ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

ส้มโอมือ

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    5,036
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

  • วันที่ชนะ

    15

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย ส้มโอมือ

  1. ประเทศไทยมีพื้นที่513,120 ตร.กม. เยอรมันมีพื้นที่357,021 ตร.กม. เชื่อไหมครับว่า หากเราสามารถยกแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งไว้แล้วในเยอรมนีมาติดในประเทศไทย ไฟฟ้าที่ได้จากแผงดังกล่าวจะสามารถตอบสนองความต้องการไฟฟ้าของคนไทยทั้งประเทศถึง 41% สิ่งที่ต้องย้ำก็คือ ต้นทุนพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ได้สูงอย่างที่ทาง กฟผ.กำลังโฆษณาชวนเชื่ออย่างบิดเบือน เพื่อต้องการที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในหลายจังหวัดของภาคใต้ เหตุผลที่ทราบกันทางสื่อกระแสหลักการที่ทาง กฟผ.ต้องการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อ เพลิงอาจเพราะว่ากลุ่มทุนถ่านหินในประเทศไทยได้ไปลงทุนทำเหมืองถ่านหินใน ต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลียไว้แล้วกลุ่มทุนดังกล่าว มีอำนาจในการจัดทำแผนพีดีพี (แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า) ซึ่งเป็นแผนที่ทาง กฟผ.ต้องปฏิบัติตาม http://www.manager.c...D=9570000067095
  2. เราควรนับ1เรื่องนี้ได้แล้ว Ben's Thought 9 ชม. · Prachachat · สาเหตุหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มันเป็นวัฒนธรรมในสังคมญี่ปุ่น ถูกสอนตั้งแต่สมัยอนุบาลศึกษา ทั้งพ่อแม่ ทั้งครู และทั้งบรรดาผู้ใหญ่จะดุเด็กๆ ที่แซงคิวหรือไม่เข้าคิว ดังนั้น ตั้งแต่สมัยเด็ก เราก็เข้าใจว่า การแซงคิวนั้นเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ที่นี่ขอสังเกตว่า นี่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับดีหรือไม่ ดีครับ แต่อยู่ที่ว่า ทำได้หรือทำไม่ได้ เนื่องจากว่า ทุกครั้งพยายามจะแซงคิว เด็กๆ จะโดนผู้ใหญ่ดุ และไม่มีผู้ใหญ่ที่แซงคิว ทำให้เด็กรู้ว่า ฉันก็ทำไม่ได้
  3. โรงไฟฟ้าถ่านหินปลอดภัยแค่ไหน ลองฟังฝั่งที่คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกันครับ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประเด็นเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ มีนาคม 7, 2557 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประเด็นเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ 1.ถ่านหินสะอาด เรื่องจริงหรือแค่มายา ถาม: กฟผ.กล่าวว่า มีขั้นตอนการใช้เทคโนโลยีการเผาที่พ่นหินปูนเข้าไปในเตาเผาเพื่อให้หินปูนทำ หน้าที่ดูดซับกำมะถัน การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินจึงเป็นพลังงานที่เป็นมิตรกับคนและสิ่งแวดล้อมจริง หรือ ตอบ: การกล่าวว่าเทคโนโลยีการเผาไหม้ ที่มีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มประสิทธิผล และลดการปล่อยก๊าซเสียได้เป็นเพียงมายาคติ ถ่านหินสะอาดคือความพยายามของภาคอุตสาหกรรมเพื่อลบล้างภาพลักษณ์ที่สกปรก เป็นคำประดิษฐ์ของอุตสาหกรรมถ่านหิน มิใช่ถ่านหินชนิดใหม่แต่อย่างใด เทคโนโลยีการเผาไหม้ถ่านหินสะอาดวิธีอื่นยังคงอยู่ในขั้นตอนการเริ่ม พัฒนา และไม่มีแนวโน้มที่จะพัฒนาประสิทธิภาพได้เกินร้อยละ 43 มาตรฐานโลกด้านประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยี Pulverised อยู่ที่ร้อยละ 37.5 (11) ส่วนเทคโนโลยี Pulverised ขั้นสูงนั้นจะเพิ่มประสิทธิภาพได้เพียงร้อยละ 41-44 และอาจจะได้รับการพัฒนาให้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50 ในอีก 100 ปีข้างหน้า ถาม: การทำความสะอาดถ่านหินจะช่วยลดระดับซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และ แร่ธาตุในถ่านหินได้จริงหรือ ตอบ: ผลจากการทำความสะอาดถ่านหินทำให้เกิดสารอันตรายจำนวนมาก โดยการนำถ่านหินไปกองไว้รวมกัน และให้น้ำฝนเป็นตัวชะล้าง โดยน้ำฝนจะชะเอาสารพิษออกจากถ่านหินและน้ำเสียเหล่านั้นก็จะไหลลงสู่แม่น้ำ และลำธารน้ำเสียจะเต็มไปด้วยกรดและโลหะหนักต่างๆ แต่ซัลเฟอร์ไม่ใช่มลพิษเดียว ยังมีปรอทที่ไม่สามารถควบคุมได้ ถาม: การเผาไหม้โดยใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดจะควบคุมมลพิษให้กับโรงไฟฟ้าด้วยการลดการปล่อยก๊าซที่ปนสารพิษได้จริงหรือ ถ่านหินประกอบด้วยวัสดุที่ไม่สามารถเผาไหม้ประมาณร้อยละ 7-30 และจะต้องมีการกำจัดขั้นสุดท้ายในที่สุด เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดพยายามดักจับกากของเสียเหล่านี้ก่อนที่จะถูกปล่อยออก ทางปล่องของโรงไฟฟ้า กากของเสียที่ถูกดักจับเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ (ทั้งที่มีสารพิษตกค้างจำนวนมาก) ทิ้งกองไว้บนดิน หรือนำไปฝังกลบ การใช้ถ่านหินที่มีคุณภาพสูงขึ้น ซึ่งมีปริมาณเถ้าและซัลเฟอร์ต่ำกว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเสียออกทางปล่อง และเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้นได้ แต่ประสิทธิภาพด้านความร้อนจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น หากรัฐบาลเลือกถ่านหินสะอาดในการผลิตไฟฟ้าเพื่อสนองความต้องการที่เพิ่มมาก ขึ้นแทนการใช้พลังงานสะอาด แน่นอนว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มสูงตามไปด้วย จากรายงานของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ระบุว่า ปรอทและสารประกอบของปรอทมีความเป็นพิษอย่างสูง และเป็นภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อมต่อมนุษยและสัตว์ป่า การรับเอาสารปรอทเข้าไปจะก่อให้เกิดให้เกิดผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง และเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพของมนุษย์ รายงานยังระบุอีกว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินและการผลิตความร้อนที่ใช้ถ่านหินเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของสาร ปรอทที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศ ข้อมูลของสภาวิจัยการใช้ประโยชน์จากถ่านหินระบุว่า ยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่จะใช้ดักจับปรอทที่ปล่อยออกมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ สรุป: ถ่านหินสะอาด คือ วิธีการปล่อยทิ้งมลพิษจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งในที่สุดก็ยังคงปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมอยู่นั่นเอง เมื่อใดก็ตามที่มีการเผาไหม้ถ่านหิน ก็จะมีการปล่อยสารปนเปื้อนออกมา ซึ่งอาจอยู่ในรูปของเถ้าลอย ก๊าซที่เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ น้ำเสีย หรือ กากของเสีย ที่ถูกทิ้งไว้หลังการเผาไหม้ ท้ายที่สุดล้วนแต่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดจึงเป็นการอ้างเทคโนโลยีที่ต้องการลดมลพิษ แต่ไม่มีถ่านหินใดในโลกที่สะอาดอย่างแท้จริง นอกจากนี้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาดยังมีราคาแพงเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ในแต่ละวันอีกด้วย สำนักงานสารสนเทศพลังงานของสหรัฐประเมินว่า เงินทุนของโรงงาน IGCC ซึ่งเป็นต้นแบบ (สถานีทดลองโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ปล่อยก๊าซปริมาณต่ำ) อยู่ที่ 1,383 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ และ 2,088 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ หากรวมค่าแยกคาร์บอนด้วย ขณะที่ราคาของการติดตั้งกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าทั่วไปอยู่ที่ 1,015 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ 2.ภาคใต้ไฟฟ้าไม่พอใช้ดังที่เกิดขึ้นกับกรณีวิกฤตไฟฟ้าดับทั้งภาคใต้เมื่อ 21 พฤษภาคม 2556 ถาม: หากไม่สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน และเกิดกรณีไฟฟ้าดับขึ้นอีก? ตอบ: กรณีไฟฟ้าดับในครั้งนั้นถูกอ้าง ว่าเนื่องจากกำลังผลิตไฟฟ้าของภาคใต้ไม่เพียงพอ แต่ในความจริงภาคใต้มีกำลังผลิตติดตั้ง 2,429 เมกะวัตต์ รับจากภาคกลาง 500 เมกะวัตต์ และมีการแลกไฟฟ้ากับประเทศมาเลเซียอีก 300 เมกะวัตต์ เฉลี่ยแล้วรวมทั้งสิ้น 3,229 เมกะวัตต์ ซึ่งความต้องการใช้ไฟฟ้าของภาคใต้สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 2,100 เมกะวัตต์ ดังนั้นเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบการจ่ายไฟ ไม่เกี่ยวกับการที่กำลังการผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของ ประชาชนตามที่ กฟผ. กล่าวอ้าง ที่จริงแล้ว กฟผ. ควรตระหนักถึงจุดอ่อนของการผลิตไฟฟ้าแบบรวมศูนย์ที่มีความเสี่ยง และเน้นพัฒนาการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและการผลิตแบบกระจายศูนย์ "ถ่านหินมีความจำเป็น” และสร้างวาทกรรม “ก๊าซธรรมชาติจะหมดจากอ่าวไทย” และ “วิกฤตไฟฟ้าดับ” เป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมในการผลักดันแผนการลงทุนทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง กับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าได้เดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจเสียงท้วงติง 3.ทางออกของพลังงานประเทศไทยคืออะไร ถาม: หากไม่เอาพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหิน แล้วจะพึ่งพาพลังงานจากอะไรในเมื่อความต้องการทางพลังงานเพิ่มขึ้นและจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ตอบ: ปัจจุบันกระบี่มีการใช้พลังงานหมุนเวียนประมาณร้อยละ 70 ของปริมาณไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบี่เป็นเมืองท่องเที่ยว พลังงานหมุนเวียนจะช่วยส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวได้ ต่างจากพลังงานสกปรกที่จะส่งผลเสียต่อระบบนิเวศ และการท่องเที่ยวเช่นกัน กระบี่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานหมุนเวียนอย่างเต็มที่ ทั้งสายลมทั้งแสงแดด อีกทั้งกระบี่ยังเป็นเมืองปาล์มน้ำมัน ซึ่งสามารถใช้วัสดุปาล์มหรือน้ำเสียจากโรงงานน้ำมันปาล์มมาทำเป็นไบโอแก๊ส และโรงงานชีวมวลจากวัสดุปาล์มได้ ปัจจุบันกระบี่มีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มอยู่ 13 โรง และสามารถทำไบโอแก๊สจากน้ำเสียโรงงานได้ 60 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเกินครึ่งของการใช้ไฟฟ้าที่จังหวัดกระบี่ (100 เมกะวัตต์) ตัวอย่างของการปฏิวัติพลังงานหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนเห็นได้ชัดจากประเทศ เยอรมันนี โดยพลังงานแสดงแดดและพลังงานลมมีน้อยความประเทศไทยมาก แต่สามารถตั้งเป้าและทำได้จริงจนประสบผลสำเร็จ ถ้าเยอรมนีทำได้ ก็น่าจะเป็นความหวังให้ประเทศอื่นๆ ว่าสามารถทำได้ด้วยเช่นกัน ถาม: การมาของโรงไฟฟ้าถ่านหินจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนมากกว่าพลังงานหมุนเวียนใช่หรือไม่ ตอบ: รายได้ของชุมชนจังหวัดกระบี่ ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจท่องเที่ยว และการทำประมง ซึ่งล้วนแล้วแต่พึ่งพาความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ แต่โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่นั้นจะส่งผลกระทบอันร้ายแรงต่อระบบนิเวศ สร้างมลพิษทั้งทางผืนดิน ทะเล และอากาศ นอกจากจะทำลายวิถีชีวิตและรายได้ของคุนในชุมชนแล้ว ยังส่งผลร้ายต่อสุขภาพของผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณโรงไฟฟ้าถ่านหินอีกด้วย จากงานวิจัยของมูลนิธิสุขภาวะ หากมุ่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียนจังหวัดกระบี่จะนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจ 3,500 ล้านบาท การสร้างงาน 10,500 ตำแหน่ง ลดการนำเข้าเชื้อเพลิง 950 ล้านบาทต่อปี ลดก๊าซเรือนกระจก 1.1 ล้านตันต่อไป และลดมลพิษอีกมากมาย ถาม: หากกระบี่และประเทศไทยมีประสิทธิภาพด้านพลังงานหมุนเวียนอย่างเต็มที่ เพราะเหตุใดพลังงานหมุนเวียนจึงไม่ได้รับการพัฒนา ตอบ: อุปสรรคสำคัญของการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในอาเซียน คือ (1) ขาดกองทุนหรือยากต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุน (2) ขาดความน่าเชื่อถือของระบบสายส่งพลังงานของประเทศ และขาดการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน (3) ขาดประสบการณ์และความตระหนักด้านเทคโนโลยีและการจัดการ (4) ขาดการจัดทำวิจัยย่อยหรือการอบรมคนที่มีความสามารถ รวมทั้งขาดการศึกษาวิจัยและพัฒนาพลังงานหมุนเวียนบางชนิด (5) ขาดโครงสร้างทางด้านสถาบันพลังงานหมุนเวียน การสนับสนุนทางการเงิน และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคในการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน โดยทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้หากมีกฎหมายพลังงานหมุนเวียนที่เอื้อให้มีการ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในแต่ละพื้นที่ด้วยศักยภาพที่มีอยู่อย่างเต็ม ที่ การลดการพึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลจากระบบพลังงานแบบรวมศูนย์ รัฐจะต้องรับซื้อพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนที่ผลิตได้ทั้งหมด เป็นลำดับแรก และรับซื้อไว้ทั้งหมด การเจริญเติบโตของการผลิตพลังงานหมุนเวียนในประเทศจึงสามารถเติบโตได้อบ่าง เต็มที่เพราะมีการรับซื้อแน่นอนในระยะยาว และเป็นแรงกระตุ้นให้มีการผลิตพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด ทว่าที่ผ่านมารัฐยังไม่จริงใจกับการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน โดยกระทรวงพลังงานตัดโควต้าของกระบี่ออกจากจังหวัดที่มีโครงการนำร่องด้าน พลังงานหมุนเวียน http://www.greenpeace.org/seasia/th/campaigns/climate-and-energy/coal/true-cost-of-coal-home/ProtectKrabi/Frequency-asked-question-Krabi-coal-fired-power-plant/
  4. ภาพข้างล่างนี้กลุ่มเครือข่ายผู้ป่วยแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ส่งมาครับ(วันที่21/03/2013) เป็นภาพแม่กำลังพ่นยาแก้หอบให้ลูก เป็นภาพที่เพิ่งถ่ายภายหลังจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะโฆษณาอย่างอึกทึกครึกโครมว่า อากาศที่นั่นบริสุทธิ์ผุดผ่อง วิศวกรที่โรงงานผมบอกว่าเพื่อนเขาทำงานโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพื่อนเขาบอกว่าที่ประกาศว่าไม่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพแล้วอย่าไปเชื่อ ประชาชนในพื้นที่ใกล้โรงไฟฟ้าเจ็บป่วยกันมากมาย งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง (ของสำนักงานงบประมาณสภาสหรัฐอเมริกา) ระบุว่า ถ้าโรงไฟฟ้าถ่านหินจะติดตั้งเครื่องดัก จับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 99% ก็จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 76% ของต้นทุนปกติ และปัจจุบันเทคโนโลยีดังกล่าวก็ยังไม่อยู่จริง ต้องรอจนกว่าจะถึงปี 2573 http://www.manager.c...D=9560000131467
  5. อาจารย์Decharut Sukkumnoed เข้าร่วมประชุมงเวทีถกพลังงานเมื่อวันอาทิตย์ที่15/06/57 เล่าได้ดีมาก สำหรับคนที่สนใจเรื่องพลังงานต้องอ่านครับ Decharut Sukkumnoed 7 ชม. กองทุนน้ำมัน: ชัดเจนว่าต้องเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเนื้อหาสาระของเวทีถกพลังงานเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมามีรายละเอียดมากเลย และคสช. ขอให้นำเสนอด้วยความระมัดระวัง ผมจึงขอเล่าไปทีละส่วน โดยผมจะประมวลทางเลือกทั้งหมดที่นำเสนอ และพยายามหลีกเลี่ยงการสรุปว่า ทางเลือกใดดีที่สุด (ในขณะนี้) จนกว่าจะมีการนำเสนอข้อเสนอที่เป็นทางการต่อคสช.ภายในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ สิ่งที่ผมเขียนเป็นเพียงมุมมองจากผม มิใช่บันทึกการประชุม และมิใช่สเตตัสทางการเมือง ผมขอเริ่มที่กองทุนน้ำมันก่อน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีขึ้นมาตั้งแต่พ.ศ. 2520 เพื่อรองรับความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่สิ่งที่คนบางส่วนยังไม่ทราบคือ กองทุนน้ำมันไม่ได้ใช้เงินของรัฐแม้แต่บาทเดียว แต่ใช้วิธีเก็บเงินจากผู้ใช้นำมันเอง ในอดีตการเก็บเงินกองทุนน้ำมันจะเก็บเงินเข้ากองทุนในช่วงเวลาที่น้ำมันในตลาดโลกมีราคาถูกลง (ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศสูงขึ้น) และนำมาจ่ายเงินสนับสนุนในช่วงเวลาที่ราคานำมันในตลาดโลกมีราคาสูงผิดปกติ (ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศถูกลง) จะเห็นว่า วัตถุประสงค์เดิมของกองทุนน้ำมันนั้นคือ การทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศมีความผันผวนน้อยลง หรือมีเสถียรภาพมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับราคาในตลาดโลก โดยมิได้การอุดหนุนจากรัฐ เป็นเพียงผู้ใช้ต้องจ่ายเงินแพงขึ้นในช่วงเวลาที่น้ำมันดิบในโลกถูก เพื่อช่วยให้ตนเองจ่ายถูกลงในช่วงที่น้ำมันดิบในตลาดโลกมีราคาแพงเท่านั้น แต่ปัจจุบัน การใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกลับใช้ผิดวัตถุประสงค์ไปอย่างมาก เพราะกลายเป็นกองทุนที่เรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ประเภทหนึ่ง เพื่อมาจ่ายชดเชยให้ผู้ใช้อีกประเภทหนึ่ง กลายเป็นว่า รัฐบาลได้ใช้อำนาจรัฐทำให้ผู้ใช้กลุ่มหนึ่งต้องจ่ายแพงขึ้น (แบบค่อนข้างถาวร) เพื่อมาอุดหนุนผู้ใช้อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งจะได้ใช้ถูกลง (แบบค่อนข้างถาวรเช่นกัน) ซึ่งการนำเงินจากคนกลุ่มหนึ่งมาจ่ายให้คนอีกกลุ่มหนึ่งภาษา วิชาการเรียกว่า การอุดหนุนข้ามกลุ่มหรือ Cross subsidy ซึ่งในปัจจุบัน ผู้ใช้น้ำมันดีเซล ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน และผู้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 91 และ 95 ต้องจ่ายเพื่อสนับสนุนกลุ่มผู้ใช้น้ำมันอี 20 และอี 85 และผู้ใช้ก๊าซหุงต้ม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แม้ว่ากองทุนน้ำมันจะไม่ใช่นโยบายประชานิยมที่ส่งผลเสียหายต่อการคลังของรัฐ แต่กองทุนน้ำมันก็ทำให้เกิดการบิดเบือนของราคาในตลาด และทำให้คนกลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งเสียประโยชน์ไป การประชุมหารือเรื่องพลังงานที่ผ่านมาจึงมีความเห็นตรงกันว่า กองทุนน้ำมันนั้นมีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ไปมาก และการใช้อำนาจรัฐเรียกเก็บเงินจากคนกลุ่มหนึ่ง เพื่อมาจ่ายให้กับคนอีกกลุ่มหนึ่งอาจขัดกับหลักของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพลังงานก็เป็นห่วงข้อนี้เช่นกัน) ดังนั้น จึงควรมีการทบทวนการดำเนินการของกองทุนน้ำมันโดยด่วน อย่างไรก็ดี ความแตกต่างทางความคิดในเวทีดังกล่าวเกิดขึ้นใน 2 ประเด็นคือ ประเด็นแรก เรายังควรมีกองทุนน้ำมันอยู่ต่อไปหรือไม่? และประเด็นที่สอง เราจะเปลี่ยนกองทุนน้ำมันไปสู่จุดที่มีการบิดเบือนราคาน้อยลงและหมดไปได้อย่างไร? ในประเด็นแรก ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า น่าจะยกเลิกกองทุนน้ำมันไปได้เลย เพราะการใช้ในปัจจุบันก็ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์อยู่แล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะใช้ต่อไป อีกฝ่ายหนึ่ง เห็นว่า น่าจะยังคงรักษากองทุนน้ำมันไว้ โดยให้ทำหน้าที่เดิมเท่านั้น หมายความว่า จะต้องเลิกการอุดหนุนข้ามกลุ่มกัน แต่ให้เรียกเก็บเงินในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีราคาต่ำลง (และเรียกเก็บจากผู้ใช้ทุกกลุ่มในอัตราเดียวกัน) เพื่อมาชดเชยในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีราคาแพงขึ้น (และชดเชยผู้ใช้ทุกกลุ่มในอัตราเดียวกัน) ซึ่งนั่นแปลว่าการเรียกเก็บเงินเข้าหรือเอาเงินออกจากกองทุนน้ำมันจะต้องตั้งอยู่บนเนื้อน้ำมันดิบ มิใช่ราคาของน้ำมันแต่ละประเภท ในประเด็นที่สอง การถกเถียงเข้มข้นกว่าประเด็นแรกมาก เพราะไปเกี่ยวพันกับความคิดที่ใครและอะไรเป็นสาเหตุที่คนบางกลุ่มถึงได้รับอุดหนุนจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งในประเด็นนี้จะเกี่ยวพันกับข้อกำหนดเบื้องต้น (หรือ assumption) ในวิธีคิดของแต่ละคน (เช่น บางท่านบอกว่าต้องช่วยอุดหนุนอี 85 เพราะมีผลดีต่อสิ่งแวดล้อม หรือบางท่านคิดว่า ไม่ควรให้ผู้ใช้น้ำมันเบนซินต้องจ่ายเงินอุดหนุนกลุ่มอื่น เพราะส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย เป็นต้น) แต่ถ้าเราจะก้าวข้ามประเด็นถกเถียงนั้นไปสู่ข้อเสนอที่เป็นไปได้ ก็อาจจะมีขั้นตอนที่ทำได้อยู่ 3 ขั้นตอนด้วยกันคือ ขั้นตอนที่หนึ่ง แยกกองทุนน้ำมันในส่วนน้ำมันและส่วนก๊าซหุงต้มออกจากกัน เพื่อแก้ไขปัญหาในแต่ละส่วน ขั้นตอนที่สอง เริ่มแก้ไขในส่วนของน้ำมัน ซึ่งน่าจะแก้ไขได้ง่ายก่อน เพราะเม็ดเงินที่อุดหนุนข้ามกลุ่มกันนั้นมีไม่มาก โดยเราสามารถใช้วิธีการอื่นๆ ในการรักษาหรือลดระดับน้ำมันอี 85 และอี 20 เช่น การลดค่าการตลาดและการปรับโครงสร้างราคาเอทานอล เป็นต้น ซึ่งหากทำได้จะลดภาระกองทุนน้ำมันและภาระราคาน้ำมันของผู้ใช้เบนซิน แก๊สโซฮอลล์ และดีเซลลงไปได้มากทีเดียว (เพราะภาระกองทุนน้ำมันของผู้ใช้ 3 กลุ่มนี้เท่ากับ 10.00, 3.30 และ 1.20 บาท/ลิตร ตามลำดับ) ส่วนความคิดที่ว่าอยากจะให้ราคาน้ำมันเบนซินและราคาน้ำมันอี20 หรืออี 85 แตกต่างกัน เพื่อจูงใจให้คนใช้น้ำมันเอทานอลที่เป็นพลังงานหมุนเวียน ก็ควรใช้ภาษีสรรพสามิตเป็นเครื่องมือมากกว่าครับ (เพราะวัตถุประสงค์ของภาษีสรรพสามิตก็มีเพื่อจำกัดหรือลดการบริโภคสินค้าที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว แถมยังมีรายได้เข้ารัฐอีกด้วย) ขั้นตอนที่สาม ในส่วนของแก๊สหุงต้มนั้น เป็นเรื่องยากมิใช่น้อยเพราะสัมพันธ์กับ 2 เรื่องที่ยังถกเถียงกันไม่จบ ก็คือ การจัดสรรแก๊สหุงต้มให้กับสาขาต่างๆ และโครงสร้างราคาแก๊สหุงต้มควรเป็นอย่างไร? เพราะการนำเงินกองทุนน้ำมันไปชดเชยในส่วนของก๊าซหุงต้มนั้นเป็นการชดเชยให้กับผู้ผลิตจาก 2 แหล่งที่มีราคาแพงกว่าคือ LPG จากโรงกลั่นและ LPG จากการนำเข้า ดังนั้นจึงเถียงกันว่า ใครควรจะได้ใช้ก๊าซหุงต้มจากแหล่งที่มีราคาถูกหรือจากโรงแยกก๊าซก่อน ระหว่างภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคปิโตรเคมี แต่ถ้าสมมติว่าเราจะทำให้ราคาแก๊สหุงต้มในแต่ละสาขามีราคาเดียวกัน ราคาแก๊สหุงต้มก็จะอยู่ที่ประมาณ 24 บาท/กก. ซึ่งสูงกว่าที่ครัวเรือนจ่ายอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และต่ำกว่าที่ราคาภาคอุตสาหกรรมใช้อยู่มากทีเดียว (ภาคอุตสาหกรรมใช้อยู่ 31 บาท/กก.ในปัจจุบัน) ทางเลือกที่มีการเสนอกันในขณะนี้มีสามทางคือ ทางแรก ให้เรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากภาคปิโตรเคมีมากขึ้น เพราะเป็นผู้ใช้LPG มากที่สุด และยังสามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มต่างๆ มากมาย จึงน่าจะมีความสามารถในการจ่ายได้มากกว่า จนกว่ากองทุนน้ำมัน (ส่วนก๊าซหุงต้ม) จะหมดภาระหนี้ครับ ทางที่สองคือ มีผู้เสนอให้รัฐตั้งวงเงินงบประมาณในการอุดหนุนแทนที่จะเก็บเงินจากผู้ใช้ แต่ข้อเสนอนี้ก็อาจเป็นภาระทางการคลังกับภาครัฐ และอาจกลายเป็นนโยบายประชานิยมได้ ทางสุดท้ายคือ การปล่อยให้ราคา LPG เป็นไปตามกลไกตลาด แต่ต้องตกลงกันให้ได้ก่อนว่า ใครจะใช้ก๊าซจากโรงแยก ใครจะใช้จากโรงกลั่น และจากการนำเข้า (เพราะสามแหล่งนี้ราคาไม่เท่ากัน) หรือจะใช้ราคาเฉลี่ยรวม (หมายความทุกคนใช้ราคาเดียวกัน) อย่างไรก็ดี ประเด็นปัญหานี้ผมจะขอยกไปกล่าวถึงโดยละเอียดในหัวข้อเรื่องเกี่ยวกับ LPG และปิโตรเคมีก็แล้วกัน กล่าวโดยสรุป ขณะนี้ทุกฝ่ายเห็นตรงกันแล้วว่า กองทุนน้ำมันมิได้ทำหน้าที่ของมันอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน แต่การจะแก้ไขได้แค่ไหน ก็คงจะขึ้นอยู่กับความกล้าหาญในการจัดการกับปัญหาในแต่ละส่วน ว่าจะจัดการได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแค่ไหนเพียงใดครับ
  6. เรามีโอกาสเป็นได้สักครึ่งของญีปุ่นมั้ย ---ฝากโรงเรียนทุกโรงเรียน เข้มงวดกับเข้าคิวด้วยครับ ---ฝากปลูกจิตสำนึกที่ดีในหลักสูตรการเรียการสอนด้วยครับ Von Richthofen การปลูกฝังของคนต่างกันมาก วันนี้ผมเห็นภาพคนเข้าคิวกันแต่เช้าเพื่อรับตั๋วหนังฟรี แต่มีพวกมาสายไม่เข้าคิว แถมยังเข้าไปป่วนคิวคนที่เขามารออย่างคนที่เจริญแล้วถล่มคิวเสียเละไปหมด บางโรงถึงกับแย่งตั๋วหนังจากมือทหารที่ยืนแจกเลยก็มี บางคนก็ไม่สนใจบุกเข้าไปแย่งที่นั่งคนมีตั๋วอย่างหน้าตาเฉย ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน เมื่อสองปีก่อนตอนหลังจากเกิดซึนามิเมื่อสองปีก่อนผมยังอยู่ที่ญี่ปุ่น ตอนทุ่มกว่าๆของทุกคืนไปอีกสัปดาห์กว่าๆยังมีอาฟเตอร์ช็อกเหมือนตั้งเวลาเอาไว้ ตอนนั้นที่ฟูกุชิม่ะยังมีรังสีรั่วอยู่ ที่นั่นทุกคนเข้าแถวรับอาหารไปพอกินแต่ละมื้อแม้จะต้องเข้าแถวรอกันชั่วโมงกว่าทั้งสองรอบก็ตาม ร้านค้าที่อยู่ลึกเข้ามาจากทะเลที่ยังไม่โดนน้ำเข้ามาพังที่ยังพอมีของขายก็เปิดขายคนที่อยากจะซื้อก็ต้องเดินมาไกลมากไปกลับสิบกิโลเมตรก็มี ทุกคนซื้อขอเท่าที่จำเป็นต้องใช้วันนั้น ใช้หมดก็มาซื้อใหม่ไม่มีใครซื้อตุนของ เพราะคนอื่นก็ต้องการซื้อเหมือนกัน ร้านค้าก็ไม่กักตุนหรือขึ้นราคาขาย ของหมดแล้วก็หมดกัน ตามสนามกีฬาหรือหอประชุมของโรงเรียนก็มีคนญี่ปุ่นที่ไร้บ้านไปนอน ต่างก็ไม่มีใครไปนอนเปล่าๆ ใครช่วยงานอะไรกันได้ก็ทำไม่มีนั่งเฉยๆ ทั้งเด็กทั้งคนแก่ใครทำอะไรได้ก็ช่วยกันทำ ถ้าวันนั้นไม่มีงานทำแล้วก็แยกย้ายกันออกไปหาเศษไม้จากบ้านที่พังมาเป็นฟืนให้ความอบอุ่นแก่คนอื่นๆในคืนนั้น ทำให้ผมเห็นภาพที่แตกต่างระหว่าตอนน้ำท่วมใหญ่ที่คนไร้บ้านย้ายมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสนามกีฬาชลบุรีที่ไม่คิดจะทำอะไรเลย มีแต่จับกลุ่มบ่นพวกที่เอาอาหารมาส่งว่าส่งช้า บ่นว่ายุงเยอะทำไมไม่มีคนมาฉีดยุง รถขนอาหารและสิ่งของมาให้ก็ไม่ออกมาช่วยขนของลงจากรถ นั่งๆนอนๆดูอาสาสมัครทำงานเหมือนไม่รู้ร้อนหนาวทั้งที่สิ่งนั้นมันคือสิ่งที่ตัวเองได้ฟรีทั้งนั้น งานในครัวไม่ลงมาช่วย กินอิ่มแล้วจานชามก็ไม่ล้าง อาสาสมัครทำงานเหมือนทาสแต่คนพวกนี้กลับไม่มีสามัญสำนึกเลยแม้แต่น้อย ผมไม่อยากจะด่าคนไทยด้วยกันเองหรอกนะ แต่ผมเห็นเหตุการณ์มากับตา เห็นแล้วรู้เลยว่าคุณภาพในการเป็นมนุษย์ การอบรมสั่งสอนสั่งสอนมันต่างกัน เหตุการณ์ในเมืองไทยวันนี้มันเพียงแค่แจกตั๋วหนังไม่ดูก็ไม่ถึงกับตาย แต่อีกเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นมันคือชีวิตและปากท้องของครอบครัวลูกเมียที่ถึงกับอดตาย ใครยังพอเดินได้ก็ต้องเดินฝ่าความหนาวอุณหภูมิเลขตัวเดียวทั้งที่เสื้อผ้าไม่พร้อมรับมือกับความหนาวออกไปรับแจกอาหารแต่ละมื้อ แต่เขาก็มีวินัยจับมือกอดคอช่วยกันกันผ่านเหตุการณ์มาได้ มันกันมันเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆกับภาพน่าสังเวชวันนี้ ตอนมีลุงแก่ๆคนหนึ่งเข้ามาคุยกับผมแล้วโค้งทำความเคารพผม แล้วบอกว่าขอบคุณมากที่คนไทยรักญี่ปุ่นและไม่ทอดทิ้งคนญี่ปุ่น ผมน้ำตาจะไหลออกมาให้ได้ เครดิตภาพ โพสทูเดย์
  7. ครูพี่เม้ง ส่งติวเตอร์ถึงบ้าน 6 ชม. ฝาก ประชาสัมพันธ์เรื่องขอรับบริจาคคอมพิวเตอร์เก่าได้ไหมครับ .. ทางโรงเรียนวัดโคธาราม ต.บางเพรียง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอนอย่างมาก โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสภาพแบบใช้ได้ ตอนนี้เครื่องที่พอใช้ได้มีเพียง 5 เครื่องซึ่งไม่เพียงพอต่อเด็ก ประมาณ 30 คนในแต่ละคาบที่สอน .. พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนมากเป็นคนชั้นแรงงาน และเกษตรกรที่มีรายได้ต่ำ เคยมี ICT มาทำการวางโครงข่ายให้ แต่สิ่งที่ตามมาคือ พออยู่ในความดูแลของ ICT ในปีแรกจะดีมาก มีการมาดูแลอุปกรณ์ให้หมด แต่สิ่ง ที่ตามมา คือ ต้องเปิดห้องให้คนร้อยพ่อพันแม่ที่ไม่ใช่นักเรียนมาร่วมใช้ รวมถึงหน่วยงานรัฐต่าง ๆ (ซึ่งถ้านึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงคนที่ไม่เข้าแถวตอนแจกตั๋วหนังนะครับ) ตอนนี้เครื่องแต่ละเครื่อง สภาพดูไม่ได้ และ ICT ก็ไม่เข้ามาดูแลนานแล้ว เพราะเขาไปหาโรงเรียนอื่นทำผลงานแทน รวมถึงทิ้งภาระหนี้จากการไปตกลงใช้โครงข่ายสัญญาณอินเตอร์เน็ตกับ TOT เอาไว้ให้กับทางโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นเงินหลักหลายหมื่น เกือบแสนบาท (ครูใหญ่ พยายามค่อย ๆ ทยอยใช้หนี้มานานมาก) ก่อนหน้านี้ ได้เครื่องฉายข้ามศีรษะ ตัวใหม่มา ใช้ได้ไม่นาน มีหน่วยงานรัฐมาใช้ห้องคอมพ์อีกช่วงปิดเทอม ... พอเปิดเทอม คุณครูจะมาสอนก็พบว่า เลนส์เครื่องฉาย "เครื่องใหม่" ละลาย และเป็นรอยขีดข่วน จนเปิดไปก็มองไม่ชัดอีก .. น่าสงสารเด็ก ๆ มากครับ เพราะมาเรียนแบบแห้ง ๆ ใช้ดูรูป กับซากอุปกรณ์ที่พอเป็นตัวอย่างได้มานานแล้ว ตอนนี้ทางคุณครูก็ทำทุกทาง เช่น พาเด็ก ๆ ไปทำงานเวลามีงานวัด มีงานวันเกิดคนใหญ่โต เพื่อจะได้มีเงินมาใช้จ่ายในโรงเรียน แต่ยังขาดผู้ใจบุญบริจาคเครื่องคอมพิวเตอร์เก่า รบกวนช่วยประกาศให้ด้วยครับ หมายเลขติดต่อคุณครูใหญ่ โรงเรียนวัดโคธารามนะครับ 081-278-8628 หมายเลขของทางโรงเรียน 02-338-1175 ป.ล. หน้าเว็บเพจที่ปรากฏบนอินเตอร์เน็ต เป็นเพจส่วนตัวของคุณครูที่อนุเคราะห์ทำขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการ แต่ทางโรงเรียนยังไม่มีหน้าเว็บเพจที่เป็นทางการ เนื่องจากค่าใช้จ่ายและข้อจำกัดของกระทรวงฯ ที่กำนหดว่าโรงเรียนต้องใช้โดเมนที่ลงท้ายด้วย .ac.th ไม่ยินยอมให้ใช้ .com ซึ่งราคาแตกต่างกันเป็นหลักหลายพันบาทต่อปี รบกวนด้วยนะครับ
  8. ผูกปิ่นโตข้าว 14 มิถุนายน · แก้ไขแล้ว อีกสถิติหนึ่งคือ คนไทยเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง เป็นอันดับ 1 (มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ) และสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็งคือ สารพิษที่อยู่ในอาหารการกิน คุณสามารถเลือกได้ ที่จะให้ตัวเองและครอบครัวห่างไกลจากความเสี่ยงนี้ การรับประทานข้าวอินทรีย์/เลิกเคมี เป็นอีกทางหนึ่งที่สำคัญ เพราะช้อนที่ตักข้าว ตักเข้าปากคุณวันละ 3 มื้อนะคะ ผูกปิ่นโตข้าวกับชาวนาที่เลิกใช้เคมีอย่างเด็ดขาดกันวันนี้ เพื่อคุณ เพื่อเขา เพื่อดินน้ำและข้าวของเราทุกคน กรอกใบสมัครได้ที่นี่ค่ะ https://docs.google.com/forms/d/1QR7o7Sz2jov2XgVBYuPuPwUw5DhQyH7EFWyx3t7CPAw/viewform
  9. ช่วงนี้ต้องดูแลสุขภาพกันเองไปก่อนครับ วิธีการล้างผักผลไม้ให้ปลอดภัย/ดร.ฉัตรภา หัตถโกศล โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ ในขณะที่มีการรณรงค์ให้ผู้คนรับประทานผักและผลไม้เพื่อสุขภาพ และในขณะเดียวกัน ที่มีข่าวของสารตกค้างที่มีอยู่ในผักและผลไม้ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีจากยาฆ่า แมลง เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส หรือสารโลหะหนักอื่นๆ ที่ปะปนมากับผักและผลไม้ ซึ่งสารเหล่านี้จะสามารถก่ออันตรายต่อสุขภาพมากกว่าที่จะได้รับประโยชน์เสีย ด้วยซ้ำไป โรคที่มากับผักและผลไม้ที่มีสารพิษปะปน อยู่มีได้ทั้งโรคชนิดเฉียบพลันและโรคเรื้อรัง อาการเฉียบพลัน เช่น อาเจียน คลื่นไส้ ปวดหัว หน้ามืด หายใจไม่ออก ปวดท้อง เป็นไข้ ชา หรือแม้แต่หมดสติไป เช่นบางคนไปกินราดหน้าที่มีผักคะน้าเป็นส่วนประกอบจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือเรียกว่าอาหารเป็นพิษเป็นต้น ส่วนโรคเรื้อรังของการได้รับสารพิษที่มาจากผักและผลไม้ ส่วนมากจะมาจากการได้รับสารจากยากำจัดศัตรูพืช เช่น การเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร การเกิดโรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ การเจริญเติบโตผิดปกติในเด็กและการเกิดความเครียด จากข้อมูลการสำรวจของเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN : Thailand Pesticide Alert Network) ร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อทำการสุ่มตรวจผัก 7 ชนิด ประกอบด้วย กะหล่ำปลี คะน้า ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน ผักชี และพริกจินดา ที่ขายในตลาดสดทั่วไปและรถเร่ พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐาน 38.1% และผัก 3 ชนิดที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด คือ ผักชี ถั่วฝักยาว พริกจินดา และ จากการสุ่มตัวอย่างตรวจของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบว่าผักสดที่สุ่มเก็บจากตลาดสดที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด ได้แก่ คะน้า กะหล่ำดอก และ ต้นหอม ส่วนตัวอย่างที่สุ่มเก็บจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด ได้แก่ คะน้า มะเขือพวง และพริกไทย เมื่อพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่าผักเหล่านี้เป็นผักที่เราคุ้นเคยและกินอยู่เป็น ประจำ ดังนั้น เราจึงเสี่ยงต่อการที่จะได้รับสารพิษตกค้างที่มีอยู่ในผักได้ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการรับประทานผักให้ปลอดภัย ก่อนนำไปรับประทานหรือปรุงประกอบอาหาร ต้องล้างผักให้สะอาดเสียก่อน ในปัจจุบันมีวิธีการล้างผักอยู่หลายวิธีเพื่อลดปริมาณสารพิษที่ตกค้างมากับ ผักให้ลดน้อยลง แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดอยู่ซึ่งจะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสม การใช้น้ำส้มสายชูที่มีกรดน้ำส้มความเข้ม ข้น 5%ของกรดน้ำส้ม ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:10 แช่นาน 10-15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด สามารถลดปริมาณสารพิษลงร้อยละ 60-84 ข้อจำกัดคือ ผักอาจมีกลิ่นของน้ำส้มสายชูติดมา และผักบางอย่างเช่นผักกาดขาว ผักกาดเขียว อาจมีการดูดรสเปรี้ยวจากน้ำส้มสายชูทำให้รสชาติเปลี่ยนไป และภาชนะที่ใส่ผักล้างไม่ควรเป็นพลาสติก การใช้ด่างทับทิม (Potassium Permanganate) มีลักษณะเป็นเกล็ดแข็ง สีม่วง สามารถละลายได้ในน้ำ ให้สีชมพู หรือม่วงเข้ม เป็นสารประกอบประเภทเกลือ โดยใช้ปริมาณ 20-30 เกล็ด ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดสามารถลดสารพิษลงได้ร้อยละ 35-43 ข้อจำกัดคือการใช้ด่างทับทิมในปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อระบบทาง เดินอาหาร และหากสูดดมไอระเหยของด่างทับทิมเข้าไปมากก็จะทำให้ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา ได้ รวมถึงหากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้ ล้างผักโดยน้ำไหลผ่าน โดยเด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะแกรงโปร่งเปิดน้ำให้แรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผักและถูไปมาบนผิวใบของผักผลไม้นานประมาณ 2 นาที สามารถลดสารพิษลงได้ร้อยละ 25-63 วิธีนี้เป็นวิธีที่เรียกได้ว่าดีมากวิธีหนึ่งแต่มีข้อเสียอยู่ว่าใช้เวลานานในการล้างและใช้น้ำปริมาณมาก ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร แช่นาน 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดสามารถลดสารพิษลงได้ร้อยละ 27-38 วิธีการนี้ลดปริมาณได้ไม่มากและอาจมีเกลือและรสเค็มไปอยู่ในผักหรือผลไม้ ใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบกกิ้งโซดา) 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 1 กะละมัง (20 ลิตร) แช่นาน 15 นาที แล้วนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด ลดปริมาณสารพิษลงได้ถึงร้อยละ 90-95 ข้อจำกัดของการใช้เบกกิ้งโซดาคือมีส่วนผสมของโซเดียมอยู่และอาจดูดซึมเข้า สู่ผักหรือผลไม้ และหากล้างไม่สะอาดการได้รับเบกกิ้งโซดาในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสีย ได้ วิธีการต้มหรือลวกผักด้วยน้ำร้อน ลดปริมาณสารพิษได้ ประมาณร้อยละ 50 วิธีการนี้เป็นอีกวิธีที่ดีและปลอดภัยแต่จะทำให้ผักหรือผลไม้ เสียคุณค่าทางอาหารไปกับน้ำและความร้อน เช่น วิตามินซี วิตามินบี 1 ไนอะซิน การปอกเปลือกหรือการลอกชั้นนอกของผักออก เช่น กะหล่ำปลี ถ้าลอกใบชั้นนอกออกจะปลอดภัยมากกว่า แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดจะช่วยลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 27-72 วิธีการแช่ผักในน้ำยาล้างผักที่มีวาง ขายอยู่โดยใช้ความเข้มข้นประมาณ 0.3% ในน้ำ 4 ลิตร แช่ผักนานประมาณ 15 นาที จะลดปริมาณสารพิษฆ่าแมลงได้ร้อยละ 25-70 แต่วิธีนี้ต้องทำด้วยความระมัดระวังต้องดูให้ดีว่าน้ำยาล้างผักมีส่วนประกอบ ด้วยอะไรบ้าง เพราะในบางครั้งน้ำยาล้างผักจะแทรกซึมเข้าไปในผักซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ จะได้เห็นแล้วว่า แต่ละวิธีสามารถช่วยลดปริมาณของสารตกค้างที่อยู่ในผักและผลไม้ได้แต่ว่าจะ เลือกวิธีไหนก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน ปริมาณและชนิดของผัก-ผลไม้ที่ต้องการจะล้าง และเวลาที่มีอยู่ และที่สำคัญคือพยายามรับประทานผัก-ผลไม้ให้หลากหลายอย่ากินซ้ำๆกันเกินไป และเปลี่ยนร้านที่ซื้อผัก-ผลไม้บ้าง เนื่องจากหากมีพิษ หรือสารตกค้างในผักก็จะได้ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมากนัก
  10. ปฏิรูปประเทศ ฝากคุมเรื่องฟอร์มาลีนด้วยครับ ---ส่วนตัวเวลาจะซื้อปลาสลิดที่ตลาดในกรุงเทพ เดินดูต้องนานสุดท้ายไม่ได้ซื้อ ก็แมลงวันมันยังไม่ตอมเลย เลยไม่กล้าซื้อ อดกินของอร่อยเลย “ฟอร์มาลีน” ภัยร้ายในอาหารสด ASTVผู้จัดการออนไลน์ ข่าวเรื่องการพบสารเคมีปนเปื้อนอยู่ในอาหารนั้นมีมานานแล้ว ซึ่งสารเคมีที่พบอยู่ในอาหารนั้น บางชนิดก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว อย่างล่าสุดนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาบอกว่า ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2557 มีรายงานการสุ่มตรวจประเมินอาหารปลอดภัยของกรมอนามัย ในตลาดที่ จ.นครสวรรค์ 5 แห่ง โดยมีการเก็บอาหารตรวจทั้งหมด 275 ตัวอย่าง ผลที่ได้นั้นน่าตกใจมาก เพราะมีการพบการใช้สารฟอร์มาลินกับอาหารสด เพื่อไม่ให้เน่าเสียง่าย โดยใน 5 แห่งนี้ ตรวจพบ 102 ตัวอย่าง เฉลี่ยร้อยละ 25 แต่บางแห่งเช่นในตลาดสดขนาดใหญ่ในเมือง พบร้อยละ 59 ซึ่งอาหารที่ตรวจพบได้แก่ กุ้ง ปลาหมึก หมึกกรอบ ขิงหั่นฝอย กระชายหั่นฝอย เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหอมสด ถั่วฝักยาว สไบนาง (ผ้าขี้ริ้ว) ทางด้าน ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า อาหารในกลุ่มที่ตรวจพบฟอร์มาลินนั้น ที่ผ่านมามักจะตรวจพบสารฟอกขาว ซึ่งการที่ตรวจพบฟอร์มาลินสูงขึ้นอาจจะเป็นเพราะพ่อค้าแม่ค้าเปลี่ยนจากการ ใช้สารฟอกขาวมาใช้ฟอร์มาลินแทน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศฉบับที่ 93 พ.ศ.2528 เรื่องวัตถุห้ามใช้ในอาหาร ผู้ใดละเมิดใส่ในอาหารต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ฐานผลิตอาหารไม่บริสุทธิ์ สำหรับ “ฟอร์มาลิน” นั้น เป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง อยู่ในรูปของ “สารละลายฟอร์มัลดีไฮด์” ซึ่งหากอยู่ในสถานะก๊าซจะมีชื่อเรียกว่า “ฟอร์มัลดีไฮด์” ใน ทางการแพทย์จะใช้ฟอร์มาลินในการดองศพไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ฆ่าเชื้อรา และทำความสะอาดห้องผู้ป่วย ส่วนในอุตสาหกรรมสิ่งทอจะใช้เป็นน้ำยาอาบผ้าไม่ให้ย่น นอกจากนี้คุณสมบัติที่ช่วยฆ่าเชื้อโรคและเชื้อรา ยังถูกนำไปใช้ในการเก็บรักษาธัญพืชหลังการเก็บเกี่ยวและใช้เพื่อป้องกันแมลง แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้ จึงมีคนหัวใสนำฟอร์มาลินมาราดใส่ลงในอาหารสดเพื่อให้คงความสดได้นาน ไม่เน่าเสียเร็ว ซึ่งอาหารที่มักจะพบว่ามีฟอร์มาลินอยู่ อาทิ อาหารทะเลต่างๆ โดยเฉพาะปลาหมึก เนื้อสัตว์ต่างๆ ผักสด เช่น ถั่วฝักยาว หน่อไม้ ยอดมะพร้าว ผักกาดขาว ฯลฯ ดังที่บอกว่าฟอร์มาลินนั้นเป็นสารเคมีที่มีพิษ ซึ่งหากสูดดมฟอร์มาลินเข้าไปจะมีผลต่อระบบหายใจ คือ แสบจมูก เจ็บคอ ไอ หายใจไม่ออก หากสูดดมในปริมาณมากอาจทำให้ปอดอักแสบ น้ำท่วมปอด และอาจเสียชีวิตได้ ส่วนผลต่อระบบผิวหนังคือ ทำให้เกิดผื่นคัน จนถึงผิวหนังอาจไหม้ หรือเปลี่ยนเป็นสีขาวได้หากสัมผัสกับฟอร์มาลินโดยตรง ในส่วนของการนำฟอร์มาลินมาใช้กับอาหาร หากบริโภคอาหารที่ถูกปนเปื้อนเข้าไปในปริมาณมาก จะเกิดพิษต่อระบบทางเดินอาหาร อาจมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ปวดท้อง ในปากและคอแห้ง หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก อาจมีอาการถ่ายท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะไม่ออกหรือปัสสาวะเป็นเลือด มีอาการเพลีย เหงื่อออก ตัวเย็น คอแข็ง และเคยมีรายงานว่ามีผู้กินฟอร์มาลิน 2 ช้อนโต๊ะเพื่อฆ่าตัวตาย พบว่าตายในเวลา 3 ชั่วโมงหลังจากได้รับสารดังกล่าว และเมื่อผ่าศพชันสูตรพบแผลไหม้ในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก นอกจากผลที่เกิดขึ้นในระยะสั้นที่ปรากฏอาการให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีรายงานผลจากฟอร์มาลินในระยะยาว โดยสารฟอร์มัลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารประกอบของฟอร์มาลิน เป็นสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย การหลีกเลี่ยงฟอร์มาลินที่ปนเปื้อนในอาหาร อาจจะดูเป็นเรื่องยากหากต้องซื้อหาผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ต่างๆ จากท้องตลาดทั่วไป ผู้บริโภคควรจะต้องอาสัยการสังเกตลักษณะของอาหารว่ามีความแตกต่างจากปกติ หรือไม่ อาทิ เนื้อสัตว์ หากวางขายอยู่นาน ถูกแดดถูกลมแล้วก็น่าจะมีลักษณะเหี่ยวลง ดูไม่สดเหมือนเดิม แต่ถ้ายังดูมีความสดมากๆ แม้จะวางขายอยู่นานแล้ว หรือหากมีกลิ่นฉุนๆ แสบจมูก ก็ไม่ควรซื้อมาบริโภค
  11. การปฏิรูปประเทศฝากเรื่องนี้ด้วยครับ เพราะเกี่ยวข้องกับสุขภาพของคนทั้งประเทศ และลดปัญหาความเจ็บป่วย ***การเปลี่ยนมาทำการเกษตรแบบไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะต้องอาศัยเวลาใน การปรับหน้าดินให้ดีขึ้นถึง 3 ปี แต่ละ อบต.จะต้องช่วยเกษตรกร โดยจัดตั้งกองทุนขึ้นและคิดดอกเบี้ยในราคาถูกหรือไม่คิดเลย รวมถึงต้องดึงคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ให้หันกลับมาเป็นทำการเกษตร เป็นพ่อค้าแม่ค้าขายผักออแกนิกก็จะสามารถช่วยได้อีกทางหนึ่ง อย่าง อบต.แม่ทา ก็ดำเนินการด้วยวิธีการดังกล่าว พบว่า สุขภาพของคนในพื้นที่ดีขึ้น ที่สำคัญเกษตรกรหันกลับมาทำการเกษตรแบบยั่งยืนไร้สารพิษกว่า 70-80% แล้ว ไทยนำเข้ายาฆ่าหญ้ามากสุดในภูมิภาค เหตุขี้เกียจกำจัดเอง ไทย นำเข้ายาฆ่าหญ้ามากสุดในภูมิภาค เหตุขี้เกียจกำจัดเอง อึ้ง! ฉีดพ่นยาฆ่าแมลง 100 กก.โดนแมลงแค่ 1 กก.ที่เหลือฟุ้งในอากาศ สะสมในพืช ดิน น้ำ และร่างกาย นักวิชาการระบุแบนสารเคมียากเหตุข้อมูลสุขภาพไม่เพียงพอ ภาคเอกชนชี้แบนแล้วโดนดันเข้าตลาดมืดทันที แล้วแอบมาขายให้เกษตรกร น.ส.แสงโฉม ศิริพานิช นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวระหว่างการเสวนา “ระดมพลังร่วมกันยกเลิกสารเคมีกำจัดศัตรูพืช อันตราย!!!” ในเวทีสานงาน เสริมพลัง ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่ จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระหว่างวันที่ 28-29 พ.ค. 2556 เนื่องในโอกาสครบรอบ 12 ปีการดำเนินงานของ สสส.ว่า ประเทศไทยนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะยาฆ่าหญ้าที่มีการนำเข้ามากกว่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชชนิดอื่น และประเทศอื่นในภูมิภาคโดยรอบ อาทิ พม่า กัมพูชา เวียดนาม อินเดีย จีน ปากีสถาน และเนปาล เป็นต้น เนื่องจากต้องการเน้นความสะดวกสบายและความรวดเร็วในการฆ่าหญ้า ทั้งนี้ ใน การฉีดสารเคมีกำจัดศัตรูพืชครั้งหนึ่งจำนวน 100 กิโลกรัม พบว่า มีโอกาสฉีดถูกแมลงเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนอีก 99 กิโลกรัมที่เหลือจะปลิวไปในอากาศ 30 กิโลกรัม ระเหยไป 10 กิโลกรัม พลาดแมลงเป้าหมาย 15 กิโลกรัม และตกค้างอยู่บนพืช อยู่ในดิน ในน้ำ อีก 41 กิโลกรัม ทำให้เกษตรกรได้รับสารเคมีเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ทุกวันนี้ลูกหลานของเกษตรกรจำนวนหนึ่ง ประสบปัญหาทางด้านสุขภาพตั้งแต่แรกคลอด เนื่องจากมีการถ่ายทอดสารพิษจากแม่ไปยังลูก น.ส.แสงโฉม กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาในการยกเลิกการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ เจ้าหน้าที่รัฐยังมีข้อมูลสุขภาพที่ไม่เพียงพอ ยกตัวอย่าง แลนเนท ที่มักปรากฏเป็นข่าวหลายครั้งจากการนำมาใช้ฆ่าตัวตาย ทำร้ายผู้อื่น หรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างใช้งาน แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไม่พยายามผลักดันให้ยกเลิกสารเคมีตัวนี้ แต่เนื่องจากมีข้อมูลสุขภาพที่ไม่เพียงพอ เช่น คนที่มาแจ้งว่าใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชแล้วเกิดผลเสียต่อสุขภาพก็ไม่สามารถ ระบุได้ว่าเกิดการใช้จากสารเคมีชนิดใด ทางบริษัทจึงสามารถขายสารเคมีกำจัดศัตรูพืชดังกล่าวต่อไปได้ เพียงแต่ระบุว่าจะใส่สีลงไป เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจากการใช้งาน นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า การยกเลิกสารเคมีกำจัดศัตรูพืชได้มีการขับเคลื่อนมานานแล้ว โดยเฉพาะสารเคมีที่มีอันตรายสูง 4 ชนิด คือ คาร์โบฟูราน ไดโครโตฟอส อีพีเอ็น และเมโทมิล แต่พบว่ายังไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากคณะอนุกรรมการพิจารณาข้อมูลและกลั่นกรองความเป็นอันตรายของวัตถุ อันตรายชนิดต่างๆ ได้แจ้งกลับมายังกรมวิชาการเกษตรที่เสนอให้ยกระดับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้ง 4 ชนิดดังกล่าวให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 จะต้องมีการประเมินความเสี่ยงตามสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่ง ชาติ รวมถึงให้ผู้ขอขึ้นทะเบียนทำการประเมินความเสี่ยงมาก่อน ทำให้ยังไม่สามารถยกระดับเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ได้ ทั้งที่มีการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นแล้ว “ที่สำคัญต่างประเทศล้วนยกเลิกการใช้ สารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้ง 4 ชนิดนี้แล้ว หากไทยสามารถยกเลิกการใช้สารเคมีดังกล่าวได้ จะช่วยให้ลดปัญหาการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรได้ถึง 1 ใน 3 และหากสามารถจัดการสารทั้ง 4 ตัวนี้ได้เชื่อว่าสารตัวอื่นก็จะทำได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่า สารที่กำลังจะถูกแบนอย่างคาร์โบฟูราน บริษัทสารเคมีจะส่งสารอีกตัวที่คล้ายกันมาขายแทน เช่น คาร์โบซัลแฟน” ผอ.มูลนิธิชีววิถี กล่าว นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ สภาหอการค้าไทย กล่าวว่า สภาหอการค้าไทยไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องปัญหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เพราะในฐานะที่เป็นผู้บริโภคก็ไม่อยากให้เกิดอาหารที่ไม่ปลอดภัยขึ้น แม้เราจะสนับสนุนการยกเลิกสารเคมีกำจัดศัตรูที่อันตราย แต่เบื้องต้นควรที่จะให้ความรู้ในการใช้สารเคมีแก่เกษตรกรก่อน เพราะทุกวันนี้เกษตรกรไม่มีองค์ความรู้เลย โดยหน่วยงานที่ต้องเข้ามาแก้ปัญหาคือภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งต้องกลับมาตั้งคำถามว่าทุกวันนี้เจ้าหน้าที่รัฐอ่อนแอหรือไม่ ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง หากรัฐทำหน้าที่เหล่านี้ได้ไม่สมบูรณ์ควรให้ภาคเอกชนเป็นผู้ดำเนินการเรื่อง ความปลอดภัยแทนหรือไม่ เพราะต่างประเทศก็ให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการภายใต้การควบคุมทางกฎหมายของภาค รัฐอีกทีหนึ่ง อาจจะทำให้ความปลอดภัยในการใช้สารเคมีเพื่อการเกษตรมีความปลอดภัยมากขึ้นใน ระดับสากล “หากแบนสารเคมีเลยอาจมีความเสี่ยง มากกว่า เพราะสารเคมีที่ถูกแบนจะถูกส่งเข้าตลาดมืดทันที แล้วแอบนำเอามาบรรจุขวดขายให้แก่เกษตรกร ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่เคยควบคุมเรื่องนี้ได้เลย นอกจากนี้ ควรที่จะให้ข้อมูลเรื่องอาหารปลอดภัยแก่ผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก เช่น ทำคิวอาร์โค้ด ติดบนอาหารปลอดภัย เมื่อผู้บริโภคจะเลือกซื้อก็สามารถสแกนและทราบได้เลยว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมา จากแหล่งผลิตใด ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรผู้ผลิตปฏิวัติตัวเองด้วยการไม่ใช้สารเคมีมากขึ้น” นายชูศักดิ์ กล่าว ด้าน นายกนกศักดิ์ ดวงแก้วเรือน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทา จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การจะเปลี่ยนให้เกษตรกรหันมาทำการเกษตรแบบยั่งยืน ไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย เช่น หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ต้องให้ข้อมูลสุขภาพแก่ประชาชนอย่างสม่ำเสมอว่า สารเคมีจะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายอย่างไร เพื่อให้เกษตรกรกลัวการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ทั้ง นี้ การเปลี่ยนมาทำการเกษตรแบบไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะต้องอาศัยเวลาในการ ปรับหน้าดินให้ดีขึ้นถึง 3 ปี แต่ละ อบต.จะต้องช่วยเกษตรกร โดยจัดตั้งกองทุนขึ้นและคิดดอกเบี้ยในราคาถูกหรือไม่คิดเลย รวมถึงต้องดึงคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ให้หันกลับมาเป็นทำการเกษตร เป็นพ่อค้าแม่ค้าขายผักออแกนิกก็จะสามารถช่วยได้อีกทางหนึ่ง อย่าง อบต.แม่ทา ก็ดำเนินการด้วยวิธีการดังกล่าว พบว่า สุขภาพของคนในพื้นที่ดีขึ้น ที่สำคัญเกษตรกรหันกลับมาทำการเกษตรแบบยั่งยืนไร้สารพิษกว่า 70-80% แล้ว
  12. ไม่ ได้ค้านเรื่องการก่อหนี้ แต่ประเทศเราใช้เกณท์แบบฝรั่งว่ายอดหนี้ไม่เกิน60%ของจีดีพีแล้วปลอดภัยอาจ ไม่จริง บริบทมันต่างกันหลายอย่างครับ ฝากผู้มีอำนาจพิจารณาประกอบการตัดสินใจก่อหนี้ ประการแรก ฝรั่งเก็บภาษีได้ในอัตราสูงกว่าเราราว 2 เท่าตัวฝรั่งโดยทั่วไปเก็บภาษีได้ในอัตราสูงกว่า 30% และประการที่สอง ฝรั่งใช้ภาษีที่เก็บมาได้นั้นหมดไปกับการดำเนินงานรายวันจำพวกค่าน้ำ ค่าไฟ และจ่ายเป็นเงินเดือนราว 60% ส่งผลให้เหลือเงิน 40% ที่สามารถนำไปใช้หนี้หรือลงทุนได้ ส่วนไทยเรานำภาษีที่เก็บได้ไปใช้เพื่อการดำเนินงานรายวันเสีย 80% ทำให้เหลือเพียง 20% ----------------------------------------------------------------- ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ โดย ดร.ไสว บุญมา แม้ชื่อบทความดูจะเกี่ยวโยงกับไสยศาสตร์ แต่ขอเรียนว่าเรื่องที่จะเขียนต่อไปไม่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ แก่นของเนื้อหามาจากแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์ไทย ซึ่งสอนอยู่ในมหาวิทยาแห่งหนึ่งในภาคอีสานและเคยทำงานกับองค์การอวกาศของสหรัฐอเมริกาชื่อ ทวิช จิตรสมบูรณ์ อาจารย์ท่านนี้มีวิธีคิดแบบหนึ่งซึ่งมักจะทะลุออกไปนอกกรอบที่คนทั่วไปใช้ อ้างอิง ผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์แต่เคยศึกษาวิถีของนักวิทยาศาสตร์และปราชญ์มาบ้าง ผมมองว่าอาจารย์ทวิชคิดแบบนักวิทยาศาสตร์และปราชญ์ที่แท้จริง การคิดแบบดังกล่าวนี้ในหลายๆ กรณีนำไปสู่การศึกษา ทดลองและวิจัยจนได้ผลอันทรงคุณค่าแก่สังคมมนุษย์ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น บางทีจะมีผู้ลบหลู่และหัวเราะเยาะ หรือหาว่าคงบ้าไปแล้ว ผมติดตามแนวคิดของอาจารย์ทวิชมาหลายปี ผมมองว่าเรื่องที่จะนำมาเล่านี้อาจมีผู้หัวเราะเยาะ แต่คนไทยควรนำไปพิจารณาโดยเฉพาะผู้ที่มีอำนาจบริหารประเทศและนักเศรษฐศาสตร์ ที่บริการคนเหล่านั้นอยู่ อาจารย์ทวิชมองว่า ตำราฝรั่งเกี่ยวกับการคำนวณภาระหนี้สินของประเทศนั้นใช้กับเมืองไทยไม่ได้ เนื่องจากเมืองไทยเก็บภาษีได้ต่ำกว่าฝรั่งอย่างดินกับฟ้า แต่ใช้จ่ายเงินภาษีที่เก็บมาได้หมดไปในด้านการดำเนินงานรายวันมากกว่าฝรั่ง นักเศรษฐศาสตร์และนักการเมืองมักอ้างกันว่า ถ้าหนี้สินของประเทศอยู่ในอัตราต่ำกว่า 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เรามักเรียกกันติดปากว่า “จีดีพี” ประเทศจะสามารถชำระหนี้ได้แบบไร้ปัญหา การคิดตามแนวนี้กำลังนำไปสู่การกู้เงินจำนวน 2.2 ล้านล้านบาทเนื่องจากมันจะทำให้ภาระหนี้สินของชาติเพิ่มขึ้นเป็นราว 60% ของจีดีพีพอดิบพอดีจากภาระหนี้ซึ่งมีอยู่ประมาณ 44% ของจีดีพีในปัจจุบัน การที่ตัวเลขถูกดีดออกมาเป็นเช่นนั้นอาจารย์ทวิชตั้งข้อสงสัยอันน่าฟังว่า เพราะรัฐบาลคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะนำเอาตำราฝรั่งมาอ้างเพื่อกล่อมคนไทยว่า หนี้ใหม่นี้จะไม่เป็นภาระที่สูงเกินไป ตามแนวคิดของอาจารย์ทวิช เราใช้เกณฑ์ 60% ของจีดีพีไม่ได้ด้วยปัจจัยสองประการ คือ ประการแรก ฝรั่งเก็บภาษีได้ในอัตราสูงกว่าเราราว 2 เท่าตัว และประการที่สอง ฝรั่งใช้ภาษีที่เก็บมาได้นั้นหมดไปกับการดำเนินงานรายวันจำพวกค่าน้ำ ค่าไฟ และจ่ายเป็นเงินเดือนราว 60% ส่งผลให้เหลือเงิน 40% ที่สามารถนำไปใช้หนี้หรือลงทุนได้ ส่วนไทยเรานำภาษีที่เก็บได้ไปใช้เพื่อการดำเนินงานรายวันเสีย 80% ทำให้เหลือเพียง 20% เท่านั้นที่จะนำไปใช้หนี้ หรือเพื่อการลงทุนได้ (อาจารย์ทวิชบอกว่างบประมาณการศึกษาที่ได้ผลอันน่าอับอายของเราใช้เงินใน อัตราสูงเป็นเกือบสองเท่าของชาวโลก) ฉะนั้น ถ้านำตัวเลขคร่าวๆ เหล่านี้มาใช้เป็นเกณฑ์ เมืองไทยไม่ควรมีหนี้สินสูงเกิน 15% ของจีดีพี หรือภาระหนี้ที่อ้างว่า 60% นั้นอันที่จริงเป็น 240% ขอเรียนว่าตามความเป็นจริง ฝรั่งโดยทั่วไปเก็บภาษีได้ในอัตราสูงกว่า 30% ของจีดีพีโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียที่มีรัฐสวัสดิการสูงและ คนไทยชอบอ้างว่าอยากทำตามเขาบ้างทั้งที่เราเก็บภาษีได้เพียงเศษของเขาเท่า นั้น นั่นคือ ไทยเก็บภาษีได้ราว 17% ของจีดีพีในขณะที่เดนมาร์กเก็บได้ 49% ฟินแลนด์ 44% นอร์เวย์ 44% และสวีเดน 46% อัตราภาษีของเรานอกจากจะต่ำกว่าของเขามากแล้ว เมื่อได้เป็นเงินออกมาก็ยังต่ำกว่าของเขาแบบเทียบไม่ติดอีกด้วย ทั้งนี้เพราะรายได้ของเราต่ำกว่าของเขามาก อาทิเช่น เรามีรายได้ต่อหัวคนราว 8,600 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่เดนมาร์กมีกว่า 40,000 ดอลลาร์ (17% ของ 8,600 คือ 1,462 ดอลลาร์ ส่วน 49% ของ 40,000 คือ 19,600 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่าเขาเก็บภาษีเป็นรายคนได้เกินกว่า 13 เท่าของเรา แต่เราทราบดีแล้วว่าการรักษาพยาบาลซึ่งเป็นส่วนสำคัญของรัฐสวัสดิการนั้นใช้ เงินไม่ต่างกันมากนักเนื่องจากต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือแบบทันสมัยคล้าย กัน ฉะนั้น โบราณจึงเตือนว่าเมื่อเห็นช้างถ่าย ไม่ควรพยายามทำตามมัน) สำหรับในด้านภาระหนี้สิน จะเห็นว่าญี่ปุ่นมีหนี้สูงถึงกว่า 235% ของจีดีพี แต่ญี่ปุ่นยังไม่ล้มละลายเพราะสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเวลา อาจจำกันได้ว่าประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป 4 ประเทศที่ล้มละลายและต้องไปขอความช่วยเหลือจากภายนอกได้แก่ไอร์แลนด์ โปรตุเกส กรีซและไซปรัส ประเทศเหล่านี้มีภาระหนี้สินระหว่าง 87% ถึง 170% ของจีดีพี ตัวเลขเหล่านี้ชี้บ่งว่า ตัวที่จะชี้ว่าประเทศเสี่ยงต่อการล้มละลายหรือไม่มิใช่มีเพียงตัวเดียวเท่า นั้น ซึ่งอาจารย์ทวิชพยายามจะบอก และเราอย่าไปลอกของเขามาทั้งดุ้นเนื่องจากภาวะของเราต่างกับของเขามาก นอกจากนั้น อาจารย์ยังพูดถึงเรื่องอื่นที่มีความสำคัญยิ่ง อาทิเช่น ความคุ้มค่าของการลงทุน การรั่วไหลของเงินกู้และความจำเป็นเร่งด่วนมีหรือไม่ แม้จะไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่อาจารย์ทวิชพูดถึงเรื่องเหล่านี้ได้ดีกว่านักเศรษฐศาสตร์ของรัฐบาลเสีย อีก ทั้งนี้คงเพราะนักเศรษฐศาสตร์บางคนเป็นจำพวกเมธีบริกรที่มักบิดเบือนหลัก วิชาการเพื่อเอาใจเจ้านายในวงการเมือง โดยสรุป รัฐบาลไม่ควรยึดตัวเลขในตำราฝรั่งเป็นเกณฑ์สำหรับประเทศไทย หากใช้วิธีคิดที่อาจารย์ทวิชเสนอ ส่วนเกณฑ์ที่ได้ออกมาอาจไม่ตายตัวนัก แต่หากคิดกันแบบตรงไปตรงมา เงินกู้นำไปลงทุนแบบคุ้มค่า จัดเรียงตามลำดับเวลาก่อนหลังอย่างเหมาะสมโดยปราศจากความฉ้อฉล ผลย่อมออกมาดี ในด้านส่วนตัว ผมมีข้อสังเกตว่าการศึกษาความคุ้มค่าของโครงการลงทุนและความจำเป็นก่อนหลัง ยังมิได้ทำกัน ฉะนั้น กฎหมายกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทเป็นเสมือนการเซ็นเช็คเปล่าให้ฝ่ายบริหารซึ่งย่อมผิดทั้งหลักการ บริหารและหลักการพัฒนาประเทศแน่นอน ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/ ทราบไหมครับว่า ประเทศไทยที่มีพลเมืองกว่า 60ล้านคน มีคนไทยราว 2ล้านคนเท่านั้นที่เสียภาษีเงินได้ มีคนที่ศรัทธารัฐบาลชุดนี้มากมากที่อ้างว่า ประเทศชาติจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกหลายทางจากโครงการอภิมหากู้นี้ ลองพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะสามารถคุ้มทุนใน 50 ปี โดยใช้ข้อมูลจากไทยวีกิ สถานีกลางบางซื่อ และ สถานีรถไฟเชียงใหม่ ระยะทาง: ประมาณ 679 กิโลเมตร มูลค่าการลงทุนรวม: ราว 387,821 ล้านบาท รถไฟขนความเร็วสูงขนคนเที่ยวละ800คน ตีว่าวิ่งไปกลับวันละ5เที่ยว ค่าโดยสารคนละ1,500บาท จะมีรายได้ปีละ4,400ล้าน (ยังไม่คิดต้นทุนค่าบริหาร ค่าเชื้อเพลิง ค่าซ่อมบำรุง ดอกเบี้ย) 50ปี เ็ป็นเงิน2.19แสนล้านบาท (เป็นรายได้ที่ยังไม่หักต้นทุน) ผมสนับสนุนการลงทุนในส่วนของรถไฟรางคู่ทั่วประเทศก่อน พร้อมทั้งศึกษาเรื่องของรถไฟความเร็วสูงควบคู่ไปด้วย ให้ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน (นายประภัสร์ จงสงวนจากพรรคเพื่อไทยเอง) จัดการการรถไฟให้ไม่ขาดทุนการบริการเป็นที่ยอมรับ คนขึ้นรถไฟมากขึ้น ตอนนั้นยังทำรถไฟความเร็วสูงยังทัน และสามารถใช้เวลาน้อยกว่านี้อีกด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีการก่อสร้าง โดย สิงห์นอกระบบ
  13. Paisal Puechmongkol 7 ชั่วโมงที่แล้ว · บนฟ้ามีกรมการบินและวิทยุการบิน เขาจัดระเบียบ บนนถนน ถ้า กอรมน จัดระเบียบ ดังว่าแล้วในทะเลละเอาไงดี ถิ่นทะเลนั้นเป็นแหล่งอาหารนะครับ ทุกวันเห็นลุงบรรจง นะแส รณรงค์เรื่องการฟื้นความสมบูรณ์ของทะเลทุกวัน ต้านอวนรุนทุกวัน ผมก็ช่วยแชร์ทุกวัน ก็มีน้ำใจเดียวกัน ทะเลไทยวันนี้ถูกรุกรานโดยพวกอิทธิพลใหญ่มากหลาย ทำลายอาหารของพี่น้องไทยอย่างย่อยยับ กรมประมงได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ยามปกติใช้อวนรุนกวาดสัตว์น้ำวัยอ่อนไม่เลือกหน้า เอาไปขายเข่งทำอาหารสัตว์ ทำลายอาหารคนเอาไปเป็นอาหารสัตว์ ทำให้อาหารคนร่อยหรอ จนทะเลบางที่เหลือแต่น้ำ ยามฟน้าวางไข่ กรมประมงห้าม ก็ยังออกล่า หน้าตาเฉย ที่อุบาทว์หนักคือใช้กระแสไฟฟผ้าชอรตเอาที่ละตารางกิโลเมตร สัตว์น้ำตายเกลี้ยง โชคดีที่อ่าวไทยและอันดามันเป็นทะเลเปิด พระสมุทรจึงยังประทานสัตว์น้ำตามคลื่นเข้ามา เราปล่อยอย่างนี้ไม่ได้หรอกครับ จัดระเบียบเสียทีเถิด ปกป้องคุ้มครองอาหารของคนไทย แต่ต้องพึุ่งทหารเรือช่วยแหล้วแหละครับ จะทำกันอย่างไรทหารเรือท่านเก่งอยู่แล้ว ขอให้นายบอกว่าเอาจริงเว้ย ก็พอ
  14. ปฏิรูปประเทศ เรื่องgmosเนี่ย น่าห่วงมาก ต้องหาวิธีป้องกัน ไม่งั้นเกษตกรล่มจมแน่ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เตือน พืช GMO อันตราย มกุฎ ราชกุมารแห่งเวลส์ทรงเตือน "พืชจีเอ็มโอ" อาจก่อมหันตภัยใหญ่หลวง ชนิดที่ไม่เคยประสบกันมาก่อนแก่โลก และทรงเป็นห่วงเกษตรกรรายย่อย เมื่อต้องใช้เมล็ดพันธุ์ตัดต่อ อาจต้องรับเคราะห์ เพราะโดนบริษัทยักษ์ใหญ่แย่งที่ดินทำกิน และครอบครองพื้นที่เกษตรกรรมแต่เพียงผู้เดียว หนังสือพิมพ์เดอะเดลีเทเลกราฟ (The Daily Telegraph) ของอังกฤษ ฉบับวันที่ 13 ส.ค.51 ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์พิเศษ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารแห่งเวลส์ ซึ่งทรงแสดงความกังวลว่า พืชดัดแปลงพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) อาจก่อให้เกิดปัญหา ในเรื่องของความปลอดภัยด้านอาหาร และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างใหญ่หลวง รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทยักษ์ใหญ่ เข้าครอบครองการทำเกษตรกรรม และสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรรายย่อยทั่วโลก ปัจจุบัน พืชดัดแปลงพันธุกรรม ได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างมากมาย แพร่หลายทั่วโลก ประกอบกับปัญหาผลผลิตทางการเกษตร ก็ได้รับความเสียหายจากโรค แมลง และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จนนำไปสู่ความกังวลในเรื่องภาวะขาดแคลนอาหาร ซึ่งก็เริ่มมีสัญญาณจากราคาผลิตผลทางการเกษตร ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงเป็นห่วงว่า หากยังคงแก้ปัญหาดังกล่าว ด้วยการโดยใช้พืชจีเอ็มโอ อาจทำให้เกิดมหันตภัยใหญ่หลวง ต่อสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคต และหากการผลิตอาหาร ยังอยู่ในครอบครองของบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ แต่เพียงผู้เดียว ก็จะทำให้เกิดหายนะโดยสมบูรณ์แบบ อีกทั้ง การทดลองโครงการใหญ่ๆ โดยใช้ธรรมชาติและมนุษย์เป็นเครื่องมือ ถือเป็นการทดลองที่เดินผิดทางอย่างร้ายแรง "ตอนนี้เราควรจะมาพูดกัน ถึงเรื่องความปลอดภัยของอาหาร ไม่ใช่ปริมาณของผลผลิต ซึ่งนั่นเป็นประเด็นที่กำลังเกิดขึ้น และเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ " มกุราชกุมารวัย 59 พรรษา ยังทรงให้สัมภาษณ์อีกว่า การใช้พืชจีเอ็มโอ จะทำให้เกษตรกรรายย่อย ที่มีอยู่ทั่วโลกต้องตกเป็นเหยื่อของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่จะเข้าไปควบคุมและครอบครองการผลิตอาหารในภาคเกษตรกรรมเกือบทั้งหมด "ถ้าพวกเขาคิดว่านี่เป็นวิธีที่ควร เพราะมียีนที่ดี ที่ได้จากการตัดต่อ เห็นทีบทสรุปของพวกเรา ก็คงต้องลงเอยด้วยการที่เกษตรกรรายย่อยหลายล้านคนทั่วโลก ต้องละทิ้งที่ทำกินของพวกเขา และเผชิญหน้ากับสิ่งที่หาความยั่งยืนไม่ได้ อีกทั้งยังเสื่อมถอยลง โดยที่จะไม่สามารถควบคุม และจัดการมันได้โดยง่ายเหมือนแต่ก่อน" เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ตรัส เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ยังทรงยกตัวอย่างอินเดีย ที่สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย จนได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ อันเนื่องมาจากความเร่งรีบ เพิ่มผลผลิตพืชอาหารจีเอ็มโอมากจนเกินไป อีกทั้งการปฏิวัติเขียว (Green Revolution) เพื่อการเกษตรกรรม ในอินเดียที่เป็นผลดี แต่เพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็หมดไปแล้ว เพราะเปิดรับพืชจีเอ็มโอ "ฉันเคยไปที่ปัญจาบมา ที่นั่นคุณจะเห็นถึงความหายนะ ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการการชลประทานที่มากเกิน อันเนื่องมาจากการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ลูกผสม ที่ต้องการน้ำในปริมาณมากกว่าปกติหลายเท่า ทำให้ต้องประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำ ร่วมกับปัญหาการใช้ยาฆ่าแมลง และอื่นๆ" "ส่วน ในออสเตรเลียทางด้านตะวันตก ต้องประสบกับปัญหาดินเค็มอย่างมาก เนื่องจากว่าเน้นการทำเกษตรกรรมสมัยใหม่ในเชิงรุกมากจนเกินไป" เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงยกตัวอย่าง นอกจากนี้ ยังทรงให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกว่า ถ้าเราทำการเกษตรโดยไม่ใช้ผู้ช่วยตามธรรมชาติ จะก่อให้เกิดปัญหามากมายเกินกว่าที่เราคาดคิด ซึ่งทั้งยากและใช้งบประมาณสูงมากหากจะแก้ไขให้เหมือนเดิมเมื่อครั้งที่ยัง ไม่เกิดปัญหา อย่างไรก็ดี เป็นที่ทราบกันดีว่า มกุฏราชกุมารแห่งเวลส์ทรงให้การสนับสนุนการเกษตรอินทรีย์ ซึ่งคำให้สัมภาษณ์ของพระองค์ต่อเดลี เทเลกราฟ ในครั้งนี้ แสดงพระประสงค์ที่จะต่อต้านการเพาะปลูก และใช้ผลผลิตจากจีเอ็มโอเป็นอาหารโดยตรง.
  15. 2475 ปฎิวัติ แล้วได้อะไร แค่เป็นการยึดอำนาจมาจากองค์กษัตริย์ แล้วแค่จัดการเลือกตั้งเท่านั้น ประชาชนไม่รู้ความสำคัญของการเลือกตั้ง จึงมีการซื้อสิทธิขายเสียงมาตลอด ผิดตั้งแต่ตอนนั้น ต้องปฎิรูปประเทศก่อนครับ ---เคยมีคนโพสว่า ถ้ามีระเบิดลงทำเนียบในเวลาประชุมสภา แล้วส.ส.ตายหมดทั้งสภา ประเทศเราจะสูงขึ้นทันที มีคนเคยพูดว่าประเทศเราเดินหน้ามาได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะข้าราชการนักธุรกิจและประชาชน(แต่ที่ล้าหลังประเทศอื่นเพราะนักการ เมือง) ผมมองว่าจริง ลองดูว่าประเทศเราเคยมีรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ที่ในชีวิตรู้จักแค่ยาพาราเซตามอลและแอนตาซิลเท่านั้น เราเคยมีรัฐมนตรีกระทรวงการคลังที่ไม่รู้ว่าขาดดุลบัญชีเดินสะพัดคืออะไร ---เรายังไม่ต้องรีบร้อนเลือกตั้งก็ได้ แต่ละหน่วยงานมีข้าราชการในหน่วยงานอยู่แล้ว แต่ละหน่วยงานรับผิดชอบกันไปก่อน เรื่องที่ต้องให้รัฐมนตรีเซน ให้ผ่านการประชุมของคณะกรรมการของหน่วยงานนั้นก่อน แต่ต้องมีบันทึกการประชุมอย่างชัดเจน ว่าใครเลือกแบบไหน ลงให้ละเอียด ไม่ต้องกลัวโกง เพราะแก้กฎหมายให้อายุคอร์รับชั่นไม่มีอายุความ เรื่องที่ต้องทำอันดับแรกก่อนการเลือก ตั้ง คือให้ข้อมูลกับประชาชน ว่าการเลือกตั้งสำคัญอย่างไร แลัวส่งผลเสียอย่างไร วิธีการทำไง ผมคิดมาบ้างแล้ว ลองอ่านดูครับว่าใช้ได้มั้ย ต้องแก้ไขอะไร -----ตั้งงบประมาณเพื่อให้ข้อมูลว่าการเลือกตั้งสำคัญอย่าไร ถ้าได้คนไม่ดี เขาและประเทศจะเสียหายมากมายขนาดไหนอย่างไร สอนให้รักชาติ เอาพระกรณีกิจที่พระองค์ท่านลำบากลำบนในช่วงต่างๆในอดีต มาฉายให้ดู จัดเป็นการอบรม3-5วัน ไม่มีการบังคับ คนที่เข้ารับการอบรมจะได้เงินวันละ300-500บาท/วัน(สำหรับคนที่มีสิทธิเลือก ตั้งแล้ว) จัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ จัดหลายรอบในแต่ละพื้นที่ 1คนเข้ารับการอบรมได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น โดยใช้บัตรประชาชนเป็นหลักฐาน ใช้ระบบคอมช่วยตรวจสอบการเข้าฟังซ้ำ ---งบประมาณหาจากไหน ทำไมที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เคยแจกเงินให้ประชาชนคนละ2,000บาท(สำหรับคนที่มี รายได้ไม่เกิน15,000บาทมาแล้ว) ยังทำได้มาแล้ว เงินกู้2ล้านล้านบาทที่ยังไม่มีแผนงานชัดเจนยังอนุมัติได้เลย เอามาจากงบพัฒนาจังหวัดของส.ส.ก็น่าจะได้นะ ---เงินส่วนนี้ถ้าคุมการรั่วไหลดี ผมว่าไม่กี่หมื่นล้านก็น่าจะได้ผลระดับนึงเลย หนึ่งหมื่นล้าน/2500บาท(500 บาท5วัน) อบรมได้ถึง4ล้านคนเลยครับ คนไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ยังไม่ต้องอบรมเพราะตอนนี้รีบ คนมีรายได้สูงกว่า500 ก็คงไม่สนใจมาอบรม ผมถึงว่าไม่กี่หมื่นล้านก็น่าจะพอครับ โครงการนี้จบแล้วค่อยจัดให้มีการเลือกตั้ง ---ส่วนเรื่องการปฎิรูปการศึกษา ผมมองว่าต้องเริ่มจากคุณครูก่อนครับ สำคัญที่สุดคุณครู้ต้องเป็นคนรักเด็ก
  16. หยุดสักนิดคิดให้ดีก่อนที่จะจัดให้มีการเลือกตั้ง ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างกับอเมริกาและประเทศในแถบยุโรป อเมริกามีหนี้สินมากเป็นอันดับ1ของโลก ปัญหาเศรษฐกิจนับตั้งแต่วิกฤติในปี2008จนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่ดีขึ้นทั้งๆที่ อัดเงินเข้าไปอย่างมหาศาล(ข่าวที่แต่งต่างๆคือดีแล้วฟื้นแล้ว ลองเจาะหาข้อมูลดูครับยังไม่ฟื้นและรอวันล้ม) ส่วนกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรสถานะก็ไม่ต่างจากอเมริกา ใครจะล้มก่อนกันเท่านั้น สิ่งที่ต้องแก้และตีกรอบป้องกันคือเรื่อง ประชานิยม ถ้าการเลือกตั้งปล่อยให้มีประชานิยมแบบเสรี ถึงคุมการซื้อเสียงได้ ประชานิยมแบบเสรีก็ไม่ต่างจากการซื้อเสียงแบบถูกกฎหมาย ใครเสนอประชานิยมมากกว่าก็จะได้รับเลือกตั้ง อาจต้องคุมว่าในการหาเสียง งบในการทำประชานิยมแต่ละพรรคห้ามเกินเท่าไหร่ โครงการไหนใช้เงินส่วนกลางไปเท่าไหรต้องทำให้ชัดเจนก่อนหาเสียง การขึ้นค่าแรงก็หาเสียงได้แต่ห้ามเกินเท่าไหร่ ไม่เช่นนั้นโครงการคล้ายในอดีตจะโผล่ขึ้นมาอีกเช่น ค่าแรง300ทั่วประเทศ ข้าวทั่วประเทศตันละ15,000บาท กองทุนกู้ยืมหมู่บ้านละ1ล้าน โครงการประชานิยมทำได้ครับ แต่คุมว่าทุกโครงการประชานิยมของแต่ละพรรคต้องไม่เกินวงเงินที่กำหนดครับ
  17. อยากให้ทุกท่านช่วยเสนอ หรือโพสข้อเสนอที่น่าสนใจที่ไปอ่านเจอ เพื่อการปฏิรูปประเทศไทยเพื่ออนาคตที่ดีกว่า บ้านของพวกเราต้องช่วยกันติช่วยกันก่อครับ
  18. May 27, 2014 จอร์จ โซรอส เตือนคนอเมริกา ให้ถอนเงินของพวกเขาออกจากธนาคาร ก่อนที่จะสายเกินไป http://www.dcclothesline.com/2014/05/27/george-soros-tells-america-take-money-banks-late/
  19. หยุดสักนิดคิดให้ดีก่อนที่จะจัดให้มีการเลือกตั้ง ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างกับอเมริกาและประเทศในแถบยุโรป อเมริกามีหนี้สินมากเป็นอันดับ1ของโลก ปัญหาเศรษฐกิจนับตั้งแต่วิกฤติในปี2008จนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่ดีขึ้นทั้งๆที่อัดเงินเข้าไปอย่างมหาศาล(ข่าวที่แต่งต่างๆคือดีแล้วฟื้นแล้ว ลองเจาะหาข้อมูลดูครับยังไม่ฟื้นและรอวันล้ม) ส่วนกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรสถานะก็ไม่ต่างจากอเมริกา ใครจะล้มก่อนกันเท่านั้น สิ่งที่ต้องแก้และตีกรอบป้องกันคือเรื่อง ประชานิยม ถ้าการเลือกตั้งปล่อยให้มีประชานิยมแบบเสรี ถึงคุมการซื้อเสียงได้ ประชานิยมแบบเสรีก็ไม่ต่างจากการซื้อเสียงแบบถูกกฎหมาย ใครเสนอประชานิยมมากกว่าก็จะได้รับเลือกตั้ง อาจต้องคุมว่าในการหาเสียง งบในการทำประชานิยมแต่ละพรรคห้ามเกินเท่าไหร่ โครงการไหนใช้เงินส่วนกลางไปเท่าไหรต้องทำให้ชัดเจนก่อนหาเสียง การขึ้นค่าแรงก็หาเสียงได้แต่ห้ามเกินเท่าไหร่ ไม่เช่นนั้นโครงการคล้ายในอดีตจะโผล่ขึ้นมาอีกเช่น ค่าแรง300ทั่วประเทศ ข้าวทั่วประเทศตันละ15,000บาท กองทุนกู้ยืมหมู่บ้านละ1ล้าน โครงการประชานิยมทำได้ครับ แต่คุมว่าทุกโครงการประชานิยมของแต่ละพรรคต้องไม่เกินวงเงินที่กำหนดครับ
  20. Thanong Fanclub 8 ชั่วโมงที่แล้ว 1. ผู้ฝากเงินต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แบงค์ โลกการเงินกำลังหมุนกลับตาละปัด เพราะว่าต่อไปชาวยุโรปที่มีเงินฝากในธนาคารอาจจะต้องจ่ายดอกเบี้ย -- แทนที่จะได้ดอกเบี้ย --ให้กับธนาคาร นี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่เป็นแนวโน้มที่กำลังจะเกิดหลังจากที่ธนาคารกลางของยุโรป European Central Bankมีการสร้างประวัติศาสตร์การเงินหน้าใหม่ด้วยการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติด ลบ แสดงว่าเลือดเข้าตาECBแล้ว จากการประชุมบอร์ดECBครั้งล่าสุด มีมติออกมาว่า: 1. ลดดอกเบี้ยมาตรฐานของECBจาก0.25% เหลือ0.15% (ญี่ปุ่นอยู่ที่0.10%; สหรัฐฯอยู่ที่0.25%) 2. ลดดอกเบี้ยปล่อยกู้มาร์จิ้นของECB จาก0.80% เหลือ0.45% 3. ดำเนินมาตรการดอกเบี้ยติดลบครั้งแรกด้วยการชาร์จแบงค์พานิขย์ที่เอาเงินมาฝากกับECBที่ 0.10% 4. เตรียมทำLong Term Refinancing Operationอีกรอบหนึ่งในปริมาณ400,000ล้านยูโรเพื่ออุ้มแบงค์ 5. เตรียมการทำQEเหมือนเฟดของสหรัฐฯ ด้วยการพิมพ์เงินเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลของอียู และซื้อพันธบัตรเอกชนจากธนาคาร ข้อ3.น่าสนใจมากที่สุด เพราะว่าการที่ECB ดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบ กับแบงค์แสดงว่าในที่สุดแบงค์อาจจำต้องชาร์จดอกเบี้ยผู้ฝากเงินอีกต่อหนึ่ง ECBใช้ไม้เรียวบังคับให้แบงค์ปล่อยกู้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่เอาเงินมาฝากECBเพื่อมากินดอกเบี้ยเฉยๆ แต่แบงค์มีหนี้เสียมากเกินไป ทำธุรกรรมการเงินซี้ซั้วจนงบดุลเจ้งไปหมดแล้ว ที่อยู่มาได้ทุกวันนี้ก็เพราะว่าฝ่ายกำกับหรือตรวจสอบสถาบันการเงินเอาหูไป นาเอาตาไปไร่กัน เพราะรู้ดีว่ามันเจ้งกันทั้งระบบแล้ว เป็นแบงค์ซอมบี้ ทำอะไรไม่ได้ ลองฟังความเห็นของAndy Hoffman นักวิเคราะห์การเงินดู เพราะเขาเชื่อว่าในที่สุดแบงค์ในยุโรปจะเก็บดอกเบี้ยเงินฝากประชาชน: "ผมเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในอนาคต หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าECBจะมีเครื่องไม้เครื่องมือทางการเงินมาก พิมพ์เงินหรือลดดอกเบี้ยก็ได้ ทำได้ทุกอย่าง แต่ECBเริ่มจะหมดกระสุนเหมือนกับBank of Japan และUS Federal Reserve ตอนนี้พวกเขาต้องการให้แบงค์ปล่อยกู้ แน่นอนมันเป็นเรื่องบ้าบอเพราะว่าแบงค์ไม่มีทางปล่อยกู้ เนื่องจากแบงค์ล้มละลายกันหมดแล้ว เพราะเหตุผลนี้เองที่ ECBต้องนำเอาLong Term Refinancing Coperationมาใช้อีกครั้งหนึ่งเพื่ออุ้มDeutsche Bank หรือEspirito Santo ของโปรตุเกส เพราะว่าแบงค์เหล่านี้มีปัญหา ท้ายที่สุดปัญหาจะมาลงที่ผู้ฝากเงินหรือไม่? มีทางเลือกสองทาง คือ1. ให้แบงค์รับประทานการขาดทุนไปเรื่อยๆ (ฝากเงินกับECBเสียดอกเบี้ย) เนื่องจากล้มละลายไปแล้ว หรือ 2. ผลักภาระไปให้ผู้ฝากเงิน คือเก็บดอกเบี้ยผู้ฝากเงิน" ็Hoffmanเชื่อว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแบงค์ยุโรปต้องเก็บดอกเบี้ยผู้ฝากเงิน และเขาจะเป็นคนแรกที่จะถอนเงินจากแบงค์ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนยุโรป ถอนเงินออกจากแบงค์พร้อมๆกัน เพราะใครจะโง่จ่ายดอกเบี้ยให้แบงค์ค่าฝากเงิน?? thanong 10/6/2014 http://usawatchdog.com/negative-interest-rates-signal-final-currency-war-andy-hoffman/ Thanong Fanclub 8 ชั่วโมงที่แล้ว 2. ผู้ฝากเงินต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แบงค์ Martin Armstrong นักวิเคราะห์เศรษฐกิจการเงินสหรัฐฯบอกว่าในที่สุดผู้ฝากเงินชาวอเมริกันจะ ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แบงค์ค่าฝากเงินเหมือนกัน นี้คือรูปแบบการbail in อีกอย่างหนึ่ง หรือการผลักภาระของแบงค์ไปสู่ประชาชนผู้ฝากเงินที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ Martin Armstrongบอกว่าที่คุยกันหลังไมค์ทุกวันนี้ระหว่างพวกธนาคารกลางและพวกนาย แบงค์คือการเก็บดอกเบี้ยเงินฝากประชาชน ตอนนี้แบงค์เป็นเสือนอนกันเอาสภาพคล่องที่เหลือล้นพ้นประมาณ$1ล้านล้านไปฝาก ที่เฟดหรือUS Federal Reserveได้ดอกเบี้ย0.25% เฟดอยู่ภายใต้แรงกดดันให้เลิกรูปแบบการเงินนี้เพื่อให้แบงค์เอาเงินไปปล่อย กู้ช่วยเศรษฐกิจ สถานการณ์แบงค์สหรัฐฯและยุโรปไม่ได้ต่างอะไรกันมากหลังจากล้มละลายเรียบร้อย โรงเรียนจีนไปเมื่อปี2008 ที่อยู่ได้ทุกวันนี้เพราะFed และECBอุ้มเอาไว้ Martin Armstrongเชื่อว่าในที่สุดเมื่อเฟดเลิกนโยบายให้แบงค์เป็นเสือนอนกิน คือปิดการบริการการเงินที่ให้แบงค์เอาเงินมาฝากจากประชาชนที่ตัวเองให้ ดอกเบี้ยต่ำๆ มากินดอกเบี้ยที่สูงกว่ากับเฟดที่0.25% เพราะฉะนั้นแบงค์จะมีสภาพคล่องล้น ปล่อยกู้ไม่ได้ เพราะไม่รู้จะปล่อยอะไร ปล่อยให้ใคร งบดุลตัวเองก็มีปัญหาหนี้เสีย ไม่งั้นเฟดไม่อุ้มด้วยการซื้อmortgage backed securitiesที่เน่าแล้วออกมาให้แบงค์หายใจได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ดอกเบี้ยเงินฝากของระบบธนาคารสหรัฐฯจะลงมาเหลือ0.% หรือ-0.01% คือประชาชนฝากเงินแล้วไม่ได้ดอกเบี้ยเสมอตัว หรือเสียดอกเบี้ยเล็กน้อยค่าบริการการฝาก แต่ถ้าหักเงินเฟ้อ2% (บางคนบอกที่จริงแล้ว8-9%) แสดงว่าผู้ฝากเงินจะจนลงไปจนไม่เหลืออะไร เพราะโดนทั้งแบงค์ชาร์จค่าฝาก และโดนเงินเฟ้อกินอีกต่อหนึ่ง ครั้นจะเอาเงินไปลงทุนในบรรยากาศฟองสบู่ที่แบงค์มีtoxic assetsหรือหนี้เสียมาก ก็เป็นความเสี่ยงว่าจะสูญเสียเงินทุกดอลล่าร์ แล้วจะทำอย่างไรดีครับคุณป้าJanet Yellenผู้ใจดีม๊ากมาก thanong 10/6/2014 http://armstrongeconomics.com/2014/06/06/negative-interest-rates-coming-to-usa-but-wait-banks-or-you/ Thanong Fanclub ได้แชร์ลิงก์ 8 ชั่วโมงที่แล้ว 3. ผู้ฝากเงินต้องจ่ายดอกเบี้ยให้แบงค์ (จบ) ในแง่ภูมิศาสตร์การเมือง เราพอจะสรุปได้ว่าทั้งรัสเซีย จีน อินเดีย จะค่อยๆลดความเกี่ยวดองกับยุโรปและสหรัฐฯลงไปเพื่อทำลายทั้งยูโรและดอลล่าร์ พร้อมๆกัน ด้วยการสร้างเศรษฐกิจในระเบียบโลกใหม่ กับพวกBRICS โดยที่ไม่จำเป็นต้องมียุโรป สหรัฐฯ และญีุ่นเป็นแกนเหมือนในขณะนี้ เปิดหน้าไพ่เล่นกันทุกฝ่ายแล้ว รู้กันดีอยู่แก่ใจในทุกฝ่ายว่าระบบการเงินและเศรษฐกิจของG-3 หรือยุโรป สหรัฐฯและญี่ปุ่นไปไม่รอด รอวันล่มสลาย การพิมพ์เงินโดยธนาคารกลางและดอกเบี้ยติดลบลงโทษประชาชนผู้ฝากถือว่า เป็นlast line of defence คือมาตรการขั้นสุดท้ายของระบบการเงินแล้ว หลังจากนั้นคือลงเหว ไม่มีทางฟื้น ทั้งรัสเซีย จีน อินเดียพวกBRICS หรือประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆรู้ดีว่าG-3กำลังไปไม่รอด จำต้องสร้างภูมิต้านทานภายในให้แข็งแรงที่สุดเพื่อเตรียมรับมือการรีเซ็ท ระบบการเงิน ซึ่งอาจจะโดนสงครามโลกชิงตัดหน้าเกิดก่อน เวลาอยู่ข้างBRICS ส่วนG-3ไม่มีเวลาเหลืออยู่มากไม่เกินช่วงโอบามาสิ้นสุดการเป็นประธานาธิบดี ยิ่งอยู่ไปยิ่งอ่อนแอ มีโอกาสเกิดวิกฤติการเงินรอบใหม่และจราจลทางสังคม และจะโดนBRICSตีท้ายครัวได้ รัสเซียและจีนดำเนินนโยบายไม่เอาดอลล่าร์อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด เรากำลังมาถึงบริบทสุดท้ายก่อนที่โลกจะเข้าสู่ภาวะวิกฤติทั้งการเงินและ สงครามที่อาจจะเลี่ยงไม่ได้ ถ้าสงครามโลกจะเกิด ฝ่ายG-3น่าจะเป็นผู้ก่อสงครามก่อน เพราะฝ่ายรัสเซียและจีนได้เปรียบกว่าสายป่านยังยาวอยู่ คอยได้ ฝ่ายสีแดงคือรัสเซีย จีน อินเดียจะรบกับฝ่ายสีน้ำเงินคือG-3 แล้วประเทศไทยจะอยู่สีอะไร? thanong 10/6/2014 http://urbansurvivalsite.com/how-much-longer-until-world-war-3/
  21. นักธุรกิจจีนซื้อ “ทองแท่ง” มูลค่าพันล้าน สุดท้ายได้แค่ก้อนเหล็ก! โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2557 20:24 น. เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - นักธุรกิจจีนประสบเหตุสุดอลวน เมื่อ “ทองแท่ง” มูลค่าเกือบสามร้อยล้าน กลายเป็น “ก้อนเหล็ก” ราคาถูก! นายเจ้า จิ้งจวิน นักธุรกิจแดนมังกรวัย 43 ปี ต้องวิ่งวุ่นนำเอกสารหลักฐานซื้อ-ขายเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกง หลังพบว่า “ทองคำ” มูลค่ากว่า 270 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 1,100 ล้านบาท) ที่สั่งซื้อจากแอฟริกา กลับกลายเป็นแท่งเหล็กธรรมดาราคาถูก เจ้าหน้าที่ตำรวจเผยผลการสอบสวนเบื้องต้นว่า เจ้าซื้อทองคำ น้ำหนัก 998 กก. จากบริษัทในประเทศกานาเมื่อกลางเดือน เม.ย. และสินค้าทั้งหมด 14 กล่อง ถูกจัดส่งด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำพร้อมเจ้าหน้าที่คุ้มกันมายังเกาะฮ่องกงใน ปลายเดือน พ.ค. “ลูกน้องของนายเจ้ายืนยันว่ากล่องบรรจุทองแท่งอยู่แน่นอนก่อนมันจะโหลดขึ้นเครื่องบินในกาน่า” เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าว ด้านนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ซึ่งเดินทางมาจากมณฑลเหอเป่ยเมื่อวันจันทร์ (2 มิ.ย.) และเข้าพักในโรงแรมเกาลูน แชงกรีล่า ของเขตจิมซาจุ่ย ได้นัดพบลูกค้าของเขาเพื่อตรวจเช็คสินค้าในวันพุธ (4 มิ.ย.) โดยเขานำกล่องสินค้า 5 ใบ ไปยังสำนักงานของลูกค้า ทว่าเมื่อเปิดดูกลับเจอแต่แท่งเหล็ก “เขาบอกว่ากล่องดูเหมือนถูกสับเปลี่ยนเพื่อทำลายหลักฐานบางอย่าง” แหล่งข่าวแห่งหนึ่งระบุ “ส่วนลูกน้องของบริษัททองก็เดินทางกลับกานาทันทีหลังส่งสินค้าให้เจ้าหน้า ที่บริษัทโลจิสติคส์ที่สนามบินเช็กแล็บก็อก โดยทั้งหมดถูกส่งต่อไปเก็บที่คลังสินค้าในเขตฉวนวัน” หน่วยสืบสวนฯ เผยว่า จะยังไม่ตัดความเป็นไปได้ว่าทองคำอาจถูกเปลี่ยนย้ายก่อนส่งมาฮ่องกง “มันจะเป็นการโจรกรรมครั้งใหญ่สุดในรอบทศวรรษของเกาะฮ่องกง หากพิสูจน์แล้วว่าทองทั้งหมดถูกขโมยไปจริงๆ” เจ้าหน้าที่อาวุโสกล่าว
  22. พูดความจริงปนความเท็จครับ ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของสิงคโปร์ถูกกว่าราคาหน้าโรงกลั่นของไทย(ส่วนนี้ คุณโสภณพูดซึ่งเป็นความจริง) แต่คุณกำลังเอาราคาขายปลีกหน้าปั้มน้ำมันในสิงคโปร์มาเทียบกับราคาหน้าปั้ม น้ำมันของไทยครับ รายได้เฉลี่ยของคนสิงคโปร์สูงกว่าเรามากนะครับ อย่าบอกนะว่าคนที่กินเงินเดือนปีนึงไม่ต่ำกว่า100ล้านฟังคุณโสภณพูดไม่เข้า ใจ ธุรกิจ วันที่ 22 เมษายน 2557 17:01 ปตท.ปัดถูกระบบทักษิณครอบงำ โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ "ปตท." ยืนยัน ไม่ได้ถูก "ระบอบทักษิณ" ครอบงำ ตามที่ "โสภณ สุภาพงษ์" กล่าวพาดพิง ระบุ ราคาน้ำมันไทยถูกกว่าสิงคโปร์ นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยถึงกรณีที่นายโสภณ สุภาพงษ์ ปราศรัยบนเวที กปปส.ที่สวนลุมพินี ที่อ้างว่าปตท.ถูกระบอบทักษิณกลืนกินไปหมดนั้น มองว่า การปฏิรูปปตท.เกิดขึ้นในสมัยของนายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี และปฏิรูปได้สำเร็จในยุคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าเป็นนายกฯ สังกัดพรรคเพื่อไทย จึงมองว่าปตท. ไม่ได้ถูกระบอบทักษิณกลืนกินอย่างที่นายโสภณ กล่าว ส่วนกรณีที่มีการผูกขาดราคาน้ำมันและสมมติเอาราคาน้ำมัน ซึ่งนายไพรินทร์ มองว่า ประเทศไทยมีหน่วยงานกำกับดูแลราคาน้ำมันอยู่ และประเทศไทยมีการซื้อขายน้ำมันในตลาดเสรีทั้งนำเข้าและส่งออก ปตท.จึงไม่มีสิทธิในการผูกขาดหรือสมมติราคาน้ำมันเอง นอกจากนี้ กรณีที่กล่าวว่าประเทศไทยใช้น้ำมันแพงกว่าสิงคโปร์นั้น ทางปตท.ได้ ตรวจสอบว่าน้ำมันที่แพงที่สุดของประเทศไทยยังถูกกว่าน้ำมันของสิงคโปร์ จึงมองว่าข้อมูลที่นายโสภณ กล่าวบนเวทีกปสส.ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด และสร้างความเข้าใจที่ผิดให้ประชาชน ซึ่งหากทางปตท.ได้ตรวจสอบว่าเป็นการพาดพิงถึงบริษัทฯ จริงก็จะดำเนินการฟ้องร้องนายโสภณ สุภาพงษ์ ต่อไป " ตั้งแต่ปี 1980 มองว่ายุคของราคาน้ำมันได้เปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นราคาตลาดแทนราคาสมุติ ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายจะตกลงกัน ว่าจะซื้อขายกันในราคาเท่าไหร่ ซึ่งหากเราอยากขาย เราก็แค่ตั้งให้มันถูก นอกจากนี้ ในไทยยังมีเรคกูเลเตอร์มาดูแล ดังนั้น หากพูดว่า ปตท.สมมติเอาราคาน้ำมัน ก็เหมือนกับเป็นการต่อว่าเรกกูเลเตอร์ " นายไพรินทร์ กล่าว นายไพรินทร์ กล่าวว่า การก่อตั้ง ปตท.ก็เพื่อการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทย
×
×
  • สร้างใหม่...