ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 น่าเศร้า! กลาโหมผู้ดีถังแตก ขายเรือบรรทุกเครื่องบินชื่อก้อง“อาร์ก รอยัล” ทำเศษเหล็ก-หลอมเป็นใบมีดโกนหนวด โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2555 13:04 น. เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-กระทรวงกลาโหมอังกฤษถูกโจมตีหนัก หลังตัดสินใจขายเรือบรรทุกเครื่องบิน “อาร์ก รอยัล” ที่เคยเป็นความภาคภูมิใจของราชนาวีอังกฤษให้กับบริษัทรับซื้อเศษเหล็ก เพื่อแลกกับเงินเพียง 3 ล้านปอนด์ (ราว 149 ล้านบาท) คาด อดีตเรือบรรทุกเครื่องบินชื่อดังที่เคยเข้าร่วมรบในสมรภูมิสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่บอสเนีย-เฮอร์เซโกวินาเมื่อปี 1993 รวมถึงปฏิบัติการบุกอิรักเพื่อโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซนเมื่อปี 2003 ลำนี้ อาจถูกเจ้าของใหม่นำไปย่อยสลายขายเป็นเศษเหล็ก หรือไม่ก็อาจถูกนำไปหลอมละลายเพื่อนำมาผลิตเป็นกระป๋องหรือใบมีดโกน ถือเป็นชะตากรรมอันน่าเศร้าที่ทำให้ชาวอังกฤษรู้สึกใจหายโดยทั่วหน้า การตัดสินใจดังกล่าวของทางกระทรวงกลาโหมอังกฤษ มีขึ้นหลังจากที่รายงานของคณะผู้ตรวจสอบของกระทรวงยืนยันว่า เรือบรรทุกเครื่องบินเอชเอ็มเอส “อาร์ก รอยัล” ซึ่งเข้าประจำการตั้งแต่เมื่อปี 1981 ด้วยมูลค่าจัดสร้างกว่า 320 ล้านปอนด์ (ราว15,912 ล้านบาท) ลำนี้ มีสภาพย่ำแย่เกินกว่าที่จะซ่อมแซมได้อีก ประกอบกับทางกระทรวงก็ไม่มีงบประมาณมารองรับในจุดนี้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามมาตรการตัดลดงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน รายงานข่าวระบุว่า เรือบรรทุกเครื่องบินระวางขับน้ำ 22,000 ตันลำนี้ได้จอดสงบนิ่งอยู่ ณ ท่าเรือ ในเมืองพอร์ทสมัธ ทางตอนใต้ของอังกฤษ นับตั้งแต่ที่มันถูกปลดประจำการเมื่อปี 2010 ทั้งที่ยังเหลืออายุใช้งานอีกถึง 5 ปี โดยก่อนหน้านี้ เคยมีรายงานว่า มีผู้สนใจยื่นข้อเสนอขอซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ไปใช้ทำเป็น “ไนต์คลับลอยน้ำ” ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง รวมถึงมีผู้สนใจขอซื้อมันไปใช้ทำเป็นโรงพยาบาลเคลื่อนที่ ไม่เว้นแม้แต่ข้อเสนอที่ว่าจะนำเรือแห่งความภาคภูมิใจของราชนาวีอังกฤษลำนี้ไปจมทิ้งกลางทะเลเพื่อทำเป็น “แหล่งดำน้ำ” ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษมีแผนนำเรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่ที่ชื่อ “ควีน เอลิซาเบ็ธ” ที่มีขนาดใหญ่กว่าเรือ “อาร์ก รอยัล” หลายเท่า เข้าประจำการแทนนับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นไป อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 ภาพสะเทือนใจหลังแผ่นดินไหว สวยเศร้าเคล้ารันทด โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2555 14:16 น. หวัง หมิงไฉกำลังแบกร่างไร้ลมหายใจของเสี่ยวหลิน หลานชายวัย 10 ขวบ กลับบ้าน ต้องใช้เวลาร่วม 5 ชม. เนื่องจากแผ่นดินไหวทำให้ถนนในตำบลอี๋เหลียง มณฑลยูนนาน พังถล่มไม่มีชิ้นดี ภาพเมื่อ 9 ก.ย. (ภาพเฟิ่งหวง) เอเยนซี--หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในมณฑลอวิ๋นหนัน (ยูนนาน) และกุ้ยโจว เมื่อศุกร์ที่ผ่านมา (7 ก.ย.) และยังมีอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีกกว่า 60 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนราว 89 ราย ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ไร้ที่อยู่อาศัยและอาหาร แผ่นดินไหวทั้งสองแห่งมีระดับความแรง 5.7 ริกเตอร์ และ 5.6 ริกเตอร์ ถนนหนทางและการสื่อสารในบริเวณชายแดนระหว่างมณฑลอวิ๋นหนันและกุ้ยโจวได้รับความเสียหายอย่างหนัก นอกจากนี้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 800 ราย ชาวบ้านกว่า 200,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย บ้านเรือนกว่า 436,600 หลังพังถล่ม ต่อมานายเวิน จยาเป่า นายกรัฐมนตรีจีน บินไปยังที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบความเสียหายและเยี่ยมเยียนประชาชน ผ่านไปสองวัน ความช่วยเหลือทั้งการรักษาจากหน่วยแพทย์และพยาบาล ได้เข้าไปถึงชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนซึ่งขณะนี้อยู่ในค่ายผู้อพยพแล้ว แต่เนื่องจากชาวบ้านมีจำนวนมาก อาหาร น้ำและที่พักชั่วคราวจึงยังไม่เพียงพอ รวมภาพบรรยากาศความสูญเสีย ความงามที่ระคนไปด้วยความเศร้ารันทดของชาวบ้านที่แตกสาแหรกขาด ไร้ที่พักพิง ทว่า ความมีน้ำใจยังคงแทรกอยู่ ในตำบลอี๋เหลียง มณฑลอวิ่นหนัน และตำบลเวยหนิง มณฑลกุ้ยโจว ระหว่างวันที่ 8 - 9 ก.ย. (ภาพเฟิ่งหวง/หวั่งอี้/ไชน่านิวส์/ซินหวา) หนูน้อยกำลังหลับปุ๋ยภายในค่ายอพยพ พ่อของเธอเล่าวว่า บ้านพวกเขาอยู่บนเขาสูง ใช้เวลาเดินกว่า 1 วัน จึงจะถึงที่พักผู้อพยพ หญิงคนหนึ่งวิ่งตามรถทหาร เพื่อมอบแอบเปิ้ลลูกหนึ่งให้ถึงมือทหารกู้ภัยที่มาช่วยเหลือ ในตำบลอี๋เหลียงของยูนนาน เด็กน้อยคนหนึ่งใส่ “หมวกบัณฑิต” ที่ทำขึ้นเอง ขณะอ่านหนังสือ ภายในค่ายอพยพ ตำบลอี๋เหลียงของยูนนาน สองข้างทางในตำบลอี๋เหลียง ผู้สื่อข่าวพบกับรถยนต์ 2 คัน ที่ถูกก้อนหินขนาดมหึมากลิ้งจากบนเขา ตกลงมาโดน สภาพรถคันหน้ายับยู่ยี่ ไม่สามารถใช้การได้ ชาวบ้านอพยพกำลังทานอาหารกลางวันในค่ายอพยพชุมชนเหมาผิงในตำบลอี๋เหลียง เจ้าหน้าที่ในศูนย์ฯ ร้อยกว่าคน ต้องเตรียมอาหารให้กับผู้อพยพถึง 2,000 คน คนจีนไม่ทิ้งกัน หนุ่มน้อยในค่ายอพยพตำบลอี๋เหลียง รับซาลาเปาจากเจ้าหน้าที่ โดยอาหารกลางวันยังมีข้าวผัด โจ๊กและบะหมี่สำเร็จรูปด้วย ทหารที่เข้าร่วมกู้ภัยในตำบลอี๋เหลียง มณฑลยูนนาน กำลังแบกร่างเด็กชายคนหนึ่ง เพื่อพาไปยังที่ปลอดภัย ทหาร แพทย์และพยาบาลช่วยกันพาคนเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหว เข้ารักษาที่โรงพยาบาลประชาชนประจำตำบลอี๋เหลียง ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่มีกระดูกหัก และบาดแผลตามร่างกาย ภาพถ่ายเต้นท์ที่พักชั่วคราวสำหรับผู้อพยพ ตั้งอยู่ในชุมชนเหมาผิง ตำบลอี๋เหลียงในยูนนาน หน่วยทหารกู้ภัยมณฑลยูนนาน พร้อมด้วยสุนัขกู้ภัย เข้าพื้นที่ตำบลอี๋เหลียงเพื่อค้นหาผู้สูญหายจากเหตุแผ่นดินไหว เด็กน้อยคนหนึ่งในชุมชนเจี๋ยนเจี่ยว หมู่บ้านอวิ๋นกุ้ย ตำบลเวยหนิง มณฑลกุ้ยโจวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว กำลังกินหัวมันฝรั่งที่ชาวบ้านให้มา ชาวนาคนหนึ่งกำลังบรรจงแกะเปลือกมันฝรั่งที่มีผู้ใจบุญในชุมชนเจี๋ยนเจี่ยวแบ่งปันมา เด็กชายคนหนึ่งในค่ายผู้อพยพกำลังกินบะหมี่สำเร็จรูปถ้วยโต ในตำบลเวยหนิง มณฑลกุ้ยโจว เด็กหญิงตัวน้อยยืนอยู่กับกองถ้วยบะหมี่สำเร็จรูปภายในค่ายผู้อพยพชุมชนเจี๋ยนเจี่ยว ตำบลเวยหนิง มณฑลกุ้ยโจว ตอนเช้า พ่อกำลังใส่เสื้อผ้าให้ลูกสาวตัวน้อย ในชุมชนเจี๋ยนเจี่ยว ตำบลเวยหนิง มณฑลกุ้ยโจว อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 บัวหลวงเพิ่มทุน3กองทุนอสังหาฯกว่า5,400 ล้านบาท โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2555 14:12 น. คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น บลจ.บัวหลวงเตรียมพร้อมเพิ่มทุน 3กองอสังหาฯได้แก่ ไทคอน ทีพาร์คโลจิสติคส์ และฟิวเจอร์พาร์ค มูลค่ารวมกว่า 5,400 ล้านบาท คาดเริ่มทยอยเพิ่มทุนได้ปลายไรมาสที่ 4 ปีนี้ นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า การประชุมผู้ถือหน่วยของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทีพาร์คโลจิสติคส์ (TLOGIS) และกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ฟิวเจอร์พาร์ค (FUTUREPF) ว่า ผู้ถือหน่วยเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารกองทุน และร่วมกันผ่านมติในการเพิ่มทุนของแต่ละกองทุน ทำให้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ กองทุนบัวหลวงจะมีการเพิ่มทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 5,400 ล้านบาท นางวรวรรณ กล่าวต่อว่า กองทุนบัวหลวงขอขอบพระคุณและขอแสดงความชื่นชมต่อผู้ลงทุนที่มาประชุมออกสิทธิออกเสียงเรื่องอนาคตของกองทุน จนผลักดันให้กองทุนมีขนาดเติบโต มีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลได้โดยต่อเนื่องสม่ำเสมอ เช่น TFUND ที่ผ่านมาจ่ายปันผลแล้วรวม 5.525 บาท TLOGIS จ่ายปันผลแล้วรวม 2.0525 บาท และ FUTUREPF จ่ายปันผลไปแล้วรวม 5.968 บาท นายสุทธิพงศ์ พัวพันธ์ประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า การเพิ่มทุนของทั้งสามกองทุนคาดว่า จะดำเนินการได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ โดย TFUND จะเพิ่มทุนไม่เกิน 1,650 ล้านบาท เพื่อซื้อทรัพย์สินจากบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) ประกอบด้วยที่ดินพร้อมโรงงานมาตรฐานให้เช่าในนิคมอุตสาหกรรม และเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งหมด 27 โรง มีพื้นที่โรงงานให้เช่า 70,375 ตารางเมตร โดยพื้นที่ดังกล่าวมีอัตราการเช่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2555 เต็มร้อยละ 100 ส่วนกอง TLOGIS จะเพิ่มทุนไม่เกิน 2,250 ล้านบาทเพื่อนำมาซื้อทรัพย์สินจากบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด ประกอบด้วยที่ดินพร้อมอาคารคลังสินค้ามาตรฐานจำนวน 13 หลังแบ่งเป็น 37 คูหา พื้นที่คลังสินค้ารวม 126,186 ตารางเมตรกระจายในโครงการต่างๆ เช่น โครงการ ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค ที่บางนา แหลมฉบัง และอีสเทิร์น ซีบอร์ด เป็นต้น โดยคลังสินค้าบนพื้นที่ดังกล่าวมีอัตราการเช่า ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2555 ร้อยละ 97.26 และสำหรับกอง FUTUREPF ผู้ถือหน่วยลงทุนจะรับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากสองส่วน ส่วนแรกมาจากการขยายระยะเวลาสิทธิการเช่าอาคารออกไปอีก 15 ปี โดยจะสิ้นสุดปลายปี 2584 แทนที่เดิมจะสิ้นสุดในปลายปี 2569 ทั้งนี้ สิทธิในพื้นที่ดังกล่าวประกอบด้วย พื้นที่เช่าบางส่วนของอาคารศูนย์การค้าฟิวเจอร์ พาร์ค 52,573 ตารางเมตร และสิทธิในการนำพื้นที่บางส่วนของพื้นที่ส่วนกลางรวมถึงพื้นผนังภายนอกอาคารออกหาผลประโยชน์เพิ่มเติม ส่วนที่สองจะมาจากการเพิ่มพื้นที่สิทธิการเช่าในอาคารของศูนย์การค้าฯ อีก 3,840 ตารางเมตร โดยทั้งสองส่วนใช้เงินลงทุนรวมกันไม่เกิน 1,500 ล้านบาท โดยเงินลงทุนจะมาจากการเพิ่มทุนและหรือการกู้ยืมเงิน สำหรับอัตราการเช่าพื้นที่ของผู้เช่าหลักและผู้เช่ารายย่อยของศูนย์การค้าฯ ในไตรมาสสองปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 97 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
juy 97 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 ภาพสะเทือนใจหลังแผ่นดินไหว สวยเศร้าเคล้ารันทด โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2555 14:16 น. หวัง หมิงไฉกำลังแบกร่างไร้ลมหายใจของเสี่ยวหลิน หลานชายวัย 10 ขวบ กลับบ้าน ต้องใช้เวลาร่วม 5 ชม. เนื่องจากแผ่นดินไหวทำให้ถนนในตำบลอี๋เหลียง มณฑลยูนนาน พังถล่มไม่มีชิ้นดี ภาพเมื่อ 9 ก.ย. (ภาพเฟิ่งหวง) เอเยนซี--หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวในมณฑลอวิ๋นหนัน (ยูนนาน) และกุ้ยโจว เมื่อศุกร์ที่ผ่านมา (7 ก.ย.) และยังมีอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีกกว่า 60 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนราว 89 ราย ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ไร้ที่อยู่อาศัยและอาหาร แผ่นดินไหวทั้งสองแห่งมีระดับความแรง 5.7 ริกเตอร์ และ 5.6 ริกเตอร์ ถนนหนทางและการสื่อสารในบริเวณชายแดนระหว่างมณฑลอวิ๋นหนันและกุ้ยโจวได้รับความเสียหายอย่างหนัก นอกจากนี้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 800 ราย ชาวบ้านกว่า 200,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย บ้านเรือนกว่า 436,600 หลังพังถล่ม ต่อมานายเวิน จยาเป่า นายกรัฐมนตรีจีน บินไปยังที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบความเสียหายและเยี่ยมเยียนประชาชน ผ่านไปสองวัน ความช่วยเหลือทั้งการรักษาจากหน่วยแพทย์และพยาบาล ได้เข้าไปถึงชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนซึ่งขณะนี้อยู่ในค่ายผู้อพยพแล้ว แต่เนื่องจากชาวบ้านมีจำนวนมาก อาหาร น้ำและที่พักชั่วคราวจึงยังไม่เพียงพอ รวมภาพบรรยากาศความสูญเสีย ความงามที่ระคนไปด้วยความเศร้ารันทดของชาวบ้านที่แตกสาแหรกขาด ไร้ที่พักพิง ทว่า ความมีน้ำใจยังคงแทรกอยู่ ในตำบลอี๋เหลียง มณฑลอวิ่นหนัน และตำบลเวยหนิง มณฑลกุ้ยโจว ระหว่างวันที่ 8 - 9 ก.ย. (ภาพเฟิ่งหวง/หวั่งอี้/ไชน่านิวส์/ซินหวา) หนูน้อยกำลังหลับปุ๋ยภายในค่ายอพยพ พ่อของเธอเล่าวว่า บ้านพวกเขาอยู่บนเขาสูง ใช้เวลาเดินกว่า 1 วัน จึงจะถึงที่พักผู้อพยพ หญิงคนหนึ่งวิ่งตามรถทหาร เพื่อมอบแอบเปิ้ลลูกหนึ่งให้ถึงมือทหารกู้ภัยที่มาช่วยเหลือ ในตำบลอี๋เหลียงของยูนนาน เด็กน้อยคนหนึ่งใส่ “หมวกบัณฑิต” ที่ทำขึ้นเอง ขณะอ่านหนังสือ ภายในค่ายอพยพ ตำบลอี๋เหลียงของยูนนาน สองข้างทางในตำบลอี๋เหลียง ผู้สื่อข่าวพบกับรถยนต์ 2 คัน ที่ถูกก้อนหินขนาดมหึมากลิ้งจากบนเขา ตกลงมาโดน สภาพรถคันหน้ายับยู่ยี่ ไม่สามารถใช้การได้ ชาวบ้านอพยพกำลังทานอาหารกลางวันในค่ายอพยพชุมชนเหมาผิงในตำบลอี๋เหลียง เจ้าหน้าที่ในศูนย์ฯ ร้อยกว่าคน ต้องเตรียมอาหารให้กับผู้อพยพถึง 2,000 คน คนจีนไม่ทิ้งกัน หนุ่มน้อยในค่ายอพยพตำบลอี๋เหลียง รับซาลาเปาจากเจ้าหน้าที่ โดยอาหารกลางวันยังมีข้าวผัด โจ๊กและบะหมี่สำเร็จรูปด้วย ทหารที่เข้าร่วมกู้ภัยในตำบลอี๋เหลียง มณฑลยูนนาน กำลังแบกร่างเด็กชายคนหนึ่ง เพื่อพาไปยังที่ปลอดภัย ทหาร แพทย์และพยาบาลช่วยกันพาคนเจ็บจากเหตุแผ่นดินไหว เข้ารักษาที่โรงพยาบาลประชาชนประจำตำบลอี๋เหลียง ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่มีกระดูกหัก และบาดแผลตามร่างกาย ภาพถ่ายเต้นท์ที่พักชั่วคราวสำหรับผู้อพยพ ตั้งอยู่ในชุมชนเหมาผิง ตำบลอี๋เหลียงในยูนนาน หน่วยทหารกู้ภัยมณฑลยูนนาน พร้อมด้วยสุนัขกู้ภัย เข้าพื้นที่ตำบลอี๋เหลียงเพื่อค้นหาผู้สูญหายจากเหตุแผ่นดินไหว เด็กน้อยคนหนึ่งในชุมชนเจี๋ยนเจี่ยว หมู่บ้านอวิ๋นกุ้ย ตำบลเวยหนิง มณฑลกุ้ยโจวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว กำลังกินหัวมันฝรั่งที่ชาวบ้านให้มา ชาวนาคนหนึ่งกำลังบรรจงแกะเปลือกมันฝรั่งที่มีผู้ใจบุญในชุมชนเจี๋ยนเจี่ยวแบ่งปันมา เด็กชายคนหนึ่งในค่ายผู้อพยพกำลังกินบะหมี่สำเร็จรูปถ้วยโต ในตำบลเวยหนิง มณฑลกุ้ยโจว เด็กหญิงตัวน้อยยืนอยู่กับกองถ้วยบะหมี่สำเร็จรูปภายในค่ายผู้อพยพชุมชนเจี๋ยนเจี่ยว ตำบลเวยหนิง มณฑลกุ้ยโจว ตอนเช้า พ่อกำลังใส่เสื้อผ้าให้ลูกสาวตัวน้อย ในชุมชนเจี๋ยนเจี่ยว ตำบลเวยหนิง มณฑลกุ้ยโจว ดูภาพแบบนี้แล้วรันทดจังเลย อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 เซียนหุ้นในตำนาน: Jesse Livermore โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2555 10:35 น. รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต คอลัมน์ มนุษย์หุ้น 2.0 โดยชัยภัทร เนื่องคำมา www.cway-investment.com ในโลกของนักเก็งกำไร หลายคนคงรู้จักจอร์จ โซรอส นักเก็งกำไรระดับตำนาน และอาจจะเป็นปีศาจในสายตาของใครหลายคน โดยเฉพาะกรณีวิกฤติการเงินปี 40 แน่นอนว่านักเก็งกำไรระดับตำนาน ไม่ได้มีแค่จอร์จ โซรอส ยังมีคนเก่งๆอีกหลายคนที่มีวิธีคิดที่น่าสนใจ ผมจะทยอยสรุปนำมาเขียนให้เพื่อนนักลงทุนได้อ่านกัน แต่วันนี้ของเริ่มจากคนโปรดผม Jesse Livermore เจ้าของฉายา Boy Plunger และ "Great Bear of Wall Street" Jesse Livermore อาจจะไม่ใช่นักลงทุนเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จมากมาย เพราะชีวิตการลงทุนของเค้าเกือบ 20 ปีค่อนข้างจะผาดโผน มีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด เคยรวยระดับเงินล้านจากตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ และเคยผิดพลาดล้มเหลวจนขาดทุนหมดตัวล้มละลาย มาแล้วเช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนยอมรับในตัว Jesse Livermore คือวิธีคิดการลงทุน และการใช้ระบบเทรดหุ้น ที่ทำให้เค้าสามารถตัดสินใจซื้อขายหุ้นได้อย่างดี และเป็นเพียงไม่กี่คนในยุค คศ. 19 (สมัยที่ยังไม่มีคอมพิวเตอร์แบบปัจจุบัน) ที่นำเอาเทคนิคการจดบันทึกราคาหุ้นเพื่อนำมาคำนวณทางสถิติและความน่าจะเป็น ศึกษารูปแบบราคา เพื่อหาสัญญาณซื้อขายหุ้น Jesse Livermore เริ่มเข้าวงการหุ้นตั้งแต่อายุ 14 เริ่มจากการเป็นเด็กเดินโพย เขียนกระดานหุ้น ในห้องค้า Webber เมืองบอสตัน เขาเลือกที่หนี้ออกจากบ้าน ทิ้งชีวิตชาวไร่และการทำฟาร์มแบบพ่อและแม่ในเขตชนบทเมือง Shrewsbury,รัฐ Massachusetts เขาเป็นคนชอบจดบันทึก Jesse Livermore ได้จดบันทึกราคาหุ้น และสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เมื่อทำงานได้สักระยะเขาเริ่มที่จะเข้าไปซื้อขายหุ้นเก็งกำไรในห้องค้าเถื่อนหรือบัคเก็ทช็อป(นอกตลาดหุ้น) จนเมื่ออายุ 15 ปีทำกำไรได้มากถึง 1000 เหรียญ และยังทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องจนมากถึง 10000 เหรียญตอนอายุ 20 ปี สุดท้าย บัคเก็ทช็อปต้องขาดทุนจน ไม่ยอมรับการซื้อขาย จากเขาทำให้ Jesse Livermore ตัดสินใจจากบอสตันเข้ามานิวยอร์ก เพื่อซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นจริงแบบถูกกฎหมาย แต่ด้วยความที่ตลาดหุ้น NYSE เป็นตลาดหุ้นใหญ่และเป็นของจริง มีนักลงทุนจำนวนมากที่เทรดหุ้น ทำให้ Jesse Livermore ยังไม่คุ้นชินกับสภาพตลาดและการเคลื่อนไหวของราคาแบบนี้ เขาจึงประสบปัญหาการขาดทุนจนเงินทุนเหลือเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญ จนต้องกลับไปเก็งกำไรหุ้นในบัคเก็ทช็อปอีก เพื่อหาเงินทุนมาลงทุนต่อ รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต ช่วงอายุ 20 - 27 ปี เขาก็ไม่ต่างอะไรกับนักลงทุนรายย่อยอื่นๆ มีได้กำไรมีขาดทุน จนเกือบหมดตัว แต่เขาก็พยายามที่จะเรียนรู้และยังคงจดบันทึก เพื่อศึกษาภาวะตลาดหุ้น และศึกษาพฤติกรรมหุ้น ต่างๆอย่างต่อเนื่อง จนปี 1906 เขาสามารถทำกำไรจากการ Short Sell หุ้นมากถึง 250000 เหรียญ ด้วยลางสังหรณ์และการคาดการณ์ภาวะตลาดจากที่เขาสังเกต ตามมาด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในซานฟานซิสโก ในช่วงนั้น Jesse Livermore เริ่มมีเงินมากพอที่จะซื้อรถ ซื้อบ้าน และใช้ชีวิตแบบหรูหรา ฟุ่มเฟือย ตอนมาปี 1907 เมื่ออายุ 30 ปี เขาสามารถทำกำไรจากการ Short Sell ในช่วงตลาดขาลงรุนแรง มากถึง 3 ล้านเหรียญเพียงไม่กี่วัน จนถึงขนาดวาณิชธนกิจรายใหญ่แบบ JP Morgan ยังต้องขอร้องให้เขาหยุดทำการขายซ๊อตหุ้น เพราะกลัวว่าจะเกิดวิกฤติตลาดหุ้นจะรุกรามใหญ่โต ประกอบกับสถาบันการเงินก็เริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง แน่นอนว่าเมื่อมีได้ก็ต้องมีเสีย Jesse Livermore ลิ้มรสของการเป็น เศรษฐีเงินล้านหรือ millionaire ได้เพียงแต่ปีกว่า เพราะปี 1908 เขาต้องขาดทุนจากการเก็งกำไรในตลาดฝ้าย เพียงเพราะเขาเชื่อซื้อขายสัญญาฝ้ายตามกูรู Percy Thomas จนสุดท้ายต้องหมดตัว รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต แต่ด้วยชื่อเสียงและความสามารถที่หลายคนเชื่่อถือทำให้ Jesse Livermore สามารถใช้เครดิตบวกกับเงินกู้ มาลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อเก็งกำไรได้อีก จนเขาเริ่มที่จะสร้างกำไร และเริ่มสะสมเงินทุนไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่สามารถทำเงินทั้งหมดกับคืนมาได้ง่าย แถมยังต้องขาดทุน เพราะสภาวะตลาดหุ้นช่วงนั้นถือว่าเป็นช่วงซบเซา ภาวะเศรษฐกิจอเมริกาแย่ลง แต่เมื่อปี 1915-1922 เป็นช่วงตลาดกระทิงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ( World War I bull market) Jesse Livermore ทำกำไรจากตลาดหุ้นได้อย่างมากมาย ถึงระดับ 3 ล้านเหรียญ จนเขาสามารถปลดหนี้สินทั้งหมดที่มีก่อนหน้า และมีเงินมากพอซื้อพันธ์บัตรรัฐบาลอังกฤษและสร้างกองทุนสำหรับครอบครัว เพื่อเป็นหลักประกันอนาคต รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต ช่วงปี 1922 Jesse Livermore อายุ 45 ปีเขาได้สัมภาษณ์เกี่ยวกับวิธีคิด เทคนิคและประสบการณ์ในตลาดหุ้นกับนักข่าวชื่อ Edwin เพื่อตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ลงคอลัมน์รายสัปดาห์ในหนังสือพิมพ์ The Saturday Evening Post และบทความเหล่านั้นเองที่ภายหนังได้ถูกนำมารวมเล่มทำเป็นหนังสือที่โด่งดังชื่อ "Reminiscences of a Stock Operator" ช่วงปี 1925 -1928 เป็นปีทองของ Jesse Livermore เขาทำกำไรทั้งจากตลาดหุ้นและตลาดสินค้าเกษตร ได้กำไรจำนวนมากหลายสิบล้านเหรียญ โดยเฉพาะในปี 1929 เขาทำการ short selling หุ้นครั้งใหญ่จากการถล่มของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงวิกฤติการเงิน Great Depression หรือวิฤตฟองสบู่วอลสตรีท ทำให้เขาได้กำไรรอบนั้นมากกว่า 100 ล้านเหรียญ ชีวิตของ Jesse Livermore หลังจากนั้นก็ยิ่งหรูหรา เขามีคฤหาสหลังใหญ่ มีเรือยอช มีทุกสิ่งที่เศรษฐีจะมีได้ แต่ชีวิตเขาก็ใช่ว่าจะมีความสุข เพราะปัญหาจากลูก ที่ติดยาเสพติด ชอบปาร์ตี้ และจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย ทำให้ตัวเขาเองเป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิตในชีวิตครอบครัว และส่งผลให้เกิดความเครียด และกลายเป็นโรคซึมเศร้า ประกอบกับวัย 56 ปีเขาได้รับการวินิฉัยโรคจากหมอว่าเป็นโรคความจำเสื่อมแบบเฉียบพลัน และมีโอกาสจะเป็นโรคสมองเสื่อม หลังจากนั้นไม่นาน Jesse Livermore ก็ประสบกับปัญหาการขาดทุนจากหุ้นอย่างหนักจนหมดตัว Jesse Livermore ถึงแม้จะขาดทุนอย่างหนักแต่ยังพอมีเงินจากกองทุนและผลตอบแทนจากพันธ์บัตรทำให้เขาสามารถ ใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบาก แต่ไม่สามารถกลับมาสร้างผลกำไรได้เหมือนเดิม สุดท้ายวันที่ 28 พย. 1940 Jesse Livermore ได้ยิงตัวตายที่โรงแรม Sherry Netherland Hotel ใน Manhattan โดยทิ้งข้อความสุดท้ายให้กับภรรยาไว้ว่า “My dear Nina: Can’t help it. Things have been bad with me. I am tired of fighting. Can’t carry on any longer. This is the only way out. I am unworthy of your love. I am a failure. I am truly sorry, but this is the only way out for me. Love Laurie ซึ่งสุดท้ายหลังจากเขาเสียชีวิต เขามีทรัพย์สินอยู่ประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ พิจารณาจากประสบการณ์ที่เขาถ่ายทอดลงในหนังสือ แง่คิดมากมายที่ได้จากรับจาก Jesse Livermore ก็มีประโยชน์ไม่น้อยกับนักลงทุนรุ่นหลัง ส่วนตัวผมชอบแนวคิดหลักของเขาคือ เรื่องการอย่าขาดทุน (แม้บางครั้งเขาเองจะไม่สามารถรักษาเงินทุนได้ แต่เขาเองก็ยัง พยายายามรักษาจุดยืน การตระหนักถึงความเสี่ยงนี้อยู่) รวมไปถึงการตัดขาดทุน(Cutloss) ที่สมัยนั้นมีคนใช้แนวคิดนี้ไม่มาก Jesse Livermore เป็นคนที่ตัดขาดทุนเร็ว เขาคำนวณราคาตัดขาดทุนล่วงหน้าเสมอ เขายอมเสี่ยงที่จะซื้อหุ้นทีละน้อยๆ เพื่อดูความแข็งแกร่งของราคาหุ้น ถ้าผิดทางก็ไม่เสียดายที่ขาดทุนเล็กน้อย แต่กรณีที่หุ้นนั้นอ่อนแอหรือไหลลง เขาก็จะตัดขาดทุนทันที ไม่มีการซื้อถั่วเฉลี่ย รวมถึงบางครั้งถ้าการตกลงมีกำลังมาก เขาก็จะทำการ short sell หุ้นตัวนั้น อีกแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจคือ Jesse Livermore เป็นคนที่ไม่ลงทุนในหุ้นหลายตัว เขาเน้นที่การโฟกัสไปที่หุ้นบางตัว และใช้เวลาในการศึกษา ติดตามพฤติกรรมราคาหุ้น จนเข้าใจ จึงทำการทยอยซื้อลงทุน และยอมปล่อยให้กำไรเติบโตขึ้นเรื่อยๆตามแนวโน้มราคาหุ้น (Let's profit run) สุดท้ายคือแนวคิดการรักษากำไรไว้ในรูปเงินสด เพื่อเป็นทุนสำรอง ไว้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่นำเงินกำไรไปเล่นในหุ้นต่อเนื่องจนหมด Jesse Livermore อาจจะจะไม่ได้จบแบบสวยหรู แถมหวือหวา และเขาเองยังมองว่าชีวิตตัวเองนั้นล้มเหลว แต่ถ้าเราพิจารณาเรื่องราวที่ผ่านมาของเขาดีๆ จะพบว่าแง่คิดต่างๆนั้นเป็นเรื่องคลาสิกและยังสามารถประยุกต์ใช้ได้ในปัจจุบัน ที่สำคัญหลายข้อผิดพลาดของเขา ยังเป็นบทเรียนที่ดีสอนใจ เราได้อีกด้วย ถ้าต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมแนะนำเพื่อนๆนักลงทุน ลองหาหนังสือ "Reminiscences of a Stock Operator" มาอ่านดูครับ It isn't as important to buy as cheap as possible as it is to buy at the right time. Jesse Livermore อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 fb อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 ดูภาพแบบนี้แล้วรันทดจังเลย อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ วันที่ 10 กันยายน 2555 15:50 'โซรอส' กระตุ้นเยอรมนีชี้นำยูโรโซน โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 'จอร์จ โซรอส' ท้าทายเยอรมนี กล้าเป็นผู้นำยูโรโซน หรือแยกตัวออกไปจากกลุ่ม เพื่อคลี่คลายวิกฤติหนี้ นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดัง กล่าวผ่านหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ ว่า เยอรมนี ควรจะเป็นผู้นำยูโรโซนออกจากภาวะถดถอย ด้วยการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือไม่ก็เป็นฝ่ายผละออกจากยูโรโซนเสียเอง ซึ่งทางเลือกหลังอาจทำให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลาย นาย โซรอส ซึ่งสนับสนุนการรวมตัวของยุโรป แต่ไม่พอใจการบริหารจัดการวิกฤติยูโรโซนของเยอรมนี กล่าวว่า เขาจะยินดีอย่างยิ่งหากเยอรมนีอยู่ในยูโรโซนต่อไป แต่เพื่อประโยชน์ของยุโรป รัฐบาลเบอร์ลินต้องยอมละทิ้งจุดยืนในการรัดเข็มขัด และแสดงบทบาทผู้นำที่เมตตา นาย โซรอส ชี้ว่า การแสดงบทบาทผู้นำของเยอรมนี จะก่อให้เกิดสนามพบปะระหว่างประเทศลูกหนี้และเจ้าหนี้ และการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ระดับ 5% ขึ้นไป จะชักนำยุโรปหลุดพ้นจากภาระหนี้ ในกรณีที่เยอรมนีผละออกจากกลุ่ม เงินยูโรก็จะอ่อนค่าลง ทำให้ภาระหนี้ยูโรโซนลดลง ประเทศที่เป็นลูกหนี้จะมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น พ่อมดการเงินชื่อดังแสดงความวิตกว่า หากยูโรโซนล่มสลาย ยุโรปจะย่ำแย่ยิ่งกว่าตอนเริ่มก่อตั้งกลุ่ม พร้อมออกตัวว่า เขาไม่ใช่แค่นักเก็งกำไร แต่คิดว่าวัยของเขาเหมาะสมที่จะออกมาพูดเรื่องนี้ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 การเงิน - การลงทุน วันที่ 10 กันยายน 2555 15:35 ธปท.จับตาศาลเยอรมันตัดสินสะเทือนศก.โลก โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แบงก์ชาติจับตาศาลเยอรมันตัดสิน 12 ก.ย. สะเทือนเศรษฐกิจโลก หากการจัดตั้งกองทุน ESM สะดุด ระบุ QE3 มีผลต่อภาคศก.แท้จริงไม่มาก นาย ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะดำเนินมาตรการเพิ่มปริมาณเงินในระบบ(คิวอี) รอบ 3 จริง แต่เชื่อว่าผลที่มีต่อภาคเศรษฐกิจแท้จริงคงไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดการเงินมากกว่า อย่างไรก็ตามเขาปฎิเสธที่จะให้ความเห็นว่าสุดท้ายแล้วเฟดจะดำเนินมาตรการคิวอีรอบ3 หรือไม่ "ดูแล้วถึงมีคงไม่ส่งผลต่อภาคเรียลเซ็กเตอร์มากนัก จะไปในลักษณะตลาดเงินมากกว่า ส่วนเรื่องที่สหรัฐต้องการลดอัตราการว่างงานในภาคเศรษฐกิจลงนั้น จริงๆ แล้ว ภาพรวมสหรัฐขณะนี้ ถือว่า Stabilize (มั่นคง) ค่อนข้างมาก ถ้าดูพัฒนาการในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจเขาค่อนข้าง Stabilize ไม่มีอะไรที่น่ากลัว" สำหรับความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นลักษณะซบเซายาวนานเหมือนกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับญี่ปุ่นนั้น เขากล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐมีความยืดหยุ่นมากกว่า ที่สำคัญโครงสร้างประชากรของสหรัฐไม่ได้มีคนสูงอายุมากเท่ากับญี่ปุ่นด้วย ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามในช่วงสุดท้ายของปีนี้ คงเป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่จะมีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก เช่น คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันในวันที่ 12 ก.ย.นี้ เรื่องการลงนามในการจัดตั้งกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป(ESM) ว่าสามารถทำได้หรือไม่ รวมทั้งถ้ามีการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวได้จริง คงต้องติดตามดูต่อไปว่า เงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือของกองทุนนี้จะเป็นอย่างไร รวมทั้งจะสามารถบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงการจัดตั้งได้หรือไม่ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 'โทนี่ แบลร์'ใช้เวลาไม่ถึง3ชม.ทำเงิน30ล้านบ. อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 (มีการแก้ไข) มนัส กิ่งจันทร์ ถูกแก้ไข กันยายน 10, 2012 โดย ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ กันยายน 10, 2012 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น