ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

bluemaga

ขาอ่อน
  • จำนวนเนื้อหา

    5
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

คะแนนนิยม

7 ปานกลาง

เกี่ยวกับ bluemaga

  • คะแนนนิยม
    น้องใหม่

Profile Information

  • เพศ
    ชาย
  • ที่อยู่
    กรุงเทพมหานคร
  1. ขออนุญาต เอามาฝากครับ พอดีอ่านเจอ ถ้าซ้ำต้องขออภัยครับ ลองหาดูแล้วไม่เจอ
  2. คอลัมน์: หุ้นส่วน ประเทศไทย 12 เหตุผล ที่ควร “ซื้อเก็บ..ทองคำ” ตอนจบ ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต www.facebook.com/doctorweraphong คุณผู้อ่านครับ เราได้คุยกันถึงเรื่อง “เหตุผลที่ควร..ซื้อเก็บทองคำ” ไปแล้ว 6 ข้อ วันนี้ผมจะขอเล่าต่อถึงเหตุผลดังกล่าวอีก 6 ข้อที่เหลือดังนี้ครับ เจ็ด “ตลาด..เกิดใหม่” จะใหญ่ขึ้น และ..ใหญ่ขึ้น EMERGING MARKET หรือตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมักจะหมายถึง บรรดาประเทศที่เพิ่งจะมีเศรษฐกิจดีขึ้น ตัวอย่างเช่น กลุ่ม BRIC นั่นคือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน นอกจากนั้นยังรวมถึงบรรดาประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งในเอเชียและลาตินอเมริกา รวมทั้งประเทศไทยด้วย ในบรรดาประเทศเหล่านี้ คุณผู้อ่านคิดว่าประเทศไหนซื้อทองคำ..มากที่สุดในโลก? ใช่แล้วครับ..ประเทศอินเดีย ซื้อทองคำมากที่สุดในโลกและแนวโน้มจากนี้ไป เมื่อเศรษฐกิจโลกกำลังจะหันทิศทางไปสู่ตะวันออกเศรษฐกิจของบรรดาประเทศเหล่านี้ก็จะเติบโตขึ้นอีกมาก และสิ่งที่จะตามมาก็คือ พลังการซื้อทองคำก็จะเพิ่มขึ้น..เป็นทวีคูณ แปด บทบาทของบรรดา “ธนาคารกลาง” ของประเทศเกิดใหม่ คุณผู้อ่านหลายท่านคงทราบว่าประเทศ 3 อันดับแรก ที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกคือ จีน ญี่ปุ่น และซาอุดิอาราเบียตามลำดับโดยถือเงินตราต่างประเทศและทองคำสูงถึง 3.2 ล้านล้าน1.2 ล้านล้าน และ 0.6 ล้านล้านดอลลาร์ ตามลำดับโดยประเภทของทุนสำรองที่ถือมากที่สุดก็คือ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา นั่นเอง แต่แนวโน้มระยะยาวจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนลงบรรดาประเทศเหล่านี้ก็จะมีแนวโน้มที่จะขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกาออกไป และคุณผู้อ่านคิดว่าประเทศเหล่านี้ซื้อ..อะไรกลับเข้ามาแทนบ้าง? ประเทศเหล่านี้จะซื้อ..ทองคำเพิ่มขึ้นหรือเปล่า? แล้วราคาทองคำ..จะขึ้นหรือ..จะลง? เก้า รูปแบบการซื้อและเก็บทองคำทาง “อิเลคทรอนิคส์” สมัยก่อน ถ้าเราคิดจะซื้อทอง เราก็คงต้องไปร้านทอง..ซื้อทอง..และนำทองมาเก็บไว้ที่บ้านซึ่งเป็นสิ่งที่ลำบากและเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินและ “ผู้ซื้อ” เป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้วในบ้านเรา ทุกวันนี้มีกองทุนที่ลงทุนในทองคำกันอย่างมากมายเวลาที่เราซื้อกองทุนเหล่านี้ก็มีขั้นตอนที่ง่ายและปลอดภัยด้วยความง่าย ความสะดวก และความปลอดภัย..จากการซื้อขายทองคำผ่านระบบอิเลคทรอนิคส์ นี่เอง ก็ทำให้การซื้อขายทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจึงทำให้กองทุน SPDR ที่ซื้อขายทองคำมากที่สุดในโลก ในปัจจุบันได้ติดอันดับท็อปเท็นของผู้ถือทองคำมากที่สุดในโลกไปแล้ว โดย SPDR ยังถือครองทองคำมากกว่าประเทศใหญ่ๆอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น หรืออังกฤษเสียอีก สิบ “ทองคำ” ได้กลายเป็น “สินทรัพย์..เพื่อการลงทุน” ไปแล้ว ในช่วงกว่า 70 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่สหรัฐอเมริกาชนะสงครามโลกครั้งที่สอง ทุกประเทศก็มักจะพยายามถือ “พันธบัตรสหรัฐอเมริกา” เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง..น้อยที่สุด แต่ในปัจจุบัน เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานับวันก็จะยิ่ง…เสื่อมคลายมนต์ขลังลง เหลือไว้แต่เพียง “หนี้สาธารณะ..และหนี้ประชาชน” ก้อนมหึมา จึงอาจกล่าวได้ว่าจากนี้ไปอย่างน้อยอีก 10 ปี พญาอินทรีคงจะต้องปลีกวิเวกออกจากการลงทุนขนาดใหญ่ๆของโลก ดังนั้น “ทองคำ” ก็จะเข้ามามีบทบาทเป็นสินทรัพย์ในพอร์ตโฟลิโอของกองทุนต่างๆ รวมทั้งบุคคลธรรมดาๆอย่างคุณผู้อ่านและตัวผมเองมากขึ้น..และมากขึ้น สิบเอ็ด “ความเหนียวแน่น” ในการถือครองทองคำ ในอดีต คุณผู้อ่านจะเห็นได้ว่าบรรดาญาติมิตรที่เป็นผู้ใหญ่ มักจะถือทองคำกันยาวนานมาก ในปัจจุบันความคิดดังกล่าวก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในจิตใจของผู้คนทั่วโลก แนวคิดการถือครองทองคำในระยะยาวหรือตราบชั่วชีวิตยังมีแพร่หลายในประชาชนทุกหมู่เหล่าเกือบทั่วโลกโดยเฉพาะหลายประเทศในแถบเอเชียที่มองว่า ควรจะเก็บทองคำไว้เพื่อมอบเป็น “มรดก” ให้แก่ลูกหลาน เมื่อทองคำถูกเก็บออกไปจากตลาดเรื่อยๆทองคำที่ซื้อขายหมุนเวียนกันอยู่ในท้องตลาด จึงมีแนวโน้มที่จะลดลง..และลดลงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาทองคำในระยะยาวมีโอกาสสูงขึ้น สิบสอง ปริมาณการผลิต ไล่ไม่ทัน..ปริมาณความต้องการ จากการผลิตทองคำที่ผ่านมา พบว่า การค้นพบเหมืองแร่ทองคำใหม่ๆที่สามารถจะสร้างผลผลิตจำนวนมหาศาลได้นั้นมักจะกินเวลาประมาณ 5-10 ปีแต่ขณะที่ความต้องการทองคำของตลาดโลกนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างที่ได้คุยกันไปแล้วว่า อินเดียและจีนเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่ ที่บริโภคทองคำกันมากที่สุดในโลกขณะนี้ทั้ง 2 ประเทศยังต้องผจญกับภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ ถ้าหากเหตุการณ์ดังกล่าวจบลง และเศรษฐกิจดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นทองคำที่เวลานี้ประมาณบาทละ 25,000 บาท ราคาจะพุ่งไปอยู่ที่เท่าไร? มีการคาดการณ์เบื้องต้นว่า หากทุกอย่างราบรื่นตามที่กล่าวไปแล้ว ราคาทองคำน่าจะไปอยู่ที่ 3,000 หรือ 4,000 หรือ 5,000 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ขณะที่ตอนนี้อยู่ประมาณ 1,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์นั่นหมายความว่า ราคาทองคำ จากในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 25,000 บาทต่อทองคำหนักหนึ่งบาท ก็จะกลายเป็นทองคำหนักหนึ่งบาท ราคาก็ควรเป็น 40,000 หรือ 50,000 หรือ 60,000 บาทซึ่งมันจะ..เป็นไปได้ จริงหรือ? หากลองย้อนกลับไปอ่าน “ประวัติ…ราคาทองคำ” (อ่านได้ที่ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 2554 หรือดูได้ที่ http://www.doctorwe.com/posttoday/20111215/220 ) เราก็จะพบว่า ภายใน 40 ปี ราคาทองคำขึ้นมา 50 เท่าแล้ว ดังนั้น เราจึงควรใช้ความเพียรในการศึกษาหาความรู้ว่า“ทำไมราคาทองคำ..ถึงขึ้นมาก อย่างนั้น?”เพื่อจะได้ไม่เจ็บใจเมื่อราคาทองคำ..มันขึ้นไปอีกแล้วแต่ “ฉันเองยังไม่ได้ซื้อ..ซักบาทเลย” โชคดีนะครับ : )
  3. คอลัมน์: หุ้นส่วน ประเทศไทย 12 เหตุผล ที่ควร “ซื้อเก็บ..ทองคำ” ตอนที่ 1 ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต www.facebook.com/doctorweraphong ผมเป็นคนที่ชอบที่อ่านบทความที่เกี่ยวกับ..อนาคตและมีอยู่บทความหนึ่งที่ผมชอบมาก บทความนี้มีชื่อว่า “World Economic Trends & the Future Price of Gold” ซึ่งเขียนโดย คุณ Jeffrey Nichols บทความนี้ได้พูดถึง “ราคาทองคำ..ในอนาคต” อย่างไรก็ตาม บทความดังกล่าวมีหลายบริบทที่ไม่เข้ากับเมืองไทยเอาเสียเลยและเข้าใจได้ยาก ผมจึงเขียนและเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ และเพื่อให้มีอรรถรสในการอ่านมากขึ้น ผมจึงได้เพิ่มเหตุการณ์ต่างๆที่คุณผู้อ่านคุ้นเคยเข้าไป และตั้งชื่อบทความใหม่นี้ว่า “12 เหตุผล ที่ควรซื้อเก็บ..ทองคำ” ดังนี้ครับ หนึ่ง “นโยบายการเงิน” ของสหรัฐอเมริกา คุณผู้อ่านพอจำได้ไหมครับว่า สหรัฐอเมริกาได้อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบโดยตรงเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจของตนเอง ที่เรียกกันว่า มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หรือ Quantitative Easing (QE) โดยได้ออกมาตรการดังกล่าวมาแล้ว 3 ครั้ง ที่เรียกว่า QE1, QE2 และ QE3โดยครั้งล่าสุด QE3 นั้นสหรัฐจะพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบเดือนละ 40,000 ล้านดอลลาร์ โดยไม่จำกัดระยะเวลา จนกว่าอัตราการว่างงานในอเมริกาจะลดลงอย่างน่าพอใจ ผลที่ออกมาก็คือ เงินดอลลาร์ของอเมริกา…ก็จะไหลทะลักออกไปลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งจะทำให้เกิดเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาและจะตามมาด้วยค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง เนื่องจากปริมาณเงินที่มีมากมายมหาศาลในระบบดังนั้นราคาทองคำจึงมีโอกาสขึ้นไปอีก เพราะค่าเงินดอลลาร์..อ่อนค่าลงนั่นเอง สอง “หนี้สาธารณะ” จำนวนมหาศาลของ..สหรัฐอเมริกา ในปัจจุบันคาดว่าสหรัฐอเมริกาน่าจะมีหนี้สินประมาณ 16 ล้านล้านดอลลาร์คิดเป็นประมาณ 100 เปอร์เซ็นต์ของขนาดเศรษฐกิจของอเมริกา (จีดีพี)จึงคาดว่าสหรัฐจะต้องเป็นหนี้เป็นสินไปอีก..นานแสนนาน ด้วยเหตุดังกล่าว พันธบัตรสหรัฐอเมริกาที่บรรดาหลายชาติมหาอำนาจชอบถือกันไว้ ก็คงจะด้อยค่าลงตามเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุผลเดียวกับข้อแรก ก็จะทำให้ราคาทองคำ..สูงขึ้น ในระยะกลางและระยะยาว สาม ความนิยมในการถือเงิน “ดอลลาร์” ลดลง หากคุณผู้อ่านถือสินทรัพย์ตัวใดไว้แล้ว ราคาของสินทรัพย์นั้นๆ ราคาลดลงเรื่อยๆ คุณผู้อ่านจะถือสินทรัพย์ตัวนั้นๆต่อไปเรื่อยๆไหมครับ? โดยทั่วไปผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะออกมาเปลี่ยนสินทรัพย์ของตนไปเป็นสินทรัพย์ตัวอื่นแทนเช่นเดียวกัน ความนิยมในการถือครองเงินดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ก็จะพลอยลดน้อยถอยลงไปด้วย ด้วยเหตุผลในข้อนี้ ก็จะไปยิ่งกดดันให้คนทั่วโลกพยายามลดการถือครองเงินดอลลาร์ลงแล้วก็จะมีหลายๆรัฐบาลที่จะขายพันธบัตรอเมริกาออกมาเพื่อซื้อ “ทองคำ” แทนเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้วกับธนาคารกลางของเกาหลีใต้ ซึ่งเริ่มซื้อทองคำเข้ามาเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศแทน สี่ ปัญหาหนี้สาธารณะ…ในกลุ่มประเทศในยูโรโซน กลุ่ม PIIGS ในปัจจุบันที่ประกอบไปด้วยโปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และ สเปน ยังมีปัญหาหนี้สาธารณะอย่างแสนสาหัสอยู่ในขณะนี้ทุกวันนี้มีการผนึกรวมกันของสหภาพแรงงานระหว่างประเทศและก่อให้เกิดการสไตรค์หยุดงานเกือบทั่วทวีปยุโรปซึ่งอาจเป็นการหยุดงานครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของกลุ่มยูโรโซนและแน่นอนว่าก็จะทำให้ “ค่าเงินยูโร..ลดลง” ตามไปด้วย ส่งผลให้บทบาทและค่าเงินของเงินยูโรก็จะต้องลดลงตามไปด้วยและในที่สุดทั้งรัฐบาล และประชาชนในอีกหลายประเทศก็จะพยายาม “หลีกหนี..เงินยูโร” ซึ่งส่วนหนึ่งก็จะต้องหนีไปซื้อทองคำแทนอย่างแน่นอน ห้า เกิดการเร่งตัวให้เกิดภาวะ “เงินเฟ้อโลก” (Global Inflation) คุณผู้อ่านจำได้ไหมครับว่า เราเคยพูดถึงนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งที่ชื่อ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) (อ่านเพิ่มเติมบทความ “ทองคำ ทรัพย์สินที่วันนี้ทุกคน..ควรมี” ได้ที่ โพสต์ทูเดย์ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม 2554 หรือดูได้ที่ http://www.doctorwe.com/posttoday/20110830/142 )เคนส์เคยกล่าวไว้ว่า “ในยามวิกฤต ภาคเอกชนจะมีกำลัง..ไม่เพียงพอในการช่วยเหลือตัวเองรัฐบาลจึงมีหน้าที่..ต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปให้ได้ และที่สำคัญที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ..จะได้มีงานทำ” ในปัจจุบัน ความคิดดังกล่าวได้ส่งอิทธิพลแก่ “รัฐบาลทั่วโลก” อย่างรุนแรงและทำให้เกือบทุกรัฐบาลทั่วโลกพากันออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่อย่างต่อเนื่องซึ่งคงจะต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลอัดฉีดเข้าไปในระบบจึงพอจะฟันธงได้เลยว่า “ภาวะเงินเฟ้อโลก” จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆและราคาทองคำก็จะต้องสูงขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าว หก ประเทศในกลุ่ม MENA … “ชนวน” แห่งสงคราม MENA ย่อมาจาก Middle East and North African นั่นคือ กลุ่มประเทศที่อยู่ในตะวันออกกลางและอาฟริกาเหนือประเทศในกลุ่มนี้มักจะเกิดความรุนแรงอยู่บ่อยครั้งสาเหตุอันเนื่องมาจากความแตกแยกทางเชื้อชาติ และศาสนาโดยเฉพาะจากประเทศอิหร่าน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความรุนแรงได้และหากเกิดสงครามขึ้นจริงๆราคาทองคำ..ก็จะต้องขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ “ทองคำ” จึงดูเหมือนว่าจะเป็น..สิ่งสุดปรารถนาของมนุษยชาติ ทำให้นึกถึงคำพูดของ Ralph Waldo Emerson นักกวีชาวอเมริกันที่พูดถึง “ทองคำ” ไว้ว่า “The desire of gold is not for gold. It is for the means of freedom and benefit.” แปลตามความได้ว่า “จริงๆแล้ว ความปรารถนาทองคำมาครอบครองของมนุษย์ ไม่ใช่ว่า..อยากจะได้ทองคำจริงๆ แต่อยากจะได้..ความมั่งคั่งและ..อิสรภาพ ต่างหาก” วันนี้..เราได้คุยกันไปแล้ว 6 ข้อ ยังขาดอีก 6 ข้อที่เหลือซึ่งคงจะได้คุยให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันในเร็ววันนี้ โชคดีนะครับ : )
  4. ใกล้ถึงจุดวัดใจกันเเล้ว...ทองจะไปทางไหน เมฆหมอกมันหนาจนไม่รู้ว่า เรายืนอยู่ตีนดอยหรือบนยอดดอย
  5. ลงทะเบียน มาเรียนหนังสือ ขอแจก เอ๊ย... จอง เล่มนึงครับ ขอรายเซ็นเพิ่มตังค์มั๊ยคร๊าบ
×
×
  • สร้างใหม่...