ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

6 มิถุนายน 2556 08:27

5เดือนแรกกองโภคภัณฑ์ซบ น้ำมัน-ทองดิ่ง

news_img_509636_1.jpg

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

กองทุนโภคภัณฑ์ 5 เดือนแรกซบ กองทุนน้ำมันผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 2.32% กองทุนทองคำติดลบเฉลี่ย 15.25% ระทึก!เดินหน้า-ลดขนาดคิวอี

 

จากการสำรวจผลการดำเนินงานของกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2556 พบว่า กองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ ยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดย กองทุนน้ำมันให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 2.32% จากเดือนก่อนหน้าที่เฉลี่ยติดลบ 1.93% เช่นเดียวกับ กองทุนทองคำที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 15.25% จากเดือนก่อนหน้าที่เฉลี่ยติดลบ 12.55%

 

กองทุนน้ำมันที่มีผลงานดีที่สุดให้ผลตอบแทนติดลบ 0.64% และกองทุนที่มีผลงานแย่ที่สุดมีผลตอบแทนติดลบ 5.97% หรือต่างกันอยู่ 5.33% โดยกองทุนน้ำมันที่มีผลงานดีที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ออยล์ ฟันด์ (I-OIL) ของ บลจ.เอ็มเอฟซี ให้ผลตอบแทนติดลบ 0.64% ส่วนอันดับ 2 “กองทุนเปิดเค ออยล์ (K-OIL)” ของ บลจ.กสิกรไทย ให้ผลตอบแทนติดลบ 0.68% และอันดับ 3 “กองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์ (ASP-OIL)” ของบลจ.แอสเซท พลัส ให้ผลตอบแทนติดลบ 0.92%

 

ส่วนกองทุนทองคำที่มีผลงานดีสุดให้ผลตอบแทนติดลบ 13.62% และกองทุนที่มีผลงานแย่สุดให้ผลตอบแทนติดลบ 17.99% หรือต่างกันอยู่ 4.37% โดยกองทุนทองคำที่มีผลงานดีสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 กองทุนเปิดวรรณโกลด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (GOLD-RMF) ของ บลจ.วรรณ ให้ผลตอบแทนติดลบ 13.62% อันดับ 2 กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล โกลด์ สปอท 7 ซีรีส์ 3 (I-GOLD7S3) ของบลจ.เอ็มเอฟซี ให้ผลตอบแทนติดลบ 13.69% และอันดับ 3 กองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) ของบลจ.กสิกรไทย ให้ผลตอบแทนติดลบ 13.69%

 

เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล นักวิเคราะห์กองทุนรวม บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของสหรัฐยังไม่มีความชัดเจน ทำให้ตลาดยังคงมีความกังวล โดยเฉพาะในสินค้าโภคภัณฑ์ทิศทางยังคงไม่ดีต่อเนื่อง

 

ดังนั้นนักลงทุนคงต้องจับตาปัจจัยที่จะส่งผลต่อมาตรการ QE กันต่อไป ซึ่งคาดว่า จะมีความชัดเจนในการประชุม FOMC ช่วงกลางเดือนมิ.ย. นี้ และต้องจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐโดยเฉพาะตลาดแรงงานที่จะเป็นตัวกำหนดแนวโน้มในการยุติมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ซึ่งจะประกาศอัตราการว่างงาน และการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ (7 มิ.ย.) หากออกมาดีกว่าที่คาดกันไว้อาจทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงร่วงลงต่อ เนื่องจากความกังวลที่ FED จะยุติ QE เร็วขึ้นมีความเป็นไปได้มากขึ้น

 

ถ้าตัวเลขตลาดแรงงานออกมาแย่กว่าที่คาด อาจกลับกลายเป็นข่าวดีต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงนี้ แต่การชะลอตัวของตลาดแรงงานจะทำให้การปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์ยังอยู่ในกรอบจำกัดอยู่ดี ภาพรวมของราคาสินทรัพย์เสี่ยงยังคงมีโอกาสผันผวนแรง และมีแนวโน้มปรับตัวลงได้อีกจากความไม่ชัดเจนดังกล่าว

 

สินค้าโภคภัณฑ์ ถ้ามีการถอนมาตรการ QE น่าจะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน ในส่วนของน้ำมันแนะนำให้เลี่ยงไปก่อน เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว มีปัจจัยบวกเดียวที่จะผลักราคาน้ำมันได้ คือความไม่สงบในตะวันออกกลาง กรอบการเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบ 85 - 96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ส่วนทองคำหลังจากหลุดระดับ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ภาพดูไม่ดีนัก ปัจจุบันยังมีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง 1,320-1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และคงจะกลับมาดูดีอีกครั้งได้เมื่อผ่านแนวต้าน 1,500 ดอลลาร์ขึ้นไปได้อีกครั้ง โดยกองทุน SPDR ยังคงมีการขายทองคำออกมาต่อเนื่องจากที่เคยถือครองสูงสุด 1,350 ตัน ช่วงปลายปี 2012 ปัจจุบันเหลือ 1,013 ตัน แต่ก็ยังมีสัญญาณที่ดีที่ธนาคารกลางต่างๆ ยังทยอยซื้อทองอย่างต่อเนื่อง น่าจะช่วยให้ราคาทองคำไม่ปรับตัวลงไปลึกมากได้ การมีทองคำไว้ในพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยงแนะนำให้มีไว้ประมาณ 10-15% ของพอร์ต สำหรับความไม่แน่นอนในอนาคต

 

http://www.bangkokbiznews.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

6 มิถุนายน 2556 04:01

จีนนำเข้าทองคำ หลังทุบสถิติเดือนมี.ค.

news_img_509614_1.jpg

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

จีนนำเข้าทองคำต่อเนื่อง หลังทุบสถิติเดือนมีนาคม เผยซื้อทองมากที่สุดอันดับสองรองจากอินเดีย

 

การนำเข้าทองจีนมีแนวโน้มขยายตัวขึ้นอีก หลังจากยอดนำเข้าพุ่งขึ้นกว่าสองเท่าทำสถิติสูงสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผลจากการที่ผู้บริโภครายย่อยแห่เข้าซื้อในช่วงราคาทองดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบสองปี ที่ประมาณ 1,321 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ 16 เมษายน

 

จีนเป็นชาติที่ซื้อทองมากที่สุดอันดับสองรองจากอินเดีย และราคาทองในตลาดโลกที่ดิ่งลงอย่างมากในเดือนเมษายน ส่งผลให้ความต้องการทองในรูปแบบต่างๆของทั้งสองประเทศพุ่งขึ้นอย่างมาก

 

การแห่กันเข้าซื้อทองจะช่วยดันราคาทองขึ้นมา หลังจากกองทุนต่างๆ ทั่วโลกลดการลงทุนในทองคำ เนื่องจากราคาทองลดฮวบลงมาเป็นประวัติการณ์

 

นายจาง ปิงหนาน เลขาธิการสมาคมทองจีน กล่าวว่าความต้องการทองได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะผู้บริโภคและผู้ใช้ทองในทางอุตสาหกรรมฉวยโอกาสเข้าซื้อทองในช่วงที่ราคาทองตก

 

นายจาง กล่าวว่าความต้องการลงทุนในทองคำจะยังแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี เพราะทางเลือกในการลงทุนอื่นมีอยู่จำกัด และเสริมว่ายอดขายทองและปริมาณหมุนเวียนได้พุ่งขึ้นในเดือนเมษายน

 

ข้อมูลจากกรมสำมะโนครัวและสถิติฮ่องกง เผยว่าการเคลื่อนไหวสุทธิของทองจากฮ่องกงสู่จีน ซึ่งเป็นตลาดบริโภคทองรายใหญ่อันดับสองรองจากอินเดีย ดีดตัวขึ้นมาอยู่ที่ 136.185 ตันในเดือนมีนาคม จาก 60.958 ตันในเดือนกุมภาพันธ์ ทำลายสถิติก่อนหน้านี้ที่ 114.372 ตันในเดือนธันวาคม ส่วนเมื่อปีที่แล้ว การส่งออกทองจากฮ่องกงสู่จีน อยู่ที่ 557.478 ตัน

 

สำหรับเดือนเมษายน การนำเข้าทองอาจจะเพิ่มขึ้นอีก หลังจากราคาทองในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้เกิดการแย่งกันเข้าซื้อในเอเชีย ทำให้ทองแท่งและเหรียญทองในสิงคโปร์ รวมถึงฮ่องกง ซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าทองที่สำคัญของจีน ขาดตลาด

 

ข้อมูลของสภาทองคำโลกชี้ว่าความต้องการทองจากอินเดียและจีนเป็นปัจจัยหลักสำหรับราคาทองในตลาดโลก เนื่องจากความต้องการของทั้งสองประเทศมีสัดส่วนกว่า 1 ใน 3 ของความต้องการทั่วโลกปีที่แล้วจีนผลิตทอง 403 ตัน แต่อัตราการบริโภคนั้นสูงกว่าการผลิตถึงสองเท่าที่ 832.2 ตัน

 

http://www.bangkokbiznews.com/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

CFTC เผยนักเก็งกำไรเพิ่มสถานะซื้อทองครั้งแรกรอบ 4 สัปดาห์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 มิถุนายน 2556 14:25 น.

 

คณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (CFTC) เปิดเผยรายงานบ่งชี้ว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการการเงิน ได้เพิ่มสถานะการลงทุนในสัญญาล่วงหน้าและออปชั่นทองเป็นครั้งแรก ในรอบ 4 สัปดาห์ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐได้เพิ่มความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ชะลอมาตรการกระตุ้นทางการเงิน

 

กองทุนเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการการเงินยังได้ปรับลดสถานะขายสุทธิทองแดง ขณะที่เพิ่มการลงทุนในโลหะเงินด้วยการซื้อสุทธิ เล็กน้อยในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 พ.ค.

ข้อมูลของ CFTC บ่งชี้ว่า นักเก็งกำไรได้เพิ่มสถานะซื้อสุทธิทอง 12,410 สัญญา สู่ 48,096 สัญญา

ราคาทองปรับตัวขึ้นก่อนหน้านี้ตามการทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งของตลาดหุ้นและหลังจากนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงในการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเกินไปและนานเกินไป

อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์กล่าวว่า การที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนนั้นบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่ว่า การยุติโครงการซื้อพันธบัตรของเฟดจะยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

เทรดเดอร์ระบุว่า สถานะคงค้างที่ยังไม่มีการซื้อขาย (Open interest) ในสัญญาล่วงหน้าและออปชันทองร่วงลง 155,253 ล็อต สู่ 691,958 ล็อต อันเป็นผลจากการลดลงของความสนใจจากกองทุน, การครบกำหนดส่งมอบออปชันและการปรับพอร์ตการลงทุนหลังนักลงทุนซื้อคืนสัญญา

เทรดเดอร์รอดูข้อมูลของ CFTC ในสัปดาห์นี้ซึ่งจะเปิดเผยรายละเอียดมากขึ้นเกี่ยวกับการลดลงอย่างมากของ open interest ในวันพุธที่ผ่านมาซึ่งได้ถ่วงตลาดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี

นักเก็งกำไรได้เพิ่มสถานะซื้อ 250 สัญญาในสัญญาล่วงหน้าและออปชั่นโลหะเงิน ส่งผลให้ตลาดมีสถานะซื้อสุทธิ 63 สัญญา

ข้อมูลของ CFTC บ่งชี้ว่า กลุ่มนักเก็งกำไรได้ลงเล็กน้อย 160 ล็อต สู่ 8,872 ล็อต

โฆษกกระทรวงการคลังของอินเดียเปิดเผยว่า อินเดียได้นำเข้าทองคำจำนวนประมาณ 162 ตันในเดือนพ.ค. ซึ่งมากกว่าที่คาดไว้อย่างมากและทำให้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงว่ารัฐบาลจะออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมอุปสงค์ทองในประเทศ

การนำเข้าในเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้นอย่างมากจากเดือนเม.ย. แต่ยังคงต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 262 ตันจากนายพี. ชิดัมบาราม รมว.คลังอินเดีย ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งรวมถึงสภาทองคำโลก (WGC) และสมาคมทองคำบอมเบย์

"ข้อมูลที่ถูกต้องสำหรับการนำเข้าทองในเดือนพ.ค.คือ 162 ตัน ไม่ใช่ 262 ตัน" นายดี.เอส.มาลิค โฆษกกระทรวงกล่าว

ชาวอินเดียยังคงซื้อทองอย่างมาก ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนเม.ย. ขณะที่ผู้บริโภคฉวยโอกาสจากการที่ราคาทองในตลาดโลกร่วงลง ซึ่งตรงกับเทศกาลในภูมิภาค ซึ่งมีการซื้อทองเป็นของขวัญ

การนำเข้าทองในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 142.5 ตัน และเมื่อคิดในแง่มูลค่า การนำเข้าเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 138% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สู่ระดับ 7.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการนำเข้าโลหะเงินจำนวนเล็กน้อยด้วย

เนื่องจากการนำเข้าในเดือนพ.ค.พุ่งขึ้นอีก รัฐบาลจึงเผชิญกับแรงกดดันให้พิจารณาออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อควบคุมการนำเข้า ซึ่งการนำเข้าจำนวนมาก ดังกล่าวเสี่ยงต่อการทำให้ยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.7% ของจีดีพีในไตรมาสเดือนธ.ค.

อินเดียปรับเพิ่มภาษีนำเข้าทองขึ้นครึ่งหนึ่งเป็น 6% ในเดือนม.ค. และธนาคารกลางก็ได้เข้ามาจำกัดการซื้อทองด้วย ขณะที่ข้อมูลของ WGC ระบุว่า มาตรการดังกล่าวช่วยลดการนำเข้าทองในไตรมาสแรกลงสู่ระดับ 215 ตัน จากระดับ 228 ตันในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

นายชิดัมบารัมกล่าวว่า ธนาคารกลางอาจจะพิจารณาการห้ามผู้ผลิตเครื่องประดับมิให้ซื้อทองแบบวางเงินมัดจำ โดยต้องชำระเงินทั้งหมด ขณะที่เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ธนาคารกลางได้ประกาศห้ามการซื้อดังกล่าวจากธนาคาร ต่างๆดสถานะขายสุทธิทองแดง

(ข้อมูลจากสำนัก่ข่าว รอยเตอร์)

 

T.Thammasak

 

http://manager.co.th/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงเช้านี้ หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซากว่าคาดการณ์ ขณะเดียวกันนักลงทุนก็ยังวิตกกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดวงเงินซื้อพันธบัตรหรือไม่

 

ดัชนี MSCI Asia Pacific ขยับลง 0.1% แตะ 132.19 จุด เมื่อเวลา 9.58 น.ตามเวลาโตเกียว

 

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 12,925.29 จุด ลดลง 89.58 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,264.42 จุด ลดลง 6.51 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,908.45 จุด ลดลง 160.79 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,135.56 จุด ลดลง 46.35 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,211.16 จุด ลดลง 32.27 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,557.89 จุด ไม่เปลี่ยนแปลง, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,775.35 จุด เพิ่มขึ้น 0.93 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,832.00 จุด ลดลง 3.20 จุด

 

ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันรำลึกถึงวีรชนแห่งชาติ

 

ตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงกดดันหลังจากที่ ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 135,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 165,000-170,000 ตำแหน่งโดยประมาณ

 

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานปรับตัวขึ้น 1% ในเดือนเม.ย. น้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5%

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 6 มิถุนายน 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยในรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐขยายตัว “ในอัตราเล็กน้อยถึงปานกลาง" ระหว่างเดือนเม.ย.-กลางเดือนพ.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคที่อยู่อาศัยและการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภค

 

รายงานระบุว่า 11 เขตด้านการธนาคารของเฟดได้รายงานถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง และดัลลัส ซึ่งเป็นเขตที่ 12 ระบุถึงการขยายตัวที่แข็งแกร่ง

 

เฟดเปิดเผยว่าพื้นที่ส่วนใหญ่รายงานถึงการขยายตัวในภาคการผลิต และการเพิ่มขึ้น “เล็กน้อยถึงปานกลาง" ด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภค ขณะที่ยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นปานกลางในหลายเขต และการท่องเที่ยวใน 7 เขตได้ส่งสัญญาณความแข็งแกร่ง

 

Beige Book รายงานว่ากิจกรรมด้านการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยปรับตัวขึ้นปานกลางไปจนถึงแข็งแกร่งในทุกเขต ขณะที่กิจกรรมการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์เติบโตเล็กน้อยถึงปานกลางในพื้นที่ส่วนใหญ่

 

“การปล่อยกู้ของภาคธนาคารโดยรวมเพิ่มขึ้นนับแต่รายงานครั้งก่อน และการจ้างงานปรับตัวขึ้นในอัตราที่สม่ำเสมอในหลายเขต" เฟดระบุ

 

นักลงทุนจะจับตาทิศทางจาก Beige Book เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายของเฟด โดยประเด็นสนใจในขณะนี้ก็คือเฟดจะเริ่มชะลอแผนการซื้อพันธบัตรครั้งใหญ่เมื่อใด ขณะที่บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต้องการเห็นตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นอย่างยั่งยืนและเศรษฐกิจโดยรวมมีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง

 

ทั้งนี้ รายงาน Beige Book อิงกับข้อมูลเศรษฐกิจจากธนาคารภูมิภาค 12 แห่งของเฟด โดยจะมีการเปิดเผยปีละ 8 ครั้งเพื่อแสดงถึงภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐ และจะมีการอัพเดทข้อมูล 2 สัปดาห์ก่อนการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดในแต่ละครั้ง สำนักข่าวซินหัวรายงาน

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 6 มิถุนายน 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

China Foreign Exchange Trading System (CFETS) รายงานว่า เงินหยวนแข็งค่าขึ้น 0.20% แตะที่ 6.1737 หยวนต่อดอลลาร์ในช่วงเช้าวันนี้

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศของจีนนั้น เงินหยวนได้รับอนุญาตให้ปรับตัวขึ้นหรือลงไม่เกิน 1% จากอัตราค่ากลางของการซื้อขายแต่ละวัน

 

ทั้งนี้ อัตราค่ากลางสกุลเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อิงกับราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ก่อนที่ตลาดจะเปิดทำการซื้อขายในแต่ละวัน

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 6 มิถุนายน 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

555 กรูไม่เชื่อ

 

 

นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและรักษาการหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เชิงเทคนิค บล.ทิสโก้ บอกถึงการลงทุนในทองคำว่า ทองคำได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วจ ากแรงขายจากกองทุน ETF ทองคำเริ่มลดลง และอุปสงค์มีแนวโน้มดีขึ้นจากการที่ธนาคารกลางโดยเฉพาะรัสเซียเข้าซื้ออย่าง ต่อเนื่อง และภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนมากขึ้นทำให้การลงทุนในทองคำน่าสนใจเพิ่มขึ้น

 

ขณะ ที่ภายในประเทศได้ปัจจัยบวกจากการที่เงินไหลออกจากสินทรัพย์สินอื่นและค่า เงินบาทเริ่มอ่อนตัวลง โดยระยะสั้น 1 เดือนจะเป็นใรรูปแบบ sideway up มีแนวรับอยู่ที่ 1,360 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์และแนวต้านที่ 1,420 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งหากปรับตัวผ่านไปได้มีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1,460 และ1,490 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์

 

ที่มา : money channel (วันที่ 6 มิย.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองเอเชีย: สัญญาทองอ่อนแรง ขณะนลท.รอดูผลการประชุมอีซีบี

 

 

สัญญาทองคำร่วงลงในการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่ตลาดเอเชียช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนได้ระมัดระวังการซื้อขาย ก่อนหน้าการประชุมธนาคารกลางยุโรปคืนนี้ โดยตลาดหุ้นทั่วโลกที่ร่วงลงอาจจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทอง

เมื่อเวลาประมาณ 11.52 น.ตามเวลาประเทศไทย สัญญาทองส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาด COMEX อ่อนตัว 1 ดอลลาร์ แตะที่ 1,398 ดอลลาร์/ออนซ์

ตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงในวันนี้ หลังจากที่ตลาดวอลล์สตรีทดิ่งหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา เนื่องจากยอดการจ้างงานภาคเอกชนที่อ่อนตัว ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่จะมีการเปิดเผยในวันศุกร์นี้

นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนหน้าการประชุมธนาคารกลางยุโรปจะเปิดฉากขึ้นในวันนี้ ขณะที่การเปิดเผยข้อมูลอัตราว่างงานสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยวันศุกร์นี้มีแนวโน้มว่า จะช่วยบ่งชี้จุดยืนของธนาคารกลางสหรัฐว่า จะตัดสินใจเรื่องโครงการซื้อพันธบัตรอย่างไรต่อไป

ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 135,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 165,000-170,000 ตำแหน่งโดยประมาณ

รายงานระบุว่า การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตสินค้า ซึ่งประกอบด้วยบริษัทก่อสร้างและผู้ผลิต ลดลง 3,000 ตำแหน่ง โดยการจ้างงานที่โรงงานผลิตลดลง 6,000 ตำแหน่ง ภาคก่อสร้างเพิ่มการจ้างงาน 5,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาคบริการจ้างงานเพิ่ม 138,000 ตำแหน่ง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินบาทเปิด 30.56/58 แนวโน้มยังอ่อนค่าต่อ หลังเงินไหลออกจากตลาดหุ้น

 

 

นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 30.56/58 บาท/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 30.53/55 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภูมิภาค

"เคลื่อนไหวตามภูมิภาค โดยยังคงมีแนวโน้มปรับตัวอ่อนค่า" นักบริหารเงิน กล่าว

สาเหตุที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทส่วนหนึ่งมาจากการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศที่มีปริมาณมากพอสมควร ซึ่งจะเห็นจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่ต่างชาติมีขายสุทธิต่อเนื่องมากหลายวันแล้ว

นักบริหารเงินประเมินทิศทางค่าเงินบาทในวันนี้มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยมองกรอบไว้ระหว่าง 30.45-30.65 บาท/ดอลลาร์

"บาทน่าจะแกว่งตัวในทิศทางอ่อนค่า" นักบริหารเงิน กล่าว

ล่าสุด SPOT อยู่ที่ระดับ 30.5680 บาท/ดอลลาร์ ส่วน THAI BAHT FIX 6M อยู่ที่ 2.23532%

 

ปัจจัยสำคัญ

 

- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 99.27/29 เยน/ดอลลาร์ แข็งค่าจากเย็นวานนี้ที่ระดับ 99.63/65 เยน/ดอลลาร์

- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3092/3093 ดอลลาร์/ยูโร แข็งค่าจากเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.3064/3066 ดอลลาร์/ยูโร

- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของ ธปท.อยู่ที่ 30.5240 บาท/ดอลลาร์

- สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ(EIA) เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 31 พ.ค.ปรับตัวลดลงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลงสวนทางคาดการณ์ ด้านสต็อกน้ำมันกลั่นและอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสต็อกน้ำมันดิบลดลงถึง 6.27 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในปีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 400,000 บาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 400,000 บาร์เรล สวนทางกับที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรล ด้านอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 2% แตะ 88.4% ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5%

- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส(WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้(5 มิ.ย.) หลังทางการสหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบปีนี้ แต่ปิดบวกเพียงเล็กน้อยเพราะตลาดได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่าตัวเลขจ้างงานในภาคเอกชนของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้น 43 เซนต์ หรือ 0.46% ปิดที่ 93.74 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์(BRENT) ส่งมอบเดือน ก.ค.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.19% ปิดที่ 103.04 ดอลลาร์/บาร์เรล

- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้(5 มิ.ย.) เนื่องจากการร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์กและตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX(Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้น 1.3 ดอลลาร์ หรือ 0.09% ปิดที่ 1,398.5 ดอลลาร์/ออนซ์

- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เผยราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงลดลง 20 ดอลลาร์ฮ่องกง เปิดที่ระดับ 13,030 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ หรือเทียบเท่ากับ 1,409.49 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ลดลง 2.16 ดอลลาร์สหรัฐ

- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้(5 มิ.ย.) หลังจากสหรัฐเผยตัวเลขจ้างงานในภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) อาจจะยังคงเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรเพื่อกระต้นเศรษฐกิจ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 99.19 เยน จากระดับของวันอังคารที่ 100.05 เยน และอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9417 ฟรังค์ จากระดับ 0.9470 ฟรังค์ ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.3087 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3028 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.5402 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5304 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลงแตะระดับ 0.9525 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9635 ดอลลาร์สหรัฐ

- ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงเช้านี้ หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซากว่าคาดการณ์ ขณะเดียวกันนักลงทุนก็ยังวิตกกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะลดวงเงินซื้อพันธบัตรหรือไม่ โดยดัชนี MSCI Asia Pacific ขยับลง 0.1% แตะ 132.19 จุด เมื่อเวลา 9.58 น.ตามเวลาโตเกียว, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 12,925.29 จุด ลดลง 89.58 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,264.42 จุด ลดลง 6.51 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,908.45 จุด ลดลง 160.79 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,135.56 จุด ลดลง 46.35 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,211.16 จุด ลดลง 32.27 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,557.89 จุด ไม่เปลี่ยนแปลง, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,775.35 จุด เพิ่มขึ้น 0.93 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,832.00 จุด ลดลง 3.20 จุด ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันรำลึกถึงวีรชนแห่งชาติ

- ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เปิดเผยในรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐขยายตัวในอัตราเล็กน้อยถึงปานกลาง ระหว่างเดือน เม.ย.-กลางเดือน พ.ค.โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคที่อยู่อาศัยและการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภค

- นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนและผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาดลูกค้าส่วนบุคคล บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รวมมูลค่ากว่า 15,653.44 ล้านบาท เนื่องจากต้องการนำเงินมาชดเชยการขาดทุนในตลาดตราสารหนี้สหรัฐ

- นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากลงได้ หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ว่า ขณะนี้สภาพคล่องในระบบยังอยู่ในภาวะตึงตัว จากความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการมีสัดส่วนที่สูง ทั้งธุรกิจเอสเอ็มอี รายย่อยและรายใหญ่ ประกอบกับภาครัฐมีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในอีก 5-6 ปีข้างหน้า จึงทำให้ธนาคารพาณิชย์ยังไม่ลดดอกเบี้ยในช่วงนี้

- "กสิกรไทย" ชี้ลูกค้าเริ่มชะลอแผนการะดมทุนหวั่นต้นทุนการเงินพุ่ง หลังมูดี้ส์จ้องปรับเครดิต ขณะที่การลดคิวอีของสหรัฐ ทำให้สถานการณ์ตลาดโลกมีความไม่แน่นอน ประกอบกับความต้องการสินเชื่อจารัฐและเอกชนที่ยังสูง ทำให้การลดดอกเบี้ยของแบงก์ยังไม่สามารถลดได้เร็ว มั่นใจสินเชื่อรายใหญ่ยังโตได้ตามเป้า 4-6% ดันเอกชนพึ่งตลาดทุนลดการกระจุกตัวสินเชื่อ และหนุนรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่ม

- น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง, นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และหน่วยงานเศรษฐกิจ ร่วมประชุมหารือเพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและเงินทุนเคลื่อนย้าย

- นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่รับผลกระทบจากเงินทุนเคลื่อนย้าย แต่เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศลุ่มน้ำโขงยังสดใส ตลาดหุ้นไทยก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดี และพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนของไทยยังแข็งแกร่ง จะเป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินให้ไหลกลับเข้ามาลงทุนอย่างแน่นอน

- ตลาดหุ้นไทยต้นภาคเช้าวันนี้ร่วงไปแล้วกว่า 10 จุด ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ หลังจากดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวลงไปแรงกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ แม้กรรมการและผู้จัดการ ตลท.จะออกมาแถลงข่าวด่วนก่อนตลาดเปิดทำการเช้านี้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยแต่ยังไม่เป็นผล โดยเมื่อเวลา 10.00 น.ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,510.57 จุด ลดลง 12.09 จุด (-0.79%)

- สมาคมผู้นำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่น เผยยอดขายรถใหม่นำเข้าในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงรถยนต์ของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่ผลิตในต่างประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 24.8% ในเดือน พ.ค. จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 25,968 คัน

- ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นเช้าวันนี้ เนื่องจากแรงขายที่มีเข้ามาหลังจากที่ตลาดหุ้นโตเกียวปรับตัวขึ้นในช่วงสั้นๆ โดยผลตอบแทนพันธบัตรหมายเลข 329 ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เพิ่มขึ้น 0.015% จากระดับปิดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา แตะที่ระดับ 0.870% และราคาสัญญาล่วงหน้าเดือน มิ.ย.สำหรับพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลง 0.03 จุด แตะ 142.75 ในตลาดหุ้นโตเกียว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธนาคารกลางอังกฤษมีแนวโน้มว่า จะคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไว้ในการประชุมวันนี้ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจของอังกฤษที่สดใส เช่น ดัชนี PMI ภาคบริการในเดือนพ.ค. ที่ขยายตัวขึ้นแตะ 54.9 ซึ่งถือเป็นสถิติที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2555

ดัชนี PMI ที่ขยายตัวขึ้นนี้ถือเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งที่บ่งชี้ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกมีแนวโน้มว่า จะฟื้นตัวต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 2 และ 3

นักเศรษฐศาสตรืของมาร์กิต กล่าวว่า นับเป็นครั้งแรกในรอบปีที่กิจกรรมในภาคการผลิต บริการ และการก่อสร้าง ปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

ที่มา : ทันหุ้น(วันที่ 6 มิย.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กรีซ 6 มิ.ย.-กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟระบุว่า เกิดความผิดพลาดในการปล่อยเงินกู้ให้กรีซ โดยประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการรัดเข็มขัดที่อาจทำให้ เศรษฐกิจกรีซที่ย่ำแย่อยู่แล้วต้องสะดุดลงไปอีก

 

ไอเอ็มเอฟยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดความผิดพลาดในการปล่อยเงินกู้ให้แก่ กรีซ โดยประเมินเรื่องผลกระทบจากมาตรการรัดเข็มขัดว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจ กรีซอย่างไรต่ำเกินไป ทั้งนี้มาตรการประหยัดรายจ่ายซึ่งไอเอ็มเอฟเป็นผู้ผลักดันอาจทำให้เศรษฐกิจ ของกรีซต้องถดถอยลงไปอีก ในขณะที่อัตราการว่างงานก็สูงถึงร้อยละ 27 อย่างไรก็ดี ไอเอ็มเอฟยืนยันว่าไม่สามารถชะลอมาตรการรัดเข็มขัดออกไปได้ ขณะเดียวกันยังมีความผิดพลาดที่เกิดจากกรีซเองที่ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของ ไอเอ็มเอฟได้ครบทั้งหมด เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการปรับปรุงเรื่องการจัดเก็บภาษี ในขณะที่ธนาคารกลางของกรีซคาดการณ์ว่า ในปีนี้เศรษฐกิจจะหดตัวลงอีกร้อยละ 4.6 และการว่างงานจะแตะระดับร้อยละ 28. -

 

ที่มา : สำนักข่าวไทย(วันที่ 6 มิย.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฝรั่งวิเคราะห์วิเดายามบ่าย กล่าวว่า ราคาทองช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เหมือนกระต่าย ที่ชอบเล่นชอบแหย่ วิ่งมาตบหัว แล้วก็วิ่งหนี ตบหัวแล้วก็วิ่งหนี ทำเอาคนโดนตบโมโหเป็นอย่างมาก และคนโดนตบ วันนี้ เห็นจังหวะที่ ประธาน ธนาคารกลางยุโรปฯ จะออกมาพูดวันนี้ แล้วคิดวางแผนว่า " เดี๋ยวเถอะมรึง มาตบกรูคราวนี้ กรูจะตะปปมรึงมาเป็นอาหารหรูมื้อค่ำ ( ตีความหมาย คือ เวลาทองย่อลงมาแบบเดิมๆ ที่ $139x แล้วคิดคาดว่า จะต้องเผ่นขึ้นเหนือ $1,400 แน่ๆๆ หรือกลับกัน ราคาขึ้นไปที่ $1410 แล้วคิดคาดว่า จะต้องย่อกลับมาที่ $1.39x ไม่น่าจะเกิดขึ้น ในวันนี้ ) ดังนั้น จึงให้แนวทาง และ แนวรับแนวต้าน

 

Resistance: 1403.00 strong / 1410.33 moderate / 1417.77 minor

Support: 1395.55 moderate / 1388.22 minor / 1380.78 minor

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน 2556 16:38:23 น.

กรุงเทพฯ--6 มิ.ย.--PRdd

สภาวะตลาดวันที่ 6 มิถุนายน 2556 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,392.38—1,405.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFM13 อยู่ที่ 20,440 บาท โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 130 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 20,310 บาท ขณะที่ซิวเวอร์ฟิวเจอร์ SVM13 อยู่ที่ 700 บาท โดยราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 700 บาท

 

 

(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 15.56 น.ของวันที่ 06/06/13)ออกมา คือ ออกมา คือ

 

แนวโน้มวันที่ 7 มิถุนายน 2556

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยในรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ที่แสดงถึงภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐ และจะมีการอัพเดทข้อมูลก่อนการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดในแต่ละครั้ง ระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐขยายตัวในอัตราเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคที่อยู่อาศัยและการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภค ทั้งนี้แนวโน้วเศรษฐกิจที่พื้นตัวขึ้นอาจส่งผลต่อมาตรการกระตุ้นแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของสหรัฐยังไม่มีความชัดเจน ขณะที่นักลงทุนจับตาดูทิศทางของตลาดแรงงานโดยรอดูการเปิดเผยข้อมูล ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพฤษภาคมของ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ซึ่งผลสำรวจคาดว่า การจ้างงานอาจจะเพิ่มขึ้น 170,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม หลังจากเพิ่มขึ้น 165,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายน หากออกมาดีกว่าที่คาดกันไว้อาจทำให้ราคาทองคำร่วงลงต่อเนื่องจากความกังวลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะยุติ QE เร็วขึ้นมีความเป็นไปได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามหากตัวเลขตลาดแรงงานออกมาแย่กว่าที่คาด อาจกลับกลายเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำในช่วงนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในการประชุม FOMC ช่วงกลางเดือนมิถุนายนนี้วายแอลจีแนะนำว่า นักลงทุนสามารถหาจังหวะซื้อเล่นสั้นเมื่อราคาย่อตัวลงไปและไม่หลุดบริเวณแนวรับ 1,388 หรือ 1,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และปิดสถานะทำกำไรหากราคาทองคำได้ดีดตัวขึ้นทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,417 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ไม่สามารถผ่านไปได้ ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงทดสอบแนวรับอีกครั้ง แต่หากสามารถผ่านไปได้ ราคาทองคำจะมีโอกาสขึ้นทดสอบแนวต้านที่บริเวณ 1,428 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

กลยุทธ์การลงทุน วายแอลจีมีมุมมองว่า หากราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1,417 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้จะทำให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงมา โดยหากราคาทองคำสามารถยืนเหนือแนวรับ 1,388-1,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง คาดว่าราคาน่ากลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านอีกครั้ง แต่หากยืนไม่ได้ต้องระมัดระวังแรงขายที่ออกมาอาจทำให้ราคาย่อตัวลงสู่แนวรับถัดไป สำหรับผู้ที่ไม่มีทองคำในมือรอดูบริเวณ 1,388 หรือ 1,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากสามารถยืนได้อย่างมั่นคง ถือเป็นจุดซื้อเก็งกำไรระยะสั้นอีกครั้ง แต่หากราคาหลุดแนวรับ 1,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะนำให้ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์

 

ทองคำแท่ง (96.50%)

แนวรับ 1,388 (20,080บาท) 1,380 (19,970บาท) 1,370 (19,820บาท)

แนวต้าน 1,417 (20,500บาท) 1,428 (20,660บาท) 1,435 (20,770บาท)

GOLD FUTURES (GFM13)

แนวรับ 1,388 (20,210บาท) 1,380 (20,090บาท) 1,370 (19,940บาท)

แนวต้าน 1,417 (20,630บาท) 1,428 (20,790บาท) 1,435 (20,890บาท)

SILVER FUTURES (SVM13)

แนวรับ 22.15 (690บาท) 21.85 (680บาท) 21.60 (672บาท)

แนวต้าน 22.95 (713บาท) 23.30 (724บาท) 23.80 (739บาท)

หากต้องการทราบทิศทางราคาทองคำและแนวทางลงทุนทองคำ ขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมที่ปรึกษาการลงทุนด้านโกล์ดฟิวเจอร์ส โทร.02-687-9999 และการลงทุนด้านทองคำแท่ง โทร.02-687-9888 หรือwww.ylgbullion.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...