ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

moddang

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    5,270
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

  • วันที่ชนะ

    48

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย moddang

  1. คุณ ซี คะ

    ตะกี้กลับมาเว็บเก่า และใช้เครื่อง pc log out ได้แล้ว หรือเป็นเพราะใช้ สองเครื่อง แต่ก่อนใช้เครื่องเดียว มาซื้อ pc ใหม่เลยไม่อยากใช้ notebook

  2. moddang

    ทำได้ไง

    หมีญี่ปุ่นหรือคะ...... มนุษย์ ที่สุดยอดเก่ง สามารถฝึกสัตว์อะไรก็ได้ หยั่งปลาวาฟงี้ http://video.mthai.com/player.php?id=16M1213613822M0
  3. moddang

    ทำได้ไง

    ไม่ใช่ ทายผิด ไม่อยากบอกว่าไปมานานมากๆๆๆๆๆๆ ตั้งแตเอ๊อะๆๆๆ พาพ่อ กะแม่กะน้องไป อิอิ เดี๋ยวจะเดาอายุถูก แต่ interlaken ยังไม่ได้ไป ครั้งหลังสุด ไปที่ schonenwerd ไม่รู้จะเรียกว่าตำบล หรืออำเภอ อยู่ไม่ไกลจากเมือง Olten วันนี้โม้ซะหน่อย พูดถึงอดีตแล้วมีความสุขที่ได้เที่ยว ทำงาน มีตังใช้ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก ทุกคนแข็งแรงดี
  4. What's that ? ดููจบแล้ว.........คิด......เคยทำไหมกับพ่อเรา
  5. "ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่ เลว" .... โดยท่าน ว.วชิรเมธี หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าว “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” กันมาบ้างแล้ว คำกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของจิต หรืออีกนัยหนึ่งของความคิดได้เป็นอย่างดีว่า จิตกำหนดวัตถุ หรือกายเป็นไปตามอำนาจของจิต ผู้รู้ท่านหนึ่งเคยกล่าวถึงความสำคัญของจิต หรือความคิดไว้ว่า “เธอจงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นการกระทำ เธอจงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย เธอจงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก เธอจงระวังบุคลิก เพราะบุคลิกจะกำหนดชะตากรรมของเธอ” ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า เรามีความคิดหรือวิธีคิดอย่างไร ในทางพุทธศาสนานั้น ท่านให้ความสำคัญกับวิธีคิดเป็นอันมาก พระนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้ประมวลวิธีคิดในพุทธศาสนาไว้ว่ามีมากกว่า ๑๐ วิธี วิธีคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราควรนำมาปรับใช้ในชีวิตก็คือ วิธีคิดเชิงบวก วิธีคิดเชิงบวก หมายถึง การ รู้จักเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งโดยมากมักแสดงตัวให้เราได้สัมผัสในแง่ลบ แต่พอเราพลิกมุมมองใหม่ เราจะได้อะไรดีๆ จากเรื่องลบๆ เหล่านั้น เช่น ในชีวิตจริงของผู้เขียนซึ่งทำงานกับคนหมู่มาก มักจะพบกับคำชมและคำด่าอยู่เสมอ ๆ เมื่อแรกเผชิญกับคำชม ผู้เขียนก็ฟู ครั้นพบกับคำด่าก็แฟบ แต่เมื่อเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมและคำด่า ก็รู้สึกว่า ได้คุณค่าจากคำด่าคำชมเป็นอันมาก คำชมนั้น สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรมาก ดูเหมือนว่า ไม่ลำบากใจเลยที่จะน้อมรับ แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว คำชมนั่นแหละคืออันตรายยิ่งกว่าคำด่า เพราะ หากเรารู้ไม่ทัน คำชมจะทำให้เราหลงตัวเองและมีโอกาสลืมตัวสูง ส่วนคำด่า ถ้าพิจารณาไม่ดีก็ทำให้เราเสียศูนย์ได้ง่ายๆ แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งด้วยวิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี บางทีคำด่ากลับมีค่ามากกว่าคำชม คำด่ามีค่ามากอย่างไร ? (๑) คำด่า คือ กระจกเงาสะท้อนความบกพร่องของงานที่เราทำ (๒) คำด่า มักแฝงคำแนะนำมาด้วยเสมอ (๓) คำด่า บอกเราว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นหากมีคนที่คิดไม่เหมือนเราเขามองดูอยู่ เขาเห็นอะไรในสิ่งที่เรามองไม่เห็นบ้าง (๔) คำด่า คือ กระดาษทรายอย่างดี ที่คอยขัดสีฉวีวรรณให้เรามีความกลมกล่อมลงตัวเหมือนพระประธานที่ต้องถูกกระด าษทรายขัดสีฉวีวรรณจนผุดผ่อง (๕) คำด่า ทำให้เราไม่ประมาทผลีผลามทำอะไรด้วยความเชื่อมั่นมากเกินไป (๖) คำด่า ทำให้รู้ว่า มีคนรักหรือเกลียดเรามากน้อยแค่ไหน (๗) คำด่า ทำให้รู้ว่า อย่างน้อยก็มีคนสนใจในสิ่งที่เราทำ หรืออย่างน้อย สิ่งที่เราทำมันกำลังส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีคนอุทิศตนมาสนใจและด่าอย่างเป็นงานเป็นการ (๘) คำด่า จะทำให้เราได้หันกลับมาดูภูมิธรรมของตนเองว่า เข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน เมื่อทุกข์กระทบแล้วธรรมกระเทือน หรือกิเลสกระเทือน ถ้าธรรมกระเทือนแสดงว่าเราฝึกตนเองมาดี แต่ถ้ากิเลสกระเทือนแสดงว่า ต้องกลับไปฝึกจิตตัวเองใหม่ให้เข้มแข็งกว่านี้ (๙) คำด่า ทำให้เราได้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครหนีโลกธรรม ๘ ได้ (ได้ลาภ เสื่อมลาภ,ได้ยศ เสื่อมยศ,สรรเสริญ นินทา,สุข ทุกข์) (๑๐) คำด่า คือ บทเรียนเรื่องการปล่อยวางตัวกูหรืออัตตาที่ดีที่สุด เพราะหากเรายังปล่อยวางตัวกูไม่ได้ เราก็จะต้องหาวิธีด่าคืนอยู่ไม่สิ้นสุด แต่เมื่อเราปล่อยวางตัวกูได้แล้ว คำด่านั่นเองคือบททดสอบที่ดีที่สุด เพราะคำ ด่ามีคุณค่ามากกว่าคำชมดังกล่าวมานี้เอง ทุกครั้งที่ถูกด่า ผู้เขียนก็บอกตัวเองว่า ไม่เลวเหมือนกัน ได้พบอาจารย์ใหญ่ที่เข้มงวดอีกแล้ว เวลาเจอคำชม ผู้เขียนจะบอกตัวเองว่า ระวังเอาไว้หน่อย โบราณท่านเตือนว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ถ้าเราไม่หวั่นเกรงต่อคำด่า ไม่เสียท่าต่อคำชม ชีวิตก็สบายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ในทุกวันที่เราต้องทำงานกันตัวเป็น เกลียว เชื่อเหลือเกินว่า เราแต่ละคน คงจาริกอยู่ท่ามกลางคำด่าและคำชมกันทั้งนั้น หลังอ่านบทความนี้จบแล้ว ลองเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมคำด่าดู แล้วเราจะพบว่า สิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์อย่างคำด่านั้น จริงๆ แล้ว แฝงเพชรนิลจินดาแห่งสติปัญญาเอาไว้อย่างแวววาวพราวพรายไม่น้อยเลยทีเดียว โดย ท่าน ว.วชิรเมธีhttp://www.vimuttayalaya.net/DharmaDaily.aspx?id=49&page=9
  6. เปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา ปัญหาคือส่วนหนึ่งของชีวิต เตรียมใจพร้อมต้อนรับมันดีกว่า "ปัญหา" เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากเลี่ยงหลีก แต่ไม่มีใครที่หนีมันพ้นได้ เพราะปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ในเมื่อเราไม่มีวันหนีปัญหาพ้น จะไม่ดีกว่าหรือหากเราเตรียมใจให้พร้อมเพื่อต้อนรับมันอยู่เสมอ การมองว่า "ปัญหา" เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น เช่นเดียวกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเผชิญกับปัญหาได้โดยไม่ทุกข์มากนัก แต่วิธีที่ดีกว่านั้นก็คือการเปลี่ยน "ปัญหา" ให้กลายเป็น "ปัญญา" เพราะนอกจากจะไม่ทุกข์หรือ "ขาดทุน" แล้ว ยังได้ประโยชน์เป็น "กำไร" กลับมาด้วย ขอให้สังเกตคำว่า "ปัญหา" กับ "ปัญญา" นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ตัวเดียวคือ "ห" กับ "ญ" ในชีวิตจริง สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" นั้นก็อยู่ใกล้กับ "ปัญญา" มากเช่นเดียวกัน ปัญหาสามารถก่อให้เกิดปัญญาได้หากรู้จักมองหรือใคร่ครวญกับมัน นักเรียนจะเฉลียวฉลาดได้ก็เพราะหมั่นทำการบ้าน การบ้านนั้นคืออะไรหากไม่ใช่ปัญหาหรือโจทย์ที่ต้องขบคิด ถ้าครูไม่ขยันให้โจทย์หรือตั้งคำถามให้นักเรียนขบคิด นักเรียนก็ยากที่จะเกิดปัญญาได้ คนทั่วไปนั้นเมื่อเจอปัญหาก็จะเป็นทุกข์หรือกลัดกลุ้มไปกับมัน แต่ถ้าลองตั้งสติและพิจารณาให้ดี ปัญหาก็จะกลายเป็นปัญญาได้ไม่ยาก เมื่อ ๘๐ ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งได้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียไว้ในจานเพื่อใช้ใน การศึกษาวิจัยเรื่องไข้หวัด วันหนึ่งเขาพบว่ามีเชื้อราเข้าไปปนเปื้อนและทำลายแบคทีเรียที่เพาะเอาไว้ นั่นหมายความว่าเขาต้องเพาะแบคทีเรียขึ้นใหม่ เจ้าเชื้อราตัวนี้สร้างปัญหาให้นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ แต่แทนที่จะโมโห เขากลับฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้ามันฆ่าแบคทีเรียที่เพาะในจานได้ มันก็ต้องกำจัดแบคทีเรียที่ในร่างกายคนได้เช่นกัน ปัญญาเกิดขึ้นแก่นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ทันที นำไปสู่การค้นพบเพนนิซิลินหรือยาปฏิชีวนะ ซึ่งในเวลาไม่นานสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้คืออเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่งนั่นเอง โลก ก้าวหน้าได้เพราะเรารู้จักเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา มองให้แคบลงมา ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากประสบวิกฤต บางคนเป็นโรคหัวใจเจียนตาย ภัยร้ายได้บังคับให้เขาต้องหันมาทบทวนชีวิตของตน และพบว่าการหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ตัดขาดจากผู้อื่น และจมอยู่กับความหดหู่เศร้าหมอง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เขามีอาการดังกล่าว เขาจึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เข้าหาผู้คน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่น และปล่อยวางความกังวลหม่นหมอง ไม่นานสุขภาพของเขาก็ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เขายอมรับว่า การเป็นโรคหัวใจเป็นสิ่งดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเขา เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะคร่ำครวญหรือตีอกชกหัว ลองใคร่ครวญดูให้ดี จะพบว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเรามองสัญญาณนี้ออก นั่นแสดงว่าปัญญาได้เกิดแก่เราแล้ว ขั้นต่อไปก็คือเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม หรือการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เหมาะสม และชาญฉลาด ไม่ควรมองว่าปัญหาคือ "ทางตัน" ถ้ามองให้ดีในตัวปัญหานั้นก็มี "ทางออก" ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมว่า สลักที่ล็อคประตูนั้นก็เป็นสลักอันเดียวกับที่ใช้เปิดประตู สวิตช์ที่ปิดไฟก็เป็นอันเดียวกับที่ใช้เปิดไฟให้สว่าง ฉันใดก็ฉันนั้นในคำถามก็มีคำตอบเฉลยอยู่ จะว่าไปแล้วปัญหาหรือความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้มีไว้ให้เราคร่ำครวญ แต่มีไว้ให้ใคร่ครวญนั่นเอง ในความทุกข์นั้นก็มีทางออกจากความไม่ทุกข์แฝงอยู่เสมอ ในภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins เด็กชายบรู๊ซ (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว)ได้พลัดตกลงไปในหลุม เมื่อพ่อช่วยขึ้นมาแล้ว ได้ถามลูกว่า "รู้ไหมทำไมคนเราถึงหกล้ม" ลูกนึกไม่ออก พ่อจึงเฉลยว่า "ก็เพื่อเราจะได้รู้วิธีลุกขึ้นมาไงล่ะ" ความ ทุกข์มีขึ้นก็เพื่อสอนเราให้รู้จักหลุดพ้นจากความทุกข์ ปัญหาเกิดขึ้นก็เพื่อสอนเราให้เกิดปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคือครูที่มาสอนให้เราฉลาดขึ้นนั่นเอง จาก: นิตยสาร Teens & Family
  7. นิทาน ตะปู มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา หนึ่งถุง และบอกกับเขาว่า ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคน ให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเขาไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็ลดจํานวนลง น้อยลง น้อยลง เพราะเขา รู้สึกว่า การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง ให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ และแล้วหลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อและบอกกับพ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา พ่อยิ้ม และบอกกับลูกชายของเขาว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุกๆ ครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ ฉุนเฉียวของตนเองได้ ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง[/b] วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออกทีละตัว จาก 1 เป็น 2 .... จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออก จนหมด เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ !! พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน และบอกกับลูกว่า ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ และเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ เจ้าเห็นหรือไม่ว่า รั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือน..กับที่มันเคยเป็น จำไว้นะลูก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน ต่อให้ใช้คำพูด ว่า ขอโทษ สักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ ฉันใดก็ฉันนั้น กับเพื่อน .. เพื่อนเปรียบเสมือน อัญมณีอันมีค่าที่หายาก เป็นคนที่ทำให้เรายิ้ม เป็นคนที่คอยให้กำลังใจและยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จ เป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้า ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา และจริงใจกับเราเสมอ ... แสดงให้เขาเห็น ว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหน และระวังสิ่งที่เราทำไป ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ และจงจดจำไว้เสมอว่า คำขอโทษ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตามแต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือ รอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้ ...... ตลอดไป หวังว่านิทานนี้คงช่วยให้พวกเรา อยู่ร่วมกัน ทำงาน ร่วมกัน คบกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกันขึ้นเรื่อยๆ ตลอดไป.....
  8. ข้อคิดดีๆค่ะ สิ่งที่แข็งที่สุด.. เอาชนะได้ด้วย..สิ่งที่อ่อนที่สุด ------------ เมื่อประตูบานหนึ่งปิด.. อีกบานหนึ่งก็เปิด.. แต่บ่อยครั้ง..ที่เรามัวแต่จ้องประตูบานที่ปิด จนไม่ทันเห็นว่า...มีอีกบาน-ที่เปิดอยู่ ----------- อย่ามัวค้นหา..ความผิดพลาด จงมองหา..หนทางแก้ไข ----------- อารมณ์ขัน..เป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุด.. ที่ช่วยรักษาสิ่งอื่นได้... เพราะทันที-ที่เกิดอารมณ์ขัน ความรำคาญ..และความขุ่นข้อง-หมองใจ..จะหายไป กลับกลายเป็น..ความเบิกบานแจ่มใส..ของจิตใจ เข้ามาแทนที่ ------------ อย่ากลัว..ที่จะนั่งหยุดพัก.. เพื่อคิด ----------- 1 นาที..ที่คุณโกรธ เท่ากับ..คุณได้สูญเสีย 60 วินาที แห่งความสงบในจิตใจ..ไปแล้ว ------------ หนทางเดียว..ที่จะรักษาภาพพจน์ได้..คือ.. การซื่อสัตย์..ตลอดเวลา ------------- ผู้ชนะ..ไม่เคยลาออก และผู้ลาออก..ก็ไม่เคยชนะ ------------ ออกซิเจน..สำคัญต่อปอดเช่นไร ความหวัง..ก็เป็นเช่นนั้น ต่อความหมาย..ของชีวิต ------------- การมีชีวิตอยู่-นานเท่าใด.. มิใช่..สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญ..ก็คือ .มีชีวิตอยู่-อย่างไร ------------- เราเข้าใจชีวิต.. เมื่อมองย้อนหลัง..เท่านั้น แต่..เราต้องดำเนินชีวิต..ไปข้างหน้า ------------ ไม่มีสิ่งใด..ช่วยให้คุณ..ได้เปรียบคนอื่น มากเท่ากับ.. การควบคุมอารมณ์..ให้สงบนิ่ง..อยู่ตลอดเวลา ในทุกสถานการณ์ ------------ ความอดทน.. คือ..เพื่อนสนิท..ของสติปัญญา ------------- พรสวรรค์ยิ่งใหญ่..ของมนุษย์ คือ .การที่เราสามารถ..เอาใจเขา-มาใส่ใจเราได้ ------------- ในธรรมชาติ..ไม่มีสิ่งใดดีพร้อม แต่ทุกอย่าง..ก็สมบูรณ์แบบในตัวเอง ต้นไม้..อาจบิดเบี้ยว-โค้งงอ..อย่างประหลาด แต่ก็ยังคง..ความงดงาม ------------- มักพูดกันว่า.. กาลเวลา..เปลี่ยนทุกสิ่ง แต่จริงๆแล้ว . คุณ..ต้องเปลี่ยนทุกสิ่ง..ด้วยตนเอง
  9. 100 ข้อคิดสั้นๆ โดนใจ นำไปใช้ได้จริง ดีจริงๆ... บางครั้งการใช้ชีวิต ก้อไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอ ไป เราจำเป็นต้องมีหลักยึดเตือนใจ เพื่อให้อยู่ในสัวคมอย่างสงบสุข และสง่างาม ไม่เว้นเเต่จะเป็นการปฏิบัติต่อคนที่เราคิดว่าเป็นเพื่อน เพื่อเป็นการรักษามิตรภาพให้ยืนยาว อีกทั้งยังเป็นการคบกันด้วยความจิงใจ ช่วยเหลือกันในยามมีความทุกข์ ในยามสุขก็แบ่งปันให้กันด้วยความจิงใจ หากใครบอกว่า โอ้โหตั้ง 100 ข้อเชียวหรอ แต่ขอบอกว่าลองศึกษาดูก่อน มันไม่มากไม่มายและยากเย็นเกินไปที่เราจะปฏิบัติเลยจริงๆ 1. เอาใจเขามาใส่ใจเรา 2. เชื่อมั่นตัวเอง 3. อย่ามองคนที่หน้าตา 4. กล้าคิด พูด และทำ 5. เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น 6. และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย 7. อย่าโกหกกับเรื่องที่คุนคิดว่าผิด 8. ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ 9. เปิดใจให้กว้าง 10. มองการณ์ไกล 11. วางแผนอนาคต 12. อย่าโทษตัวเอง 13. มีความรับผิดชอบ 14. ตอบแทนเมื่อได้รับ 15. ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้และไม่มี 16. อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด 17. คิดถึงส่วนรวมให้มาก 18. ดูแลตัวเองให้เป็น 19. รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี 20. อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า 21. อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียไปแล้ว 22. จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร 23. ที่ทำอยู่มีผลดี ผลเสีย มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์ 24. อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก 25. ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น 26. อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตนเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน 27. คนไม่ผิดคือคนที่ไมม่เคยทำอะไร 28. ได้หน้าอย่าลืมหลัง 29. คุนไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึก แต่จงวางแผนที่จะดูแลมันไม่ให้เสีย 30. อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ 31. อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง 32. รู้จักแบ่งเวลา และหน้าที่ 33. ทำประโยขน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง 34. อย่าเห็นแก่ตัว 35. อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง 36. อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้ 37. กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุนเอง 38. เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก้อคุยกันได้ 39. อย่าคิดว่าเขาไม่โทร.มา ถ้าคุนก้อไม่เคยโทร.ไป 40. จง เป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายรับ 41. ดูแลบิดามารดาให้ดี คุนมีโอกาศ รีบทำซะก่อนที่จะไม่มี 42. อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา แต่คุนสามารถทำมันใหม่หรือเรียนรู้จากมันได้ 43. คำพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้ ดังนั้น คิด ก่อนพูด 44. อย่าทุ่มเทในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ 45. คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด 46. ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้ 47. หาจุดหมายให้กับชีวิต 48. เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น 49. ถ้างง เขียนหนังสือได้ แต่เขียนให้เป็นภาษา 50. วันๆหนึ่งคุนทำอะไรบ้าง ที่ไม่ใช่ กิน นอน เล่น 51. ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตายแล้วค่อยช่วยหรอกนะ 52. เพื่อนคุนก้อเช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล 53. ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง 54. คุนซื้อนาฬิกาได้ แต่คุนไม่สามารถซื้อเวลาได้ 55. ตอนนี้มีใครคอยคุนอยู่รึเปล่า ถ้ามีกลับไปหาซะ 56. ตอนนี้คุนคอยใครอยู่รึเปล่า จะคอยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ทำอะไรซะบ้าง 57. อย่ากล่าวคำขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามไปขอโทษ 58. ตอนคุนลำบากคุนคิดถึงใคร คุนอยากให้ใครช่วยเหลือ 59. ตอนนี้คนกำลังสบายอยู่ แล้วคนที่คุนเคยขอความช่วยเหลือล่ะ หมดประโยชน์แล้วหรือ 60. ไม่ใช่ แล้วไง ต้องให้บอกต่อมั้ย 61. ทำอะไรก้อได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของคนอื่น 62. ตอนที่คนกำลังอ่านประโยคนี้ จงจำไว้ว่าคุนเป็นมนุษย์ และยังมีชีวิตอยู่ 63. ใครเป็นคนทำให้คุนมีชีวิต ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง 64. ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกเขาว่ารักก้อเพียงพอแล้ว 65. อย่ารอให้ถึงวันกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน 66. ไม่มีกฏหมายข้อใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา 67. ถ้าเป็นคุนอยู่ดีๆมีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุนจะรู้สึกดีมั้ย หรือดูที่ราคาขนม 68. เหล้าทำให้คุนลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุนลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต 69. อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุนได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุนยังมีคนพิมพ์คนนี้อีกคน 70. อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่สุด 71. อย่าพูดว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้า งั้นคุนก้อไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน 72. เหนื่อยนักก้อหยุดพักซะบ้าง 73. อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุนก้อเป็นคนเพียงแต่คุนยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง 74. ปริศนาในเกมคุนแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุนแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปอยู่ในตัวคุน 75. คุนมองเพชรที่ความงามภายในหรือป้ายราคาภายนอย 76. ถ้าคุนกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน 77. มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือ ลองค้นคว้าดูจะรู้ 78. ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่เเทงมาจากข้างหลัง 79. การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด 80. ทำยังไง ต้องให้ขโมยขึ้นบ้านก่อน ถึงไปดูรั้วบ้านใช่มั้ย 81. ทำใจกับสิ่งต่างๆล่วงหน้าไว้บ้างก้อดี 82. จะยกตัวอย่าง สมมติคนที่คุนรักจากไปตอนนี้ คุนคิดว่า คุนทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง 83. อย่าตอบว่าทำยังไงก้อตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ 84. คุนทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คุนไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก้อไม่ฟื้นมาได้ยินหรอกนะ 85. ตัวคุนมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุนรุ้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า 86. หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากมายที่คุนยังไม่รู้ 87. ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิต 88. การใส่เสื้อสวยๆไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก 89. หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้ 90. ลองทำอะไรบ้าๆบ้างก้อดี อย่ายึดติดนักเลย 91. ผู้พิมพ์ไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุนได้รุ้อะไรไว้บ้างก้อดี 92. สิ่งที่คุนปล่อยผ่านๆ ไปในชีวิตหรือเรื่องคุนเห็นว่าไม่สำคัน กลับมาดูเเลตรงนั้นบ้างก้อดี 93. อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก้อดี 94. อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้ากิน เล่นไพ่เล่น เที่ยวหญิงเที่ยว 95. ยาเสพติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด 96. อย่าทำตามเพื่อนเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากับร่างกายเรา แน่นอนจิตใจก้อเหมือนกัน 97. ผู้ชายยังไงก้อคือผู้ชาย ผู้หญิงยังไงก้อคือผู้หญิง 98. บางครั้งการอยู่คนเดียวก้อไม่ได้เลวร้ายเมอไป 99. ไม่มีมิตรถาวรและศัตรูที่เเท้จริง 100. .จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรา รัก และคนที่อยู่รอบกายเรา Credit : picpos ที่มา: http://zayyes.com/
  10. moddang

    ทำได้ไง

    http://www.youtube.com/watch?v=CXpAgVsz3LA&annotation_id=annotation_74943&feature=iv
  11. moddang

    ทำได้ไง

    เอามาฝาก หวังว่าคงเคยไปบ้างแล้วนะ http://www.youtube.com/watch?v=FBg0AhcEwLU&feature=related
  12. ยังชอบที่จะอ่าน คำที่กินใจเหล่านี้
  13. ขอบคุณที่เอาสิ่งดีๆมาให้ตลอด ไนแอกการาเมื่อคืนดูเป็นไฟล์สั้นๆ และยังไม่มีเวลานัก แต่ที่เอามาให้ดูนี่ซิ เยี่ยมจริงๆ

  14. !10 !gd !thk ขอบคุณมากๆ เอามาให้ดูถึงที่เลย ได้กำลังใจเพียบ ดูแล้วมีปัญหาอีก อยากทราบวิธี ดึงไฟล์ให้ออกมาเป็นแต่ละไฟล์เป็นไฟล์ภาพธรรมดา ถามว่าทำไม เพราะแต่ละประโยคมันเข้าท่า อ่านก็ไม่ทัน !_09 !32 !17 ไม่ทราบใครทำเป็นบ้าง ช่วยบอกหน่อยได้ไหม... !_Rd
  15. moddang

    ทำได้ไง

    !thk !10 !gd ขอบคุณนะคะ ได้ไปเที่ยวด้วย เดี๋ยวแกะรอยได้หลายที่เลย...... ไนแอกการา อิอิ มีหลายไฟล์
  16. อีกวิธีหนึ่ง.....ไปเอามาจากบ้าน goldhips ที่ป้านัททำไว้...... ขอบคุณมากนะคะป้านัท !10 !gd !thk ข้อมูล : http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=324&start=15 !thk !10 !gd
  17. แหม คุณหมอ เพื่อนแยะจัง ปรับแต่งโพรไฟล์แล้วจ้า จำได้ว่าใส่ไปแล้วทั้งหมด เว้นปีเกิด ฮา..ไอ้เจ้า 2 ตัวที่รูป นี่น่าฟัดจริงๆๆ

  18. moddang

    ทำได้ไง

    สัตว์ หลาย species อยู่รวมกันได้ไง มากมายขนาดนั้น เมื่อดูจบคลิ๊กเข้าไปอีก คราวนี้ไก่เป็นฝูงอยู่กับหมา
  19. อ้างถึง.....คุณ kumponys ทำไว้ที่....... thaigold.info เห็นบางท่านโพสต์รูปยังไม่เป็น บางท่านเล่น upload รูปอันเดิมขึ้นเวปทุกกระทู้ ซึ่งเปลืองที่โดยใช่เหตุ วันนี้ขอทำวิธีการ upload ที่ถูกต้องให้ดูกันเสียหน่อย ปกติ การแสดงภาพในกระทู้ทำได้หลายวิธี หลักๆ ได้แก่ 1. การ upload รูปขึ้นเวปโดยตรง อันนี้ เหมาะกับรูปที่คิดว่า ไม่อยากให้หายไปจากเวป เป็นรูปที่น่าเก็บรักษาไว้บนเวปเรา อาจเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้อ้างอิงได้นานๆ เช่นกราฟฤดูกาลทองคำ เป็นต้น 2. การฝากรูปที่เวปรับฝากรูป กรณีเรามีรูปบนเครื่องเรา และอยากแชร์เพื่อน แต่ไม่อยากให้ load เวปเรา กรณีนี้ อาจเป็นรูปวิเคราะห์เหตุการณ์ระยะสั้นๆ หรือเป็นรูปแสดงให้ดูกันเล่นๆ เป็นต้น 3. การอ้างอิงรูปจากเวปอื่น กรณีเราไปเจอรูปถูกใจที่เวปอื่น อยากเอามาแชร์เพื่อน -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. การ upload รูปขึ้นเวปโดยตรง อันนี้ไม่ยาก แต่บางท่านไม่สังเกตครับ - ขณะตั้งกระทู้ จะ มี " เลือกไฟล์" ตรงมุมล่างซ้ายให้เราเลือก เราแค่ click ก็จะมีช่องให้ เราเลือกรูป จากโฟลเดอร์ที่ต้องการ แล้ว คลิ๊ก " แนบไฟล์ " รูปที่ได้ จะเป็น attach file ที่แสดงต่อจากข้อความของเรา ................แบบนี้เป็นลักษณะไฟล์เดียว ถ้าจะโพสหลายรูป........ กด.... ลองใช้ตัวช่วย upload แบบ advance....... แล้วไปติ๊กถูก ที่ตัวเลือกการโพสต์...... กดบันทึก....... แล้วกลับมาเลือกไฟล์ กด ส่งข้อความ
  20. รู้ได้อย่างไร! ลูกน้อยในท้องปัญญาอ่อน (1) บทความโดย : รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ สูตินรีแพทย์ ซ้ายคือโครโมโซมที่เซลไม่แบ่งตัว ส่วนขวาคือโครโมโซมที่เซลแบ่งตัว ในอดีต การที่ใครคลอดลูกออกมาแล้วปัญญาอ่อน ก็ต้องถือว่าเป็นเวรเป็นกรรม เพราะเรายังไม่มีวิธีการใดๆ เลยที่จะตรวจลูกที่อยู่ในท้องว่าจะปัญญาอ่อนหรือไม่ แต่ในปัจจุบันเราสามารถทำได้แล้วและที่ทำได้ก็มีหลายวิธีครับ รู้จักเด็กปัญญาอ่อนหรือเด็กกลุ่มอาการดาวน์ เด็กปัญญาอ่อน หรือเด็กกลุ่มอาการดาวน์ เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่พบบ่อยที่สุด การที่เรียกเด็กที่มีปัญญาอ่อนในอีกชื่อหนึ่งว่า เด็กกลุ่มอาการดาวน์ (Down syndrome) ก็เพราะว่าเด็กพวกนี้จะมีรูปร่างลักษณะและพัฒนาการบางอย่างของร่างกายที่แตกต่างไปจากเด็กปกติ ผู้ที่บรรยายลักษณะที่ว่านี้เป็นคนแรก คือ นายแพทย์ชาวอังกฤษชื่อว่า จอห์น แลงดอน ดาวน์ (John Langdon Down) ซึ่งได้บันทึกลักษณะที่พบในเด็กกลุ่มนี้ไว้ในปี ค.ศ.1866 ลักษณะเด็กกลุ่มอาการดาวน์ เด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีใบหน้าและรูปร่างลักษณะที่จำเพาะ ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยโดยแพทย์และพยาบาลได้ตั้งแต่แรกเกิด ลักษณะโดยทั่วไปของเด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีศีรษะค่อนข้างเล็ก แบน ตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก ลิ้นมักยื่นออกมาและมีลักษณะคับปาก มือสั้น ขาสั้น ตัวเตี้ย มักมีโรคหัวใจพิการ หรือโรคลำไส้อุดตันตั้งแต่แรกเกิด มีลักษณะตัวที่ค่อนข้างนิ่ม หรืออ่อนปวกเปียก มีพัฒนาการที่ล่าช้าของการนั่ง ยืน เดิน และการพูด ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเกิดมาจากแม่คนไหนก็ตาม และจะแตกต่างจากพี่น้องท้องเดียวกันที่ปกติ รู้จักโครโมโซม สาเหตุของกลุ่มอาการดาวน์ ดังที่กล่าวแล้วว่า เด็กกลุ่มอาการดาวน์เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม แต่พูดเท่านี้ เชื่อว่า คุณแม่ที่ไม่มีพื้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คงงงอยู่เหมือนกันว่าโครโมโซมที่ว่าคืออะไรกัน ผมเข้าใจครับ จึงได้อธิบายคำว่า “โครโมโซม” อย่างง่ายๆ เพื่อให้เข้าใจกันก่อนจะลงลึกในรายละเอียด ลองนึกภาพตามไปนะครับ โดยทั่วไปร่างกายของคนเรา ประกอบด้วย อวัยวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มือ แขน ขา และอีกสารพัด ซึ่งทุกอวัยวะจะประกอบด้วย หน่วยที่เล็กที่สุดที่เรียกว่า เซลล์ (Cell) โดยเซลล์ของแต่ละอวัยวะจะมีลักษณะรูปร่าง และหน้าที่แตกต่างกันไป เซลล์ของกล้ามเนื้ออาจมีรูปร่างเหมือนกระสวย ในขณะที่เซลล์ของสมองมีรูปร่างเหมือนรูปดาว 5 แฉก โครโมโซมของทารกเพศหญิงที่มีกลุ่มอาการดาวน์ (ปัญญาอ่อน) แต่ไม่ว่าเซลล์นั้นจะเป็นเซลล์ของอวัยวะใดก็ตาม จะมีส่วนประกอบข้างในคล้ายคลึงกัน คือ ภายในแต่ละเซลล์ จะมีก้อนเล็กๆ ซึ่งมีสีทึบอยู่ภายในเรียกว่า นิวเคลียส (Nucleus) และภายในนิวเคลียสนั้นจะมีเส้นลายเล็กๆ เต็มไปหมดซึ่งเรียกว่า “โครโมโซม” (Chromosome) โดยปกติ เซลล์จะมีการแบ่งตัวเพื่อสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาตลอดเวลา ทั้งนี้ เพื่อสร้างอวัยวะขึ้นมาใหม่ หรือให้เติบโตมากขึ้น หรืออาจจะสร้างขึ้นมาทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมสลายไป ในขณะที่เซลล์กำลังมีการแบ่งตัว เส้นโครโมโซมที่เคยเห็นเป็นเส้นลายเล็กๆ จะหดตัวจนเห็นเป็นแท่งๆ ชัดเจน ซึ่งโดยปกติคนเราจะมีแท่งโครโมโซมของแต่ละเซลล์ในจำนวนที่แน่นอนคือ 46 แท่ง หรือ 23 คู่ โดยที่โครโมโซมครึ่งหนึ่งมาจากแม่ (23 แท่ง) และครึ่งหนึ่งมาจากพ่อ (23 แท่ง) โดยผ่านการผสมของเชื้ออสุจิของพ่อและไข่ของแม่ ในจำนวนโครโมโซมทั้ง 23 คู่นั้น จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1.โครโมโซมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเพศ (autosome) มีจำนวน 22 คู่ 2.โครโมโซมที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเพศ (sex chromosome) มีจำนวน 1 คู่ โดยที่ในเพศหญิง โครโมโซมคู่นั้นจะมีลักษณะเหมือนกัน เรียกว่า โครโมโซม XX ในขณะที่โครโมโซมในเพศชายจะมีลักษณะและขนาดที่ต่างกัน เรียกว่า โครโมโซม XY ความผิดปกติของโครโมโซมกับกลุ่มอาการดาวน์ แทนที่จะมีเซลล์ละ 46 แท่ง กลับมี 47 แท่ง โดยเฉพาะถ้าแท่งที่เกินมาเป็นของโครโมโซมคู่ที่ 21 ทำให้โครโมโซมคู่ที่ 21 แทนที่จะอยู่กันเป็นคู่เพียง 2 แท่ง ก็กลับมี 3 แท่ง ทางการแพทย์เรียกความผิดปกตินี้ว่า Trisomy 21 ซึ่งเป็นสาเหตุของเด็กกลุ่มอาการดาวน์ถึงร้อยละ 95 นอกจากนี้ ยังมีความผิดปกติของโครโมโซมแบบอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคกลุ่มอาการดาวน์ เพียงแต่มีบทบาทไม่มากนัก ที่พบคือ การที่โครโมโซมคู่ที่ 14 ยึดติดกับคู่ที่ 21 หรือบางคนมีเซลล์ของร่างกาย โดยที่บางเซลล์มีโครโมโซม 46 แท่ง แต่บางเซลล์มี 47 แท่ง เป็นต้น คำถามคือ ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่รู้เหมือนกัน แต่น่าจะเกิดจากความบังเอิญ หรือโชคไม่ดี อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่น่าสนใจ คือ มักพบปัญหานี้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุมาก มากกว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุน้อย เป็นไปได้ไหมว่า การแบ่งเซลล์และโครโมโซมของผู้ที่อายุมากอาจมีประสิทธิภาพไม่ดี ทำให้ผิดพลาดเกิดเรื่องได้ง่าย เนื้อที่สำหรับสัปดาห์คงหมดแต่เพียงเท่านี้ แต่สัปดาห์หน้าเราก็จะยังคงอยู่กับกรณีกลุ่มอาการดาวน์ ทั้งการตรวจด้วยการเจาะน้ำคร่ำและรวมถึงข้อเท็จจริงที่หลายคนสงสัยในประเด็น “ดาวน์ซินโดรมกับพันธุกรรม” ด้วย http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000079477
  21. สรุป เฮียแนะให้ใช้ IE 8 ใช่ใหมคะ ....... !54 สำหรับตัวเอง ตอนนี้ที่ firefox มีปัญหา หยุมหยิม ติดขัดบ้าง อาจเนื่องจาก มันได้จำข้อมูลบางอย่างไว้ และเราแก้มันไม่ค่อยถูกจุด......... แต่ทำไมมันมีผลต่อเว็บใหม่ไม่รู้ ต้องให้ admin บอก แต่เมื่อวานได้ลองใช้ IE 8 และ google chrome ในการเปิด- ปิดเว็บทั่วไป รวมทั้ง thaigold.info/ & thaigold2.info/board โพสข้อความและวางรูปที่กระทู้ ตอนนี้ยกให้ google chrome คือ เร็วและสะดวกมากกว่าค่ะ !gd แต่ปัญหาอยู่ตรงวาง curser ไม่ค่อยได้ มันจะเลื่อนไปอยู่ต้นบรรทัด ต้องเคาะ space bar ให้มันมาที่ที่เราพิมพ์อยู่ ทำไมเป็นงั้นไม่รู้ ใครมีวิธีแก้บอกหน่อยก็ดีนะคะ !32
  22. โรค “ปวดหัว” ของคนทำงาน นพ.สุรัตน์ ตันประเวช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง หากมีใครคนหนึ่งถามว่า “คุณเคยปวดศีรษะไหม” คงมีไม่กี่คนที่จะตอบได้อย่างมั่นใจว่า "ฉันไม่เคยปวดศีรษะเลยในชีวิต" โรคปวดศีรษะเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป จากการศึกษาทางสถิติพบว่า โดยเฉลี่ยผู้ชายร้อยละ 93 และผู้หญิงร้อยละ 99 ต่างเคยมีอาการปวดศีรษะในช่วงชีวิต แม้ว่าอาการปวดศีรษะของคนโดยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง แต่ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่อาการปวดศีรษะมีความรุนแรงและเรื้อรังทำให้มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันโดยเฉพาะถ้าอาการปวดศีรษะนั้นเกิดขึ้นในวัยทำงาน สาเหตุของอาการปวดศีรษะมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ โดยในคนสูงอายุจะมีโอกาสเกิดโรคที่มีสาเหตุร้ายแรง เช่น โรคเนื้องอกสมอง โรคหลอดเลือดสมองตีบและโรคหลอดเลือดอักเสบ มากกว่าวัยรุ่นและวัยทำงานซึ่งมักมีสาเหตุจากโรคไมเกรน โรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว และโรคปวดศีรษะจากความเครียด อย่างไรก็ตามในวัยทำงานซึ่งถือว่าเป็นวัยที่มีภาระและความรับผิดชอบสูง หากมีโรคปวดศีรษะมารบกวนการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันก็เหมือนกับฝันร้ายในขณะตื่นเลยทีเดียว 1. โรคปวดศีรษะชนิดใดพบบ่อยที่สุดในวัยทำงาน? เราอาจเคยได้ยินบางคนบ่นว่า มีอาการปวด มึนๆ ตึงๆ ที่ศีรษะหลังจากทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือมีความเครียด โดยอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณว่า คุณกำลังมีอาการของ “โรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว” ซึ่งเป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้บ่อยที่สุด คำว่า “ตึงตัว” บ่งชี้ถึงลักษณะอาการของโรคปวดศีรษะชนิดนี้ คือ มีลักษณะปวดตึง บีบรัดศีรษะ ลักษณะคล้ายกับนำหมวกคับๆ มาสวม อาการปวดมักพบร่วมกับอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและหัวไหล่ รวมถึงอาการปวดกระบอกตาและอาการมึนศีรษะ โดยอาการมักบรรเทาได้ด้วยการนวดบริเวณที่ปวดตึง อาการปวดมักมีระดับไม่รุนแรงและไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยต้องพักหรือหยุดงาน อาการปวดมักบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไป เช่น พาราเซตามอล อย่างไรก็ตามแม้ว่าอาการปวดจะไม่รุนแรง แต่ผู้ป่วยที่ปล่อยให้เกิดอาการปวดเรื้อรังจะทำให้ยากต่อการรักษาและมีผลต่อสุขภาพจิต นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่กินยาแก้ปวดเป็นประจำอาจนำไปสู่การติดยาแก้ปวดได้1 เนื่องจากอาการปวดมักมีความสัมพันธ์กับความเครียด ทำให้มีความเชื่อว่าสาเหตุของโรคเกิดจากความเครียด แต่จากการศึกษาพบว่า ความเครียดไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคโดยตรง แต่เป็นเพียงแค่ปัจจัยกระตุ้นเท่านั้น ในปัจจุบันแม้ว่าได้มีการศึกษาค้นคว้าหาสาเหตุของโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัวมาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่สามารถบ่งชี้สาเหตุของอาการปวดศีรษะชนิดนี้ได้อย่างแน่ชัด การรักษาและการป้องกันโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว ได้แก่ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดโปร่ง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้เนื่องจากการตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและหนังศีรษะมีความเกี่ยวพันกับการนั่งหรือนอนอยู่ในท่าที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นการนั่งหรือนอนให้อยู่ในท่าที่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อจึงบรรเทาอาการและป้องกันอาการปวดศีรษะได้ อาการตึงตัวของกล้ามเนื้อสามารถบรรเทาได้ด้วยการนวดหรือการประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อน ซึ่งนอกจากจะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกแล้ว ยังลดผลข้างเคียงของยาแก้ปวดได้อีกด้วย ่ 2.“โรคไมเกรน” โรคปวดศีรษะที่พบบ่อยรองลงมา ได้แก่ ถึงแม้ว่าโรคไมเกรนจะเป็นโรคปวดศีรษะที่พบได้น้อยกว่าโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัว แต่ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะที่มีความรุนแรงและมีผลกระทบต่อการทำงานมากกว่า เมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ ประสาทสัมผัสของผู้ป่วยไมเกรนจะเพิ่มความไวในการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เสียง แสง กลิ่น ล้วนเป็นสิ่งกระตุ้นชั้นยอดต่ออาการปวดศีรษะ ร่างกายต้องพักจากการเคลื่อนไหว เนื่องจากการเคลื่อนไหวจะกระตุ้นให้อาการปวดศีรษะเลวร้ายมากขึ้น จึงถือได้ว่าไมเกรนเป็นโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานอย่างแท้จริง นอกจากนี้โรคไมเกรนยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ การมองเห็นผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน หงุดหงิดง่าย การนอนผิดปกติ ซึ่งยิ่งซ้ำเติมทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงไปอีก เนื่องจากโรคไมเกรนมีผลต่อการหดและขยายตัวของหลอดเลือดสมอง ผลของโรคไมเกรนจึงไม่ได้ทำให้เกิดแค่อาการปวดศีรษะเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดสมองตีบหรืออัมพาตอีกด้วย จากการศึกษาโดยนายแพทย์ Markus Schurks จาก Brigham and Women’s Hospital ในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา พบว่า ในผู้ป่วยโรคไมเกรนชนิดออร่าเรื้อรัง (ผู้ป่วยจะมีอาการมองเห็นผิดปกติ เช่น เห็นแสงก่อนหรือขณะปวดศีรษะ) จะมีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ผลจากการศึกษาทำให้ผู้ป่วยโรคไมเกรนต้องตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาโรคไมเกรนและการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบได้ หลักการรักษาโรคไมเกรนที่สำคัญที่สุด คือ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นอาการปวดศีรษะซึ่งได้แก่ กลิ่นฉุน แสงจ้า เสียงดัง อากาศหนาวหรือร้อนจนเกินไป นอนผิดเวลา นอนมากหรือน้อยเกินไป ความเครียด อาหารบางชนิด เช่น เนื้อที่ผ่านการถนอมอาหาร เนย เป็นต้น อย่างไรก็ตามหากอาการปวดศีรษะมีความรุนแรงหรือความถี่มากยิ่งขึ้น ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการแนะนำและการรักษาในขั้นต่อไปความเครียดกับอาการปวดศีรษะ ในสภาวะปัจจุบันท่ามกลางสังคมแห่งการแข่งขัน ปัญหาทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การงาน ปัญหาครอบครัว รวมไปถึงเรื่องการเมือง เป็นบ่อเกิดของความเครียดที่เพิ่มขึ้นในสังคม มีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีอาการปวดศีรษะร่วมกับความเครียด โดยเราได้ยินกันเป็นประจำกับคำว่า “เครียดจนปวดหัว” แต่ในความเป็นจริงแล้ว คงมีหลายคนสงสัยว่าความเครียดสามารถเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะได้จริงหรือ และถ้าเรากำจัดความเครียดออกไปได้แล้วอาการปวดศีรษะจะหายหรือไม่ ความเครียดมีความเกี่ยวพันกับอาการปวดศีรษะได้หลายแง่มุม หากความเครียดเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะโดยตรง เรียกโรคปวดศีรษะชนิดนี้ว่า 3. “โรคปวดศีรษะจากความเครียด” อีกกรณีหนึ่งคือความเครียดไม่ได้ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะโดยตรง แต่เป็นเพียง “ปัจจัยกระตุ้น” ให้อาการปวดจากโรคปวดศีรษะชนิดอื่นๆ กำเริบรุนแรงมากยิ่งขึ้น โรคปวดศีรษะที่ความเครียดเป็นตัวกระตุ้น ได้แก่ โรคปวดศีรษะชนิดตึงตัวและโรคปวดศีรษะไมเกรน ในทางการแพทย์การวินิจฉัยแยกโรคปวดศีรษะที่มีความเกี่ยวพันกับความเครียดทั้งสองกรณีออกจากกันมีความสำคัญในแง่การรักษาและการพยากรณ์โรคในระยะยาว โรคปวดศีรษะจากความเครียดมีลักษณะการปวดได้หลายชนิด แต่อาการปวดมักไม่รุนแรง ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดตึง มึนศีรษะ หรือบางรายมีอาการปวดตุบๆ เหมือนอาการปวดศีรษะในผู้ป่วยไมเกรน หลักเกณฑ์ในการให้การวินิจฉัยคือ ผู้ป่วยต้องมีความเครียดในระดับสูงมากพอที่จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ อาการที่แสดงถึงความเครียดในระดับสูง ได้แก่ กระวนกระวาย อ่อนเพลียง่าย สมาธิสั้น กล้ามเนื้อตึงตัว มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน และมีความเครียดที่ยากต่อการควบคุม การรักษา ได้แก่ ลดปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด หรืออาจพบจิตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการผ่อนคลายความเครียด ซึ่งโรคปวดศีรษะชนิดนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะเนื่องจากความเครียดเป็นตัวกระตุ้น การรักษานอกจากจะลดความเครียดแล้ว ยังต้องรักษาโรคปวดศีรษะที่เป็นอยู่ด้วย เช่น หากเป็นโรคไมเกรนอาจต้องใช้ยารักษาโรคไมเกรนควบคู่ไปกับการลดความเครียด เป็นต้น 4. โรคปวดศีรษะกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ ในยุคที่เทคโนโลยีมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานจนเราจินตนาการได้ยากว่าการทำงานโดยปราศจากคอมพิวเตอร์เป็นอย่างไร ในแต่ละวันเราต่างใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์กันคนละหลายชั่วโมง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทเนื่องจากการใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อเราจดจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน แสงสว่างของจอมีผลทำให้กล้ามเนื้อตาเกิดการเกร็งตัว นอกจากนี้จอภาพยังมีผลทำให้สมองส่วนการรับภาพต้องทำงานหนักและทำให้เกิดภาวะเครียดและอาการมึนศีรษะตามมา อาการที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ได้แก่ อาการปวดศีรษะ มึนเวียนศีรษะ ระคายเคืองตา ปวดหรือหนักกระบอกตา การมองพร่ามัว นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้คอมพิวเตอร์ในระยะเวลานานมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคต้อหินอีกด้วย วิธีการหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ ได้แก่ ปรับความสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม โดยทั่วไปความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรเท่ากับความสว่างของสิ่งแวดล้อมที่ทำงาน การใช้ฟิล์มกรองแสงที่หน้าจอหรือการใส่แว่นตาที่มีการเคลือบกันแสงสะท้อนจากหน้าจอ (anti-reflective [AR] coating) การเช็กสายตาอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากปัญหาทางสายตา เช่น สายตาสั้น เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น การบริหารดวงตาโดยการละสายตาจากคอมพิวเตอร์และกลอกตาไปมาเป็นเวลา 10-20 วินาที ทุกๆ 20 นาทีของการใช้คอมพิวเตอร์ การกะพริบตาบ่อยๆ เพื่อป้องกันอาการตาแห้งและระคายเคืองสายตา เพียงเท่านี้ก็ทำให้การทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ไม่สร้างความเครียดให้สมองและสายตามากนัก 5.โรคปวดศีรษะจากผลของคาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา โกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม เป็นที่นิยมอย่างมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในสังคมมนุษย์ไปแล้ว จากการสำรวจในสหรัฐอเมริกาพบว่า ประชากรทั่วไปดื่มกาแฟโดยเฉลี่ยมากถึง 2.5 แก้วต่อวัน ซึ่งคาเฟอีนที่เป็นส่วนผสมอยู่ในเครื่องดื่มจะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ร่างกายและสมองเกิดความตื่นตัว ไม่ง่วงนอน กระตุ้นระบบหัวใจและหลอดเลือด มีผลให้ร่างกายทนต่อการทำงานได้มากขึ้น ผลของคาเฟอีนต่อสมองและหลอดเลือดมีความเกี่ยวพันกับโรคปวดศีรษะหลายชนิดทั้งในด้านบวกและด้านลบ ฤทธิ์ขยายหลอดเลือดของคาเฟอีนได้ถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการปวดศีรษะฉับพลันของโรคไมเกรน แพทย์บางท่านแนะนำว่า เมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรนฉับพลัน การดื่มกาแฟสักหนึ่งแก้วสามารถทำให้อาการทุเลาได้ อย่างไรก็ตามแม้ว่าคาเฟอีนสามารถระงับอาการปวดศีรษะไมเกรนฉับพลัน แต่การบริโภคคาเฟอีนติดต่อกันเป็นระยะยาว ไม่ว่าจากการดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนหรือใช้ยาที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนเป็นประจำ จะทำให้สมองเกิดการดื้อต่อคาเฟอีนและเกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยาต้านไมเกรน ดังนั้นจึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคไมเกรนหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำ หากบริโภคคาเฟอีนในปริมาณมากยังมีผลทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย สมาธิสั้น ซึ่งทำให้กระตุ้นโรคปวดไมเกรนและโรคปวดศีรษะชนิดตึงตัวทางอ้อมอีกด้วย นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนเป็นระยะเวลานาน ร่างกายและสมองจะเกิดการปรับตัวให้เกิดภาวะติดคาเฟอีน ซึ่งทำให้เมื่อหยุดดื่มคาเฟอีนจะมีอาการปวดศีรษะ เรียกโรคปวดศีรษะชนิดนี้ว่า “โรคปวดศีรษะจากการขาดคาเฟอีน” (caffeine withdrawal headache) โดยโรคปวดศีรษะจากการขาดคาเฟอีนจะเกิดขึ้นในคนที่บริโภคคาเฟอีนอย่างน้อย 200 มิลลิกรัมต่อวัน (ปริมาณเท่ากับกาแฟ 2 แก้ว หรือชา 4 แก้ว) ซึ่งอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ทุเลาเมื่อระยะเวลาผ่านไปหลังหยุดบริโภคคาเฟอีนเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากอาการปวดศีรษะที่พบได้ในวัยทำงานมีความหลากหลาย สิ่งที่สำคัญคือการสังเกตและเอาใจใส่ต่ออาการและสภาพแวดล้อมที่อาจมีส่วนกระตุ้นอาการปวดศีรษะ การละเลยที่จะค้นหาถึงสาเหตุของอาการปวดศีรษะที่แท้จริงและทำให้การรักษาล่าช้าตั้งแต่ระยะแรก อาจทำให้โรคปวดศีรษะมีความยากต่อการรักษา และหลายคนอาจต้องบ่นออกมาว่า “รู้อย่างนี้ รักษาตั้งแต่แรกก็ดี” ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในวัยทำงานและกำลังมีอาการปวดศีรษะ คุณได้สำรวจอาการปวดศีรษะของคุณแล้วหรือยัง http://www.healthtoday.net/thailand/feature/feautre_110.html
×
×
  • สร้างใหม่...