ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

ทองคำแท้

ขาประจำ
  • จำนวนเนื้อหา

    50
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

คะแนนนิยม

13 ดี

เกี่ยวกับ ทองคำแท้

  • คะแนนนิยม
    ขาประจำ

Profile Information

  • เพศ
    ไม่บอก
  • ที่อยู่
    กรุงเทพมหานคร
  1. สหรัฐฯ อายัดสินทรัพย์รัฐบาลลิเบีย 3 หมื่นล้านเหรียญ Posted on Wednesday, March 02, 2011 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (อ. 1 มี.ค. 2554) • ดัชนีภาคการผลิต (ก.พ.) โดย สถาบันจัดการด้านอุปทาน ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 61.4 • ค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง (ม.ค.) โดย กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 0.7% จากเดือนก่อนหน้า ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พ. 2 มี.ค. 2554) • ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน (ก.พ.) โดย ADP Employer Services • สต็อกน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA • รายงาน Beige Book โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ สหรัฐฯ อายัดสินทรัพย์รัฐบาลลิเบีย 3 หมื่นล้านเหรียญ สหรัฐฯ ทำการอายัดสินทรัพย์ของรัฐบาลลิเบียมูลค่ากว่า 30,000 ล้านเหรียญ ขณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยุโรปก็ได้ประกาศคว่ำบาตร นาย มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำที่ยังคงมีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมลงจากตำแหน่ง นาย David Cohen ผู้บริหารกระทรวงการคลังสหรัฐกล่าวว่า ได้อายัดสินทรัพย์ของรัฐบาลลิเบียมูลค่าไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านเหรียญที่อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการกระทำภายใต้โครงการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ความเคลื่อนไหวของนานาชาติในการอายัดสินทรัพย์ของผู้นำลิเบีย กับผู้ใกล้ชิด ได้กลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อนายพล กัดดาฟี รวมทั้งระบบการปกครองของเขา ขณะที่ตนยังคงดิ้นรนที่จะถือครองอำนาจต่อไป แต่ข่าวการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ก็เกิดขึ้นท่ามกลางการตีความที่แตกต่างกันสำหรับคำถามที่ว่า การควบคุมที่กำหนดโดยสหประชาชาติและ EU สมควรหรือไม่ที่จะขยายไปครอบคลุมหน่วยงานการลงทุนของลิเบียหรือ LIA ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ นาย Cohen กล่าวว่า ทางสหรัฐฯเข้าใจว่าสถาบันการเงินต่างๆในยุโรปได้อายัดสินทรัพย์ของรัฐบาลลิเบียไว้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากสินทรัพย์เหล่านั้นอยู่ในอำนาจของนายพลกัดดาฟี และครอบครัว ผู้ซึ่งถูกประณามโดยมติของสภาความมั่นคง UN แม้ในขณะที่สหภาพยุโรปได้เปิดเผยแผนคว่ำบาตรที่ตนกล่าวว่ารุนแรงกว่าที่สภาความมั่นคง UN ได้ตกลงกันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งในแง่ของบทบัญญัติและจำนวนของเจ้าหน้าที่ ได้รับผลกระทบ แต่บรรดานักการทูตก็บอกว่าข้อกำหนดดังกล่าวจะไม่นำมาใช้กับหน่วยงานการลงทุนของลิเบีย ซึ่งมีสินทรัพย์ประมาณ 60,000-80,000 ล้านเหรียญ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก การคว่ำบาตรของ EU ยังรวมถึงการห้ามนำเข้าส่งออกอาวุธ และออกกฏห้ามบริษัทยุโรป ขายแก๊สน้ำตา กล้องส่องที่ใช้ตอนกลางคืน รวมถึงอุปกรณ์ที่สามารถใช้ในการปราบปรามจราจลแก่รัฐบาลลิเบียด้วย รัฐบาลกรุง Tripoli ก่อตั้งกองทุน LIA ขึ้นในปี 2549 เพื่อหวังกระจายการพึ่งรายได้จากน้ำมัน โดยมีการถือหุ้นในธุรกิจต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงบริษัท Pearson ที่เป็นเจ้าของ Financial Times ด้วย นักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3.3% ปีนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ ซึ่งจัดทำโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติของสหรัฐ (NABE) ระบุว่า GDP ของสหรัฐจะขยายตัวได้ดีกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากอุปสงค์ในส่วนของผู้บริโภคและภาคธุรกิจฟื้นตัวขึ้น การขยายตัวที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในเอเชีย และนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลาย นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจปี 2554 ของสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 3.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี และคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2555 จะขยายตัว 3.4% นอกจากนี้ ผลสำรวจของ NABE คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 และคาดว่าเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัวเพียง 1.2% ในปี 2554 เวิล์ดแบงก์ชี้เศรษฐกิจเอเชียขยายตัวแข็งแกร่งที่สุด นายจัสติน ยีฟู ลิน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโลกกล่าวในที่ประชุมสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในนิวยอร์กว่า เอเชียตะวันออกและเอเชียใต้จะยังเป็นภูมิภาคที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก พร้อมกับคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ 3.3% ในปี 2554 อย่างไรก็ดี เขามองว่าปัจจัยเสี่ยงสำหรับเศรษฐกิจปีนี้จะประกอบด้วย ความไม่แน่นอนต่างๆ เช่น (1) อัตราว่างงานที่สูงในกลุ่มประเทศที่พัฒนา (2) วิกฤตหนี้สินในยุโรปและสหรัฐ (3) กระแสเงินไหลเข้าระยะสั้นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (4) ความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ (5) ภาวะราคาอาหารสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงานที่สูงขึ้นนั้น รวมถึง (6) ความวิตกกังวลเกี่ยวอัตราเงินเฟ้อในเอเชียตะวันออก EU ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ เป็น 1.8% คณะกรรมาธิการยุโรปได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งในกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรและสหภาพยุโรป (EU) ในปี 2554 แต่ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อของทั้งสองกลุ่มนี้จะสูงกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนพ.ย. คณะกรรมการธิการยุโรปคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนจะขยายตัว 1.6% ขณะที่เศรษฐกิจของอียูจะขยายตัว 1.8% ในปี 2554 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้อยู่ 0.1% ผู้เชี่ยวชาญเตือนราคาน้ำมันสูงอาจกลายเป็นเรื่องปกติ ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐให้สัมภาษณ์กับซินหัวว่า สถานการณ์ความวุ่นวายในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนืออาจทำให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงต่อไป และจะทำให้ต้นทุนพลังงานที่สูงในตอนนี้กลายเป็นเรื่องปกติมากกว่าที่จะเป็นกรณีพิเศษ นายเบอร์นาร์ด บอมโมห์ล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์โลกจาก Economic Outlook Group และนักวิจารณ์ประจำรายการ "Nightly Business Report" ทางช่อง PBS กล่าวว่า "การที่ไม่มีความชัดเจนว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะจบลงอย่างไร จะทำให้ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง และก่อให้เกิดคำถามว่าราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับสูงไปถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อยหรือไม่" นายโดมินิก สเตราส์-คาห์น ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวเมื่อวานนี้ว่า หากราคาน้ำมันยังยู่ในระดับสูงต่อไป อาจส่งผลเสียต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก จีนถือพันธบัตรสหรัฐ 1.16 ล้านล้านเหรียญในปี 2553 กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า จีนเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรายใหญ่สุดของสหรัฐ โดยในรอบปีที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.2553 จีนถือครองพันธบัตรสหรัฐมูลค่า 1.16 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่จีนเข้าแทรกแซงตลาดเงินด้วยการรักษาค่าเงินหยวนให้อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่วนญี่ปุ่นเป็นผู้ถือครองพันธบัตรรายใหญ่อันดับสองของสหรัฐ โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ญี่ปุ่นได้ถือครองพันธบัตรสหรัฐมูลค่า 882,300 ล้านดอลลาร์ เฉพาะในเดือนก.ย.ปี 2553 เพียงเดือนเดียว ญี่ปุ่นได้ถือครองพันธบัตรสหรัฐเพิ่มขึ้น 28,300 ล้านดอลลาร์ หลังจากญี่ปุ่นได้เข้าแทรกแซงตลาดครั้งใหญ่มูลค่า 2.1249 ล้านล้านเยนเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 54 เพื่อสกัดการแข็งค่าของเงินเยน ภาคการผลิตจีนแผ่ว หลังรัฐคุมเข้มนโยบายการเงิน ภาคการผลิตของจีนขยายตัวในอัตราต่ำที่สุดในรอบหกเดือน ขณะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นผนวกกับการควบคุมการปล่อยกู้ที่มีจุดประสงค์ยับยั้งภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อดีมานด์ในประเทศ สหพันธ์โลจิสติกส์และการจัดซื้อของจีน เผยผ่านเว็บไซต์วันนี้ว่า ดัชนีคำสั่งซื้อหรือ PMI ร่วงลงไปอยู่ที่ระดับ 52.2 จาก 52.9 ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นการลดลงเดือนที่สามแล้ว ขณะตัวชี้วัดทางด้านราคาของปัจจัยการผลิตไต่ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 70.1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี เหวิน เจียเปา เพิ่งจะออกมาให้คำมั่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จะทำการยับยั้งการเพิ่มขึ้นของราคาผู้บริโภค และจัดการกับราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้นจนถือเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางสังคมของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแห่งนี้ ออสเตรเลียอาจขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งปีนี้ แต่ล่าสุดคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.75% นักเศรษฐศาสตร์ออสเตรเลียกล่าวว่า ธนาคารกลางออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ แต่คงไม่ใช่ในเร็วๆนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจออสเตรเลียยังคงได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา อลัน ออสเตอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากเนชั่นแนล ออสเตรเลีย แบงค์ กรุ๊ป คาดว่า จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในช่วงกลางปีนี้ และอีกครั้งหนึ่งในช่วงใกล้สิ้นปี 2554 หลังจากที่ ธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ซึ่งช่วยให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ สภาล่างญี่ปุ่นผ่านร่างงบฯประจำปี 2554 สภาล่างของญี่ปุ่นมีมติผ่านร่างงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2554 มูลค่า 92.41 ล้านล้านเยน เมื่อวานนี้ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า รัฐบาลจะสามารถบังคับใช้เป็นกฎหมายฉบับนี้ได้ทันปีงบประมาณ 2554 ที่เริ่มต้นในวันที่ 1 เม.ย. รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นระบุไว้ว่า หลังจากที่สภาล่างอนุมัติร่างงบประมาณประจำปี จากนั้นจะมีการส่งให้วุฒิสภา หรือ สภาสูงพิจารณาต่อ และจะสามารถบังคับใช้งบประมาณได้ 30 วันหลังจากนั้น แม้ว่าสภาสูงจะมีมติไม่รับงบประมาณดังกล่าวหรือไม่จัดการลงมติก็ตาม แต่ประเด็นอยู่ที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องมากกว่า เพราะ ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้งบประมาณ จำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาสูง ซึ่งมีพรรคฝ่ายค้านครองเสียงข้างมากเสียก่อน เวียดนามตั้งเป้ากว้านซื้อข้าว 1 ล้านตัน ผู้ประกอบธุรกิจกว่า 60 รายภายใต้สมาคมอาหารเวียดนาม (VFA) จะซื้อข้าวจำนวน 1 ล้านตันเพื่อเก็บสะสม ในราคากว่า 0.24 ดอลลาร์สหรัฐ / กิโลกรัม เพื่อให้เกษตรกรได้กำไรอย่างน้อย 30% ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามที่ได้รับความเห็นชอบจากทางรัฐบาล VFA ระบุว่า แม้ว่าจะต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อข้าวและดอกเบี้ยของธนาคารก็สูง แต่ทางสมาคมจะไม่ขอความช่วยเหลือจากภาครัฐในเรื่องของดอกเบี้ย แต่จะหาทางขึ้นราคาส่งออกข้าวแทน ทั้งนี้ VFA ระบุว่าการซื้อข้าวครั้งนี้จะกินเวลา 45 วัน ติดตาม Money Insight ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel
  2. ภาวะตลาดทองคำ ประจำวันที่ 15 ก.ย. 53 ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- พุธที่ 15 กันยายน 2553 09:44:58 น. กรุงเทพฯ--15 ก.ย.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ คำแนะนำการลงทุน Gold Futures DAY TRADER GFV10 ซื้อในช่วงราคา 18290 — 18330 ขายในช่วงราคา 18410 — 18440 GFZ10 ซื้อในช่วงราคา 18380 — 18420 ขายในช่วงราคา 18500 — 18530 SWING TRADER ทิศทางราคาทองคำโลก(Gold Spot) อยู่ในทิศทางของขาขึ้นโดยมีแนวรับและแนวต้านที่1260และ1280เหรียญ มีโอกาสไปทำ New Highที่1300และราคาทองคำไทยถูกแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่ผันผวนซึ่งมีกระแสข่าวการแทรกแซงค่าเงินบาท คำแนะนำนักลงทุนรายวันให้เก็งกำไรตามภาวะขาขึ้น นักลงทุนรายสัปดาห์แนะนำเพิ่มสถานะ LONG POSITION เป็น40%ของ Portfolio GFV10 รอเข้าซื้อที่ระดับ 18580 รอขายที่ระดับ 18700 ปัจจัยสำคัญ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 24.60 ดอลลาร์ สู่ระดับ 1,271.70 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากที่เคลื่อนตัวในช่วง 1,246.00 - 1,276.50 ดอลลาร์ เมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของยุโรปและตัวเลขเงินเฟ้อของอังกฤษได้กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ส่งผลให้สัญญาทองคำทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,276.5 ดอลลาร์ในระหว่างวัน ZEW Center ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจในยุโรประบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนในเยอรมนีร่วงลงสู่ระดับ -4.3 จุดในเดือนก.ย.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2552 จากระดับ +18.3 จุดในเดือนส.ค. ขณะที่ยูโรสแตท (Eurostat) ซึ่งเป็นสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทรงตัวในเดือนก.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากร่วงลง 0.2% ในเดือนมิ.ย. รวมถึงสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่ใช้วัดภาวะเงินเฟ้อ เคลื่อนไหวที่ระดับ 3.1% ต่อปี ในเดือนสิงหาคม ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ระดับ 2% ของธนาคารกลางอังกฤษ กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เข้าถือครองทองคำที่1298.698ตันในช่วงเวลาที่สิ้นสุด ณ วันที่ 14ก.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้น6.079ตัน จากระดับ1292.619ตันของวันที่ 13 ก.ย. GOLD Market Recap : 14/09/2010 MORNING RECAP : ราคาทองคำต่างประเทศเปิดที่ระดับ 1,249 $ ส่วน Gold Future V10 เปิดที่ 18,310 สมาคมค้าทองแท่งเปิดที่ 18,250 ปรับขึ้น 50 บาทจากวันทำการก่อน ตลาดทองคำ ( ราคาต่างประเทศ )อยู่ในทิศทางการปรับฐาน แต่ค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังแข็งค่าไม่หยุด โดยล่าสุดอยู่ที่ 30.75 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐ ในช่วงเช้าราคาทองคำแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,250 - 1,252 $ สำหรับช่วงบ่าย ราคาทองคำต่างประเทศทะยานขึ้นแรงชนแนว 1,255 $ ปิดตลาด Gold Future V10 ปิดตลาดที่ 18,410 ในขณะที่ราคาทองคำแท่งของสมาคมค้าทองคำแท่ง ปรับขึ้น 50 บาท ปิดตลาดอยู่ที่ 18,300 บาท นักลงทุนซื้อขายทำกำไรอย่างหนาแน่น หลังจากที่ Gold Spot เคลื่อนไหวในทิศทางปรับฐาน และเงินบาทยังแข็งค่า NIGHT RECAP: ราคาทองคำเปิดตลาดในประเทศไทยปิดที่ระดับ 1253 เหรียญ โดยราคาเคลื่อนตัวอยู่ระหว่าง 1248 - 1254 เหรียญ ในเวลาประเทศไทย ต่อมาในตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก ราคาทองคำมีการทะยานตัวอยู่ขึ้นไปที่ระดับ 1275 เหรียญ และกลับมาปิดตลาดที่ 1271 เหรียญ
  3. วิตกทิศทางเศรษฐกิจยุโรป ถ่วงดาวโจนส์ปิดลบ Posted on Wednesday, September 15, 2010 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากเปิดทำการซื้อขายได้ไม่นาน ขานรับรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯที่ระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 0.4% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% และยังปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 5 เดือน เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดขายน้ำมันเบนซินที่สถานีบริการทั่วประเทศและยอดขายเสื้อผ้าที่ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน รวมทั้งรายงานที่ว่า ปริมาณสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 1.0% สู่ระดับ 1.38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2552 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% เนื่องจากยอดขายในภาคเอกชนขยายตัวแข็งแกร่ง โดยปริมาณสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมีอิทธิพลต่อวงจรทางธุรกิจและการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกที่ทะยานขึ้นแข็งแกร่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีกเดินหน้าขึ้น โดยหุ้นเมซี อิงค์ ปิดบวก 2.9% หุ้นเจซี เพนนี ปิดพุ่ง 7.4% และหุ้นเบสท์บายปิดบวก 6% อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ในช่วงบ่ายเริ่มถอยร่นลงมาเคลื่อนไหวในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจในยุโรป หลังจาก ZEW Center ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจในยุโรประบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนในเยอรมนีร่วงลงสู่ระดับ -4.3 จุดในเดือนก.ย.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2552 จากระดับ +18.3 จุดในเดือนส.ค. ขณะที่ยูโรสแตท (Eurostat) ซึ่งเป็นสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป (EU) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทรงตัวในเดือนก.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากร่วงลง 0.2% ในเดือนมิ.ย. ด้านดัชนี S&P 500 ปิดร่วงจากแรงขายในกลุ่มสถาบันการเงิน นำโดยข่าว Bank of America ที่อาจต้องซื้อวงเงินสินเชื่อบ้านกลับคืนในมูลค่าที่อาจสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยียังคงปรับตัวขึ้นคึกคัก หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหนักที่สุดในบรรดา 24 หมวดอุตสาหกรรมของ S&P 500 หลังมีรายงานข่าวว่า Bank of America ในฐานะธนาคารที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อาจต้องซื้อกลับวงเงินสินเชื่อบ้านที่ให้ไประหว่างปี 2548-2550 ด้วยเหตุผลในเรื่องข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ขณะที่สื่ออย่าง Financial Times ยังรายงานด้วยว่า ธนาคารขนาดใหญ่รายนี้มีแผนแยกสินทรัพย์และธุรกิจที่ตนต้องการจะขายออกด้วยเช่นกัน ซึ่งข่าวดังกล่าวก็ทำให้หุ้น Bank of America ร่วงลงไปเกือบ 2% เมื่อคืนที่ผ่านมา ส่วนราคาหุ้นธนาคาร BB&T ดิ่งลงถึง 3.9% เมื่อซีอีโอนาย Kelly King บอกว่า ธนาคารจะล้างหนี้สูญในส่วนของวงเงินกู้ที่มีปัญหาในจำนวนเงินที่สูงกว่าตัวเลขที่เคยวางแผนจะขายถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอีกธนาคารจากรัฐจอร์เจีย อย่าง Suntrust Banks ราคาหุ้นกลับพุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อ CFO ออกมาบอกว่า ธนาคารจะสามารถรายงานกำไรได้ในไตรมาส 3 นี้ หลังต้องเจอกับตัวเลขขาดทุนมาตลอด 7 ไตรมาสติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม แรงซื้อในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังประคองไม่ให้ตลาดร่วงลงไปลึกมากนัก โดยหนึ่งในข่าวดีมาจาก Cisco ผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์คคอมพิวเตอร์รายใหญ่ ที่เตรียมจะประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งแรกในอัตราระหว่าง 1-2% ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่ซีอีโอ นาย John Chambers เคยเปิดเผยไว้เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา - Dow Jones ปิดที่ 10,526.49 จุด (-0.17%) - S&P 500 ปิดที่ 1,121.10 จุด (-0.07%) - Nasdaq ปิดที่ 2,289.77 จุด (+0.18%)
  4. วิตกทิศทางเศรษฐกิจยุโรป ถ่วงดาวโจนส์ปิดลบ Posted on Wednesday, September 15, 2010 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากเปิดทำการซื้อขายได้ไม่นาน ขานรับรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯที่ระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 0.4% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% และยังปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 5 เดือน เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดขายน้ำมันเบนซินที่สถานีบริการทั่วประเทศและยอดขายเสื้อผ้าที่ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน รวมทั้งรายงานที่ว่า ปริมาณสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 1.0% สู่ระดับ 1.38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2552 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% เนื่องจากยอดขายในภาคเอกชนขยายตัวแข็งแกร่ง โดยปริมาณสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมีอิทธิพลต่อวงจรทางธุรกิจและการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกที่ทะยานขึ้นแข็งแกร่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีกเดินหน้าขึ้น โดยหุ้นเมซี อิงค์ ปิดบวก 2.9% หุ้นเจซี เพนนี ปิดพุ่ง 7.4% และหุ้นเบสท์บายปิดบวก 6% อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ในช่วงบ่ายเริ่มถอยร่นลงมาเคลื่อนไหวในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจในยุโรป หลังจาก ZEW Center ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจในยุโรประบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนในเยอรมนีร่วงลงสู่ระดับ -4.3 จุดในเดือนก.ย.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2552 จากระดับ +18.3 จุดในเดือนส.ค. ขณะที่ยูโรสแตท (Eurostat) ซึ่งเป็นสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป (EU) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทรงตัวในเดือนก.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากร่วงลง 0.2% ในเดือนมิ.ย. ด้านดัชนี S&P 500 ปิดร่วงจากแรงขายในกลุ่มสถาบันการเงิน นำโดยข่าว Bank of America ที่อาจต้องซื้อวงเงินสินเชื่อบ้านกลับคืนในมูลค่าที่อาจสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยียังคงปรับตัวขึ้นคึกคัก หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหนักที่สุดในบรรดา 24 หมวดอุตสาหกรรมของ S&P 500 หลังมีรายงานข่าวว่า Bank of America ในฐานะธนาคารที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อาจต้องซื้อกลับวงเงินสินเชื่อบ้านที่ให้ไประหว่างปี 2548-2550 ด้วยเหตุผลในเรื่องข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ขณะที่สื่ออย่าง Financial Times ยังรายงานด้วยว่า ธนาคารขนาดใหญ่รายนี้มีแผนแยกสินทรัพย์และธุรกิจที่ตนต้องการจะขายออกด้วยเช่นกัน ซึ่งข่าวดังกล่าวก็ทำให้หุ้น Bank of America ร่วงลงไปเกือบ 2% เมื่อคืนที่ผ่านมา ส่วนราคาหุ้นธนาคาร BB&T ดิ่งลงถึง 3.9% เมื่อซีอีโอนาย Kelly King บอกว่า ธนาคารจะล้างหนี้สูญในส่วนของวงเงินกู้ที่มีปัญหาในจำนวนเงินที่สูงกว่าตัวเลขที่เคยวางแผนจะขายถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอีกธนาคารจากรัฐจอร์เจีย อย่าง Suntrust Banks ราคาหุ้นกลับพุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อ CFO ออกมาบอกว่า ธนาคารจะสามารถรายงานกำไรได้ในไตรมาส 3 นี้ หลังต้องเจอกับตัวเลขขาดทุนมาตลอด 7 ไตรมาสติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม แรงซื้อในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังประคองไม่ให้ตลาดร่วงลงไปลึกมากนัก โดยหนึ่งในข่าวดีมาจาก Cisco ผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์คคอมพิวเตอร์รายใหญ่ ที่เตรียมจะประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งแรกในอัตราระหว่าง 1-2% ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่ซีอีโอ นาย John Chambers เคยเปิดเผยไว้เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา - Dow Jones ปิดที่ 10,526.49 จุด (-0.17%) - S&P 500 ปิดที่ 1,121.10 จุด (-0.07%) - Nasdaq ปิดที่ 2,289.77 จุด (+0.18%)
  5. Home Breaking News ข่าวในประเทศ เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่30.74/30.76บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่30.74/30.76บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ วันพุธที่ 15 กันยายน 2010 เวลา 09:13 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทย รายงานว่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเปิดตลาดวันนี้ (15 ก.ย.) ที่ระดับ 30.74/30.76 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ 30.77/30.81 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยนักลงทุนยังติดตามว่าจะมีการออกมาตรการเพื่อควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศหรือไม่ หลังจากที่เมื่อวานนี้มีกระแสข่าวลือว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกมาตรการเพื่อคุมการไหลเข้าของเงินทุน ทำให้เงินบาทปิดตลาดอ่อนค่าลง ซีไอเอ็มบีไทย สรุปสถานการณ์ตลาดเงินเมื่อ 14 ก.ย. บาท/ดอลลาร์ เมื่อวันอังคาร(14 ก.ย.) เงินบาทอ่อนค่าลง โดยเป็นผลมาจากกระแสข่าวเกี่ยวกับการเตรียมออกมาตรการดูแลการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้นักลงทุนบางส่วนใช้เป็นจังหวะในการขายทำกำไรเงินบาท และมีแรงหนุนสำคัญจากการเกินดุลการค้าอย่างต่อเนื่องขณะเดียวกันรมว.พาณิชย์ เผยว่าหากเงินบาทไม่แข็งค่ากว่าระดับ 30 ต่อดอลลาร์ เชื่อว่าการส่งออกในปีนี้ จะยังสามารถเติบโตได้ 20% ตามเป้าหมายที่วางไว้ เยน/ดอลลาร์ เมื่อวันอังคาร(14 ก.ย.) แข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการขายดอลลาร์จากผู้ส่งออกญี่ปุ่นก่อนปิดงบดุลบัญชีกลางปีในวันที่ 30 ก.ย. และถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คัง ของญี่ปุ่น ได้รับชัยชนะในการลงมติเลือก หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น(ดีพีเจ) ก็ตาม ทั้งนี้ อัตราดอลลาร์/เยน ปรับตัวตามส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างสหรัฐ-ญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เนื่องจากส่วนต่างที่แคบลง หมายความถึงแรงจูงใจที่น้อยลงสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นในการเข้าซื้อตราสารหนี้สหรัฐ และก่อนหน้านี้ดอลลาร์/เยนได้รับแรงกดดัน อันเป็นผลจากการร่วงลงของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ แม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวแข็งแกร่ง ยูโร/ดอลลาร์ เมื่อวันอังคาร(14 ก.ย.) เงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ท่ามกลาง ข่าวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีการผ่อนคลายเชิงปริมาณอีกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานการเปิดเผยของโกลด์แมน แซคส์ว่า บริษัทไม่แน่ใจว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทาง เศรษฐกิจของสหรัฐหรือไม่ แต่การปรับลดดังกล่าวไม่มีแนวโน้มเพียงพอที่จะกระตุ้น ให้มีการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม
  6. World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 15 กันยายน 2553 08:52:01 น. ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป หลังจากมีรายงานว่าความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนในเยอรมนีหดตัวลงอย่างหนักในเดือนก.ย. และดัชนีภาคการผลิตของ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรปทรงตัวในเดือนก.ค. อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยเพราะตลาดได้แรงหนุนจากรายงานยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 17.64 จุด หรือ 0.17% แตะที่ 10,526.49 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับลง 0.80 จุด หรือ 0.07% ปิดที่ 1,121.10 จุด และดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 4.06 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 2,289.77 จุด -- สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) หลังจากบริษัทเอ็นบริดจ์ อิงค์ ออกแถลงการณ์ว่า การซ่อมแซมรอยรั่วซึมที่ท่อส่งน้ำมัน Line 6A ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างโรงงานผลิตในแคนาดาไปยังโรงกลั่นในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว และคาดว่าจะสามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้งในไม่ช้านี้ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะซัพพลายตึงตัวและเข้ามาเทขายทำกำไร สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 39 เซนต์ มาอยู่ที่ระดับ 76.80 ดอลลาร์/บาร์เรล -- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของยุโรปและตัวเลขเงินเฟ้อของอังกฤษได้กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ส่งผลให้สัญญาทองคำทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,276.5 ดอลลาร์ในระหว่างวัน สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 24.60 ดอลลาร์ สู่ระดับ 1,271.70 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากที่เคลื่อนตัวในช่วง 1,246.00 - 1,276.50 ดอลลาร์ -- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เนื่องจากข่าวนายนาโอโตะ คัง ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (ดีพีเจ) ทำให้นักลงทุนเชื่อว่ารัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายคังจะไม่มีมาตรการแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐทำให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์และหันไปถือครองสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูงกว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.71% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 83.090 เยน จากระดับของวันจันทร์ (13 ก.ย.) ที่ 83.680 เยน และดิ่งลง 1.23% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9951 ฟรังค์ จากระดับ 1.0075 ฟรังค์ -- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) ขานรับยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในยุโรปและตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในอังกฤษ ส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนซบเซาลงและสกัดช่วงบวกของดัชนี FTSE 100 ตลอดทั้งวัน ดัชนี FTSE 100 ขยับขึ้น 1.88 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 5,567.41 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,541.50 - 5,582.46 จุด
  7. Home Breaking News ข่าวต่างประเทศ นักลงทุนวิตกศก.ยุโรปแห่ซื้อทองคำปิดพุ่ง 24.60ดอลลาร์ นักลงทุนวิตกศก.ยุโรปแห่ซื้อทองคำปิดพุ่ง 24.60ดอลลาร์ วันพุธที่ 15 กันยายน 2010 เวลา 07:38 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวต่างประเทศ User Rating: / 0 แย่ดีที่สุด ทองคำตลาดนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.)พุ่งขึ้นถึง 24.60 ดอลลาร์ โดยทองโคเม็กซ์ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ระดับ 1,271.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่เคลื่อนตัวในช่วง 1,246.00 - 1,276.50 ดอลลาร์ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,276.5 ดอลลาร์ในระหว่างวัน นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ หลังได้รับข้อมูลว่าดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนในเยอรมนีเดือน ก.ย.ร่วงสู่ระดับ -4.3 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2552 จากเดือนส.ค.อยู่ที่ +18.3 ทำให้นักลงทุนกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจของยุโรป นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทรงตัวในเดือนก.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากร่วงลง 0.2% ในเดือนมิ.ย.
×
×
  • สร้างใหม่...