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า FED อาจลดปริมาณการทำ QE ภายในปลายปีนี้ซึ่งเป็นผลบวกต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯและกดดันเงินยูโร และจากการที่นายมาริโอ ดากรี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ออกมาให้ความเห็นถึงความเป็นไปได้ของการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบของทาง ECB เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นอกจากนี้สกุลเงินยูโรยังถูกกดดันอีกครั้งจากความเห็นของนายอิกนาซิโอ วิสโก เจ้าหน้าที่ของ ESB ที่ให้ความเห็นว่าดอกเบี้ยเงินฝากที่ติดลบนั้นจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของยูโรโซน โดยเงินยูโรนั้นได้อ่อนค่าลงที่สุดในช่วงการซื้อขายวานนี้ที่ระดับ 1.2941 ดอลลาร์/ยูโร อย่างไรก็ดี สกุลเงินยูโรปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในเช้านี้ โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อจากกองทุนในเอเชียและจากการเข้าซื้อยูโรทำกำไรของนักลงทุนและปรับตัวอยู่ในกรอบแคบ ๆ ก่อนจะปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อยภายหลังการเปิดเผยตัวเลขความเชื่อมั่นของนักลงทุนของเยอรมนีประจำเดือนพฤษภาคมโดยสถาบัน ZEW ซึ่งอยู่ที่ระดับ 36.4 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 38.3 อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเงินยูโรได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอีกครั้งสู่ระดับสูงสุดของวันที่ 1.3028 ดอลลาร์/ยูโร ภายหลังการเปิดเผยตัวเลขยอดการผลิตภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซนซึ่งปรับตัวสูงขึ้น 1.0% ในเดือนมีนาคม มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 0.4% โดยกรอบการเคลื่อนไหวของสกุลเงินยูโรระหว่างวันนั้นอยู่ที่ระดับ 1.2965-1.3028 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 1.3017/18 ดอลลาร์/ยูโร

 

สำหรับค่าเงินเยนวันนี้เปิดตลาดที่ระดับ 101.51/56 เยน/ดอลลาร์ ระดับเดียวกับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ 101.52/56 เยน/ดอลลาร์ ค่าเงินเยนนั้นปรับตัวอ่อนค่าลงตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจากการที่กลุ่มประเทศ G7 นั้นไม่ได้วิจารณ์การทำนโยบายการเงินเชิงรุกของญี่ปุ่นในการประชุมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเปรียบเสมือนการให้ไฟเขียวกับทางการของญี่ปุ่นให้ทำการผ่อนคลายนโยบายเชิงรุกได้ต่อไป ซึ่งเงินเยนนั้นปรับตัวอ่อนค่าสุดที่ระดับ 102.14 เยน/ดอลลาร์ในช่วงเช้าของวันจันทร์ และหลังจากนั้นปรับตัวอยู่ในกรอบแคบ ๆ ขณะที่นักลงทุนรอปัจจัยใหม่ที่จะมาเคลื่อนตลาด ทั้งนี้ค่าเงินเยนมีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่างวันอยู่ที่ระดับ 101.24-101.99 เยน/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 101.45/47 เยน/ดอลลาร์

 

อนึ่ง ข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส, อิตาลีและยูโรโซน, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของอเมริกา (15/5), ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI), ยอดการสร้างบ้านใหม่และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการผู้ว่างงานประจำสัปดาห์ของสหรัฐ (16/5)

 

อัตราป้องกันความเสี่ยง (swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยูที่ +5.35/5.6 สตางค์/ดอลลาร์ และอัตราป้องกันความเสี่ยง (swap point) ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ +5.5/6.5 สตางค์/ดอลลาร์

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (วันที่ 14 พฤษภาคม 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รายงานเศรษฐกิจที่จะออกวันนี้ คืนนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Gold continues to recover as Dollar weakens

 

Source :Commodity Online Editorial Research/Reuters

 

Gold futures on Globex platform of Comex was seen trading up by 0.38% at $1439.75 per troy ounce as of 10.27 AM IST on Tuesday. Gold futures on India's Multi Commodity Exchange (MCX) for June delivery was seen trading up by 0.13% at Rs.26888 per 10 grams as of 10.14 AM IST on Tuesday.

 

15849282981368507967.jpg

 

 

 

MUMBAI (Commodity Online): Gold prices in the global market continued their recovery from yesterday's fall as US dollar weakened. However, persisting ETF outflows have been putting pressure on gold movement.

 

Gold futures on Globex platform of Comex was seen trading up by 0.38% at $1439.75 per troy ounce as of 10.27 AM IST on Tuesday.

 

Gold futures on India's Multi Commodity Exchange (MCX) for June delivery was seen trading up by 0.13% at Rs.26888 per 10 grams as of 10.14 AM IST on Tuesday.

 

“Stocks are currently looking more attractive for investors. Gold will continue in the downward trend. It might test $1,400,” Brian Lan, managing director of GoldSilver Central Pte Ltd in Singapore said to Reuters.

 

“I don't see any data that could possibly push gold prices up,” he added.

 

A list of data releases are scheduled for the day and bullion investors may get clues for trading.

 

With the better than expected US retail sales data chipping in, the safe haven appeal of gold had diminished. Data showed that retail sales jumped unexpectedly in April as households bought more number of automobiles, goods and building materials. In terms of figures, sales edged up 0.1% in April subsequent to a revised 0.5% decline in the month of March. The data arrives adjacent to relatively strong growth registered by job markets.

 

Auto dealership receipts jumped 1% subsequent to dipping 0.6% in March. If auto sale figures are kept apart, sales of other goods dipped 0.1% after declining 0.4% in March.

 

India's bullion imports climbed 138% in April as bullion buyers took benefit of lower prices.

 

http://www.commodityonline.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันนี้ ค่าเงินบาทอ่อน เพราะตะกร้าเงินลอยตัว เชื่อมโยงกับ ดอลล์สหรัฐที่แข็งค่า แต่ถ้าวันนี้ ตลาดหุ้นได้ไปต่อหมายถึงบวก ประกอบกับ ต่างชาติขนเงินเข้ามา เพราะแลกเงินบาทได้มากล่ะก็ ก็มีจังหวะแข็งค่าขึ้นได้ สู่ระดับ 29.60-29.65 บาท

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มาสด้าปลื้มขายเก๋งเล็กครบแสน แค่ลงชื่อลองขับรับคูปองโลตัส 200 (15/05/2556)

มาสด้าฉลองรถธง "มาสด้า 2" ขายครบแสนคัน ครองมาร์เก็ตแชร์ 14% ตลาดเก๋งเล็กจัดแคมเปญพิเศษเอาใจลูกค้า แค่ทดลองขับ รับคูปองช็อปฟรี 200 บาท ที่โลตัส

 

นายโชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย กล่าวว่า การเปิดตัวรถยนต์นั่งมาสด้า 2 สปอร์ต แฮตช์แบ็ก5 ประตู เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552 ได้สร้างปรากฏการณ์ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรือบี-เซ็กเมนต์ พื้นฐานสำคัญของความสำเร็จของมาสด้า 2 ในประเทศไทยคือความไว้วางใจของลูกค้า และความกล้าที่จะนำเสนอสิ่งแปลกใหม่

 

แม้ในปีที่ผ่านมาจะเกิดกระแส ของรถเล็กอื่น ๆ โดยเฉพาะอีโคคาร์ แต่รถยนต์รุ่นดังกล่าวก็ยังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว มียอดขายทะลุเกิน 100,000 คัน โดยแบ่งออกเป็นรุ่นสปอร์ต แฮตช์แบ็ก 5 ประตู จำนวน 48,145 คัน (47%) และรุ่นเอลิแกนซ์ ซีดาน 4 ประตู จำนวน 55,417 คัน (53%)

 

มาส ด้า 2 จึงเป็นสินค้าหลักในการขับเคลื่อนยอดขายของมาสด้าให้เติบโตอย่างรวดเร็วและ ต่อเนื่อง พร้อมทั้งช่วยสร้างภาพลักษณ์รถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตของบริษัท หลังจากที่รถยนต์นั่งมาสด้า 2 เข้าตลาดในปีแรกก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ยอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2553 มียอดขายสูงถึง 22,534 คันและสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดของรถยนต์นั่งขนาดเล็กได้ถึง 14%

 

และ ในปีต่อมา 2554 เติบโตแบบก้าวกระโดด มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 27,714 คัน และสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มเป็น 16% และในปีที่ผ่านมา มาสด้า 2 ทะยานขึ้นไปสูงถึง 39,577 คัน และครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 14%

 

"ด้วย สมรรถนะของเครื่องยนต์ 1500 ซีซี มีความคล่องตัว ขับสนุก ประกอบกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่น และการคว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมของโลก ทำให้มาสด้า 2 ประสบความสำเร็จ และพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีถึงการเติบโตของมาสด้าในประเทศไทย" นายโชอิชิกล่าว

 

ด้าน นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แนวทางการตลาดของมาสด้า 2 นั้นแตกต่างจากตลาดด้วยกลยุทธ์เรื่องสี ให้สีของรถเป็นความแข็งแกร่งที่มีความชัดเจนและกล้าแสดงออก ซึ่งก็คือตัวแทนของบุคลิกคนรุ่นใหม่นั่นเอง การแนะนำรถเข้าสู่ตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม ใช้กลยุทธ์สร้างความต่าง สร้างบุคลิกให้แก่ตัวรถ

 

รวมถึงการใช้พรีเซ็นเตอร์อย่างเป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ และณเดช คูกิมิยะ มาตอกย้ำให้ตำแหน่งของมาสด้า 2 ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จของมาสด้า 2 ได้รับความนิยมมาโดยตลอด จนผ่านยอดขาย 100,000 คันไปแล้ว มาสด้าจึงมอบข้อเสนอพิเศษสำหรับมาสด้าทุกรุ่น

 

ลูกค้า จะได้รับแพ็กเกจใหญ่ฟรีทันทีที่ออกรถ ได้แก่ บัตรเติมน้ำมัน มูลค่า 15,000 บาท แพ็กเกจค่าบำรุงรักษาฟรีนาน 1 ปี ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง และสิทธิพิเศษสปอร์ตก่อนผ่อนทีหลังนาน 3 เดือน และผู้สนใจทดลองขับรถมาสด้าทุกรุ่น หลังขับ รับทันทีคูปองแทนเงินสด ใช้ช็อปฟรี 200 บาท ที่เทสโก้ โลตัส

 

นอก จากนี้มีข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมสำหรับรถปิกอัพมาสด้า บีที-50 โปรใหม่ และรถยนต์สปอร์ตมาสด้า 3 เพียงนำรถคันเก่ามาเปลี่ยนเป็นรถมาสด้าคันใหม่ รับเงินเพิ่มทันทีอีก 10,000 บาท ทุกข้อเสนอมีให้ถึง 31 พฤษภาคมนี้เท่านั้น

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (วันที่ 15 พฤษภาคม 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กิตติรัตน์ บอกมองตาก็รู้ใจ กนง.เรื่องลดดอกเบี้ย

 

 

แหล่งข่าวจากที่ประชุมครม. เปิดเผยว่าในการประชุม ครม.นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามทิศทางนโยบายการเงินจากนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีการนัดประชุมกับคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 13พ.ค. ที่ผ่านมา โดยนายกิตติรัตน์ได้อธิบายถึงสาเหตุที่การประชุมวันนั้นไม่มีการพูดถึงเรื่องของการลดดอกเบี้ยเหมือนที่เคยพูดอยู่บ่อยๆ โดยนายกิตติรัตน์ใช้คำพูดว่า "แม้ไม่พูดเรื่องดอกเบี้ย แต่มองตาก็รู้ใจ เชื่อว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 29พ.ค.นั้น การลดดอกเบี้ยน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง เนื่องจากประเทศอื่นก็ใช้มาตรการลักษณะนี้อยู่แล้ว"

แหล่งข่าว กล่าวขยายความย้ำว่า นายกิตติรัตน์ไม่ได้บอกว่าจะลดดอกเบี้ยได้ในวันที่ 29พ.ค. แต่นายกิตติรัตน์บอกแค่ว่า การลดดอกเบี้ยก็เป็นหนึ่งทางเลือกเท่านั้น ส่วนที่ว่ามองตาก็รู้ใจหมายถึงใครนั้นก็ไม่ทราบ อาจจะมองตานายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)หรือไม่ตนไม่ทราบ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...