ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

282626_436841496349759_1531869286_n.jpg

"สิ่งที่เราทำ ไม่ได้เกินไปกว่าขีดความสามารถของคนอื่น

ไม่จำเป็นต้องทำอะไรพิสดาร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง"

วอร์เรน บัฟเฟตต์

magic of art

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

 

" มีคนแอบอ้างตัวว่าเป็นพระศรีอาริย์ "

 

Risk Love - กราบนมัสการเจ้าคะ หนูมีเรื่องเคลือบแคลงใจ เกี่ยวกับยุคของพระศรีอริยเมตรไตยมากเลยคะ แต่ไม่รู้จะไปถามผู้ที่รู้จริงได้ที่ไหน จึงส่งข้อความมาถามหลวงพ่อ ตอนนี้หนูเจอหลายคนที่แอบอ้างตัวว่าเป็นพระศรีอริเมตรไตย ลงมาจุติแล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่คนธรรมดา และไม่ได้ถือครองสมณะสงฆ์ และกล่าวว่าตนสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์อะไรได้มากมาย บรรลุซึ่งนิพพานได้ด้วยตนเอง ซึ่งตรงนี้ มันทำให้หนูคิดว่า พวกเขาเหล่านั้น ทำเพื่อสิ่งใด...และถ้าถึงยุคของพระศรีอาริย์จริง ท่านจะมาจุติเป็นใครคะ ...รบกวนหลวงพ่อไขข้อกระจ่างให้ลูกด้วยนะคะ

 

พระไพศาล วิสาโล - ใครที่อ้างว่าตนเองเป็นพระศรีอาริย์อยู่ตอนนี้ หากไม่เป็นคนเสียสติก็เป็นคนหลอกลวง เพราะพระศรีอาริย์นั้นเป็นพระนามของพระพุทธเจ้าซึ่งจะอุบัติในภาคภาคหน้าหลังจากสิ้นศาสนาพระโคดม (ตอนนี้เรายังอยู่ในยุคศาสนาพระโคดม) และตราบใดที่ศาสนาพระโคดมยังมีอยู่ จะมีพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งอุบัติขึ้นไม่ได้

 

 

 

422468_502215719805750_1918518100_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

 

‎" ให้บริษัทสุราเช่าตึกจะบาปไหม "

 

Cgg Crazygoatgod - กราบเรียนพระอาจารย์ครับ - คือ พ่อแม่ของกระผมตอนนี้เกษียณแล้วไม่ได้ทำงาน ท่านมีตึกแถวอยู่และต้องการขาย เนื่องจากต้องการเงินสดมาใช้จ่ายในบ้าน รวมถึงค่ารักษาพยาบาล

 

ประกาศขายมาได้เกือบปีแล้วก็ยังขายไม่ได้ครับ ตอนนี้มีบริษัทฯ ขายสุราดังเจ้าหนึ่งจะมาขอเช่าน่าจะเพื่อเอาไว้เป็นโกดังเก็บสินค้า แต่กระผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นการทำบาปหรือเป็นอกุศลกรรมหรือไม่ เนี่องจากกระผมเข้าใจว่าการขายสุราเป็นมิจฉาชีพอย่างหนึ่ง แม้ว่าพ่อแม่ของกระผมจะมีเจตนาเพียงต้องการให้เช่าเพื่อเป็นรายได้ใช้จ่ายเท่านั้น

 

 

 

จึงกราบเรียนถามพระอาจารย์ครับ ว่าเราถือว่ามีส่วนร่วมในมิจฉาชีพดังกล่าวหรือไม่ หรือเป็นการทำบาปหรือไม่ครับ กราบขอบพระคุณพระอาจารย์มากครับ

 

พระไพศาล วิสาโล - การมีรายได้จากการให้บริษัทสุราเช่าที่เพื่อประโยชน์ทางการค้า ก็ไม่ต่างจากการมีรายได้จากการขายเหล้าเท่าใดนัก เพราะเป็นการสนับสนุนให้มีการกินเหล้าเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการผิดศีล ทางที่ดีคุณควรเอาที่ไปใช้ประโยชน์ในทางอื่น หรือมีรายได้จากกิจการที่ไม่ผิดศีล

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

 

‎" ให้บริษัทสุราเช่าตึกจะบาปไหม "

 

Cgg Crazygoatgod - กราบเรียนพระอาจารย์ครับ - คือ พ่อแม่ของกระผมตอนนี้เกษียณแล้วไม่ได้ทำงาน ท่านมีตึกแถวอยู่และต้องการขาย เนื่องจากต้องการเงินสดมาใช้จ่ายในบ้าน รวมถึงค่ารักษาพยาบาล

 

ประกาศขายมาได้เกือบปีแล้วก็ยังขายไม่ได้ครับ ตอนนี้มีบริษัทฯ ขายสุราดังเจ้าหนึ่งจะมาขอเช่าน่าจะเพื่อเอาไว้เป็นโกดังเก็บสินค้า แต่กระผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นการทำบาปหรือเป็นอกุศลกรรมหรือไม่ เนี่องจากกระผมเข้าใจว่าการขายสุราเป็นมิจฉาชีพอย่างหนึ่ง แม้ว่าพ่อแม่ของกระผมจะมีเจตนาเพียงต้องการให้เช่าเพื่อเป็นรายได้ใช้จ่ายเท่านั้น

 

 

 

จึงกราบเรียนถามพระอาจารย์ครับ ว่าเราถือว่ามีส่วนร่วมในมิจฉาชีพดังกล่าวหรือไม่ หรือเป็นการทำบาปหรือไม่ครับ กราบขอบพระคุณพระอาจารย์มากครับ

 

พระไพศาล วิสาโล - การมีรายได้จากการให้บริษัทสุราเช่าที่เพื่อประโยชน์ทางการค้า ก็ไม่ต่างจากการมีรายได้จากการขายเหล้าเท่าใดนัก เพราะเป็นการสนับสนุนให้มีการกินเหล้าเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการผิดศีล ทางที่ดีคุณควรเอาที่ไปใช้ประโยชน์ในทางอื่น หรือมีรายได้จากกิจการที่ไม่ผิดศีล

 

 

 

อ่านจากเรื่องนี้แล้ว พนักงานต่าง ๆในบริษัทสุราก็เหมือนผู้ค้าสุราไหมเนี่ย สงสัยจัง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อ่านจากเรื่องนี้แล้ว พนักงานต่าง ๆในบริษัทสุราก็เหมือนผู้ค้าสุราไหมเนี่ย สงสัยจัง

 

ดี juy ถ้าเปรียบกับพวกผลิตยาเสพติด ส่งยาบ้าคงชัดขึ้น

ดูเเลตัวเองดีๆล่ะ

 

558343_445482768818965_1808658434_n.jpg

josaphine wall

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

๒๒/๘/๒๕๕๕

387025_463851273633659_963088166_n.jpg

 

“...สังคมเป็นที่พึ่งที่อาศัยของบุคคล ถ้าสังคมมีอันเป็นต้องเสื่อมสลายล่มจมลง บุคคลในสังคมจะไม่สามารถรักษาผลประโยชน์ส่วนตนไว้ได้...”

ทรงพระเจริญ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขาดทุนของฉัน คือ กำไรของแผ่นดิน

 

http://youtu.be/5k_54Lss55I

 

 

“พระราชินี ด้วยพลังแห่งรัก” เป็นสารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา

หลังจากสุภัทรติญา ขุนไพชิต ราษฎรบ้านครองชีพ อ.บางแก้ว จ.พัทลุง ลาออกจากงานประจำที่กรุงเทพฯ ฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ พัทลุง เปิดประตูต้อนรับให้เธอเข้าทำงานเป็นโอกาสที่เธอได้เรียนรู้การทำเกษตรกรรมแบบต่างๆ และความรู้เหล่านี้ช่วยให้เธอมีอาชีพ รายได้เสริม นอกเหนือจากการทำสวนยางพาราที่เป็นอาชีพหลักของครอบครัว

 

จากนั้นไปที่ อ.แสวงหา จ. อ่างทอง ถวัลย์ พุ่มมาลา นักเรียนของโรงศิลปาชีพในพื้นที่ฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ รายได้ของเธอมาจากเบี้ยเลี้ยงในโรงฝึกศิลปาชีพ และการเพาะพันธุ์ลุกหมูขาย ที่มีเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ของฟาร์มมาแนะนำให้

นอกจากทั้ง 2 คนนั้นแล้ว ยังมีราษฎรที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้าทำงานในฟาร์มตัวอย่างในพื้นที่ต่างๆ ที่มีอยู่มากเกือบ 70 แห่ง ตามแนวพระราชดำริให้เป็นแหล่งจ้างงาน ช่วยให้ราษฎรในพื้นที่มีรายได้เลี้ยงครอบครัว และเป็นแหล่งเรียนรู้ทางการเกษตรจากการลงมือปฏิบัติจริง ตามแนวพระราชดำริ ขาดทุนของฉันคือกำไรของแผ่นดิน

 

ตามความตอนหนึ่งที่มีพระราชกระแสไว้ว่า “อย่ามาพูดเรื่องกำไรขาดทุนกับฉัน ฉันต้องการให้ชาวบ้านที่ยากจนเดือดร้อนมีงานทำ เมื่อเขามีงานทำ มีรายได้ เขาสามารถเอารายได้ไปเลี้ยงครอบครัว เขาไม่เป็นโจร ไม่เป็นขโมย ไม่ติดยาเสพติด นั่นคือกำไรของแผ่นดิน“

 

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีพระราชดำริให้ฟาร์มตัวอย่าง ดำเนินการในลักษณะเดียวกับธนาคารอาหารชุมชน เช่นเดียวที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วที่บ้านนาป่าแปก อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน มาก่อน และนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับหลักการของธนาคารอาหารชุมชน

 

จากนั้นติดตามความเป็นอยู่ของราษฎรในหมู่บ้านยามชายแดนที่ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ที่มีราษฎรชาวไทยภูเขาอาสาสมัครมาอาศัยอยู่ตามแนวชายแดน เพื่อปกป้องอธิปไตย เป็นหูเป็นตามตามแนวชายแดน ด้วยการสร้างความมั่นคงในการใช้ชีวิต ด้วยการสร้างความมั่นคงทางอาหาร เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต.

 

T0001_0008_011.jpg

…………………………………………………

โปรดติดตามสารคดีเฉลิมพระเกียรติตอนอื่นๆ ได้ ในกรอบ “มัลติมีเดีย-วิดีโอสถาบัน” ของเว็ปไซต์นี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สูซันอู๋จื่อ นักโทษถูกตัดขา ไปพบขงจื่อ blank.gif

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 

 

22 สิงหาคม 2555 08:52 น. blank.gif

 

555000010605701.JPEG blank.gif

ณ แคว้นหลู่ มีชายผู้หนึ่งนามสูซันอู๋จื่อ ผู้ถูกตัดเท้าออกไป เขากะโผลกกะเผลกไปพบขงจื่อ

 

“เจ้าช่างไร้ความระมัดระวัง!” ขงจื่อกล่าวตำหนิ “เจ้าได้ฝ่าฝืนกฎหมายและนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเองเช่นนี้ เจ้ายังคาดหวังสิ่งใดจากข้าอีกในตอนนี้”

 

อู๋จื่อกล่าวว่า “ข้าเพียงแต่ไม่เข้าใจในหน้าที่และประมาทเกินไปต่อร่างกายของตนเอง ดังนั้นจึงสูญเสียเท้าข้างหนึ่ง แต่บัดนี้ข้ามาที่นี่ด้วยมีสิ่งซึ่งมีค่ายิ่งกว่าเท้าของข้า และได้พยายามที่จะรักษามันไว้ มิมีสิ่งใดที่ฟ้าไม่อาจคุ้มครอง มิมีสิ่งใดที่แผ่นดินไม่อาจโอบอุ้ม ข้าคิดว่าท่านเป็นดั่งฟ้าและดิน ไม่คาดคิดเลยว่าท่านจะปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้”

 

“ข้าช่างโง่เขลานัก” ขงจื่อกล่าว “เชิญท่านเข้ามาเถิด ข้าจะอธิบายแก่ท่านถึงสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้”

 

แต่อู๋จื่อกลับเดินจากไป

 

ขงจื่อกล่าวว่า “จงหมั่นเพียรเถิด ศิษย์ทั้งหลาย อู๋จื่อผู้ซึ่งถูกตัดเท้า ยังมุมานะเรียนรู้ ดังนั้นจึงสามารถชดเชยความผิดพลาดในอดีต เช่นนี้แล้ว อย่าว่าแต่ผู้คนที่คุณธรรมเต็มเปี่ยมเลย”

 

อู๋จื่อเล่าเรื่องราวแก่เหล่าตัน “ขงจื่อยังไม่บรรลุถึงความเป็นมนุษย์ที่แท้ ใช่หรือไม่? หมายความว่ากระไรที่เขาเดินทางร่อนเร่ไปทั่วทุกแห่งหนและพินอบพิเทาจะขอเรียนวิชาจากท่าน? เขาไล่ตามไขว่คว้ามายาภาพแห่งชื่อเสียงและเกียรติยศ โดยไม่ล่วงรู้เลยว่ามนุษย์ที่แท้นั้น มองสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงพันธนาการและโซ่ตรวน”

 

เหล่าตันกล่าวว่า “เหตุใดท่านจึงไม่สอนเขาเล่าว่าชีวิตและความตายนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน ทั้งสิ่งที่อาจยอมรับได้และสิ่งที่ไม่อาจยอมรับนั้นล้วนอยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน ไม่ดีกว่าหรือที่จะปลดปล่อยเขาออกจากพันธนาการและโซ่ตรวน?”

 

อู๋จื่อกล่าวว่า “เมื่อฟ้าได้ลงทัณฑ์เขาแล้ว ท่านจะปลดปล่อยเขาได้อย่างไร?”

 

แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子) บทที่ห้าคุณธรรมที่แท้ 德充符

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ

 

วันที่ 22 สิงหาคม 2555 06:22

 

บีโอเจเตือนจีนเข้าสู่'แดนอันตราย'วิกฤติการเงิน

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

 

 

 

news_img_466999_1.jpg

 

รองผู้ว่าฯบีโอเจเตือนจีนกำลังเข้าสู่"แดนอันตราย"ของวิกฤติการเงิน

 

นายคิโยฮิโกะ นิชิมูระ รองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) กล่าวว่า ภาวะฟองสบู่ในราคาอสังหาริมทรัพย์, การเปลี่ยนแปลงด้านประชากรศาสตร์ และการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อ ได้เพิ่มโอกาสที่ประเทศหนึ่ง จะเผชิญกับวิกฤติการเงิน ซึ่งเป็นการเตือนว่า จีนกำลังจะเข้าสู่ "แดนอันตราย" เมื่อพิจารณาจากปัจจัยดังกล่าว

 

นายนิชิมูระ ตั้งข้อสังเกตว่า มีความเหมือนกัน ระหว่างภาวะฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ของญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1990 และภาวะฟองสบู่ในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐในช่วงทศวรรษ 2000 โดยทั้ง 2 กรณี ซึ่งเป็นช่วงที่สัดส่วนของประชาชนในวัยทำงานต่อประชากรทั้งหมด แตะระดับสูงสุดในช่วงเวลาที่อสังหาริมทรัพย์มีราคาแพง และสินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้สภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันดังกล่าวนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ที่ "เลวร้าย" ซึ่งเป็นต้นตอของวิกฤติการเงิน

 

"จีนยังไม่ได้แตะระดับสูงสุดในแง่ของสัดส่วนประชาชนในวัยทำงาน แต่ก็ใกล้เคียงแล้ว ขณะที่การปล่อยสินเชื่อกำลังเพิ่มขึ้น และราคาอสังหาริมทรัพย์ก็พุ่งขึ้นอย่างชัดเจนตลอดปี 2553" รองผู้ว่าบีโอเจ กล่าวและว่า "เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่ยุคภาวะฟองสบู่แตกทุกครั้งที่นำไปสู่วิกฤติการเงิน แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรศาสตร์, ภาวะฟองสบู่ราคาอสังหาริมทรัพย์ และการพุ่งขึ้นมากของสินเชื่อเกิดขึ้นพร้อมกัน ก็มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะเกิดวิกฤติการเงิน และจีนก็กำลังเข้าสู่ 'แดนอันตราย'นี้"

 

นายนิชิมูระ กล่าวด้วยว่า บางครั้ง ผู้กำหนดนโยบาย ก็เป็นผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ของภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ด้วยการทำให้ประชาชนเกิดการคาดหวังมากเกินไปเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฝ่ายวิจัย บริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด

 

ผมเชื่อว่าทุกท่านเคยได้ยินกันแล้วว่าอัตรา

เงินเฟ้อเป็นปัจจัยหนึ่งสำคัญที่อาจสามารถผลักดันราคาทองคำหรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆให้บวกเพิ่มขึ้นไปเนื่องจากนักลงทุนเห็นว่าทองคำเป็นเงินตราอย่างหนึ่งที่นำมาใช้แลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของเพื่อใช้สอยนั่นเอง แต่ในปัจจุบันเราอาจเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคในระดับต่ำก็ส่งผลบวกต่อราคาทองคำเช่นเดียวกัน อันนี้เป็นเพราะอะไร ก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักกับดัชนีราคาผู้บริโภคก่อนครับ

 

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.2542 ที่ใช้ในปัจจุบัน ได้ให้ความหมายของคำว่า "

เงินเฟ้อ" ไว้ว่าเป็น "ภาวะทางเศรษฐกิจที่ปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศมากเกินไปทําให้ราคาสินค้าแพงและเงินเสื่อมค่า" ซึ่งทำให้เราทราบว่าเงินเฟ้อแบ่งเป็นสามส่วนหลักคือ 1. ปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศมากเกินไป 2. ราคาสินค้าแพง และ 3. เงินเสื่อมค่า

 

จากทั้งสามองค์ประกอบของ

เงินเฟ้อ เราจะเห็นได้ว่าสิ่งที่สามารถวัดตรวจสอบได้ง่ายและรวดเร็วทันสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรมที่สุดก็คือการวัดเงินเฟ้อจากราคาสินค้านั่นเอง ในขณะที่องค์ประกอบอีกสองส่วนไม่สามารถสร้างตัวชี้วัดมาตรวจสอบได้เนื่องจากเป็นการวัดทางนามธรรม กล่าวคือเราไม่สามารถกำหนดได้อย่างชัดเจนว่าเท่าใดจึงจะเรียกว่าปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศมากเกินไป และเราก็ไม่สามารถวัดการเสื่อมค่าของเงินได้นอกจากวัดจากราคาสินค้าซึ่งแสดงให้เห็นว่าเงินปริมาณเท่าเดิมสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้น้อยลงนั่นเอง

 

ดังนั้น รัฐบาลจึงมีการสำรวจราคาสินค้าที่มีการซื้อขายอย่างแพร่หลายเพื่อสร้างเป็นดัชนีราคาที่นำมาใช้ในการวัดอัตรา

เงินเฟ้อ หรืออัตราการขึ้นราคาของสิ่งของเครื่องใช้นั่นเอง นอกจากนี้ธนาคารกลางยังมีการกำหนดอัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสมเช่นอัตราเงินเฟ้อ 2% ต่อปีเป็นต้น เพื่อให้ธนาคารกลางสามารถกำหนดนโยบายการเงินต่างๆที่ใช้ในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากธนาคารกลางทำงานเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชนหรือผู้บริโภคโดยทั่วไป ดังนั้นดัชนีราคาที่นิยมใช้เป็นตัวแทนเงินเฟ้อก็ได้แก่ดัชนีราคาผู้บริโภคหรือ CPI นั่นเอง

 

นอกจากดัชนีราคาผู้บริโภคแล้ว ยังมีการสร้างดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) มาเพื่อช่วยในการพยากรณ์ดัชนีราคาผู้บริโภคอีกด้วย โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าหากผู้ผลิตมีต้นทุนที่สูงขึ้น ภาระต้นทุนดังกล่าวก็จะถูกผลักไสมายังผู้บริโภคในที่สุดด้วยการขึ้นราคาสินค้า

 

เอาละครับ คราวนี้เรา กลับไปที่สามส่วนหลักหัวใจของ

เงินเฟ้อคือ 1. ปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศมากเกินไป 2. ราคาสินค้าแพง และ 3. เงินเสื่อมค่า ซึ่งพิจารณาจากรายละเอียดได้เป็นสิ่งที่เราวัดได้คือ "2.ราคาสินค้าแพง"(วัดจากCPI และ PPI) ปัจจัยที่ทำให้ทองบวกและทำให้เศรษฐกิจแย่คือ "3.เงินเสื่อมค่า" ขณะที่ต้นเหตุหลักที่เกิดขึ้นคือ "1.ปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศมากเกินไป"

 

ในช่วงปีนี้ สิ่งหนึ่งที่ทุกคนหวังคือ"การอัดฉีดเงิน"เข้าสู่ระบบของธนาคารกลางต่างๆ ซึ่งพูดกันตรงๆก็คือการเพิ่ม"ปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศ(ระบบ)"นั่นเอง ดังนั้นตราบใดที่อัตรา

เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง เฟดย่อมรู้ดีว่าปริมาณเงินหมุนเวียนมีมากไปแล้ว มาตรการอัดฉีดหรือการเพิ่มเงินหมุนเวียนจึงไม่มีความจำเป็นและไม่ควรกระทำ ซึ่งเมื่อไม่มีการกระตุ้นเงินเฟ้อ ค่าของเงินก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญนัก

 

ในทางกลับกัน เมื่อเฟดเห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไม่สดใสดังเช่นปัจจุบัน ขณะเดียวกันอัตรา

เงินเฟ้อก็อยู่ในระดับต่ำ จนสามารถอนุมานได้ว่าปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบมีน้อย (ซึ่งเห็นได้จากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายโดยประมาณที่ระดับ 2%ต่อปีอย่างมีนัยสำคัญ) เฟดหรือธนาคารกลางก็สามารถและมีแนวโน้มที่จะอัดฉีดเงินเพิ่มเติมเข้าสู่ระบบมากขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณเงินเฟ้อ ซึ่งการอัดฉีดเม็ดเงินดังกล่าวชัดเจนว่าจะนำมาสู่การด้อยค่าของเงินซึ่งสะท้อนได้อย่างชัดเจนในราคาทองคำนั่นเอง ไม่ว่าจีนหรือสหรัฐฯจะเป็นผู้อัดฉีดเงินก็ตาม

 

กล่าวโดยสรุปแล้ว

เงินเฟ้อกับทองคำที่เรารู้จักกันว่าทองคำบวกตามเงินเฟ้อนั้น จริงๆแล้วเป็น "ความคาดหวังหรือความกลัวเงินเฟ้อ" ส่งผลบวกต่อราคาทองคำ นั่นเอง

 

biznews

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Life Style : Read & Write

 

วันที่ 19 สิงหาคม 2555 06:00

 

'ในรูปเงา' ของ 'เงาจันทร์'

 

โดย : ปริญญา ชาวสมุน

 

 

 

 

news_img_466614_1.jpg

 

ใครจะเชื่อว่าครูบ้านนอกคนหนึ่งจะกลายเป็นนักเขียนมือรางวัลที่หลายคนจับตามอง ที่สำคัญเธอคือนักเขียนหญิงเพียงหนึ่งเดียวของ 7 เล่มซีไรต์ปีนี้

 

 

บรรณพิภพมีโอกาสต้อนรับนักเขียนสตรีมากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทว่าน่าตกใจที่จำนวนนักเขียนสตรีกลับค่อยๆ ลดน้อยลงทุกเมื่อเชื่อวัน ที่บอกนี้ไม่นับนักเขียนที่ 'เขียนเพื่อขาย' ซึ่งมีดาษดื่น แต่จับต้องยาก

เงาจันทร์ นามปากกาของอำไพ สังข์สุข คือหนึ่งในนักเขียนสตรีเพศที่มีผลงานคุณภาพ การันตีจากรางวัลหลายเวที นับตั้งแต่เธอจรดปลายปากกาลงบรรจงเขียน ชื่อ 'เงาจันทร์' ก็ขึ้นแท่นนักเขียนมือรางวัลทันที แม้กระทั่งวันนี้ในรูปเงา นวนิยายขนาดสั้นของเธอก็ติดโผนวนิยาย 7 เล่มสุดท้ายรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์แห่งอาเซียน (S.E.A.Write) ปีนี้ด้วย

 

ฉันเป็นลูกชาวนา

ก่อนที่อำไพจะกลายเป็นเงาจันทร์ เธอเกิดและเติบโตในครอบครัวชาวนาที่จังหวัดเพชรบุรี ไอดินกลิ่นหญ้าอวลอยู่รอบตัวตั้งแต่เกิด กลิ่นแห่งท้องทุ่งจึงคลุ้งอยู่ในงานเขียนของเธอในเวลาต่อมาด้วย

แม้ภาพของเพชรบุรีจะอยู่กับเธอจนชินตา ทว่า เงาจันทร์ไม่ละทิ้งถิ่นเกิดไปอยู่ที่อื่นใด ปัจจุบันเธอยังใช้ชีวิตเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนมัธยมเล็กๆ ริมแม่น้ำเพชรบุรีมากว่า 20 ปี แล้ว ชีวิตครูดำเนินท่ามกลางนักเรียน ตำราเรียน ในโรงเรียน เธอเล่าว่ามีชีวิตอยู่ในโลกแคบๆ ไปสอนหนังสือ-กลับบ้าน เป็นกิจวัตร เดิมทีเงาจันทร์เบื่อแสนเบื่อที่ต้องจมปลักกับชีวิตครูบ้านนอก เพราะโรงเรียนที่เธอสอนหนังสืออยู่นี้เป็นโรงเรียนมัธยมประจำตำบล เด็กนักเรียนส่วนมากเรียนไม่เก่ง แต่น่ารัก อัธยาศัยดี เงาจันทร์รับหน้าที่สอนชั้น ม.3-ม.5 และวิชาเลือกอีก 2 วิชา ถือเป็นงานหนักสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ ทั้งยังร่างกายไม่แข็งแรงอีกด้วย

แต่เมื่อเงาจันทร์สะสมชั่วโมงบินได้พอตัว เธอเข้าใจ และมีความสุขต่อการสอนหนังสือมากขึ้น

"อาจจะเป็นเพราะอายุเยอะแล้ว เริ่มสนุก จะเริ่มเรียนรู้จากเด็ก สอนจากเด็ก มีความสุขกับการสอนมากขึ้น"

เมื่อหัวใจเหลือพื้นที่ว่าง เธอแบ่งสันปันส่วนทั้งเวลาและหัวใจให้การเขียนหนังสือ แต่ด้วยขอบข่ายเวลาอันจำกัด ช่วงเวลาเขียนหนังสือจึงถูกยกมาเป็นกิจวัตรแรกของวัน

"เวลาที่เขียนหนังสือ คือ ตื่นนอนตีสี่ถึงตีสี่ครึ่ง ไม่ช้าจากนี้ ทำงานไปจนถึงหกโมงเช้า แล้วก็แต่งตัวมาโรงเรียน โลกมีแค่นี้ โรงเรียนและบ้าน พอวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ใช้เวลาช่วงบ่ายโมงถ้าขยันก็นั่งเขียนเลย บางวันเอ้อระเหยหน่อยก็เป็นบ่ายสอง บ่ายสองครึ่ง ช้าสุดบ่ายสามก็มี เขียนไปจนถึงหกโมงครึ่ง"

นักเขียนหลายคนกล่าวไว้ว่าการเดินทาง หาประสบการณ์ การใช้ชีวิต ช่วยให้คิดพล็อตเรื่องได้มาก แล้วสำหรับเงาจันทร์ที่โลกของเธอมีเพียงโรงเรียนและบ้าน...จะทำเช่นไร

เงาจันทร์บอกว่าอันที่จริงเธอมิได้ขลุกตัวอยู่แต่บ้านหรือแค่เดินไปสอนหนังสือที่โรงเรียนใกล้ๆ เท่านั้น เพราะเมื่อโรงเรียนปิดภาคเรียน ภารกิจของคุณครูก็หยุดพักลงชั่วคราว เธอชอบเดินทางท่องเที่ยว ลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย, พม่า, ฯลฯ เธอตะลุยมาหมดแล้ว สำหรับกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร ก็เป็นหมุดหมายหนึ่งซึ่งเธอเข้ามาค้นหาประสบการณ์ โดยเฉพาะ 'ดูหนัง'

"ช่วงวันหยุดบางทีก็เข้ากรุงเทพฯ ไปดูหนังบ้าง หนังส่วนมากเป็นดีวีดี หามาดูตั้งแต่หนังเก่าๆ ที่เราไม่ได้ดูสมัยเป็นเด็กเพราะที่บ้านยากจน หนังเป็นศิลปะที่ครบถ้วนกระบวนความ ให้ภาพ ให้เสียง ให้ความรู้สึก มันครบค่ะ"

นอกจากภาพยนตร์แล้ว บทเพลงเพราะๆ และหนังสือดีๆ คือประสบการณ์ที่เธอเลือกมาจรรโลงสติปัญญาและจิตใจ

อย่างที่บอกไปแล้วว่ากลิ่นท้องทุ่งเพชรบุรีคละคลุ้งอยู่ในงานเขียนของเงาจันทร์ทุกชิ้น ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่ายังหนีไม่พ้นเพชรบุรีจริงๆ เหตุผลแรกคือเพชรบุรีเป็นเมืองศิลปะ มีทรัพยากรมากมาย และอีกเหตุผล เธอยังมีวัตถุดิบภายใน (ใจ) เหลือคณานับ

"เพชรบุรีเป็นจังหวัดที่ร่ำรวยด้วยศิลปะ มันมีอะไรให้เขียนถึงเยอะมาก มีแม่น้ำ มีชายทะเล มีทุ่งนา มีภูเขา มีน้ำตก ถ้าไปป่าละอูมาก็ต้องได้เรื่องสั้นหนึ่งเรื่อง และชอบเขียนอะไรที่ฝังใจมาตั้งแต่เด็กๆ นี่ยังไม่ได้ใช้วัตถุดิบจากการเป็นครูมาเขียนหนังสือด้วยซ้ำ อาจารย์ชมัยภร แสงกระจ่างบอกว่าเธอเขียนหนังสือไม่เหมือนครูเลย เคยมาเล่าให้แม่ฟังว่าอาจารย์ชมัยภรพูดแบบนี้ แม่ก็ถามว่าแล้วนี่มันคำชมหรือเปล่าล่ะลูก (หัวเราะ)"

 

เงาจันทร์... ผู้ป่วยทางโลก

อย่างที่บอกไปแล้วว่าเงาจันทร์เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ทั้งยังสุขภาพไม่แข็งแรง ตั้งแต่เด็กเธอเจ็บออดแอดแต่พยายามปิดบังไม่ให้พ่อแม่รู้ เพราะไม่ต้องการให้พ่อแม่ห่วงกังวล ยิ่งเธอเกิดและเติบโตในครอบครัวชาวนาด้วยแล้วเธอย่อมปรารถนามีร่างกายแข็งแรงเฉกเช่นพ่อแม่พี่น้อง เธอสั่งสมความรู้สึกเหล่านี้ไว้กระทั่งโต แล้ววันหนึ่งมันก็ย้อนกลับมาทำร้ายเธอ โดยเฉพาะจิตใจ มีหลายคนทักว่าทำไมจึงพูดน้อยลง ทำไมไม่พูดจา เธอปรึกษาจิตแพทย์ จึงรู้ว่ากลายเป็นผู้ป่วยโรคจิตแล้ว

และที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก คือ สาเหตุของอาการทางจิตที่เธอประสบ ส่วนหนึ่งเกิดจากการอ่านหนังสือ หากอ่านอย่างสามัญชนคงไม่มีผลเสียอันใด ทว่า เธอจับตัวเองไปอยู่ในเรื่องราวที่อ่าน ตามภาษาที่มักจะพูดกันว่า 'อิน'

"วันหนึ่งอ่านงานของเฮมมิงเวย์ แล้วเจอตารางการฆ่าตัวตายของคนในครอบครัวของเฮมมิงเวย์ประมาณ 11 คน ไปหาหมอเลย เพราะกลัวว่าชะตากรรมนั้นจะเกิดกับตัวเองอยู่ๆ ความกลัวนี้มันก็มา อาจเพราะตอนเด็กๆ อ่านงานของ คาวาบาตะเยอะ อ่านของเฮมมิงเวย์เยอะ อ่านของเรียวโนะซึเกะเยอะ แล้วตอนเด็กๆ ชอบคิดว่าการตายเป็นวีรกรรม"

เธอรักษาตัวอย่างดีเสมอมา และพยายามหลีกเลี่ยงไม่พบปะผู้คน เพราะนั่นคืออาจทำให้อาการกำเริบหรือแย่ลง หากจำเป็นต้องเข้าสังคมเธอจะไปพบแพทย์เพื่อปรับเพิ่ม-ลดยาให้เหมาะสม นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ระยะหลังอาการดีขึ้นมาก ทว่าช่วงแรกเริ่มรักษา เงาจันทร์ถูกสั่งห้ามสิ่งที่เธอรักมากที่สุด นั่นคือ อ่านหนังสือและเขียนหนังสือ

"บางช่วงหมอสั่งห้ามเขียนห้ามอ่าน ให้หยุด เพราะมีผล ไม่กลับไปอ่านเรื่อง Beautiful Mild เลย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนรู้สึกว่าเล่มแปลเป็นเล่มที่โอ่อ่ามากเลย สำนวนที่เขาแปลออกมา ประโยคมันยาวๆ ประโยคมันสวยๆ เนื้อหาสลับซับซ้อนไปมา แต่ตั้งแต่ป่วยก็ไม่กลับไปอ่านอีกเลย

ถ้าเราอินกับมันมากไป บางทีการมองโลกด้านเดียว แล้วไม่ศึกษาให้ถี่ถ้วน การอ่านโดยไม่ใช้สติปัญญา อย่างตอนอยู่ ม.ปลาย อ่านงานของเอสเซ่ พูดถึงระบบการศึกษาว่าในที่สุดคนที่สอบได้ที่หนึ่ง เรียนเก่ง แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ต้องตาย เราอายุ 17-18 อ่านเรื่องนี้ ทำให้ไม่เข้าห้องเรียนเท่าไร เข้าเรียนเฉพาะวิชาที่ชอบ ถ้าเด็กอ่านโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล บางทีก็เป็นปัญหาเหมือนกัน สติปัญญาของเด็กอย่างไรก็ต้องเรียนรู้จากผิดไปเป็นถูก"

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เธอเป็นก็ตกค้างอยู่เบื้องลึก และถูกถ่ายทอดออกเป็นผลงานเขียนด้วยเช่นกัน

วันนี้เราเห็น 'ในรูปเงา' นวนิยายของเงาจันทร์ผงาดคว้าชัยในหลายเวที ทั้งยังรอผลตัดสินรางวัลซีไรต์อีกหนึ่งรางวัล แต่กว่าจะฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้ เงาจันทร์ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง..."คนที่เขียนเหมือนเป็นโรคจิต!"

เงาจันทร์เปิดเผยว่า แปลกใจที่กรรมการรู้ได้อย่างไรว่าเธอป่วย แต่เบื้องลึกเธอก็ต้องการสะท้อนอยู่แล้วว่ามนุษย์ทุกคนเป็นโรคจิต แต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น

"เรื่องมีที่มาที่ไปแต่คงไม่ถูกใจกรรมการ โดนวิจารณ์เยอะมาก อาจารย์ชมัยภรกังวลด้วยซ้ำว่าจะไม่เขียนหนังสืออีกแล้ว มันก็ทำให้ขาดความมั่นใจเหมือนกัน แต่ก็ตั้งหลักใหม่ ฝันอยู่เสมอว่าจะเป็นนักเขียน และมันไม่มีเวลาเยอะแล้ว เพราะเริ่มต้นตอนปี 2545 ซึ่งอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว จะมาหยุดเขียนไม่ได้"

***

กว่าจะเป็น 'ในรูปเงา'?

"มีเวลาเหลือ 2 อาทิตย์ แล้วก็ชอบพล็อตเรื่องที่อยู่ในหัวด้วยแหละ ช่วงนั้นค่อนข้างฟุ้งซ่านเพราะเจอเนื้องอกต้องรอผ่าตัด ช่วงที่รอผ่าตัดใจคนมันระส่ำระสายพอสมควรนะคะ ก็เลยมาเขียนเรื่องในรูปเงานี้เลย พยายามไม่อะไรนอกจากทำงานให้ดีที่สุด เอาชีวิตแขวนไว้กับนิยาย ไม่คิดเรื่องอื่น เขียนทั้งวันทั้งคืน จนพี่สาวถามว่านี่จะไม่กินไม่นอนเลยเหรอ

ทีแรกตัวละครที่ชื่อพลิ้วชื่อลิ่ว เพราะเขามักจะถูกผลักดันโดยชะตากรรมที่เขาเองไม่รู้เรื่อง เช่น สาเหตุการตายของแม่ เขาใช่ลูกของพร้อมไหม เขาต้องหวาดหวั่นตลอดเวลา ลอยละลิ่วไปเรื่อย พอมาเจอความรัก ความรักก็ทำให้เขาไม่เข้าใจ หรือวัวตัวหนึ่งที่พ่อมาเอาให้เลี้ยงแล้วเขาก็ควบคุมมันไม่ได้ ทั้งที่พ่อดูยิ่งใหญ่ในสายตาเขา แค่คำรามในลำคอวัวก็เชื่อฟังแล้ว อ่านดูอีกครั้งหนึ่งก่อนส่ง คิดว่าทำไมไม่ชื่อพลิ้ว ก็เริ่มต้นแก้เฉพาะชื่อ แต่ก็ยังพบว่ามีชื่อผิดอยู่ดี

ตอนที่ บก.ตุ๊ (ชีวี ชีวา) โทรมาบอกว่ากรรมการบอกเป็นเอกฉันท์ว่าให้ชนะนายอินทร์อะวอร์ด ทั้งที่ตัวละครสับสนไปมาระหว่างลิ่วกับพลิ้ว ก็แบ่งต้นฉบับอีกครั้งหนึ่งและแบ่งเป็นตอนๆ พี่ตุ๊บอกว่าทีนี้ค่อยเห็นหน้าเห็นหลังหน่อย ตอนได้นายอินทร์ก็ดีใจแล้วนะ เพราะอาจารย์ชมัยภรมักจะบอกว่าเขียนหนังสือมักจะใส่อะไรมากเกินไปเสมอ เป็นคนชอบรู้สึก เจอดอกไม้ก็รำพันอยู่อย่างนั้นล่ะ พอเวลาจำกัดนิยายก็ค่อนข้างสั้น เลยค่อนข้างกระชับ ค่อนข้างชัดเจน ความขัดแย้งมาก ทิ้งคำถามให้คนตีความเยอะแยะ เวลาใครวิจารณ์ก็ขำ เพราะบางทีเราไม่ได้ตั้งใจจะขนาดนั้น

มีคนถามว่าตกลงพลิ้วใช่ลูกของพร้อมไหม ก็ไม่ได้ตอบนะ เพราะในความรู้สึกของตัวเองประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันอยู่แหละแต่ไม่มาก ประเด็นอยู่ที่คนที่รักเราอย่างลูก เลี้ยงดูเราตั้งแต่เด็ก แต่ต้องมาขัดแย้งเรื่องผู้หญิง ก็ค่อนข้างพอใจตอนจบนะ"

'ในรูปเงา' มีมุมมองด้านลบต่อผู้หญิง?

"เป็นคนไม่มีมุมมองด้านลบต่อผู้หญิง ค่อนข้างเข้าข้างผู้หญิงด้วยซ้ำไป"

เมื่อผู้หญิงเข้ามาในชีวิตตัวละครต่างๆ จะเกิดหายนะ?

"ทุกคนก็ต้องอยากได้สิ่งที่ตัวเองอยากได้ ผู้หญิงมีมารยาร้อยเล่มเกวียนอย่างที่เขาบอกกัน เขาต้องใช้มารยาที่เขามี มันเป็นเสน่ห์ของผู้หญิง เหมือนวัวตัวเมียที่ยั่วยวนวัวตัวผู้ให้ต่อสู้กันเพื่อแย่งมัน คิดว่ามันไม่ต่างกันเท่าไร แต่ไม่มองผู้หญิงในแง่ลบเลย ยังไงก็เป็นนักเขียนผู้หญิงและต้องการเขียนเชิดชูผู้หญิงเสมอ แต่มันต้องเป็นไปตามนั้นค่ะ จริงๆ รักตัวละครทุกตัวที่เขียน แต่ก็เสียใจที่พาทุกคนไปสู่โศกนาฏกรรมอย่างนั้น

ต้องการบอกคนอ่านว่าเราทุกคนมีสัตว์ร้ายอยู่ในตัว ถ้าไอ้ดอกรุงรังมันมีขวัญที่เป็นสัญลักษณ์ของวัวร้ายอยู่ แล้วเอามันมาเลี้ยง ก็จะบอกคนอ่านกลายๆ นี่ก็เป็นข้อที่คนอ่านตั้งคำถาม ไม่ได้คิดไว้ก่อนหรอก แค่โชว์ว่ารู้ว่าวัวร้ายวัวดี แต่คนอ่านบอกว่าใช่ไหมที่จะบอกว่ามันเป็นลางว่าจะเกิดเหตุร้าย เราต้องการสื่อแค่ว่าทุกคนมีความดิบเถื่อน มีด้านมืด ถ้าไม่มีสติชั่วแวบหนึ่งมันก็ทำร้ายเรา ทำร้ายคนอื่น ตัวละครจะเป็นพวกขี้แพ้ซะส่วนมาก แพ้กิเลส มีชีวิตอย่างไม่สง่างาม"

เป็นนักเขียนหญิงคนเดียวที่เข้ารอบซีไรต์ปีนี้?

"ไม่เคยคิดเขียนนิยายแข่งกับผู้หญิงที่เขียนหนังสือขาย ไม่คิดจะเขียนนิยายประโลมโลก จะเขียนหนังสือแข่งกับผู้ชายเสมอ ผู้หญิงไม่ได้คิดว่าคนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ก่อนแล้วค่อยมาเป็นผู้หญิงผู้ชายทีหลัง ความเท่าเทียมกันต้องมีค่ะ ต้องวัดกันที่สติปัญญา ไม่ใช่เรื่องเพศ ส่วนการที่ได้เข้ามาครั้งนี้ และเข้ามาพร้อมพี่ชาย (แดนอรัญ แสงทอง) ซึ่งเป็นนักเขียนใหญ่ คิดว่าเป็นเรื่องดีของครอบครัวเรานะ ครอบครัวชาวนาธรรมดา"

มีอะไรฝากถึงนักเขียนรุ่นใหม่?

"คงเป็นไปไม่ได้ที่อยู่ๆ จะจับปากกาเขียนเลย คงต้องเริ่มด้วยการอ่านหนังสือที่ตัวเองอยากอ่านก่อน แล้วก็เลือกประเภทว่าอยากเขียนหนังสือแบบไหน แต่การอ่านหนังสือดีเป็นเรื่องสำคัญ

นักเขียนใหม่ต้องเริ่มด้วยการลงมือเขียน ต้องอ่านควบคู่ไป หมั่นพบเจอผู้คน หมั่นรับรู้ข่าวสาร ต้องมีอารมณ์ร่วมกับดินฟ้าอากาศ โลก โดยทั่วๆ ไป ทำตัวให้กลมกลืนกับโลก สังเกตโลกให้มาก สังเกตคนให้มาก สังเกตใจเราให้มาก แล้วจะออกมาเป็นงานเขียนที่เป็นเรื่องราว"

Tags : ในรูปเงาเงาจันทร์อำไพ สังข์สุขนวนิยายซีไรต์นายอินทร์อะวอร์ดชมัยภร แสงกระจ่าง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รายงานพิเศษ

"ดร.สมเกียรติ"เตือนกสทช.เลิกแนวคิดที่จะดำเนินการ เพราะจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อประชาชนทั้งในฐานะผู้บริโภค และผู้เสียภาษี

 

กูรูมองวิกฤติหนี้ยุโรปนานกว่าคาด จับตาเดือนก.ย.ศาลเยอรมนีชี้ขาด

 

จุดพลิกผันการเงินโลก

ศุภชัย"เตือนเศรษฐกิจสหรัฐและวิกฤติยูโรโซนจะเลวร้ายลงมากขึ้นจีดีพีโลกโตแค่2.5% ไทยและเอเชียควรเพิ่มความร่วมมือระหว่างกัน

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

304732_372103442821906_1623135495_n.jpg

หมวกป๋ม เท่ ใส่แล้วยิ้มได้ทั้งวัน(เสียดายยิ้มจนตาหยี)

จากแมวตระกร้า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...