ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
aunson

บรรยากาศทองคำ ณ ช่วงเวลานี้ BY Rจานอั๋น

โพสต์แนะนำ

 

 

ราคาทองคำที่ตลาดเมืองนอก มีการซือ้-ขาย กัน 24 ชั่วโมง กันแบบ Real time ครับ เมืองนอกซือ้-ขายกันเป็น เหรียญ ดอลล่าร์

 

แต่ตลาดเมืองไทย มีบาง โบรก เปิดการซื้อ-ขาย ไม่มากครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เป็นโกลฟิวเจอร์หรอครับ เห็นพี่บางคนขายกันตอนดึกก็มี

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เป็นโกลฟิวเจอร์หรอครับ เห็นพี่บางคนขายกันตอนดึกก็มี

 

น่าจะเป็น GoldSpot ครับ ที่ตลาดเมืองนอกซื้อ-ขาย เป็น ทองกระดาษ และก็จะมี บางโบรกในประเทศไทย เช่น แม่ทองสุก หรือ YLG ที่เปิดขายทองคำแท่ง 24 ชั่วโมง ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

น่าจะเป็น GoldSpot ครับ ที่ตลาดเมืองนอกซื้อ-ขาย เป็น ทองกระดาษ และก็จะมี บางโบรกในประเทศไทย เช่น แม่ทองสุก หรือ YLG ที่เปิดขายทองคำแท่ง 24 ชั่วโมง ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผมซื้้อขายอยู่กับพี่ออส 3-4 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยปัญหา แต่อนาคตยังตอบไม่ได้

 

ของเค้าเปิดซื้อขายถึงเที่ยงคืน ยังไงลองหาข้อมูลดูน่ะครับ ผมไม่มีส่วนได้เสียใด ๆ ทั้งสิ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
:01 หวัดดีขอรับ อ.อั๋น เมื่อคืน อยู่ดึกเลยนะขอรับ ได้พักบ้างหรือยัง ขอรับ อ.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

post-4992-0-54620300-1347588897.gif

 

 

 

 

"อีกมุมมอง แห่งความมั่งคั่ง" ที่คนส่วนใหญ่มองเหมือนกัน ....โดย นักแกะรอยหยัก

 

 

โดย Bualuang Securities เมื่อ 13 กันยายน 2012 เวลา 23:22 น. ·

 

 

218117_10151436199808277_1768215484_n.jpg

 

ผ่านไปเจอบทความเรื่อง 1% ในนิตยสาร Fortune เขาพูดเรื่องการ ประท้วงของพวก Occupy Wall Street ที่พยายามกดดัน ให้ออกกฏหมายเก็บภาษี รีดจากคนรวยเยอะๆ

 

บทความนี้ ตีเจาะเข้าไปในเรื่องของ 1% ของอเมริกา มีกว่า 2 ใน 3 เป็น Self-made คือ สร้างตัว ด้วยตัวเอง ...ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะ ความคิดเดิมๆ ของคนส่วนใหญ่ ก็คือ คนรวยต้องเป็นคนที่มีเงินกองเป็นภูเขา ...ใช่ไหม!!

 

ฮึม!! ในอดีตอาจจะใช่ ..พวกยุคสมัยผู้นำเผด็จการทหาร ที่โกยเงินจากการแอบขายทรัพยากรประเทศ แล้วโกยเงินทั้งหมดเข้าตัวเอง -- กรณีนั้นแหละ ที่คนรวยจะเป็นแนวรวยแบบเงินกองเป็นภูเขา แล้วก็จริงๆ ไม่ได้ใช้ เพราะ สุดท้ายอเมริกายึดซะงั้น (ฮาไหมล่ะ)

 

แต่คนรวยยุคใหม่ที่ Self-made มันต่างกันกับภาพนั้นมาก ...ถ้าคิดให้ดี การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะเจริญ และ เสรีจนถึงขั้นที่ ใครก็สามารถรวยเป็น "พันล้าน" นั่นหมายความว่า "ระบบโอกาส ของประเทศนั้นต้อง มีกลไกที่ทำงานได้ดี"

 

"อะไรคือ ระบบโอกาส !!!"

 

ครับ !! ระบบโอกาส ก็คือ ระบบที่สามารถทำให้คนทั่วๆ ไป ที่มีความสามารถ มีโอกาสได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน และ Connection ที่จะพาเขาไปสู่การสร้างกิจการที่ใหญ่โตได้ ..ซึ่งอเมริกาเองมีระบบการเงิน ในเรื่องของ "เงินทุน" ที่พัฒนามาก คือ เริ่มตั้งแต่ Angel คือ กลุ่มคนรวยที่ลงทุนกับ Idea ใหม่ๆ เพื่อให้คนที่มี Idea สามารถมีเงินเริ่มต้นในขั้นตั้งไข่ ...และ ตามมาด้วย Venture Capital ที่เป็น Step ต่อมาในการให้เงินทุน และ Connection ในธุรกิจใหม่ๆ และ ก็มี Private Equity ที่เป็นกลุ่มทุนส่วนบุคคลที่ลงทุนในกิจการทั้งนอกและในตลาด ...จะเห็นได้ว่า ทุกๆ ส่วนของการเติบโตของธุรกิจในประเทศเสรีอย่างอเมริกา จะมี "ระบบเงินทุน" ซึ่งก็คือ ระบบสนับสนุนโอกาส ที่ Give & Take ...ในมุมของเจ้าของอาจมองว่า พวกกลุ่มทุนเหล่านี้เอาเปรียบ แต่ถ้าถามผม ผมว่า คุณลองมองอย่างประเทศไทยซิ ...แย่กว่าเยอะ ..สมมุติลูกชาวนามี ความสามารถ จะไปได้ถึงไหน ในประเทศไทย หากคุณไม่เข้ามาเป็นลูกจ๊อกของคนที่มีอำนาจ แล้ว สุดท้าย ถามว่าผลประโยชน์อย่างประเทศเรา ก็ตกอยู่กับผู้มีอำนาจ

 

ซึ่งถ้าเรามอง Case ของอเมริกา ที่หลายๆคนมองว่า กลุ่มทุนของประเทศเขาเอาเปรียบ แต่เด็กที่ไม่มีอะไร อย่างพวก Dot Com Kid หรือ เด็กไอที ในอเมริกาที่เป็นลูกชาวนา ก็สามารถสร้างกิจการ ให้ขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ แม้ว่า เขาอาจโดนเอาเปรียบบ้างตามปกติ ของโลก แต่อย่างน้อย ก็ยังมีพื้นที่ ของโอกาสให้เขาได้ยืนได้ ..."ใช่!! ถ้าถามผม ว่า ผมชอบอะไรมากกว่า ...ผมว่า ประเทศที่เปิดระบบโอกาสอย่างอเมริกา เป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน" -- ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าเมืองไทย ระบบของการให้โอกาสทางด้านเงินทุนจะพัฒนาไปที่จุดใด

 

กลับมาในส่วนของ "คนรวยตกลงเขาเป็นคนเอาเปรียบคนอื่นจริงหรือไม่" ...ก็บางส่วนใช่ ...แต่ส่วนที่น่าสนใจคือ พวก Self-Made นี่แหละ ที่ความมั่งคั่งของพวกเขา มันมาจาก การสร้างงาน สร้างธุรกิจ และ เพื่อสร้าง สินค้า และ บริการที่เป็นประโยชน์ ต่อมนุษย์ ...คิดดีๆ ว่า การที่เราจะสามารถผลิตสินค้า และ บริการที่ขายดี ...สินค้ามันต้องดี เช่น iPhone ที่ขายดี เพราะ มันทำให้ชีวิต และ การทำงานเปลี่ยนไป ง่ายขึ้น สะดวก ...หรือ อย่างกรณี Bill Gates ที่สร้างอุตสาหกรรม Computer ให้โต ก็ก่อให้เกิด Productivity มากขึ้นของธุรกิจทั่วโลก ...ซึ่งคนรวยมหาศาลเหล่านี้ เขาสร้างให้เกิด การสร้างความมั่งคั่งของอุตสาหกรรม ซึ่งมันสร้างงานมหาศาล และ มันก็ส่งผลให้คนจำนวนมากมีคุณภาพชีวิต และ ความมั่งคั่งที่มากขึ้น

 

สถิติของโลก ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ระบบทุนนิยมโตแบบก้าวกระโดด เข้าไปสู่ประเทศอย่างจีน อินเดีย และ เอเชีย ..ผลก็คือ การทำให้คนจำนวนเป็นพันๆล้านคน หลุดออกจากความยากจน กลายมาเป็น คนชั้นกลาง ...แต่แน่นอน ในทุก Process ของการเปลี่ยนแปลง มันไม่มีทางจะทำให้ทุกคนเท่ากันอยู่แล้ว ...ผมว่าทุกระบบเราต้องดูธรรมชาติ แล้วศึกษาจากมัน ..อย่างการเปลี่ยนแปลง ของคลื่นคนจน เป็นชนชั้นกลาง ก็เหมือน การเคลื่อนตัวแบบสึนามิ ..ที่ Shift ความมั่งคั่ง -- ก็เหมือน น้ำทะเล ที่คลื่นบางลูกใหญ่ บางลูกเล็ก ...ความรวยความจน จึงแตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ

 

ประเด็น ผมว่าตรงนี้สำคัญ..คนส่วนใหญ่ ชอบมองตัวเอง เป็นคนตัดสินคนอื่น แต่ไม่เคยมองตัวเอง ...ครั้งนึงผมก็เคยคิดว่า โลกมันไม่แฟร์ ทั้งๆที่ผม ทำงานอย่างหนัก ไม่มีวันพักผ่อน ในสมัยเปิดร้านอาหารในออสเตรเลีย ผมกลับเจ๊ง ไม่เป็นท่า ...แต่พอเวลาผ่านมา ผมก็มองย้อนไป ก็รู้เลยว่า แต่ก่อน ที่ผม "เจ๊ง" ไม่ใช่เพราะ ผมไม่ขยัน เพียงแต่ผมยัง "อ่อน" ในโลกของธุรกิจ ..สมัยก่อนผมคิดว่า การทำธุรกิจตามตำรา Marketing ที่เรียนจาก กูรูของโลก ตำราฝรั่ง จะเอามาใช้ได้ทันที ...แล้วผม จะรวยเร็ว ...ผิด!! ..ไม่ใช่เลย !!

 

จริงๆ แล้ว ทุกธุรกิจ ทุกอุตสาหกรรม มันมี "แก่น" ที่ต้องเข้าใจ ...การที่เราจะทำอะไรก็ตาม ต้องมีสติ คิดดีๆ ว่า สิ่งที่เราจะทำ มันมีคนอื่น ที่เขาทำได้ดีอยู่แล้วหรือเปล่า ...ยกตัวอย่าง วันนี้ คุณจะเปิดร้านอาหาร คุณคิดว่า คนเดิมที่เขาเปิด พวกนี้ไม่เก่งหรือไง ...หรือ การที่คุณจะเปิดร้านกาแฟ คุณเห็นช่องว่างของ Starbucks หรือ Amazon ที่เขาทิ้งช่องตรงไหนให้ร้านคุณได้บ้าง ...คือ สิ่งเหล่านี้ ผมว่าคนส่วนใหญ่ มองข้าม ...เพราะ Focus ไปที่สิ่งเดียว คือ "อยากมีธุรกิจ เพื่อจะได้เป็นนายตัวเอง อิสระ และ รวยเร็ว" -- ผลลัพธ์ก็คือ 9 ใน 10 ธุรกิจที่เปิดใหม่ "เจ๊ง" ..ฮึม!! คือ สถิติของ การทำธุรกิจยิ่งแย่กว่าการลงทุนอีกนะ การลงทุนนี่ 8 ใน 10 คน เจ๊ง ...ส่วนธุรกิจ 9 ใน 10..เจ๊ง!!

 

สิ่งที่ผมอยากจะชี้คือ "คนเราเดี๋ยวนี้ อย่าง Case ของการรวมกลุ่มไปประท้วง คนรวย ผมไม่รู้ว่ามันจะได้ประโยชน์อะไร" สิ่งสำคัญคือ "ตัวเรา ต้องดีก่อน" ...ในความหมายคือ เราต้องทำตัวเราให้ดี ก่อนที่เราจะไปตัดสินใคร ...ทุกอย่างที่เป็นอยู่ในโลก มันสมควร ที่เป็นอยู่แล้ว หมายความว่า "การที่คนเราเป็นในสิ่งที่เราเป็น เพราะ อดีตทั้งหมด มันรวมมาเป็นผลลัพธ์ในสิ่งที่เราเป็น" ..ดังนั้น สิ่งที่คนตัวเล็กๆ อย่างเราแต่ละคนทำได้ ไม่ใช่รวมกลุ่มกันไปประท้วงอะไร ..ไม่มีสาระ ..สิ่งที่น่าจะทำคือ เราต้องมาคิดว่า เราจะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นอย่างไรต่างหาก ...ยกตัวอย่าง เขาประท้วงคน 1% ว่า เอาเปรียบ ..แต่แล้วคน 99% เขาทำตัวให้โดนเอาเปรียบทำไม

 

หากเราคิดให้ดีแล้ว การที่คนๆนึงจะรวย ขึ้นมาเป็นเศรษฐี แสดงว่า เขาต้องทำอะไรบางอย่างถูกต้อง เช่น เขาอาจสร้างกิจการใด้ใหญ่โต จ้างงานมากมาย ...และ ผลิตสินค้า และบริการที่เป็นประโยชน์ ..."นี่แหละ คือ สิ่งที่ต้องเรียนรู้" คือ Wealth ของคนปัจจุบัน มันไม่ใช่ "กองเงิน" แต่มันเป็น "Paper Wealth + Asset Wealth" ...คืออะไร -- ลองคิดดูนะ ...คนเราต่อให้เงินเดือนเป็นแสน ถ้ามีรายได้จากเงินเดือนอย่างเดียว ต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปี กว่าจะเก็บเงินจนรวยได้ ...สิ่งที่อยากจะชี้ คือ "คุณไม่มีทางรวยเลย หากมุ่งแต่ทำงานหาเงินจากรายได้ ที่เอาแรงงานและ หยาดเหงื่อของคุณเข้าไปแลก ..."

 

ทางเดียวที่จะรวยได้คือ เข้าใจของ Leverage และ Asset

 

Asset คือ สิ่งที่ต้องเก็บสะสม "นี่แหละ Wealth ของคนรวย" ...ยกตัวอย่าง คุณว่าคุณธนินท์ (เจ้าของ CP) มีกองเงินเก็บไว้ในตู้ หรือห้องใต้ดินหรือ ...ไม่ใช่เลย ... wealth ของคุณธนินท์ อยู่ในธุรกิจ CPF ที่จ้างคนงานเป็นแสนคน ..เพื่อให้คนแสนคน ..ทำงานบน Asset ...ซึ่งก็คือ โรงงาน ที่ดิน และ ร้านค้า ..คือ พูดง่ายๆ ว่า คุณธนินท์ ไม่ได้ใช้แรงงานตัวเองทั้งหมด ...ดังนั้น คุณธนินท์ใช้ Leverage แรงงานของคนอื่น โดย การให้โอกาสคนอื่น คือ "จ้างคนอื่น ...ให้งานเขาทำ" ...และคนแสนคนที่ได้รับโอกาส ก็มาทำงานบน Asset ของคุณธนินท์ ซึ่งเริ่มแรกก็มาจากเงินกู้ธนาคาร ..แต่พอทำๆ ไป มีกำไร ..ก็ค่อยๆ จ่ายคืนธนาคาร ..จนในที่สุด Wealth ก็ค่อยๆ เพิ่ม ..หนี้ก็ค่อยๆ ลด ..ธุรกิจก็ขยาย ผลิตสินค้า และ บริการที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ..และก็จ้างมนุษย์ มาทำงานให้

 

นี่แหละครับ ตัวอย่างของ Wealth มันคือ การใช้สมอง "คิด" ว่า สิ่งที่เราจะผลิต คือ สินค้าและ บริการอะไร ..จากนั้น เราก็ต้องเอาแรงงานเราไปแลกทำ ..ซึ่งถ้าทำได้ดี เราก็เริ่มใช้ Leverage ในส่วนของ ทั้งแรงงานคนอื่น และ เงินคนอื่น(เงินธนาคาร) ...

 

ฉะนั้น อย่างแรกที่เราต้องหาคือ "ประโยชน์ที่เราจะสร้าง ...แล้วต้องตอบให้ได้ว่า สินค้าและบริการใดที่จะตอบโจทย์ ...และต้องตอบให้ได้ว่า แล้วจะเริ่มอย่างไร ...เอาเงินจากไหน ...และ ในที่สุด ใครจะมาช่วยเราทำงาน" ...มันไม่ง่ายหรอกครับ ที่มนุษย์คนนึงจะสามารถประสบความสำเร็จ เพราะ ส่วนใหญ่ สิ่งที่เราอยากจะทำ มันก็ล้วนเป็นสิ่งที่มีคนที่เก่งทำอยู่แล้ว ...ร้านก๋วยเตี๋ยว , ข้าวแกง , ขายผัก , ขายเสื้อผ้า -- ใช่!! ก็เพราะ เราติดกรอบความคิด ว่า งานคือ การทำเหมือนๆ คนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ใช่!!

 

คิดให้ดี นะ "การที่เราจะสามารถรวย ต้องแสดงว่า เราเก่งในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ ไม่เก่งดิ ถึงจะรวย" ...ดังนั้น โอกาส จึงอยู่ในสิ่งที่ไม่มีใครทำ ...เช่นอย่างผมเอง ผมเคยทำธุรกิจแบบพื้นๆ เช่น ร้านอาหาร ซึ่งผมไม่ได้เก่งกว่าคนอื่น ...ในที่สุดผมก็ต้องเบนเข็มมาทำเรื่อง Investment ซึ่งในเวลานี้ ผมก็เห็นช่องว่างทางโอกาส ที่มากมาย และ ที่สำคัญ การที่ผมเดินแล้ววางตัวเองแบบมุ่งมั่นมาในสายการลงทุน ก็ทำให้ผมได้เปรียบในเกมนี้ ...ใช่!! อุตสาหกรรมการบริหารเงินของเอเชีย ยังเพิ่งเริ่มต้น ...ยกตัวอย่าง กองทุนในบ้านเรา อย่าง กองทุนบ้านเราหลักพันล้านก็ใหญ่แล้ว ...แต่ดูอเมริกาซิครับ แต่ละกองเป็นหมื่นล้าน แสนล้าน ใหญ่กว่าประเทศเราอีก ..จะว่าโอกาสมันไร้ขีดจำกัดก็ว่าได้

 

มันไม่ใช่แต่การเงินนะที่เริ่มเปิดกว้าง คุณลองดู ธุรกิจสื่อ หรือ Digital Content ซิ ...ที่ปัจจุบัน กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง มหาศาล ... ใช่!! ผมกำลังจะชี้ให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว อะไรก็ตาม ที่ดู แล้วซับซ้อน อยู่ในการเปลี่ยนแปลง วุ่นวาย ดูเหมือนทำแล้วไม่ได้เงิน ...สิ่งนั้นแหละที่มีโอกาส ให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ เข้าไปแย่งชิง พื้นที่แห่งโอกาสในครั้งใหม่ ...วันนี้บ้านเรา การเมืองระอุ ..สิ่งที่ผมเห็นคือ โอกาสในเรื่องของ "สื่อ" ...โอกาสในเรื่องของ "บันเทิง" ...โอกาสในเรื่องของ "การลงทุน" ...โอกาสในเรื่องของ "การบริการใหม่ๆ Consumer"

 

คุณเห็นเหมือนผมไหมล่ะ ...คือ แทนที่คน 99% จะเอาเวลาไป คิดว่า ทำไมตัวเรา ไม่รวย ..ผมว่า เอาเวลามาคิดว่า เราจะทำอะไรทีมัน "ท้าทาย" เปลี่ยนแปลง ...เปลี่ยนสื่อ ..เปลี่ยนการลงทุน ...เปลี่ยนสินค้าและบริการของคนต่างจังหวัด ...เปลี่ยน ๆ ๆ ... ถูก!! เอาเวลามาคิด สร้างสรรค์ สร้างงาน สร้างธุรกิจ ...ผมว่า Focus มันอยู่ตรงความสนุก และ ความท้าทาย ที่เราได้เอาความสามารถเรา ไปสร้างสรรค์สิ่งที่มันเกิดประโยชน์ ...สุดท้าย คุณจะทั้งมันส์ และ ก็จะรวยมหาศาลตามมา

 

อย่าคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ ...คนคิดบ่น คิดติ ไม่มีใครรวยหรอก ...ต้องคิดสร้าง คิดบวก ถึงจะรวย ...ถึงจะเป็น 1% ของคนได้

 

... "เราเลือก และ กำหนดชีวิตของเราเอง จริงๆ นะ"

ถูกแก้ไข โดย กระต่ายทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

 

มนุษย์เกิดมาในโลกอย่างมีความหมาย ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่าหรือเกิดมาเพื่อจะถูกลืม ยกเว้นคนที่พยายามจะทำให้คนอื่นลืมตนเอง ไม้ทุกต้น หญ้าทุกชนิด ก็เช่นเดียวกับน็อตทุกตัว ที่ถูกผลิตมาเพื่อเหมาะสมกับภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเสมอ

คนที่เข้าใจโลก ถึงขั้นจะมองเห็นอะไรๆ ที่คนอื่นเขาเครียดกันเป็นเรื่องขำขันได้ จะมีอายุยืน อยู่ในโลก แต่ไม่หลงโลก อยู่ในโลกเพื่อเหยียบโลกเล่น ไม่ใช่แบกโลกไว้บนบ่า คนอย่างนี้หายาก แต่มีอยู่ที่ไหน คนอยู่ใกล้ก็มีความสุข

มีความจริงทั้งสองด้านรวมอยู่ในตัวมันเองเสมอ ต่างแต่ว่าเราจะเลือกหยิบด้านใดขึ้นมาประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่านั้น

คนที่คิดทางบวกเป็นคนที่โชคดีและได้กำไรเสมอ ส่วนคนที่คิดในทางลบ แม้เรื่องดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ยังไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์กับตน วิธีคิดบ่งบอกอนาคต กำหนดชะตากรรม เราคิดอย่างไรก็จะกลายเป็นคนอย่างนั้น คิดบวก ชีวิตก็เป็นบวก คิดลบ ชีวิตก็ติดลบ

ที่ใดมีปัญหา ที่นั่นย่อมมีทางออก ปัญหาและทางออกจึงเป็นเสมือนสองด้าน ของเหรียญกษาปณ์อันเดียวกัน เพียงมีสติรู้จักพลิกปัญหา ก็จะพบว่ามีภูมิปัญญาอันเลิศล้ำ รอให้ค้นพบอยู่อย่างท้าทาย

ความสุขหรือความทุกข์ บางครั้งอยู่ที่ "ท่าที" ในการเผชิญของเราเป็นสำคัญ ถ้า "รู้เท่าทัน" สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีสติ ทุกข์อาจกลายเป็นสุข ปัญหาอาจกลายเป็นปัญญา วิกฤติอาจถูกแปรเป็นโอกาส

หากป่วยกายอยู่แล้ว อย่าให้ใจต้องมาป่วยซ้ำลงไปอีก ถ้าป่วยกาย แต่ใจไม่ป่วย โอกาสหายป่วยย่อมมีมาก แต่ถ้าป่วยกายด้วย ป่วยใจด้วย บางทีโรคกายไม่ร้ายแรง แต่ก็อาจทุกข์ทรมานเพราะโรคใจคอยแทรกซ้อน

ขออย่าให้ท้อถอยในการที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ คนเรายามที่เป็นปุถุชนก็มีโอกาสผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น แต่คนโง่จะปล่อยให้ผิดพลาดแล้วผิดพลาดเลย

ส่วนคนที่มีปัญหาเมื่อรู้ว่าผิดพลาดไปแล้ว จะรีบถอนตนออกมาอย่างทันท่วงที แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มิซ้ำรอยเดิม

ขอเพียงมนุษย์ไม่ดูถูกตนเอง ตระหนักรู้ถึงศักยภาพพิเศษที่ซุกซ่อนอยู่ในตน แล้วเพียรเจียระไนชีวิตให้แวววาวพราวพรายด้วยการศึกษาเรียนรู้ ซึมซับเก็ฐรับบทเรียนจากการงาน และการใช้ชีวิตอย่างสุขุม ก็ย่อมจะมีชีวิตที่คุ้มค่า สงบ ร่มเย็น และเป็นสุขได้โดยไม่ยากเย็น

มือของผู้ให้ อยู่สูงกว่ามือของผู้รับ ชื่อของผู้ให้ น่าจดจำกว่าชื่อของผู้ขอ เกียรติของผู้ให้ กรุ่นหอมอยู่เหนือกาลสมัย ยิ่งกว่าเกียรติศักดิ์ของนักรบและปวงวีรบุรุษ

การให้ แค่เพียงคิดจะทำ ใจก็ยังเป็นสุข ครั้นได้ให้แล้ว จิตใจก็แช่มชื่นเบิกบาน เมื่อวันเวลาผ่านไป หวนกลับไปรำลึกถึงดวงหน้าอันเปี่ยมสุขของผู้รับ ความปิติสุขก็ย้อนกลับมาทำให้หัวใจอิ่มเอม

การให้ จึงเป็นความสุขแท้ ทั้งเวลาก่อนให้ ขณะที่ให้ และหลังจากได้ให้ไปแล้ว

 

dhammajak.net

ถูกแก้ไข โดย กระต่ายทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดีคะจานอั๋น เพื่อนๆ

 

 

 

Good Morning News 17 กันยายน 2555 - วรวรรณ ธาราภูมิ

 

โดย Analai Tone เมื่อ 17 กันยายน 2012 เวลา 5:10 น. ·

561835_3252601133782_939030336_n.jpg

198595_3252604013854_489404250_n.jpg

  • ธ.กลางยุโรป (ECB) เตรียมเจรจากับ IMF เรื่องมาตรการให้ความช่วยเหลือสเปน 3 แสนล้านยูโร ระยะเวลา 3 ปี ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสเปนเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมลง โดยสเปนจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เข้มงวดเพื่อลดงบรายจ่ายและปฏิรูปเศรษฐกิจ

  • หนี้สินภาคธนาคารพาณิชย์ของสเปนที่ต้องจ่ายคืนให้ ECB เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าใน 1 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นหนี้ ECB 3.887 แสนล้านยูโรในเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 3.5% จาก 3.755 แสนล้านยูโรในเดือน ก.ค. นอกจากนี้ หนี้ของรัฐบาลสเปนยังแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 75.9% ของ GDP ในไตรมาส 2 ของปีนี้อีกด้วย เนื่องจากรัฐบาลต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนช่วยเหลือยูโรโซน เพื่อนำมาเพิ่มทุนให้กับภาคธนาคารในประเทศ

  • กรีซยืนยันว่า ยังไม่ต้องการได้รับมาตรการช่วยเหลือครั้งที่ 3 หลังจากที่ นสพ.Wall Street Journal รายงานว่า กรีซต้องการความช่วยเหลือรอบ 3 จากเจ้าหนี้ยุโรปเพราะไม่สามารถลดยอดขาดดุลได้ และบรรลุเงื่อนไขเพียง 22% ของมาตรการช่วยเหลือรอบ 2

  • นักเศรษฐศาสตร์จาก Bank of Americal เชื่อว่าการที่ FED ประกาศใช้มาตรการQE3ผ่านการซื้อตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์จำนองค้ำ (MBS) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนอย่างไม่มีข้อจำกัดนั้น เป็นการส่งสัญญาณว่า FED จะใช้เครื่องมือทุกแนวทางเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดแรงงานอย่างเต็มที่จนกว่าอัตราการว่างงานจะอยู่ในระดับไม่เกิน 7% และอาจเพิ่มปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลมากยิ่งขึ้นหลังมาตรการOperation Twist จบลงสิ้นปีนี้ นอกเหนือไปจากการซื้อ MBS ใน QE3 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของแรงงาน

  • Michael Woodford นักเศรษฐศาสตร์การเงินเผยถึงมาตรการ QE3 ของFED ทั้งการขยายระยะเวลากำหนดอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ และการใช้เงินซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ว่าจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ แม้ว่าเงื่อนไขของมาตรการดังกล่าวจะยังไม่มีความชัดเจนก็ตาม นอกจากนี้ การใช้เงินเพื่อเข้าซื้อ MBS จะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนลง และมีผลต่อเศรษฐกิจได้โดยตรงมากกว่ามาตรการก่อนหน้านี้ที่เน้นการซื้อพันธบัตรระยะยาวอย่างเดียว
  • ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) สหรัฐ เดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 0.6% เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน และขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 ปี เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนี CPI ในรอบ 12 เดือน สิ้นสุด ณ เดือน ส.ค.เพิ่มขึ้น 1.7% ซึ่งต่ำกว่าที่ FEDตั้งเป้าไว้ที่ 2% ทำให้ลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และทำให้ FED ยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณอย่างต่อเนื่อง

  • หนังสือพิมพ์ไชน่า ซิเคียวริตีส์ เจอร์นัล ของจีน รายงานว่า ความพยายามของสหรัฐในการหนุนเศรษฐกิจของประเทศผ่านการซื้อพันธบัตรรอบใหม่ อาจไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอย่างที่คาดหวังไว้ เนื่องจากตลาดในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่ยากลำบากเมื่อเทียบกับในอดีต

  • นักท่องเที่ยวชาวจีนอาจลดลง 20% หลังมีข้อพิพาทเรื่องหมู่เกาะเตียวหยูระหว่างญี่ปุ่นกับจีนอีกครั้ง ส่งผลให้บริษัททัวร์จีนหลายแห่งยกเลิกทัวร์ไปญี่ปุ่นทั้งหมด เพื่อแสดงความไม่พอใจ

  • ญี่ปุ่นจะนำความขัดแย้งเรื่องพรมแดนมาหารือในที่ประชุมสามัญของ UNท่ามกลางความตึงเครียดที่เลวร้ายลงของญี่ปุ่นกับจีนและเกาหลีใต้ โดยจะเรียกร้องให้นานาชาติแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องพรมแดนภายใต้กฎหมาย และหวังว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากประเทศที่ได้รับผลจากการแผ่อิทธิพลทางทหารของจีนซึ่งรวมไปถึง ฟิลิปปินส์ สหรัฐ และ เวียดนาม

  • S&P เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของเกาหลีใต้ขึ้น 1 อันดับ มาอยู่ที่ A+ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ แต่ต่ำกว่าของจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และ ซาอุดิอาระเบีย 1 อันดับ

  • เกาหลีใต้มีจำนวนชั่วโมงในการทำงานต่อสัปดาห์ที่เฉลี่ย 44.6 ชั่วโมง สูงที่สุดในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) แต่รายได้เฉลี่ยต่อปีไม่ได้สอดคล้องกับจำนวนช่วโมงทำงานที่ยาวนาน

  • ธ.กลางอินโดนีเซีย คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.75% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 7 หลังอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เหมาะสม และเศรษฐกิจยังจำเป็นต้องกระตุ้น

  • อินเดียอนุญาตให้นักลงทุนต่างประเทศลงทุนในอุตสาหกรรมค้าปลีกและการบินได้ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวและช่วยฟื้นความเชื่อมั่น ซึ่งน่าจะช่วยเปลี่ยนมุมมองของนักลงทุนต่างประเทศเกี่ยวกับการลงทุนในอินเดีย และเป็นผลดีต่อการไหลเข้าของเงินทุนและเงินสกุลรูปี

  • กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ระบุว่า มาตรการ QE3 ของ FED จะทำให้มีเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่า แต่เชื่อว่า ธปท.จะดูแลปัญหาดังกล่าวได้ โดยการพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เข้ากับสถานการณ์ นอกจากนี้ ก.คลัง ยังสนับสนุนให้ภาคเอกชนนำเงินไปลงทุนยังต่างประเทศเพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ และช่วยลดแรงกดดันไม่ให้บาทแข็งค่าเกินไปจนกระทบภาคการส่งออก

 

  • SET Index ปิดที่ 1,276.12 จุด เพิ่มขึ้น 18.43 จุด หรือ 1.19% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 57,212 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,145.79 ล้านบาท ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE3) ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต

  • ตลท. คาดว่าจะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลกมากขึ้น หลังเยอรมนีสามารถจัดตั้งกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพแห่งภูมิภาคยุโรป (ESM) และ FED ประกาศใช้มาตรการ QE3 ซึ่งช่วยลดความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลก ทำให้สภาพคล่องของเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นอาเซียนโดยเฉพาะไทยก็จะได้รับอานิสงส์ดังกล่าวด้วย ขณะที่ปัจจัยที่ต้องระวังคือภัยธรรมชาติ ที่อาจส่งผลให้เกิดเงินไหลออกได้เช่นเดียวกัน

 

  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงในช่วงระหว่าง -0.04% ถึง 0.00% โดยพันธบัตรรุ่นอายุ 3-15 ปี ปรับลดลงในช่วง -0.01% ถึง -0.04% ส่วนรุ่นอายุตั้งแต่ 15-30 ปี อัตราผลตอบแทนเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่าง 0.00% ถึง -0.02%

  • ธปท.เชื่อว่า เงินบาทในขณะนี้ปรับตัวสอดคล้องกับสกุลเงินในภูมิภาค และธปท.พร้อมจะเข้าดูแลเงินบาทหากมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ทั้งนี้ สกุลเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียแข็งค่าขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกรอบใหม่ของFED ประกาศใช้ ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐและการส่งออกของเอเชียสดใสขึ้น

185265_3252616814174_1204238279_n.jpg

  • Ray Dalio ผู้จัดการกองทุนเฮด์จฟันด์ ให้สัมภาษณ์ผ่าน CNBC ว่า ทองคำถือเป็นสกุลเงินอย่างหนึ่งและเป็นสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อการลงทุนที่ดีที่สุด แม้ว่าปริมาณทองคำที่มีจะยังไม่สามารถรองรับความต้องการของนักลงทุนเพื่อใช้เป็นสกุลเงินเพื่อการซื้อขายสินค้าก็ตาม

269114_3252622694321_2118415932_n.jpg

  • Paul Krugman “แม้ FED จะใช้มาตรการที่ดีและชัดเจนขึ้น แต่มันยังไม่เพียงพอ”

  • Nouriel Rubini ”ตลาดที่ขึ้นทั้งจากข่าวดีและข่าวร้าย ไม่ใช่ตลาดที่มั่นคงเลย”

  • Jim Rogers ”QE1 QE2 ล้มเหลวหมด แล้ว FED ก็ทำโง่ๆ อีกด้วยการออก QE3”

  • Peter Schiff ”ตราบใดที่ FED ยังคงออก QE อยู่ เศรษฐกิจที่ถดถอยหรือตกต่ำก็จะยิ่งแย่ลง”
  • Marc Faber ”ถ้าผมแย่อย่าง Ben Bernanke ผมจะรีบลาออกทันที เพราะนโยบาย QE ที่ออกมานั้นมันจะทำให้ตลาดดีขึ้นชั่วคราว แล้วจะตามมาด้วยความหายนะ นี่เป็นแนวโน้มที่อันตรายยิ่ง และผมจะยังคงขอต่อสู้กับรัฐบาลต่อไปในทุกระดับ ทุกเวที ทุกโอกาส เท่าที่จะทำได้ เพราะยิ่งรัฐบาลมีขนาดใหญ่เท่าใดก็จะยิ่งบิดเบือนระบบได้เท่านั้น”

ผู้สั่งพิมพ์เงินออกมาต้องรับผิดชอบในความหายนะที่จะเกิดขึ้น ถ้าเรายังใช้แนวทางนี้อีก เราจะไม่เจอเพียง Fiscal Cliff แต่จะเข้าขั้น Fiscal Grand Canyon นอกจากนี้ QE ที่ออกมาแบบไม่มีขีดจำกัด และมาตรการซื้อ MBS กับการต่ออายุ Operation Twist จะทำให้ราคาสินทรัพย์และโภคภัณฑ์สูงขึ้นโดยที่ความมั่งคั่งที่จะเกิดขึ้นนั้นมันจะไหลไปยัง Mayfair Economy (ภาวะที่คนร่ำรวยเท่านั้นที่มีโอกาสได้จากราคาสินทรัพย์ลงทุนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่คนยากจนจะยิ่งยากจนลงไป เพราะราคาสินค้าจำเป็นที่แพงขึ้น) QE จะให้ประโยชน์แก่คนรวย แต่คนเดินถนนทั่วไปจะยิ่งลำบาก เศรษฐกิจโดยรวมจะถูกทำร้ายโดย QE หากอยากจะช่วยคนส่วนใหญ่บนท้องถนน ก็ควรส่งเช็คไปให้ทุกครอบครัวแห่งละเป็นหลักล้านดอลลาร์จะดีกว่าออก QE

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Lesson สอง Week Summary ...ตอน ชีวิต หลัง QE 3 ของนักลงทุนทั่วโลก ....โดย นักแกะรอยหยัก

โดย Bualuang Securities เมื่อ 16 กันยายน 2012 เวลา 23:10 น. ·

 

โปรแกรม Stock Master ในสัปดาห์ที่สอง "เข้มข้นด้วยเนื้อหา ที่ลุ่มลึกขึ้น" ...วันนี้ "เจไดนิด" แกนนำนักวิเคราะห์บัวหลวง เปิดไล่ภาพ Macroeconomic ...ยกกราฟ ตั้งแต่ กราฟหุ้น สถิติราคาหุ้นเทียบกับดอลลาร์ ว่าดอลลาร์อ่อนหลัง QE 3 จะส่งผลอย่างไรต่อตลาดหุ้น / สถิติราคาทองคำ ที่วิ่งไปกับ SET Index และ สถิติราคาน้ำมัน ที่วิ่งตาม SET Index ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา

 

"เจไดนิด" เปิดภาพเศรษฐกิจมหภาค ให้กับ เหล่า Stock Master ที่เรียกได้ว่า "มึนตึ๊บ" ...แต่แน่นอน ในความมึน มันช่วยให้เราเห็นชะตาชีวิต ของคนทั่วโลก ได้แจ่มชัดขึ้น ...มันเป็นเสมือนเรื่องเล่า ที่ย้อนให้เราเห็นภาพเศรษฐกิจ ตั้งแต่ในอดีต จน ปัจจุบัน และ มุมมองอนาคต

 

"ประเทศเรา เริ่มตลาด Boom ตั้งแต่สมัย พลเอกชาติชาย เป็นนายก ในสมัยก่อน ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยการเก็งกำไร ..โดยมากจะไร้พื้นฐาน ..ในยุคนั้น มีเพียงธุรกิจ เงินทุนหลักทรัพย์ และ ธนาคาร ที่ใหญ่คับประเทศ ...ตลาดหุ้นวิ่งจากไม่กี่ร้อยจุดไปจบที่ 1789 จุด สุดท้ายบ้านเราก็จบด้วยวิกฤตต้มยำกุ้งที่ SET Index 205 จุด (ฆ่าตัวตายกันระนาว)"

 

...สิ่งที่น่าสนใจในวันนี้คือ QE 3 ...มันเป็นการ "อัดฉีดสภาพคล่องสู่ระบบ หรือ ที่เรียกว่าการพิมพ์เงิน!!" ที่จะส่งผลโดยตรงต่อ การอ่อนค่าของ "ดอลลาร์" ...ลองมาดูสถิติของ Dollar Index เทียบกับ ตลาดหุ้นไทย -- "ความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ คือ เวลาดอลลาร์อ่อน ตลาดเรามีแนวโน้มที่จะขึ้น ...ซึ่งการอ่อนค่าในอดีตกาล ก็ส่งผลให้เกิด Asian Miracle ในยุคปี 1990 ...ผ่านมา 16 ปี ..ดูเหมือนครั้งนี้ เรากำลังเข้าสู่ภาวะแบบนั้นอีกครั้ง(ใหญ่)" ...ลองดูความสัมพันธ์กันดู

 

สิ่งที่น่าสนใจ อีกตัวคือ US Treasury Yield คือ ผลตอบแทน พันธบัตร -- ตัวนี้ ใช้วัด "ความโลภ และ ความกลัวของนักลงทุน ทั่วโลก" ซึ่งตัวชี้วัดอันนี้ ก็สอดคล้องกับตลาดหุ้นไทย จะเห็นได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ "นักลงทุนส่วนใหญ่กลัว เขาจะแห่กันเข้าซื้อพันธบัตร ก็จะส่งผลให้ผลตอบแทนหรือ Yield ลดลง -- ซึ่งจะสอดคล้องกับ การ Bottom ของราคา Asset ในแต่ละรอบ และ ตามมาด้วยการขึ้นแรงของตลาดหุ้น และ Asset" ...ลองดูจากภาพจะเห็นได้ว่า ทุก วิกฤต Yield จะลดลงแตะเส้นด้านล่างของ Trend ... และ หลังจากนั้น หุ้นก็จะพุ่ง --- "สิ่งที่น่าสนใจคือ QE 3 ในวันนี้ กดให้ Yield ลงไปแตะเส้น Trend ล่างอีกครั้ง" ... คำถามคือ "คุณว่า รอบนี้ หุ้น Asset และ Commodity จะพุ่งไปอีกเท่าไหร่ ?" ...ลองดู ความสัมพันธ์

 

 

ครับ!! โดยสรุป ให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ .... การที่อเมริกาทำ QE 3 ก็จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง ... ซึ่งจะส่งผลให้ Risk Asset ต่างๆ เช่น หุ้น , ทอง , น้ำมัน และ Commodity พุ่งขึ้น... มันก็คือ เงินเฟ้อนั่นเอง ..และทวีปที่จะได้รับผลกระทบ จากเงินเฟ้อมากที่สุด ก็คือ ทวีปที่เศรษฐกิจดีกว่า เช่น เอเชียเรานั่นเอง

 

ใช่ครับ ...จากนี้ไป ความผันผวนในราคา Asset จะมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง "ทอง" ที่หลายๆ คนมองว่า เป็น Safe Haven -- มันจะไม่ใช่อีกแล้ว จากนี้ไป Asset ต่างๆ ทั่วโลก จะขึ้นลงตาม Demand & Supply คือ ความต้องการซื้อ และ ความต้องการขายของ Asset นั้นๆ

 

"คำถามคือ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ มนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ล่ะ!!"

 

เกี่ยวแน่นอน ...เมื่อเงินเฟ้อ ของก็จะแพงขึ้น ...ราคาบ้าน ที่ดิน อาหาร ค่าใช้จ่าย ..มันก็ย่อมแพงขึ้น ... เดี๋ยวนี้โลกเราเป็น Globalization "ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ...พี่เบิร์ด ร้องเพลง นี้มาตั้งนานแล้ว...ฮ่า ฮ่า" ...พี่เบิร์ดกำลังบอกเราว่า ...เมื่ออเมริกา และ ยุโรป เลือกทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยการ สร้างสภาพคล่อง (หรือ สร้างเงินเฟ้อ) ...ประเทศที่จะโดนพิษเงินเฟ้อมากที่สุด ก็จะเป็นประเทศที่พื้นฐานเศรษฐกิจดีกว่า อย่าง เอเชีย (โดย เฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กำลังจะมี AEC นั่นเอง)

 

หลักการเอาตัวรอด ก็คือ เข้าใจการลงทุน ...." Asset จะราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ... ๆ ๆ ๆ ๆ จนวันใดก็ตาม ที่สภาพคล่อง หายไปจากระบบ วันนั้น ก็คือ วิกฤตต้มยำกุ้ง 2 (ขาดสภาพคล่องทั้งระบบพร้อมกัน "คล้ายปี 1997 หรือ 2008 ของอเมริกา" ..ราคา Asset ทุกอย่าง ตั้งแต่ บ้าน ที่ดิน ทอง หุ้น Commodity จะพังพร้อมกัน และวันนั้น วัดฝีมือ ว่าใครที่เข้าใจระบบที่แท้จริง จะรวยขึ้น และ ไม่ต้องฆ่าตัวตาย)" ... ฟังดู คงไม่มีใครรู้สึกสนุกเท่าไหร่ ที่จะบอกว่า ทั่วโลก ต้องแบกรับ ความเน่าของ เศรษฐกิจ อเมริกา และ ยุโรป ไปพร้อมๆ กันอีกเป็นระยะพอสมควร กว่าที่เศรษฐกิจทั่วโลกจะพังอีกครั้ง (วันนั้นอเมริกา และ ยุโรป ก็คงกลับมาดี ...ส่วนประเทศที่ดี ก็จะไปแย่ เป็น Cycle ไปอย่างนี้แหละครับ)

 

วันนี้!! -- เอเชียเรา กำลังวิ่งไปสู่ Asian Miracle 2 หรือ The Greatest Asset Bubble of ASIA ...เงินเฟ้อ!! -- และ แน่นอนเมื่อ Bubble วิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ...สุดท้ายก็จะจบด้วย วิกฤตต้มยำกุ้ง 2 แน่นอน!! ...ก็เหมือน สัจธรรมของโลก และ เศรษฐกิจ ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความโลภ และ ความกลัว ...Asset และ ความมั่งคั่งของมนุษย์ ก็จะวิ่งเป็น Cycle ...จากดี ไป Bubble แล้ว ก็ไป Crash เสมอ -- ประเด็นคือ ผู้ที่จะอยู่รอด และ มั่งคั่งอย่างยั่งยืน ก็คือ ผู้ที่มีความเข้าใจในการลงทุน

 

"เข้าใจการลงทุน ก็คือ เข้าใจความโลภ และ ความกลัว ของตัวเอง และ คนอื่น" ....ให้เวลากับการศึกษา สิ่งที่เกิดขึ้น รอบๆ ตัว ...ผมเชื่อว่า ถ้าเรามองสิ่งต่างๆ ด้วยความเป็นจริง โดยตัด Factor ของ Greed & Fear ออก -- เราจะเห็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น!!

 

"คนที่รวยมหาศาล จริงๆ แล้ว เขาไม่ใช่คนที่โลภเลย...เขาเพียงเข้าใจกลไกของความโลภและ ความกลัว ที่สะท้อนในระบบทุนนั่นเอง -- คิดดีๆ ครับ..รวยด้วยปัญญา!!"

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Lesson สอง Week Summary ...ตอน ชีวิต หลัง QE 3 ของนักลงทุนทั่วโลก ....โดย นักแกะรอยหยัก

โดย Bualuang Securities เมื่อ 16 กันยายน 2012 เวลา 23:10 น. ·

 

โปรแกรม Stock Master ในสัปดาห์ที่สอง "เข้มข้นด้วยเนื้อหา ที่ลุ่มลึกขึ้น" ...วันนี้ "เจไดนิด" แกนนำนักวิเคราะห์บัวหลวง เปิดไล่ภาพ Macroeconomic ...ยกกราฟ ตั้งแต่ กราฟหุ้น สถิติราคาหุ้นเทียบกับดอลลาร์ ว่าดอลลาร์อ่อนหลัง QE 3 จะส่งผลอย่างไรต่อตลาดหุ้น / สถิติราคาทองคำ ที่วิ่งไปกับ SET Index และ สถิติราคาน้ำมัน ที่วิ่งตาม SET Index ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา

 

"เจไดนิด" เปิดภาพเศรษฐกิจมหภาค ให้กับ เหล่า Stock Master ที่เรียกได้ว่า "มึนตึ๊บ" ...แต่แน่นอน ในความมึน มันช่วยให้เราเห็นชะตาชีวิต ของคนทั่วโลก ได้แจ่มชัดขึ้น ...มันเป็นเสมือนเรื่องเล่า ที่ย้อนให้เราเห็นภาพเศรษฐกิจ ตั้งแต่ในอดีต จน ปัจจุบัน และ มุมมองอนาคต

 

"ประเทศเรา เริ่มตลาด Boom ตั้งแต่สมัย พลเอกชาติชาย เป็นนายก ในสมัยก่อน ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยการเก็งกำไร ..โดยมากจะไร้พื้นฐาน ..ในยุคนั้น มีเพียงธุรกิจ เงินทุนหลักทรัพย์ และ ธนาคาร ที่ใหญ่คับประเทศ ...ตลาดหุ้นวิ่งจากไม่กี่ร้อยจุดไปจบที่ 1789 จุด สุดท้ายบ้านเราก็จบด้วยวิกฤตต้มยำกุ้งที่ SET Index 205 จุด (ฆ่าตัวตายกันระนาว)"

 

...สิ่งที่น่าสนใจในวันนี้คือ QE 3 ...มันเป็นการ "อัดฉีดสภาพคล่องสู่ระบบ หรือ ที่เรียกว่าการพิมพ์เงิน!!" ที่จะส่งผลโดยตรงต่อ การอ่อนค่าของ "ดอลลาร์" ...ลองมาดูสถิติของ Dollar Index เทียบกับ ตลาดหุ้นไทย -- "ความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ คือ เวลาดอลลาร์อ่อน ตลาดเรามีแนวโน้มที่จะขึ้น ...ซึ่งการอ่อนค่าในอดีตกาล ก็ส่งผลให้เกิด Asian Miracle ในยุคปี 1990 ...ผ่านมา 16 ปี ..ดูเหมือนครั้งนี้ เรากำลังเข้าสู่ภาวะแบบนั้นอีกครั้ง(ใหญ่)" ...ลองดูความสัมพันธ์กันดู

 

สิ่งที่น่าสนใจ อีกตัวคือ US Treasury Yield คือ ผลตอบแทน พันธบัตร -- ตัวนี้ ใช้วัด "ความโลภ และ ความกลัวของนักลงทุน ทั่วโลก" ซึ่งตัวชี้วัดอันนี้ ก็สอดคล้องกับตลาดหุ้นไทย จะเห็นได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ "นักลงทุนส่วนใหญ่กลัว เขาจะแห่กันเข้าซื้อพันธบัตร ก็จะส่งผลให้ผลตอบแทนหรือ Yield ลดลง -- ซึ่งจะสอดคล้องกับ การ Bottom ของราคา Asset ในแต่ละรอบ และ ตามมาด้วยการขึ้นแรงของตลาดหุ้น และ Asset" ...ลองดูจากภาพจะเห็นได้ว่า ทุก วิกฤต Yield จะลดลงแตะเส้นด้านล่างของ Trend ... และ หลังจากนั้น หุ้นก็จะพุ่ง --- "สิ่งที่น่าสนใจคือ QE 3 ในวันนี้ กดให้ Yield ลงไปแตะเส้น Trend ล่างอีกครั้ง" ... คำถามคือ "คุณว่า รอบนี้ หุ้น Asset และ Commodity จะพุ่งไปอีกเท่าไหร่ ?" ...ลองดู ความสัมพันธ์

 

 

ครับ!! โดยสรุป ให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ .... การที่อเมริกาทำ QE 3 ก็จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง ... ซึ่งจะส่งผลให้ Risk Asset ต่างๆ เช่น หุ้น , ทอง , น้ำมัน และ Commodity พุ่งขึ้น... มันก็คือ เงินเฟ้อนั่นเอง ..และทวีปที่จะได้รับผลกระทบ จากเงินเฟ้อมากที่สุด ก็คือ ทวีปที่เศรษฐกิจดีกว่า เช่น เอเชียเรานั่นเอง

 

ใช่ครับ ...จากนี้ไป ความผันผวนในราคา Asset จะมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง "ทอง" ที่หลายๆ คนมองว่า เป็น Safe Haven -- มันจะไม่ใช่อีกแล้ว จากนี้ไป Asset ต่างๆ ทั่วโลก จะขึ้นลงตาม Demand & Supply คือ ความต้องการซื้อ และ ความต้องการขายของ Asset นั้นๆ

 

"คำถามคือ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ มนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ล่ะ!!"

 

เกี่ยวแน่นอน ...เมื่อเงินเฟ้อ ของก็จะแพงขึ้น ...ราคาบ้าน ที่ดิน อาหาร ค่าใช้จ่าย ..มันก็ย่อมแพงขึ้น ... เดี๋ยวนี้โลกเราเป็น Globalization "ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ...พี่เบิร์ด ร้องเพลง นี้มาตั้งนานแล้ว...ฮ่า ฮ่า" ...พี่เบิร์ดกำลังบอกเราว่า ...เมื่ออเมริกา และ ยุโรป เลือกทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยการ สร้างสภาพคล่อง (หรือ สร้างเงินเฟ้อ) ...ประเทศที่จะโดนพิษเงินเฟ้อมากที่สุด ก็จะเป็นประเทศที่พื้นฐานเศรษฐกิจดีกว่า อย่าง เอเชีย (โดย เฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กำลังจะมี AEC นั่นเอง)

 

หลักการเอาตัวรอด ก็คือ เข้าใจการลงทุน ...." Asset จะราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ... ๆ ๆ ๆ ๆ จนวันใดก็ตาม ที่สภาพคล่อง หายไปจากระบบ วันนั้น ก็คือ วิกฤตต้มยำกุ้ง 2 (ขาดสภาพคล่องทั้งระบบพร้อมกัน "คล้ายปี 1997 หรือ 2008 ของอเมริกา" ..ราคา Asset ทุกอย่าง ตั้งแต่ บ้าน ที่ดิน ทอง หุ้น Commodity จะพังพร้อมกัน และวันนั้น วัดฝีมือ ว่าใครที่เข้าใจระบบที่แท้จริง จะรวยขึ้น และ ไม่ต้องฆ่าตัวตาย)" ... ฟังดู คงไม่มีใครรู้สึกสนุกเท่าไหร่ ที่จะบอกว่า ทั่วโลก ต้องแบกรับ ความเน่าของ เศรษฐกิจ อเมริกา และ ยุโรป ไปพร้อมๆ กันอีกเป็นระยะพอสมควร กว่าที่เศรษฐกิจทั่วโลกจะพังอีกครั้ง (วันนั้นอเมริกา และ ยุโรป ก็คงกลับมาดี ...ส่วนประเทศที่ดี ก็จะไปแย่ เป็น Cycle ไปอย่างนี้แหละครับ)

 

วันนี้!! -- เอเชียเรา กำลังวิ่งไปสู่ Asian Miracle 2 หรือ The Greatest Asset Bubble of ASIA ...เงินเฟ้อ!! -- และ แน่นอนเมื่อ Bubble วิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ...สุดท้ายก็จะจบด้วย วิกฤตต้มยำกุ้ง 2 แน่นอน!! ...ก็เหมือน สัจธรรมของโลก และ เศรษฐกิจ ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความโลภ และ ความกลัว ...Asset และ ความมั่งคั่งของมนุษย์ ก็จะวิ่งเป็น Cycle ...จากดี ไป Bubble แล้ว ก็ไป Crash เสมอ -- ประเด็นคือ ผู้ที่จะอยู่รอด และ มั่งคั่งอย่างยั่งยืน ก็คือ ผู้ที่มีความเข้าใจในการลงทุน

 

"เข้าใจการลงทุน ก็คือ เข้าใจความโลภ และ ความกลัว ของตัวเอง และ คนอื่น" ....ให้เวลากับการศึกษา สิ่งที่เกิดขึ้น รอบๆ ตัว ...ผมเชื่อว่า ถ้าเรามองสิ่งต่างๆ ด้วยความเป็นจริง โดยตัด Factor ของ Greed & Fear ออก -- เราจะเห็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น!!

 

"คนที่รวยมหาศาล จริงๆ แล้ว เขาไม่ใช่คนที่โลภเลย...เขาเพียงเข้าใจกลไกของความโลภและ ความกลัว ที่สะท้อนในระบบทุนนั่นเอง -- คิดดีๆ ครับ..รวยด้วยปัญญา!!"

 

พี่ต่ายคะหาข่าวเก่งมากๆเลยตอนนี้สามีแข่งรายการนี้อยู่คะแต่ว่าไม่ใช่รายการmasterแต่เป็นsimอิอิอยู่อันดับ60กว่าๆจาก500(แหะ) :17 เอาใจช่วยให้เดือนนี้เกิน10%อยู่ไม่รู้จะได้ป่าวจบการแข่งขอสัก20%จะอนุมัติเล่นจริงทันที :uu

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พี่ต่ายคะหาข่าวเก่งมากๆเลยตอนนี้สามีแข่งรายการนี้อยู่คะแต่ว่าไม่ใช่รายการmasterแต่เป็นsimอิอิอยู่อันดับ60กว่าๆจาก500(แหะ) :17 เอาใจช่วยให้เดือนนี้เกิน10%อยู่ไม่รู้จะได้ป่าวจบการแข่งขอสัก20%จะอนุมัติเล่นจริงทันที :uu

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...