กฏหมาย..น่ารู้จ้ะ
ฝากถามน้องทรี พี่ได้รับเมล์ ถ้าจริงจะได้บอกต่อจ้ะ
!_Rd
กฎหมายใหม่ กระทรวงยุติธรรม เพื่อเป็น ประโยชน์ค่ะ อยากให้รู้กันมากๆ...
กฎหมายใหม่ของกระทรวงยุติธรรม คุ้มครองประชาชน
1. ผู้หญิงโดนข่มขืน แจ้งความ ใบรับรองแพทย์ แจ้งว่าโดนข่มขืน รับเงิน 30,000 บาท !32
2. ถูกทำร้ายร่างกาย แจ้งรับเงิน 30,000-70,000 บาท
3. เป็นพลเมืองดี แต่ถูกทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ แจ้งรับเงิน 100,000 บาท
อายุการแจ้งความไม่เกิน 1 ปี ดำเนินการอย่างช้า 4 เดือน
โทร. สอบถามได้ที่ กระทรวงยุติธรรม หรือ โทร. 1133
หาดู หนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 11 - 12 มกราคม 2550
ส่งต่อด้วย ก็จะดีนะ ขอบคุณคนไทย ทุกคน
ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ต้องดูเป็นกรณี ๆ ไปนะคะ
จะได้ไม่สับสนและเกิดความเข้าใจผิดซึ่งในเรื่องดังกล่าวจะแบ่งเป็น ๒ กรณี คือค่าตอบแทน และค่าทดแทน ,
ค่าตอบแทน ใช้ในกรณี เป็นผู้เสียหายในคดีอาญา, ส่วนค่าทดแทน ใช้ในกรณีเป็นจำเลยในคดีอาญา
จากกรณีข้างต้นที่พี่มดแดงยกตัวอย่างมา ทรีเชื่อว่า น่าจะเป็นแนวคิด เพื่อให้สังคมตื่นตัว ไม่ใช่กฎหมายใหม่แต่อย่างใด
เพราะกฎหมายที่จะนำมาบังคับใช้ได้ต้องผ่านสภา และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ซึ่งปัจจุบันยังคงใช้ พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔
ประกอบกับ กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา
พ.ศ. ๒๕๔๖ อยู่ค่ะ ทั้งนี้ได้คัดย่อ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและอ่านง่ายขึ้น ดังนี้ค่ะ
พ.ร.บ. ค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔
ผู้มีสิทธิได้รับค่าคุ้มครองแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดอาญา
2.จำเลยที่ถูกขังในระหว่างพิจารณาคดีและต่อมาอัยการถอนฟ้อง
หรือปรากฏภายหลังว่าศาลยกฟ้องเนื่องจากมิใช่ผู้กระทำความผิด
หรือการกระทำไม่เป็นความผิด
1.ผู้เสียหายในคดีอาญา หมายถึง ผู้ที่ได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกาย หรือจิตใจ จากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น
โดยผู้เสียหายมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้น และไม่มีโอกาสได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยวิธีอื่นใด
เช่น ไม่สามารถจับตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ หรือ จับได้แต่ผู้กระทำความผิดไม่มีทรัพย์สินใดจะมาชดใช้ความเสียหายให้
เพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น ผู้เสียหายหรือทายาท
จึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ที่จำเป็นและสมควรจากรัฐ
ค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา แบ่งเป็น 2 กรณี
1.กรณีเสียชีวิต
◦ค่าตอบแทนตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
◦ค่าจัดการศพ จำนวน 20,000 บาท
◦ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู ไม่เกิน 30,000 บาท
◦ค่าเสียหายอื่นตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร แต่ไม่เกิน 30,000 บาท
2.กรณีทั่วไป
◦ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท
◦ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 20,000 บาท
◦ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ ตามปกติจ่ายในอัตราวันละไม่เกิน 200 บาท
เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ไม่สามารถประกอบกิจการงานได้ตามปกติ
◦ค่าตอบแทนความเสียหายอื่นตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร แต่ไม่เกิน 30,000 บาท
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา
2.จำเลยในคดีอาญา หมายถึง ผู้ที่ถูกดำเนินคดีโดยพนักงานอัยการและถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดี
ต่อมาภายหลังปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิด
มีการถอนฟ้องระหว่างการดำเนินคดี หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าไม่ได้กระทำความผิด หรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด
เพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหายแก่จำเลยหรือทายาท
จึงมีสิทธิได้รับ ค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย ที่จำเป็นและสมควรจากรัฐ
ค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา แบ่งเป็น 2 กรณี
1.กรณีเสียชีวิต
◦ค่าทดแทน จำนวน 100,000 บาท
◦ค่าจัดการศพ จำนวน 20,000 บาท
◦ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู จำนวนไม่เกิน 30,000 บาท
◦ค่าเสียหายอื่นตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร แต่ไม่เกิน 30,000 บาท
2.กรณีทั่วไป
◦ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท หากความเจ็บป่วยนั้นเป็นผลโดยตรงจากการถูกดำเนินคดี
◦ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท หากความเจ็บป่วยนั้นเป็นผลโดยตรงจากการถูกดำเนินคดี
◦ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างถูกดำเนินคดีอัตราวันละไม่เกิน 200 บาท นับแต่วันที่ไม่สามารถประกอบกิจการงานได้ตามปกติ
◦ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินคดี ได้แก่
■ค่าทนายความ เท่าที่จ่ายจริงในอัตราไม่เกินกฎกระทรวงกำหนด
■ค่าใช้จ่ายอื่น เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท
โดยยื่นคำขอตามแบบและเอกสาร ภายในกำหนดเวลา ดังนี้
1.ในกรณีผู้เสียหาย ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายได้รู้ถึงการกระทำความผิด
2.ในกรณีจำเลย ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้อง เพราะปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิด
หรือวันที่มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีนั้นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือ การกระทำของจำเลย ไม่เป็นความผิด
- กรณีผู้เสียหายหรือจำเลยในคดีอาญาไม่สามารถยื่นคำขอด้วยตนเองได้ ให้ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือ ผู้อนุบาล ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นหนังสือจากผู้เสียหายหรือจำเลย สามารถยื่นคำขอแทนได้
- หากบุคคลใดยื่นคำขอรับค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่าย โดยแสดงข้อความหรือพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดที่ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนต้องอยู่ในประเภทความผิดดังต่อไปนี้
1.ความผิดเกี่ยวกับเพศ
2.ความผิดต่อชีวิต
3.ความผิดต่อร่างกาย
4.ความผิดฐานทำให้แท้งลูก
5.ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก
วิธีการยื่นคำขอรับค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่าย
ส่วนกลาง ให้ยื่นคำขอ ณ สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่
ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
กระทรวงยุติธรรม
ในส่วนภูมิภาค ยื่นได้ที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดทุกจังหวัด
เอกสารจำเป็นที่ผู้เสียหายต้องยื่นต่อเจ้าหน้าที่ในกรณีขอรับค่าตอบแทน
1.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน / บัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ของผู้เสียหายและผู้ยื่นคำขอ)
2.สำเนาทะเบียนบ้าน (ของผู้เสียหายและผู้ยื่นคำขอ)
3.สำเนาทะเบียนสมรส
4.สำเนาสูติบัตร
5.สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ / สกุล
6.หนังสือมอบอำนาจ
7.หนังสือให้ความยินยอมของทายาทอื่นในการยื่นคำขอรับค่าตอบแทนผู้เสียหาย
กรณีมีทายาทผู้มีสิทธิยื่นคำขอในกรณีเดียวกันหลายคน
8.ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล
9.สำเนาใบรับรองแพทย์
10.รายงานการสอบสวนของสถานีตำรวจ และบันทึกประจำวันการแจ้งความ
11.สำเนาใบมรณะบัตร (กรณีผู้เสียหายถึงแก่ความตาย)
12.สำเนาใบชันสูตรแพทย์ หรือใบชันสูตรพลิกศพ
13.หลักฐานการมีรายได้ในกรณีประกอบอาชีพ
14.หลักฐานการได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากหน่วยงานอื่น
เอกสารจำเป็นที่จำเลยต้องยื่นต่อเจ้าหน้าที่ในกรณีขอรับค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย
1.สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน / บัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ของผู้เสียหายและผู้ยื่นคำขอ)
2.สำเนาทะเบียนบ้าน (ของผู้เสียหายและผู้ยื่นคำขอ)
3.สำเนาทะเบียนสมรส
4.สำเนาสูติบัตร
5.สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ / สกุล
6.หนังสือมอบอำนาจ
7.หนังสือให้ความยินยอมของทายาทอื่นในการยื่นคำขอรับค่าทดแทน
และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญากรณีมีทายาทผู้มีสิทธิยื่นคำขอในกรณีเดียวกันหลายคน
8.ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลและอื่นๆถ้ามี
9.สำเนาใบรับรองแพทย์
10.คำพิพากษาอันถึงที่สุดว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำผิด หรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด
หรือปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิดและมีการถอนฟ้องในระหว่างดำเนินคดี
11.หมายขังและหมายปล่อย
12.หนังสือรับรองคำพิพากษาถึงที่สุด
13.สัญญาจ้างว่าความหรือหนังสือรับรองว่าจ้างว่าความ
14.สำเนาใบแต่งทนาย (รับรองโดยเจ้าหน้าที่ศาล)
15.สำเนาใบมรณะบัตร (กรณีจำเลยถึงแก่ความตาย)
16.สำเนาใบชันสูตรแพทย์
17.หลักฐานการมีรายได้
18.หลักฐานการได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากทางอื่น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : พี่น้องและผองเพื่อนนักกฎหมาย ทุกท่านค่ะ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
update 26 มิถุนายน 53
มีเพิ่มเติม ให้พี่มดแดง และทุก ๆ ท่าน อีกยาวหน่อยค่ะ
วิบากกรรมของจำเลย (แพะ) ในคดีอาญา
คดีฆาตกรรมนางสาวเชอรี่แอน ดันแคน นักเรียนโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง อันเป็นที่มาของการจับแพะ ให้ต้องตกเป็นจำเลย เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือกรมตำรวจในขณะนั้น ได้จับกุม
นายกระแสร์ พลอยกุ่ม, นายธวัช กิจประยูร, กับพวก ต่อมาพนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายกระแสร์ พลอยกุ่ม, นายธวัช กิจประยูร กับพวกในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าพวกจำเลยกระทำความผิดจริง จึงพิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิต นายธวัช กิจประยูร เป็นผู้หนึ่งที่ศาลพิพากษาให้ประหารชีวิตเมื่อวันที่ ๒๓ ก.ค. ๒๕๓๓ แต่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ปล่อยตัวนายธวัช กิจประยูร กับพวก
คดีนี้เป็นที่กล่าวขานกันมาก เพราะเป็นที่แน่ชัดว่ามีการจับผิดตัว นับเป็นวิบากกรรมของบรรดาจำเลยที่ต้องตกเป็นแพะรับบาป เป็นรอยด่างในกระบวนการยุติธรรมคดีหนึ่งที่มีการจับผิดตัว และมีการวิจารณ์กันมากเพราะในระหว่างถูกดำเนินคดีปรากฏว่า นายรุ่งเฉลิมหรือเฮาดี้ กนกชวาลชัย ตายในระหว่างดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์ นายพิทักษ์ ค้าขาย ติดเชื้อโรคในเรือนจำและมีอาการเรื้อรัง และตายภายหลังศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องไม่นาน พวกจำเลยกับนายธวัช กิจประยูร ได้ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง เนื่องจากการที่พวกตนต้องสูญเสียเสรีภาพไปช่วงหนึ่งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือกรมตำรวจในสมัยนั้น ต่อมานายธวัช กิจประยูร ถึงแก่ความตายด้วยสาเหตุมะเร็งโพรงจมูกและมะเร็งลำไส้ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ภายหลังมีคำพิพากษาแล้ว ส่วนนายกระแสร์ พลอยกุ่ม ซึ่งเป็นจำเลยคนเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ก็ถูกขังระหว่างพิจารณาจนร่างกายพิการ
๒๕ กันยายน ๒๕๔๖ ศาลแพ่งพิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายรวม ๒๕ ล้านบาทเศษ โดยส่วนของนายธวัช กิจประยูร ได้รับเสียหายทั้งสิ้น ๘,๑๗๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคิดถึงวันฟ้อง เป็นเงินประมาณ ๑๒ ล้านเศษ แต่นายธวัช กิจประยูร ไม่ได้ใช้เงินเหล่านี้เลย
ผลพวงของคดีนี้ทำให้การออกกฎหมายฉบับหนึ่งชื่อว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ กฎหมายฉบับนี้ให้ความคุ้มครองแก่จำเลยที่ต้องตกเป็นแพะในคดีอาญา หน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้คือ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กฎหมายฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อเยียวยา คือรัฐจะมอบค่าใช้จ่ายและค่าทดแทนให้กับจำเลยเท่าที่ตกเป็นแพะเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากจำเลยคิดว่าตัวเองรับความเสียหายมากกว่านั้น ก็ไม่ตัดโอกาสที่จำเลยซึ่งต้องตกเป็นแพะจะเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมจากผู้กระทำละเมิดต่อตนได้
ปล. โปรดอ่านกฎหมายวันละนิด จิตจะแจ่มใส และจะช่วยให้ย่อยอาหารง่ายขึ้นค่ะ.....อิ อิ อิ
2 ความเห็น
แนะนำความคิดเห็น