ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

ปล่อยวาง โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

« เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2011, 09:34:38 pm »

20111111213406_304115_238151689579300_100001534122445_649287_1638189659_n.jpg

 

ปล่อยวาง

 

 

สิ่งที่ล่วงไปแล้ว . . . ไม่ควรทำความผูกพัน

เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง

แม้กระทำความผูกพันและหมายมั่นให้สิ่งนั้น

กลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้

ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว

โดยความไม่สมหวังตลอดไป . . .

 

อนาคต ที่ยังมาไม่ถึงนั้น เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน

อดีต . . . ปล่อยไว้ตามอดีต

อนาคต . . . ปล่อยไว้ตามกาลของมัน

ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้

เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย

 

 

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

nothing-can-keep-abstract-art-7.jpg

เรื่องความเห็นแก่ตัวนี่ อาตมาพูดอยู่บ่อยๆ พูดอะไรก็มักจะวกไปสู่เรื่องนั้นๆ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นฐานของสิ่งทั้งหลายทั้งด้านดีและด้านเสีย ถ้าพูดในด้านเสียแล้ว ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะทำคนให้คิดผิดไป ให้พูดผิดไป ให้กระทำอะไรๆ ไปในทางที่ผิดที่เสียหาย ก็เพราะฐานที่มีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นก่อน แต่ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว มีความเห็นในด้านธรรมะจริงแล้ว เรื่องผิดมันก็คงจะไม่เกิด เพราะธรรมะนั้น จะช่วยให้เกิดความคิดนึกที่ถูกที่ชอบ ตรงตามเป้าหมาย แต่พอมีตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ความคิดที่ผิดเกิดตามขึ้นมา

 

ตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่นว่า นาย “ก” นี่เป็นอยู่กับใครคนหนึ่ง แล้วคนคนนั้นไปกระทำอะไรเข้าสักอย่างหนึ่ง ซึ่งคนส่วนมากเขาก็เห็นว่ามันไม่ถูก ไม่เหมาะ ไม่ควรด้วยประการต่างๆ แต่ว่านาย “ก” ไม่ได้คิดเช่นนั้น ไม่ได้มองเห็นในรูปเช่นนั้น กลับพูดว่าท่านผู้นั้นเป็นคนที่ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ เช่นนาย “ก” ได้รับความอุปถัมภ์ค้ำชูจากคนนั้นในเรื่องต่างๆ นานา เจ็บไข้ได้ป่วย ที่เขาช่วยรักษามารดาตาย เขาช่วยทำศพให้ หรือว่ามีความทุกข์ความเดือดร้อนก็วิ่งไปหาให้ความช่วยเหลือ ความช่วยเหลือเกื้อกูลต่างๆ นั้น เป็นเครื่องมัดจิตใจนาย “ก” ให้มีความรักความเคารพต่อบุคคลนั้น แต่ไม่ได้คิดไปถึงว่าสิ่งที่เราได้มันเป็นเรื่องของปัจเจกชน หรือเป็นเรื่องของมหาชน คิดแต่เพียงประการเดียวว่าเขาดีต่อฉันอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนที่เขากระทำอะไรลงไปในเรื่องที่เป็นความผิดความเสียหายนั้น กลับมองไม่เห็น ทำไมจึงมองไม่เห็น ก็เพราะว่าอคติเข้าครอบงำใจ

 

อคติ คือ ความลำเอียง เกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ คือความลำเอียงเพราะรัก เรียกว่าฉันทาคติ, ความลำเอียงเพราะชัง เรียกว่าโทสาคติ, ความลำเอียงเพราะกลัว เรียกว่าภยาคติ, ความลำเอียงเพราะเขลา เรียกว่าโมหาคติ

 

อคติ 4 ประการนี้ ไม่ว่าตัวใดตัวหนึ่ง ถ้าเกิดขึ้นในใจของบุคคลใดแล้ว ทำให้บุคคลนั้นต้องตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ทำไมจึงต้องตกต่ำ เพราะว่าความคิดมันผิด การพูดผิด การกระทำผิด การคบหาสมาคมก็จะพลอยผิดพลอยเสียไปด้วย เพราะอาศัยอคติ 4 นี้เป็นฐานอยู่ในใจ เรื่องอื่นที่มันจะเกิดขึ้นมันก็จะเอียงไปตามอคติที่มีอยู่ เช่น เรามีความรัก เราก็มองคนไปในแง่ดี มีประโยชน์แก่ตน ใครมาบอกว่าไม่ดีนั้นไม่ยอมรับ

 

สมมติว่าชายหนุ่มหญิงสาวมีความรักกัน หญิงสาวมีความรักชายหนุ่ม แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่มองแล้วเห็นว่ามันไม่ได้ความ ไอ้เจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นคนหยิบโหย่ง ไม่เอางานเอาการ นิสัยไม่ค่อยดีไม่เรียบร้อย แล้วก็มาบอกกับลูกสาวว่า แม่พิจารณาดูแล้วว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ที่เธอว่าเป็นแฟนนี่ มันไม่ได้เรื่องอะไร ลูกสาวจะเชื่อไหม จะฟังไหม...ไม่เชื่อหรอก หาว่าคุณแม่รังเกียจอย่างนั้นรังเกียจอย่างนี้ ไม่ชอบแล้วก็พูดอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยประการต่างๆ เขามองไม่เห็นความไม่ดีของคนที่เขารัก เพราะว่าเขารักมาก เขาก็มีอคติมากหน่อย เรียกว่ามีอคติเข้าข้างคนนั้นมากหน่อย ใครที่พูดว่าไม่ดีนั้นจะถูกหาว่าไม่ชอบอย่างนั้นอย่างนี้ล่ะ แล้วมักจะเอาสิ่งแวดล้อมขึ้นมาเป็นข้ออ้าง เช่น อ้างว่าเขาเป็นคนจนบ้างล่ะ เขาไม่มึเทือกเถาเหล่ากอบ้างล่ะ ไม่ยอมรับความจริงที่คนอื่นมองเห็น เพราะว่าตาของตัวนั้นมันเป็นฝ้า มองอะไรมัวไปหมด ไม่เห็นชัดตามสภาพที่เป็นจริง

 

หนุ่มก็เหมือนกันแหละ ถ้าไปรักหญิงสาวแล้ว ถ้าใครไม่ชอบไม่เห็นด้วย มาคัดค้านนี่ เขาก็ไม่ยอมท่าเดียว เขาจะต้องรักของเขาไปจนกระทั่งจะได้สมใจ หรือว่าจนกระทั่งความเสียหายมันเกิดขึ้นแล้วจึงจะรู้ว่า อ้อ.. มันหลงผิดไปแล้ว แต่ว่ามันหลงผิดไปแล้วมันขาดทุนไปตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ อันนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นง่ายๆว่า จะวินิจฉัยเรื่องอะไรนั้น อย่าวินิจฉัยโดยถือเอาตัวเป็นใหญ่ เพราะว่ามักจะเข้าตัว มีอคติเกิดขึ้นในใจ นี่เรียกว่าฉันทาคติ บางทีเกิดโทสาคติขึ้น เราไม่ชอบคนนั้น เมื่อไม่ชอบคนนั้นก็ลงมติว่า ไม่ได้ความ ใช้ไม่ได้ ไม่ดีไม่งามด้วยประการทั้งปวง

 

การที่ลงมติไปในรูปเช่นนั้น ก็มีฐานมาจากว่าตัวไม่ชอบ ตัวไม่ชอบนั่นก็คือ ตัวความเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่งเหมือนกัน ไอ้ความชอบนั่นก็คือความเห็นแก่ตัวเหมือนกันแหละ ตัวพอใจตัวพึงใจก็ว่าดี แต่เอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องอีกในรูปหนึ่งว่า ฉันไม่ชอบ ฉันไม่พอใจ เขาทำอะไรๆ ไม่ถูกอารมณ์ของฉัน เราก็เกิดโทสาคติ คือความลำเอียงเกิดขึ้นทันทีว่า คนนั้นใช้ไม่ได้ การกระทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง แม้จะถูกก็ไม่ยอมว่าถูก แต่ถ้าผิดก็เอาเลยล่ะ เรียกว่าได้ทีขี่แพะไล่เลยทีเดียว อันนี้มีอยู่เหมือนกัน เรียกว่าลำเอียงเพราะชังกัน

 

ลำเอียงเพราะกลัว วินิจฉัยอะไรๆบางเรื่องนี่กลัวอิทธิพลเขา กลัวพรรคพวกเขา กลัวอำนาจกลัวความเป็นใหญ่ การวินิจฉัยนั้นก็มักจะเข้าไปในสิ่งที่ตัวกลัว เพื่อให้ตัวปลอดภัย ก็ความเห็นแก่ตัวอีกเหมือนกัน เอาตัวเข้าไปใช้อีก แล้วก็วินิจฉัยในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ มันผิดไปไม่ตรงตามเรื่องที่เป็นความจริง นี่เรียกว่าลำเอียงเพราะความกลัว

 

ส่วนลำเอียงเพราะความหลงนั้น คือไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่เข้าใจอะไร ไม่มีปัญญาไม่มีเหตุไม่มีผล ได้ยินเขาว่าอย่างไรก็ว่าไปตามเขา อย่างนี้เขาเรียกว่าโมหาคติ คนเราถ้ามีอคติอย่างนี้แล้ว มันก็เขวไปเท่านั้นเอง

 

ทีนี้คนนั้นเป็นใคร ก็มักจะใช้ความลำเอียงของตัวนั่นแหละ ไปทำในเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อไป ให้เกิดความเสียหายไปด้วยประการต่างๆ การวินิจฉัยอะไรว่าดีว่าถูก ว่าชั่วว่าไม่ชั่ว จะเอาอคติมาใช้ไม่ได้ เราจะต้องวิจิจฉัยด้วยความเป็นธรรม ด้วยความเป็นธรรมนั้นต้องเอาอะไรหลายอย่าง เข้ามาประกอบ เช่นเอาศีลทั้งห้าข้อมาวินิจฉัยกันก่อน การกระทำนั้นจะดีหรือชั่ว จะเป็นความผิดความเสียหรือไม่ ศีลห้ามีอะไรบ้างโดยมากเราก็พอรู้กันอยู่ คือการไม่ฆ่ากัน การไม่ลักของกัน การไม่ประพฤติล่วงเกินความรัก ความชอบใจกัน การไม่พูดจาโกหกหลอกลวงกัน ไม่เสพของมึนเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อันนี้เป็นฐานเบื้องต้น ที่เราจะเอามาวินิจฉัยว่าอะไรถูกอะไรผิด

 

(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรม วันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐)

 

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 115 มิถุนายน 2553 โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ยึดติด โดย พระไพศาล วิสาโล

« เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2010, 07:53:59 pm »

20100719195323_att00001.jpg

 

 

สุด .. ได้เลขท้าย ๓ ตัวมาจากหลวงพ่อ เลยแทงไป ๑๕ บาท ปรากฏว่าถูกเผง ได้มา ๖๐๐ บาท เขาดีใจมาก เที่ยวอวดใครต่อใครในหมู่บ้านว่าถูกหวย แต่พอรู้ว่า คอนซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ก็แทงหวย ๓ ตัวถูกเหมือนกัน แต่ได้เงินมากกว่าคือ ๒ , ๐๐๐ บาท เพราะแทงมากกว่า สุดเลยยิ้มไม่ออก หงอยไปทั้งวัน แถมยังโมโหตัวเองที่แทงน้อยไป

 

ใจ .. ไปเที่ยวไนท์บาซ่า เห็นผ้าพื้นเมืองลายงาม ราคา ๕๐๐ บาท แต่เธอต่อได้ ๓๕๐ บาทจึงคว้าผ้าผืนนั้นกลับโรงแรมด้วยความดีใจ แต่พอรู้ว่าไก่เพื่อนร่วมห้องก็ซื้อผ้าแบบเดียวกันมา แต่ได้ราคาถูกกว่า คือ ๓๐๐ บาท ใจก็หุบยิ้มทันที ไม่รู้สึกโปรดปรานผ้าของตนอีกต่อไป

 

แม้เราจะมี " โชค " หรือได้ของดีที่ถูกใจ

แต่หากไปเปรียบเทียบกับของคนอื่นเมื่อใด

สุขก็อาจกลายเป็นทุกข์ทันที หากรู้ว่าคนอื่นได้มากกว่า ได้ของดีกว่า

หรือได้ของที่ถูกกว่า ส่วนของดีที่เราได้มากลับด้อยคุณค่าไปถนัดใจ

 

บางครั้งอาจทำให้เราทุกข์กว่าตอนที่ยังไม่ได้ของนั้นมาด้วยซ้ำ

ที่จริงไม่ต้องไปเทียบกับของคนอื่นก็ได้

เพียงแค่เห็นของรุ่นใหม่วางขายหรือโฆษณาตามสื่อต่างๆ

ก็เกิดความไม่พอใจในของเดิมที่มีอยู่ทันที

ทั้งๆ ที่มันก็ยังใช้ได้ดี ไม่มีปัญหาอะไรรบกวนใจ

ยกเว้นข้อเดียวคือ มันสู้ของใหม่ที่วางขายไม่ได้

ทั้งๆ ที่มีของดีอยู่กับตัว แต่คนเราแทนที่จะพอใจกลับรู้สึกเป็นทุกข์

เพียงเพราะใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งดีกว่า (หรือมากกว่า) ที่ตัวเองยังไม่มี

 

แต่เมื่อใดก็ตามที่ของชิ้นนั้นเกิดมีอันเป็นไป

เช่นทำตกหล่นหรือถูกขโมยไป เราก็จะกลับมาเห็นคุณค่าของมัน

และนึกเสียใจที่เสียมันไป จะกินจะนอนก็ยังนึกถึงมันด้วยความเสียดาย

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นใน กรณีที่เป็นสิ่งของเท่านั้น

แต่ยังเกิดกับกรณีที่เป็นคนด้วย เช่น คนรัก หรือแม้แต่พ่อแม่และลูก

 

ผู้คนจำนวนมากไม่เห็นคุณค่าหรือมีความสุขกับคนใกล้ชิด

เพราะไปนึกเปรียบเทียบคนอื่นว่าเขามีพ่อแม่ คนรัก หรือลูกที่ดีกว่าเรา

แต่วันใดที่เราเสียเขาไป เราถึงจะกลับมาเห็นคุณค่าของเขา

และเศร้าโศกเสียใจจนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว

เฝ้าหวนคำนึงถึงวันคืนเก่าๆ ที่เขาเคยอยู่กับเรา

 

คนเรามักทุกข์เพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่มี หรืออาลัยในสิ่งที่สูญเสียไป

พูดให้ครอบคลุมกว่านั้นก็คือ

ทุกข์เพราะใจยังติดยึดอยู่กับอนาคตและอดีต

อนาคตและอดีตที่ว่ามิได้หมายถึง

สิ่งดีๆ ที่ยังไม่มีหรือที่เสียไปเท่านั้น

แต่ยังรวมถึงสิ่งไม่พึงปรารถนาที่ (คาดว่า) รออยู่ข้างหน้า

เช่นอุปสรรค และสิ่งไม่พึงปรารถนาที่พานพบ คำต่อว่า หรือการกระทำที่น่ารังเกียจ

 

คำตำหนิติเตียนไม่ว่าจะร ุนแรงแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้

หากเราไม่เก็บเอาคิดซ้ำคิดซาก คำพูดเหล่านั้นผ่านพ้นไปนานแล้ว

แต่ที่ยังบาดใจเราอยู่ก็เพราะเราไม่ยอมปล่อยวางมันต่างหาก

ยิ่งคิดคำนึงถึงมันมากเท่าไรก็ยิ่งซ้ำเติมตัวเองมากเท่านั้น

 

การเอาเปรียบ กลั่นแกล้ง ทรยศ หักหลัง ก็เช่นกัน

แม้เป็นอดีตไปนานแล้ว แต่เราก็ยังทุกข์อยู่กับเหตุการณ์ดังกล่าว

ไม่ใช่เพราะเขายังทำเช่นนั้นกับเราอยู่

แต่เป็นเพราะเราชอบย้อนภาพอดีต

กลับมาฉายซ้ำในใจอย่างไม่ยอมเลิกรา

ย้อนแต่ละทีก็เหมือนกับกรีดแผลลงไปที่ใจ

หยุดย้อนอดีตเมื่อใดใจก็หายเจ็บเมื่อนั้น

 

อดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนอนาคตยังมาไม่ถึง

แต่จะมาถึงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้!

แต่บ่อยครั้งเรากลับยึดมั่นสำคัญหมายอย่างเป็นจริงเป็นจัง

ว่ามันจะต้องเกิด ขึ้นแน่ เท่านั้นยังไม่พอถ้าเป็นเรื่องแง่ลบด้วยแล้ว

เรามักจะวาดภาพไปในทางเลวร้าย

แล้วก็ยึดมันเอาไว้ไม่ให้คลาดไปจากใจ ทั้งๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์

 

ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นตึกไปหาหมอ เพื่อฟังผลตรวจโรค

พอหมอบอกว่า พบก้อนมะเร็งระยะที่สองในปอดของเขา

เขาก็ถึงกับทรุด เข่าอ่อนเดินไม่ได้ กลับถึงบ้านก็กินไม่ได้

นอนไม่หลับ ซึมไปเป็นเดือน

 

ส่วนหญิงผู้หนึ่ง ป่วยกระเสาะกระแสอยู่นานหลายสัปดาห์

แล้ววันหนึ่งหมอก็บอกว่า เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ตับ

จะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือน ปรากฏว่าผ่านไปแค่ ๑๒ วัน เธอก็สิ้นใจ

ทั้งสองกรณีไม่ได้ทรุดฮวบเพราะโรคมะเร็งเล่นงาน

แต่เป็นเ พราะใจเสีย ทันทีที่ได้ยินข่าวร้าย

ใจก็นึกภาพอนาคตของตัวเองไปในทางเลวร้าย

ยิ่งผู้ป่วยรายที่สองด้วยแล้ว

เธอนึกไปถึงวันตายของตัวเองเลยทีเดียว

แถมยังปรุงแต่งไปในทางที่มืดมน

เท่านั้นไม่พอเธอยังหมกมุ่นกับภาพดังกล่าวไม่หยุดหย่อน

ทั้งๆ ที่มันยังไม่เกิดขึ้น ผลก็คือถูกความทุกข์ท่วมทับจนมิอาจทานทนต่อไปได้

 

บ่อยครั้งเราเป็นทุกข์เพราะเรื่องที่ยังมาไม่ถึง

เช่น การสอบไม่ติดหรือตกงาน

โดยตัวมันเองไม่ก่อปัญหาแก่เรา มากเท่ากับใจที่ปรุงแต่งไปล่วงหน้า

ว่านับแต่นี้ไปชีวิตจะลำบากยากแค้นเพียงใด แล้วจะอยู่ดูโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร

แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจพบว่าที่แท้เราตีตนก่อนไข้ไปเอง

เพราะปัญหาต่างๆ ที่ตามมาไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด

สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ในที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ปรุงแต่งเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น

กับสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า บางครั้งเราก็ปรุงแต่งให้เลวร้ายเกินจริง

เช่น อยู่รีสอร์ตคนเดียวกลางดึก ได้ยินเสียงผิดปกติ

ก็ปรุงแต่งไปทันทีว่าถูกผีหลอก หรือไม่ก็มีคนจะมาทำร้าย

เห็นคู่รักกำลังคุยอย่างสนิทสนมกับชายหนุ่มในร้านอาหาร

ก็คิดไปทันทีว่า เธอกำลังนอกใจ

 

การคิดปรุงแต่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนั้น

เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อใดที่เราหลงยึดว่ามันเป็นเรื่องจริง

เราก็กำลังก่อทุกข์ให้กับตัวเอง

แถมยังสามารถสร้างปัญหาให้แก่คนอื่นได้ด้วย

 

วัยรุ่นนั่งกินอาหารอยู่หน้าร้าน เผอิญขี้นกหล่นใส่หัว

แต่เขากลับคิดว่าเจ้าของร้านถ่มน้ำลายใส่หัว

จึงทะเลาะกับเจ้าของร้านอย่างรุนแรง

สักพักก็ออกจากร้านแล้วกลับมาพร้อมกับพวกอีกหลายคน

ควักปืนออกมายิงกราด

ถูกภรรยาเจ้าของร้านซึ่งกำลังท้อง ๕ เดือนตายคาที่

กลายเป็นฆาตกรที่ถูกตำรวจหมายหัวทันที

 

การยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง

เป็นที่มาอีกประการหนึ่งของความทุกข์

ทีแรกเราเป็นฝ่ายปรุงแต่งมันขึ้นมา

แต่เผลอเมื่อใดมันก็กลับมาเป็นนายเรา

สามารถผลักใจของเราไปสู่ความทุกข์

และชักนำชีวิตของเราไปในทางเสื่อมได้ง่ายๆ

 

กี่ครั้งกี่หนที่เราทำร้ายตัวเองและทำร้ายซึ่งกันและกัน

เพียงเพราะหลงเชื่อ ความคิดที่เราปรุงแต่งขึ้นมา

พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ไม่ได้ปรุงแต่งขึ้นมาเอง

แต่เป็นความจริงแท้ๆ จะไม่ก่อปัญหา

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่สร้างความทุกข์แก่เรา

เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ อยู่ในขณะนี้

เช่น รถเสีย เงินไม่พอใช้ ทะเลาะกับคนรัก ลูกคบเพื่อนไม่ดี งานไม่ก้าวหน้า

แต่ถ้าเรามัวแต่นึกถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าจะทำอะไร ก็กวาดเอาปัญหาต่างๆ มาครุ่นคิดด้วย

ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกันเลย เช่น กำลังทำงานอยู่

ก็ไปกังวลถึงรถ ถึงลูก ถึงพ่อแม่ แล้วยังห่วงคู่รักอีก

อย่างนี้แล้วจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร

 

ปัญหาเป็นเรื่องที่ต้องแก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม !

แต่เมื่อใดที่เรากวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมจิตใจ

ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้ไข

ก็เตรียมตัวกลุ้มได้เลย นี้เป็นการยึดติดอีกแบบหนึ่ง

 

อันที่จริงแม้มีปัญหาแค่เรื่องเดียว

แต่ถ้าหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา ก็ทำให้คลั่งได้

ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเล็กแต่ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ

เช่น หมกมุ่นกับสิวไม่กี่เม็ดบนใบหน้าวันแล้ววันเล่า

ก็อาจทำให้เจ็บป่วยหรือถึงกับทำร้ายตัวเองได้

 

การยึดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจ

บางครั้งก็ไปไกลถึงขนาดไปกวาดเอาปัญหาของคนอื่น

มาเป็นของเราเสียเอง เช่น เพื่อนมาปรึกษาปัญหาชีวิต

ก็เลยเอาปัญหาของเขามาเป็นของตนด้วย

จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

 

เท่านั้นยังไม่พอบางคนถึงกับแบกปัญหาของประเทศมาไว้กับตัว

เลยเป็นเดือน! เป็นแค้นกับสถานการณ์บ้านเมือง

ทะเลาะกับใครไปทั่วที่คิดต่างจากตน

สุดท้ายก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมืองไป

 

การยึดติดที่ลึกไป กว่านั้นคือ การยึดติดในตัวตน

สาเหตุที่เราทะเลาะกับคนที่คิดไม่เหมือนเรา

ก็เพราะเรายึดติดในความคิดของเรา

 

ความสำคัญมั่นหมายว่านี้เป็น " ความคิดของฉัน "

สะท้อนถึงความยึดติดในตัวตน

หรือที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า ยึดติดใน " ตัวกู ของกู "

 

นอกจากความคิดแล้ว เรายังยึดติดสิ่งต่างๆ อีกมากมายว่า

เป็นตัวฉันของฉัน อาทิ สิ่งของ บุคคล ชุมชน ประเทศ ศาสนา

มีอะไรมากระทบกับสิ่งนั้น ก็เท่ากับว่ากระทบ " ตัวฉัน "

ด่าว่ารถของฉัน ก็เท่ากับด่าฉันด้วย

วิจารณ์ศาสนาของฉันก็เท่ากับวิจารณ์ฉันด้วย

 

เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อสิ่งของสูญหาย คนรักจากไป

เราจึงอดหวนนึกถึงไม่ได้ เพราะใจยังยึดว่าเป็นของฉันอยู่

จึงยังมีเยื่อ! ใยที่ดึงให้ใจย้อนระลึกถึงอยู่เสมอ

เวลาให้ของแก่ใครไป ความยึดติดในของชิ้นนั้นก็ยังมีอยู่

จึงเฝ้าดูว่าเขาจะใช้ของชิ้นนั้นหรือไม่

ถ้าไม่ใช้ก็รู้สึกเป็นทุกข์ที่เขาไม่ได้ใช้ของ " ของฉัน "

ญาติโยมหลายคนจึงไม่สบายใจที่พระไม่ได้ฉันอาหารที่ตนถวาย

 

ยึดติดในตัว ตนอีกอย่างคือการยึดมั่นสำคัญหมายว่า

ฉันเก่ง ฉันหล่อ ฉันเป็นส.ส. ฯลฯ ไปไหนก็อดตัวพองไม่ได้

อยากแสดงบารมีให้ใครรู้ว่า " นี่กูนะ "

อยู่ที่ใดก็ต้องการให้คนชื่นชม สรรเสริญ เคารพ นบไหว้

แต่ถ้าไม่ได้รับการปฏิบัติดังกล่าว ก็จะโมโหขุ่นเคือง

จนอาจคำรามว่า " รู้ไหมว่ากูเป็นใคร ?"

ยิ่งเจอคำวิจารณ์ด้วยแล้ว ยิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่

 

การยึดติดใน " ตัวกู ของกู หรือนี่กู! นะ " เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ นานัปการ

นำไปสู่การกระทบกระทั่งขัดแย้งและทำร้ายกัน

ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความเครียดบีบคั้นภายใน

เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา

ใช่แต่เท่านั้น แม้ได้สิ่งที่พึงปรารถนา

ก็ยังทุกข์เพราะได้ไม่สมใจ หรือทุกข์ที่คนอื่นได้มากกว่า

 

ที่น่าแปลกก็คือเราไม่ได้ยึดเอาแค่สิ่งดีๆ ที่ถูกใจ

ว่าเป็นตัวกูของกูเท่านั้น สิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกใจ

เราก็ยังยึดเป็นตัวกูของกูอีกเช่นกัน

เช่น ความเจ็บปวด เมื่อเกิดกับกาย

แทนที่จะเห็นว่า กายปวดเท่านั้น กลับไปยึดเอาว่า " ฉันปวด "

ความปวดเป็นของฉัน

 

เมื่อความโกรธเกิดขึ้นกับใจ

ก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่า " ฉันโกรธ " ความโกรธเป็นของฉัน

ความยึดมั่นดังกล่าวรุนแรงชนิดที่ใจไม่ยอมไปไหน

มัวจดจ่อวนเวียนอยู่กับความปวดหรือความโกรธนั้นๆ อย่างเดียว

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเผลอของใจ

รู้ทั้งรู้ว่ายึดแล้วทุกข์แต่ก็ยังยึดเพราะขาดสติ

ถ้าใจมีสติ ก็จะไม่เผลอยึดต่อไป

 

ความปวดความโกรธยังมีอยู่ก็จริง แต่คราวนี้มันทำอะไรจิตใจไม่ได้

เพราะใจไม่โดดเข้าไปให้ความปวดความโกรธเผาลน

เหมือนกองไฟที่ยังลุกไหม้อยู่

แต่ตราบใดที่เราไม่โดดเข้าไปในกองไฟ

หากถอยออกมาห่างๆ เป็นแค่ผู้สังเกตเฉยๆ ไฟก็ทำอะไรเราไม่ได้

 

สติช่วยให้ใจแยกออกมาอยู่ห่างๆ

จากความเจ็บปวดแ! ละอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น

กลายเป็น " ผู้ดู " มิใช่ " ผู้ปวด " หรือ " ผู้โกรธ "

จากความยึดติดกลายเป็นการปล่อยวาง

 

การปล่อยวางดังกล่าว

คือ หัวใจของการเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งหลาย

เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว

ความทุกข์ทั้งมวลเกิดจากความยึดติด

ยึดติดอดีตกับอนาคต ยึดติดสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นเอง

ยึดติดปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

รวมทั้งยึดเอาปัญหาต่างๆ มาเป็นของตน

ที่สำคัญคือ การยึดติดในตัวตน

เมื่อใดที่ปล่อยวางจากความยึดติดดังกล่าวได้

ความทุกข์ก็ไม่อาจทำอะไรเราได้อีกต่อไป

 

สติช่วยให้เรารู้ตัวเมื่อเผลอไปอาลัยอาวรณ์ในอดีต หรือวิตกกังวลกับอนาคต

พาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันเมื่อรู้ตัวว่า

เผลอไปจมอยู่กับเหตุร้ายที่ผ่านไปแล้ว

คอยทักท้วงใจไม่ให้หลงเชื่อความคิดปรุงแต่ง

เพราะตระหนักว่า ความจริงอาจไ! ม่เป็นอย่างที่คิด

ในยามที่เผลอกวาดเอาปัญหาต่างๆ มาทับถมใจจนหนักอึ้ง

 

สติช่วยให้เราแก้ปัญหาเป็นเปลาะๆ เป็นเรื่องๆ

ไม่เอาปัญหาใดมาครุ่นคิดหากยังไม่ถึงเวลา (หรือไม่ใช่เวลา) ที่จะแก้

เวลาพักผ่อน ก็พักผ่อนเต็มที่

เมื่อถึงเวลาแก้ปัญหา ก็ใช้ปัญญาอย่างเต็มที่

ไม่มามัวตีโพยตีพาย หรือน้อยเนื้อต่ำใจว่า "ทำไมถึงต้องเป็นฉัน ?"

 

ความทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา

แต่อยู่ที่ว่าเรามีท่าทีหรือรู้สึกอย่างไรกับมันต่างหาก

 

แม้ปัญหาจะหนัก แต่ถ้าเริ่มต้นจากการยอมรับมันว่า

เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว

ไม่ปฏิเสธผลักไสมันหรือก่นด่าชะตากรรม

ตั้งสติให้ได้แล้วหาทางแก้ไขมัน

แต่ขณะที่มันยังไม่หายไปไหน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน

 

ไม่หวนนึกถึงอดีตอันผาสุก หรือปรุงแต่งอนาคตไปในทางเลวร้าย

ขณะเดียวกันก็ไม่หมกมุ่นอยู่กับปัญหา

หากปล่อยวางมันบ้าง ความสุขก็หาได้ไม่ยาก

 

นายทหารผู้หนึ่งไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชเจ้า

กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานที่ทรงเคยเป็นอุปัชฌาย์ของตนมาก่อน

พอ! ไปถึงประโยคแรกที่กราบทูลก็คือ " หนักครับ ช่วงนี้แย่มากเลยครับ "

ว่าแล้วเขาก็ทูลเล่าปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิต

 

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงฟังอยู่นาน

แทนที่จะตรัสแนะนำหรือปลอบใจ

พระองค์กลับรับสั่งให้เขานั่งคุกเข่า ยื่นมือสองข้าง

แล้วพระองค์ก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งวางบนฝ่ามือของเขา

" นั่งอยู่นี่แหละ อย่าไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา "

 

รับสั่งเสร็จพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในตำหนัก

นายทหารนั่งในท่านั้นอยู่นาน จาก ๑๐ นาทีเป็น ๒๐ นาที

สมเด็จพระสังฆราชก็ยังไม่เสด็จออกมา

เขาเริ่มเหนื่อย มือและขาเริ่มสั่น กระดาษชิ้นเล็กๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ

จนประคองแทบไม่ไหว พอสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเสด็จกลับมา

ก็ทรงถามว่า " เป็นไง ?"

 

คำตอบของเขาคือ " หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว "

" อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียละ ?"

สมเด็จรับสั่ง " ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซี

มันจะเป็นอื่นไปได้ยังไง "

 

กระดาษที่เบาหวิว แต่หากถือไว้นานๆ

ไม่ยอมปล่อย ก็กลายเป็นของหนักไปได้

แต่ปัญหาถึงจะใหญ่โตเพียงใด

ถ้าไม่ยึดถือเอาไว้ ก็ไม่ทำให้เรา! ทุกข์ได้

 

ใช่หรือไม่ว่าหินก้อนใหญ่จะกลายเป็นของหนัก

และสร้างทุกข์ให้แก่เราก็ต่อ เมื่อเราแบกมันเอาไว้เท่านั้น

เมื่อมีสติรักษาใจ รู้เท่าทันความคิด ไม่เผลอยึดติดจนจิตหนักอึ้ง

แม้งานจะยาก อุปสรรคจะเยอะ ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้

 

 

คัดลอกจาก...ยึดติด [สารคดี กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑]

โดย พระไพศาล วิสาโล

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ยาว ๆ ๆ หรือ สั้น ๆ ๆ

 

ก็ด้วยรักและห่วงใยกัน

 

อ่านช้าๆ ค่อยๆ ให้ซึมผ่านใจ

 

หรืออ่านแบบไวไม่ว่ากัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ...คุณ ginger

:_Rd วันนี้อ่านแล้วมีหลายอย่างที่โดน กับตัวเองและน่าเอาไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน บางที่ก็ลืมเพราะความโลภ ของตนโดยแท้ทำให้เกิดทุกข์เพราะดิ้นลนจนเกิดเหตุ ขอบคุณมากนะครับหวังว่า เพื่อนๆหลายๆคนยอมเสียเวลาสักนิดมาอ่านสักหน่อยรับรอง ได้หลักการดำเนินชีวิตที่ดีๆแน่นอนครับ :gd

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณบทความดีๆๆ ข้อคิดดีๆๆ ไว้เตือนสติ

 

อ่านแล้วได้กำลังใจเพิ่มขึ้น เห็นอะไรในมุมอีกมุมเพิ่มขึ้น

 

ขอบคุณคุณ ginger นะค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากค่ะ ginger

โมทนาสาธุในความดีที่กระทำ

ให้ผู้อื่นมีความสบายใจ

ขอให้ginger มีความสุข ความเจริญตลอดไปนะ

ภาพวาดพู่กันจีนสวยมาก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

K8991253-299.jpg

 

 

 

การรักษาจิตคล้ายดูแลควาย

« เมื่อ: ตุลาคม 24, 2008, 09:48:12 am »

"คนเลี้ยงควาย" (การรักษาจิตคล้ายดูแลควาย)

โดย "พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก" วัดป่าสุนันทวราราม

 

 

 

เวลาเลี้ยงควาย

เราปล่อยควายให้เดินไปตามถนน

เจ้าของก็เดินตามหลังควาย สบาย ๆ?

สองข้างทางเป็นไร่นา

บางครั้งควายเดินออกนอกถนน

ไปกินข้าวในนาของเพื่อนบ้าน

เจ้าของก็ต้องตีบ้าง กระตุกเชือกบ้าง

ให้ควายกลับขึ้นมาบนถนนใหม่

เมื่อควายเรียบร้อย

เดินบนถนนก็เดินตามหลังควายสบาย ๆ

เมื่อควายเข้าไปในนากินต้นข้าว

รีบดึงควายให้กลับออกมาบนถนน

ทำอยู่อย่างนั้นเรื่อย ๆ ไป

เจ้าของควาย คือ สติ

ควาย คือ จิต

ถนน คือ ลมหายใจ

ถนนยาว ๆ คือ ลมหายใจยาว ๆ

ต้นข้าว คือ นิวรณ์ 5

เอาสติผูกจิตไว้กับลมหายใจ

พยายามกำหนดรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า

ติดต่อกันสม่ำเสมอ

เหมือนเอาสติผูกจิตไว้กับลมหายใจ

ความรู้สึกอยู่ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั่น

เมื่อสติรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า

จิตก็อยู่ที่นั่น ขาดสติเมื่อไร

จิตก็คิดไปต่าง ๆ นานา

ตามกิเลส ตัณหา ตามนิวรณ์?ก็รีบต่อสติ

กำหนดรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า

อานาปานสติ ขั้นที่ 1-2

เมื่อจิตคิดออกไป

รีบเรียกมาอยู่ที่ลมหายใจออกยาว

ลมหายใจเข้ายาว

หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ สบาย ๆ

การเจริญอานาปานสติเหมือนกับคนเลี้ยงควาย

คอยควบคุมควายให้เดินบนถนน

หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ สบาย ๆมีสติรู้อยู่กับลมหายใจ

ให้ติดต่อกันตลอดสาย

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พวงชมพูและทุกคน.....

 

หามาฝากจ้ะ

 

http://www.chinaonlinemuseum.com/painting-masters.php ขอบคุณ ณ.ที่นี้

 

 

 

 

 

3381005760_1af90bdce9.jpg

 

 

Landscape Gallery

 

 

5544612106_1a6707c824.jpg

 

 

Lotus Gallery

 

5542436598_fbc4e81d8a.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณศิลปิน

 

ขอบคุณความอ่อนโยนของจิตวิญญาณ

 

ขอบคุณ สัจธรรมที่ดำรงอยู่ในธรรมชาติ

 

ขอบคุณทุกสรรพสิ่ง

 

จิต ปลายพู่กันที่จรรโลงความงดงาม

 

 

 

K8991253-279.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขออีก 1 นาที blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ blank.gif blank.gif ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายชื่อเจี๊ยบ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยกระตือรือร้น ทำอะไรชักช้า และค่อนข้างขี้เกียจ ทุก ๆ เช้าเมื่อแม่เรียกให้ตื่นไปโรงเรียน เจี๊ยบจะงัวเงียบอกว่า "ขออีก 1 นาทีครับแม่" พอลงมาข้างล่างแทนที่จะรีบกินข้าวเช้าก็ไปเปิดโทรทัศน์นั่งดูการ์ตูน พอแม่เรียกให้มากินข้าวก็บอกว่า "เดี๋ยวแม่ ขออีก 1 นาที" จนแม่เอ่ยปากว่าจะทำโทษนั่นล่ะ เจี๊ยบถึงจะมานั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหารได้สักที

 

"คอยดูเถอะเจี๊ยบ" พ่อซึ่งมองลูกชายคนเดียวอย่างระอาพูดขึ้น "สักวันแกจะต้องเจอเรื่องที่แม้ 1 นาทีก็ให้ไม่ได้ ถ้าถึงวันนั้นแล้วแกจะรู้สึก"

 

การขอเวลา 1 นาทีทำให้เจี๊ยบไปโรงเรียนสายทุกวัน และการทำโทษให้วิ่งรอบสนามก็ไม่ได้ทำให้เจี๊ยบจดจำเลยแม้แต่น้อย เขากล้าต่อรองเวลาแม้แต่กับครู

 

"ไปเข้าห้องเรียนได้แล้วเจี๊ยบ" ครูร้องเตือนเมื่อเห็นเจี๊ยบยังเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในสนามหญ้า ทั้ง ๆ ที่ออดเรียกเข้าชั้นเรียนดังไปพักหนึ่งแล้ว

 

"ขออีก 1 นาทีครับครู" เจี๊ยบบอกโดยไม่ทุกข์ร้อน

 

วันหนึ่งเป็นวันหยุด แม่บอกเจี๊ยบตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะไปเยี่ยมยายที่บ้านสวน เจี๊ยบชอบบ้านสวนของยายจึงขอตามแม่ไปด้วย แต่พอรุ่งเช้า เจี๊ยบก็ตื่นสาย ไม่ว่าแม่จะขึ้นไปปลุกกี่ครั้ง เจี๊ยบก็พูดว่า "ขออีก 1 นาที.. ขออีก 1 นาที" ตลอด ในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจไปบ้านสวนของยายคนเดียว เพราะถ้าออกช้ากว่านั้นจะหารถโดยสารไปยาก

 

สักพักเจี๊ยบก็เดินงัวเงียลงมาจากห้องนอน เมื่อไม่เห็นแม่อยู่ในบ้านจึงถามพ่อว่า "แม่ล่ะครับพ่อ"

 

"แม่ไปบ้านยายแล้ว" พ่อบอก

 

"อ้าว ทำไมไม่รอผม" เจี๊ยบร้อง เขาอยากไปบ้านสวนของยายมาก

 

"แม่รอแกจนรอไม่ได้อีกแล้ว รู้รึเปล่าว่าแค่ 1 นาทีที่แกขอก็ทำให้แม่ตกรถได้ นี่ยังไม่รู้เลยว่าแม่จะได้นั่งรถอะไรไป ถ้าโชคดีก็ได้ไปสายรถประจำ แต่ถ้าไปไม่ทันก็ต้องขึ้นรถที่วิ่งเป็นทางผ่าน แล้วรถสายนั้นน่ะขับอันตรายจะตายชัก" พ่อบ่นเจี๊ยบด้วยความเป็นห่วงแม่

 

"แหม ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่าพ่อ" เจี๊ยบบอก

 

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ขณะที่เจี๊ยบกำลังอาบน้ำอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงพ่อร้องเอะอะอยู่ชั้นล่าง จึงรีบวิ่งลงมาดู หน้าของพ่อซีดขาวราวกับกระดาษ

 

"รถที่แม่นั่งประสบอุบัติเหตุ แม่อาการสาหัส เราต้องไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้" พ่อพูดเสียงแตกพร่า เจี๊ยบตกใจจนหน้าซีดตามพ่อไปอีกคน เขารีบขึ้นไปแต่งตัวโดยไม่มีคำว่า "ขออีก 1 นาที" เหมือนเช่นทุกครั้ง

 

ทันทีที่สองพ่อลูกไปถึงโรงพยาบาล ก็ช่วยกันตามหาแม่ในห้องฉุกเฉิน แล้วก็พบแม่นอนนิ่งอยู่ที่เตียงในสุด เลือดสีแดงไหลอาบอยู่เต็มหน้าแม่ และพยาบาลกำลังจะเข็นแม่ไป

 

"แม่ แม่" เจี๊ยบร้องเรียกแม่เสียงดังลั่น น้ำตาเอ่อล้นทะลัก บุรุษพยาบาลเข้ามากันเขาไว้ เพราะเกรงว่าจะกีดขวางทางของรถเข็น

 

"แม่ แม่ ตื่นสิแม่ ผมอยู่นี่ อยู่ตรงนี้" เจี๊ยบยังคงร้องเรียกแม่เขาต่อไป และทุบตีบุรุษพยาบาลที่จับตัวเขาไว้ "ปล่อยผม ผมจะไปหาแม่"

พยาบาลคนหนึ่งหันมาบอกพ่อของเจี๊ยบซึ่งยืนกุมมือแม่อยู่ว่า "เราต้องพาภรรยาของคุณไปผ่าตัดด่วน เธอเสียเลือดไปมากจากอุบัติเหตุครั้งนี้"

 

คำพูดนั้นทำให้เจี๊ยบรู้ทันทีว่าเขาจะไม่ได้เห็นหน้าแม่อีก

 

"เดี๋ยวครับ ขอเวลาให้ผมอยู่กับแม่สัก 1 นาที ได้โปรดให้ผมได้บอกแม่ว่า ผมรักแม่ ให้ผมได้กอดแม่อีกสักครั้ง" เจี๊ยบร้องอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา แต่ไม่มีใครฟัง พยาบาลและบุรุษพยาบาลเข็นเตียงของแม่เข้าห้องผ่าตัด และหายไปในนั้นเป็นเวลานาน ก่อนที่แพทย์จะออกมาแจ้งข่าวร้ายว่า..แม่ของเจี๊ยบเสียชีวิตไประหว่างการผ่าตัด

 

เจี๊ยบมารู้อีกในภายหลังว่า รถคันที่แม่นั่งไปประสบอุบัติเหตุนั้น ไม่ใช่รถเมล์สายประจำไปบ้านยาย แต่เป็นรถสองแถวที่ขับโดยคนขับรถที่ขาดความรับผิดชอบ คน ๆ นั้นอยากได้เงินมาก ๆ แต่ไม่สนใจความปลอดภัยของผู้โดยสาร แม่ของเจี๊ยบมาคนสุดท้ายจึงต้องนั่งเบียดอยู่นอกสุด และกระเด็นออกไปไกลเมื่อรถประสบอุบัติเหตุ

 

พ่อโกรธคนขับรถมาก บอกจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่เจี๊ยบไม่โกรธคนขับรถเลย เขาโกรธและเกลียดตัวเอง ด้วยเพิ่งเข้าใจว่าเวลา 1 นาทีที่เขาเคยขออย่างพร่ำเพรื่อนั้นมีค่ามากมายเพียงไร เพราะ 1 นาทีที่ได้มาในวันนี้ต้องแลกกับเวลาทั้งหมดในชีวิตของแม่

 

ถ้าเจี๊ยบตื่นทันทีที่แม่เรียก ถ้าเขาไม่ขอแค่ 1 นาทีเพื่อให้ได้นอนต่อ แม่ก็คงไม่ตกรถประจำทางจนต้องไปนั่งรถปิศาจคันนั้น กระทั่งถึงคราวที่เจี๊ยบต้องการเวลาจริง ๆ เขากลับไม่มีแม้เพียง 1 นาทีที่จะได้อยู่กับแม่...ไม่มีแม้เพียงวินาทีด้วยซ้ำไป...ไม่มีเลย

 

บทสรุปของผู้แต่ง

 

เงยหน้ามองเข็มวินาทีอันเล็ก ๆ ที่เดินอยู่ในนาฬิกาสิ..นั่นล่ะ คือ เวลาในชีวิตของเรา

 

ทันทีที่เธอคิดว่า "เดี๋ยว ขอเวลาอีกหน่อย" หรือ "เดี๋ยว เอาไว้ทำวันหลัง" รู้ไว้เลยว่าเธอกำลังสูญเสียสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปมากมาย คนที่ตื่นตั้งแต่เช้ามาทำงานย่อมทำงานได้มากกว่าคนนอนตื่นสายอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กที่ทำการบ้านเสร็จมาจากโรงเรียนก็ได้วิ่งเล่นในตอนเย็นกับเพื่อน ๆ อย่างเต็มที่ คนที่รู้คุณค่าของเวลามักได้เปรียบคนอื่นและเสียสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปน้อยมาก แน่นอนว่า ชีวิตของคนแบบนี้ย่อมปรีดิ์เปรมไปด้วยความสุขสมหวัง

 

เข็มวินาทีเดินเร็วกว่าจังหวะการหายใจอีก ชีวิตคนเราก็เป็นอย่างนั้น มักมีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และบางทีก็เกิดขึ้นเร็วเสียจนตั้งตัวไม่ทัน เราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลยว่า พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ถ้าวันนี้เราไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่พูดว่า "เดี๋ยว" และใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร เราก็ไม่กลัวที่จะรับมือกับมัน และไม่ต้องตั้งคำถามที่ไร้ประโยชน์ในภายหลังว่า "เมื่อวานเรามัวทำอะไรอยู่"

 

/////////////

 

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โอกาสพิเศษ วันดีๆ วันที่่อยากให้ใครสักคนหรือหลายๆคนมีความสุข

 

เพื่อคนพิเศษ คนที่เราเคารพ คนที่แสนรัก

 

คริสมาส ปีใหม่ .... ....หรือวันที่นึกอยากให้...

 

 

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...