ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

Nicegold

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    290
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย Nicegold

  1. ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ 30.84-30.86 บาท/ดอลล์ คาดพรุ่งนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 30.70-30.90 บาท/ดอลล์ จับตาแรงกระพือข่าวลือคุมค่าบาท นักค้าเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาด อ่อนค่าลงที่ระดับ 30.84-30.86 บาท/ดอลลาร์ จากกระแสข่าวลือที่ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกมาตรการควบคุมการไหลเข้าของค่าเงินบาท ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทอ่อนค่าสุด ที่ 30.86 บาท/ดอลลาร์ และแข็งค่าสุดที่ 30.72 บาท/ดอลลาร์ สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันพรุ่งนี้ อยู่ที่การประเมิน สถานการณ์จากกระแสข่าวข้างต้น แม้ล่าสุด ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ ไทย ได้ออกมาระบุว่า มาตรการในการควบคุมค่าเงินบาทที่ใช้ในปัจจุบันยังสามารถใช้ได้อยู่ก็ ตาม โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวระหว่างวันอยู่ที่ 30.70-30.90 บาท/ดอลลาร์
  2. โบรกฯ ส่องโค้งสุดท้าย หุ้นไทยขยับแตะ 970 จุด กลุ่มพลังงานสดใส สื่อสาร-แบงก์ลุ้นต่อ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กันยายน 2553 16:53 น. http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9530000129822 โบรกฯ ส่องโค้งสุดท้ายปีนี้ หุ้นไทยมีสิทธิ์ขยับแตะ 970 จุด หลังแนวโน้ม ศก.ขยายตัว ได้ทุนต่างชาติหนุน แต่เตือนยังต้องระวัง ปัญหาการเมืองและ 3G กระทบ โดบขณะนี้ หุ้นกลุ่มพลังงาน ส่อแววสดใส หลังปลดล็อคมาบตาพุดสำเร็จ ด้านหุ้นกลุ่มแบงก์และสื่อสารยังต้องลุ้น แต่พอน่าไปต่อได้ วันนี้ (15 ก.ย.) นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บล.เกียรตินาคิน กล่าวในการสัมมนา"หุ้นไทยโค้งสุดท้ายปี 53"ว่า บล.เกียรตินาคิน ปรับเป้าดัชนี SET ปี 53 มาที่ 970 จุด จากเดิม 950 จุด ภายใต้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 53 ขยายตัว 6.7-7.3% ส่วนกรอบล่างให้ไว้ที่ 830 จุด โดยคาดว่าจากนี้ไปเงินทุนจากต่างประเทศยังรอไหลเข้าตลาดหุ้นอีก 1.8 หมื่นล้านบาท ลุ้นความชัดเจน 2 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ การเมืองและ 3G ด้านประเด็นที่กังวลว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะมีมาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้าหรือไม่นั้น มองว่าใน 2 สัปดาห์นี้คงยังไม่มีอะไรออกมาจนกว่าผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่จะเข้ามารับหน้าที่ในต้นเดือน ต.ค. นางสาววิริยา กล่าวว่า จากนี้ไปยังมีโอกาสที่ราคาหุ้นกลุ่มใหญ่น่าจะปรับขึ้นอีก โดยเฉพาะหุ้นพลังงาน หลังจากปลดล็อตมาบตาพุด ทำให้โครงการลงทุนต่าง ๆ เดินหน้าต่อไปได้ และผลประกอบการน่าจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงปลายปี ขณะที่กลุ่มแบงก์ ที่ราคาเพิ่งจะปรับขึ้นมาในระดับเดียวกับตลาด จึงน่าไปต่อได้ รวมถึงกลุ่มสื่อสาร แต่ยังต้องรอดูการประมูลใบอนุญาต 3G ขณะที่ เงินลงทุนจากต่างชาติ คาดว่าในช่วง 12 เดือนข้างหน้านักลงทุนต่างประเทศยังจะเข้าซื้ออีก 1.8 หมื่นล้านบาท จากปัจจัยเงินบาทยังแข็งค่า หลังจากที่ช่วงเดือน พ.ค.ขายไปถึง 5.8 หมื่นล้านบาท และพอมาถึง มิ.ย.-ส.ค.53 จนถึงช่วงครึ่งแรกของเดือน ก.ย.53ซื้อกลับมาแล้ว 3.8 หมื่นล้านบาท ถือเป็น 65% ของที่ขายไป ส่วนประเด็นที่ต่างชาติจะพิจารณาในการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากน้อยแค่ไหน คือ ความเสี่ยงด้านการเมือง ซึ่งขณะนี้เหตุการณ์ 19 ก.ย.ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร รวมถึงมาตรการคุมเงินทุนไหลเข้าจะมีออกมาหรือไม่ ดังนั้นช่วงนี้ก็อาจจะชะลอการซื้อไปก่อน แม้ว่ายังซื้ออยู่แต่ก็คงไม่มากเหมือนที่ผ่านมา นางสาววิริยา มองว่า ช่วง 2 สัปดาห์จากนี้จนถึงสิ้นเดือน ก.ย.53 ตลาดหุ้นไทยจะยังเหวี่ยงตัว เพราะมีประเด็นเรื่องที่ตลาดจับตาอยู่คือ ธปท.จะออกมาตรการคุมเงินทุนไหลเข้าหรือไม่ ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าคงยังไม่มีมาตรการอะไรออกมาจนกว่าผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่จะเข้ามารับหน้าที่ แต่สิ่งที่ ธปท.น่าจะทำเป็นอย่างแรกคือการไม่ขึ้นดอกเบี้ยในช่วงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ที่จะมีขึ้นอีก 2 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าขึ้นกับสภาพคล่องเป็นหลัก แต่เชื่อว่ายังจะมีเงินไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สภาพคล่องจากต่างประเทศจะได้รับปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่า รวมทั้งจะมีการโยกเงินจากตราสารหนี้เข้ามาตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะเงินที่จะกลับมาจากกองทุนที่ออกไปลงทุนในพันธบัตรเกาหลีที่จะครบอายุอีก 1.35 หมื่นล้านบาท และกองทุน LTF-RMF ที่คาดว่าจะนำเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มในช่วงปลายปี และเดือนหน้าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะมีการประกาศรับซื้อพันธบัตร 1 แสนล้านเหรียญ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ทำให้ตลาดหุ้นช่วงที่เหลือของปีน่าจะไปถึง 970 จุดได้ นางสาววิริยา กล่าวว่า บล.เกียรตินาคิน แนะนำซื้อหุ้นที่ยังมีโอกาสราคาปรับขึ้นได้อีก ได้แก่ หุ้นพลังงานที่รับประโยชน์จากปัญหามาบตาพุดคลี่คลาย โดยเฉพาะโรงแยกก๊าซแห่งที่ 6 เดินเครื่องได้ และค่าการกลั่นฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงแนวโน้มราคาถ่านหินที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ติดต่อกัน ทั้ง PTT, PTTCH, TOP, PTTAR และ BANPU สำหรับ กลุ่มแบงก์ ที่น่าสนใจ คือแบงก์ใหญ่ทั้ง KBANK, SCB, BBL ที่ฟื้นตัวจากการขยายตัวของสินเชื่อใน 7 เดือนชัดเจน กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เป็นกลุ่มปูนซิเมนต์ คือ SCC ขณะที่กลุ่มเหล็กอย่าง SSI, TSTH จะได้ประโยชน์จากต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบในรูปดอลลาร์ลดลง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ลุ้นว่าแบงก์ชาติจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งเพื่อลดความร้อนแรงของกระแสเงินทุนไหลเข้า ซึ่งจะป็นปัจจัยบวกกับอสังหาฯ หุ้นเด่น คือ AP, QH, LH, PS ส่วนกลุ่มขนสว่ง THAI, RCL กลุ่มสื่อสาร ADVANC
  3. สรุปการซื้อขาย ณ วันที่ 15 ก.ย. 2553 ตั้งแต่ดัชนีขึ้นมาเหนือ 920 จุดได้ แต่ละวันผันผวนเหมือนขึ้นรถไฟเหาะเลยค่ะ !87 เซ็งกับสถาบันจัง ไม่รู้จะขายไปถึงไหน !59
  4. ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ 30.80 บาท/ดอลล์ พรุ่งนี้คาดเคลื่อนไหวที่ 30.75-30.85 บาท/ดอลล์ นักค้าเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิด ตลาดที่ระดับ 30.80 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงที่เปิดตลาดในตอนเช้าที่ 30.76 บาท/ดอลลาร์ โดย ระหว่างวันเงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 30.74 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ระดับ 30.81 บาท/ ดอลลาร์ หลังจากกระแสข่าวว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)อาจจะออกมาตรการสกัดการ แข็งค่าของค่าเงินบาท สำหรับวันพรุ่งนี้คาดว่า ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 30.75-30.85 บาท/ ดอลลาร์ โดยประเด็นที่ต้องจับตาคือธปท.จะมีมาตรการอะไรออกมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่
  5. http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9530000129197 หุ้นร่วงแรง 15 จุด รูดตามกระแส ธปท.ออกมาตรการสกัดบาทแข็ง หลังจากภาคบ่าย หุ้นไทยร่วงกว่า 10 จุด ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ไทย ปิดตลาดติดลบ 15.65 จุด โดยอยู่ที่ระดับ 921.39 จุด หรือลดลง 1.67% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 39,671.90 ล้านบาท ด้านโบรกเกอร์วิเคราะห์ สาเหตุดัชนีรูดมาจากนักลงทุนกังวลข่าว ธปท. ออกมาตรการสกัดบาทแข็งค่า ทั้งนี้ ยังให้จับตาพรุ่งนี้ ธปท.จะเคลื่อนไหวหรือสยบข่าวเรื่องนี้อย่างไร วันนี้ (14 ก.ย. ) ตลาดหลักทรัพย์ไทยปิดภาคบ่าย ดัชนีอยู่ที่ระดับ 921.39 จุด ลดลง 15.65 จุด หรือ -1.67% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 39,671.90 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์มองว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ร่วงกว่า 10 จุด รับผลจากกระแสข่าวจะมีมาตรการใหม่ที่ทาง ธปท.อาจนำมาหยุดยั้งการแข็งค่าของเงินบาท ประกอบกับยังมีกระแสข่าวในเรื่องการลอบสังหารบุคคลสำคัญด้วยซ้ำเติมอีกด้วย ส่วนตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่แกว่งในแดนลบเล็กน้อย เหตุปัจจัยนอกประเทศเวลานี้ไม่มีอะไรโดดเด่น พรุ่งนี้ทิศทางตลาดฯต้องรอดูทางธปท.จะชี้แจงกระแสข่าวที่ออกมาอย่างไรบ้าง และควรติดตามความเคลื่อนไหวของเงินบาทประกอบด้วย พร้อมให้แนวรับ 922 แนวต้าน 944 จุด สำหรับบรรยากาศการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยช่วงเช้าแกว่งตัวในแดนบวก-ลบ แต่ช่วงบ่ายดัชนีฯจะแกว่งอยู่ในแดนลบตลอด โดยดัชนีฯขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ระดับ 939.95 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 921.39 จุด ขณะที่ หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 3,174.55 ล้านบาท ปิดที่ 282.00 บาท ลดลง 9.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,275.59 ล้านบาท ปิดที่ 636.00 บาท ลดลง 20.00 บาท PTTCH มูลค่าการซื้อขาย 2,240.85 ล้านบาท ปิดที่ 119.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง TCAP มูลค่าการซื้อขาย 1,897.80 ล้านบาท ปิดที่ 39.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท และ TMB มูลค่าการซื้อขาย 1,589.64 ล้านบาท ปิดที่ 2.44 บาท ลดลง 0.10 บาท ด้าน นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงกว่า 10 จุด เป็นผลจากตลาดกำลังกังวลกระแสข่าวที่ออกมาว่าธปท.จะมีมาตรการใหม่หยุดยั้งการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งในช่วงบ่ายที่ผ่านมาเงินบาทก็อ่อนค่าลงมากด้วย และยังคงมีกระแสข่าวเรื่องการลอบสังหารบุคคลสำคัญซ้ำเติมเข้ามาที่ตลาดฯอีกด้วย โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งอยู่ในแดนลบเล็กน้อย เนื่องจากปัจจัยจากภายนอกประเทศเวลานี้ยังไม่มีอะไรโดดเด่น ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้(15 ก.ย.)นายจักรกริช กล่าวว่า จะต้องรอดูทางธปท.จะมีการชี้แจงเรื่องดังกล่าวอย่างไร เพราะจะมีผลทางจิตวิทยา อีกทั้งควรจะดูความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทประกอบด้วย เพราะหุ้นขึ้นหรือลงจะอยู่ที่ความเคลื่อนไหวของเงินบาทเป็นหลักในตอนนี้ พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 922 จุด แนวต้าน 944 จุด
  6. http://portal.settrade.com/blog/nivate/2010/09/13/918 Monday, 13 September 2010 ปันผลคือพื้นฐานหุ้น By ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หลักการหรือหัวใจของ Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็คือ การหามูลค่าที่ควรจะเป็นหรือมูลค่า “พื้นฐาน” ของหุ้น จากนั้นก็ดูว่าราคาหุ้นในตลาดเป็นเท่าไร ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่คำนวณได้ก็ให้ซื้อ ถ้าราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานก็ให้ขาย เพราะนักลงทุนแบบ VI เชื่อว่าในที่สุดราคาหุ้นจะวิ่งเข้าหามูลค่าพื้นฐานเสมอ คำถามสำคัญมีอยู่ 2 ข้อ นั่นคือ หนึ่ง มูลค่าพื้นฐานคืออะไร? มาจากไหน? อะไรเป็นตัวกำหนดมูลค่าพื้นฐานของหุ้น พูดง่าย ๆ คำนวณมูลค่าพื้นฐานอย่างไร? ข้อสอง เมื่อไรเล่าที่ราคาจะวิ่งเข้าหาพื้นฐาน? เป็นไปได้ไหมที่ราคาหุ้นอาจจะไม่สะท้อนพื้นฐานเป็นระยะเวลานานมาก เผลอ ๆ ตลอดไป กลายเป็นหุ้นที่อาจจะ “ถูกตลอดกาล” และถ้าเป็นอย่างนั้น VI จะได้อะไร? คำตอบทั้งสองข้อนั้นเกี่ยวเนื่องกันนั่นคือ คำตอบของข้อแรกก็จะตอบคำถามของข้อสองได้ คำถามที่ว่ามูลค่าพื้นฐานคืออะไรนั้น ถ้าจะตอบก็คือ เป็นมูลค่าปัจจุบันของหุ้นที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นจะได้จากบริษัทตลอดไป และผลตอบแทนที่ว่านั้นก็คือ “ปันผล” ในอนาคตทั้งหมดของบริษัท ถ้าจะพูดให้เห็นภาพที่เข้าใจได้ง่ายไม่เป็นวิชาการก็คือ “เป็นราคาหุ้นที่เรายินดีที่จะจ่ายเงินซื้อเพื่อเก็บกินปันผลไปตลอดชีวิต โดยที่เราจะไม่ขายหรือเป็นหุ้นที่เราไม่สามารถขายได้” ดังนั้น เวลาที่ผมจะซื้อหุ้น ผมจะต้องคิดว่าราคาที่ผมจ่ายนั้น ผมยินดีหรือไม่ที่จะเก็บมันไว้ตลอดชีวิตเพื่อรับปันผล ถ้าคำตอบคือ “ไม่เอา” นั่นก็แปลว่าราคานั้นสูงเกินไป อาจจะเป็นเพราะผมไม่แน่ใจว่าปันผลจะลดลง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าอนาคตบริษัทอาจจะเจ๊งหรือธุรกิจตกต่ำลงมากและจ่ายปันผลน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งผมจะ “ไม่มีทางออก” แต่ถ้าคำตอบของผมก็คือ “เอา” นั่นก็แปลว่าผมมั่นใจในตัวบริษัทว่าจะยังดีต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ปันผลในอนาคตนั้นมีโอกาสสูงที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ความเสี่ยงที่ธุรกิจจะตกต่ำลงมีน้อยมาก ดังนั้น ผมยินดีซื้อและถือหุ้นตัวนั้นตลอดชีวิต แน่นอน ในชีวิตจริง เราไม่จำเป็นที่จะต้องถือหุ้นตลอดชีวิตเพื่อเก็บกินปันผล แต่เวลาพิจารณาซื้อหุ้นโดยอิงกับ “มูลค่าพื้นฐาน” ของหุ้น เราจะต้องคิดว่าเราจะต้องเก็บหุ้นไว้ตลอดชีวิตจริง ๆ ถ้าเราคิดว่าเราสามารถขายได้ทุกนาที หรือเราสามารถขายได้ถ้า “สถานการณ์เปลี่ยน” หรือแม้แต่เราจะขายเมื่อ “บริษัทโตเต็มที่แล้ว” ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นใน 3-4 ปีข้างหน้า แบบนี้แสดงว่าเรายังไม่ได้ซื้อหุ้นโดยอิงกับมูลค่าพื้นฐานจริง ๆ เราอาจจะ “เก็งกำไร” โดยอาจจะอิงกับปัจจัยพื้นฐานบางส่วนเท่านั้น นอกจากเรื่องของปันผลในอนาคตแล้ว ปัจจัยที่สำคัญอีกตัวหนึ่งในการคำนวณหามูลค่าพื้นฐานของหุ้นก็คือ “อัตราคิดลด” ซึ่งก็คืออัตราผลตอบแทนที่เราต้องการในการลงทุนซื้อหุ้นตัวนั้น อัตราผลตอบแทนนี้จะคล้าย ๆ กับอัตราดอกเบี้ยที่เราได้ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคารหรือลงทุนซื้อพันธบัตรซึ่งเราจะได้ผลตอบแทนที่แน่นอนเช่นปีละ 1% หรือ 3-4% ตามลำดับ แต่การลงทุนในหุ้นนั้นเราจะได้ปันผลที่มีอัตราไม่แน่นอนขึ้นกับผลกำไรของบริษัท ดังนั้นเราจึงต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าโดยเฉลี่ยเช่นอาจจะได้ผลตอบแทนประมาณปีละ 10% ปัจจัยสำคัญตัวสุดท้ายที่สำคัญมากก็คือ อัตราการเติบโตหรือการเพิ่มขึ้นของเงินปันผลในอนาคต นี่คือสิ่งที่จะทำให้มูลค่าหุ้นสูงหรือต่ำอย่างมีนัยสำคัญ เพราะถ้าปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เราก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นทุกปีหรือเกือบทุกปี ยิ่งนานปันผลก็ยิ่งเพิ่มขึ้น บางทีผ่านไป 15-20 ปี เงินปันผลแต่ละปีอาจจะเพิ่มขึ้นเท่ากับเงินค่าหุ้นที่เราจ่าย ถ้าเป็นแบบนี้มูลค่าของหุ้นก็จะมาก แต่ถ้าปันผลไม่โตเลย เคยได้เท่าไร ผ่านไป 5-10 ปีก็ยังได้ปันผลเท่าเดิม แบบนี้หุ้นก็จะมีมูลค่าน้อย ผมคงไม่อธิบายวิธีคำนวณหามูลค่าพื้นฐานตามวิชาการซึ่งเป็นเรื่องที่ยากเกินไป แต่จะลองให้แนวคิดในการพิจารณาลงทุนซื้อหุ้นโดยใช้หลักการของ “มูลค่าพื้นฐาน” ดังที่ได้กล่าวมา โดยสมมุติว่าเราพบหุ้นตัวหนึ่งที่ทำธุรกิจโมเดิร์นเทรดหรือค้าปลีกสมัยใหม่ซึ่งผมเห็นว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีผลประกอบการที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ผลประกอบการไม่ยากนัก บริษัท ก. มีกำไรปีละ 0.40 บาทต่อหุ้น จ่ายปันผลปีละ 0.30 บาท ราคาหุ้นเท่ากับ 10 บาทต่อหุ้น เราคาดว่ากิจการของบริษัทนี้จะเติบโตขึ้นประมาณปีละ 10% ไปได้เรื่อย ๆ โดยที่บริษัทไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนเพราะฐานะทางการเงินดีมากไม่มีหนี้สินจากสถาบันการเงินเลย ถามว่ามองโดยพื้นฐานเราควรซื้อหุ้นบริษัทนี้หรือไม่ ก่อนอื่นลองคำนวณดูว่าในปีแรกที่เราลงทุนนั้น เราจ่ายเงินค่าหุ้น 10 บาทและได้ปันผล 0.30 บาทเท่ากับว่าเราได้ปันผลปีแรก 3% ดูแล้วก็อาจจะไม่น่าจูงใจอะไร เพราะเราลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซึ่งไม่มีความเสี่ยงเลยเรายังได้ดอกเบี้ยประมาณ 4% แต่เนื่องจากกำไรของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นได้ปีละ 10% ซึ่งน่าจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลได้เพิ่มขึ้นปีละ 10% เช่นกัน ดังนั้น ปีที่สองปันผลน่าจะเป็น 3.3% และปีที่สามน่าจะเป็น 3.63% ปีที่สี่เท่ากับประมาณ 3.99 หรือ 4% ซึ่งเท่ากับพันธบัตรแล้ว หลังจากนั้นอัตราก็จะสูงกว่าไปเรื่อย ๆ พอถึงปีที่ 10 ปันผลก็เท่ากับ 8.56% และเมื่อถึงปีที่ 37 ซึ่งอาจจะเป็นปีที่เราเกษียณ ปันผลที่ได้ในแต่ละปีอาจจะเป็น 10 บาทเท่ากับราคาหุ้นในวันนี้และทำให้เราเกษียณอย่างมีความสุข เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ตั้งแต่ปีที่ 4 ของการถือหุ้น เราก็ได้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในตราสารการเงินอื่น ๆ แล้ว ดังนั้น เราจึงคิดว่า ราคาหุ้น ก. ที่ 10 บาท เป็นราคาหุ้นที่เหมาะสมกับพื้นฐานในแง่ของเราและเรายินดีที่จะซื้อมัน คำถามต่อมาก็คือ ถ้าราคาหุ้น ก. ที่ 10 บาทซึ่งเราคิดว่าถูก แต่ถ้าถือแล้วมันไม่ขึ้นทั้งที่กำไรและปันผลของบริษัทก็ดีขึ้นตามที่คาดแต่ราคาหุ้นกลับไม่ขึ้นซักทีเป็นเวลาหลายปี แบบนี้เราควรจะขายทิ้งไหม? คำตอบก็คือ ไม่จำเป็น จำไว้ว่าถ้าเรา “ลงทุนตามพื้นฐาน” และมั่นใจว่าสิ่งที่เราคาดการณ์ไว้ถูกต้อง เราก็ถือมันไป ผลตอบแทนของเรานั้น เราต้องคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยนักลงทุนคนอื่นในการมาซื้อหุ้นต่อจากเราในราคาที่สูงขึ้น แต่มันมาจากปันผลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของบริษัท แต่เชื่อผมเถอะครับว่า ในที่สุดแล้ว คนจะต้องเห็นว่าบริษัทดีและเข้ามาซื้อหุ้นทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ผมเองเคยถือหุ้นมา 3-4 ปีโดยที่ราคาไม่ไปไหน แต่พอมันวิ่ง มันก็ขึ้น “ชดเชย” ช่วงเวลาที่มันนิ่งในเวลาอันรวดเร็ว ประเด็นสำคัญก็คือ VI ต้อง “รอเป็น” ว่าที่จริง การที่หุ้นไม่ขึ้นเลยทั้ง ๆ ที่บริษัทดีขึ้นหรือจ่ายปันผลมากขึ้นเรื่อย ๆ นั้น กลับเป็นโอกาสที่เราจะซื้อหุ้นเพิ่มและทำกำไรมากขึ้น
  7. วันนี้ค่าเงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 30.75 บาทต่อดอลล์ คาดพรุ่งนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 30.70-30.80 บาทต่อดอลล์ นักค้าเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)(SCB) กล่าวว่า ค่าเงินบาทวันนี้ ปิดตลาดที่ระดับ 30.75 บาทต่อดอลลาร์ ใกล้เคียงกับที่เปิดตลาดตอนเช้าที่ระดับ 30.76-30.74 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวันเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ 30.74-30.76 บาทต่อดอลลาร์ เนื่อง จากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบ สำหรับพรุ่งนี้มองว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.70-30.80 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วมาก ช่วงนี้อาจจะเป็น จังหวะพักฐาน โดยมีประเด็นที่ต้องติดตามคือ การเข้าดูแลค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  8. ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ 30.78-30.80 บาท/ดอลล์ คาดสัปดาห์หน้าแข็งค่าในกรอบ 30.70-30.80 บาท/ดอลล์ นักค้าเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)(BBL) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิด ตลาดที่ระดับ 30.78-30.80 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ อยู่ใน ลักษณะทรงตัว เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายเบาบาง สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า ยังคงมีทิศทางที่จะแข็งค่า ซึ่งคาดว่ากรอบการเคลื่อนไหวจะอยู่ที่ 30.70-30.80 บาท/ดอลลาร์ สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะมีมาตรการรับมืออย่างไร ในการดูแลค่าเงินบาทเป็น พิเศษ
  9. สบาบดีบ่ น้องเดฟฟี่คงโตขึ้นเยอะเลยละซิ หรือ บินหนีเที่ยวไปแล้วค่ะ !ee
  10. 9 บจ.ไทยเจ๋งติดท็อปเอเชีย นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)และ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่าปีนี้มีบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไทย จำนวน 9 บริษัท ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าไปอยู่ในการจัดอันดับ Asia 's 200 Best Under a Billion โดย นิตยสาร Forbes Asia ซึ่งเป็นการค้นหาสุดยอดบริษัท 200 แห่งจากทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ที่มียอดขายไม่เกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ บริษัทจดทะเบียนไทยทั้ง 9 บริษัท เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี (AIT) ,บริษัทไดนาสตี้เซรามิค (DCC) ,บริษัท เอ็ม.ซี.เอส. สตีล (MCS) ,บริษัทศุภาลัย (SPALI),บริษัทเอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) และบริษัทพฤกษา เรียล เอสเตท (PS) ซึ่งเป็นบริษัทที่ติดอันดับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 นอกจากนี้ ยังมีบริษัทในตลาดหลัก ทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 3 บริษัทที่ติดอันดับ ได้แก่ บริษัท ควอลลีเทค (QLT) ,บริษัทไทย เอ็น ดี ที (TNDT) และ บริษัทโรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) 'เมื่อปี 2552 มีบจ.ที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือกของ Forbes 5 แห่ง และมีเพียงบริษัทใน ตลาดหลักทรัพย์ฯเท่านั้น แต่ในปีนี้มีบจ.ผ่านการคัดเลือกถึง 9 แห่ง สูงที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา และเป็นบริษัทในเอ็ม เอ ไอ ถึง 3 แห่ง ชี้ให้เห็นว่า บจ.มีการฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจและเติบ โตอย่างแข็งแกร่ง โดยทั้ง 9 บริษัทมียอดขายและผลกำไรในปี 2552 เติบโตจากปีก่อนเฉลี่ย 26% และ 51% ตามลำดับ และมีมูลค่าตลาดรวม 106,578 ล้านบาท' นายชนิตรกล่าว การจัดอันดับ ' Asia 's 200 Best Under a Billion' ในปี 2553 มีบริษัทใหม่ถึง 151 บริษัท และมีบริษัทจากประเทศในกลุ่มอาเซียน31บริษัท จาก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย (9 บริษัท) มาเลเซีย (9 บริษัท) สิงคโปร์ (8 บริษัท) ฟิลิปปินส์ (3 บริษัท) อินโดนีเซีย (1 บริษัท) และ เวียดนาม (1 บริษัท)
  11. ไม่ขอรับว่าเก่งแล้วนะ ยังต้องทำการบ้านทุกวันค่ะ คาดการณ์ผิดบ้างถูกบ้าง น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครรู้ได้ทั้งหมด แต่อยู่ที่ใครจะอยู่รอดในตลาดได้นานกว่ากัน !54
  12. ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ 30.89-30.91 บาท/ดอลล์ คาดพรุ่งนี้แข็งค่าในกรอบ 30.80- 30.95 บาท/ดอลล์ นักค้าเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิด ตลาดที่ระดับ 30.89-30.91 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเคลื่อนไหวอ่อนค่าสุดที่ 30.96 บาท/ ดอลลาร์ และแข็งค่าสุดที่ 30.85 บาท/ดอลลาร์ สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันพรุ่งนี้ ยังคงมีทิศทางที่จะแข็งค่า ซึ่งคาดว่ากรอบการเคลื่อนไหวจะอยู่ที่ 30.80-30.95 บาท/ดอลลาร์ สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามได้แก่ เงินทุนต่างชาติที่ยังคงไหลเข้ามาในประเทศไทย ประกอบกับต้องติดตามกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาระบุว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ดูแลการเก็งกำไรของค่าเงินเป็นพิเศษ ดังนั้นต้องติดตามว่า ธปท.จะมีมาตรการรับมืออย่างไร
  13. สรุปการซื้อขาย ณ วันที่ 9 ก.ย. 2553 อุ่นใจขึ้นมาหน่อยเห็นต่างชาติกลับมาซื้อแล้ว !10
  14. ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ระดับ 31.02 บาท/ดอลล์แข็งค่าสุดในรอบ 13ปี ส่วนพรุ่งนี้เชื่อยังไม่หลุด 31 บาท นักค้าเงินจาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็น นี้ปิดตลาดที่ระดับ 31.02 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี โดยระหว่างวันค่า เงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 31.01 บาทต่อดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ระดับ 31.17 บาทต่อดอลลาร์ โดยประเมินเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศยังคงไหลเข้าต่อเนื่อง ทั้งนี้ คาดการณ์แนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันพรุ่งนี้จะเคลื่อนไหวใน กรอบ 31.00-31.10 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งยังมองว่าโอกาสที่ค่าเงินจะแข็งค่าหลุด 31.00 บาท ค่อนข้างยาก โดยยังคงต้องติดตามเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเงิน ตลาดทุน
  15. ข่าวนี้น่าจะทำให้ PTT ยืน 300 บาทได้สบายๆ และถ้าหากประมูลได้ต้องมาตีราคา PTT กันใหม่ อยากให้ PTT ได้จังเลย จะได้ต่อยอดธุรกิจไปได้ไกลๆ และค้าปลีกมีคู่แข็งที่น่ากลัวแล้ว น่าจะเป็นผลดีกับผู้บริโภคอย่างเรา !gd แต่ใครจะซื้อ PTT ตอนนี้ดิฉันไม่ขอออกความคิดเห็นนะค่ะ ต้นทุนของดิฉันอยู่ 274 บาทยังไม่รวมเิงินปันผลที่ได้รับมาแล้วค่ะ !uu PTT เผยส่งบริษัทลูกยื่นซองประมูลซื้อห้างคาร์ฟูร์รอบแรกเรียบร้อยแล้ว หวังต่อยอดธุรกิจค้าปลีก นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)(PTT) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯได้ยื่นประมูลเบื้องต้นเพื่อซื้อห้าง สรรพสินค้าคาร์ฟูร์ โดยประมูลผ่านบริษัทลูก คือ พีทีที รีเทล มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งเป็นบริษัทที่บริหาร ร้านมินิมาร์ท Jiffy ทั้งนี้ หากบริษัทฯสามารถซื้อห้างสรรพสินค้าคาร์ฟูร์สำเร็จจะช่วยต่อยอดธุรกิจ ค้าปลีกเดิมที่มีอยู่ และเพิ่มขนาดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังสามารถเพิ่มอำนาจในการต่อรอง นอกจากนี้ ในอนาคต PTT มีแผนที่จะขยายธุรกิจค้าปลีกออกมานอกสถานีบริการ น้ำมันในรูปแบบของมินิมาร์ท และ Food Minimart อย่างไรก็ดี หลังจากที่ได้มีการยื่นประมูลในเบื้องต้น จะต้องมีขั้นตอนที่สำคัญ คือ ขั้น ตอนประมูลในรอบที่ 2 และ 3 'บริษัทฯได้ยื่นประมูลคาร์ฟูร์ในขั้นตอนเบื้องต้นมากๆ โดยใช้บริษัทลูกที่บริหาร Jiffy อยู่เป็นผู้เข้าร่วมประมูล รอบนี้ยังไม่มีพันธมิตร แต่เรายังเปิดกว้าง การยื่นครั้งนี้เหมือนการ ประกวดนางสาวไทยรอบแรก ที่สำคัญคือยังต้องมีรอบที่ 2 รอบที่ 3 ต่อไป ว่าจะเข้ารอบต่อไปหรือ ไม่ หากได้ก็จะช่วยต่อยอดธุรกิจค้าปลีกเดิม และอนาคตมีแผนที่จะขยายธุรกิจออกมานอกปั๊ม' นายประเสริฐ กล่าว
  16. ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ระดับ 31.18 บาท/ดอลล์ คาดพรุ่งนี้แกว่งตัวในกรอบ 31.15- 31.25 บาท/ดอลล์ นักค้าเงินจาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นนี้ ปิดตลาดที่ระดับ 31.18 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวันค่าเงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 31.16 บาท ต่อดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ระดับ 31.26 บาทต่อดอลลาร์ โดยประเมินเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ ยังคงไหลเข้าต่อเนื่องแต่ในทิศทางที่ชะลอลง ทั้งนี้คาดการณ์แนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงิน บาทในวันพรุ่งนี้จะแกว่งตัวในกรอบ 31.15-31.25 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งยังไม่มีปัจจัยใหม่สนับ สนุนการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
  17. สรุปการซื้อขาย ณ วันที่ 7 ก.ย. 2553 พี่ถายังขายหนักอีกแล้ว !Hot
  18. หุ้นหลายตัวถูกปล่อยของยกแผงค่ะ คิดว่าน่าจะระยะสั้น แต่วันนี้เห็นค่าเงินบาทอ่อนอย่างรวดเร็วทำให้ยังไม่แน่ใจเรื่องเงินทุนต่างชาติไหลออกหรือเปล่า ต้องดูสรุปพอร์ตซื้อขายเย็นนี้ก่อนค่ะ
  19. วันนี้บาทอ่อนค่าค่ะ ต่างชาตินำเงินออก หรือแบงค์ชาติแทรกแซงหนอ !38 ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 31.14-31.16 บาท/ดอลล์ คาดระหว่างวันอ่อนค่าตามค่าเงิน ภูมิภาค นักค้าเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวว่า ค่าเงินบาท เปิดตลาดเช้าที่ระดับ 31.14-31.16 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เวลา 9.37 น. ค่าเงินบาทอ่อน ค่าแตะระดับ 31.24 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแนวโน้มระหว่างวัน คาดว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวทิศทางอ่อนค่า เช่นเดียวกับ ค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ ในภูมิภาคที่ต่างอ่อนค่า โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหววันนี้ไว้ที่ 31.15- 31.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
  20. CPF ราคาลงมาต่ำกว่า 24 บาท น่าสะสมนะค่ะ หุ้นดียังไงก็สามารถรีบาวร์ดได้ ถืออดทนรอหน่อยนะค่ะ เมื่อวานดิฉันก็ทยอยสะสมในพอร์ท UOB รอบใหม่แล้วค่ะ กะจะไปขายเดือน 3/2011 หรือก่อนวันขึ้น XD 1 วัน ราคาเป้าหมายใหม่ 30 บาทค่ะ ส่วนในพอร์ตกิมเอ็งดิฉันมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 20.96 บาทค่ะ ตั้งใจถือยาว....เหมือนกับ IVL เป็นหุ้นคู่แฝดกันค่ะสองตัวนี้ และเมื่อวานก็สะสม CPALL ด้วยค่ะ ลงทุนหุ้นต้องใจเย็นๆ ค่ะ คนที่เพิ่งลงทุนมักจะไม่ค่อยมั่นใจตลาด อยากเข้าออกเร็ว หุ้นแต่ละตัวจะมีจังหวะหรือรอบของเค้านะค่ะ ลองสังเกต ทำความเข้าใจและใช้เวลาศึกษาหน่อยค่ะ ดิฉันก็ต้องค้นหา ลองลงทุนและศึกษาพฤติกรรมหุ้นที่สนใจด้วยเช่นกันค่ะ โดยเน้นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ก็สมหวังบ้างผิดหวังบ้างค่ะ เช่น TUF เคยตัดขาดทุนไป -5% แต่ถ้าอดทนถือสักเดือนครึ่งตอนนี้กำไรมากกว่า 30% สบายๆ เลย , STPI ตอนราคาล่วงหลังประกาศงบ Q2 พอร์ตติดลบ -20% แต่พอราคาลงเริ่มนิ่งที่ประมาณ 28 บาท ก็ซื้อเพิ่มถัวเฉลี่ย และทยอยขายตอนราคาขึ้นมากกว่า 30 บาทแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเท่าเดิม พอร์ตกลับมามีกำไรแล้วค่ะ ตั้งใจถือรับเงินปันผลหรือขายที่ราคา 40 บาทค่ะ
  21. ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ระดับ 31.15 บาท/ดอลล์ คาดพรุ่งนี้แกว่งในกรอบ 31.10- 31.18 บาท/ดอลล์ นักค้าเงินจาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นนี้ ปิดตลาดที่ระดับ 31.15 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวันค่าเงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 31.105 บาท ขณะที่อ่อนค่าสุดที่ระดับ 31.18 บาทต่อดอลลาร์ สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันพรุ่งนี้มีโอกาสที่ค่าเงินบาทจะ แกว่งตัวในกรอบ 31.10-31.18 บาทต่อดอลลาร์ โดยมองว่าโอกาสที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าหลุด 31.10 บาทต่อดอลลาร์ต้องใช้เวลา อย่างไรก็ตามยังคงมองเทรนด์ของค่าเงินบาทอยู่ในทิศทาง แข็งค่า
×
×
  • สร้างใหม่...