ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

jarurote

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    703
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

  • วันที่ชนะ

    9

บันทึกในบล็อก ถูกโพสต์โดย jarurote

  1. jarurote
    ความเข้าใจเดิมว่า GLD ETF ตัวนี้จะเคลื่อนไหวราคา NAV ในลักษณะเป็นราคากลางสากล link กันทั้งในตลาด ฮองกง ญี่ปุ่น และ นิวยอรค์ ซะอีก
     
     
    แต่เห็นมี Symbol อีกตัวก็รู้แล้วว่า มันเล่นคนละโต๊ะบ่อนกัน เซ็งแมวจริงๆวุ่ย
     
    GLD 10US$ (O87.SI) โต๊ะบ่อนของสิงคโปร์
    http://finance.yahoo...ource=undefined
     

     
     
    SPDR Gold Shares (GLD) โต๊ะบ่อนของอเมริกา
    http://finance.yahoo...ource=undefined
     

     
     
    ที่ผ่านมาสังเกตว่าราคาแทบเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ยกเว้นวันศุกร์
     
    จุดสังเกตอีกข้อ โวลุ่มต่างกันราวกับฟ้ากับเหว ของสิงคโปรเบาบางมากๆเทียบอะไรไม่ได้เลยกับของฝั่งอเมริกา
     
    หมายความว่า ตลาดก็เล็กลงไปอีก เป็นไปตามขนาด mainboard ของประเทศนั้นๆ แบบนี้มีโอกาสโดนถล่มราคาหรือปั่นกันเล่นๆได้ โวลุ่มต่างกันฟ้ากะเหว น่ากลัวชะมัด
     
    Source: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน
    (โพสเมื่อ 04 เมษายน 2011 )
     
     
     
     
    ผ่านไป 1 ปีกับปรากฏการณ์ถ่อยๆของกองทุนทองคำอีกแล้วขอรับ
     
    นี่เป็นข้อมูลล่าสุดเมื่่อปลายปี 2011 มันกลับมาอีกแย้ว
     

     
    เทียบกับโต๊ะบ่อนเพ่เมกาอีกรอบ
     

     
     
    ดังนั้นคนที่มาถามว่าถึงกองทุนแบบนี้ ต้องถามตัวเองว่า
     
    ของแบบนี้ยังน่าลงทุนอยู่อีกหรือเปล่าหละ ซื้อถูกจังหวะแถว 1520 แต่โป๊ะเช๊ะซวยขนานแท้ ราคา nav ดันขยับขาซื้อในราคาเทียบเท่ากับ 1700 แบบนี้
     
    ต่อมีเงินมากแค่ไหน อย่าตาบอดเข้าไปเชียว เดี๋ยวหาว่าไม่เตือน เพราะเราเตือนคุณมาแล้วเมื่อ ต้นเดือนเมษายนปีที่แล้ว (ที่โพสเมื่อ 04 เมษายน 2011 )
     
     
     
    และข้อมูลล่าสุดโดย คุณเจ๊แด้
     
     
    นักลงทุนยื่นฟ้องค่าเสียหายกองทองเพี้ยน
    นสพ. โพสต์ทูเดย์ - 21 พฤษภาคม 2555 เวลา 13:18 น
     
    ศศินทร์ เผยนักลงทุน ยื่นฟ้องมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กรณีเสียหายราคาหน่วยกองทุนทองคำอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ผิดปกติ
    http://www.posttoday...%B8%A2%E0%B8%99
     
    เอาหละ หมดเวลาสำหรับกองทุยทองคำทั้งหมดแล้ว สำหรับข้อแก้ตัวครั้งนี้ถือว่าจบแล้ว อิอิอิ
  2. jarurote
    บทความนี้เป็นของคนที่ชื่อ Hedge Hunter ดูน่าสนใจตรงที่ กองทุนน้ำมันที่เราซื้อขายกันทำไม่ไม่ค่อยยอมขึ้น ในขณะที่ราคาน้ำมันปิดตลาดปรับมากว่า 20% แต่ในกองทุนน้ำมันปรับได้แค่ 5-6% ยิ่งถ้ากองทุนที่ไม่มีนโยบายกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนนี้คงไม่ต้องพูดถึง ส่วนเหตุผลที่ทางกองทุนน้ำมันในประเทศอ้างยกเมฆมานั้นใครได้รับประโยชน์ บทความนี้ช่วยให้ใครหลายคนอาจหูตาสว่างได้มากขึ้น จริงเท็จประการใด ใคร่ครวญกันเอาเอง
     
     
     
     
    วันนี้ผมได้คุยกับพี่ที่ผมเคารพท่าหนึ่ง และผมสัญญากับพี่เขาไว้ว่าผมจะเขียนเรื่องกองทุนน้ำมันในสิ่งที่นักลงไทยส่วนมากไม่รู้กันครับ
     
    ก่อนอื่นเราต้องมากทำความเข้าใจกันก่อนว่ากองทุนน้ำมันนั้น เป็นกองทุนในประเภทไหนและนำเงินไปลงทุนในอะไร?
     
    กองทุนน้ำมันในประเทศไทย ล้วนแล้วแต่เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนรวมครับ ซึ่งมีเรื่องตลกตรงที่ว่า กองทุนปลายทางของทุก บลจ.ในประเทศไทยนั้น ล้วนแล้วแต่ไปลงทุนในกองทุน PowerShares DB Oil Fund บริหารโดย DB Commodity Services LLC. (ต่อไปนี้ผมจะเรียกย่อๆว่า DBO) ซึ่งกองทุนนี้ ไม่ได้ไปซื้อน้ำมันเป็น Tank เพื่อการลงทุนเหมือนกองทุนทองคำที่ไปลงทุนในกองทุนปลายทางที่ซื้อทองคำแท่งลงทุน แต่กองทุนนี้กลับไปซื้อ Futures ในตลาด NYMEX ที่สหรัฐ อันจะนำไปสู่ประเด็นถัดไป
     
    ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นถัดไปนั้น เราต้องมารู้จักกับศัพท์เฉพาะทางกันสักนิดครับ เพื่อจะได้คุยกันรู้เรื่อง คำทีว่านั้นคือคำว่า Contango Effect ครับ หรือปรากฏการที่ราคาสินค้าล่วงหน้าที่จะส่งมอบกันในเวลาอันใกล้ มีราคาถูกกว่าราคาสินค้าล่วงหน้าที่จะส่งมอบกันในเวลาอันไกลดัชเช่นตัวอย่างด้านล่างครับ
     

     
    เนื่องจากตอนที่ผมเก็บภาพราคามา ตลาด NYMEX ในส่วนของ Pit น้ำมันยังไม่เปิดทำการ (เวลาประมาณ 20.50น. โดยประมาณในไทย) ดังนั้น สัญญาไกลๆยังคนเป็นราคาปิดตลาดของเมื่อวานเนื่องจากวอลุ่มเป็นกลุ่มของสัญญาที่มีปริมาณการซื้อขายน้อยทำให้ไม่มีการส่งคำสั่งแบบ Pre-Market ครับ
     
    เอาละครับกลับเข้าเรื่องกันอีกรอบ คุณจะสังเกตุได้ว่าราคาน้ำมันล่วงหน้าของแต่ละเดือนในปี 2011 ราคาสัญญาส่งมอบเดือนใกล้ล้วนถูกกว่าสัญญาส่งมอบเดือนไกลๆทั้งสิ้น ปรากฏการนี้แหละครับที่เรียกกันว่า "Contango Effect"
     
    ประเด็นถัดมาที่ผมจะกล่าวถึง สำคัญมากๆครับ เพราะว่าเป็นเรื่องของกองทุนน้ำมันโดยตรง กองทุนประเภทนี้จะไปลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของน้ำมัน ที่อายุสั้น ที่สุดครับ ด้วยเหตุผลของสภาพคล่องในการซื้อขาย เนื่องจากกองทุนน้ำมัน ไม่สามารถรับการส่งมอบน้ำมันจริงๆได้ (ประเภทที่เอาน้ำมันใส่เรือ Tanker ส่งมาให้ถึงท่าเรือครับ) ดังนั้น ในทุกๆเดือน กองทุนน้ำมันก็ย่อมต้องขายสัญญาที่กำลังจะหมดอายุออกไปเพื่อซื้อสัญญาที่มีการซื้อขายในเดือนถัดไปครับ ซึ่งจะนำมาสู่ Contango Effect ครับ กองทุนจะขาดทุนจากส่วนต่างของราคาน้ำมันในทุกๆเดือน เพราะว่าต้องขายถูกไปซื้อแพงนั่นเอง นี่ไม่นับค่าการจัดการและค่าคอมมิชชั่นการซื้อขายนะครับ
     
    ดังนั้นก็จะสรุปได้ว่า กองทุนน้ำมันจะมีต้นทุนเฉลี่ยสูงขึ้นไปเรื่อยๆตราบใดที่ยังเกิด Contango Effect อยู่ ผมจึงอยากเตือนนักลงทุนให้ระวังในจุดนี้ครับ
     
     
    หากนับจากวันนี้ย้อนหลังไป 7 วัน ปริมาณการซื้อขายของ DBO ซึ่งมีราคาในกระดานปัจุบันโดยประมาณที่ $26.90/หน่วย มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 337,100 หน่วย/วันโดยปรมาณ ในขณะที่ USO ซึ่งมีราคาต่อหน่วยอยู่ที่ประมาณ $37/หน่วย กลับมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยสูงถึง 9.175ล้านหน่วย/วัน ดังนั้นหากเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์และคลุกคลีกับตลาดสหรัฐมานาน จะพบกว่า DBO ไม่มีความน่าสนใจในการลงทุนเลยแม้แต่น้อย สภาพคล่องก็ต่ำ หากจะซื้อขายไม้ใหญ่ๆก็ทำได้ลำบากเพราะจะเป็นการทำลายราคาในกระดานครับ
     
    ทังนี้ทั้งนั้น บทความนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายโจมตี บลจ.ต่างๆที่ออกกองทุนน้ำมันนะครับ ผมเพียงแค่นำข้อมูลที่หลายคนไม่ทราบมาเขียนเท่านั้น
     
     
    http://www.tradetactic.net/2010/11/blog-post_12.html
    http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=14839&page=1
  3. jarurote
    ทราบหรือไหมว่า เงินสกุลไหนแข็ง ที่สุดในโลก? บางท่านอาจจะบอกว่า เงินดอลลาร์สหรัฐฯ บางท่านอาจจะ บอกว่าเงินเยนของญี่ปุ่น และบางท่าน อาจจะบอกว่า เงินปอนด์ของอังกฤษ ยังไงๆ ก็ไม่ใช่
     

     
    เงินแข็งที่สุดในโลกก็ต้องนี่เลย เงินหินของชาวเผ่าแย็พ ชาวพื้นเมือง บนเกาะแห่งหนึ่งใน ไมโครนีเซีย กลางมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ เงินของพวกเขาทำจากหินปูนแท้ๆ นอกจากจะแข็งที่สุดในโลกแล้ว ยังใหญ่ที่สุดในโลกด้วย เพราะเงินหินบางอันมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 10 ฟุต และหนักถึง 8 ตันโน่นแน่ะ
     

     
    เกาะแย็พ (YAP) เกาะแห่งเงินหินนี้ เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ประกอบด้วยเกาะใหญ่ๆ 4 เกาะ แต่รวมแล้วก็เล็กจนปรากฏ เป็นเพียงจุดทศนิยมจุดเดียว บนแผนที่กลางพื้นนํ้าอันกว้างใหญ่ ของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีหมู่เกาะฟิลิปปินส์ อยู่ห่างไปสุดหล้าฟ้าเขียวทาง ตะวันตกเฉียงเหนือ และเกาะนิวกินีอยู่ลิบๆ ทางทิศใต้หมู่เกาะที่อยู่ใกล้ ที่สุดคือหมู่เกาะปาลาอู (PALAU) ซึ่งที่ว่าใกล้นี้คือห่างมาทางตะวันตก 300 ไมล์ หมู่เกาะปาลาอู เพื่อนบ้าน 300 ไมล์ นี้มีความสำคัญต่อ ชาวแย็พมาก
     

     
    เพราะที่นี่มี เกาะหินปูนน้อยใหญ่ รายเรียงกระจัดกระจาย ไปในท้องทะเลเป็น ระยะทางถึง 18 ไมล์ ซึ่งคนท้องถิ่นเรียกรวมๆ กันว่า เกาะหิน (ROCK ISLANDS) บนเกาะหิน ที่มีแต่โขดหินปะการัง และถํ้าหินนี้แหละค่ะ เป็นแหล่งที่มาของเงินหิน ชาวแย็พจะพายเรือมา 300 ไมล์ เพื่อสกัดตัดแต่งหินปูนในถํ้าที่นี่ ทำเป็นแผ่นกลมๆ ใหญ่ๆ มีรูตรงกลาง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ฟุต หนาประมาณ 1.5 ฟุต จากนั้นก็ช่วยกัน กลิ้งช่วยกัน แบกออกจากถํ้าไปตามทาง อันขรุขระคดเคี้ยวของเกาะ เอามาบรรทุกลงเรือพายกลับบ้านอีก 300 ไมล์
     
    เฮ้อ! อะไรจะลำบากลำบนขนาดน้าน!
     
    ตำนานชาวแย็พบอกว่า เมื่อ 500-600 ปีที่แล้ว อะนากุมัง (ANAGUMUNG) ได้นำเรือออกทะเลพร้อมบริวาร เรือของเขาถูก สายนํ้า พัดมายังหมู่เกาะปาลาอู พบหินปูนในถํ้า เหล่านี้โดยบังเอิญ และเห็นว่า มันแปลกตา สวยงามดี ไม่เหมือนหินที่เขาเคยเห็นมาก่อน เขาจึงให้บริวารสกัดหินออกเป็นรูปปลา เรียกว่า ราอิ (RAI - ราอิยังเป็นคำพ้องเสียงกับ คำที่หมายถึงปลาวาฬด้วย) แล้วนำกลับบ้าน ตั้งแต่นั้นมา หินปูนราอิก็เป็นที่ต้องการ ของชาวแย็พ มันมีค่ามีราคาขึ้นจนสามารถ ใช้เป็นเงินตราได้
     
    ต่อมาชาวแย็พพบว่าหิน ที่สกัดเป็นรูปปลานั้น มันช่างเกะกะเก้งก้างเหลือกำลัง จะแบกจะขนก็ไม่สะดวก จึงเปลี่ยนมาทำ เป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง และเจาะรูตรงกลาง เพื่อให้สอดคานหามได้ หัวหน้าหมู่บ้านแต่ละแห่ง ก็พยายามแข่งขันกันที่จะมีราอิที่ใหญ่กว่า สวยงามกว่า และแพงกว่าไว้ในครอบครอง เงินหินจึงมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ และฝีมือสกัดหินก็เรียบร้อยขึ้นด้วย
     

     
    ในสมัยแรกๆ เครื่องมือที่ชาวแย็พ ใช้สกัดและ ตกแต่งหินก็คือ เครื่องมือแบบดั้งเดิม ที่ทำจากหินและเปลือกหอย เท่านั้น แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เครื่องมือพื้นๆ แค่นั้นจะสกัดหิน ออกมาได้อันเบ้อเริ่ม เท่านั้นยังไม่จบ ชาวแย็พยังต้องกรุยทางจากถํ้าหิน มาตามลาดเขาสูงชันที่ ขรุขระแหลมคมไปด้วยหินปะการัง ลงสู่ชายหาดเบื้องล่าง
     
    จากนั้นจึงเอาเงินหินราอิลง บรรทุกบนเรือที่ก็เป็นเพียงเรือแคนู ลำไม่ใหญ่โตอะไร ขามาตอนเรือยังว่างๆ นั้น เรือของชาวแย็พจะบรรทุกลูกเรือได้ 6-8 คน แต่ขากลับเมื่อต้องขนเงินหินราอิไปด้วย ลูกเรือก็ต้อง ลดลงเหลือเพียง 2-3 คนเท่านั้น หลังจากใช้เรือขนเงินหินมาราวๆ 100 ปี ชาวแย็พก็ เริ่มฉลาดขึ้น รู้จักต่อแพขึ้นบรรทุก
     
    การจะได้ราอิสักอันสองอัน นั้นไม่ใช่ง่ายๆ นอกจากจะต้องใช้ ฝีมือและความอดทนใน การตอกหิน ใช้กำลังคนที่อาจจะเป็นร้อย เคลื่อนย้าย หินลงมาสู่เรือหรือแพ ก็ยังต้องเสี่ยงอันตรายในท้องทะเลอีก เป็นแรมเดือน กว่าจะถึงบ้าน ต้องผจญทั้งแรงลม แรงนํ้า และแรงคลื่นที่ผันผวนปรวนแปร ชาวแย็พจึงเอาชีวิต ไปทิ้งเสียมากมาย ในการเดินทางไป “ทำเงิน” นี้
     
    กับชาวปาลาอูเจ้าของพื้นที่ ชาวแย็พก็ต้องจ่ายค่า สัมปทานการสกัดหินด้วยเหมือนกัน โดยจ่ายเป็นเนื้อมะพร้าวแห้งกับลูกปัด ส่วนอาหารการกินระหว่างอยู่ที่ปาลาอู ชาวแย็พก็เอาแรงกายเข้าแลก ด้วยการทำงานให้ชาวปาลาอู ทั้งตัดฟืน ตักนํ้า ทำเขื่อนดักปลา กระทั่งเป็นหมอผี หมอกลางบ้าน หรือแม้แต่นักแสดงกล
     

     
    ค่าของราอิแต่ละอันนั้น มิได้กำหนดไว้ตายตัว แต่จะขึ้นอยู่กับความหายาก ความเรียบร้อย สวยงามของหิน ฝีมือการสกัดตัดแต่ง กับรูปร่างและขนาด นอกจากนั้นค่าของราอิ ก็ยังขึ้นอยู่กับประวัติ ความเป็นมาของมันด้วย อย่างเช่น ถ้าราอินั้นถูกนำมาโดยนักเดินเรือที่มีชื่อเสียง หรือถ้าระหว่างทางที่นำราอิกลับมานั้น มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมาย ราอินั้นก็จะมี ราคาแพงขึ้นตามไปด้วย
     
    แต่มีราอิอันหนึ่งมีชื่อว่า หินที่ปราศจากนํ้าตา (THE STONE WITHOUT TEARS) ก็เป็นราอิที่มีราคาสูงด้วยเช่นกันเพราะไม่มีการ ตายเกิดขึ้นเลย ในระหว่างการเดินทางไปกลับ เพื่อนำหินนี้มา ซึ่งเป็น เหตุการณ์ที่หายากมากๆ
     
     
    เล่ามาตั้งนานยังไม่ได้บอกเลยว่า เขาใช้ เงินหินราอิกันอย่างไร จะพกพาติดตัวกัน ไปได้อย่างไร จะซื้ออะไรทีมิต้องแบก ต้องหามกันแย่รึ
     
    เปล่าเลย ชาวแย็พมิได้พกพาติดตัว แต่เขาจะฝากวางเรียงรายไว้ที่ “ธนาคาร” ซึ่งก็คือทางเดินแห่งหนึ่งในดงมะพร้าวบนเกาะ โดยแทบจะไม่มีการเคลื่อนย้ายราอิเลย และก็ไม่มีดอกเบี้ย หรือกดเอทีเอ็มก็ไม่ได้ ราอิสามารถใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยน ได้เหมือนเงินทั่วไป จะขายแลกเปลี่ยนกับอาหาร จะให้เป็นค่าสินสอดทองหมั้น หรือรับขวัญหลานที่เกิดใหม่ ชดใช้หนี้สิน เป็นค่าจ้างคนต่างถิ่นมาช่วยรบ ยามเกิดศึกระหว่างหมู่บ้าน
     
    หรืออาจเป็นค่าไถ่ศพญาติพี่น้องซึ่งตายในสนามรบกลับคืนมา รวมทั้งจ่ายซื้อเสียงสนับสนุนในการเลือกหัวหน้าหมู่บ้าน ราอิส่วนใหญ่จะมี “เพดดีกรี” หรือพงศาวดารแจกแจงชื่อเจ้าของที่รับสืบทอดต่อๆกันมา ในการใช้จ่ายจะไม่มีการโยกย้ายเงินหินนั้น เพียงแต่เปลี่ยนกรรมสิทธิ์ เปลี่ยนเจ้าของเท่านั้น ราอิจะยังคงวางนิ่งๆอยู่ที่เดิม เจ้าของเดิมคงจะพาผู้รับสืบทอดไป “ธนาคาร” แล้วชี้ให้ดูว่าเงินราอิอันนี้ ตูจ่ายให้สูแล้วนะ
     

     
    เอ! แต่จะมีการขี้โกงอ้างสิทธิ์ซ้อนทับกันไหม ก็ไม่รู้สินะ
     
     
    ประมาณศตวรรษที่ 16 เริ่มมีชาวยุโรปเดินทางเข้ามาถึงหมู่เกาะไมโครนีเซีย และก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่แก่วิถีชีวิตของชาวเกาะ ที่สำคัญก็คือการนำเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากเหล็กมาให้เป็นที่รู้จักกัน ช่างหินชาวแย็พจึงเปลี่ยนมาใช้ เครื่องมือเหล็กก็คราวนี้เอง การสำรวจถํ้าที่ปาลาอูเมื่อ ไม่นานมานี้นอกจากจะพบเศษซากอาหาร เช่น เปลือกหอยจำนวนมากแล้ว ก็ยังพบใบมีดและพลั่วด้วย
     

     
    ชาวฝรั่งคนหนึ่งซึ่งมีบทบาทสำคัญ เป็นอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ของชาวแย็พก็คือกัปตัน เดวิด โอคีฟ (DAVID DEAN OKEEFE) นักเดินเรือและพ่อค้าชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช เขามาถึงเกาะแย็พเหมือนสวรรค์บันดาล เมื่อค.ศ.1871 เรือหาหอยมุกเบลวิเดียร์ของ เขาประสบอุบัติเหตุอับปางลง กัปตันโอคีฟเป็นคนเดียวที่รอดตาย และได้ลอยมาติดเกาะแย็พ ชาวแย็พช่วยรักษาพยาบาล เขาจนหายจากอาการบาดเจ็บ
     
    พอเริ่มคุ้นเคยจนรู้จักวิถีชีวิตของชาวแย็พ เขาก็ได้ไอเดียที่จะเมกมันนี่บ้าง เขา “โบก” เรือเยอรมัน ที่ผ่านมากลับฮ่องกง หาเรือลำใหม่แล้วกลับมายังเกาะแย็พ เพื่อทำตามไอเดียอันบรรเจิด ของเขาทันที
     

     
    โอคีฟรู้ว่าชาวแย็พมีความ ต้องการเงินราอิ และต้องเดินทางไปไกลถึงเกาะปาลาอู เพื่อสกัดเงินหินนั้น เขาจึงเริ่มบริการขนส่งช่างหินชาวแย็พไปยังปาลาอูด้วยเรือของเขา ให้ช่างสกัดหินด้วยเครื่องมือที่เขาจัดหามาให้ แล้วขนราอิกลับด้วยเรือของเขาอีกเช่นกัน นับเป็นบริการที่ครบวงจรดีแท้ ทำให้การเดินทางของชาวแย็พง่าย รวดเร็ว และปลอดภัยขึ้นเป็นอันมาก และยังทั้งสกัดทั้งนำราอิมาได้คราวละมากๆ อีกด้วย
     
    ค่าบริการงานนี้โอคีฟคิดเป็นเนื้อมะพร้าวแห้งกับปลิงทะเล อันเป็นสินค้าหนึ่งผลิตภัณฑ์ของชาวเกาะ ซึ่งเขาก็นำสินค้าทั้งสองชนิดนี้ไปขาย แถวๆจีนและญี่ปุ่น เนื้อมะพร้าวแห้งนั้นใช้สกัดนํ้ามัน ทำเนยและสบู่ ส่วนปลิงทะเลใช้เป็นยาโป๊และเชื่อว่ามีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดข้อด้วย
     
    โอคีฟทำธุรกิจและอยู่อาศัยที่เกาะแย็พ อย่างสุขสบายเป็นเวลาถึง 30 ปี จนสิ้นชีวิตลงเมื่อปี 1901 ชาวเกาะเองก็พอใจที่จะติดต่อ ค้าขายใช้บริการของเขา เพราะเขาค้าขายแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรม ไม่ขี้โกงหรือเอาเปรียบอย่างชาวยุโรปอีกหลายคน โอคีฟ ได้สมญาจากชาวเกาะว่า “ใต้เท้าโอคีฟ” (HIS MAJESTY OKEEFE) เขามีภรรยาชาวแย็พ 2 คน มีลูกหลานอีกหลายคน คาดว่าตลอด 30 ปี ที่เขาทำ ธุรกิจกับชาวแย็พ เขาทำกำไรได้ถึง 5 แสนดอลลาร์ สหรัฐฯ ซึ่งเขาก็ได้ส่งเงินจำนวนหนึ่งไป ให้ภรรยาเดิมกับบุตรสาวที่อเมริกา เป็นประจำตลอดด้วย
     
    ก็ยังดีนะ ยังไม่ลืมว่าทิ้งลูกทิ้งเมียไว้ทางโน้นอีก 2 คน
     

     
    อย่างไรก็ตาม บริการของโอคีฟทำให้ชาวแย็พมีเงินราอิเป็นจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดภาวะ “เงินเฟ้อ” ขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 สถานการณ์ครั้งนั้นเรียกกันว่า “เงินของไอคีฟ” (O'KEEFE'S MONEY) ราอิที่สกัดและขนส่งมา ด้วยบริการของโอคีฟ มีค่าลดตํ่าลง จากราอิรุ่นก่อนหน้าที่ได้มาด้วยวิธีดั้งเดิม แม้ว่าราอิรุ่นเก่าจะมีขนาดเล็กกว่าก็ตาม
     
    ปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษที่ 20 เกิดความขัดแย้งระหว่างสเปนกับเยอรมัน ที่มีผลประโยชน์ทางการค้าในไมโครนีเซียทั้งคู่ กระทั่งในที่สุด เยอรมันออกประกาศห้ามการเดินทางระหว่าง หมู่เกาะ ข้อห้ามนี้ทำให้ระบบเงินราอิของแย็พล่มสลาย กลายเป็นตำนานถํ้าหินที่ปาลาอูถูกทิ้งร้าง ไม่มีการสกัดหินอีกต่อไป
     
     
    เมื่อปี 1930 ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งบันทึกไว้ว่า บนเกาะแย็พมีเงินราอิอยู่มากกว่า 13,000 อัน ราอิเหล่านี้เมื่อหมดค่า ก็ถูกนำมาใช้เป็นสมอเรือบ้าง ใช้ถมดินสร้างทางวิ่งของเครื่องบินในระหว่างสงคราม โลกครั้งที่ 2 บ้าง และถูกกลบฝังไว้ใต้พื้นดินและท้องนํ้าด้วยพายุไต้ฝุ่นบ้าง หรือบ้างก็ถูกละเลยหลงลืมไปเฉยๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเงินหินราอิก็ยังเป็นที่นับถือของชาวแย็พ ในฐานะสัญลักษณ์แห่งวัฒนธรรม และยังใช้เป็นของขวัญ กับใช้ในพิธีกรรมดั้งเดิมอยู่
     
     
     
     
    ที่มา

    http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=3478
    http://en.wikipedia.org/wiki/Yap
    http://en.wikipedia.org/wiki/Rai_stones
    http://www.archaeology.org/0403/abstracts/yap.html
    http://economistsview.typepad.com/economistsview/2005/09/yapping_about_m.html

  4. jarurote
    วันเสาร์ที่ ๐๒ มกราคม ๒๕๕๓
     
     
    ผมได้เขียน 10 คำทำนายมา 2 ปีติดต่อกันแล้ว นับตั้งแต่ปี 2008 เดิมทีได้ไอเดียจากคุณ Byron Wien ซึ่งได้เผยแพร่คำทำนายออกมาทุกปีนับตั้งแต่ปี 1980 ขณะที่เขาอยู่ที่ Morgan Stanley แล้วก็ไปอยู่กับ Pequot Capital ตามด้วยปัจจุบัน อยู่ที่ Blackstone.
     
    คำทำนายในปี 2008 ของผมค่อนข้างตรงและได้ทำนายทิศทางหลักๆเกือบทั้งหมด เนื้อหาดีกว่าของคุณ Byron บางอย่าง ผมเรียกว่า เป็นความโชคดีของมือใหม่อย่างผม แต่ในปี 2009 Byron ก็สามารถเอาคืนได้ ด้วยคำทำนายที่ถูกต้องมากกว่า การอ่านลูกแก้วแบบนี้ ไม่มีใครชนะได้ตลอด แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมว่ามันเป็นเรื่องน่าสนุกที่จะทำ โดยเฉพาะเมื่อมันถูกต้องขึ้นมา ผมตั้งใจจะทำมันทุกๆปี ไม่ว่าปีก่อนผลจะผิดหรือถูกมากกว่า และโดยไม่รอช้า คำ 10 ทำนายของผม มีดังนี้
     
    1. ทองคำ จะแตะระดับ 1500 เหรียญต่อออนซ์ในปี 2010 หรือหมายถึงขึ้นไปอีก 50% จากระดับปัจจุบัน ส่วนโลหะเงินก็จะตามกันไป แตะระดับ 25 เหรียญต่อออนซ์ ส่วนดัชนีหุ้นเหมืองทองคำ HUI จะขึ้นผ่าน 600 เหรียญด้วยเหมืองทองคำ/เงิน ขนาดเล็กๆหลายแห่ง จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 2 - 3 เท่า ทองคำจะถูกจัดเป็นสินทรัพย์เพียงอย่างเดียวที่วางใจได้ ทั้งจากประชาชนทั่วไปและจากธนาคารกลางต่างๆ จากการเสื่อมค่าลงของเงินกระดาษ (fiat money)
     
    2. ดัชนี USD index จะเหลือ 60 จุด การรีบาวน์ของ US ดอลล่าร์ขณะนี้จะอยู่ได้เพียงแค่ช่วงสั้นๆ หลังจากแตะระดับ 80 จุดได้ไม่นาน เพื่อจะบีบและเขย่าขวัญขา Short US ดอลล่าร์จะกลับสู่ trend ขาลงซึ่งจะเป็น trend หลักที่จะเกิดขึ้นในปี 2010 จนกว่าจะถึงระดับ 60 จุด ธนาคารกลางส่วนใหญ่ จะไม่ต้องการถือ US ดอลล่าร์อีกต่อไป แต่พวกเขาก็จะประสบกับความยากลำบากในการที่จะออกจากสถานการณ์เช่นนี้โดยที่ ตัวเองจะไม่ได้รับกระทบ หนทางที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย (ธนาคารกลางอื่น กับ เฟด) คือการที่จะต้องประคองให้มีการลดค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปราว 20% ต่อปี
     
    3. ตลาดหมีใน S&P ที่รีบาวน์อยู่ในตอนนี้ จะขึ้นต่อได้อีกราว 7 เดือน จากเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม แล้วหลังจากนั้น ตลาดจะต้องเผชิญกับหน้าผาสูงชันที่จะมาเขย่าขวัญอีกเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งจะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคมไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งจะไม่เหมือนกับรูปแบบปกติที่เกิดขึ้นในปีที่มีการเลือกตั้งกลางเทอม ที่ปกติ จะแย่ในช่วงครึ่งแรกของปี และดีขึ้นในช่วงครึ่งหลัง แต่จะกลับไปสอดคล้องกับความคิดและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในวอลล์สตรีท ที่จะสูบ รีดเอาน้ำผลไม้ และโบนัสสำหรับตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจระลอก 2 จะเกิดขึ้น
     
    4. หุ้น Citigroup จะลดลงเหลือต่ำกว่า 2 เหรียญอีกครั้ง (ปัจจุบัน 3.30 อดีตก่อนเกิดวิกฤติอยู่ที่เกิน 50) ความยากลำบากในการหาทุนเพิ่มที่เห็นกันอยู่ในตอนนี้ บอกเรามากเกินพอสำหรับสถานการณ์ภัยพิบัติของสถาบันแห่งนี้ นี่เป็นหายนะที่น่าสยดสยองสำหรับ Citi และการตัดสินใจที่แย่ๆ ที่ทำโดยคณะผู้บริหาร จนเดี๋ยวนี้ ใครๆในโลกก็รู้ว่า จุดประสงค์เดียวที่จ่ายเงินคืนแก่ TARP เพราะต้องการจ่ายโบนัสก้อนโตให้แก่แมวอ้วนคณะผู้บริหาร Citi พอร์ทของ Citi ในจำนวนหลายล้านๆ ยังคงเสื่อมค่าลงทั้งส่วนของที่อยู่อาศัยและตลาดอสังหาฯเชิงพาณิชย์ แค่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการล่มสลายในหนี้จำนองและอนุพันธ์ในพอร์ทของมัน ก็สามารถกวาดล้างผู้ถือหุ้นรายย่อยออกไปได้อย่างเร็ว และเมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาอาจจะขอความช่วยเหลือจาก TARP อีกครั้ง (TARP เป็นหน่วยงานของสหรัฐ ที่เข้าอุ้มสถาบันการเงินสหรัฐจำนวนมากอยู่เวลานี้)
     
    5. ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐ จะเพิ่มขึ้น 2 เท่าจาก 1.5% ในปัจจุบันเป็น 3% ซึ่งนี่จะเป็นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ ของทั้งเฟดและนักลงทุน เฟดทำได้แค่ควบคุมอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ตลาดหนี้เริ่มได้กลิ่นและเริ่มรู้สึกว่าอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นอย่างผิด ปกติมากๆในค่าเงิน และหนี้ของสหรัฐ - กระบวนการเทของจะเกิดขึ้นอย่างเร็ว ความกังวลเรื่องเงินฝืดจะกลับกลายเป็นความกังวลเงินเฟ้อแทน และไม่ใช่เงินเฟ้อธรรมดา แต่เป็นภาวะเงินเฟ้ออย่างมาก ( hyperinflation ) ได้เกิดขึ้นแล้ว การร่วงลงอย่างต่อเนื่องของค่าเงิน US ดอลล่าร์, ซัพพลายเงินที่คุมไม่อยู่ และการขาดสภาพคล่องของรัฐบาลที่ไร้ขอบเขต จะทำให้นักลงทุน ไม่สามารถมองเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ได้ (มองไม่เห็นทางออก) ซึ่งจะแย่กว่าสมัยทศวรรษก่อนของญี่ปุ่น นับจากที่ความยุติธรรมของระบบของเราถูกตั้งข้อสงสัยโดยการออมเพียงน้อยนิด แต่รายจ่ายมหาศาล
     
    6. การรีบาวน์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของดัชนี S&P/Case-Schiller จะเกิดแค่ช่วงสั้นๆ ดัชนี Schiller จะร่วงลงมากกว่า 15% ในปี 2010 ต่ำกว่า 120 ตลาดอสังหาฯส่วนที่อยู่อาศัยจะเผชิญกับแรงกดดันที่น่ากลัวเพราะการเพิ่มขึ้น ของดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ต้องจ่ายเพราะถึงกำหนดการปรับดอกเบี้ยที่ต้องลอยตัว แล้ว โดยหนี้ที่ต้องมีการปรับอัตราดอกเบี้ย (ARM reset)จะทะยอยปรับในช่วงปี 2010-2012 ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจะลามไปตลาดอสังหาฯเชิงพาณิชย์ โครงการขนาดใหญ่ๆจะล้มเหลวในปีต่อไป เหมือนพลุบนท้องฟ้า ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นใน 2 ตลาดนี้ อาจต้องใช้เวลาน้อยๆก็ 1 - 2 ทศวรรษในการฟื้นฟู ต้องขอบคุณวิศวกรรมการเงินของวอลล์สตรีท
     
    7. หลังจากซื้อเวลาได้อีกครึ่งปี หุ้นอุตสาหกรรมส่วนบุคคล (PE) จะเผชิญแรงกดดันในปี 2010 โดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง นักลงทุนส่วนบุคคลจะเรียกร้องความโปร่งใสในการแสดงมูลค่าที่แท้จริงของสิ่ง ที่พวกเขาลงทุนไป แล้วพวกเขาจะเริ่มค้นพบว่า ระบบ leverage หรือการลงทุนที่ใช้อัตราทดมันไม่ work เฮดฟันด์จะทะยอยปิดตัวเพิ่มขึ้นในปี 2010 หลังเศรษฐกิจฟุบรอบ 2
     
    8. จีนจะยังคงอัตราการเติบโตราว 9% ในปี 2010 หลังจากทำได้ 9% ในปี2009 ความพยายามของจีนในการที่จะชวนให้ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น ออมน้อยลง จะยังคงดำเนินต่อไป รัฐบาลกลางจะเริ่มโปรแกรมประกันสังคม(social security) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอย่าง Health care ซึ่งจะตามมาหลังการเติบโตต่อเนื่องของเศรษฐกิจ ปัญหาปวดหัวของจีน คงจะเป็นการหาทางรับมือกับทุนสำรอง 80% ที่มีมูลค่าในเทอมดอลล่าร์และกำลังเผชิญกับการเสื่อมค่าลงทุกวัน
     
    9. เงินเฟ้อจะแตะระดับ 10% วัดจากฐาน CPI ก่อนยุคคลินตัน ใช้เกณฑ์จาก www.shadowstats.com ในการเปรียบเทียบแอปเปิ้ลกับแอปเปิ้ลในปี 1970 มันเป็นการควร ที่น่าจะใช้สูตรคำนวน CPI เดียวกันคือยุคก่อนสมัยคลินตัน เมื่อเงินเฟ้อหลุดออกจากกรง (การควบคุม) แล้ว อย่างที่ผมเชื่อว่ามันจะเกิดในปี 2010 มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปควบคุมมัน โดยไม่ทำอย่าง Paul Volcker อดีตประธานเฟด (ที่ขึ้นดอกเบี้ยอย่างแรง )ในปี 1980
     
    10. น้ำมันจะแตะระดับ 3 หลัก (100 เหรียญ) อีกครั้งในปี 2010 ราคาปัจจุบันราว 70 เหรียญ กับซัพพลายที่จำกัด ผู้ผลิตน้ำมันจาก ทราย tar ยังไม่คุ้มที่จะผลิต พลังงานนิวเคลียร์จะได้รับความสนใจ เมื่อซัพพลายยูเรเนียมจากอดีตสหภาพโซเวียตใกล้หมด เทคโนโลยีสีเขียวจะมีการโอ้อวดเกินจริงและมีแผนการณ์อื่นมากกว่าจะเป็น เรื่องจริง ภัยคุกคามจากโลกร้อนจะถูกขยายจนเกินจริงจากนักการเมืองและสื่อ ประชาชนยังคงจำได้ว่าในปี 1970 ทุกคนได้รับฟังจากนักการเมืองและสื่อว่า อุณหภูมิของโลกกำลังลดลงและเราจะกลับสู่ยุคน้ำแข็ง เพียงแค่ 3 ทศวรรษต่อมา เราถูกบอกในทางตรงกันข้าม เรื่องจริงคือมนุษย์ไม่สามารถควบคุมอะไรเกี่ยวกับอุณหภูมิโลกได้ ไม่ว่าจะร้อนหรือเย็น มันแค่ตัวอย่างที่นักการเมืองตบตา และทำให้เสียงบประมาณมหาศาลไปตลอดทาง
     
    Source: 10 คำทำนายปี 2010
  5. jarurote
    สำหรับ คนที่พึ่งลงทุน K-Gold ควรไปศึกษาในนี้ให้ดีๆก่อน
     
    การลงทุนทองคำและน้ำมันผ่านกองทุนรวมของ ธ.กสิกร (คลิ๊กไปอ่านดู)
     
    กะ
     
    แนวทางการลงทุน K-Gold ก่อนและหลังปันผล (สำหรับคนที่หลีกหนีกรรมเวรมันไม่พ้น) (คลิ๊กไปอ่านดู)
     
     
    ใน Link ชุดแรก อาจมีบางจุดที่เนื้่อหาคลาดเคลื่อนไป เพราะ ข้อมูลใหม่ มันupdateตลอด มีอะไรก็แจ้งมาด้วยจะได้แก้ลงไป หรือใครก็ได้ช่วยร่างบทความหน่อย เพราะลำพังตัวแมวคนเดียวก็ขี้เกียจแล้ว !37
     
    ดังนั้นขณะที่ลงทุนก็ศึกษาไปด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่า ลงทุนไปไม่รู้อะไรสักอย่าง แล้วตามเค้าตลอด แล้วมาโทษใครบ่ได้นะ อิอิอิ
     
     
    ได้เวลาไปนอนแล้ว แล้วเจอกันอีกใหม่ บ๊ายบาย !bye
    เมี้ยวๆๆ !La !La !La
     
    Source: วิเคราะห์แมวๆ เพื่อการลงทุนกองทุนทองคำ
  6. jarurote
    พวกเราระวังตัวด้วยนะครับ ก.ล.ต. กัดไม่เลือกซะแล้ว
    credit: คุณบอล ณ. c-box
     
     
    ก.ล.ต.ออกสกัดขบวนการปั่นหุ้นผ่านออนไลน์ เผยพฤติกรรมนักวิเคราะห์อิสระและนักการตลาดป้อนข้อมูลทางเว็บเพจ แชตรูม มือถือ ชี้นำราคาแบบไร้ปัจจัยพื้นฐานรองรับ บุกถึงตัวเจ้าของเว็บไซต์ดังใช้ไม้นวมเจรจาก่อนงัดมาตรการทางกฎหมายเล่นงาน หนัก ระบุเพราะความโลภของนักลงทุนผสมโบรกเกอร์แข่งขันเอาใจลูกค้า กระทรวงไอซีทีบอกยินดีช่วยหาหลักฐาน
     
    เทคโนโลยีในยุคโลกไร้สายนอกจากจะอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร ช่วยเปิดโลกทัศน์ด้านข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วฉับไว และช่วยกระตุ้นความสนใจของนักลงทุนแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นช่องทางสำหรับขบวนการ "ปั่นหุ้น"ที่อาศัยระบบออนไลน์ส่งผ่านข้อมูลไปยังเครือข่ายนักลงทุนซึ่งส่วน ใหญ่เป็นรายย่อย ที่เป็นอันตรายต่อผู้ที่หลงเชื่อหรือหลงรับข้อมูลโดยไม่ไตร่ตรอง
     
     
     
    เชื้อร้ายกำลังลุกลาม
    นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เปิดเผย"ฐาน เศรษฐกิจ"ว่า นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ก.ล.ต.
    พบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯผ่านระบบออนไลน์เพิ่มขึ้น อย่างมาก แต่ข้อมูลการซื้อขายหุ้นบางส่วนอาจเข้าข่ายชี้นำราคาโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐาน รองรับ มีเป้าหมายเพื่อหวังสร้างราคา หรือปั่นหุ้น อาทิ การแนะนำ ให้ลงทุนตามรอบ ผ่าน เว็บเพจ แชตรูม และเว็บไซต์
     
    หลังการตรวจพบดังกล่าวในเบื้องต้นก.ล.ต.ได้เข้าพบและเจรจากับเจ้าของ เว็บไซต์ในลักษณะขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายภายใต้พ.ร.บ.หลัก ทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
     
    นายประเวช กล่าวว่า สาเหตุของการขอความร่วมมือครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาการเผยแพร่ข้อมูลผ่านออนไลน์มีการพัฒนาอย่างแพร่หลายและ มีการใช้ระบบออนไลน์เพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุนในทางที่ไม่ควรด้วย ก.ล.ต.จึงประเมินว่าอาจเป็นอันตรายต่อนักลงทุนหากเข้าไปบริโภคข่าวสารและหลง เชื่อโดยมิได้ไตร่ตรองข้อมูล
     
     
     
    ***ล้วงข้อมูลเชิงลึก
    นอกจากนี้ก.ล.ต.ยังมีมาตรการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง อาทิ ยังส่งบุคลากรก.ล.ต.สมัครเข้าเป็นสมาชิก เพื่อขอข้อมูลคำชี้แนะจากบริการเสริมที่มีของข้อมูลออนไลน์ดังกล่าว ทั้งในรูปแบบสมาชิกเว็บไซต์ สมาชิกลูกค้าที่บางแห่งมีบริการส่งข่าวผ่านข้อความทางมือถือ(Short Massage) รวมทั้งการไปร่วมฟังการจัดสัมมนาด้วยอย่างต่อเนื่องไม่เฉพาะสื่อออนไลน์แต่ ทุกๆการจัดสัมมนาที่เกี่ยวกับการลงทุนอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว
     
     
     
    *นักวิเคราะห์-ร่วมมือขาใหญ่
    แหล่งข่าวจากวงการมาร์เก็ตติ้งหุ้น กล่าวว่า ที่ผ่านมามีนักวิเคราะห์หลักทรัพย์อิสระนิยมใช้วิธีการจัดสัมมนาให้ความรู้ เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น โดยผู้ที่ประสงค์เข้าร่วมฟังงานสัมมนา ดังกล่าวจะต้องเสียค่าใช้จ่ายครั้งละ 2,000-3,000 บาท และยังมีการสมัครเป็นสมาชิกด้วย
     
    นอกจากนี้ในงานสัมมนาจะมีการชี้นำราคาหุ้นให้นักลงทุนซื้อตามเป็นรอบๆด้วย ซึ่งก็คือการแนะนำหุ้นปั่นนั่นเอง แต่ต่อเมื่อมีวิวัฒนาการที่ทันสมัยมากขึ้น จึงได้มีการพัฒนาเป็นเว็บไซต์และส่งข้อมูลหุ้นที่เป็นหุ้นปั่นให้กับนักลง ทุนที่เป็นสมาชิก รวมทั้งการส่งข้อความสั้นๆผ่านมือถือ(SMS) ด้วย
     
    แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า กลุ่มนักวิเคราะห์หลักทรัพย์อิสระเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นส่วนหนึ่งของการ กระจายข่าวหุ้นเป้าหมายที่นักลงทุนรายใหญ่หรือขาใหญ่เข้าไปซื้อเก็บโดยมี เป้าหมายเพื่อดันราคา ขณะที่นักลงทุนที่เป็นสมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนรายย่อยหรือแมลงเม่า ทั่วๆไปที่ไม่ค่อยสนใจศึกษาข้อมูลการลงทุนในหุ้น แต่มักจะชอบลงทุนด้วยวิธีการซื้อตามบรรดานักวิเคราะห์อิสระแนะนำ และสุดท้ายก็บาดเจ็บ
     
     
     
    *** "ไอซีที"รอประสาน
    นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เปิดเผยว่า กรณีที่มีกลุ่มบุคคลอาศัยช่องทางเว็บไซต์ทำการปั่นหุ้นผู้ที่เป็นเจ้าภาพ คือ ก.ล.ต. แต่หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถแจ้งผ่านมายังกระทรวงไอซีทีเพื่อหา ข้อมูลและหลักฐาน
     
    เช่นเดียวกับกรณี ขายยา ผ่านเว็บไซต์ไม่ถูกต้องตามกฎหมายทางกระทรวงสาธารณสุขเคยขอความร่วมมือมายัง ไอซีที เพื่อช่วยหาหลักฐานทางกระทรวงได้ประสานงานให้และสามารถดำเนินการเอาผิดกับ ผู้ที่กระทำผิด
     
     
     
    ***เปิดชื่อเว็บหุ้นยอดฮิต
    แหล่งข่าวจากวงการตลาดหุ้น กล่าวว่าปัจจุบันเว็บไซต์ ยอดฮิตของนักลงทุนในตลาดหุ้น โดยอิงข้อมูลจาก เว็บไซต์ ที่ชื่อว่า WWW.TRUEHIT.COM ซึ่งอิงจากยอดผู้เข้าชม พบว่ามีดังนั้น คือ:

    WWW.SETTRADE.COM,
    WWW.SET.OR.TH,
    WWW.THAIVI.COM,
    WWW.DOOHOON.COM,
    WWW.EFINANCETHAI.COM,
    WWW.STOCK2M.COM, และ
    WWW.STOCKWAVE.COM

     
     
    ส่วนเว็บเพจ หรือเว็บบอร์ด ที่นิยม อ้างอิงข้อมูลจาก เว็บไซต์ WWW.DOOHOON.COM ซึ่งแสดงตัวอย่างไว้ คือ

    เว็บบอร์ด "ห้องสินธร" ของ WWW.PANTIP.COM
    เว็บบอร์ด "ThaiValueInvestor" จากเว็บไซต์ WWW.THAIVI.COM
    เว็บบอร์ด "ไทยหุ้น" จากเว็บไซต์ WWW.THAIHOON.COM
    เว็บบอร์ด "กระทิงเขียว"
    เว็บบอร์ด "ตลาดหุ้นดอทคอม" จากเว็บไซต์ WWW.TALADHOON.COM
    เว็บบอร์ด "ทันหุ้น" จากเว็บไซต์WWW.THUNHOON.COM และ
    เว็บบอร์ด "ห้องนักลงทุน" จากเว็บไซต์ WWW.SETTRADE.COM

     
     
     
    ***เผยเหตุลงโทษมาร์เก็ตติ้งหุ้น
    นายประเวช กล่าวต่อกรณีการลงโทษเจ้าหน้าที่การตลาดหรือมาร์เก็ตติ้งของก.ล.ต. และค่าปรับบริษัทหลักทรัพย์ หรือบล.ย้อนหลัง 1 ปีนั้นพบว่ามีต้นเหตุมาจาก 3 กรณี คือ

    การคาดหวังผลตอบแทน(รีเทิร์น)จากการลงทุนของนักลงทุนในอัตราที่สูงเกิน จริง
    นักลงทุนคาดหวังข้อมูลจากมาร์เก็ตติ้งมากเกินไป และ
    การแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ จนทำให้มีการปรับกลุยทธ์การให้บริการเพื่อเอาใจลูกค้ากลุ่มที่ต้องการลงทุน ในหุ้นเพื่อหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตราที่สูงเกินจริง ซึ่งรวมถึงการปั่นหุ้นด้วย

     
    จากที่กล่าวข้างต้น เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัวจึงเกิดกรณีการร้องเรียนมายังก.ล.ต. ขณะที่ก.ล.ต.ต้องลงโทษมาร์เก็ตติ้งตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ การยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ลงทุน และการประกาศ.....ผ่านเว็บไซต์ ก.ล.ต. (www.sec.or.th) ซึ่งถือว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงระดับหนึ่ง ขณะที่มาร์เก็ตติ้งบางรายถึงขั้นถูกเพิกถอนใบอนุญาต
     
     
     
    ***เตือนอย่าโลภมาก
    นายประเวช กล่าวว่า ก.ล.ต.ขอเตือนนักลงทุนว่า การที่นักลงทุนบางรายมีแนวคิดต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อคาดหวังรีเทิร์นที่ สูงเกินจริง หรือสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด ถือว่าอันตรายและมีโอกาสขาดทุนสูงตามมาด้วย ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นนั้นแท้ที่จริงคือ การลงทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก ซึ่งเหมาะสมกับผู้ที่มีเงินออมระยะยาวเพื่อหาโอกาสจากการลงทุนที่ได้ผลตอบ แทนที่สูงกว่าเงินฝาก
     
    นอกจากนี้สำหรับบัญชีหรือพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนไม่ควรให้ใครมาช่วยตัดสินใจ หรือสั่งซื้อขายให้ และควรใช้วิจารณญาณการลงทุนให้ดี รวมทั้งก่อนเปิดบัญชีก็ควรให้เวลาสำหรับการอ่านรายละเอียด และเงื่อนไขการเปิดบัญชีด้วย และหากเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่เคยลงทุนในหุ้นมาก่อนควรลงทุนผ่านกองทุน รวมที่ได้ส่วนลดจากภาษีมากกว่า อาทิ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) เพื่อศึกษาการลงทุนไปด้วย
     
     
     
    โทษหนักคุก2ปี
    ทั้งนี้พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ระบุมาตราที่เกี่ยวกับการสร้างราคา (ปั่นหุ้น) ดังนี้
     
    มาตรา 243 ในการซื้อ หรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหลักทรัพย์ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์โดย

    ห้ามมิให้ผู้ใดทำการซื้อ หรือขายหลักทรัพย์โดยรู้เห็น หรือตกลงกับบุคคลอื่น อันเป็นการอำพรางเพื่อให้บุคคลทั่วไปหลงผิดไปว่าขณะใด ขณะหนึ่ง หรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หลักทรัพย์นั้นได้มีการซื้อ หรือขายกันมาก หรือราคาของหลักทรัพย์นั้นได้เปลี่ยนแปลงไป หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง อันไม่ตรงต่อสภาพปกติของตลาด
    ห้ามมิให้ผู้ใดโดยตนเอง หรือร่วมกับผู้อื่นทำการซื้อขายหลักทรัพย์ในลักษณะต่อเนื่องกัน อันเป็นผลทำให้การซื้อ หรือขายหลักทรัพย์นั้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด และการกระทำดังกล่าวได้กระทำไปเพื่อชักจูงให้บุคคลทั่วไปทำการซื้อ หรือขายหลักทรัพย์นั้น เว้นแต่เป็นการกระทำโดยสุจริต เพื่อปกป้องประโยชน์อันชอบธรรมของตน

     
     
    มาตรา 244 ในกรณีดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นการอำพราง เพื่อให้บุคคลทั่วไปหลงผิดตามมาตรา 243(1) ด้วย

    ทำการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ซึ่งในที่สุดบุคคลที่ได้ประโยชน์จากการซื้อและขายหลักทรัพย์นั้น ยังคงเป็นบุคคลคนเดียวกัน
    สั่งซื้อหลักทรัพย์โดยรู้อยู่แล้วว่าตนเอง หรือผู้ซึ่งร่วมกัน ได้สั่งขาย หรือจะสั่งขายหลักทรัพย์ของนิติบุคคลเดียวกัน หรือของโครงการจัดการกองทุนรวมเดียวกัน ประเภทและชนิดเดียวกัน ทั้งนี้ โดยมีจำนวนใกล้เคียงกัน ราคาใกล้เคียงกัน และภายในเวลาใกล้เคียงกัน
    สั่งขายหลักทรัพย์โดยรู้อยู่แล้วว่าตนเอง หรือผู้ซึ่งร่วมกัน ได้สั่งซื้อ หรือจะสั่งซื้อหลักทรัพย์ของนิติบุคคลเดียวกัน หรือของโครงการจัดการกองทุนรวมเดียวกัน ประเภทและชนิดเดียวกัน ทั้งนี้ โดยมีจำนวนใกล้เคียงกัน ราคาใกล้เคียงกัน และภายในเวลาใกล้เคียงกัน

     
     
    สำหรับบทลงโทษ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับเป็นเงินไม่เกินสองเท่าของผลประโยชน์ที่บุคคลนั้น ๆ ได้รับไว้หรือพึงจะได้รับเพราะการกระทำฝ่าฝืนดังกล่าว แต่ทั้งนี้ค่าปรับดังกล่าว ต้องไม่น้อยกว่าห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
     
     
    ที่มา: http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9462782/I9462782.html
     
     
     
    ปล. ของดการวิเคราะห์ กองทุนแชร์ดัชนีหุ้น เพราะดูไม่ปลอดภัยสำหรับแมวเดี๋ยวถูกจับใส่กรง !ghost
     
    Source: วิเคราะห์แมวๆ เพื่อการลงทุนกองทุนทองคำ
  7. jarurote
    เนื่องจากกรณีนักลงทุนทองคำในขณะนี้ ต้องเผชิญกับความเสียดายและเสียใจที่ไม่ได้ขายทองในราคาสูงสุด อย่างที่ได้ตั้งหวัง(ไปเหอะ) !ahh มีบางคนก็มาถามว่า จะเอายังไงกันดีหว่า ระหว่าง ขายหมด !065 หรือ ถือรอ เพื่อขึ้นต่อไปเพื่อขายดี !061 หรือ แบ่งขายส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งรอขึ้นก็ขายต่อ !Aa เป็นต้น
     
    แนวทางนี้เป็นเพียงเครื่องมือตัดสินใจในสถานการณ์ภาวะฉุกเฉิน !_cd ในกรณีที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถการันตีความถูกต้องได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยพอที่จะช่วยได้บ้าง
     
     
     
    โจทย์มีอยู่ว่า: ณ ปัจุบัน ราคาทองดิ่งลงมาระดับหนึ่งแล้ว อาการไม่สู้ดี !ghost
     
    ในขณะที่ เรามีทองคำอยู่สองกอง ที่ยังไม่ได้ขายไปเลย !ghost
     
    ณ. เวลานี้ ถ้าขายไปทั้งหมด ยังมีพอกำไรทั้งคู่อยู่บ้าง
     
    แต่อนาคตในสัปดาห์หน้า ถ้าถือทองทั้งสองกอง ราคาทองคำจะมีอยู่ 2 กรณีคือ
    1. ราคาพุ่งขึ้น (แค่รีบาวน์เฉยๆ) - เมื่อขายก็ได้กำไรเพิ่มทั้งคู่ !gvme
    2. ราคาดิ่งลง (ซึนามิ หรือเปล่า) - ก็อดขายหรือขายไปก็ขาดทุนไปทั้งคู่อีกเช่นกัน เสียโอกาสลงทุนครั้งต่อไป !ghost
     
     
     
    A. การแบ่งกรณี กลยุทธ์การขายหมู
     
    ในขณะเดียวกัน ก็ยังคอยปลอบใจอยู่ว่า ราคาทองจะดีดขึ้นต่อไปได้บ้าง ดังนั้นจึงขอถือต่อเพื่อจะได้ขายไปทั้งหมด (กลยุทธ์: เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ชะมัด) !Dh
     
    แต่ในใจอีกส่วนยังมองหวาดระแวงว่า ราคาทองอาจเสี่ยงลงนรกต่อ อยากจะขายไปทั้งหมดเสียก่อน ถึงได้น้อยก็ต้องยอม (กลยุทธ์: กำขึ้ดีกว่ากำตด) !065
     
    หรืออาจยอมแบ่งกองส่วนหนึ่งขายออกไปก่อน และอีกกองรอลุ้นต่ออีกวันถ้าขึ้นก็ขาย (กลยุทธ์: แบ่งรับแบ่งสู้) !_Rd
     
    ซึ่งอนาคตในสัปดาห์หน้า ในวันจันทร์นี้ ราคาทองอาจจะดีขึ้น หรือ อาจเลวร้ายซ้ำเติมไปอีก ไม่มีทางรู้ได้
     
    ถ้าแบ่งกรณี วิธีการขายหมู ทองคำอู๊ดๆ ก็แบ่งได้ 3 กรณี:
    1. ถือต่อ (กลยุทธ์: เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ชะมัด) - เพื่อรอขายราคาสูงขึ้น (หวังว่า สัปดาห์หน้า ราคาทองจะปรับตัวสูงแน่ๆ)
    2. ขายหมด (กลยุทธ์: กำขึ้ดีกว่ากำตด) - กลัวว่าซึนามิ ตามมาในสัปดาห์หน้า
    3. แบ่งขายทีละครึ่ง (กลยุทธ์: แบ่งรับแบ่งสู้) - อีกครึ่งรอขายเมื่อปรับตัวสูงอีกวัน
     
     
     
    B. การแบ่งสถานการณ์อนาคต
     
    สมมุติว่า ถ้าเรามีแมวไร้หูโดเรมอน พาไปนั่งไทม์แมชชีน ไปดูราคาทองในสัปดาห์หน้าได้
     
    เราจะเลือกแบ่งความสำคัญจากเลขมากไปยังเลขน้อย เลขมากคือสำคัญมาก เลขน้อยสำคัญน้อย ดังนี้
     
     
    B.1. อนาคตรู้ว่าสัปดาห์หน้า ราคาทองสูงขึ้น !_01
     
    เราให้ความสำคัญกับกลยุทธการขายดังนี้:

    ถือต่อ ==คะแนนความสำคัญ==> 3
    ขายหมด ==คะแนนความสำคัญ==> 1
    แบ่งขาย ==คะแนนความสำคัญ==> 2

     
     
    B.2. อนาคตรู้ว่าสัปดาห์หน้า ราคาทองดิ่งลง !ahh
     
    เราให้ความสำคัญกับกลยุทธการขายดังนี้:

    ถือต่อ ==คะแนนความสำคัญ==> 1
    ขายหมด ==คะแนนความสำคัญ==> 3
    แบ่งขาย ==คะแนนความสำคัญ==> 2

     
    เมื่อจัดอันดับเป็นตารางจะได้ว่า:
     
    ลำดับ กลยุทธ์ ขึ้น ลง ===> คู่ลำดับ

    ถือต่อ 3 1 ===> (3,1) => มีได้และมีเสีย
    ขายหมด 1 3 ===> (1,3) => มีได้และมีเสีย
    แบ่งขาย 2 2 ===> (2,2) => มีได้กับได้ เป็นสายกลาง

     
     
     
    C. ผลลัพท์ที่ได้
     

    กรณีกลยุทธ์แรก ถือต่อ คือ ถ้าได้ก็ได้เลย ถ้าเสียก็เสียเลยเงินก็จมอีก (มีได้มีเสีย)
    กรณีกลยุทธ์สอง ขายหมด คือ ถ้าทองขึ้นก็เสียโอกาส ถ้าลงก็ยังเป็นโอกาสดีที่จะได้ลงทุนทองต่อไป (มีได้มีเสีย)
    ส่วนกลยุทธ์ที่สาม คือแบ่งรับแบ่งสู่ แบ่งขายแล้วรอต่ออีกส่วนหนึ่งเพื่อขายต่อ ถือว่าเป็นเหตุผลตามธรรมชาติที่มักเลือกมากกว่ากรณีอื่น และเป็นสายกลางเมื่อเทียบกับสองกรณีก่อนหน้า จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด !gd (แม้แต่เฮียกัมพล ยังใช้วิธีนี้เลย)

     
     
    ปล. มีอยู่แค่นี้แหละที่นำเสนอ ไว้นึกๆออกค่อยนั่งเทียนเขียนกันอีก ตอนนี้หาโค๊ดตารางไม่เจอ ทนดูไปก่อน ไว้ว่างๆค่อยมาจัดการเนื้อหาอีก
     
     
    D. แหล่งอ้างๆมาทั้งน้าน
     
    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A1
     
    http://www.vcharkarn.com/varticle/365
     
    http://www.psstainlessthailand.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538855679&Ntype=2
     
    http://house.exteen.com/20080902/entry
×
×
  • สร้างใหม่...