ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

ส้มโอมือ

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    5,036
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

  • วันที่ชนะ

    15

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย ส้มโอมือ

  1. เฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.นี้. จะซื้อทองคำเพิ่ม ดูก่อนว่าจะมีการเพิ่มดอกเบี้ยมั้ยน่าจะดีกว่าครับ ถ้าปรับเพิ่มคงโดนทุบไม่น้อย
  2. ระบบเงินตราโลก ระบบเงินตราโลกในยุคปัจจุบันอยู่ในยุคที่เรียกว่า “ยุคมาเฟียคุมระบบเงินตราโลก” ซึ่งจะนำโลกไปสู่ปากเหวแห่งหายนะ โลกจะเดินต่ออย่างไร ระบบเงินตราโลกจะเดินต่อแบบไหน ตอนท้ายจะเฉลยนะครับว่ามาเฟียที่ว่าคือกลุ่มไหน --สิ่งที่ยังไม่เกิด ทำไมสงครามใหญ่ต้องเกิดในไม่กี่ปีนี้และผมเชื่อว่าต้องเกิด ---สิ่งที่เกิดแล้ว อดีตที่ผ่านมาคนทั่วโลกที่ขยันทำกินรู้จักมัธยัสถ์เก็บหอมรอมริบ จะมีชีวิตช่วงปลายที่มั่นคงอย่างมีความสุข ---แต่คนทั่วโลกในยุคนี้กลับเผชิญภาวะเงินเฟ้อสูงสุดแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน(ไม่นับช่วงสงคราม) มนุษย์เงินเดือนที่มัธยัสถ์เก็บหอมรอมริบ เงินที่เก็บไว้ทำไมมีค่าน้อยลงเรื่อยๆแล้วชีวิตใน วัยชรา จะผ่านไปได้อย่างไร คนรุ่นใหม่กี่คนจะมีปัญญาให้การศึกษาอย่างดีแก่รุ่นต่อไป ทำไมซัดดัมต้องตาย ทำไมกัดดาฟี่ต้องตาย เรื่องทั้งหมดเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร อดีตที่ผ่านมาโลกเราเจอคำว่าเงินเฟ้อน้อยมาก หลักของเศรษฐศาสตร์อะไรที่เฟ้อคือสิ่งนั้นมีมากกว่าความต้องการหรือมีมากเกินไป เช่นน้ำมันทำไมช่วงนี้ราคาถูก เพราะมีการผลิตน้ำมันเกินความต้องการไปมาก น้ำมันถึงราคาถูกลง พูดง่ายๆน้ำมันช่วงนี้เฟ้อ รัฐบาลสามารถเก็บภาษีจากประชาชนได้มากกว่า1แบบ 1)เก็บภาษีโดยตรง คือขึ้นภาษี 2)เก็บภาษีทางอ้อม คือทำให้เกิดเงินเฟ้อ อันนี้โหดกว่าแบบแรกเยอะเพราะเงินเก็บทั้งหมดของคุณตลอดชีวิตโดนเงินเฟ้อเล่นงาน ตอนนี้คนทั้งโลกโดนสหรัฐฯเก็บภาษีทางอ้อม เพราะดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของทั้งโลก สหรัฐฯพิมพ์ดอลลาร์มาใช้อย่างมากมาย ทำให้ทั้งโลกเกิดภาวะเงินเฟ้อ สิ่งที่มีคุณค่าเป็นเงินตราของโลกได้ ต้องควรมีคุณสมบัติ8ข้อตามนี้ ข้อ6และข้อ8 เป็นปัญหาของโลกปัจจุบัน 1. พกพาสะดวก ติดตัวได้ (Transportability) 2. แบ่งแยกเป็นหน่วยย่อยๆได้ (Divisibility) 3. ใครๆก็ยอมรับและรู้จัก (Recognizability) 4. ทำปลอมยาก (Resistance to counterfeiting) 5. มีลักษณะ เป็นมาตราฐานและเหมือนกันทุกหน่วย (Homogeneity) 6. หายาก (Scarcity) 7. ทน (Durability) 8. มีคุณค่าในตัวเอง (Intrinsic Value) วิวัฒนาการระบบเงินตราโลก 1)ใช้สิ่งของแรกกัน ที่เรียกว่า Barter system ระบบนี้ไม่เวิรค์เพราะต้องหาคนที่มีความต้องการที่สอดคล้องกัน ซึ่งยากมาก 2)ช่วงหาของต่างๆมาเป็นตัวแทนเงินตรา เช่นใบชา เปลือกหอย หินสี วัว และอื่นๆ สุดท้ายก็พบว่าทองคำและโลหะเงิน เป็นตัวแทนที่ดีสุดที่จะเป็นเงินตราของโลก 3)ทองคำและโลหะเงินเป็นเงินตราโลก เราใช้ทองคำและโลหะเงินเป็นเงินตราของทั้งโลกเป็นพันปี ซึ่งตอบโจทย์ทั้ง8ข้อของการเป็นระบบเงินตราโลก โลกใบนี้เกิดเงินเฟ้อน้อยมาก แต่พอเวลาผ่านไปการค้าเจริญขึ้นมาก ข้อ1ของระบบเงินตราเริ่มมีปัญหา((1)พกพาสะดวก ติดตัวได้) สุดท้ายเราเริ่มมีตัวแทนทองคำและโลหะเงินเพิ่มมาอีก1คือ ธนบัตรต่างๆและตราสารที่เกี่ยวเนื่องกับธนบัตร เมื่อเงินกระดาษเข้ามาเป็นส่วน1ของระบบเงินตราและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก โลกใบนี้เดินเข้าสู่ระบบเงินตราที่เรียกว่า GOLD STANDARD 4)GOLD STANDARD ทุกประเทศทั่วโลกจะต้องมีทองคำหรือโลหะเงินหนุนการพิมพ์ธนบัตรหรือตราสารต่างๆ ระบบนี้ดีและโลกเดินไปด้วยความสุข ประชาชนที่ขยันและอดออมจะมีชีวิตบั่นปลายที่มั่นคงและเป็นสุขเหมือนในอดีต ระบบนี้มีอายุประมาณ25ปี 5) Bretton Woods systems(ส่วนตัวผมเรียกช่วงนี้ว่า “ ช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุค มาเฟียคุมระบบเงินตราโลก”)ตามชื่อเมืองที่ประชุมกัน โดยสหรัฐฯเสนอให้ใช้ดอลลาร์เป็นสื่อกลางแทนเพราะสะดวกกว่า เวลาใช้ก็ไม่ต้องเสียเวลาแลกเป็นเงินกระดาษอีก โดยสหรัฐรับปากว่าทุก35เหรียญดอลลาร์สามารถนำมาแลกทองคาได้1ออนซ์ ระบบนี้ใช้อยู่ประมาณ25ปี --ช่วงแรกของระบบ Bretton Woods systems ก็เดินไปได้ดี ดอลลาร์จะพิมพ์ออกมาก็ต่อเมื่อมีทองคำสำรอง แต่ช่วงท้ายๆของระบบนี้สหรัฐฯเริ่มพิมพ์ดอลลาร์ออกมามากมายโดนไม่สัมพันธ์กับทองคำสำรองที่มีอยู่ หลายคนและหลายประเทศเริ่มเห็นและนำดอลลาร์มาแลกทองคำ สุดท้ายสหรัฐฯเบี้ยวคนทั้งโลก ใครถือดอลลาร์ก็ถือดอลลาร์ต่อไปแต่มาแลกคืนทองคำไม่ได้แล้วในปี1971 ป่วนทั้งโลกเลย ช่วงนั้นทองคำพุ่งแรงมากจาก35เหรียญ /ออนซ์ในปี1971 พุ่งไปถึง850เหรียญ/ออนซ์ในปี1980-1981 6)หลังปี1971ถึงปัจจุบัน ”ยุคมาเฟียคุมระบบเงินตราโลก”(มาเฟียคือใครจะเฉลยตอนจบ) เมื่อตัดความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับดอลลาร์ กลไกของระบบเงินตราก็ทำงานทันที ดอลลาร์ที่พิมพ์ออกมาโดนไม่มีทองคำหนุนหลังอีกต่อไปเริ่มด้อยค่าไปเรื่อย สหรัฐฯต้องรีบแก้ไขด้วยการที่ 6.1)เพิ่มอัตราดอกเบี้ยไปเรื่อยๆเพื่อแก้ไขภาวะเงินเฟ้อของดอลลาร์ สุดท้ายต้องขึ้นดอกเบี้ยไปถึง 20-21%ในปี1980-1981ถึงสามารถเอาชนะภาวะเงินเฟ้อของดอลลาร์ได้ 6.2)หาอะไรมาหนุนหลังดอลลาร์เพราะตอนนี้ดอลลาร์ที่พิมพ์มามีมากกว่าทองคำไปเยอะมากและตอนนี้เงินดอลลาร์ก็มาแลกทองคำจากสหรัฐฯไม่ได้แล้ว กระดาษมาพิมพ์เป็นธนบัตรโดยไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง ธนบัตรนั้นจะไร้ค่าแบบที่เยอรมันและซิมบับเว เคยเจอมาแล้ว สินทรัพย์ที่มีค่ามหาศาลและทั่วโลกต้องการคือน้ำมัน สหรัฐฯได้ไปเจรจากับราชวงศ์ซาอุว่า ยูทำอย่างไรก็ได้ให้โอเปกขายน้ำมันในรูปสกุลดอลลาร์เท่านั้น ไม่รับเงินสกุลอื่น แล้วสหรัฐฯจะคอยดูแลความมั่นคงของราชวงศ์ซาอุเอง นี่คือสาเหตุหลักที่สหรัฐฯพิมพ์เงินออกมามากมายแล้วไม่โดนภาวะเงินเฟ้อเล่นงานเหมือนที่ ซิมบับเวและเยอรมันเคยทำ หลังจากดอลลาร์ตั้งหลักและได้และยิ่งใหญ่กว่าเก่าเพราะมีน้ำมันจากทั่วโลกมาหนุน หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง 1)การทุบทองคำเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าดอลลาร์คือเงินสกุลของโลกไม่ใช่ทองคำก็เริ่มขึ้น ทองคำโดนทุบมาเรื่อย จากราคาสูงสุดที่850ดอลลาร์ในปี1981โดนทุบจนราคาต่ำกว่า300เหรียญช่วงปี2000-2001 หลังจากนั้นทองคำก็เริ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาถูกการทุบหนักอีกที่ในปี2011จนถึงปัจจุบัน 2)ปี1981-2015 สหรัฐฯขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วยวงเงินมหาศาลจำนวนมากถึง33ปี ยิ่งหลังปี2008 มีหลายปีที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเกิน1ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สหรัฐฯกลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากเป็นเป็นอันดับ1ของโลกไปแล้ว 3)ดอลลาร์สหรัฐเมื่อมีน้ำมันหนุนหลังซึ่งจะแข็งแกร่งกว่าเดิมมากมาย(ของเดิมจะพิมพ์ดอลลาร์ได้สหรัฐต้องมีทองคำสำรอง) ระบบต่างๆที่สหรัฐฯเตรียมการมาก่อนหน้านั้นในการผลักดันให้ดอลลาร์กลายเป็นเงินสกุลหลักของโลกก็ทำงานได้อย่างเต็มที่ สหรัฐฯพิมพ์เงินมาใช้ได้อย่างสบายมือ 3.1)ธนาคารโลกและ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ตั้งในปี1944 ก่อนระบบ Bretton Woods systems ประมาณ2ปี แต่ดอลลาร์ก็โตมากไม่ได้เพราะพิมพ์ได้จำกัดตามปริมาณทองคำที่มี ตอนนี้พิมพ์มาใช้เล่นได้สบาย 3.2)สหรัฐสร้างระบบ The Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication(SWIFT) ในปีคศ.1973 SWIFT คือระบบการชำระเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศโดยใช้ดอลลาร์เป็นหลัก สำหรับในประเทศแถบเอเชียนั้นระบบ SWIFT ได้เข้ามาเมื่อปี 2523 หรือปี คศ.1980 มี 2 ประเทศที่เริ่มใช้คือ ฮ่องกง กับ สิงคโปร์ ในปีนั้นเองมีประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้นทั้งหมด 36 ประเทศ 768 สมาชิก ถึงปี2015 ฐานะความมั่นคงของดอลลาร์สหรัฐฯอาจไม่เหมือนเดิมแล้ว เนื่องจากปริมาณหนี้ที่สหรัฐฯสร้างมาตั้งแต่ปี1981เป็นยอดมหาศาลเกินความสามารถที่สหรัฐฯจะใช้คืนได้แล้ว ธนบัตรคือตัวแทนสินทรัพย์โดยรัฐบาลถือครองสินทรัพย์แทนประชาชน แต่สินทรัพย์ที่หนุนหลังดอลลาร์คือน้ำมันของกลุ่มโอเปก ผู้ที่ถือครองดอลลาร์เริ่มไม่สบายใจที่จะถือแล้วเพราะฐานะการเงินของสหรัฐฯอยู่ในสภาพหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว ประเทศที่ค้าขายมีกำไรมากเริ่มไม่สบายใจที่จะถือดอลลาร์จำนวนมหาศาล จีนเริ่มอยากดันหยวนให้เป็นสกุลหลักของโลกบ้าง 1)หนี้สาธารณของสหรัฐฯเกิน18ล้านล้านเหรียญไปแล้ว และสหรัฐยังไม่หยุดการใช้จ่ายเกินตัว 2)ภาระผูกพันต่างๆที่สหรัฐฯจะต้องดูแลมียอดสูงถึงประมาณ80-100ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 2.1)สหรัฐฯเก็บภาษีประชาชนของเขาในอัตราที่สูงมาก เมื่อถึงวัยเกษียณรัฐบาลต้องดูแลพวกเขาอย่างดี แต่ตอนนี้จำนวนคนที่เกษียณกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากมายในขณะที่จำนวนคนที่จ่ายภาษีลดลงอย่างมาก เนื่องจากจำนวนประชาชนในช่วงเบบี้บลูมเริ่มเข้าสู่วัยเกษียณ ตอนนี้ทุกวันจะมีคนเกษียณเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ1หมื่นคนมาประมาณ5ปีแล้ว และยังจะเกษียณในปริมาณสูงแบบนี้ไปอีก10ปี 2.2)ประชานิยมต่างๆที่รัฐบาลใช้ในช่วงการหาเสียง มีค่าใช้จ่ายที่มหาศาลมาก ประชาชนที่อาศัย food stampมีจำนวนไม่น้อยกว่า 40ล้านคน(สหรัฐมีประชากรประมาณ320ล้านคน) คนตกงานหรือไม่คิดทำงานรัฐก็ดูแล มีบุตรรัฐก็ช่วยดูแล ประชานิยมอื่นๆที่ใช้ในตอนหาเสียงเป็นรายจ่ายทั้งนั้น 2.3)แสนยานุภาพทางทหารต้องใช้งบมหาศาล 2.4)จีนเริ่มสะสมทองคำเพื่อบอกว่าหยวนมีทองคำหนุนหลัง 2.5) จีนกำลังทดสอบระบบSWIFTของจีน ระบบนี้จะชำระเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศโดยใช้หยวนและเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศต่างๆเป็นหลัก 2.6ระบบธนาคารที่จีนกำลังตั้งขึ้นมาคือ AIIB และธนาคารของกลุ่ม BRICS จะมาแข่งกับWORLD BANKและ IMF โดยจะลดบทบาทของดอลลาร์ลงและเพิ่มบทบาทของหยวนและสกุลเงินท้องถิ่น 2.7)อนาคตข้างหน้าความสำคัญของน้ำมันจะลดลง พลังงานทดแทนจะมาแทนที่ ถึงตอนนั้นน้ำมันจะหนุนหลังดอลลาร์ไม่ได้แล้ว ช่วงนี้น้ำมันราคาตกมากมาย ทำไมไม่กี่ปีนี้นี้สหรัฐฯ เริ่มผลิตน้ำมันออกมาใช้อย่างมากมาย หรือมองว่าเก็บต่อไปในอนาคตจะไร้ค่าลงเพราะมีสิ่งอื่นมาทดแทน 2.8)ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และครองโลกในสมัยนั้น เมื่อระบการเงินมีปัญหา(รายจ่ายมากกว่ารายรับจนมีหนี้มหาศาล) จะตามด้วยการล่มสลายของอาณาจักรนั้น สหรัฐฯจะหนี้วงล้อประวัติศาสตร์ได้มั้ย สหรัฐฯจะมีทางไหนที่แก้ปีญหาบ้าง จะมีสงครามล้างหนี้เกิดขึ้นมั้ย อดีตที่ผ่านมาใครผลิตเงินตราโดนไม่มีสินทรัพย์จริงหนุนหลังก็จะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่โหดร้าย ตั้งแต่อาณาจักรโรมันโบราณ เยอรมันในอดีต ลองมาอ่านเรื่องเงินเฟ้ออย่างหนักที่เกิดไม่นานมากกันครับ บทความของคุณNexttonothing อภิมหา"เงินเฟ้อ" (Hyperinflation) ไม่มีที่ไหนในโลก เหมือน “ซิมบับเว” (Zimbabwe) ไม่ใช่เพราะมีน้าตก วิคตอเรีย อันสวยงาม ไม่ใช่เพราะมีเหมืองขุดเพชร ขนาดใหญ่ หรือเพราะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่ที่นี่ชาวซิมบับเวทุกคนคือ “เศรษฐีพันล้าน” (Billionaire) ย้อนกลับไป 5 ปีก่อน ประเทศนี้ก็ไม่ได้ต่างจากประเทศอื่นๆทั่วไป หากแต่การบริหารงานที่ผิดพลาดและขาดความเข้าใจ ของผู้นารัฐบาล กลับสร้างหายนะอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนทุกคน ชนิดที่โลกต้องจารึกไว้เป็นอีกบทนึงของประวัติศาสตร์การเงินโลกกันเลยทีเดียว ประชากรชาว ซิมบับเว มีทั้ง “คนผิวขาวและคนผิวดา” อาศัยอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพา คนผิวขาวที่ย้ายมาตั้งรกราก เป็นเจ้าของที่ดินและฟาร์มเกษตร ส่วนคนผิวดา เป็นชนชั้นแรงงาน คนขาว รับหน้าที่ เป็นผู้บริหารชั้นดี ส่วนคนดาเป็นแรงงานมีฝีมือ ทุกอย่างลงตัว ....... จนกระทั่งช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ในยุคสมัยของนายกรัฐมนตรี โรเบิร์ต มูกาเบ้ (Robert Mugabe) รัฐบาลออกกฎหมาย ใหม่ปฎิวัติการจัดการที่ดินทากิน (Land Reform) เนื้อหาสาคัญก็คือ ช่วยคนผิวดาซึ่งเป็นคนพื้นเมือง ให้มีที่ดินเป็นของตัวเอง ไม่ต้องตกเป็นลูกจ้างของคนผิวขาวอีกต่อไป เกิดการยึดคืนที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธ์ของคนผิวขาวแล้วเอาไปแจก ให้กับคนผิวดา ......เท่านั้นเองปัญหาเกิด จากคนผิวดา ซึ่งเคยเป็นกรรมกร บัดนี้ได้เลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าของที่ดิน จาเป็นต้องมาบริหาร จากคนผิวขาวที่เคยบริหารกลับสูญสิ้นทุกอย่างที่เคยเป็นของตัวเอง จาเป็นต้องรับสภาพ กรรมกร ! เหมือนใช้คนไม่ถูกกับประเภทงาน ด้วยความที่ด้อยการศึกษาและขาดทักษะบริหารจัดการ ไม่นานระบบเศรษฐกิจที่เคยรุ่งเรืองของ ซิมบับเว ก็ดิ่งลงเหว เกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย สุดท้ายไม่วายเป็นหนี้ IMF ในปี 2006 ปัญหาหนี้สินของประเทศ เกินเยียวยา ผู้ว่าการธนาคารกลางในขณะนั้นเกิด ปิ๊งไอเดีย (ง่ายๆแต่ไม่ฉลาด) ในการใช้หนี้คืน นั่นก็คือ “การพิมพ์เงิน” (คุ้นๆมั๊ยครับ?) สกุลเงิน ซิมบับเวียนดอลล่าห์ (Zimbabwean Dollar : ZWD) มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ประมาณ 1.59 Zim-Dollar แลกได้ 1 US-Dollar ในเมื่อประเทศเราเป็นหนี้ IMF ในสกุลเงินดอลล่าห์ เราก็แค่พิมพ์เงินประเทศเราเอาไปซื้อดอลล่าห์ เสร็จแล้วก็ เอาไปใช้หนี้คืน ง่ายๆ ไม่น่าจะมีอะไรยาก 16 กพ 2006 : ธนาคารกลางซิมบับเว จึงจัดพิมพ์เงินครั้งใหญ่ มูลค่า 21 Trillion (21,000,000,000,000 ZWD) เพื่อสะสางปัญหา ได้ผล ! หนี้หายวับไปกับตา แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นว่า “โหดร้ายมากกว่าเป็นหนี้หลายเท่าตัว” เงิน 21T ออกไปเที่ยว ตปท ได้ไม่นานก็หมุนเวียนกลับเข้ามา ระบบศก.ของซิมบับเวเองสกุลเงิน ZWD เจือจางลงอย่างรวดเร็ว สินค้าทุกอย่างปรับขึ้นราคาตามในทันที เดือดร้อนถึง นายกโรเบิร์ต มูกาเบ้ ที่ต้องรีบสั่งการให้ ธนาคารกลางแก้ไข ปัญหาโดยด่วน ซึ่งแน่นอน อาวุธคู่กายธนาคารกลางทุกประเทศมีแค่ สองอย่าง แต่สาหรับ ซิมบับเว พิมพ์ พิมพ์ พิมพ์ และ ก็พิมพ์ คือ คาตอบสุดท้าย ในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน ปริมาณเงินอีก 60T ! ถูกอัดฉีดเข้าระบบ วัตถุประสงค์ก็เพื่อจ่ายเพิ่มเป็นเงินเดือนให้กับบรรดา ทหาร ตารวจและข้าราชการ เพราะข้าวของแพงเหลือเกินแต่กลับยิ่งทาให้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงเข้าไปอีก เพื่อเป็นการยับยั้งและจัดระเบียบกันใหม่ ให้เงินสกุล ZWD ยังคงดูน่าเชื่อถือต่อไป สิงหาคมในปีนั้น ธนาคารกลางตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบ ธนบัตรใหม่ทั้งหมด โดยขอร้องให้ประชาชนนา ธนบัตรรุ่นเดิมมาแลก แต่ภายใต้ข้อแม้ว่า 1000 ZWD เก่า แลกได้เพียง 1 ZWD ใหม่ (ตัด 0 ออกสามตัว) หากคุณมีเงินฝากในธนาคาร 1 ล้าน วันรุ่งขึ้นยอดเงินฝากจะลดลงเหลือเพียง 1 พัน เท่านั้น !! ทากันถึงขนาดนั้น แต่ปัญหาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทา ...... ปี 2007 อัตราเงินเฟ้อยังคงพุ่งต่อเนื่อง ผลที่ตามมาคือสินค้าขึ้นราคาราวกับติดจรวด รัฐบาลของมูกาเบ้ ตัดสินใจใช้มุกใหม่ (แต่เป็นแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ) ออกกฎหมายควบคุมราคาสินค้าทุกอย่าง (Price control) ร้านค้าใดหากไม่ทาตามถือว่ามีความผิด ผลที่ตามมากลับกลายเป็นว่า ในเมื่อขึ้นราคาสินค้าไม่ได้ก็ “ไม่ขาย” สินค้าใน ซุปเปอร์มาร์เก็ต เริ่มถูกเก็บลงจากชั้นวาง เหลือแต่ความว่างเปล่า การกาหนดราคาขายสินค้าอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า ยารักษาโรค เริ่มกาหนดกันเองในตลาดมืด พร้อมๆกับการกักตุนสินค้า เงิน ZWD กลายเป็น “เงินร้อน” ประชาชนรีบใช้มันทันทีเมื่อได้มา ทาให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อัตราเงินเฟ้อ จึงยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ มกราคม 2008 - รัฐบาลออกธนบัตรใหม่ชนิดราคา 200,000 ใช้เป็นครั้งแรก ! แต่ยังไม่ทันจะสิ้นเดือน ธนบัตรชนิดราคา 10,000,000 ก็ถูกผลิตขึ้นมา ถือเป็นแบงค์ที่มูลค่าแพงที่สุดในขณะนั้น แต่หากคิดเทียบเป็นเงินบาทไทย คงใช้ซื้อข้าวผัดกระเพราได้เพียงแค่ 4 จาน (120 บาท) เมษายน 2008 รัฐบาลออกธนบัตร ชนิดราคา 50,000,000 ออกสู่สาธารณะ มิถุนายน 2008 ธนบัตร ชนิดราคา 100,000,000 และ 250,000,000 ก็ถูกผลิตออกมา แต่แค่เพียง สิบวันหลังจากนั้น ชนิดราคา 500,000,000 ก็ออกตามมาติดๆ กรกฎาคม 2008 ธนาคารกลางวางแผน จะออกธนบัตรชนิดราคา 100,000,000,000 ออกสู่ตลาด แต่พอถึงปลายเดือน ประธานธนาคารกลางเลือกที่จะขอปรับค่าเงินกันใหม่ (Redenominated) โดยคราวนี้ ตัด 0 ข้างหลังออก 10 ตัว !!!!!! (10,000,000,000 ZWD เก่าแลกได้เพียง 1 ZWD ใหม่) อัตราเงินเฟ้อในขณะนั้นคือ 11,250,000 % ! ราคาของเบียร์ 1 ขวดในขณะนั้น 100,000,000,000 แต่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ราคาก็ปรับขึ้นเป็น 150,000,000,000ความคิดของรัฐบาลและธนาคารกลางที่ จะแก้ปัญหาโดยการพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าระบบไม่สัมฤทธิ์ผล สาเหตุก็เพราะความเชื่อถือในระบบธนบัตรของประชาชนชาวซิมบับเว ลดลงเร็วกว่า ความสามารถในการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ ไม่ว่าจะเร่งสปีดพิมพ์เพิ่มออกมามากขนาดไหน ไม่สาคัญว่าจะใส่ 0 ไปอีกซักกี่ตัว เมื่อ กระดาษก็คือกระดาษ ความน่าเชื่อถือหากหมดไปจากกระดาษ ก็คือ จบ... มูกาเบ้ ไม่เข้าใจความจริงในข้อนี้ เค้าเลือกที่จะสู้หลังพิงฝากับเงินเฟ้อ มกราคม ปี 2009 ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสีย ประชาชนชาวซิมบับเว จึงได้เห็น ธนบัตร ชนิดราคา 50,000,000,000 ออกใช้ 16 มกราคม 2009 วันที่โลกต้องจดจา รัฐบาลของมูกาเบ้ ประกาศจะพิมพ์ ธนบัตร ชนิดราคา 10,000,000,000,000 - อ่านว่า สิบ ล้านล้าน 20,000,000,000,000 - อ่านว่า ยี่สิบ ล้านล้าน 50,000,000,000,000 - อ่านว่า ห้าสิบ ล้านล้าน 100,000,000,000,000 - อ่านว่า หนึ่งร้อย ล้านล้าน ออกใช้..... แต่ไม่มีความหมายอีกต่อไป ประชาชนเลิกพกเงินเป็นกระสอบๆ เพื่อไปจ่ายตลาด เงินสกุล ซิมบับเว ไม่มีใครเชื่อถือและอยากใช้ การซื้อขายทั่วไป ถูกกาหนดราคากันใหม่ด้วย เงินสกุลเงินตราต่างประเทศ เช่น US.Dollar หรือไม่เช่นนั้นก็ทาการซื้อขายกันด้วย “ทองคา” ประชาชนชาว ซิมบับเว บางส่วน (ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ) ย้อนกลับไปสู่ยุคโบราญ เอากะทะไปร่อนหาเศษทองในแม่น้า เพื่อเอามาแลกกับ ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ามันพืช หรือ ขนมปัง ประทังชีวิตไปวันๆ ใครที่ยังเก็บทองคาติดตัวเอาไว้ ยังสามารถซื้อของได้เท่าเดิม แต่ผู้ที่เก็บเงินออมไว้ในรูปแบบของ “ธนบัตร” ซิมบับเวเผื่อไว้ใช้ยามแก่ กลับพบว่าเงินทั้งหมดแทบไม่พอที่จะจ่ายแม้แค่ “อาหารเช้าเพียง 1 มื้อ” เมษายน ปี 2009 สกุลเงิน ZWD ตายสนิท รัฐบาล ปล่อยให้ตลาดเป็นคนกาหนด ราคาและสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนกันเอง เงิน ZWD ประกาศหยุดพิมพ์เพิ่ม อย่างน้อย 1 ปีหลังจากนั้น เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจแก้ไขปัญหาด้วยตัวของมันเอง ระบบเศรษฐกิจนั้นเมื่อเกิดปัญหา กลไกของตลาดจะมีวิธีจัดการแก้ไขได้ด้วยตัวของมัน ภาษาทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “มือที่มองไม่เห็น” (Invisible Hand) หน้าที่ของรัฐบาล เพียงแค่สนับสนุนให้ มือที่มองไม่เห็นนี้ ทางานไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีอะไรมาขัดขวาง แต่รัฐบาลในหลายๆประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศที่เจริญแล้วหรือ กาลังพัฒนากลับพยายามที่จะทาตัวเป็นมือที่มองไม่เห็นนี้ซะเอง ใช้อานาจ เข้าจุ้นจ้าน-เข้าแก้ไข สุดท้ายก็พัง เปรียบเทียบง่ายๆ -เหมือนร่างกายคนเรา ต้องมี “วิญญาณ” หาก วิญญาณ ออกจากร่างเมื่อไหร่ เราก็ตาย -เงินก็เช่นกัน อยู่ได้ด้วย “ความเชื่อถือ” เมื่อความเชื่อถือ หมดไป เงินก็ตายได้เช่นกัน ทั้งวิญญาณและความเชื่อถือ ถึงแม้เรามองมันไม่เห็น แต่เชื่อผมเถอะครับว่า “มันมีอยู่จริง!” เงินสกุลต่างๆ พยายามพัฒนาระบบ เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง อยู่ตลอดก็เพื่อคงความเชื่อถือ ให้ยังคงอยู่ ผิดกับ “ทองคำ” ที่ ความเชื่อถือ คงอยู่ในตัวมัน ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนานได้ หลายพันปี หากจะพูดว่าเป็น “อมตะ” ก็คงจะไม่ผิด มีบางช่วงเวลา ในหน้าประวัติศาสตร์ที่เราอาจะหลงลืมมันไปบ้าง เพราะโดนหลอกตาและได้รับการสั่งสอนมาแบบผิดๆ แต่ ทุกครั้งมื่อทุกคนคิดได้ ทองคำก็จะได้กลับมาทาหน้าที่ “เงินที่แท้จริง”ทุกครั้งไป. ปล. เหตุการณ์เงินเฟ้อรุนแรง เคยเกิดขึ้นในหลายๆประเทศ มีลักษณะไม่ต่างกัน ไม่ใช่หนังหรือละคร แต่ มันเป็นเหตุการณ์จริง เช่นที่ ยูโกสลาเวีย, เยอรมัน, อาเจนติน่า แต่ที่ผมเลือก ซิมบับเวเพราะ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ คือในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ถือว่าเป็น Modern Hyperinflation ที่สาคัญ มูกาเบ้ เคยทายังไงเอาไว้ บุช, โอบาม่า, เบน เบอร์นันเก้ กาลังดำเนินรอยตาม! หากยังไม่หักดิบเปลี่ยน นโยบาย เส้นทางที่สหรัฐอเมริกากำลัง เดินไปจุดหมายคือ Hyperinflation อย่างแน่นอน ไม่สำคัญว่า จะเป็น ซิมบับเวียน ดอลล่าห์ หรือ US ดอลล่าห์ เมื่อกระทำ“เหตุ” อย่างเดียวกัน ก็ย่อม ให้ “ผล” ที่ไม่ต่างกัน.__ - -- - -------------------------------------------------------------------------------------------- เฉลยยุคมาเฟียคุมระบบเงินตราโลก ธนาคารกลางของสหรัฐฯเป็นของเอกชน ระบบเงินตราของประเทศโดนมาเฟียจากยุโรปและอเมริกาคุมมาประมาณ100ปีแล้วครับ กฏหมายหนี้ถูกสอดไส้และผ่านสภาปลายเดือนธันวาคมช่วงคริสต์มาส สส.และสว.น้ำดีไม่อยู่เพราะไม่รู้ว่าจะมีการสอดไส้เรื่องใหญ่แบบนี้ ผมตามเศรษฐกิจโลกมาช่วงใหญ่แล้ว ถามผมว่ารัฐมนตรีคลังของสหรัฐมีใครบ้าง ผมตอบได้เลยครับว่าไม่รู้ แต่ประธานของFED คนปัจจุบันและย้อนหลังไปอีก2คนผมไล่ชื่อได้เลย อนาคตของระบบเงินตราโลกจะเดินไปในทิศไหน แต่ระบบปัจจุบันไม่สามารถเดินต่อแล้วเพราะปริมาณหนี้โตเร็วกว่ารายได้เยอะ จะมีการลดหนี้เกิดขึ้นมั้ย ระบบเงินตราสกุลเดียวทั่วโลกที่หลายกลุ่มพูดถึงจะมีมั้ย ระบบเงินกระดาษที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ผู้ปกครองเริ่มไม่ชอบแล้วเพราะคุมไม่ได้ ระบบที่พวกเขาคุมได้และอยากได้คือระบบเงินอิเลคโทรนิคส์ที่รัฐเป็นเจ้าของ ปัจจุบันเราไม่สบายใจก็ถอนเงินออกมา ประชาชนแห่ถอนเงินมากมายก็ธนาคารล้ม แต่ระบบเงินอิเลคโทรนิคส์คุณถอนเงินกระดาษไม่ได้ ทุกอย่างจะคุมด้วยอิเลคโทรนิคส์ รัฐคุมเงินของคนทั้งโลก จะยึดจะอายัดทำได้หมด ระบบเงินอิเลคโทรนิคส์ที่มีหลายคนเริ่มใช้คือ BIT COIN ซึ่งระบบนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ส้มโอมือ
  3. อวสานของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐตอนที่ 2 เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ 2 ท่าน คือ Dr. Jim Rickards, CIA's Asymmetric Warfare Advisor และ Dr. Steve Sjuggerud, Stanberry Research, USA ทั้งหมดเป็นข้อมูลล่าสุดที่ได้รับเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 (โปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูล) นพ.อมร นนทสุต อวสานของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ตอนที่ 2.pdf
  4. อวสานของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐตอนที่ 1 เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯ 2 ท่าน คือ Dr. Jim Rickards, CIA's Asymmetric Warfare Advisor และ Dr. Steve Sjuggerud, Stanberry Research, USA ทั้งหมดเป็นข้อมูลล่าสุดที่ได้รับเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 (โปรดใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูล) นพ.อมร นนทสุต อวสานของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ตอนที่ 1.pdf
  5. คนดีที่ยังมีชีวิตอยู่(มีสร้างเป็นละครเพิ่งออกอากาศเมื่อ 23 พ.ค. 58 โดยthaipbs แค่ตอนแรก อุปสรรคต่างๆที่อาจารย์เจอในเมืองไทยผมดูก็น้ำตาซึมแล้ว น่าดูมากครับ ชีวิตที่อุทิศให้ชาวแอฟริกาเป็นเวลาหลายปีคงเป็นอะไรที่ลำบากสุดๆ) เหตุผลการลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา องค์การเภสัชกรรม ของ ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ เมื่อ พ.ศ. 2545 เจ้าตัวบอกว่า ก็เพื่อไปช่วยคนที่แอฟริกาตามสัญญา เพราะประเทศไทยไปประกาศในที่ประชุมองค์การอนามัยโลก เมื่อ พ.ศ. 2545 ว่าเราจะไปช่วยเขา แต่นักการเมืองซีกรัฐบาลที่เกี่ยวข้องตอนนั้นประกาศเสร็จแล้วก็แล้วไป กลายเป็นสัญญาปากเปล่า ทีนี้คนแอฟริกันที่รู้จักกันเขาก็ถามว่าเมื่อไหร่จะไปสักที ก็รู้สึกอายแทนเมืองไทย ก็เลยลา ออกดีกว่า แล้วก็ไปช่วยเขาเอง ดร.กฤษณาบอกต่อไปว่า ที่ไปก็เป็นการไปตามสัญญา ไปรักษาสัญญา เพราะว่าเป็นคนเขียนโครงการนี้ขึ้นมากับมือ แล้วเสนอขึ้นไปตามลำดับงาน ก็มีการไปประกาศในที่ประชุมองค์การอนามัยโลก ทุกคนก็ชื่นชมตบมือกันใหญ่ แต่เอาเข้าจริงคนพูดก็พูดไป แต่ตนเป็นคนทำ จึงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ และก็เต็มใจที่จะไป ส่วนงานที่องค์การเภสัชกรรมนั้นไม่ห่วง เพราะมีคนพร้อมที่จะสานต่อได้อย่างดี โดยเฉพาะเรื่องยาต้านไวรัสเอดส์ ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง กับเงินเดือน โชคดีที่ไม่ได้ยากจนเท่าไหร่ ก็สบาย จึงใช้เงินตัวเองไปได้ อีกอย่างมันอยู่ที่ใจ ถ้าคิดว่าพอ เราก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้อะไรมากมาย เดินทางไปคองโก ไปบุกเบิกใหม่หมด วาดแปลนโรงงาน ที่จะผลิตยา ใช้เวลา 3 ปี โรงงานดังกล่าว ผลิต ยาต้านไวรัสเอดส์ ชื่อ AFRIVIR เหมือนเมืองไทยทุกอย่าง ได้สำเร็จ ปี 2546 ผลิตยาที่ทวีปแอฟริกา ที่ดังมาก และขายดีที่สุดในประเทศแทนซาเนีย คือ ยามาลาเรีย (THAI-TANZUNATE) ยาราคาถูก จาก 360 บาท ผลิตได้ ในราคา 36 บาทเท่านั้น ประเทศด้อยพัฒนาในแอฟริกายากจนมาก สมมติว่าโรงพยาบาลหนึ่งมีเตียง 150 เตียงแต่มีคนไข้ที่มาแอดมิด 450 คน นั่นหมายถึง ใน 1 เตียง มีคนไข้ 3 คน นอนบนเตียงเดียวกัน 2 คน นอนกลับหัวกลับหางกัน และนอนใต้เตียงอีก 1 คน เวลาอยู่ที่แอฟริกา ก็ร่อนเร่ไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีหลักแหล่ง บางทีก็มีคนช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายการเดินทาง บางทีออกเอง เพราะประเทศเขายากจน ไม่มีตังค์ให้หรอก อุปสรรคชีวิตโลดโผน เจอเครื่องบินดีเลย์ ไป 24 ชม. บางที เครื่องบินก็พาไปลงผิดประเทศ เสื้อผ้า ต้องมีติดกระเป๋าสะพายตลอดอย่างน้อย 3 ชุด เพราะชุดในกระเป๋าเดินทางที่โหลดไว้ใต้ท้องเครื่องอาจมาช้า ไม่ก็หายไปเลย ที่คองโก นอนอยู่ดีๆ ก็มีแสงสว่างวาบๆขึ้นมา ก็คิดในใจว่า ทำไมถึงสว่างเร็วจัง ปรากฏว่าไม่ใช่แต่เป็น ระเบิดที่เขายิงมา โดยมีเป้าหมายที่บ้านพักของดิฉัน แต่เขากะพลาดไปหน่อย เลยไปตกข้างๆบ้านแทน คิดว่า คงเป็นฝีมือของพวกที่เขาคิดว่าดิฉันเป็นศัตรูนั่นแหล่ะค่ะ ตอนไปช่วยเหลือที่ ไนจีเรีย ต้องเดินทางตอนตี 1 จากสนามบิน เข้าสุ่ที่พัก คนเดียว ไม่มีคนมารับ นั่งแท๊กซี่ไป ถูกคนเอาปืนมาจี้ 5 ครั้ง ในคืนเดียว รอดมาได้หมดทุกครั้ง และไม่มีใครเอาทรัพย์สินไปเลยสักคนเดียว ด้วยเหตุผล " ฉันมาช่วยคนในประเทศเธอน่ะ อยากได้อะไรก็เอาไปเลย" เลยไม่มีคนจี้ต่อ แต่เสียเวลาไป 4 ชั่วโมง กับการเดินทาง 20 กม. เพราะมัวแต่โดนจี้ ไป 5 ครั้ง http://program.thaip...ticle707603.ece
  6. Don't fight the Fed. ต้นปี1980มีการทุบราคาโลหะเงินอย่างหนักสุดในประวัติศาสตร์ จากราคา50เหรียญลงไปเหลือ10.80เหรียญในเวลาเพียง2เดือน ต้นปี2011มีการทุบโลหะเงิน ราคาโลหะเงินล่วงจากราคาประมาณ49เหรียญและยังไม่ฟื้นถึงวันนี้(15/05/2015 ราคาโลหะเงินอยู่ที่17.48เหรียญ) ปี1980ช่วงที่มีการทุบราคาโลหะเงินอย่างหนัก พี่น้องตระกูลฮั้นถือโลหะเงินถึง 200ล้านออนซ์(50%ของกำลังผลิตใน1ปี)สุดท้ายก็โดนกลุ่มFED ทุบจนหมดตัว แต่วันนี้ JP Morgan 1ในสมาชิก ของ US Federal Reserve กำลังสะสมโลหะเงินจำนวนไม่น้อย55ล้านออนซ์(6.5%ของกำลังการผลิตใน1ปี) ราคาโลหะเป็นอะไรที่น่าจับตามองอย่างมาก Thanong Fanclub 2/5/2015 17. นักเสแสร้งผู้ยิ่งใหญ่ (The Great Pretender) สหรัฐฯเสแสร้งได้เก่งที่สุดว่าเป็นแชมเปี้ยนของระบบทุนนิยมค้าเสรี แต่เอาเข้าจริง เวลาจะฉิบหาย จะงัดวิชามารทุกอย่างออกมาใช้ ในทศวรรษที่1970s สหรัฐฯเกิดภาวะเงินเฟ้อหนัก ดอลล่าร์เสื่อมค่าเนื่องจากการใช้จ่ายที่เกินตัวของรัฐบาลและUS Federal Reserveมีการพิมพ์เงินออกมามากเกินไป ทองคำสำรองมีไม่พอหนุนธนบัตรที่หมุนเวียนในระบบมาตรฐานทองคำที่ใช้อยู่ ทำให้นักลงทุนหรือธนาคารกลางประเทศต่างๆเอาดอลล่าร์ไปแลกเอาทองจากเฟด จนกระทั่งเฟดกลัวว่าจะสูญเสียทองคำหมด ประธานาธิบดีนิกสันจึงประกาศเลิกระบบมาตรฐานทองคำ ไม่ยอมให้ใครที่ถือดอลล่าร์สามารถแลกทองได้ ถือว่าเป็นการผิดชำระหนี้ (default)อย่างหน้าด้านๆ แต่เนื่องจากสหรัฐฯเป็นมหาอำนาจ การผิดชำระหนี้จึงดูเป็นเรื่องเล็ก ทุกประเทศยอมใช้ดอลล่าร์กระดาษเปล่าๆที่ไม่มีทองคำหนุนต่อไป ทำเสแสร้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในช่วงนั้นเอง พี่น้องตระกูลฮั้นท์ (Hunt Brothers) เศรษฐีน้ำมันจากเท็กซัสหาทางที่จะป้องกันความเสี่ยงจากค่าดอลล่าร์ที่เสื่อม ถอยด้วยการลงทุนในเงิน (Silver) ตอนนั้นทางการสหรัฐฯห้ามประชาชนถือทอง ด้วยเกรงว่าจะเก็งกำไรทองทำให้ความน่าเชื่อถือในดอลล่าร์หมดไป เห็นหรือยังว่าสหรัฐฯไม่ได้เป็นทุนนิยมหรือค้าเสรีจริง มีการห้ามประชาชนถือทองด้วย สู้สมัยพ่อขุนรามคำแหงเมืองสุโขทัยบ้านเราไม่ได้ ที่มีการค้าเสรีอย่างเทียบกันไม่ติด ใครไคร่ค้าค้า ใครไคร่ขายขาย พี่น้องตระกูลฮั้นท์มีพี่ชายชื่อ Nelson Bunker Hunt ส่วนน่้องชายชื่อ William H. Hunt ทั้งคู่เห็นว่าเฟดเอาเงินเฟ้อไม่อยู่ จึงหาทางลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ทำให้ค่าดอลล่าร์เสื่อม ด้วยการลงทุนในเงิน ทั้งๆที่ใจจริงอยากจะลงทุนในทอง แต่ทางการสหรัฐฯปิดตลาดทองคำ ต่อไปนี้คือลำดับเหตุการณ์ระทึกใจเมื่อสองพี่น้องฮั้นท์เริ่มต้นด้วยการลง ทุนในเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ไปๆมาๆกลายเป็นความพยายามที่จะต้อนตลาดเงิน (silver market)เข้ามุมอับเพื่อน๊อคเอาท์ 1973 -- ในขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐฯพุ่งถึง7.7% พี่น้องฮั้นท์เริ่มเข้าไปซื้อเงินจำนวน200,000ออนซ์ ตอนนั้นราคาเงินอยู่ที่ไม่ถึง$2ต่อออนซ์ 1974 -- พี่น้องฮั้นท์ลุยซื้อเงินได้ถึง55ล้านออนซ์ หรือประมาณ8%ของซับไพลของตลาดเงินทั้งหมดในโลก เพื่อความปลอดภัยพี่น้องฮั้นท์ได้เช่าเครื่องบินเหมาลำเพื่อขนเงินถึง40ล้าน ออนซ์ไปเก็บในตู้เชฟที่ธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์ 1975 -- ฮั้นท์ผู้พี่ได้ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าชาห์ของอิหร่านเพื่อร่วมมือกันลงทุนในตลาด เงิน นอกจากนี้ยังขอเข้าเฝ้ากษัตริย์Faisalของซาอุดิฯด้วย แต่กษัตริย์Faisalทรงสิ้นพระชนม์ไปก่อน 1979 -- พี่น้องฮั้นท์ซื้อเงินอีก43ล้านออนซ์ผ่านตลาดซื้อขายล่วงหน้าหรือตลาดฟิวเจอรส์ มีกำหนดส่งมอบเงิน (silver)ในฤดูใบไม่้ร่วง ราคาเงินเพิ่มเป็นเท่าตัวใน2เดือน พุ่งขึ้นไปถึง$16ต่อออนซ์ พี่น้องฮั้นลุยซื้อเงินอีกทำให้ราคาเงินทะยานสูงถึง$34.5ต่อออนซ์ ไม่นานหลังจากนั้น พี่น้องฮั้นเก็บเงินได้ถึง200ล้านออนซ์ หรือครึ่งหนึ่งของซับไพลของตลาดเงินของทั้งโลก ในขณะที่ตลาด COMEX และChicago Board of Tradeมีเงินรวมกันแค่120ล้านออนซ์ ที่จุดพีค พี่น้องฮั้นถือเงินทั้งรูปเงินที่เป็นแท่งและเงินในรูปสัญญาซื้อขายล่วงหน้าถึง77%ของซับไพล์ของโลก ตลาดเงินโดนพี่น้องฮั้นท์ต้อนเข้ามุมอับเรียบร้อย รอวันโดนน๊อคเทขายเอากำไร 17 มกราคม 1980 -- ในวันนี้ ราคาเงินพุ่งถึง$50ต่อออนซ์ พี่น้องฮั้นท์มีต้นทุนที่$1,000ล้าน แต่พอร์ตการลงทุนมีมูลค่า$4,500ล้าน พวกแก็งเฟดยอมไม่ได้ที่จะเสียท่าพี่น้องฮั้นท์้ เพราะว่าราคาเงินสูงขึ้น หมายความว่าดอลล่าร์จะตก ยิ่งเจอปัญหาเงินเฟ้ออยู่แล้วยิ่งไปกันใหญ่ Paul Volckerเข้ามาเป็นประธานUS Federal Reserveมีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่ขึ้นดอกเบี้ยไปต้องการทำลายพี่น้องฮั้นท์ด้่วย และมีมือมืดสั่งการให้ตลาดCOMEX และChicago Board of Tradeยกเลิกการเทรดเงิน และออกกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อจำกัดตลาดเงิน ราคาเงินตกลงอย่างพรวดพราด เพราะว่าCOMEXรับแต่ออร์เดอร์ขาย แต่ไม่รับออร์เอร์ซื้อ นอกจากนี้Chicago Board of Tradeยังมีการจำกัดปริมาณเงินที่นักลงทุนสามารถถือได้ในพอร์ต รวมทั้งเพิ่มมาร์จิ้นการเทรดเงิน เลวจริงๆ แก๊งเฟดแพ้ไม่เป็น ถ้าเสียท่าแล้วจะขี้โกง 25 มีนาคม 1980 -- พี่น้องฮั้นท์อ่วมหนัก ไม่สามารถหาเงิน$150ล้านมาใส่ในบัญชีมาร์จิ้น ที่ถูกเรียกให้สูงขึ้นได้ ฮั้นท์ผู้พี่โทรบอกฮั้นผู้น้องว่า ปิดบัญชีซะ 26 มีนาคม 1980 -- ราคาเงินตกมากกว่า50% เหลือ$10.80ต่อออนซ์ พี่น้องฮั้นท์เจ้งไป$1,000ล้าน และแบงค์ต้องเข้ามาอุ้มไม่ให้ระบบพัง อาจจะเป็นที่มาของคำพูดในตลาดการเงินว่า Don't fight the Fed. หรืออย่าได้บังอาจสู้กับเฟดเป็นอันขาด พี่น้องฮั้นท์ผู้ไม่เสแสร้งรู้รสชาดนี้ดีว่า ต้อนตลาดเงินเข้ามุมง่ายมาก แต่จะเอาชนะแก๊งเฟดผู้เสแสร้งและจอมขี้โกงไม่มีทาง แก๊งเฟดจะยอมให้ราคาเงินและทองสูงจนทำลายความเชื่อมั่นในเงินกระดาษดอลล่าร์ เปล่าๆไม่ได้ thanong http://www.traderslog.com/hunt-brothers-silver/ Thanong Fanclub 2/5/2015 18. นักเสแสร้งผู้ยิ่งใหญ่ (The Great Pretender) ตอนที่แล้ว เรานั่งไทม์มาชีนย้อนกลับไปยุค1970s-1980เพื่อดูว่าพี่น้องตระกูลฮั้นท์ เกือบจะน๊อคตลาดเงินคามุมแล้ว ถ้าหากว่าแก๊งเฟดไม่เล่นเกมสกปรกเพื่อทำให้พี่น้องฮั้นท์เจ้งขาดทุนไป$1,000 ล้าน มาตอนนี้ปรากฎว่าJP Morgan ธนาคารที่มีอิทธิพลมากที่สุดของสหรัฐฯกำลังตะลุยซื้อเงินเหมือนพี่น้องตระกู ลฮั้นท์ อย่าลืมว่าJP Morganเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือUS Federal Reserve จึงเสแสร้งทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมด ไม่เหมือนพี่น้องตระกูฮั้นท์ที่ทำอะไรก็ดูน่าเกลียด ในปี2011 JP Morganแทบจะไม่มีเงินในพอร์ตของการลงทุนเลย ในปี2012เริ่มจะเก็บเงินได้5ล้านออนซ์ แต่ตอนนี้ JP Morganมีเงินอยู่ในพอร์ตถึง55ล้านออนซ์ ซื้อไปทำอะไร? ราคาเงินอยู่ที่ประมาณ$16ต่อออนซ์ในขณะนี้ ดูสถิติการซื้อเงินของJP Morganในเดือนเมษายนก็แล้วกันว่าดุเดือดแค่ไหน ตลาดCOMEXมีการส่งมอบเงินให้JP Morganตามกำหนดดังนี้ คือ 7 เมษา: 1,110,000 ounces 8 เมษา: 1,280,000 ounces 9 เมษา: 893,037 ounces 10 เมษา: 1,200,224 ounces 14 เมษา: 1,073,000 ounces 15 เมษา: 1,191,275 ounces 16 เมษา: 1,183,777.295 ounces ในขณะที่ทองโดนทุบ แต่เงินยังไม่โดนถล่มมาก เมื่อเร็วๆนี้ Jamie Dimon ซีอีโอของJP Morganออกมาเตือนว่าอาจจะเกิดวิกฤติการเงินข้างหน้า อาจจะโดยเรื่องภูมิรัฐศาสตร์หรือเรื่องอื่นใดก็ทำ ซึ่งจะมีผลต่อตลาดการเงินทั้งหมด การซื้อเงินของJP Morganอาจจะเป็นการเก็งกำไรว่าราคาเงินจะสูงขึ้น หลังจากที่เกิดวิกฤติการเงิน ที่หลายคนคาดการว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อใด แก็งเฟดกำลังทุบทองอยู่ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งอาจจะปล่อยให้ขึ้นไปก็ได้หลังจากเกมรอบนี้จบไป และดูเหมือนว่าเงินอาจจะได้อานิสงค์จากผลพวงของวิกฤติการเงินเหมือนกัน เมื่อJP Morganเก็งกำไรเงินโดยไม่ต้องเสแสร้งอะไร ต้องมีอะไรในกอไผ่ และแก๊งเฟดต้องเห็นดีเห็นงามไปด้วย เพราะว่าเป็นพรรคพวกเดียวกัน thanong http://www.zerohedge.com/news/2015-05-01/jp-morgan-cornering-silver-bullion-market
  7. ใครยังไม่มีโลหะเงินอยู่ในมือบ้าง JP Morganเขาสะสมเงินไว้เยอะแล้วนะ JP Morgan Cornering Silver Bullion Market? - Why is JP Morgan accumulating the biggest stockpile of physical silver in history? - Legendary silver analyst Ted Butler believes JP Morgan are in a position to corner silver market - JP Morgan may be holding as much as 350 million ounces of physical silver - JP Morgan realises the value of owning physical silver bullion today - Silver at $16 today - Set to soar to over $50 again JPMorgan Chase, the largest U.S. bank, one the largest providers of financial services in the world and one of the most powerful banks in the world has accumulated one of the largest stockpiles of silver, the world has ever seen. The total JP Morgan silver stockpile has increased dramatically in the last four years. In 2011, JP Morgan has little or no physical silver. By 2012, they had acquired 5 million ounces of silver bullion. Incredibly, in the last 3 years their COMEX silver stockpile has increased tenfold and is now over 55 million ounces (see chart below) Here’s a breakdown of the Comex’s recent physical silver deliveries to JP Morgan: April 7th: 1,110,000 ounces April 8th: 1,280,000 ounces April 9th: 893,037 ounces April 10th: 1,200,224 ounces April 14th: 1,073,000 ounces April 15th: 1,191,275 ounces April 16th: 1,183,777.295 ounces This is a huge bout of deliveries in a very short space of time. It’s such a large amount, that it even creates a spike on the long-term chart of JP Morgan’s silver stockpile (see chart). JP Morgan has accumulated another 8.3 million ounces of silver in just the past 2 weeks alone. Is JP Morgan accumulating silver at these depressed levels in anticipation of geopolitical and financial turmoil? It seems likely. JPMorgan Chase Chairman and CEO Jamie Dimon in his recent letter to shareholders warned "Some things never change - there will be another crisis, and its impact will be felt by the financial market”. Dimon warned that the trigger for the next crisis may not be the same trigger as the last one - but there will be another crisis. “Triggering events could be geopolitical (the 1973 Middle East crisis), a recession where the Fed rapidly increases interest rates (the 1980-1982 recession), a commodities price collapse (oil in the late 1980s), the commercial real estate crisis (in the early 1990s), the Asian crisis (in 1997),so-called "bubbles" (the 2000 Internet bubble and the 2008 mortgage/housing bubble), etc. While the past crises had different roots (you could spend a lot of time arguing the degree to which geopolitical, economic or purely financial factors caused each crisis), they generally had a strong effect across the financial markets." The preference for silver instead of gold may be explained by the current depressed prices. In the last two weeks JP Morgan Chase has accumulated more than eight million ounces of physical silver. At the same time, JP Morgan Chase restricted the use of cash for selected markets and went so far as to restrict clients from using cash for credit card payments, mortgages, equity lines and auto loans. There will also be no ability to store cash or bullion in their safe deposit boxes. JP Morgan’s massive silver buying brings to mind the Hunt Brothers' attempt to corner the silver market in the late 1970s. The Texas oil-tycoons tried to corner the silver market by accumulating a massive silver futures position. Regulatory authorities increased margins which saw silver prices fall and the trade go against them. When they failed to meet a $100 million margin call they were almost completely wiped out. The Hunts faced losses of $1.7 billion and a widespread panic on Wall Street was averted when a consortium of U.S. banks bailed out the main brokerage firm involved. The story has become the stuff of legend in the annals of precious metals trading and indeed trading. Before their buying on the COMEX, silver traded at $6 an ounce. It gradually rose in price before a blow off spike to $48.70 in January 1980. At the time the Hunt brothers were believed to have acquired futures contracts worth one third of total annual global mine supply on leverage. Had they been in a position to meet the margin call the outcome may have been quite different. Had they accumulated physical silver rather than paper silver in the form of futures contracts, as JP Morgan are doing, the Hunts would likely have made an absolute fortune. So, it is interesting to note that legendary silver market analyst Ted Butler has estimated that JP Morgan may currently hold far more than their official figure of 55 million ounces. Butler believes the true figure to be closer to 350 million ounces. Annual global silver production is 820 million ounces which, if Butler is correct, puts JP Morgan in a position to corner the physical silver market today, unlike the Hunt brothers back in 1980. As this would equate to a holding 42.7% of total annual supply. JP Morgan has been acquiring this vast hoard of physical silver while holding the largest short position in the silver futures market, i.e. while suppressing the silver price with its unlimited access to free money, according to Butler. What motivation could one of the key insiders on Wall Street have to accumulate such vast quantities of physical silver? It seems clear JP Morgan anticipates strong demand for physical silver in the not too distant future - either due to another crisis or purely due to the tiny size of the physical silver market and very favourable supply demand dynamics. In the event of more market dislocations, demand for silver and gold will surge again. Heretofore - in similar circumstances - demand has been dampened by institutions dumping contracts for massive volumes of silver, paper or electronic silver, onto the futures markets. Silver in USD - 10 Years (Thomson Reuters) However, it would appear that JP Morgan now have less motivation to cap silver in the paper markets and indeed are set to make enormous profits from the physical position they have taken. Indeed, they are likely to reverse their leverage short positions and also go long in the silver futures market in order to maximise profits. When JP Morgan chooses to exploit this advantage remains to be seen. It seems likely that a major event is imminent in the markets and demand for physical gold and silver will likely soon surge again. Will banks take their thumb off the electronic silver market and allow prices to rise in the near future? This is hard to know but seems increasingly likely. However, it would seem like a good opportunity to take a similar position to an institution which is very well connected and very well informed due to its relationship with and influence over the U.S. government, the U.S. Treasury and the U.S. Federal Reserve. Silver is no longer regarded as a good investment and it is only owned by a small minority of hard money advocates and bullion buyers who realise its importance as a hedging instrument and a safe haven, store of value asset. JP Morgan, however, seems to realise the value of owning physical silver bullion today. Conclusion Precious metals look the most undervalued of all the asset classes - particularly silver. The fundamental reasons for our very bullish outlook on silver is due to continuing and increasing global macroeconomic, systemic, geopolitical and monetary risks; silver's historic role as money and a store of value; the declining and very small supply of silver; significant industrial demand and most importantly significant and increasing investment demand including from the largest bank in America. Silver is currently trading at just over $16 per ounce. GoldCore continue to believe that silver will surpass its non-inflation adjusted high $50 per ounce in the coming years. Indeed, we believe that silver will surpass its inflation adjusted high or real record high of over $150 per ounce in the next 5 to 7 years. JP Morgan’s silver accumulation suggests another economic crisis looms large and that silver is set to soar … again. Important Guide: 7 Key Gold and Silver Storage Must Haves MARKET UPDATE Today’s AM LBMA Gold Price was USD 1,179.00, EUR 1,049.24 and GBP 771.04 per ounce. Yesterday’s AM LBMA Gold Price was USD 1,204.80, EUR 1,075.99 and GBP 779.73 per ounce. Gold fell 1.76 percent or $21.20 and closed at $1,182.80 an ounce yesterday, while silver slid 2.48 percent or $0.41 closing at $16.12 an ounce. In Asia overnight, Singapore gold prices were flat and inched down 0.1 percent to $1,182.50 an ounce near the end of day trading. Gold in U.S. Dollars - 1 Week Gold recovered after an almost 2 percent drop yesterday when stop loss orders were triggered in a brutal sell. The sell off was blamed on the better than expected employment figures but the scale of the losses were more than would have been expected - especially given that the data has been very negative this week - especially the poor GDP number. A tumultuous week saw the dollar and bonds fall sharply, bond yields soar and stock markets in Europe and the United States weaken. Japanese manufacturing activity contracted in April for the first time in almost a year as domestic orders and output fell, adding to fears that QE has failed and the large Japanese economy is on the verge of another recession or depression. Yesterday's U.S. jobless claims were at their lowest level in fifteen years at 262,000 below analysts consensus of 288,000. This surprise would suggest that the labour market is recovering which would be positive for the U.S. economy. However, the veracity of some of the jobs numbers remains in doubt with some analysts concerned that figures are being “hedonically adjusted” and manipulated. The Fed at their policy meeting this week said that the health of the economy is dependent on the jobs market and inflation data. Next week’s non farm payrolls number will be watched for more signals but the poor GDP number this week should be a real alarm wake up call. The weaker than expected GDP number suggests that the Fed will be slower to increase interest rates than was previously expected. This is something we have been warning of for some time as we believe the U.S. recovery is far more fragile than is realised. Silver in U.S. Dollars - 1 Week Interest rates remaining near record lows for longer than had been anticipated should be bullish for gold and silver. In Europe in late morning trading gold bullion was off 0.34 percent at $1,180.44 an ounce. Silver was up 0.6 percent at $16.23 an ounce and platinum fell 0.29 percent at $1,137.49 an ounce. Gold and silver are higher in dollar terms this week after the sharp falls seen in stock markets and in the dollar after the poor GDP number sent shivers through markets globally. Breaking Gold and Silver News and Research Here Average: 5 http://www.zerohedge.com/news/2015-05-01/jp-morgan-cornering-silver-bullion-market
  8. เทคนิคช่วยจำชุดนี้ผมเพิ่งทำเสร็จครับ น่าจะมีประโยชน์กับลูกๆหลานๆของเพื่อนๆครับ นำสิ่งนี้ไปต่อยอดหมั่นฝึกมั่นใช้ จะช่วยในการเรียนได้มาก ถ้าอ่านแล้วดีเผยแพร่ต่อได้เลยคร้บ เทคนิคช่วยจำ.pdf
  9. ใกล้จะขึ้นปีใหม่2015 แล้ว นำเพลงAuld Lang Syne มาฝากเพื่อนๆครับ เป็นเพลงเฉลิมฉลองวันปีใหม่ของชาวสก็อต และกลายเป็นเพลงปีใหม่ของอีกหลาย ๆ พื้นที่ในโลก เพลงนี้เขาแต่งเพื่อระบายความรู้สึกหวนหาอดีต คิดถึงเพื่อนเก่า คนรักเก่า วันเวลาเก่า ๆ สำหรับผมเมื่อฟังเพลงนี้ ผมนึกถึงวันเวลาเก่าๆเมื่อสิบกว่าปีก่อน ณ ตอนนั้น ประเทศไทยมีแต่ความสุขสงบ ไม่มีแบ่งสี รักกัน แต่เพราะเรื่องผลประโยชน์ของเหล่านักการเมือง เรื่องจริงบ้าง เท็จบ้าง ถูกแต่งแต้มขึ้นมาใส่หูประชาชน อยากให้ประเทศเรากลับไปเหมือนอดีตที่มีแต่ความรักกัน ประเทศเราจะกลับไปรักกันเหมือนเดิมได้ ต้องเริ่มที่เธอ เริ่มที่ฉัน เริ่มที่เขา กลายเป็นเรา ใครอยากให้สิ่งนี้เป็นจริงต้องช่วยๆกันครับ
  10. สำหรับสมาชิกใหม่บางท่านอาจไม่ทราบว่า ธนาคารกลางของสหรัฐที่มีอำนาจในการพิมพ์ธนบัตรนั้นไม่ใช่ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ แต่เป็นบรรษัทการเงินเอกชนที่มีมหาเศรษฐีนักการเงินจากยุโรปไม่กี่คนเป็น เจ้าของ คนกลุ่มนี้กุมชะตากรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐและของโลกมาตั้งแต่ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ลงนามในพระราชบัญญัติเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ ค.ศ. 1912 พระราชบัญญัติเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ เป็นกฎหมายลักหลับที่สอดไส้มาช่วงปลายเดือนธันวาคม 1912 สว.และสส.น้ำดีดูว่าไม่มีเรื่องอะไรสำคัญพิจารณาในช่วงนั้น จึงไปอยู่กลับครอบครัวในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ อเมริกาโดนลักหลับอย่างแรง เศรษฐกิจของประเทศตกอยู่ในกำมือของเอกชนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จากปี1912ถึงปัจจุบัน ที่จำได้มีอดีตประธานาธิบดีอยู่2ท่านที่พยายามจะยกเลิกกฎหมายทาสฉบับนี้ แต่มีเหตุบังเอิญให้จบชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วนหรือคือแผนร้าย 1)อับราฮัม ลินคอล์น 2)จอห์น เอฟ เคนเนดี้
  11. ปูตินเตรียมสั่งลุยปูตินเตรียมสั่งลุย.pdf
  12. กลิ่นสงครามแรง ควรตามข่าวเรื่องนี้ด้วย มี2บทความของกูรูที่ขอแนะนำนะครับ ---แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3 ---ปูตินเตรียมสั่งลุย แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3แกะรอยสงครามโลกครั้งที่ 3.pdf
  13. สำนวนภาษาอังกฤษน่ารู้ http://www.girlsfriendclub.com/english-idioms-slangs/
  14. 45 คำศัพท์ควรจำ ที่สามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “very” ได้ http://www.wegointer.com/2014/08/45-words-very/
  15. มารู้จักกับ “74 สำนวนภาษาอังกฤษ” http://www.wegointer.com/2014/09/idioms-27/
  16. ฝึกฟังภาษาอังกฤษ ส่งต่อให้ลูกหลานกันนะครับ ไฟล์ story เกือบ 2,000 เรื่อง มาฝากให้เพื่อนๆได้นำไปฝึกทักษะการฟังกันครับ ซึ่งทางเว็ปไซต์ E4thai.com ได้รวบรวมมาไว้ให้แล้ว ลองคลิกไปฟังกันได้เลยยย ---ระดับเริ่มต้น: Beginner สำหรับเด็กๆ ---ระดับกลาง: intermediate http://www.wegointer.com/2014/11/2000-stories/
  17. 16 พฤศจิกายน 2014Rate gofo ที่เท่ากับ -0.2 วันนี้ -0.4แล้วนะ
  18. ที่นี่คือบ้านของผมครับ ไม่ไปไหนแน่ครับ เพียงแต่ข้อมูลที่อยู่ในโพสนี้มีเนื้อหามากพอแล้ว ---ถ้ามีเนื้อหาที่น่าสนใจที่จะเพิ่มเติมหรือสถานการณ์สุกงอม ผมเข้ามาห้องนี้แน่ครับ
  19. ดูGold Forward Offered Rates ที่นี่ครับ มี5วัน 3เดือน 1ปี ย้อนหลังถึงปี 1990 https://www.quandl.com/…/GOLD_3-LBMA-Gold-Forward-Offered-R… Khot Khot---- เท่าที่อ่านดูเรื่อง GOFO เหมือนประมาณว่า มีกลุ่มนึงพยายามหาทองมาก เพื่อไปทำอะไรสักอย่าง เช่น ปิดสถานะก่อนหน้าที่ดันราคาลงแต่ไม่อยากซื้อปิด เพราะทำให้ราคาดีดขึ้นมาอีก เพราะทองห้ามขึ้น ต้องสู้ ทำให้ค่าเช่าทองเพิ่มขึ้นอย่างมาก ยังไม่เคยเห็นสูงขนาดนี้มาก่อนเลย เลยทำให้ GOFO ติดลบถึงขนาดนั้น มองแบบคนวงนอกก็เข้าใจว่าทอง physical ขาดแคลนอย่างหนัก จีน รัสเซีย อินเดีย ก็ซื้อเอาๆ หลายอย่างแปลกประหลาดไปหมดเลย น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างเร็วๆ นี้ นะผมคิดว่า Khot Khot --- ตามสูตรมัน gofo = libor - gold lease เมื่อใดที่มีคนต้องการทองมาก จะทำให้ค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้นตามหลัก D&S คราวนี้ ต้นทุนเงินเหรียญ คือ libor ดังนั้นคนที่เอาทองมาให้เช่าเพื่อนำเงินเหรียญออกไป จะได้เค่าเช่าเทียบกับต้นทุนเงินเหรียญ ตอนนี้ ค่าเช่าทองเดือนนึง 0.36 ก่าๆ ต้นทุนเงินเหรียญ 0.15 กว่าๆ ทำให้ คนที่เอาทองมาให้เช่าจะได้กำไร 0.2 ก่าๆ ซึ่งก็คือ Rate gofo ที่เท่ากับ -0.2 ในตอนนี้นั่นเอง ซึ่งหลายปีดีดัก ยังไม่ค่อยจะได้เห็นราคารค่าเช่าทองสูงกว่าดอกเงินเหรียญขนาดนี้เลยครับ ที่ผ่านมา gofo จะเป็น + ตลอด หมายถึงถ้าต้องการเงินเหรียญโดยเอาทองมากให้เช่า ก็ต้องจ่ายแทนที่จะได้นะครับ
  20. สหรัฐฯ อนุญาตส่งออก “น้ำมันดิบ” เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 มิถุนายน 2557 10:03 น. เอเจนซีส์ - รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้บริษัทพลังงาน 2 แห่งในรัฐเทกซัสส่งออกน้ำมันดิบได้เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของการผ่อนคลายกฎระเบียบว่าด้วยการส่งออกน้ำมันดิบ ของอเมริกา หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงาน วานนี้ (24 มิ.ย.) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะอนุญาตให้บริษัทน้ำมัน 2 แห่งในรัฐเท็กซัสส่งออกน้ำมันดิบชนิด อัลตรา-ไลต์ คอนเดนเสต ซึ่งสามารถนำไปแปรรูปเป็นแก๊สโซลีน, น้ำมันเครื่องบิน หรือน้ำมันดีเซลได้ หลังสหรัฐฯ ผลิตน้ำมันประเภทนี้ได้มากขึ้น สืบเนื่องจากการนำเทคโนโลยี hydraulic fracturing หรือ fracking เข้ามาใช้ในการสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติ แหล่งข่าวใกล้ชิดเปิดเผยว่า การส่งออกน้ำมันดิบให้ผู้ซื้อต่างชาติอาจเริ่มต้นภายในเดือนสิงหาคม แต่ในปริมาณที่ไม่มากนัก ช่วง 1 ปีที่ผ่านมามีกระแสเรียกร้องให้วอชิงตันยกเลิกกฎหมายห้ามส่งออกน้ำมันดิบที่ ประกาศใช้เมื่อทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นมาตรการเพื่อความมั่นคงทางพลังงานที่มีความสำคัญยิ่งต่อชาติที่พึ่ง พาน้ำมันนำเข้าเป็นหลักอย่างสหรัฐฯ เทคโนโลยี hydraulic fracturing ซึ่งถูกนำมาใช้สกัดน้ำมันและก๊าซจากแหล่งหินน้ำมัน (shale) แถบรัฐนอร์ทดาโกตา และเทกซัส ช่วยให้ความต้องการนำเข้าน้ำมันของสหรัฐฯลดลงมาก และยังมีน้ำมันดิบเหลือพอที่จะจำหน่ายได้อีก ด้วยเหตุนี้ อุตสาหกรรมน้ำมันจึงเสนอให้รัฐบาลอนุญาตการส่งออกน้ำมันดิบจากอ่าวเม็กซิโก แม้ว่าประเทศจะยังนำเข้าน้ำมันดิบผ่านทางท่าเรือบริเวณชายฝั่งตะวันออกก็ตาม อย่างไรก็ดี มีเสียงคัดค้านจากบรรดาโรงกลั่นน้ำมันและผู้บริโภคบางรายที่เกรงว่า หากสหรัฐฯ เข้าไปแข่งขันในตลาดส่งออกน้ำมันดิบอาจจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น และสุดท้ายชาวอเมริกันเองก็จะต้องจ่ายค่าเชื้อเพลิงที่แพงขึ้นตามไปด้วย แม้จะเผชิญแรงกดดันทั้งจากสภาคองเกรสและอุตสาหกรรมพลังงาน แต่สหรัฐฯ ก็ยังไม่ยกเลิกกฎหมายห้ามส่งออกน้ำมันดิบโดยสิ้นเชิง โดยกระทรวงพาณิชย์เพียงประกาศคำสั่งพิเศษให้ส่งออกน้ำมันดิบ อัลตรา ไลต์ คอนเดนเสต ได้บางส่วน เนื่องจากผลิตได้ในปริมาณมากพอที่จะส่งออก แม้จะยังไม่ผ่านการกลั่นก็ตาม วอลล์สตรีทเจอร์นัลระบุว่า สองบริษัทที่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้ส่งออกน้ำมันดิบคอนเดนเสต ได้แก่ บริษัท ไพโอเนียร์ รีซอร์เซส ในเมืองเออร์วิง รัฐเทกซัส และบริษัท เอ็นเตอร์ไพรซ์ โปรดักส์ พาร์ตเนอร์ส แอลพี ในเมืองฮุสตัน แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าทั้งสองบริษัทนี้จะสามารถส่งออกน้ำมันดิบใน ปริมาณมากน้อยเพียงใด ปัจจุบัน สหรัฐฯ จำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ผ่านการกลั่นไปยังต่างประเทศในปริมาณมาก
  21. เอามุมมองเรื่องพลังงานฟอสซิลมาฝากครับ คำพูดของคุณปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ที่พูดบนเวทีเสวนา ถาม-ตอบ พลังงาน รอบ2 ว่า พลังงานฟอสซิลที่ประเทศเรามีอยู่ตอนนี้ควรขุดเจาะนำมาใช้ ถ้าเก็บไว้ให้ลูกหลานในอนาคต คุณค่าของพลังงานฟอสซิลณตอนนั้นจะมีประโยชน์น้อยกว่าปัจจุบันมาก เกือบทุกคนน่าจะมองว่าเป็นวาทกรรมที่คุณปิยสวัสดิ์ พูด เพื่อจะพยายามนำพลังงานฟอสซิลไปใช้ให้ได้ แต่ผมมองว่าคุณปิยสวัสดิ์ พูดด้วยมุมมองแบบนั้นจริงครับ(ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งที่คุณปิยสวัสดิ์พูดนั้น ถูกต้อง แต่ผมกำลังบอกว่าคุณปิยสวัสดิ์น่าจะมีมุมมองแบบนั้นจริงครับ) ถ้าวันนี้คำพูดแบบเดียวกันนี้ถูกพูดด้วยคนที่เราชื่นชอบละ ผลลัพธ์อาจออกมาอีกแบบ ผมสงสัยมาหลายปีแล้วทำไมอเมริกาถึงขุดเอาพลังงานฟอสซิลของประเทศเขาออกมาใช้ อดีตที่ผ่านมาอเมริกาเอาแต่ซื้อจากประเทศอื่น พลังงานของประเทศตัวเองเก็บเอาไว้ไม่ยอมขุดเจาะ ช่วงปี2006-2008เหมือนกับอเมริกาจะเปลี่ยนนโยบายมาขุดเจาะพลังงานออกมาใช้ แล้วนะครับ ไม่เก็บไว้เหมือนที่ผ่านๆมา ข้อมูลที่เผยแพร่ของ eia Top World Oil Producers, 2012 1 Saudi Arabia 11,726,000 Barrels per Day 2 United States 11,119,000 Barrels per Day 3 Russia 10,397,000 Barrels per Day ปัจจุบัน อเมริกาขุดเจาะน้ำมันวันละ 12,352,170 Barrels per Day แซงSaudi Arabiaไปแล้ว(น่าจะขุดเจาะเป็นเบอร์1 ของโลกไปแล้วนะครับ) ดูกราฟการข้อมูลการขุดเจาะพลังงานฟอสซิลของอเมริกาที่นี่ครับ http://www.eia.gov/countries/country-data.cfm?fips=US กดเลือกที่Petroleum และNatural Gas จะมีกราฟการผลิตย้อนหลังเกิดขึ้น กดที่กราฟอีกที จะได้กราฟที่ขยายครับ ---ทำไมร็อคกีเฟลเลอร์ ให้ข่าว จะถอนทุนจากกิจการเชื้อเพลิงฟอสซิล แล้วหันไปลงทุนกับพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมhttp://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000109500 ---จะว่าเศรษฐกิจอเมริกาย่ำแย่จนต้องขุดสมบัติเก่ามาใช้ก็ไม่น่าจะใช่ ทุกวันนี้อเมริกาพิมพ์ดอลลาร์มาใช้เป็นว่าเล่นอยู่แล้ว มีปัญหามากนักก็ขยายเพดานหนี้เท่านั้น พลังงานฟอสซิลเก็บไว้เผื่อยามที่ดอลลาร์มีปัญหาอย่างน้อยมีพลังงานฟอสซิลไว้ แลกเปลี่ยนสินค้ากับประเทศอื่นแทนดอลลาร์ ---โซลาร์เชลล์ตอนนี้กำลังกำลังมาแรงมาก ต้นทุนการผลิตพลังงานจากโซลาร์เซลล์ลดถูกลงมาเรื่อยๆ ที่ผ่านมาได้ยินว่าต้นทุนการผลิตโซลาร์เซลล์ลดปีละ10% ถ้าเป็นแบบนี้ไปอีกช่วงใหญ่ ต้นทุนการผลิตพลังงานจากโซลาร์เซลล์อาจจะถูกกว่าต้นทุนพลังงานจากโซลารเซลล์ ***ถ้าใครดูหนังเรื่องจูมง จะเห็นว่าในสมัยก่อนเกลือมีความจำเป็นสูงมาก มีราคาแพง มีความสำคัญกับประเทศและประชาชนสูงมาก แต่เมื่อมีการพัฒนาตู้เย็นมาใช้จนกระทั่งราคาตู้เย็นไม่แพงมาก ความสำคัญของเกลือแทบจะหายไปเลย ***ผมไม่ใช่คนที่ชื่นชอบคุณปิยสวัสดิ์ ช่วงที่จะมีการแต่งตั้งคุณปิยสวัสดิ์เป็นประธานบอร์ดปตท. ผมก็เปลี่ยนรูปประจำตัวผม ค้านการแต่งตั้งคุณปิยสวัสดิ์ แต่ทุกเรื่องเราควรคุยตามเนื้อผ้าที่เห็นคำว่ารักหรือไม่ชอบควรตัดออกไป
×
×
  • สร้างใหม่...