ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

424195_425211410863017_1106304666_n.jpg

อืมมม

femour.

Sayam Eiampichairit ได้แบ่งปัน รูปภาพ ของ Oat Singburi

 

 

547792_193814677415720_155093234_n.jpg

แชร์..ไวไว..สงสารเด็ก....

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณขิงฝากหน่อยนะคะ

 

juy ฝนตกบ่อยระวังเป็นหวัด take care

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

1 king 1 heart

ในหลวงทรงมีความสุขทุกครากับการได้ช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเคยรับสั่งครั้งหนึ่งว่า

 

"...ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น..."

 

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ _/l\_

 

 

 

 

408209_345642755521459_341597420_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

logo2011-news.pngการเงินและธนาคาร

BBL-Logo_Thai.gif

 

รายได้ทรุดฉุดเศรษฐกิจหมดแรง

 

ปัญหาการเก็บรายได้ของรัฐบาลเริ่มเป็นวิกฤตที่ชัดเจนและรุนแรงมากขึ้น จนสุดท้ายหนีไม่พ้นกระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจในที่สุด

ล่าสุด กรมสรรพากรออกมายอมรับว่าการเก็บภาษีปีงบประมาณ 2555 ที่ตั้งเป้าไว้ 1.6 ล้านล้านบาท จะต่ำกว่าเป้า 1.5 หมื่นล้านบาท จากที่ต้นปีประเมินว่าจะเก็บภาษีได้เกินเป้า 10% หรือ 1.6 แสนล้านบาท

การออกมายอมรับทันควันของกรมสรรพากร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสการพูดไม่จริงสีเทาของรัฐบาลที่ปั่นตัวเลขส่งออกโตเกินจริง ทำให้รัฐบาลถูกเล่นงานจนน่วม หาทางแก้ไม่ตกจนถึงทุกวันนี้

ดังนั้น เมื่อภาษีที่เคยตั้งเป้าไว้อยู่บนยอดดอย แต่พอเก็บเข้าจริงหล่นไปอยู่ก้นเหว จึงต้องรีบออกมาแจงข้อเท็จจริง เพื่อป้องกันปัญหาหมกเม็ด จนกลายเป็นปัญหาซ้อนปัญหาตัวเลขของกรมสรรพากรไม่มีความน่าเชื่อถือ

สาเหตุสำคัญที่พ่นพิษให้การเก็บภาษีของกรมสรรพากรพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ มาจากนโยบายของรัฐบาลเสียเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่การลดการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ซึ่งจะทำให้ภาษีหายไปถึง 5.5 หมื่นล้านบาท

แต่เดิมกรมสรรพากรประเมินว่า การลดภาษีนิติบุคคลจะทำให้กรมสรรพากรเสียภาษีในปีแรก 4.5 หมื่นล้านบาท แต่พอเอาเข้าจริงภาษีที่หายไปมากกว่าที่ประเมินไว้ ส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบน้ำท่วมที่ทำให้ผู้ประกอบการเล็กใหญ่เข่าอ่อนไปตามๆ กัน รายได้หายกำไรหด ทำให้เสียภาษีน้อยลง

สัญญาการเก็บภาษีนิติบุคคลยังมีผลต่อไปถึงปีหน้าที่อัตราภาษีจะลดลงเหลือ 20% โดยกรมสรรพากรประเมินว่า จะสูญภาษีอีก 1 แสนล้านบาท แต่เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตยุโรป การส่งออกของไทยทรุดจากที่เคยประเมินว่าจะขยายตัว 15% ลดลงเหลือ 56% ทำให้รายได้หายไปกว่า 1 แสนล้านบาท ผู้ประกอบการส่งออกขาดทุน ไม่มีเงินมาเสียภาษี ย่อมส่งผลให้การเก็บภาษีของกรมสรรพากรปีหน้าสาหัสกว่าปีนี้

นอกจากนี้ การเก็บภาษีของกรมสรรพากรยังถูกผลกระทบมาตรการภาษีของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้เอาค่าก่อสร้างมาหักภาษีได้เต็มอัตราตามเนื้อภาษี กรณีที่ผู้ประกอบการที่ลงทุนในธุรกิจพลังงานสีเขียว (กรีน เอนเนอร์จี) ซึ่งในส่วนนี้ก็จะทำให้รายได้ของกรมสรรพากรสูญหายไปไม่น้อยกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ กรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การสำรองหนี้สูญใหม่ โดยให้สำรองมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้จะส่งผลทำให้รายได้ของกรมหายไปราว 1.5 หมื่นล้านบาท

ยังไม่รวมกับนโยบายลด แลก แจก แถมภาษีของรัฐบาล ทั้งลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก การบริจาคเพื่อการศึกษา กีฬา รวมกันทำให้ภาษีของกรมสรรพากรหายไปอีกเป็นหมื่นล้านบาท รุมซ้ำการเก็บภาษีภาพรวมของกรมสรรพากรฉุดไม่ขึ้นจนหลุดต่ำกว่าเป้า

เมื่อดูสัดส่วนการเก็บรายได้ของกรมสรรพากรสูงถึง 80% ของรายได้ทั้งหมดที่เก็บได้ในแต่ละปี การที่เสาหลักการเก็บรายได้มีปัญหา รายได้ภาพรวมของประเทศก็เอาไม่อยู่ไปด้วย

ในส่วนของกรมสรรพสามิตก็ออกมาเปิดเผยว่า การเก็บภาษีของกรมปีงบประมาณ 2555 จะต่ำกว่าเป้า 2.2 หมื่นล้านบาท จากพิษการลดภาษีน้ำมันดีเซลที่ทำให้รายได้ส่วนนี้ทั้งปีหายไปถึง 1 แสนล้านบาท ที่ตีตื้นขึ้นมาได้ส่วนหนึ่ง เพราะรัฐบาลยอมไฟเขียวขึ้นภาษีบาปสุรา บุหรี่ ทำให้การเก็บภาษีต่ำกว่าเป้าลดลงในช่วงปิดหีบปลายปี

สำหรับกรมศุลกากรที่ทำผลงานได้ดี เก็บภาษีได้เกินเป้า 1 หมื่นล้านบาท แต่ก็ไม่พอที่จะอุดรายได้ของรัฐบาลปี 2555 ให้อยู่ในเป้าที่ตั้งไว้ 1.98 ล้านล้านบาท ซึ่งจะส่งผลกระทบกับฐานะการคลังและเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การที่รายได้ของประเทศเก็บไม่ได้ตามเป้า ตามหลักการก็จะทำให้เงินไม่พอใช้จ่าย ทำให้รัฐบาลต้องไปกู้เงินเพิ่ม ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกรอบความยั่งยืนการคลัง 60% ของจีดีพี เพราะขณะนี้สัดส่วนอยู่ที่ 42% ของจีดีพี และจะเพิ่มเป็น 50% ของจีดีพีในปีหน้า หากต้องมากู้เพิ่มอีกก็จะทำให้สัดส่วนหนี้เข้าโซนอันตรายมากขึ้น

ในทางตรงข้าม เมื่อรายได้เก็บได้ไม่ตามเป้า รัฐบาลอาจจะเลี่ยงไม่กู้เพิ่ม แต่ชะลอการเบิกจ่าย ลดลง ด้านหนึ่งดูดีหนี้ไม่เพิ่ม แต่อีกด้านหนึ่งเป็นผลลบเพราะการตั้งงบประมาณเพื่อลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจ แต่เมื่อคลังเจอปัญหาถึงแตกก็ชะลอการลงทุน ก็ทำให้เศรษฐกิจไทยชะงักในที่สุด

จะเห็นว่าการเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า ไม่ใช่เรื่องเล็ก จะส่งผลกระทบให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กู้เพิ่มมาชดเชยก็มีปัญหาหนี้โตหยุดไม่อยู่ ไม่กู้ก็มีปัญหาการลงทุนทำไม่ได้ ทำให้เศรษฐกิจไม่มีแรงขับเคลื่อน

ซึ่งว่าไปแล้ววิกฤตรัฐบาลถังแตกเป็นปัญหาเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น หากรัฐบาลไม่รีบแก้ไขปรับทัพหาทางเพิ่มรายได้ ในปีหน้ารัฐบาลจะถังแตกมากกว่าปีนี้

รัฐบาลต้องไม่ลืมว่าการขยายตัวเศรษฐกิจที่ฝันไว้ 7-8% เป็นเรื่องโฆษณาชวนเชื่อ เท่านั้น ในความเป็นจริงเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ 5-6% ต่อปี ก็ถือว่าเก่งแล้ว

ปัญหาที่ต้องติดตาม คือ เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวได้ดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งหลายฝ่ายฟันธงว่าอาจจะทำได้ 45% ต่อปีเท่านั้น จากปัญหาวิกฤตยุโรปยังพ่นพิษไม่หยุด ขณะที่เศรษฐกิจจีนอยู่ในช่วงขาลง เศรษฐกิจอินเดียชะลอตัว ทำให้ไทยที่ส่งออกไปในประเทศดังกล่าวจำนวนมาก มีปัญหาการขยายตัวได้น้อยไปด้วย

เมื่อเศรษฐกิจโตได้น้อยหรือไม่เป็นไปตามเป้า ก็หนีไม่พ้นส่งผลทำให้การเก็บรายได้ของประเทศมีปัญหาไปด้วย ก็จะเกิดทำให้เป็นปัญหาซ้ำรอยเหมือนปีนี้ที่รัฐบาลชักหน้าไม่ถึงหลัง โดยหาทางออกไม่ได้ หาทางแก้ไม่ถูก

นอกจากนี้ ในปีหน้านโยบายของรัฐบาลหลายอย่างก็ยังทำให้กระทบกับการเก็บรายได้ของรัฐบาลอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการขยายการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 10% เหลือ 7% ที่จะสิ้นสุดในเดือน ก.ย.นี้ ออกไปอีก 2 ปี ทำให้การเก็บภาษีของกรมสรรพากรหายไปอีกปีละ 2 แสนล้านบาท

การลดภาษีน้ำมันคาดว่าจะลดตลอดทั้งปีงบประมาณ 2556 ทำให้กรมสรรพสามิตภาษีหายไปอีก 1 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา เป็นเรื่องที่รัฐบาลยื้อต่อไปไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลก็ถูกโจมตีลดภาษีให้คนรวยจากการลดภาษีนิติบุคคล เสียรายได้ 1.5 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลการลดภาษีบุคคลธรรมดาที่ทำให้ภาษีหายไป 3,000-5,000 ล้านบาท รัฐบาลกลับไม่ทำโดยอ้างว่ากระทบการเก็บรายได้ของประเทศทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณวิกฤตการเก็บรายได้ของประเทศ จนเป็นภัยร้ายกับเศรษฐกิจให้มีปัญหาหนักขึ้นจนแก้ไม่ถูกและไม่ทันในที่สุด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หุ้น-ทองไปต่อไม่ไกล

 

ราคาทะลุแนวต้านหวังยาแรง ค้าปลีกยอมรับกำลังซื้อแผ่วลง

หุ้นไทย ทองวิ่งทะลุแนวต้านสำคัญ แต่ทิศทางไม่ชัดเจนว่าจะเดินหน้าต่อได้หรือไม่

ภาวะการซื้อขายสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา ทั้งดัชนีหุ้นทั่วโลก ราคาน้ำมันล่วงหน้า ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะทองคำทะลุแนวต้านที่สำคัญที่ 1,700 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ไปเรียบร้อยแล้ว

ตลาดมีความหวังเรื่องมาตรการของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีการประชุมวันที่ 13 ก.ย.นี้ ขณะที่เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ประชุม อีซีบี ธนาคารกลางอังกฤษ ออส เตรเลีย และมาเลเซีย มีมติคงดอกเบี้ยนโยบาย

สำหรับตลาดหุ้นไทยวิ่งแรงไม่หยุดและพยายามฝ่าจุดสูงสุดของรอบนี้ที่ระดับ 1,247 จุด แต่ยังไม่สำเร็จ ระหว่างวันขึ้นไปจ่อแถว 1,246.98 จุด หลังจากนั้นก็อ่อนตัวลงเล็กน้อยมาปิดที่ 1,243.92 จุด เพิ่มขึ้น 10.08 จุด หรือบวก 0.84% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 29,322.38 ล้านบาท ขณะที่ต่างชาติกลับมาขายเล็กน้อย 132 ล้านบาท หลังจากดัชนีปรับตัวขึ้นมาสวนตลาดเอเชียมาหลายวันโดยไม่มีปัจจัยใหม่ๆ สนับสนุน

นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต กล่าวว่า ดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น รวมถึงดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า ส่วนดัชนีหุ้นไทยทะลุแนวต้าน 1,243 จุด ไปแล้วและไปแตะจุดสูงสุดเดิมที่ 1,247 จุด แต่ไม่สามารถผ่านไปได้

“การขึ้นของหุ้นรอบนี้คงไปได้แค่ 1,260-1,270 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 30-40 จุด คงไปไม่ไกลถึง 50-100 จุด และจะปรับตัวขึ้นไปถึงปลายสัปดาห์หน้าเท่านั้น ที่รับข่าวดีจากการประชุมของทั้งยุโรปและสหรัฐ” นายอดิศักดิ์ กล่าว

ด้านทองคำ ราคาทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 เดือน ทะลุแนวต้าน 1,700 เหรียญสหรัฐ

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก ให้ความเห็นว่า แนวโน้มราคาทองยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยมีแนวต้านต่อไปที่ 1,720 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

ขณะนี้ตลาดยังคาดหวังว่าสหรัฐจะออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (คิวอี 3) เพราะคาดว่าตัวเลขคนตกงานจะเพิ่มขึ้น 5 หมื่นคน ซึ่งจะทำให้มีคิวอี 3 เกิดขึ้นตามที่นายเบน เบอร์แนนคี ประธานเฟด เคยกล่าวไว้ว่า หากตัวเลขตกงานเพิ่มขึ้นมากจะออกมาตรการคิวอี 3

ด้านบริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส เปิดเผยว่า ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,685-1,695 เหรียญสหรัฐ โดยที่ไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้าน 1,700 เหรียญสหรัฐไปได้ โดยราคาย่อลงมาเพื่อสร้างฐานและจะปรับตัวขึ้นไปใหม่ โดยมีแนวรับที่สำคัญคือ 1,675-1,680 เหรียญสหรัฐ

ด้านธุรกิจค้าปลีกในประเทศเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง โดยนายปรีชา เอกคุณากุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBIN) กล่าวว่า กำลังซื้อสินค้าไม่น่าจะแรงเท่ากับช่วงครึ่งปีแรก เพราะเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 3 นอกจากจะตรงกับช่วงวงจรธุรกิจขาลงแล้ว ยังเริ่มเห็นผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง เศรษฐกิจในต่างประเทศชะลอตัว กระทบต่อภาคการส่งออก รวมถึงมาตรการรถยนต์คันแรก ซึ่งกลุ่มที่เข้าโครงการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและกลุ่มเดียวกับลูกค้าหลักที่มีเงินเดือนระดับ 2-3 หมื่นบาท เริ่มระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย เพราะปัจจัยเหล่านี้เป็นผลกระทบทางจิตวิทยา

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมทั้งปียอดขายยังสามารถเติบโตถึง 22% จากปีที่ผ่านมามียอดขาย 17,630 ล้านบาท เนื่องจากสาขาในต่างจังหวัดยังดีอยู่

นายปรีชา กล่าวว่า ปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดสาขา 5 แห่ง ทำให้สิ้นปีมีสาขาเพิ่มเป็น 30 สาขา และปีหน้าวางแผนจะเปิดเพิ่มอีก 5 สาขา คาดลงทุนสาขาละประมาณ 500-1,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างศึกษาการไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อนบ้าน

 

Post Today

Last update : 9/7/2012 2:34:08 PM

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เกินตัว-หมกเม็ด-หนี้เน่า 'เวียดนาม'จ่อขอกู้'ไอเอ็มเอฟ'

 

วิกฤตการณ์ภาคการเงินเอเชียระหว่างปี 2540–2541 นับเป็นบทเรียนชั้นดีที่ทำให้แต่ละประเทศเข็ดขยาดต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาด และทำให้ไม่มีประเทศใดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกต้องตกเป็น “ทาสเงินกู้ไอเอ็มเอฟ” หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รายใหม่ต่อจากไทย เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ในรอบ 10 ปีมานี้

อย่างไรก็ดี หากทุกประเทศสามารถเรียนรู้บทเรียนปัญหาในอดีต ก็คงจะไม่มีวิกฤตการณ์ภาคการเงินสหรัฐ และวิกฤตการณ์หนี้ยุโรปตามมาในวันนี้ ซึ่งล่าสุดเริ่มมีสัญญาณร้ายมาแล้วว่า “เวียดนาม” อาจต้องกลายเป็นประเทศแรกของกลุ่มเอเชียตะวันออกในรอบ 15 ปีมานี้ ที่ต้องแบกหน้าขอกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ

แนวโน้มนี้ไม่ได้มาจากการมองโลกในแง่ร้ายของนักวิเคราะห์ทั่วไป แต่เป็นถึงรายงานการวิเคราะห์เกือบ 300 หน้า จากคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ ของสมัชชาแห่งชาติเวียดนาม ซึ่งระบุในเบื้องต้นว่า ระบบการเงินของเวียดนามอาจจำเป็นต้องได้รับการอัดฉีดเงินกู้ล็อตใหญ่ราว 250–300 ล้านล้านด่อง (ราว 3,750–4,500 ล้านบาท) โดยอาจเป็นเงินกู้จากไอเอ็มเอฟ เพื่อเร่งเพิ่มทุนในระบบธนาคารและเร่งขจัดหนี้เสีย ไม่เช่นนั้นเวียดนามอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่เรื้อรัง

นอกจากจะเป็นสัญญาณร้ายแล้ว ยังถือเป็นการยอมรับของคนในโดยไม่อาจหลีกหนีความจริงได้อีกต่อไปว่า เวียดนามกำลังมีปัญหา และเป็นปัญหาขั้นรุนแรงของระบบเศรษฐกิจประเทศเสียด้วย

ข่าวการจับกุม เหวียน ดึ๊ก เคียน นายแบงก์ใหญ่และอดีตผู้ร่วมก่อตั้งธนาคารเอซีบี เมื่อเดือนที่แล้ว จนบั่นทอนความเชื่อมั่นของทั้งชาวเวียดนามและนักลงทุนต่างชาติ และทำให้มูลค่าตลาดหุ้นลดฮวบลงกว่า 20% นั้น ได้นำไปสู่การตีแผ่ให้เห็นปัญหาของเวียดนามอย่างชัดเจนว่า โมเดลรัฐวิสาหกิจขับเคลื่อนประเทศ เป็นรูปแบบที่ล้มเหลว และยังนำไปสู่ปัญหาที่น่ากลัวที่สุดในวันนี้คือ “หนี้เน่าท่วมประเทศ”

นายกรัฐมนตรี เหวียน เติ๋น สุง ได้เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างรวดเร็วบนจีดีพีระดับ 7% โดยเฉลี่ยตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภายใต้นโยบายผลักดันรัฐวิสาหกิจ (เอสโออี) ให้ขับเคลื่อนประเทศ โดยมีแบบอย่างจากกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ หรือแชโบล ในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 นักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม

นโยบายส่งเสริมดังกล่าวทำให้รัฐวิสาหกิจเวียดนาม สามารถเข้าถึงเงินกู้จากธนาคารทั้งของรัฐและเอกชนได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่ารัฐวิสาหกิจนั้นๆ จะมีศักยภาพหรือไม่ และนำเงินกู้ไปใช้ถูกวัตถุประสงค์หรือไม่ก็ตาม โดยรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่สุด 100 แห่งในเวียดนามนั้น ยังได้รับสิทธิพิเศษสามารถก่อหนี้ภายใต้วงเงินมหาศาลถึง 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (เกือบ 1.6 ล้านล้านบาท) หรือเกือบครึ่งหนึ่งของจีดีพีประเทศ เมื่อปี 2553 อีกด้วย

เมื่อสามารถเข้าถึงเงินกู้โดยไม่ต้องสนใจแผนการลงทุน บวกกับปัญหาการไร้ “ธรรมาภิบาล” เศรษฐกิจและการลงทุนเวียดนามที่กำลังรุ่งโรจน์จึงเริ่มสะท้อนปัญหาในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา

หนึ่งในความล้มเหลวที่เห็นได้ชัด คือวิกฤตการณ์ทางการเงินของบริษัทต่อเรือขนาดใหญ่ วินาชิน เมื่อปี 2553 ซึ่งเกือบทำให้บริษัทล้มละลายบนหนี้สินมหาศาล 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.42 แสนล้านบาท) จากนั้นในปีต่อมา ก็ได้เกิดเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันขึ้นอีกกับบริษัทเดินเรือสมุทร วินาไลน์ส ซึ่งมีหนี้สิน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.32 หมื่นล้านบาท) หรือก่อหนี้มากกว่าสินทรัพย์ที่บริษัทมีอยู่ถึง 4 เท่าตัว

อู่จอดเรือแห่งหนึ่งของวินาไลน์ส ซึ่งซื้อมาอย่างไร้ประโยชน์ กำลังถูกสื่อในประเทศขนานนามว่าเป็นเศษซากภูเขาเหล็ก เสมือนอนุสรณ์สถานที่ตอกย้ำความล้มเหลวของบริษัทเดินเรือของชาติแห่งนี้ ซึ่งอาจเทียบได้กับโฮปเวลล์ของเมืองไทย แม้จะเป็นรูปแบบปัญหาที่ต่างกันก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างของรัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่งนี้ยังเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของปัญหารัฐวิสาหกิจเวียดนามที่คาดกันว่า ก่อหนี้รวมกันมหาศาลกว่าที่คาดไว้ อาทิ บริษัทผลิตไฟฟ้าอีวีเอ็น ซึ่งมีพนักงานถึง 1 แสนคน และขยายธุรกิจไปถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และโบรกเกอร์ แม้ว่าบริษัทจะมีหนี้สินมหาศาลก็ตาม

หนังสือพิมพ์ไซ่ง่อน ไทมส์ ได้รายงานไว้ว่า อีวีเอ็นอาจมีหนี้สูงถึง 240 ล้านล้านด่อง (ราว 3.63 แสนล้านบาท) ซึ่งจะถือเป็นวิกฤตการณ์ของประเทศตามมาทันทีหากอีวีเอ็นประสบภาวะล้มละลาย ขณะที่หนังสือพิมพ์ตวย เตร รายงานเมื่อเดือน ธ.ค. 2554 ว่า อีวีเอ็นอาจขาดทุนจากการประกอบการถึง 8.4 ล้านล้านด่อง หรือมากกว่าตัวเลขจริงที่บริษัทรายงานไปถึง 12 เท่า

เหวียน วัน บินห์ ผู้ว่าการธนาคารกลางเวียดนาม ได้ยอมรับระหว่างให้การต่อสภาเมื่อเดือนที่แล้วว่า ระดับหนี้เสียของเวียดนามกำลังอยู่ในขั้นที่น่ากังวล โดยอยู่ที่ราว 8.6% จากหนี้ทั้งหมด หรือประมาณ 3.04 แสนล้านบาท ทว่าบรรดานักวิเคราะห์หลายฝ่ายเชื่อว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านั้น โดยบริษัทจัดอันดับเครดิต ฟิตช์ เรตติงส์ ระบุว่า อัตราหนี้เสียจากยอดสินเชื่อคงค้างในระบบทั้งหมดของสถาบันการเงินในเวียดนาม อาจสูงถึง 13%

สถานการณ์หนี้เสียที่รุนแรง ระบบเศรษฐกิจที่มีปัญหา ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่ซบเซา จนฉุดให้จีดีพีเวียดนามในช่วงครึ่งปีแรก ลดลงอยู่ที่ 4.4% จาก 8.5% ในปี 2550 จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจของสมัชชาแห่งชาติเวียดนาม ต้องออกรายงานกระทุ้งให้ประเทศหันมาตระหนักถึงความเสี่ยงครั้งใหญ่ และระบุถึงความเป็นไปได้ในการขอกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ หรือกองทุนที่เคยมีบทบาทในเอเชียเมื่อราว 15 ปีก่อน และปัจจุบันกำลังง่วนอยู่กับปัญหาหนี้ในยุโรป

นอกจากทางเลือกขอเงินกู้ 4,500 ล้านบาทจากไอเอ็มเอฟแล้ว ทางคณะกรรมาธิการยังเสนอทางเลือกอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหา อาทิ การขายพันธบัตรระดมทุนระยะสั้นอายุระหว่าง 3–5 ปี การตัดลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐ และการออกมาตรการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังควรตั้งบริษัทขึ้นมาบริหารจัดการหนี้เสียอีกด้วย

“สัดส่วนของหนี้เสียและหนี้ค้างชำระในระบบธนาคารทั้งหมด กำลังอยู่ในระดับที่น่าตกใจ ในขณะที่ฝ่ายการตรวจสอบหนี้เสียนั้นก็มีไม่เพียงพอ” รายงานดังกล่าวระบุ

ขณะเดียวกัน ก็อาจถือเป็นการส่งสัญญาณที่ “หักหน้า” คำกล่าวของผู้ว่าการแบงก์ชาติเวียดนามก่อนหน้านี้ที่ว่า ตัวเลขหนี้เสียยังไม่ถึงระดับที่ต้องตื่นตกใจ เพราะยังน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับหนี้เสียของประเทศไทยในช่วงวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ปี 2541 ที่ระดับ 47% และอินโดนีเซียที่ 50%

เพราะหากยังไม่ยอมรับความจริง และลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เวียดนามอาจต้องเดินทับเส้นทางความล้มเหลวของบรรดาเพื่อนบ้าน ทั้งที่ผ่านมานานถึงกว่า 10 ปีแล้ว

 

Post Today

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อลดเครียด

 

ไหนจะค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำมัน แล้วยังมีงานหนักมาทับถม สารพันปัญหายุ่งเหยิงแบบนี้จะให้ไม่เครียดก็คงยาก แต่แม้จะมีความเครียด

5429FAC7EDD0BFD8E3E3B1C0B9669.jpg

 

เราก็สามารถคลาดเครียดได้ด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่คุณสามารถทำเองมาก

งานนี้ หน่วยแนะแนวและปรึกษาปัญหาสุขภาพ งานการพยาบาลป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้แนะนำเกี่ยวการฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อลดความเครียดเป็นหัวข้อสั้นๆ ที่สามารถจำและทำตามได้ง่าย ซึ่งเราต้องบอกเลยว่ามีประโยชน์จริงๆ

ความเครียดคืออะไร?

ความเครียดเป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ ที่เกิดการตื่นตัวเตรียมรับกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเราคิดว่าไม่น่าพอใจเป็นเรื่องที่หนักเกินกำลังทรัพยากรที่เรามีอยู่ หรือเกินความสามารถของเราที่จะแก้ไขได้ ทำให้รู้สึกหนักใจเป็นทุกข์และอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายและ พฤติกรรมตามไปด้วย

ทำอย่างไรให้คลายเครียด?

เมื่อรู้สึกเครียด คนเราจะมีวิธีการผ่อนคลายที่แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่จะเลือกวิธีที่ตนเองเคยชิน ถนัด ชอบหรือสนใจ ทำแล้วเพลิดเพลินมีความสุข ซึ่งมีทั้งวิธีคลายเครียดทั่วๆ ไป และวิธีที่เป็นเทคนิคเฉพาะ

วิธีคลายเครียดโดยทั่วๆ ไป

-การพักผ่อนนอนหลับ

-ออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสาย เต้นแอโรบิค รำมวยจีน

-ดูหนัง ฟังเพลง เล่นดนตรี

-ปลูกต้นไม้ ทำสวน เลี้ยงสัตว์

-อ่านหนังสือ

-ท่องเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ

-สะสมของรัก ฯลฯ

 

 

 

AB9621A3182CE995A0CD1678F628A1.jpg

 

 

 

วิธีคลายเครียดที่เป็นเทคนิคเฉพาะ

-การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

-การฝึกการหายใจ

-การทำสมาธิ

-การจินตนาการ

-การคลายเครียดจากใจสู่กาย

-การนวดคลายเครียด

คลายกล้าม=คลายเครียด

สำหรับวิธีการคลายเครียดด้วยเทคนิคเฉพาะที่เรานำมาบอกต่อ เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อแบบง่ายๆ โดยความเครียดที่เราทุกคนมีกันอยู่นี้ มีผลทำให้กล้ามเนื้อหดตัว สังเกตได้จากอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด กัดฟัน เป็นต้น นอกจากนี้ในขณะฝึก จิตใจจะจดจ่ออยู่กับการคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ทำให้ลดการคิดฟุ้งซ่านและลดความวิตกกังวล เกิดสมาธิมากขึ้นกว่าเดิม

วิธีการฝึก

เลือกสถานที่ที่สงบ นั่งในท่าที่สบาย คลายเสื้อผ้าให้หลวมถอดรองเท้า หลับตา ทำใจให้ว่าง ตั้งสมาธิอยู่ที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อสลับกันไปประมาณ 10 ครั้ง โดยระยะเวลาที่เกร็งให้นับ 1-5 และระยะเวลาที่ผ่อนคลายนับ 1-10 ทำดังนี้

1. มือและแขนขวา โดยกำมือ เกร็งแขน แล้วคลาย

2. มือและแขนซ้าย โดยทำเช่นเดียวกันกับข้อ 1 และขณะกำมือระวังอย่างให้เล็บจิกเนื้อตัวเอง

3. หน้าผาก โดยเลิกคิ้วสูงแล้วคลาย ขมวดคิ้วแล้วคลาย

4. ตา แก้ม จมูก โดยหลับตาแน่น ย่นจมูกแล้วคลาย

5. ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก โดยกัดฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานปากแล้วคลาย เม้มปากแน่นแล้วคลาย

6. คอ โดยก้มหน้าให้คางจดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย

7. อก ไหล่ และหลัง โดยหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้แล้วคลาย ยกไหล่สูงแล้วคลาย

8. หน้าท้อง โดยแขม่วท้องแล้วคลาย

9. ก้น โดยขมิบก้นแล้วคลาย

10. เท้าและขาขวา โดยเหยียดขางอนิ้วเท้าแล้วคลาย เหยียดขากระดกปลายเท้าแล้วคลาย

11. เท้าและขาซ้าย โดยทำเช่นเดียวกันกับข้อ 10

เมื่อคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องเกร็งก่อน และอาจเลือกคลายกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหาเท่านั้นก็ได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องคลายกล้ามเนื้อทั้งตัวจะช่วยให้ใช้เวลาน้อยลงและสะดวกมากขึ้น

คุณจะเห็นว่าวิธีการคลายกล้ามเนื้อสามารถทำได้สะดวกไม่ต้องลงทุน นอกจากนี้คุณยังสามารถเลือกที่จะฝึกกล้ามเนื้อที่คุณรู้สึกว่ามีอาการเกร็งหรือปวด และมีหลักการง่ายๆ โดยการเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ โดยให้ระยะเวลาที่เกร็งกล้ามเนื้อสั้นกว่าการคลายกล้ามเนื้อ

 

 

 

E0A6B2F0C951DE9652AB50579F24.jpg

image source

(ติดต่อขอใช้บทความที่ฝ่ายการตลาด)

ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info

 

 

FD91D4C7A19FBDD56F88E7E1FE8BC.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Sayam Eiampichairit ได้แบ่งปัน รูปภาพ ของ Oat Singburi

 

174292_100003615683694_1357075342_q.jpg

 

Oat Singburi

Subscribe · August 9 via mobile

near Amphoe Muang Sing Buri, Sing Buri

 

แชร์..ไวไว..สงสารเด็ก...

547792_193814677415720_155093234_n.jpg

ลูกหลานของใครหายบ้าง

มีใครเคยพบอีกมั็ย ขณะอยู่ที่ไหนแล้ว

ช่วยกันดูด้วยน้องเค้าลำบากอยู่ พ่อแม่จะรู้มั๊ยนี่

(หน้าเศร้าแบบนี้แม่คงไม่ได้มาด้วย)

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...