ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

198773_544094558941102_696954442_n.jpg

 

 

KING'S ARMY

October 18

 

ภาพพระบรมสาทิสลักษณ์จาก นิทรรศการ ศิลปกรรมเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถครั้งที่16

 

ศิลปิน พงศธร นวลจันทร์คง

ชื่อภาพ ในหลวง

เทคนิค charocal&canyon

 

 

ขอขอบคุณภาพพระบรมสาทิสลักษณ์จาก สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย

 

http://www.redcrossfundraising.org/home/html/Activites2.aspx?ContentID=911&CategoryID=28

ทรงพระเจริญ

เรารักในหลวง

ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ล้อเล่นก็ว่าใจร้าย มะเป็นไร เนอะ

 

563876_342196759210614_1813611925_n.jpg

 

Ready to fight?

1,000,000 pic

 

ล้อเล่นก็ว่าใจร้าย มะเป็นไร เนอะ

 

 

563876_342196759210614_1813611925_n.jpg

 

Ready to fight?

1,000,000 pic

 

อ้าว แล้วนี่ไม่รู้หรอกหรือว่าล้อเล่น ใครจะให้คิดว่าพูดจริง กะลังนั่งหวั่นๆอยู่นี่

แล้วนี่แปะรูปอะไรให้ดูเนี่ย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

อ้าว แล้วนี่ไม่รู้หรอกหรือว่าล้อเล่น ใครจะให้คิดว่าพูดจริง กะลังนั่งหวั่นๆอยู่นี่

แล้วนี่แปะรูปอะไรให้ดูเนี่ย

ขำๆดีออกนะ 5555

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

23/10/2555

 

23 ตุลาคม “วันปิยมหาราช”

5_584.jpg

วันปิยมหาราชตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกให้กับประเทศไทยครั้งใหญ่หลวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต

 

เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่ เคารพรักของทวยราษฎร์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการ ทั้งในการปกครองบ้านเมือง และพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชนทุกหมู่เหล่า

 

 

(คลิปวิดีโอสมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปตอนที่ 1 เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่หาชมได้ยากยิ่ง *การเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ เป็นภาพยนตร์ขณะเสด็จขึ้นจากเรือพระที่นั่งของสวีเดน “วาสะออเดน” ณ ท่าลอการ์ด (Logard) ซึ่งออกไปรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวงจากเรือใหญ่ “โอลาสตาร์” ของพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียซึ่งให้มาส่งพระพุทธเจ้าหลวง จากรัสเซียแทนเรือของไทยที่ส่งไปซ่อม โดยมีการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติโดยพระเจ้ากรุงสวีเดนและนอร์เวย์ (พระองค์แรกที่ขึ้นจากเรือฉลองพระองค์ชุดทหารสีเข้ม) ซึ่งในครั้งนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฏราชกุมาร (รัชกาลที่๖) โดยเสด็จด้วย (ฉลองพระองค์ชุดทหารสีเข้ม ทรงขึ้นจากเรือต่อจากพระพุทธเจ้าหลวง*)

 

 

 

( เสด็จประพาสยุโรปตอนที่ 2 *การรับเสด็จรัชกาลที่ ๕ ณ กรุงเบิร์น แห่งประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ โดยพระองค์ท่านประทับบนรถม้าพระที่นั่ง โปรดสังเกตด้านบนซ้ายจะเห็นธงช้างเผือกห้อยรับเสด็จอยู่ด้วย*)

 

ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทางราชการได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า “วันปิยมหาราช” และกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ

คำว่าปิยมหาราช มาจากพระสมัญญาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช”

พระราชประวัติโดยสังเขป

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี) เมื่อ พระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น “กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ” ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น “กรมขุนพินิตประชานาถ” บรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”

เนื่องจากขณะนั้นมีพระชันษาเพียง 15 พรรษา ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญพระมหาอุปราช

2122.jpg

(เจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ (ร.5) เมื่อทรงพระเยาว์ ถ่ายโดยชาวต่างชาติ)

ระหว่างที่สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่นั้น สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ทรงใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาเป็นอันมาก เช่น โบราณราชประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชามวยปล้ำ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม

ในตอนนี้ยังได้เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา 2 ครั้ง เสด็จประพาสอินเดีย 1 ครั้ง การเสด็จประพาสนี้มิใช่เพื่อสำราญพระราชหฤทัย แต่เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรปนำมาใช้ปกครองเมืองขึ้นของตน เพื่อจะได้นำมาแก้ไขการปกครองของไทยให้เหมาะสมแก่สมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนการแต่งตัว การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานก็ใช้ยืน และนั่งตามโอกาสสมควร ไม่จำเป็นต้องหมอบคลานเหมือนแต่ก่อน

ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ ทรงปกครองทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้มั่งคั่งสมบูรณ์ ดัวยรัฐสมบัติ พิทักษ์พสกนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข บำบัดภัยอันตรายทั้งภายในภายนอกประเทศ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ และสามารถธำรงเอกราชไว้ตราบจนทุกวันนี้

piya3.jpg

(ครั้งทรงผนวชเป็นพระภิกษุ)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 หรือวันปิยมหาราชในปัจจุบันนี้ รวมพระชนมายุได้ 58 พรรษา ทรงครองราชสมบัติมานานถึง 42 ปี

พระราชกรณียกิจที่สำคัญในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

1. การเลิกทาส

เป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช” ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า มีทาสในแผ่นดินเป็นจำนวนมาก และลูกทาสในเรือนเบี้ยจะสืบต่อการเป็นทาสไปจนรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต พระองค์จึงทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่า จะต้องเลิกทาสให้สำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะทาสมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้ เมื่อไม่มีทาส บุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจและก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว

พระองค์จึงตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ มีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ.2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี และพอครบอายุ 21 ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง จากนั้นใน พ.ศ.2448 จึงได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า “พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124″ (พ.ศ.2448) เลิกลูกทาสในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป และการซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด

ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน ในเวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยไม่เกิดการนองเลือดเหมือนกับประเทศอื่นๆ

King_and_Tsar.jpg

2. การปฏิรูประบบราชการ

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่างๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน จากเดิมมี 6 กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงลาโหม, กระทรวงนครบาล, กระทรวงวัง, กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตราธิการ ได้เพิ่มอีก 4 กระทรวง รวมเป็น 10 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ และการศึกษา, กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่างๆ , กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง งานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง และกระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ

6540000.jpg

3.การสาธารณูปโภค

การประปา ทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จังหวัดปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2452

การคมนาคม วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์ เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไปนครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย

นอกจากนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพาน และถนนอีกมากมาย คือ ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนดินสอ ถนนบูรพา ถนนอุณากรรณ เป็นต้น และโปรดให้ขุดคลองต่างๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางคมนาคม และส่งเสริมการเพาะปลูก

การสาธารณสุขเนื่องจากการรักษาแบบยากลางบ้านไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที สมเด็จพระปิยมหาราชจึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลศิริราช” เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ.2431

การไฟฟ้า สมเด็จพระปิยมหาราชพระองค์ทรงมอบหมายให้กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2433

การไปรษณีย์ โปรดให้เริ่มจัดขึ้นในปี พ.ศ.2424 รวมอยู่ในกรมโทรเลข ซึ่งได้จัดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2412 โดยโทรเลขสายแรกคือ ระหว่างจังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) กับจังหวัดสมุทรปราการ

pic_no_1_Rama5pic.jpg

4. การเสด็จประพาส

สมเด็จพระปิยมหาราชทรงเสด็จประพาส การเสด็จประพาสเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอันหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยหลังจากเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสแล้ว ก็ได้เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง ในปี พ.ศ.2440 ครั้งหนึ่ง และในปี พ.ศ. 2450 อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในยุโรป ตลอดจนประเทศฝรั่งเศสด้วย อีกทั้งยังได้ทรงเลือกสรรเอาแบบแผนขนบธรรมเนียมอันดีในดินแดนเหล่านั้นมาปรับปรุงในประเทศให้เจริญขึ้น

ในการเสด็จประพาสครั้งแรกนี้ ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาตลอดระยะทางถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินีนาถ (ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระราชหัตถเลขานี้ต่อมาได้รวมเป็นหนังสือเล่มชื่อ “พระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน” ให้ความรู้อย่างมากมายเกี่ยวแก่สถานที่ต่างๆ ที่เสด็จไป

ส่วนภายในประเทศ ก็ทรงถือว่าการเสด็จประพาสในที่ต่างๆ เป็นการตรวจตราสารทุกข์สุขดิบของราษฎรได้เป็นอย่างดี พระองค์จึงได้ทรงปลอมแปลงพระองค์ไปกับเจ้านายและข้าราชการ โดยเสด็จฯ ทางเรือมาดแจวไปตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ เพื่อแวะเยี่ยมเยียนตามบ้านราษฎร ซึ่งเรียกกันว่า “ประพาสต้น” ซึ่งได้เสด็จ 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ.2447 และในปี พ.ศ.2449 อีกครั้งหนึ่ง

21jk1.jpg

5. การศึกษา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงโปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง คือ “โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ” ต่อมาโปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นเป็นแห่งแรก คือ “โรงเรียนวัดมหรรณพาราม” และในที่สุดได้โปรดให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2435 (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) เพื่อดูแลเรื่องการศึกษาและการศาสนา

m93953.jpg

6. การปกป้องประเทศจากการสงครามและเสียดินแดน

เนื่องจากลัทธิจักรวรรดินิยมได้แผ่อิทธิพลเข้ามาตั้งแต่ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ปรีชาสามารถอย่างสุดพระกำลังที่จะรักษาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนไปก็ตาม โดยดินแดนที่ต้องเสียให้กับต่างชาติ ได้แก่

พ.ศ.2431 เสียดินแดนในแคว้นสิบสองจุไทย

พ.ศ.2436 เสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ให้ฝรั่งเศส และฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีไว้

พ.ศ.2447 เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองจันทบุรี แต่ฝรั่งเศสได้ยึดตราดไว้แทน

พ.ศ.2449 เสียดินแดนที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับตราด และเกาะทั้งหลาย แต่การเสียดินแดนครั้งสุดท้ายนี้ไทยก็ได้ประโยชน์อยู่บ้าง คือฝรั่งเศสยอมยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยอมให้ศาลไทยมีสิทธิที่จะชำระคดีใดๆ ที่เกิดขึ้นแก่ชาวฝรั่งเศส ไม่ต้องไปขึ้นศาลกงสุลเหมือนแต่ก่อน

ส่วนทางด้านอังกฤษ ประเทศไทยได้เปิดการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษ รวมถึงเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้วย ใน พ.ศ.2454 อังกฤษจึงยอมตกลงให้ชาวอังกฤษ หรือคนในบังคับอังกฤษมาขึ้นศาลไทย และยอมให้ไทยกู้เงินจากอังกฤษ เพื่อนำมาใช้สร้างทางรถไฟสายใต้จากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์ เพื่อตอบแทนประโยชน์ที่อังกฤษเอื้อเฟื้อ ทางฝ่ายไทยยอมยกรัฐกลันตัน ตรังกานูและไทยบุรี ให้แก่สหรัฐมลายูของอังกฤษ.

………………………………………

สำนักข่าวเจ้าพระยา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเงิน - การลงทุน : ถนนนักลงทุน

 

วันที่ 23 ตุลาคม 2555 01:00

 

'ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ' วิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากบการเงิน

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

news_img_474674_1.jpg

 

อยากเล่นหุ้นได้กำไรต้องอ่านงบการเงินให้ 'ขาดกระจุย' ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้น VI เจ้าของพอร์ต 'เลข 9หลัก'

 

ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้นวีไอ วัย 44 ปี เป็นที่ร่ำลือว่ามีความสามารถในการ "ถอดงบการเงิน" เป็นเลิศ เขามีข้อได้เปรียบตรงที่ว่าเคยผ่านงานธนาคารต้องวิเคราะห์สินเชื่อลูกค้าว่ามีกำลังผ่อนชำระคืนแบงก์ได้หรือไม่ เขานำประสบการณ์ตรงนั้นบวกกับความรู้ที่ร่ำเรียนมาวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า ความสามารถนี้เองที่ทำให้เขาสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นได้อย่างงดงาม

เขาเล่าว่า หลังจากค้นพบแนวทางของตัวเอง การเล่นหุ้นก็เริ่มได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ในอดีตเคยมีประสบการณ์ "ถือหุ้นตัวเดียว" นานถึง 8 ปี คือ หุ้นไว้ท์กรุ๊ป (WG) โดยใช้ซื้อภรรยา (มยุรี วงแก้วเจริญ) ซื้อตอนปี 2544 เหตุผลที่ชอบหุ้นตัวนี้ เพราะมีกระแสเงินสดดี ซื้อหุ้น WG มาในราคา 13-14 บาท ขายไปตอนราคา 60 บาท (ปัจจุบันราคา 81-82 บาท) เพื่อไปซื้อหุ้นตัวอื่นที่คิดว่าดีกว่า เฉพาะเงินปันผลอย่างเดียวก็ "คืนทุน" หมดแล้ว ปีแรกๆ ซื้อราคา 13 บาท ปันผล 1 บาท ซึ่งปันผลของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปี จนปีหลังๆ จ่ายปันผลสูงถึงหุ้นละ 4 บาท

นอกจากกระแสเงินสดดีแล้วหุ้นตัวนี้ผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ เนื่องจากไว้ท์กรุ๊ปมีสูตรเคมีภัณฑ์เฉพาะเป็นของตัวเอง ลูกค้าอยากได้แบบไหนบริษัททำได้หมด ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันดีมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ที่สำคัญสมัยก่อนบริษัทนี้ ยังมีธุรกิจอื่นเสริมโดยเฉพาะธุรกิจโกดังให้ลูกค้าเช่าเป็นคลังสินค้า และมีสำนักงานให้เช่าแถวเอกมัย ทำให้เขามีกระแสเงินสด และมีมาร์จิ้นที่ดีขึ้น เพราะตึกมันลงทุนไปแล้วสามารถรับรู้รายได้ค่าเช่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจทั้งหมดทำให้ไว้ท์กรุ๊ป มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่เก็บหุ้น WG บริษัทนี้ยังไม่มีใครรู้จัก

ความแตกต่างจากเซียนหุ้นทั่วไป ฉัตรชัยจะทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดในหุ้นที่เขามั่นใจเพียงไม่กี่ตัว เรียกว่า "จัดเต็ม" แบบไม่กลัวเสี่ยง..ถ้าเขามั่นใจ ปัจจุบันเขาถือหุ้นเพียงแค่ 2 ตัว โดยหุ้นตัวแรกถือ 90% ของพอร์ต อีกตัวถือ 10% ของพอร์ต

"ผมลงทุนไม่เหมือนคนอื่นเป็นคนซื้อหุ้นยากมาก ในรอบ 10 กว่าปีมานี้ถือหุ้นไม่กี่ตัว คนอื่นเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแต่ผมจะถือหุ้นไปจนกว่าจะถึงเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ ในอดีตเคยถือหุ้นมากที่สุดแค่ 4 หุ้น ผมมันพวก “สเปกเยอะ” ถ้ามั่นใจตัวไหนผม “จัดเต็ม” อย่างตอนนี้มีหุ้นอยู่ในมือแค่ 2 ตัว ใครเป็นมาร์เก็ตติ้งผมไม่ค่อยได้ค่าคอมมิชชั่นเท่าไร"

แม้ฉัตรชัยจะไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อหุ้นที่ซื้อ แต่จากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ BizWeek พบชื่อ มยุรี วงแก้วเจริญ ภรรยาของ ฉัตรชัย ถือหุ้น ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) 6,801,000 หุ้น สัดส่วน 2.52% และหุ้น แมนดารินโฮเต็ล (MANRIN) จำนวน 500,000 หุ้น สัดส่วน 1.86% ปัจจุบันมีมูลค่ารวมประมาณ 130 ล้านบาท

ทำไม! ถึงซื้อหุ้น 2 ตัวนี้ เซียนหุ้นร้อยล้าน บอกเพียงว่า ตัวที่โฟกัส 90% ของพอร์ตอยู่กลุ่ม Commerce บริษัทไม่มีคู่แข่ง ทำธุรกิจสบายๆ ผู้บริหารเก่ง (บุญยง ตันสกุล) ถือหุ้นตัวนี้มานาน 2-3 ปีแล้ว ตอนนี้เขาโตเร็วมาก และยังมีช่องจะเติบโตเพื่อกินมาร์เก็ตแชร์เจ้าอื่นด้วย สมัยก่อนบริษัทนี้เคยผิดพลาดทำให้เขาล้ม ตอนนี้กำลังจะกลับมาบุกตลาดอีกครั้ง จากการวิเคราะห์งบการเงินในช่วง 3 ปีข้างหน้า มั่นใจว่าบริษัทนี้จะขยายตัวสม่ำเสมอทุกปี

ส่วนหุ้นอีกตัวที่โฟกัส 10% อยู่ในกลุ่มโรงแรม ถือหุ้นมาแล้ว 2 ปี หุ้นตัวนี้ไม่ได้เข้าข่ายกลยุทธ์ไม่มีคู่แข่ง หรืองบการเงินดีเท่าไร จริงๆ ไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไร ตอนที่ซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะเห็นว่าบริษัทสามารถต่อสัญญาเช่าที่ดินแถวสามย่าน ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงแรมกับเจ้าของที่ดินได้ เห็นว่าทำเลค่อนข้างดีก็เลยซื้อหุ้นเก็บไว้ ช่วงนั้นคิดว่าจะถือไว้สัก 3 ปี น่าจะได้กำไร ปัจจุบันบริษัทนี้มีโรงแรมในกรุงเทพ 1 แห่ง และที่เขาใหญ่ 1 แห่ง

“ผมเชื่อว่าหุ้น 2 ตัวนี้ (SINGER, MANRIN) จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต แม้วันนี้หุ้นตัวหนึ่งจะปันผลน้อยเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ เขาต้องนำเงินไปลงทุนขยายกิจการหลังจากเพิ่งฟื้นตัว ส่วนอีกตัววันนี้ยังไม่มีเงินปันผล แต่ระยะยาวน่าจะดี..ผมอดทนรอได้”

เซียนหุ้นวีไอวัย 44 ปี กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตอนนี้ อยู่ตรงที่ส่วนใหญ่ “แพงมาก" แล้ว ซึ่งตนเองชอบซื้อหุ้นตอนราคาต่ำกว่าพื้นฐาน 50% ปัจจุบันหาได้ยาก หุ้นค้าปลีก หุ้นโรงพยาบาล ไม่สนใจแม้ธุรกิจจะดีแต่ราคาก็แพง ถ้าวันหนึ่งราคาลงมาอาจจะซื้อ การลงทุนแบบวีไอสำคัญที่ต้องประเมินมูลค่าหุ้นให้เป็น ก็เหมือนการซื้อรถยนต์ ถึงรถจะดีแต่ถ้าราคาแพงเกินไปก็ไม่ซื้อ "ของดี" อาจไม่ใช่ของที่ "ดีที่สุด" ก็ได้

ส่วนพวกหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ เขายอมรับว่า "ไม่ชำนาญ" วงจรธุรกิจสวิงมากเหมาะกับการ "เก็งกำไร" มากกว่าโอกาสพลาดมีสูง ส่วนหุ้น IPO ไม่ชอบเลย ฐานข้อมูลต่างๆ ยังน้อย ชอบหุ้นที่เห็นกันมานาน 5-10 ปีดีกว่า ปัจจุบันฉัตรชัย จะลงทุนผ่าน บล.เคที ซีมิโก้ และ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เขาชอบแชร์ข้อมูลดีๆ ผ่านเว็บไซต์และชวนกันไปฟังข้อมูลจากผู้บริหาร

ถามว่าการลงทุนตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร..? เขากล่าวว่า บอกตรงๆ ไม่เคยคิดเลย ตอนเริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกมีคนเคยบอกว่า คนเล่นหุ้น 10 คน เจ๊ง 8 คน เสมอ 1 คน ได้กำไร 1 คน ส่วนตัวขอเป็น 2 ใน 10 คนที่ไม่เจ๊งก็พอ ทุกวันนี้ยึดอาชีพนักลงทุนอย่างเดียว ภรรยาเป็นแม่บ้าน มีลูกสาว 2 คน หลายคนอยากออกมาทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง การลงทุนในหุ้นก็เป็นเจ้าของกิจการได้เหมือนกัน แถมมีข้อดีมากกว่าด้วยเพราะถ้ากิจการไม่ดีเราสามารถขายหุ้นไปลงทุนกิจการใหม่ได้

ฉัตรชัย บอกว่า รู้สึกตะขิดตะขวงใจทุกครั้งเวลาฟังรายการวิทยุมีนักลงทุนโทรไปถามนักวิเคราะห์ว่าติดหุ้นตัวนี้ควรซื้อหรือขายดี นักวิเคราะห์ก็จะถามกลับว่าต้นทุนเท่าไร อยากถามว่าต้นทุนมันเกี่ยวอะไรกัน เราซื้อหุ้นต้องดูที่อนาคตไม่ใช่ต้นทุน สมมติติดหุ้นราคา 20 บาท ราคาตลาด 15 บาท แต่หุ้นมีโอกาสวิ่งไป 30 บาท ฉะนั้นคำแนะนำแบบนั้นมันใช้ได้มั้ย!

เขาบอกว่า เท่าที่สัมผัสนักลงทุนส่วนมากชอบ "สูตรสำเร็จ" การลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จ และสูตรสำเร็จของแต่ละคนและแต่ละสถานการณ์ก็ไม่เหมือนกัน อยากจะเล่าให้ฟังสมัยก่อนตอนเกิดวิกฤติแบล็คมันเดย์ คนที่ทน "ถือหุ้น" หรือ "ซื้อเพิ่ม" เขาได้กำไรกันถ้วนหน้า เพราะหุ้นตกไม่นานก็ขึ้น พอมาวิกฤติปี 2540 คนก็ยังคิดว่าตลาดหุ้นจะเป็นแบบนั้นอีก ก็พากันแห่ไปไล่ซื้อ สุดท้ายหุ้นตกจาก 1,700 จุด ตกเหลือ 200 จุด

"สุดท้ายเจ๊งกันหมด บางบริษัทปิดตัวไปเลย ฉะนั้นคุณต้องรู้จักประเมินมูลค่าธุรกิจ และวิเคราะห์สถานการณ์ให้ออก การลงทุนมันไม่สูตรสำเร็จว่าถ้าเกิดวิกฤตแล้วต้องซื้อหุ้นเท่านั้น ขายเท่านี้..มันไม่มี"

เซียนหุ้นวีไอร้อยล้าน กล่าวปิดท้ายว่า กลยุทธ์การลงทุนที่เน้นให้ซื้อหุ้นตอนวิกฤติ เพราะจะได้ของถูก คนพูดแบบนี้แปลว่าประสบการณ์เขายังน้อยคงยังไม่เคยโดนวิกฤติตอนปี 2540 (หัวเราะ) ถ้าผ่านมาแล้วจะไม่พูดแบบนี้ ส่วนตัวไม่เคยขายหุ้นตอนวิกฤติ หากมั่นใจหุ้นตัวนั้นพื้นฐานดีจริงๆ วันหนึ่งมันต้องกลับมา

'กำไรสุทธิ' สำคัญน้อยกว่า 'กระแสเงินสด'ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้นวีไอ "ร้อยล้าน" จะให้น้ำหนักการวิเคราะห์ลักษณะกิจการที่น่าลงทุนโดยพิจารณา 3 ส่วนหลักๆ คือ หนึ่ง..กระแสเงินสดของกิจการ บริษัทที่ดีต้องมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานปกติเติบโตสม่ำเสมอ ไม่ใช่กระแสเงินสดจากรายการพิเศษที่รับครั้งเดียว สอง..อัตราการจ่ายเงินปันผล ต้องสมเหตุสมผล สาม..คุณภาพสินทรัพย์ "ต้องดี" ส่วนพวกค่า P/E ยิ่งต่ำๆ ยิ่งดี แต่ไม่ได้ยึดติดเท่าไร ส่วนค่า P/BV ไม่ได้ดูเลย

สำหรับวิธีการดูงบการเงินอย่างย่อ ขั้นตอนแรก..เราจะต้องอ่าน "งบดุล" ของบริษัทนั้นก่อน ในงบดุลจะแสดง "สินทรัพย์" และ "หนี้สิน" สิ่งที่จะต้องไล่ดูคือ บริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร สินทรัพย์สำคัญของบริษัทนั้นคืออะไรและมันสอดคล้องกับการทำธุรกิจนั้นหรือไม่ ยกตัวอย่าง บางบริษัทมีเงินลงทุนในพอร์ตหุ้นจำนวนมากถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ใช่หุ้นที่ดี เราต้องมองโครงสร้างธุรกิจให้ขาด

จากนั้นก็ดู "คุณภาพสินทรัพย์แต่ละรายการ" ว่ามีมูลค่าตามที่บันทึกในบัญชีหรือไม่ เพราะบางครั้งมีการแต่งตัวเลขได้ ให้ดูลูกหนี้การค้า "ผิดนัดชำระ" เยอะมั้ย! แล้วมีการ "ตั้งสำรอง" เพียงพอหรือไม่ จากนั้นก็มาดูว่าบริษัทดังกล่าวมีหนี้สินเทียบกับทุนจดทะเบียนเยอะขนาดไหน เมื่อตรวจสอบครบแล้วเราก็เอางบดุล 3 ปี มาเปรียบเทียบกันจะทำให้เรารู้ว่าที่ผ่านมางบการเงินของเขาเป็นอย่างไร

ขั้นตอนต่อไปให้ดู “งบกำไรขาดทุน” ให้เน้นที่ “กำไรขั้นต้น” บริษัทที่ดีควรมีกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงทั้งในปัจจุบัน และอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้า จากนั้นจะดูว่าบริษัทมี "อัตรากำไรสุทธิ" เท่าไร ถ้าตัวเลขอยู่สูงๆ จะดีมาก เพราะจะบ่งบอกได้ว่า บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันค่อนข้างดี ไม่ใช่มาร์จิ้นบางเฉียบแค่ 1% หรือครึ่งเปอร์เซ็นต์ แบบนี้ไม่เอาปล่อยผ่านไป

"ผมชอบบริษัทที่มีกำไรขั้นต้นประมาณ 20% มีรายได้และกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยปีละ 15% ที่สำคัญบริษัทนั้นต้องมีต้นทุนขายลดลงหรือเสมอตัว ไม่เพิ่มเติมไปกว่าเดิม หากจะมีต้องมีเหตุผลที่สนับสนุนและต้องไม่ผันผวน"

ฉัตรชัย บอกว่า ส่วนตัวไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ "กำไรสุทธิ" มากเท่าไร เคยมีคำพูดประโยคหนึ่ง “Profit is opinion cash is real” กำไรเป็นเพียงความคิดเห็น กระแสเงินสดคือของจริง เพราะในงบกำไรขาดทุนบางอย่างมันขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ทางบัญชี โดยเฉพาะการกำหนดระยะเวลาการตัดค่าเสื่อมราคา ซึ่งมันสามารถทำให้ตัวเลขกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ทั้งๆ ที่เราค้าขายเหมือนเดิม

เขาเล่าต่อว่า ขั้นตอนสุดท้าย จะดู “งบกระแสเงินสด” เพราะมันจะบ่งบอกถึง "วงจรธุรกิจ" บางบริษัทมีกำไรดีแต่ไม่มีเงินให้ผู้ถือหุ้นเลย ได้เงินมาเท่าไรต้องนำไปซื้อเครื่องจักรรุ่นใหม่ หรือลงทุนตลอดเวลา บริษัทที่ดีต้องมีกระแสเงินสดเติบโตทุกปีเฉลี่ย 10-15% กระแสเงินสดจะบอกอะไรได้เยอะมาก เพราะจะทำให้เรารู้ว่าเงินเข้ามาจากการขายของ หรือไปกู้แบงก์หรือได้มากจากรายการพิเศษ

งบกระแสเงินสด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. จากการดำเนินงาน เงินรับเข้าและจ่ายออก 2. การลงทุน เช่น ซื้อเครื่องจักร ขายที่ดิน ขายเครื่องจักร ฯลฯ 3. กิจกรรมการจัดหาเงิน เช่น เพิ่มทุน กู้ยืมเงิน จ่ายเงินกู้ ซึ่งเงินสดจากการดำเนินงานสำคัญที่สุด เพราะมันจะบ่งบอกว่าบริษัทดำเนินธุรกิจแล้วมีเงินสดเหลือหรือไม่

สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรลืมดู นั่นคือ หมายเหตุประกอบงบการเงิน เพราะจะบ่งบอกว่าวิธีการตั้งบัญชีมีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง การรับรู้รายได้ขั้นตอนไหนถึงเรียกว่าเป็นรายได้ บางบริษัทบอกว่า “ฉันจะมีรายได้ตั้งแต่เอาหนังสือไปตั้งขาย แต่บางบริษัทบอกไม่ใช่ฉันจะมีรายได้เมื่อขายหนังสือได้แล้ว”

เขาระบายความในใจสั้นๆ ว่า นักลงทุนสมัยนี้เข้ามาลงทุนแล้วอยาก “รวยเร็ว” อยากได้สูตรสำเร็จให้คนเก่งช่วยกรองให้ว่า หุ้นที่ดีต้องมีค่า P/E เท่าไร ผลตอบแทนต้องเท่าไร ถ้าบริษัทไหนเข้าหลักเกณฑ์ฉันจะซื้อเลย ในความเป็นจริง “มันไม่ใช่” ถามว่าคุณเข้าใจหรือไม่ว่า การคำนวณราคาหุ้นด้วยค่า P/E คืออะไร..ผมเชื่อเลย “ไม่เข้าใจ”

สมมติหุ้นตัวนี้มีค่า P/E 10 เท่า หมายความว่า กำไร 1 บาท ราคาหุ้น 10 บาท นั่นแปลว่า ซื้อหุ้นแล้วอีก 10 ปีคืนทุน ตกกำไรปีละ 1 บาท แต่บางธุรกิจกำไรมันผันผวนจะให้มีกำไร 1 บาททุกปี มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นการใช้ค่า P/E คำนวณราคาหุ้นต้องใช้กับบริษัทที่เติบโตสม่ำเสมอ จริงอยู่การเล่นหุ้นด้วยการดูค่า P/E มันใช้ง่าย เพราะมันโชว์อยู่ในหนังสือพิมพ์ทุกวัน แต่มันไม่ใช่สูตรสำเร็จ ไม่อย่างนั้นนักลงทุนคงกำไรกันทั้งโลก

"ผมอยากให้นักลงทุนต้องศึกษารายละเอียดให้ลึก บางคนถามว่าบริษัทที่ดีควรมีอัตราหนิ้สินต่อทุนเท่าไร มันก็ไม่มีสูตรเหมือนกันขึ้นอยู่กับว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร แต่ถ้าเป็นบริษัททำธุรกิจปกติทั่วไปหนี้สินต่อทุนควรอยู่ระดับ 2 ต่อ 1 ไม่ควรมากกว่านี้"

Tags : ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเมือง

วันที่ 23 ตุลาคม 2555 09:03

 

'ปณิธาน'ชี้คำกล่าวรอมนีย์ขู่บุกอิหร่านทำได้ยาก

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

news_img_475063_1.jpg

 

'ปณิธาน'ชี้คำกล่าวรอมนีย์ ระหว่างการดีเบตครั้งสุดท้าย ขู่บุกอิหร่านทำ ได้ยาก อาจจะโดนตอบโต้หนักด้วยการนำกองเรืออิหร่านปิดอ่าวช่องแคบฮอร์มุซ

 

ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทนง ขันทอง บรรณาธิการเครือเนชั่น วิเคราะห์ศึกดีเบตรอบสุดท้ายระหว่าง บารัก โอบามา กับมิตต์ รอมนีย์โดยเฉพาะประเด็นที่ รอมนีย์ บอกถ้าได้เป็นประธานาธิบดี จะนำกองกำลังทหารสหรัฐออกไปบุกอิหร่าน ขณะที่โอบามา บอกว่า ไม่เป็นการที่ดีที่มากนักที่จะส่งทหารสหรัฐไปรบ

ดร.ปณิธาน บอกว่า คำกล่าวของรอมนีย์ ระหว่างการดีเบตครั้งสุดท้าย บอกจะบุกอิหร่าน นั้นทำได้ยาก และอาจจะโดนตอบโต้หนักด้วยการนำกองเรืออิหร่านปิดอ่าวช่องแคบฮอร์มุซ โดยแสนยานุภาพทางทะเลนั้นอิรห่านได้เงินจากการขายน้ำมันให้จีน มาพัฒนากองเรือที่สามารถปิดอ่าวได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเงิน - การลงทุน

 

วันที่ 23 ตุลาคม 2555 08:00

 

ลุ้นดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งแตะ1,500จุดใน1ปี

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

news_img_475051_1.jpg

 

โบรกฯ นอกมองดัชนีหุ้นไทยในอีก 12 เดือน มีลุ้นแตะ 1,500 จุด ภายใต้ไม่มีปัญหาการเมืองเกิดขึ้น

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ ระบุว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยคาดในอีก 12 เดือนข้างหน้า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปยืนที่ระดับ 1,500 จุด หรือเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 15% บนสมมติฐานไม่เหตุการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคาร และสื่อสาร

ขณะที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยได้แนะนำให้ซื้อหุ้นอินโดรามา เนื่องจากรับอานิสงส์ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่ทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะกรณีราคาฝ้ายในตลาดล่วงหน้าของสหรัฐฯ ล่าสุด เท่ากับ 77.86 เซนต์ต่อปอนด์ ปรับตัวสูงขึ้น 8% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา

สินค้าคอมมูนิตี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะราคาฝ้าย เพราะคาดว่าจะเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับผลผลิตของฝ้ายที่กำลังเก็บเกี่ยวในสหรัฐ อาจปรับตัวลดลงจากที่ตลาดคาดไว้ เป็นผลจากภัยแล้งที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในสหรัฐ ผนวกกับนโยบายของรัฐบาลจีนที่ต้องการพยุงราคาฝ้ายในประเทศ โดยใช้วิธีสะสมสต็อกมากขึ้น

"ทิศทางราคาฝ้ายที่ปรับสูงขึ้นในระยะสั้น คาดว่า จะส่งผลบวกต่อราคาผลิตภัณฑ์เส้นใยโพลีเอสเตอร์ ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนฝ้าย และส่งผลสืบเนื่องต่อผลการดำเนินงานของบริษัท อินโดรามา เนื่องจากบริษัทฯ มีโครงสร้างรายได้จากธุรกิจเส้นใยโพลีเอสเตอร์ราว 15% ของยอดขายรวม"

เขากล่าวว่าฝ่ายวิจัยเชื่อว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มฟื้นตัวจากกำลังการผลิตที่สูงขึ้น บวกกับแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่จะทยอยฟื้นตัว จึงคงคำแนะนำ ซื้อ

นักวิเคราะห์บล.บัวหลวง กล่าวว่าแนวโน้มระยะยาวของบริษัทอินโดรามา ยังคงสดใส แต่ความเป็นไปได้ในการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิและแนวโน้มส่วนต่างราคาที่ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งเป็นผลมาจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้เกิดมุมมองเชิงลบต่อหุ้นในระยะสั้น

"หากมีสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน คาดว่าส่วนต่างราคาจะกลับมาฟื้นตัวแรงและเป็นปัจจัยผลักดันราคาหุ้นในขณะนี้ซื้อขายอยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยภูมิภาค"

เขากล่าวว่าฝ่ายวิจัยได้ปรับลดการประมาณการกำไรสุทธิปี 2555 ลง 30% มาอยู่ที่ 8,130 ล้านบาท และปรับลดประมาณการปี 2556 ลง 23% มาอยู่ที่ 9,303 ล้านบาท เพื่อที่จะสะท้อนปริมาณขายที่ต่ำกว่าคาด ส่วนต่างราคา PET และราคาส่วนต่างโพลีเอสเตอร์ไฟเบอร์ที่อ่อนตัวลงกว่าที่ประมาณการไว้ และการปรับสมมติฐานค่าเสื่อมราคาและภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น เชื่อว่าตลาดจะทำการปรับลดประมาณการกำไร ดังนั้นจึงปรับลดราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2556 มาอยู่ที่ 33 บาท จากเดิม 36 บาท

Tags : บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอภาวะหุ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ

 

วันที่ 23 ตุลาคม 2555 06:52

 

แบงก์ชาติเยอรมนีเตือนศก.ไตรมาส 4 หดตัว

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

 

news_img_475047_1.jpg

 

 

ธนาคารกลางเยอรมนีเตือนเศรษฐกิจของประเทศอาจหดตัวในไตรมาส 4

 

 

จนถึงขณะนี้ เศรษฐกิจเยอรมนี ยังคงขยายตัว ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศหดตัวลง แต่ล่าสุด

ธนาคารกลางเยอรมนี

หรือ บุนเดสแบงก์ ได้ออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจเยอรมนีอาจหดตัวในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตในภูมิภาค

 

ธนาคารกลางเยอรมนี ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศซึ่งมีขนาดใหญ่สุดในยุโรปจะขยายตัวในไตรมาส 3 แต่อาจหดตัวเล็กน้อยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้

 

"มีสัญญาณเพิ่มมากขึ้นว่า หลังจากที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวอย่างโดดเด่นในไตรมาส 3 เราอาจเห็นเศรษฐกิจหยุดนิ่งหรือหดตัวเล็กน้อยในไตรมาส 4" บุนเดสแบงก์ระบุ

 

ทั้งนี้ เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัว 0.5% ในไตรมาสแรก และ 0.3% ในไตรมาส 2 ปีนี้

 

เยอรมนี เป็นผู้สนับสนุนหลัก ของกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) และกองทุนถาวรเพื่อรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ซึ่งเป็นเครื่องมือ เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศในยูโรโซน ได้แก่ กรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส และภาคธนาคารของสเปน

 

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Life Style

วันที่ 23 ตุลาคม 2555 09:00

บนทางเดิน...ไร้อิสรภาพ วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ

 

โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

 

news_img_474795_1.jpg

 

 

ถ้าไม่ได้มองว่า ชีวิตมีแค่ขาว หรือ ดำ เรื่องราวของหมอวิสุทธิ์ ก็จะเป็นบทเรียนอีกเรื่องในสังคม

 

"ท่านพุทธทาสสอนเรื่องตัวกู ของกู ทันทีที่เรามีตัวกู ของกู ก็จะนำมาซึ่งความโลภ โกรธ หลง ถ้าคนสามารถลดตัวตนได้ ปัญหาทุกอย่างก็ไม่เกิด..." นายแพทย์วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ อดีตสูตินารีแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งต้องโทษมานานกว่า 9 ปีในคดีฆาตกรรม พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ ขมวดปมเรื่องของเขา

 

เมื่อหลายปีก่อนเรื่องราวของเขาเป็นคดีดังที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เขาถูกตัดสินประหารชีวิต ถูกล่ามโซ่ตรวนอยู่ในแดนประหารเรือนจำบางขวางสองปี ซึ่งเขาสารภาพว่า ทุกข์ทรมานมาก หลังจากนั้นเขามีโอกาสทำงานบำเพ็ญประโยชน์ เป็นหมอรักษาโรคในเรือนจำ จึงได้ออกจากแดนประหารมาอยู่แดนพยาบาล รวมๆ แล้วปัจจุบันติดอยู่ 9 ปี

 

เพราะงานจิตอาสา ทำให้เขาหมกมุ่นกับตัวเองน้อยลง เห็นใจคนอื่นมากขึ้น และเวลาว่างที่ได้สัมผัสกับธรรมชาติรอบๆ ตัว ทำให้จิตใจของเขาอ่อนโยนมากขึ้น ประกอบกับมีเวลาไตร่ตรองชีวิตและปฎิบัติธรรม รวมถึงได้ฝึกฝนการเขียนจากโครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา โดยมี อรสม สุทธิสาคร นักเขียนสารคดี เป็นโต้โผใหญ่ในการคิดและดำเนินการโครงการ เรื่องเล่าจากแดนประหาร กระบวนการหนึ่งที่ทำให้นักโทษได้เรียนรู้การเขียนและการพัฒนาจิตจากวิทยากรหลากหลายอาชีพ

 

การเรียนรู้วิธีการเขียน ทำให้หมอวิสุทธิ์มีเรื่องเล่า จนมีผลงานหนังสือเล่มแรกในชีวิต กว่าจะฝ่าข้ามความตาย โดยมีอรสม สุทธิสาครเป็นบรรณาธิการ นอกจากนี้เขายังเป็นส่วนหนึ่งของกองบรรณาธิการ ข่าวจิตต์เสรี หนังสือพิมพ์เพื่อคนเรือนจำเขียนคอลัมภ์ สุขภาพดีมีที่นี่ ใช้นามปากกาว่า หมอธรรมดา

 

นั่นเป็นเรื่องคร่าวๆ ของหมอวิสุทธิ์ และอีกไม่เกิน 2 ปีเขาก็จะได้รับอิสรภาพ

 

ส่วนการพูดคุยในบรรทัดต่อไป ณ เรือนจำบางขวาง เป็นอีกบทเรียนของชีวิตในเรือนจำกับวันเวลาที่ไร้อิสระ เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนคนที่คิดจะทำผิด...

 

ตอนแรกๆ ที่เข้ามาอยู่แดนประหารเป็นอย่างไรบ้าง

ค่อนข้างลำบาก ต้องมาอยู่ร่วมกันในห้องแคบๆ ถูกใส่โซ่ตรวน ขาดอิสรภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจ ถ้าถามว่าตอนนั้นคิดอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองไหม ในช่วงปีครึ่งที่ติดคุก คิดแค่ว่า ทำอย่างไรให้ออกไปจากที่นั่น เราก็ดิ้นรนขอประกันตัว ต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ตอนนั้นเป็นช่วงการปรับตัว ก็คิดว่าทำไมในคุกโหดแบบนี้ ทำกับเราเหมือนสัตว์ ต้องอยู่ในห้องแคบๆ ประมาณ 23 คน ห้องน้ำมีห้องเดียว มีกฎเกณฑ์เข้มงวด เวลานักโทษขยับตัว เสียงโซ่ตรวนดังตลอดเวลา เหมือนอีกโลกหนึ่ง นั่นคือ สภาพความเป็นอยู่ที่ลำบาก แต่เรื่องจิตใจเป็นเรื่องใหญ่กว่า วันแรกๆ ที่เข้ามาโชคดี เสมียนแดน และเจ้าหน้าที่หัวหน้าแดน ดูแลเอาใจใส่ เพราะหลายคนคิดว่า เราจะรับเหตุการณ์นี้ไม่ได้ พวกเขากลัวว่า เราจะฆ่าตัวตาย พี่ใหญ่ในแดนประหารก็มาช่วยดูแล ซึ่งผมก็ได้รับความช่วยเหลือ

 

เมื่อดิ้นรนที่จะออกไปแล้ว แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด คุณหมอปรับตัวอย่างไร

เวลาเดินไปไหนก็มีโซ่ตรวนติดอยู่ อาบน้ำ ใส่กางเกง ลำบากหมด นอนในห้องแคบๆ คนเยอะ กลางคืนเปิดไฟตลอด แออัด ร้อนมาก แรกๆ รู้สึกมาก เมื่ออยู่ไปนานๆ ความรู้สึกทรมานก็น้อยลง เริ่มชิน ในที่สุดเราก็ยอมรับได้ เราเป็นนักโทษ ถ้าเราไม่ยอมรับก็ยิ่งดิ้นรน เหมือนหนูติดจั่น เมื่อเรายอมรับก็คิดว่า เราจะทำอย่างไรให้ดีกว่านี้ ต้องก้าวเดินจากจุดที่คิดวนเวียน ไม่อย่างนั้นก้าวเดินต่อไปไม่ได้

 

ในปีแรกๆ ที่เป็นผู้ต้องขังไม่ได้ใช้วิชาความรู้ช่วยเหลือคนเลย เพราะวนเวียนอยู่กับความคิด ?

วนเวียนอยู่กับเรื่องตัวเอง มองไม่เห็นคนอื่น แต่เมื่อคิดได้ มีโอกาสไปช่วยงานสถานพยาบาล ทางผู้อำนวยการก็มอบหมายให้ดูแลผู้ป่วย ตอนนั้นเราไม่ถนัดในการรักษาโรคทั่วไป ต้องดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิต ฯลฯ จึงต้องอ่านศึกษาเพิ่มเติม เพราะไม่เชี่ยวชาญ ที่หนักกว่านั้นคือ การรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์และวัณโรค เราต้องมาฟื้นฟูความรู้ ในยุคนั้นมีข้อมูลใหม่ๆอยู่ตลอด เราก็ได้หมอฝรั่งไร้พรมแดนมาช่วยดูแล ได้เรียนรู้จากพวกเขา และพวกเขาก็เต็มใจสอนเรา อ่านหนังสือเยอะมาก เหมือนเป็นนักศึกษาแพทย์และได้เรียนรู้จากผู้ป่วย ตอนนั้นได้ผู้ช่วยที่เป็นเพื่อนผู้ต้องขังที่มีจิตอาสา ตัวเราก็เรียนรู้และสอนพวกเขา ทำให้การดูแลผู้ป่วยดีขึ้น

 

สัมพันธภาพระหว่างเพื่อนผู้ต้องขังเป็นอย่างไรบ้าง

ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับใคร ไม่ได้อยากได้อะไรจากใคร ไม่มีผลประโยชน์กับใคร เพราะในคุกยังมีเรื่องผลประโยชน์ เราก็เลยไม่มีปัญหา และเราเป็นหมอมีประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ ใครไม่สบายก็มาปรึกษา เราก็ทำตัวเป็นประโยชน์

 

ทำให้หมกมุ่นกับตัวเองน้อยลง ?

เมื่อมาทำงานสาธารณะ ทำให้เราเห็นว่า คนอื่นลำบากกว่าเราเยอะ ตอนมาทำงานสถานพยาบาล ผู้ป่วยสอนเรา เขาน่าสงสารกว่าเรา ต้องมาป่วยในยามที่ไม่มีญาติพี่น้องดูแลเหมือนคนป่วยทั่วไป ผู้ป่วยที่นี่จึงต้องสู้ชีวิต เข้มแข็ง โดยเฉพาะผู้ป่วยเอดส์ ผมเต็มที่กับการดูแลผู้ป่วย เพราะอยู่ที่นี่ 24 ชั่วโมง นอนในตึกผู้ป่วย แดนพยาบาล

การมารักษาโรคที่ต่างจากที่เคยทำ ทำให้คุณหมอมีความถนัดในการรักษาโรคมากขึ้น ?

ได้ความรู้เพิ่มเติมในมุมกว้าง แต่ไม่ใช่มุมลึก ต้องดูแลผู้ป่วยเอดส์ วัณโรค เบาหวาน ฯลฯ

 

การเป็นหมอในเรือนจำมีข้อจำกัดอย่างไรบ้าง

เหมือนเราอยู่อีกโลก เป็นโลกที่ขาดแคลน ผู้ป่วยก็ด้อยโอกาสในทุกเรื่อง โอกาสที่จะไปรักษาที่อื่นก็จำกัด เครื่องมือจำกัดด้วยระบบของเรือนจำ แต่ถ้าผู้ป่วยรายไหน มีความจำเป็นต้องออกไปรักษาข้างนอก เราก็ทำเรื่องขออนุญาตได้

 

การทำงานในแดนพยาบาล ทำให้คุณหมอค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร

ทำให้เห็นใจคนอื่นและเมตตาคนอื่นมากขึ้น ต่างจากสมัยเป็นหมอข้างนอก ยังมีเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญมาเกี่ยวข้อง แต่อยู่ที่นี่ไม่มีแบบนั้นแล้ว ใจเรามีอิสรภาพมากขึ้น เราทำด้วยความอยากทำ ซึ่งมันก็ดีต่อตัวเรา ในแง่การพัฒนาจิตใจ

 

การเป็นหมอรักษาโรคในแดนพยาบาล มันท้าทายอย่างไร

ช่วงแรกๆ ท้าทายมาก ทำให้เรามุมานะในการศึกษาเพิ่มเติม เพราะเราไม่มีความรู้หลายเรื่อง ก็ต้องเรียนรู้จากตำราและคนมีประสบการณ์ เพราะต้องดูแลผู้ป่วยให้เร็วที่สุด เพื่อนฝูงในวงการแพทย์ก็ส่งหนังสือที่เป็นความรู้ใหม่ๆ มาให้ การได้ช่วยคนอื่นทำให้เราได้เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น

 

นอกจากหนังสือทางการแพทย์ คุณหมออ่านหนังสือประเภทไหนอีก

ตอนที่อยู่แดนประหาร หนังสือที่เข้ามาทุกอย่าง อ่านหมด ไม่ว่านิตยสาร หนังสือแปล หนังสือธรรมะ หนังสือการ์ตูน เพราะมีเวลาและทำให้ไม่หมกมุ่น แต่เป็นนิสัยของผม ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว

 

ถ้าให้มองย้อนหลังอีกนิด คุณหมอเห็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองตอนไหน

ค่อยๆ ดีขึ้นทีละนิด แต่ผมไม่รู้สึกตัว ผมมาประเมินได้ตอนได้นั่งทบทวนตอนเขียนหนังสือ แต่การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่ว่า พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

 

ความรู้สึกผิดในใจ คุณหมอจัดการอย่างไร

ตอนมาทำงานแดนพยาบาล ผมได้คิด ถ้าเราไม่สามารถให้อภัยตัวเองหรือคนรอบข้าง เราก็วนเวียนอยู่ที่เดิม ถ้าเราเริ่มให้อภัย ก็จะก้าวเดินต่อไปได้ เพราะก่อนหน้านี้ผมก็โทษไปหมด ไม่ว่าตัวเราหรือคนรอบข้าง ทำให้เราต้องอยู่ในสภาพนี้

 

มีอะไรที่สะกิดใจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเอง

แม้ผมจะอ่านหนังสือธรรมะและเข้าใจ แต่ยังไม่สามารถเคาะความรู้สึก มีอยู่วันหนึ่งผมออกมารับพัสดุด้านนอก ได้เห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง กำลังจะเดินออกจากเรือนจำ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่า มีพระสงฆ์เข้ามาในเรือนจำ วันนั้นทำให้นึกขึ้นได้ว่า เราต้องเอาอย่างพระคือ ปล่อยวาง ทำให้ผมคิดถึงคำที่เคยอ่านในหนังสือ ถึงแม้เราไม่ได้บวช ก็น่าจะทำตัวอย่างพระ เหมือนที่ท่านพุทธทาสสอนว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็บวชได้เสมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นพระ เราก็คิดว่า น่าจะตั้งใจปฎิบัติธรรม ต้องปล่อยวางให้ได้ พอทำอย่างนั้นได้ ก็เบาลง

 

แสดงว่า เคยมองตัวเองน่าเกลียด ?

ใช่ครับ

 

คุณหมอเคยคิดจะฆ่าตัวตายไหม

ไม่เคยครับ แต่ผมมาทราบภายหลังว่า คนที่มาช่วยดูแลผม เพราะเป็นห่วงว่า เราจะฆ่าตัวตาย

 

ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำแค่ไหน

ต้องรับสิครับ ไม่อย่างนั้นก็ให้อภัยตัวเองไม่ได้ แต่ตอนอยู่แดนประหาร ผมไม่ยอมรับ พยายามดิ้นรนเพื่อออกไป แต่ในที่สุดผมต้องยอมรับที่เราไม่ดูแลใจตัวเองให้ดี เพราะชีวิตคนเราคงไม่ใช่ขาวหรือดำ

 

ในเรือนจำ เพื่อนสนิทที่คุยกันบ่อย ?

มีเพื่อนทุกรูปแบบ ทำให้ผมเข้าใจชีวิตคนอื่นมากขึ้น ได้เรียนรู้เรื่องสังคมศาสตร์มากขึ้น อย่างผมไม่เคยรู้ว่า ชีวิตมือปืนเป็นอย่างไร ผมก็ได้รู้ เพราะมีเพื่อนเป็นมือปืนหลายคน หรือเพื่อนพ่อค้ายา เพื่อนที่สนิทด้วย ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร และชาวเขา เพราะพวกเขาไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ตรงไปตรงมา ง่ายๆ มีน้ำใจ

 

แล้วการเรียนเขียนสารคดีเป็นอย่างไรบ้าง

ก็ช่วยให้เข้าใจการเขียน เพราะผมติดค้างเพื่อนฝูง ไม่ว่าใครมาเยี่ยม ก็มักบอกว่า หมอเขียนหนังสือสิ ผมก็ไม่รู้จะเขียนหรือเล่าอย่างไร พอมาเรียนก็เริ่มเห็นทางจากโครงการเรื่องเล่าจากแดนประหาร

ซึ่งตอนนั้นเปิดรับสมัครคนที่เคยผ่านแดนประหารมาแล้ว การสมัครต้องเขียนเรียงความส่ง ผมเขียนเรื่องความฝันของข้าพเจ้า ตอนนั้นเราฝันอยากออกไปข้างนอกโดยเร็ว ฝันว่าจะทำประโยชน์ให้สังคมอย่างไร ฝันว่า ถ้าตายไปแล้ว ขอให้เกิดในแผ่นดินนี้อีก

 

นอกจากเรียนเขียนสารคดี ยังได้เรียนรู้เรื่องชีวิตจากวิทยากรที่หลากหลาย ?

เป็นเทคนิคของครูอรสม สุทธิสาคร ไม่ใช่แค่หลักการเขียน เรื่องของจิตอาสาก็พัฒนาเราด้วย ทำให้จิตใจเราอ่อนโยน มีมุมมองที่สวยงาม ในช่วงสองปีนี้ ผมค่อยๆ เปลี่ยนตัวเอง ทำให้ผมเห็นความสวยงามของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เราสามารถหาความสุขเล็กๆ ง่ายๆ มากขึ้น อย่างดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิทยาศาสตร์ที่ก่อตั้งชมรมคนรักมวลเมฆ มาสอนเราดูเมฆ แค่แหงนหน้ามองดูเมฆ ก็มีความสุขแล้ว ช่วงหลังๆ ชีวิตเปิดรับความสุขได้ง่ายขึ้น ทั้งๆ ที่คนรอบข้างในคุกเป็นคนเดิมๆ แต่เราสามารถเห็นความงดงามของเขามากขึ้น

 

อะไรทำให้คุณเขียนประสบการณ์ในเรือนจำออกมาเป็นหนังสือ

หลังจากเรียนมาแล้ว 14 สัปดาห์ สัปดาห์ละครั้ง ทำให้เราเริ่มเห็นความท้าทาย เมื่อจบคอร์สทำให้เรามั่นใจว่า คงเขียนได้ระดับหนึ่ง เพราะเราก็อยากฝึกเขียน โดยมีครูช่วยตรวจแก้ ผมมองว่า มันเป็นโอกาสที่ดี เพราะได้ครูแนะนำ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถพัฒนาได้ เพราะเวลามีคนมาเยี่ยมเรา ประโยคที่ต้องตอบเสมอคือ แต่ละวันทำอะไร

 

แล้วแต่ละวัน คุณทำอะไรบ้าง

ชีวิตที่นี่เหมือนเดิมทุกวัน ไม่มีเสาร์-อาทิตย์ เช้ามาก็รอให้ผู้คุมมาปล่อยตัวออกไปทำกิจวัตรส่วนตัว เพราะถูกขังอยู่บนตึก จากนั้นก็วิ่งออกกำลังกาย มาดูแลผู้ป่วย แต่ละวันผมมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น ที่สำคัญคือ ได้ทบทวนตัวเอง ดูแลจิตใจตัวเองมากขึ้น ตอนนี้มีอิสระภายในมากขึ้น ไม่ได้มีความทุกข์ทรมานเหมือนช่วงแรก ทำให้เรามีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาทมากขึ้น

 

มีวันพิเศษที่รอคอยไหม

ตอนนั้นทุกวันจันทร์ที่ถูกปล่อยให้มาเรียนเขียนสารคดี เป็นวันที่รอคอย หรือวันที่มีกิจกรรมจิตอาสา ซึ่งเป็นวันพิเศษที่เราตื่นเต้นสักนิด ได้ทำกิจกรรมที่เราพอใจ อย่างตอนนี้ก็รอคอยวันศุกร์ เรียนวาดรูป

 

"กว่าจะฝ่าข้ามความตาย" คุณต้องการสื่ออะไร

ผมมองจากประสบการณ์ที่เจอในเรือนจำ ที่นี่เป็นสังคมปิด อยากให้สังคมภายนอกรับรู้ หวังว่าจะสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสองสังคม ผมไม่อยากให้ใครเข้ามาอยู่ในนี้ แม้ผมจะเขียนด้วยคำพูดตลกๆ แต่อ่านแล้วอย่าเข้ามาเลย อย่าเอาชีวิตมาทิ้งในนี้ หลายคนเอาชีวิตและโอกาสมาทิ้งในนี้

 

เมื่อได้รับอิสรภาพแล้ว คุณหมอจะทำอะไร

ผมยังไม่ได้วาดโครงการไว้ เพราะอยู่ในนี้นาน ไม่รู้ว่า โลกภายนอกเป็นอย่างไร เพราะที่นี่ไม่มีหนังสือพิมพ์ให้อ่าน ผมอยู่เหมือนคนเกษียณ ทำงานสาธารณะประโยชน์ แต่ผมก็อยากได้อิสระภาพ ได้กลับไปอยู่กับครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูง

 

ณ เวลานี้ คุณหมอได้รับบทเรียนอะไรบ้าง

ถ้าคนเราสามารถลดตัวตนได้ ปัญหาทุกอย่างก็ไม่เกิด เพราะเรามีโลภ โกรธ หลง และตัวตนมาก เหมือนที่ท่านพุทธทาสสอนเรื่องตัวกูของกู ทันทีที่เรามีตัวกูของกู ก็นำมาซึ่งความโกรธ ดังนั้นต้องดูแลจิตใจตัวเอง อย่าใช้ชีวิตด้วยความประมาท ถ้าเป็นไปได้ เข้าวัดฝึกปฎิบัติธรรม คนเราควรปฎิบัติตั้งแต่หนุ่มสาว ไม่ต้องรอให้แก่ ตอนนี้ผมก็ปฎิบัติธรรม ตั้งแต่สวดมนต์และนั่งสมาธิ เมื่อก่อนผมก็ปฎิบัติ แต่ไม่จริงจังเหมือนวันนี้ ผมโชคดีที่มีญาติมิตรเอาหนังสือธรรมะมาให้อ่านเยอะมาก ผมอ่านหมดทุกเล่ม มันช่วยได้ ที่สำคัญคือ เราต้องปฎิบัติธรรม ทั้งสมาธิและวิปัสสนา แต่ไม่ได้มีวิธีเดียวนะ แม้กระทั่งการอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ รวมถึงการทำงานจิตอาสา ทุกอย่างเสริมกัน

 

.....................

ครู...ผู้เปิดโอกาสให้คนคุก

 

อรสม สุทธิสาคร ในฐานะหัวเรือใหญ่โครงการอบรม เรื่องเล่าจากแดนประหาร หนึ่งในโครงการกำลังใจ ในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เริ่มดำเนินการกิจกรรมสอนเขียนสารคดีตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2553-มีนาคม 2554 เธอไม่ใช่แค่สอนการเขียน แต่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาจิต

 

เธอเรียกตัวเองสั้นๆ ว่า ครู ซึ่งครูคนนี้เคยมีความฝันมานานกว่าสิบปี อยากสอนเขียนสารคดีผู้ต้องขัง เพื่อให้พวกเขาเขียนหนังสือเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ได้ทบทวนตัวเองและมอบบทเรียนให้สังคม และโอกาสก็มาถึง

 

"โครงการกำลังใจเปิดโอกาสให้เราได้ทำตรงนี้ ตอนนั้นสอนทุกวันจันทร์ประมาณ 14 สัปดาห์ คัดผู้ต้องขังมาเรียน 30 คน เราออกแบบโครงการ ชวนเพื่อนนักเขียน พระและวิทยากรด้านการพัฒนาจิตมาช่วย เราไม่อยากแค่สอนอย่างเดียว อยากให้วิทยากรช่วยปลุกพลังชีวิต เพื่อให้พวกเขาได้เห็นแง่มุมของโลกที่งดงาม มีความหวัง มีศรัทธาต่อชีวิต"

หลังจากเสร็จสิ้นโครงการแรก ครูเช่นเธอ รู้สึกว่ายังส่งลูกศิษย์ไม่ถึงฝั่ง จึงเสนอโครงการสอง จิตอาสาจากแดนประหาร โดยใช้นักเรียนรุ่นเดิม(ผู้ต้องขัง) มาร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาจิต อาทิ ทำหนังสืออักษรเบรลให้คนตาบอด ถักผ้าพันคอ ทำหุ่นมือให้นักเรียนชนบท ฯลฯ

 

"เป็นภาพที่น่ารัก พวกเขาได้ทำตรงนี้ ทำให้ได้สมาธิ และทำให้รู้ว่ามือของเขามีคุณค่า อย่างบางคนถักผ้าพันคอได้ 128 ผืน บางคนถักหมวกได้ร้อยกว่าใบ"

 

พอจบโครงการสอง เธอรู้สึกอีกว่า ควรดูแลพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ก็เข้ามาช่วยทำโครงการพัฒนาจิตอีกเดือนละครั้ง จัดกิจกรรมสร้างคุณค่าทางใจ นอกจากนี้เธอยังทำโครงการจิตอาสาในแดนพยาบาล เดือนละสองครั้ง และโครงการทำหนังสือพิมพ์ จิตต์เสรี โดยมีผู้ต้องขังเป็นกองบรรณาธิการ และผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศได้อ่าน

 

"ถามว่าทำไมยังเข้า-ออกเรือนจำ เพราะเรารู้สึกว่า การทำกิจกรรมแบบนี้ ทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้น ก็เลยรู้สึกว่า ไม่อยากทิ้งกัน อยากดูแลกันยาวๆ เพราะความทุกข์มีทุกวัน และเราทำแบบนี้ ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นการให้กำลังใจกัน เวลาไปไหนก็ส่งโปสการ์ดถึงลูกศิษย์ในเรือนจำอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเป็นความรักความเมตตาดูแลกัน

 

เรามองว่าการทำกิจกรรมพัฒนาจิต ต้องมีความรักความเมตตาเป็นพื้นฐานและเข้าใจกระบวนกร ถ้าเราเข้ามาก่อนหน้านี้ 5 ปี อาจทำได้ไม่เหมือนตอนนี้ เพราะเรามีความสุกงอมกับชีวิต ด้วยวัยและประสบการณ์ ได้สัมผัสความทุกข์ของคน ซึ่งการจะทำงานตรงนี้ ต้องดูแลจิตใจของตัวเองให้ดี เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะบางคนเข้ามารับไม่ได้ อาจจะรู้สึกทุกข์และเครียด แต่เราเข้ามาด้วยความเบิกบาน ได้ความสุขกลับไป เป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน"

 

.........................

นั่นเป็นมุมพัฒนาจิตในโครงการกำลังใจ ส่วนในมุมบรรณาธิการหนังสือ กว่าจะฝ่าข้ามความตาย เธอก็มีมุมมองชวนคิดในแบบของเธอ

 

อยากให้เล่าถึงลูกศิษย์ (คุณหมอวิสุทธิ์) ?

สิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นในตัวหมอ คือ เป็นคนมีวินัย มีความมุ่งมั่น มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นคนละเอียดอ่อนและอารมณ์ขัน เพราะฉะนั้นงานเขียนของเขา อ่านแล้วก็จะทำให้คนอ่านยิ้มและหัวเราะได้ บางตอนอ่านแล้วให้พลังกับผู้อ่าน เป็นงานที่ครบทุกรส อ่านสนุก ได้กำลังใจ

 

นั่นเป็นมุมการเขียน ส่วนมุมชีวิต เอาง่ายๆ เลย แววตาหมอตอนแรกที่เจอกัน กับตอนนี้ไม่เหมือนกัน เวลามาเรียน เขาจะนั่งอยู่หลังห้อง แรกๆ ที่เห็น แม้เขาจะยิ้มแต่ไม่ผ่อนคลาย มีทีท่าระมัดระวัง ต่างจากตอนนี้ค่อนข้างผ่อนคลาย เรามองว่า เขาเป็นนักเรียนรู้ คนแบบนี้ไม่ว่าจะปล่อยไว้ตรงไหน เขาจะมีความสุขเล็กๆ ของตัวเอง บางคนอาจมองไม่เห็นมุมนี้ของเขา เขาชอบปลูกต้นไม้ มีความสุขกับธรรมชาติ เป็นคนช่างสังเกต แม้เขาจะบอกว่า เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ละเอียดอ่อน แต่เรามองเห็นส่วนนี้

 

อีกอย่างเขาเป็นนักคิด นักวิเคราะห์ ในช่วงแรกๆ ไม่ปล่อยวางมากนัก แต่เราเชื่อว่า กระบวนการเขียน ทำให้เขาได้ทบทวนตัวเอง กิจกรรมที่นำเข้ามาให้ทำในคุก ทำให้เขาได้เห็นบางมุมของชีวิตที่สวยงาม โดยเฉพาะเรื่องการหาความสุขเล็กๆ ในใจ จากที่เรามาทำงานตรงนี้สองปี เราได้เห็นว่า ใจหมอเปิดรับมากขึ้น แม้คนส่วนใหญ่จะบอกว่า ไม่รู้ว่าหมอคิดอะไร เป็นคนมีกำแพง แต่ตอนนี้เรามองเห็นว่า หมอได้ทำลายกำแพงตรงนี้ลงไปเยอะแล้ว

 

ทำไมอยากให้คนอ่านหนังสือเล่มนี้

ในส่วนของคนอ่าน เราเชื่อว่า มันจะเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการมองชีวิต ปกติหนังสือที่เขียนจากโลกหลังกำแพง คนจะคิดว่า ต้องหดหู่ ไม่ก็ดุเดือด เผ็ด มัน แต่เล่มนี้ มันไม่ใช่ มีบางเรื่องอ่านแล้วยิ้มได้ สิ่งที่มองเห็นคือ อ่านแล้วให้พลังชีวิต สำหรับคนอ่านที่อยู่ในโลกอิสระ เวลารู้สึกแย่ๆ หรือทุกข์กับชีวิต ก็จะได้เห็นว่า แม้โลกที่ทุกข์ที่สุดในคุก ก็ยังมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

 

ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง คุณคิดเห็นอย่างไรต่อผู้ต้องขัง

เรารู้สึกว่า บางทีสังคมไม่ค่อยให้โอกาสคน ถ้ามืด ก็คือมืด สว่างก็คือสว่าง ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนก็เคยทำผิดพลาด มากบ้าง น้อยบ้าง และนี่คือความผิดพลาดที่นำมาเป็นบทเรียน ดังนั้นคงไม่ยุติธรรมนัก ถ้าคนเราทำผิดพลาด แล้วคุณจะกาหัว...จบเลย งานเขียนจึงเป็นการเปิดโอกาส อยากบอกว่า ลองเปิดใจให้โอกาสตัวเองในการมองคน คนเราทุกคนผิดพลาดได้ ในขณะเดียวกัน คนเราสามารถก้าวขึ้นมาใหม่ได้และพัฒนาการได้ เปลี่ยนมุมมองของคุณใหม่ คุณก็จะเห็นโลกใบใหม่ อย่ามองอะไรแบบเดิม หรือปิดกั้นตัวเอง คุณควรให้โอกาส เพราะในที่สุด ชีวิตคือ การเรียนรู้

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ศาลอิตาลีจำคุกเหล่าผู้เชี่ยวชาญ ฐานประเมินภัยแผ่นดินไหวพลาด

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2555 03:15 น.

blank.gif 555000013651701.JPEG

 

บ้านเรือนจำนวนมากพังทลาย พลเมืองมากกว่า 300 คนต้องสังเวยชีวิตไปในเหตุแผ่นดินไหวเขย่าเมืองลากวีลา ของอิตาลี เมื่อปี 2009

blank.gif เอเอฟพี - นักวิทยาศาสตร์อิตาลี 6 คนและเจ้าหน้าที่รัฐบาลอีก 1 ราย ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาทในวันจันทร์(22) จากการประเมินภัยแผ่นดินไหวครั้งเลวร้ายที่เมืองลากวีลา เมื่อปี 2009 ต่ำเกินไป จนต้องสังเวยชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก

 

รายงานข่าวระบุว่าศาลมีคำสั่งจำคุกทั้งหมดเป็นเวลา 6 ปี คำพิพากษาที่ก่อเสียงโหวกเหวกโวยวายในประชาคมวิทยาศาสตร์นานาชาติ โดยนักวิจารณ์บางส่วนเตือนว่าคำตัดสินลักษณะนี้อาจทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆไม่กล้าออกมาแบ่งบันความรู้ความชำนาญหรือประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงต่างๆ เนื่องจากหวั่นกลัวว่าอาจได้รับผลตอบแทนคือการถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย

 

อัยการปาบิโอ พิคูติ ร้องขอให้ศาลลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 4 ปี ฐานล้มเหลวในการแจ้งเตือนประชาชนในเมืองลากวีลา ถึงความเสี่ยงต่างๆ ไม่กี่วันก่อนหน้าที่จะเกิดแผ่นดินไหวระดับ 6.3 คร่าชีวิตผู้คนไป 309 ศพเมื่อปี 2009

 

จำเลยทั้ง 7 คนเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติ ซึ่งได้พบปะหารือกันที่เมืองลากวีลา ในวันที่ 31 มีนาคม 2009 หรือ 6 วันก่อนหน้าจะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่ทำลายบ้านเรือนและโบสถ์พังย่อยยับ ขณะที่ชาวบ้านหลายพันคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย

 

ระหว่างการพิจารณาคดีเมื่อวันจันทร์(22) พูคูติ เปรียบเทียบคณะกรรมาธิการชุดนี้กับ สำนักงานจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินของสหรัฐฯ(FEMA) ซึ่งถูกดุด่าอย่างหนักจากความผิดพลาดด้านการประเมินความเสี่ยงมหันตภัยเฮอร์ริเคนแคทรีนา ที่ถล่มนิวออร์ลีนส์ ในปี 2005

 

ไมเคิล บราวน์ ประธาน สำนักงานจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินของสหรัฐฯ ตัดสินใจลาออกเพื่อแสดงความผิดชอบ ขณะที่ พิคูติ ได้กล่าวโทษคณะกรรมาธิการชุดนี้แบบเดียวกัน ถึงความล้มเหลวในการพยากรณ์ความเสี่ยงเกิดภัยพิบัติร้ายแรงในลากวีลา

 

อย่างไรก็ตามอัลโฟรโด บิออนดี ทนายความของหนึ่งในจำเลย ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของอัยการ โดยบอกว่า "แผ่นดินไหวต่างจากอุทกภัยและเฮอร์ริเคน เพราะไม่สามารถทำนายได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด"

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รู้ตัวแล้ว'สาวปริศนา'แก้ผ้าอล่างฉ่างบนรถไฟออสเตรีย

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2555 04:28 น.

blank.gif 555000013652101.JPEG

 

blank.gif ออสเตรียอินดิเพนเดนท์/ASTVผู้จัดการ - รู้ตัวสตรีปริศนาที่ปฏิบัติการท้าลมห่มฟ้าแก้ผ้าเปลือยเปล่ารถไฟใต้ดินในกรุงเวียนนา ของออสเตรียแล้ว หลังจากผู้หญิงคนดังกล่าวสร้างความตกตะลึงให้กับผู้โดยสารรถไฟขบวนหนึ่งด้วยการไม่สวมใส่อะไรเลยนอกจากรองเท้าบูทหนังสูงแค่เข่า ยืนยิ้มอยู่กลางโบกี้โดยไม่สนสายตาคนอื่นๆ จนเจ้าหน้าที่ขนส่งต้องประกาศตามล่าตัวจ้าละหวั่น

 

ปฏิบัติการตามหาตัวครั้งนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว หลังพบสาวเปลือยปริศนาขึ้นรถไฟใต้ดินเวียนนา อู-บาห์น จากสถานีคาร์ดินาล-นากล์-พลาตซ์ แล้วยืนโพสต์ท่ายิ้มอยู่กลางขบวน โดยไม่มีท่าทีเขินอายกระอักกระอ่วน ขณะที่ผู้โดยสารบนรถไฟต่างหยิบกล้องและโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บภาพน่าประทับตาประทับใจไว้เป็นที่ระลึก

 

ไม่นานหลังจากสื่อของออสเตรีย ประกาศขอความร่วมมือในการตามหาตัวเธอ พลเมืองหลายสิบคนก็โทรศัพท์เข้าแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ และหลายสายยืนยันตรงกันว่าเธอมีชื่อว่า "อีวา" วัย 38 ปี มีอาชีพเป็นเซลล์ขายสินค้าของบริษัทแห่งหนึ่ง

555000013652102.JPEG blank.gif

 

"เธอเป็นคนรักสนุก บางทีอาจเป็นการเล่นสนุกของเธอเอง หรือไม่อาจเป็นเพราะเธอแพ้พนันก็ได้" เพื่อนเก่าของเธอรายหนึ่งบอกกับสื่อมวลชนท้องถิ่น "ปกติแล้วเธอมีผมสีบลอนด์นะ ดูเหมือนว่าเธอคงไปทำสีผมมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ"

 

ท่ามกลางอุณหภูมิเย็นยะเยือกในกรุงเวียนนา ผู้รายนี้ไม่ยอมสวมอะไรเลยและยืนยิ้มแฉ่งอยู่กลางตู้โดยสาร ในเรื่องนี้ ไวเนอร์ ลิเนียน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการด้านขนส่งสาธารณะของเมืองบอกกับสื่อมวลชนท้องถิ่นว่า "เรารู้ว่าแต่ละคนสามารถรับมือกับระดับของอุณหภูมิต่างกันออกไป แต่เราไม่คิดว่าในภายขบวนรถไฟของเราจะอุ่นพอสำหรับถอดเสื้อผ้าออกหรอกนะ"

 

ในรายงานข่าวของออสเตรียอินดิเพนเดนท์ ไม่ได้ระบุว่าผู้หญิงรายนี้จะถูกดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยมีเพียงแค่ความคิดเห็นของผู้โดยสารคนอื่นๆที่มองพฤติกรรมดังกล่าวคงเป็นแค่อารมณ์ขันของสตรีรายนี้และมีความเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ควรไปวุ่นวายอะไรกับเธอ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เจ้าสาวทองคำ ฮิตสวมทองไม่ต่ำกว่า 6 กก.เข้าพิธี

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2555 08:55 น.

blank.gif 555000013494501.JPEG

 

เพื่อนๆกำลังช่วย “เจ้าสาวทองคำ” สวมเครื่องประดับทองที่หนักกว่า 6 กก. เพื่อเข้าพิธีแต่งงาน ในเมืองเฉวียนโจว มณฑลฝูเจี้ยน (ภาพ-เอเยนซี่)

blank.gif เอเยนซี่-เมื่อเร็วๆนี้สื่อออนไลน์แห่งหนึ่งได้แพร่ภาพ “เจ้าสาวทองคำ” ที่พบเห็นจนชินตาในเมืองเฉียวนโจว โดยผู้สื่อข่าวได้ทำการสำรวจตามโรงแรมต่างๆที่อยู่ในเมืองเป็นเวลา 3 วัน จนพบว่าเจ้าสาวในเมืองนี้กำลังฮิตออกเรือนด้วยเครื่องประดับทองคำที่มีน้ำหนักมาก

 

เสียงกรุ๊งกริ๊งของทองที่สวมอยู่บนตัวเจ้าสาว บ่งบอกความหวานชื่นหรือภาระทางการเงิน? ในยุคสมัยที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับราคาบ้านและค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน ปัญหานี้ทำให้เราต้องกลับมาขบคิด

 

ผู้ให้บริการจัดงานแต่งงานคนหนึ่งพูดเกี่ยวกับ “เจ้าสาวทองคำ” ที่เห็นจนชินตาในเมืองฉวนโจวว่า ในบรรดากองสินสอดทองหมั้นที่เขาเห็นนั้น กองหนึ่งมีทองมากสุดกว่า 6 กก.ซึ่งนอกจากจะสวมอยู่บนตัวเจ้าสาวแล้ว ยังมีทองแท่งและเหรียญทองคำอีก

 

สุดสัปดาห์ก่อน เป็นวันแต่งงานของสาวแซ่หลิววัย 26 เธอตื่นขึ้นแต่งตัวแต่เช้า โดยมีแม่และพี่สาวช่วยสวมเครื่องประดับทองคำแท้ ประกอบด้วย กำไลข้อมือหงส์คู่มังกร 10 วง สร้อยข้อมือ 8 เส้น สร้อยคอขนาดใหญ่ 5 เส้น ขนาดปกติ 10 เส้น แหวน 20 วง ทั้งหมดนี้ใช้เวลาในการสวมใส่ราวครึ่งชั่วโมง

 

“มันหนักจริงๆค่ะ ฉันต้องสวมเครื่องประดับทองทั้งหมดนี้ตลอดทั้งวัน ยังไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า” ในเมืองเฉวียนโจว บ้านของสาวหลิวถือว่าเป็นบ้านที่มีฐานะปานกลางค่อนข้างสูง ดังนั้นทองที่เธอสวมใส่จึงมีจำนวนค่อนข้างมาก แต่ทว่ายังมีสาวอื่นอีกจำนวนไม่น้อยที่สวมทองมากกว่าเธอ

 

“เพื่อนของฉันอีก 2 คนต้องใส่กำไลหงส์คู่มังกร 20 วง แต่ใส่ได้จำนวนหนึ่ง ที่เหลือต้องใช้สร้อยทองร้อยรวมกันแล้วสวมเป็นสร้อยคอกำไลทอง ยังมีทองอีก 10 กว่าแท่งที่ใช้เชือกสีแดงร้อยรวมกันแล้วสวมใส่ ทั้งเนื้อทั้งตัวสว่างไสวไปด้วยทอง มองไม่เห็นลวดลายหงส์มังกรที่ปักอยู่บนกี่เพ้า แต่งออกแบบนี้ดูดีก็จริง แต่เวอร์เกิน” เพื่อนเจ้าสาวคนหนึ่งของสาวหลิวให้ความเห็น

 

แม่ของสาวหลิวบอกว่า พอลูกสาวของเธออายุถึงเกณฑ์แต่งปุ๊บ ที่บ้านก็เริ่มจัดเตรียมเครื่องประดับทองไว้ให้เธอ แม้สองปีมานี้ราคาทองสูงขึ้น แต่เพื่อให้ลูกได้ออกเรือนอย่างสง่าผ่าเผย จึงค่อยๆซื้อทองเก็บสะสมทีละนิด พอเห็นราคาทองตกก็ซื้อมากหน่อย ล่าสุดทองราคาสูงขึ้นอีก แต่ก็ช่วยไม่ได้ ก่อนวันแต่งยังไงก็ต้องซื้อเพิ่มอีกนิดหน่อย

555000013494502.JPEG

 

“เจ้าสาวทองคำ” ฐานะปานกลางอีกคนของเมืองเฉวียนโจว (ภาพ-เอเยนซี่)

blank.gif สาวเฉินซึ่งกำลังจะแต่งงานในเร็วๆนี้เช่นกัน พูดถึงจำนวนเครื่องประดับทองที่เธอต้องสวมใส่ว่า ตามประเพณีของชาวฮกเกี้ยน ทองคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานแต่ง และต้องพยายามหามาให้ได้มากที่สุดเท่าที่ฐานะทางครอบครัวจะอำนวย

 

แม่ของสาวเฉินบอกว่า เพื่อให้ลูกสาวได้ออกเรือนอย่างมีหน้ามีตา พอลูกอายุ 17 เธอก็เริ่มสะสมทอง โดยในปีหนึ่งๆต้องซื้อสร้อยทอง 1 เส้นและแหวนทอง 1 วง ตอนนี้สาวเฉินอายุ 27 แหวนและสร้อยทองที่เก็บสะสมใน 10 ปีจึงมีจำนวนไม่น้อย ตอนราคาทองตกเธอรีบซื้อกำไลทอง 2 วง มาเก็บไว้ รวมกับสินสอดของเจ้าบ่าวและของขวัญของญาติๆ น่าจะมีมูลค่าพอๆกับกำไลทอง 5 วง

 

ครอบครัวที่มีฐานะปานกลางไม่สามารถซื้อทองจำนวนมากในคราวเดียวได้ เพื่อนๆของสาวเฉินจึงพากันชื่นชมคุณแม่ว่า “มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลจริงๆ”

 

“บ้านที่มีกะตัง กำไลทองก็ต้องหนักตาม แต่บ้านเราใช้วิธีซื้อทองที่มีหน้าตัดใหญ่และบาง จะได้ดูดีมีสกุล วันแต่งอย่างน้อยก็ต้องมีทองสัก 3 เส้น เราไม่ได้บ้าทองนะ แค่อยากให้งานแต่งลูกเราดูอลังการเล็กน้อย คนมักจะบอกว่าอย่าไปสนใจจำนวนทอง แต่แขกที่มาในงานก็มักจะพูดกันแต่เรื่องทองว่ามีมากน้อยเท่าไหร่” แม่ของสาวเฉินกล่าว

555000013494503.JPEG

 

ประเพณีการสวมใส่เครื่องประดับทองคำของเจ้าสาวชาวฮกเกี้ยนในเมืองเฉวียนโจว ส่วนใหญ่เป็นการทำตามความต้องการของผู้เฒ่าผู้แก่ (ภาพ-เอเยนซี่)

blank.gif เจ้าสาวอีกคนซึ่งแต่งงานในโรงแรมแห่งหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีอีก 2 คู่ที่แต่งพร้อมกันในวันนั้น เพื่อนคนหนึ่งได้ยินแขกที่มางานบางคนพูดว่า คู่ฝั่งตรงข้ามมีทองเยอะกว่า ทำให้เธอรู้สึกแย่และอึดอัดใจพอสมควร

 

“ฐานะทางครอบครัวของเราด้อยกว่า ไม่มีปัญญาซื้อทองมากขนาดนั้น จึงใช้วิธีเลี้ยงโต๊ะน้อยหน่อย แต่เลือกโรงแรมที่ดูหรูหรา นี่เป็นสิ่งที่เราทำได้มากสุดแล้วในข้อจำกัดที่มีอยู่ เราไม่อยากให้ทองมาเป็นภาระที่ต้องจ่ายในภายหลัง นี่เราจัดงานแต่งเพื่ออวดรวยหรือ !” เจ้าสาวตั้งคำถามอย่างสุดทน

 

ผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์เมืองเฉวียนโจวให้ความคิดเห็นว่า เจ้าสาวใส่ทองในงานแต่งถือเป็นประเพณีซึ่งเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของเมืองเฉียวนโจว ชาวเมืองบางคนมีความคิดว่า จำนวนทองในสินสอดทองหมั้นเป็นการอวยพรให้เงินทองไหลมาเทมาสู่ครอบครัวทั้งสอง หรือเป็นการอวยพรให้ชีวิตคู่เต็มไปด้วยความหวานชื่น แต่หากกลายเป็นเรื่องแข่งกันรวย บ้านที่มีฐานะแย่กว่าก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน

 

เขากล่าวต่ออีกว่า ตามประเพณีการแต่งงานของชาวเมือง การสวมใส่ทองถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำต่อๆกันมา แต่ไม่มีการระบุจำนวน และการให้เจ้าสาวใส่เครื่องประดับทองต่างๆไม่ว่าจะเป็นกำไล สร้อย แหวน ฯ หมายถึง “การปิดล็อค” ให้ซื่อสัตย์ต่อสามี ไม่ให้มีใจเป็นอื่น และใส่เฉพาะในงานพิธีเท่านั้น ไม่ใช้ใส่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่วนใหญ่การใส่ทองในพิธี เป็นการทำตามความต้องการของผู้เฒ่าผู้แก่ โดยคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มไม่สนใจความมากน้อยของทอง หรืออาจใส่เครื่องประดับที่ทำจากเงินหรืออื่นๆแทน

555000013494504.JPEG สร้อยคอกำไลทองจากการซื้อเก็บของคุณแม่ในแต่ละปีนั้น นอกจากเพื่อให้ลูกสาวได้แต่งออกอย่างสมศักดิ์ศรีแล้วยังแฝงความหมายของการอวยพรชีวิตคู่ (ภาพ-เอเยนซี่)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...