ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 21, 2012 หนี้ยุโรปกดดันศก.ปีหน้า ลุ้นลงทุนรัฐหนุน ดันจีดีพีโต4.6% โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ไทยพาณิชย์ชี้เศรษฐกิจยุโรปถดถอยลากยาวถึงปีหน้า กดดันเศรษฐกิจไทย ลุ้นลงทุนภาครัฐหนุน ดันจีดีพีปี"56 ขยายตัว 4.6% ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจธนาคาร ไทยพาณิชย์ (EIC) เผยแพร่บทวิเคราะห์ GDP ไตรมาส 3 ขยายตัว 3.0% การบริโภคและการลงทุนขยายตัวสูง โดยระบว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) รายงานตัวเลข GDP ของไทยไตรมาส 3 ขยายตัว 3.0%YOY (เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า) EIC ระบุว่า การใช้จ่ายในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวสูง ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวสูงราว 6%YOY ซึ่งได้รับแรงกระตุ้นหลักมาจากนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก ส่งผลให้การบริโภคสินค้าคงทนในหมวดยานยนต์ขยายตัวสูงถึง 44.2%YOY สูงกว่าไตรมาสที่แล้วที่ขยายตัวราว 30.5%YOY ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวสูงถึง 16.2%YOY จากการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรเพื่อฟื้นฟูหลังน้ำท่วม และทดแทนการใช้แรงงานเป็นปัจจัยการผลิต เพื่อลดผลกระทบจากนโยบายการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ นอกจากนี้ ยังมีแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐ การใช้จ่ายภาครัฐในไตรมาส 3 มีการเติบโตมากกว่าที่คาดจากการเร่งเบิกจ่ายในช่วงท้ายปีงบประมาณ โดยการบริโภคภาครัฐขยายตัว 9.0%YOY ซึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นทั้งรายจ่ายซื้อสินค้าและบริการ และการจ่ายค่าตอบแทนแรงงาน ในขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวสูงถึง 13.2%YOY จากการซ่อมแซมและก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่ขยายตัวค่อนข้างสูง การส่งออกยังหดตัวตามสภาวะเศรษฐกิจโลก การส่งออกสินค้าหดตัว 6.2%YOY ในไตรมาส 3 เนื่องจากอุปสงค์ภายนอกประเทศยังคงอ่อนแอตามสภาวะเศรษฐกิจ ในขณะที่การส่งออกภาคบริการ เช่น ภาคการท่องเที่ยว ยังสามารถขยายตัวได้ดีถึง 14.5%YOY ส่งผลให้การส่งออกสินค้าและบริการโดยรวมหดตัวเพียง 2.8%YOY อย่างไรก็ตาม EIC คงประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2012 ไว้ที่ 5.3% การใช้จ่ายในประเทศที่ยังขยายตัวได้ดีสนับสนุนให้ เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ราว 5.3% ในขณะที่เริ่มเห็นบทบาทของการใช้จ่ายภาครัฐเด่นชัดขึ้นแล้วในไตรมาสที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจยุโรปที่ยังถดถอยต่อเนื่องยังเป็นความเสี่ยงต่อภาคการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้และต่อเนื่องจนถึงปีหน้า การใช้จ่ายในประเทศยังเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของ เศรษฐกิจไทยในปีหน้า การบริโภคภาคเอกชนยังมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องจากอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับต่ำและการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนอาจชะลอลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีนี้เนื่องจากการลงทุนฟื้นฟูหลังน้ำท่วมได้หมดลงไป อย่างไรก็ดียังคงมีแรงสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐผ่านโครงการบริหารจัดการน้ำซึ่งจะมีการเบิกจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในปีหน้า และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดย EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2013 จะขยายตัวได้ราว 4.6%YOY Tags : ไทยพาณิชย์ • หนี้ยุโรป • เศรษฐกิจไทย อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
juy 97 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 21, 2012 ขอบคุณนะคะ ไล่อ่านไม่ทัน ก็อปไว้อ่านทำความเข้าใจตามไปด้วย ดีจัง สำหรับมือใหม่ ตามอ่านไปเรื่อย ๆนะคะ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 21, 2012 หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ : Buddhadasa Indapanno Archives ชีวิตสมบูรณ์แบบ ผลุงขึ้นมา จากนรก ให้ฉับพลัน แล้วนั่งพัก บนสวรรค์ กันสักครู่ ต่อแต่นั้น เนานิพพาน นานโขอยู่ ชีวิตผู้ ประเสริฐศรี อย่างนี้แล นี้หมายความ ว่าอย่างไร ให้ตรองดู จนรอบรู้ กันทุกกลุ่ม ทั้งหนุ่มแก่ เป็นแบบฉบับ สำหรับใช้ ได้แท้ ๆ มันดีแน่ กว่าแบบใด ในไกวัลย์ คิดดูเถิด เพื่อนสัตว์ ทั้งหลายเอ๋ย พวกเราเคย โมหา มามหันต์ ไม่รู้ว่า เกิดมา ทำไมกัน บัดนี้ดื่ม ธรรมรสอัน ชั้นเลิศเอย พุทธทาสภิกขุ See Translation อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 21, 2012 ขอบคุณนะคะ ไล่อ่านไม่ทัน ก็อปไว้อ่านทำความเข้าใจตามไปด้วย ดีจัง สำหรับมือใหม่ ตามอ่านไปเรื่อย ๆนะคะ ดีจ้า juy People Magazine added a new photo. อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 21, 2012 ประเทศไทย Flower Story Anacapa, Channel Island 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 21, 2012 (มีการแก้ไข) The Trend Is Your Friend คำกล่าวของ Wall Street adage วิธีการ Stop loss เพื่อรักษาเงินลงทุน ตามปกติแล้ววิธีการ Stop loss มักจะใช้เพื่อจุดประสงค์ใน 2 กรณี กล่าวคือ 1. ใช้เพื่อหยุดการขาดทุน เพื่อปกป้องเงินลงทุนเริ่มต้น และ 2. ใช้เพื่อปกป้องผลกำไรที่กำลังลดน้อยลง ซึ่งในกรณีที่เรานำหลักการ Stops ไปใช้งานร่วมกับอินดิเคเตอร์หรือเครื่องมือวิเคราะห์ทาง เทคนิคที่มีอยู่ เราก็จะสามารถแบ่งชนิดของการ Stops ได้ออกเป็น Initial stop Break-even stop Trailing stop ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีวิธีการที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่นำมาใช้งาน สำหรับในส่วนที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ จะเป็นการนำหลักการ Stop loss มาใช้งานร่วมกับ ปริมาณเงินลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงที่จะสูญเสียได้ หรืออาจเรียกว่าการ Limit loss ของจำนวนเงินที่ใช้สำหรับการลงทุน ณ เวลานั้น < สามารถพิจารณาได้ตามขั้นตอนตัวอย่างดังต่อไปนี้ > ขั้นตอน การกำหนด Limit loss จากเงินลงทุนเริ่มต้น กำหนดให้เงินลงทุนเริ่มต้นที่ 50,000 บาท กำหนด limit loss ไว้ที่ 2% ของเงินลงทุน ดังนั้น จำนวนเงินที่สามารถยอมรับความเสี่ยงที่จะสูญเสียได้ สามารถคำนวณได้ดังนี้ จำนวนเงินที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ = เงินลงทุนเริ่มต้น * Limit loss (2%) = 50,000*2/100 = 1,000 บาท ขั้นตอน การประยุกต์ใช้งาน เพื่อคำนวณหาจำนวนหุ้นที่สามารถเข้าซื้อได้ คัดเลือกหุ้นที่จะเข้าลงทุนและกำหนดราคาหุ้นที่เหมาะสมไว้ ในกรณีนี้สมมุติให้ราคาหุ้นที่จะเข้าซื้อมีราคาที่เหมาะสมที่ 5 บาทต่อหุ้น กำหนดจุด Stop loss ไว้...ในกรณีที่ราคาหุ้นลดต่ำลงไปที่ราคา 4 บาทต่อหุ้น โดยการขายหุ้นออกไปทั้งหมด (ตามที่ได้วางแผนการลงทุนเอาไว้) การ Stop loss ในครั้งนี้จะยอมรับการขาดทุนได้เป็นจำนวนเงิน 1,000 บาท ดังนั้น จำนวนหุ้นที่สามารถเข้าซื้อได้ สามารถคำนวณได้ดังนี้ = จำนวนเงินที่สามารถยอมรับความสูญเสียได้ / (ราคาซื้อ – ราคา Stop loss) = 1,000 / (5-4) = 1,000 / 1 = 1,000 หุ้น โดยสรุปคุณสามารถซื้อหุ้นได้จำนวน 1,000 หุ้น ที่ราคา 5 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาทโดยได้กำหนดจุด Stop loss ไว้ที่ราคา 4 บาทต่อหุ้น ซึ่งเมื่อราคาหุ้นลดลงมาถึงราคาดังกล่าว คุณก็สามารถขายหุ้นออกได้ทันที ตามแผนการลงทุนที่ได้วางไว้ และในกรณีนี้คุณจะขาดทุนเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,000 บาท (จากการที่ได้กำหนด Limit loss ไว้) * เป็นการคำนวณโดยไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เรียบเรียงโดย Smart Trader 13 มิถุนายน 2551 เอกสารอ้างอิง หนังสือเรื่อง เสริมรายได้ด้วยการลงทุนไปกับหุ้นออนไลน์ ISBN 978-974-7051-09-4 http://www.tasimplif...d=50&Itemid=261 ถูกแก้ไข พฤศจิกายน 21, 2012 โดย ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 21, 2012 วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 Stop Loss ที่เหมาะสม ปัญหาใหญ่สำหรับนักเทรดส่วนมากก็คือ ไม่รู้ว่าจะตั้ง stop loss หรือ cut loss ที่เท่าไหร่ดี บางคนบอกว่ารู้แหละว่าจำเป็นต้องตั้ง stop loss แต่ไม่รู้ว่าควรตั้งไว้เท่าไหร่ ครั้นหันไปถาม "กูรู" บางท่านก็บอกว่าให้ตั้ง stop loss แคบๆ เข้าไว้ เวลาขาดทุนจะได้ขาดทุนเป็นเงินก้อนเล็ก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเทรดของเราได้ แต่นั่นเป็นความจริงหรือเปล่า? Stop Loss ช่วยลดการขาดทุน การ stop loss ก็คือการ cut loss เพียงแต่เมื่อเราใช้คำว่า cut มันไม่ได้ระบุวิธีการ ในขณะที่คำว่า stop มันจะกระเดียดไปในทางใช้คำสั่ง stop order เพื่อบริหารความเสี่ยงของหุ้นหรือฟิวเจอร์สที่เราถือครองอยู่ เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ในที่นี้ผมจะถือว่าทั้งสองคำนี้เหมือนกัน และผมก็จะเน้นไปในส่วนของฟิวเจอร์สซึ่งการบริหารความเสี่ยงถือว่าเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด! กลับมาที่การเทรด สิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือ การถือครองสถานะฟิวเจอร์ส (long หรือ short ก็ตามที) แล้วไม่ยอมตั้ง stop loss บางคนพอผมถามว่าทำไม ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า "กลัวว่าจะโดน stop" เออ กลัวขาดทุนเล็กๆ แต่ไม่ยักกลัวขาดทุนใหญ่ๆ เท่าที่ผมเห็น นักเทรดที่เจ๊งส่วนมากเจ๊งจากการขาดทุนครั้งใหญ่เพียงไม่กี่ครั้ง และก็แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่เคยตั้ง stop loss อยู่แล้ว ในอีกฟากหนึ่งนักเทรดที่รู้จักตั้ง stop loss ก็มีบางส่วนที่เจ๊งเหมือนกัน แต่พวกเขาเจ๊งแบบ "ค่อยเป็นค่อยไป" ความจริงถ้าพวกเขาเป็นนักวิเคราะห์ที่ใส่ใจซักหน่อย การขาดทุนครั้งเล็กๆ ติดต่อกันบ่อยๆ ก็ควรจะดึงความสนใจให้เขากลับมาขุดค้นปัญหาของการเทรดได้แล้ว โดยมากปัญหาเกิดจาก 1 ใน 2 อย่างนี้ คือ ถ้าไม่ใช่เพราะระบบการเทรดของเขาไม่เวิร์ก ก็เป็นเพราะเขาตั้ง stop loss ไม่เหมาะสม ปัญหาแรกค่อนข้างชัดเจน ถ้าระบบห่วยเทรดแล้วขาดทุน มันก็ต้องเจ๊ง แต่สำหรับปัญหาข้อหลังผมขอย้อนกลับไปที่คำแนะนำของกูรูบางท่านที่บอกว่าควรตั้ง stop loss แคบๆ เข้าไว้จะได้ลดความเสี่ยง เพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่ามันเป็นปัญหาได้อย่างไร Stop Loss แคบๆ ช่วยลดความเสี่ยงจริงหรือ? ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเห็นราคาฟิวเจอร์สพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงตัดสินใจเปิดสถานะ long (ซื้อ) ทันที เสร็จแล้วก็ยังรอบคอบหันมาตั้ง stop loss ไว้ด้วยโดยจำกัดการขาดทุนไว้ที่ 1 จุด ผ่านไปแค่ 2 นาที ราคาฟิวเจอร์สขยับลงมาแตะจุด stop loss ทำให้คุณต้องปิดสัญญานั้นไปด้วยความหัวเสีย และยิ่งหัวเสียหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าต่อจากนั้นไปฟิวเจอร์สยังคงวิ่งต่อจนถึงสิ้นวัน เบ็ดเสร็จแล้ววันนั้นชาวบ้านเขากำไรกันหมดในขณะที่คุณขาดทุน เห็นปัญหาแล้วใช่มั๊ยครับ คุณตั้ง stop loss ไว้แคบเกินไปจนมันไม่สามารถทนกับการ "แกว่งตัว" ของราคาได้เลย ดังนั้น การตั้ง stop loss แคบๆ อาจไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงก็เป็นได้ ทีนี้ถามต่อว่า อ้าว แล้วต้องตั้งไว้ให้กว้างหรือแคบแค่ไหนล่ะ ถ้ายังจำได้ผมเคยบอกแล้วว่านักเทรดมีหลายกลุ่ม เช่น day trader, swing trader, position trader ซึ่งก็มีกรอบเวลาที่จะเทรดเรียงกันมาจากน้อยไปมาก นั่นคือ day trader - มีกรอบเวลาไม่เกิน 1 วัน swing trader - มีกรอบเวลาตั้งแต่ 1 วันไปจนถึง 2 - 3 สัปดาห์ position trader - มีกรอบเวลาตั้งแต่ 2 - 3 วันไปจนถึงหลายเดือน การตั้ง stop loss ของนักเทรดแต่ละกลุ่มก็ไม่เหมือนกัน แต่หลักการที่ยอมรับกันโดยทั่วไปก็คือ ยิ่งคุณเทรดยาว stop loss ยิ่งต้องกว้าง เหตุผลก็เพราะว่าคุณจะต้องอยู่ในตลาดหลายวันหรืออาจจะหลายสัปดาห์ คุณต้องพบเจอกับการแกว่งตัวของราคาวันแล้ววันเล่า หากตั้ง stop loss ไว้แคบ เผลอแป๊บเดียวก็โดน stop อีกแล้ว ทั้งที่จริงฟิวเจอร์สอาจกำลังแกว่งตัวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้ ในทางกลับกันถ้าคุณเทรดสั้น เช่น day trade คุณก็ควรตั้ง stop loss ไว้ไม่ให้กว้างมากนัก เพราะกำไรคาดหวังของคุณในแต่ละวันไม่ได้มากมายอะไร หากตั้งตัดขาดทุนไว้กว้าง ทุกครั้งที่คุณขาดทุนมันจะขาดทุนเยอะ เผลอๆ กินกำไรเสียจนหมด แต่ก็ไม่ใช่ตั้งไว้แคบซะจนกระดิกอะไรไม่ได้เลย ทั้งหมดนี้เป็นหลักการคร่าวๆ แต่ถ้าอยากรู้ตัวเลขชัดๆ แนะนำให้เปิดกราฟดูการแกว่งตัวของราคา แล้วทดลองดูว่า stop loss ในระดับต่างๆ เช่น 1%, 2%, 5% แค่ไหนถึงจะเหมาะสมกับสไตล์และกรอบเวลาของเรา แค่ไหนที่จะไม่ตื่นตูมเกินไป และแค่ไหนที่จะไม่ชิลล์เกินควร ซึ่งการจะรู้ตรงนี้ได้เราต้อง ทดสอบ ดูครับ แนะนำว่าควรทดสอบตามลำดับขั้นโดย 1) ทดสอบกับ ข้อมูลย้อนหลัง หากว่าผ่านค่อย... 2) ทดสอบกับ ข้อมูล real time โดยยังไม่ลงเงินจริง จากนั้นถ้าผ่านเราก็... 3) ทดสอบกับ เงินจริงจำนวนน้อยๆ... เมื่อผ่านหมดทุกบททดสอบถึงค่อยเอาไปใช้งานจริงจัง ถ้าใครทำแล้วผ่านหมดตามนี้ โอกาสเจ๊งก็ยากแล้วล่ะครับ ที่เราเห็นเจ๊งๆ กันในตลาดเป็นเพราะว่าคนส่วนมากใจร้อนและไม่เคยทดสอบระบบและ stop loss ของตัวเองในขั้นตอนใดเลย! ผมถือว่านักเทรดแต่ละท่านเป็นนายตัวเอง ดังนั้น "Stop Loss ที่เหมาะสมของเรา" ก็มีแต่ตัวเราที่จะตอบได้ครับ เขียนโดย <a href="http://www.blogger.com/profile/15756620197115557264" rel="author" style="color: rgb(150, 138, 10); border: none; text-decoration: none; " title="author profile">Anton MonkeyFreeTime อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 21, 2012 วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555 แค่ลากเป็นก็กำไรแล้ว คัดลอกมาจากเวป Thaispeculator <a href="http://www.thaispeculator.com/forex-trading-course/trend-line.html">http://www.thaispeculator.com/forex-trading-course/trend-line.html บทเรียนโดย the_greenday แห่ง ThailandInvestorClub.com เรื่องการลากเป็นเรื่องง่ายๆ ผู้ที่สนใจควรมีพื้นฐานการมองแนวโน้ม มองแนวรับ-cนวต้าน และรูปแบบจุดกลับตัวจะสามารถลากได้แม่นยิ่งขึ้น แค่ลากง่ายๆก็สามารถทำกำไรได้แบบง่ายๆ การลากเพื่อการเข้าซื้อ ขาย แบบง่ายๆ ในที่นี้จะแนะนำสำหรับการเล่นในช่วงกราฟ 15m 5m ซึ่งเหมาะกับการเล่นวันต่อวัน รอบต่อรอบ มีวินัยและกล้าที่จะทำตามกราฟ ผิดทางหลุดเส้นที่ลากก็ stop loss เริ่มรอบใหม่ จุดอ่อนในการลากมีแค่แบบเดียวเลยคือ ช่วงกราฟ sideways (งดเล่นช่วงนี้) รูปแบบต่างๆ มีให้ลากๆขีดๆเสมอๆ ใน 1 วัน ก็สามารถลากเพื่อเล่นได้ เป็นรอบๆไป ถ้า sideways ก็อดทนรอ ลากได้ชัดเจนแล้วก็เล่นตาม ไม่ง่ายไปและไม่ยากไปอยู่ที่การอดทนรอและการมองเห็นกำไรไม่ยาก ขีดๆลากๆ + SDX-pivots(เพื่อหาเป้าหมายตามระดับแนวรับ แนวต้าน) หลักการใช้ pivot ช่วยยืนยัน เป็นเหมือนการกลับตัวหรือจะดูแบบง่ายๆยืนเหนือเส้น pivot ได้ขึ้นต่อ ยืนต่ำกว่าเส้น pivot ได้ลงต่อเป็นเหมือนแนวรับ แนวต้านหลักสำคัญๆของหนึ่งวันในระดับ 15m ขีดเส้นลากเส้นได้แล้วใช้ pivot ช่วยยืนยันหาเป้าหมายตามระดับต่างๆ เหมาะสำหรับคนที่มองแนวรับ-แนวต้าน หาเป้าหมายไม่แม่น ใช้เครื่องมือนี้ช่วยดูได้ดี ขีดๆลากๆแบบง่ายๆ ร่วมกับ fibonacci (เพื่อหาเป้าหมาย) หลักการง่ายๆทำกำไรง่ายๆที่หลายๆคนมองข้าม ex. EU M5 รูปต่อมา เมื่อรู้แล้วก็เริ่มมองหาเป้าหมายโดยใช้ fibonacci เข้ามาช่วย รูปแรกเริ่มมมองหาการขีดๆลากๆว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง รูปสามสมบรูณ์แบบ ยืนยันด้วยเทรนการลากขาขึ้นและจบลงด้วยการหลุดเทรน ถ้าทำตามระบบอย่างมีวินัย จะเห็นว่าได้ราคาซื้อที่ดีไม่สูงไปไม่ต่ำไป และได้จุดออกที่ดีเช่นกัน กำไรง่ายๆด้วยการขีดๆลากๆแล้ว จุดสำคัญที่สุดคือการกล้าที่จะตัดขาดทุน stop Loss ทิ้งเมื่อรู้ว่าผิดทางแล้ว เป็นจุดสำคัญที่นักลงทุนไม่กล้าทำตาม stop loss จริงๆเป็นแก่นของการยืนเหนือตลาด ชนะตลาดได้ต้องกล้าตัดการขาดทุนแล้วเริ่มใหม่ เป็นสิ่งเดียวเท่านั่น ทำตามระบบที่บอกแต่ไม่กล้า stop loss ก็แพ้ตลาดลองทดสอบ กล้า stop loss แล้วนักลงทุนจะรู้ว่าเมื่อขาดทุนจะรู้ว่าขาดทุนไม่มาก แต่เมื่อถูกทางจะกำไรมากเสมอๆ แต่นี้คือจุดอ่อนของนักลงทุนเพราะยังไม่กล้าทำตามครับ ไม่ลองไม่รู้ครับ จุดเสี่ยงที่สุดของการเทรดคือ sideways และไม่ยอมตัดขาดทุนเมื่อรู้ว่าผิดทาง จุดที่ทำกำไรมากสุดคือทำตามระบบไปเรื่อยๆ ตลาดมักจะชอบทดสอบใจและเล่นกับจิตใจเราเสมอๆ จงอดทนทำตามที่เรารู้ว่าแบบไหนกำไรแบบไหนควรยอมออกจากตลาดแล้วตลาดจะแพ้ทางเรา เขียนโดย Suthisa Yenjaichon ที่ 12:13 2 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
TonYa 5,208 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 21, 2012 ขอบคุณค่ะ คุณginger มีประโยชน์มากๆเลยค่ะ 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 22, 2012 (มีการแก้ไข) 22/11/2555 ผู้หนักแน่นในสัจจะ พูดอย่างไรทำอย่างนั้น จึงจะได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธา เชื่อถือ และความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือพูดจริงทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว... (12) (ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2540) ทรงพระเจริญ ginger Su Shuicaihua August 23 "พ่อของแผ่นดิน" สีอะครีลิคบนไม้ ศิลปิน ชัยวัฒน์ ผดุงพงษ์ ขนาดภาพ 80 x 100 cm. ถูกแก้ไข พฤศจิกายน 22, 2012 โดย ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 22, 2012 Pakde Limpong with สุดใจ แต่งประกอบ. June 18 539 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 22, 2012 การเงิน - การลงทุน วันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 08:13 แบงก์ชาติประเมินหน้าผาการคลังสหรัฐไม่แรง โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทีมเศรษฐกิจแบงก์ชาติประเมินปัญหาหน้าผาการคลัง มีทางออก คาดรัฐบาลสหรัฐเจรจากันได้ เชื่อว่าไม่กระทบเศรษฐกิจร้ายแรง นาย ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจของธปท. ประเมินว่าปัญหาหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff) ของสหรัฐจะมีทางออกที่ดี โดยมองว่ารัฐบาลสหรัฐจะต่ออายุมาตรการภาษีในหลายตัวออกไป ขณะที่บางตัวอาจเลือกใช้วิธีตัดลดทอนลงมา ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ โดย ธปท. ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2556 ไว้ที่ 1.9% ส่วนปีนี้อยู่ที่ 2.1% "ตัวที่อยู่ใน Fiscal Cliff มีสัดส่วนคิดเป็น 3.5% ของจีดีพีสหรัฐ เราคิดว่าส่วนใหญ่สหรัฐจะเลือกวิธีต่ออายุออกไป แต่คงไม่ทั้งหมด บางส่วนอาจตัดทอนลงมาบ้าง แต่คิดว่าไม่ถึงกับทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเสียหาย เพราะว่าโดยพื้นฐานแล้ว สหรัฐยังต้องทำวินัยการคลังที่เข้มงวดขึ้น ทั้งระยะปานกลางและระยะยาว ดังนั้น การลดการใช้จ่าย หรือการเพิ่มภาษีบางจุดจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น" นายไพบูลย์ กล่าว ส่วนความเป็นไปได้ที่พรรครัฐบาลจะไม่สามารถตกลงกับสภาคองเกรสในเรื่องนี้ได้นั้น เขาเชื่อว่า โอกาสมีน้อยมาก เพราะถ้าทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้จริง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่ค่อนข้างรุนแรง และเศรษฐกิจโลกก็คงได้รับผลกระทบด้วย นายไพบูลย์ กล่าวว่า ปัญหา Fiscal Cliff ที่ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้ เริ่มส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจแท้จริงของทางสหรัฐบ้างแล้ว เพราะทำให้ภาคธุรกิจเกิดความกังวลใจและโลเลที่จะลงทุน เนื่องจากมองว่ายังมีความเสี่ยงจากเรื่องดังกล่าวอยู่ "มีผลต่อภาคเศรษฐกิจจริงผ่านช่องทางการใช้จ่ายโดยตรง เป็นดีมานด์ที่หายไปโดยตรง และยังผ่านช่องทางอื่น ทั้งในเรื่องความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ ของประชาชน ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว ซึ่งตรงนี้ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยด้วย" นายไพบูลย์ กล่าว ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน กล่าวอีกว่า หากเทียบกับปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศยุโรป ยังถือว่าดีกว่าเพราะยังพอคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปนั้น แม้จะมีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาที่มากขึ้น แต่มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ซึ่งยากต่อการคาดการณ์ Tags : ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน • ธปท. • หน้าผาการคลัง • อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 22, 2012 (มีการแก้ไข) “ในหลวง” ทรงรับนายกฯ จีน ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 พฤศจิกายน 2555 19:55 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำ นายเวิน เจียเป่า (Mr.Wen Jiabao) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ เฝ้าฯ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2555 วันนี้ (21 พ.ย.) เมื่อเวลา 16.59 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯออก ณ ห้องประชุม สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14 โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำ นายเวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2555 การนี้ นายวิบูลย์ คูสกุล เอกอัครราชทูตไทย ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ครั้งนี้ นายเวิน เจียเป่า และคณะ มีความปลื้มปีติในการได้รับพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และขอถวายพระพรในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 ในนามของประชาชนชาวจีน และประธานาธิบดี หู จิ่นเทา พร้อมกันนั้น ได้กล่าวบังคมทูลถึงความร่วมมือของทั้งสองประเทศ อาทิ การร่วมมือกันแก้ปัญหาอุทกภัย และผลผลิตข้าวกับรถไฟความเร็วสูง ตลอดจนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่นำความสนิทสนม และความร่วมมือทางวัฒนธรรมสู่ชาวไทยและชาวจีน เปรียบได้กับเพลงพระราชนิพนธ์สายฝน ที่เป็นสัญลักษณ์ความร่มเย็นของพสกนิกรชาวไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสถึงการเดินทางมาเยือนไทยของ นายเวิน เจียเป่าและคณะ ว่า เป็นนิมิตหมายอันดีของการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ และเป็นส่วนสำคัญช่วยให้ชาวไทยและชาวจีน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันมากขึ้น พร้อมกันนั้น ได้มีพระราชดำรัสถึงความร่วมมือทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีคมนาคมรถไฟว่า ให้คำนึงถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับท้องถิ่นและสภาพแวดล้อม วัตถุประสงค์สำคัญไม่ใช่ความเร็วสูงสุด แต่เป็นความปลอดภัยสูงสุด โดยต้องไม่ให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ ทั้งสิ้น จึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ถูกแก้ไข พฤศจิกายน 22, 2012 โดย ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 22, 2012 หนูน้อยมะกันเกิดมามีหัวใจนอกอก แพทย์ผ่าตัดช่วยสำเร็จ(ชมคลิป) อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ พฤศจิกายน 22, 2012 Good Morning News 22 พฤศจิกายน 2555 - วรวรรณ ธาราภูมิ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤศจิกายน 2555 08:04 น. ■กลุ่มเจ้าหนี้ของกรีซประสบความล้มเหลวเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันในการหาทางบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับแนวทางการลดหนี้ของกรีซลง ส่งผลให้ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือฉุกเฉินให้แก่กรีซ และจะจัดการประชุมอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 26 พ.ย.นี้ ทั้งนี้ เอกสารที่เตรียมสำหรับการประชุมระบุว่า หนี้ของกรีซจะไม่สามารถปรับลดลงสู่ระดับ 120% ของ GDP ภายในปี 2020 นอกจากว่ารัฐบาลของประเทศสมาชิกยูโรโซนจะตัดหนี้สูญบางส่วนสำหรับเงินกู้ที่ปล่อยให้แก่กรีซ ขณะที่นายกรัฐมนตรีกรีซเห็นว่าเป็นเหตุผลที่รับฟังไม่ได้ในการชะลอความช่วยเหลือทางการเงิน ■สเปนคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มฟื้นตัวในปีหน้า ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะฟื้นคืนสู่ระดับปกติหรือไม่ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลซึ่งจำเป็นต้องลดการขาดดุลงบประมาณลงเหลือไม่เกิน 6.3% ของ GDP ในปีนี้ ■รัฐบาลอังกฤษกู้ยืมเงินสุทธิ 8.6 พันล้านปอนด์ในเดือน ต.ค. ซึ่งสูงกว่าเดือน ต.ค.ปีที่แล้วอยู่ 2.7 พันล้านปอนด์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 6 พันล้านปอนด์ โดยอังกฤษจะต้องเผชิญกับแรงกดดันและต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าลดค่าใช้จ่ายภาครัฐต่อไป หรือขอเวลาเพิ่มในการแก้ปัญหาการคลังของรัฐ ขณะที่รัฐบาลอังกฤษตั้งเป้าว่าจะกู้ยืมเงินไม่เกิน 1.20 แสนล้านปอนด์ในปีงบประมาณ 2555-2556 หรือลดลง 1.2% จากระดับ 1.214 แสนล้านปอนด์ที่รัฐบาลกู้ยืมในปีงบประมาณก่อนหน้า ■“เบน เบอร์นันกี” เตือนว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ หากเกิดความล้มเหลวในการหารือกันระหว่างรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กับสภาคองเกรสเพื่อหลีกเลี่ยง “fiscal cliff” เนื่องจากการขึ้นภาษีและการลดงบประมาณรายจ่ายที่มีผลในปีหน้าจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากภาคธุรกิจจะชะลอการจ้างงานและชะลอการลงทุน ขณะที่ “มาร์ติน เฟลด์สไตน์” ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญภาวะถดถอยอยู่ดี แม้จะสามารถหลีกเลี่ยง “fiscal cliff” ได้ก็ตาม ■นายชินโซ อาเบะ ผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งได้รับการคาดการณ์ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ประกาศเตรียมผลักดันผ่อนคลายนโยบายการเงินครั้งใหญ่ในขอบเขตที่มากกว่าเมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อสกัดการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินเยนและภาวะเงินฝืด ■ยอดส่งออกของญี่ปุ่นเดือนตุลาคมลดลง 2.3% และลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ส่งผลให้ขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากยอดส่งออกไปจีนลดลง 11.6% เนื่องจากกระแสต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นในจีนจากกรณีข้อพิพาทเหนือหมู่เกาะเตียวหยู ขณะที่ยอดส่งออกไปสหภาพยุโรปลดลง 20.1% และยอดส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.1% ทั้งนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะถดถอยอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น หลัง GDP ติดลบมาแล้ว 2 ไตรมาสติดต่อกัน ■สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ชี้ว่า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของกลุ่มชาติตะวันตกจะไม่มีผลกระทบต่อโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยอิหร่านยังคงเดินหน้าผลิตยูเรเนียมบริสุทธิ์ 20% ซึ่งง่ายต่อการเปลี่ยนเป็นอาวุธ ■ยูเอ็นเปิดเผยว่า ปริมาณความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโลกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2011 โดย 80% เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งจะคงอยู่ไปนานนับร้อยปี และส่งผลให้โลกของเรามีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เป้าหมายของยูเอ็นที่จะทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่เกิน 1 องศาเซลเซียสต่อปีทำได้ยากขึ้น ■SET Index ปิดที่ 1,276.39 จุด ลดลง 0.02 จุด หรือ 0.0% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 22,620 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 131 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสวนทางกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังกังวลกับการชุมนุมทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้ รวมทั้งความกังวลหลังนายเบอร์นันกีออกมาระบุว่าสหรัฐฯ อาจเจอภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ■อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงในช่วง -0.01% ถึง +0.05% สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตร ธปท.อายุ 3 ปี วงเงิน 35,000 ล้านบาท ■จีนเผยว่า ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่บ่งชี้ว่ามีเงินร้อนไหลเข้าสู่จีน แม้ค่าเงินหยวนจะทะยานขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม ซึ่งอาจถูกผลักดันมาจากภาวะตลาดที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม จะมีการเพิ่มการตรวจสอบกระแสเงินทุนระหว่างประเทศที่ผิดปกติมากขึ้น ทั้งนี้ ปริมาณอุปสงค์และอุปทานเงินตราต่างประเทศยังอยู่ในระดับสมดุล และการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนยังคงมีเสถียรภาพ ■ธนาคารโซซิเอเต เจนเนอราล (ซอคเจน) ชี้ว่า ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่งไปจนถึงสิ้นปีนี้และปีหน้า โดยในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะยังคงอ่อนค่าลงอันเนื่องมาจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินในสหรัฐฯ ทั้งนี้ ซอคเจนคาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยที่ระดับ 1,802 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาสแรกปีหน้า จากนั้นจะเคลื่อนไหวที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาส 2 และจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,850 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาส 3 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น