ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ราคาน้ำมันขึ้นต่อ หลังสต๊อกน้ำมันดิบลดเกินคาด - IMF ปรับขึ้น GDP โลกปีนี้โต 4.6%

 

Posted on Friday, July 09, 2010

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ส.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 1.37 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 75.44 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจาก

 

ปัจจัยบวก

 

+ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ประกาศตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังประจำสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 2 ก.ค. 53 ปรับลดลงถึง 5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดไว้ว่าจะปรับลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล เนื่องจากการนำเข้าที่ลดลง และผลจากพายุเฮอร์ริเคนอเล็กซ์ ส่วนน้ำมันเบนซินคงคลังเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล และน้ำมันดีเซลคงคลัง เพิ่มขึ้น 0.3 ล้านบาร์เรล

 

+ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก (GDP) ปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.6% จากประมาณการในเดือน เม.ย. ที่ 4.2% โดยให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่น่าจะกลับไปสู่ภาวะถดถอยอีก ส่วนวิกฤตหนี้ยุโรปจะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของจีน อินเดียและบราซิล ที่ขยายตัวอย่างมากในปีนี้ น่าจะช่วยลดความกดดันจากปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปได้

 

+ ตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง จากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ยอดขายร้านสาขา (Chain Store sales) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ในเดือน มิ.ย. ที่ 3.1% และ ยอดผู้ขอเข้ารับสิทธิประโยชน์จากการว่างงาน ประจำสัปดาห์ที่ปรับลดลงมากกว่าคาด ในขณะที่ยอดสะสมของผู้ขอเข้ารับสิทธิประโยชน์จากการว่างงาน ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ที่ 4.41 ล้านคน

 

+ ค่าเงินเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน เมื่อเทียบกับเงินยูโร เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนหันกลับไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงกว่า เช่น หุ้นและน้ำมัน ประกอบกับ ตลาดมองว่า ผลการตรวจสอบสถานะการเงินของธนาคารในยุโรปน่าจะออกมาไม่แย่อย่างที่คิด รวมทั้ง ธนาคารกลางยุโรปกล่าวในที่ประชุมว่า เศรษฐกิจของยุโรปในไตรมาส 2/53 น่าจะปรับตัวดีขึ้จากไตรมาส 1 โดยธนาคารกลางฯ ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.0% ตามเดิม

 

ปัจจัยลบ

 

- หย่อมความกดอากาศต่ำได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งเม็กซิโก และอ่อนกำลังลงแล้ว ซึ่งไม่น่าจะก่อตัวเป็นพายุโซนร้อนได้ ส่งผลให้ตลาดคลายความกังวลว่า พายุก็ก่อตัวขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ในบริเวณอ่าวเม็กซิโก

 

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ส.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 1.20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 74.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 2.81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 71.84 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันเบนซินสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังที่สิงคโปร์ปรับสูงขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเบนซินยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้ในภูมิภาคที่ปรับสูงขึ้น โดยน้ำมันเบนซิน 95 ปรับเพิ่มขึ้น 2.49 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 81.80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันดีเซลสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 2.94 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 83.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มากกว่าการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากมีแรงซื้อเพิ่มขึ้นจากอินเดีย อินโดนีเซียและเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังที่สิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้น 4.6% เนื่องจากโรงกลั่นในภูมิภาคเริ่มกลับมาดำเนินการหลังจากปิดซ่อมบำรุง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักลงทุนแห่ขายทองคำ หลังเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้น

 

Posted on Friday, July 09, 2010

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง

 

จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานสัปดาห์ที่แล้วลดลง 21,000 ราย แตะระดับ 454,000 ราย และการที่ธนาคารกลางยุโรปประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยพร้อมกับประเมินว่าเศรษฐกิจยุโรปจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้นั้น ทำให้นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น และทำให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง ลดน้อยลงไปด้วย

 

นอกจากนี้ ความต้องการลงทุนในทองคำยังลดลงอีกหลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ขึ้นเป็น 4.5% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวเพียง 4.1% รวมทั้งปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็น 3.3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.7% และปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียเป็น 7.5% จากเดิม 7%

 

กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองทองคำแท่งที่ระดับ 1,316.481 ตันในช่วงเวลาที่สิ้นสุด ณ วันที่ 7 ก.ค. ซึ่งทรงตัวจากระดับของวันที่ 6 ก.ค.

 

- ทองคำ ส่งมอบเดือนสิงหาคม ปิดที่ 1,196.10 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (-2.80 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์)

- เงิน ส่งมอบเดือนกันยายน ปิดที่ 17.8720 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (-0.12 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

09 ก.ค. 2553

 

 

ตลาดทองเอเชีย:ราคาทองทรงตัวต่ำกว่า 1,200 ดอลล์เช้านี้

 

 

ราคาทองทรงตัวในเช้าวันนี้ หลังการทะยานขึ้นของตลาดหุ้น

ซึ่งได้กระตุ้นให้นักลงทุนบางส่วนเทขายทองแท่ง และหันมาลงทุนในสินทรัพย์

เสี่ยง แต่ยูโรที่แข็งค่าเป็นปัจจัยหนุนตลาด

ณ เวลา 08.57 น.ตามเวลาไทย ราคาทองสปอตมีการซื้อขาย

ที่ระดับ 1,198.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ใกล้ระดับปิดในตลาดสปอตนิวยอร์ค

เมื่อวานนี้

ราคาทองได้ดีดตัวแตะระดับ 1,207 ดอลลาร์/ออนซ์วานนี้

จากคำสั่งซื้อต่อเนื่องในตลาดส่งมอบปัจจุบันในเอเชีย ก่อนจะลดช่วงบวก

ส่วนใหญ่ เมื่อนักลงทุนมีความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น

สัญญาทองล่วงหน้าส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาด COMEX ทรงตัวที่

1,195.6 ดอลลาร์/ออนซ์

นายหวัง เตา นักวิเคราะห์ตลาดของรอยเตอร์กล่าวว่า ราคาทอง

สปอตอาจจะเข้าทดสอบระดับสูงของวานนี้ที่ 1,207.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่

ระดับต่ำที่ 1,187.35 ดอลลาร์อาจจะเป็นแนวรับสำหรับการดีดตัวขึ้นระลอกสอง

กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุด

ในโลก เปิดเผยว่าทางกองทุนได้ถือครองทองคำระดับ 1,316.036 ตัน ณ วันที่

8 ก.ค. ซึ่งลดลง 0.445 ตัน จากวันที่ 6 ก.ค.

โดยกองทุนได้ถือครองทองคำสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1,320.436 ตัน

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.

ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงได้เพิ่มมากขึ้น หลังตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการ

ว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ของสหรัฐลดลงต่ำสุดในรอบ 2 เดือน ซึ่งทำให้มีความ

หวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

 

แหล่งที่มา (รอยเตอร์ โดย พันธุ์ทิพย์ คำเพิ่มพูล แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ต้องตรวจโด๊ป ซะโหน๋ยแว๊ววว...อ.ขยันมากกกกกส์..ฟิตเจงเจง !_01

 

ขอบคุน นะก๊าบบ บ !_087

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

EU เดินเครื่อง Stress Test ธนาคารยุโรป 91 แห่ง

 

Posted on Friday, July 09, 2010

EU เดินเครื่อง Stress Test ธนาคารยุโรป 91 แห่ง

 

คณะกรรมการกำกับดูแลภาคการธนาคารของสหภาพยุโรป (CEBS) ออกแถลงการณ์ว่า CEBS กำลังดำเนินการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ธนาคารพาณิชย์ 91 แห่งในยุโรป หรือคิดเป็น 65% ของอุตสาหกรรมการธนาคารในยุโรป เพื่อทดสอบว่าธนาคารเหล่านี้จะสามารถต้านทานภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจและมูลค่าพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลงได้หรือไม่

 

แถลงการณ์ระบุว่า ธนาคารพาณิชย์ที่ต้องเข้าทดสอบ stress test ในครั้งนี้ ครอบคลุมถึงธนาคารของเยอรมนี 14 แห่ง ธนาคารกรีซ 6 แห่ง และธนาคารอังกฤษ 4 แห่ง โดยแนวทางการทดสอบหลักๆอาจรวมถึงขีดความสามารถในการรับมือกับตัวเลขขาดทุน 17% ที่เกิดจากปัญหาหนี้สาธารณะของรัฐบาลกรีซ และตัวเลขขาดทุน 3% ที่เกิดจากหนี้สาธารณะของสเปน

 

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จะจำลองวิธีการรับมือของธนาคารต่อแรงกดดันทางการเงิน ต่อเงินกู้และสินทรัพย์อื่นๆในภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ย่ำแย่ลง

 

ธนาคารต่าง ๆ จะถูกทดสอบการเพิ่มความแข็งแกร่งของเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1 capital) ซึ่งเป็นตัววัดสำคัญด้านความแข็งแกร่งทางการเงิน

 

ทั้งนี้ CEBS ได้กำหนดบททดสอบธนาคารพาณิชย์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า ธนาคารพาณิชย์มีฐานเงินทุนสูงพอที่จะรับมือกับการผิดนัดชำระหนี้ (debt default) ของประเทศยุโรปได้

 

การทดสอบ stress test ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง CEBS และธนาคารกลางยุโรป ขณะที่ผู้นำชาติสมาชิกอียูให้คำมั่นสัญญาจะเปิดเผยผลการทดสอบ stress test

 

CEBS มีบทบาทในการประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายกำกับดูแลด้านการธนาคารประเทศและคณะกรรมการกำหนดนโยบาย โดย CEBS จะเปิดเผยผลการทดสอบ stress test ทั้งในรูปแบบของการเปิดเผยโดยรวมและเป็นรายธนาคาร ในวันที่ 23 ก.ค.นี้

 

เดิมทีนั้น CEBS จะทดสอบเฉพาะธนาคารรายใหญ่เท่านั้น แต่ต่อมาได้ขยายขอบข่ายการทดสอบไปถึงธนาคารออมทรัพย์ขนาดเล็กของสเปน หรือ cajas

 

ส่วนธนาคารของอังกฤษที่เข้าทดสอบ รวมถึง HSBC Holdings Plc, Lloyds Banking Group Plc, Barclays Plc และ Royal Bank of Scotland Group Plc ขณะที่ธนาคาร BNP Paribas SA และ Societe Generale ของฝรั่งเศสก็เข้ารับการทดสอบด้วย

 

นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดังของโลก คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า การทดสอบ stress test ในภาคการธนาคารของยุโรปครั้งนี้ ธนาคารขนาดเล็ก โดยเฉพาะ cajas ในสเปน และธนาคารกลุ่มภูมิภาคในเยอรมนี จะต้องถูกทดสอบด้วย

 

 

ECB-BOE ประสานเสียงคงดอกเบี้ย หวังเอื้อเศรษฐกิจฟื้น

 

ความกังวลในเรื่องต้นทุนการกู้ยืมที่แพงขึ้น ผนวกกับวิกฤติการณ์หนี้ของประเทศในภูมิภาค ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมต่อไป

 

ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ก็ประกาศยืนอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมเช่นกัน นอกจากจะคงเป้าระดับการอัดฉีดเงินโดยผ่านตลาดพันธบัตรไว้เหมือนเดิมด้วย เพื่อหวังประคองไม่ให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักในระหว่างที่ประเทศมีความจำเป็นเฝ้าระมัดระวังการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างมาก

 

การประชุมของคณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่กรุงแฟรงเฟิร์ตเมื่อคืนนี้ มีมติให้คงดอกเบี้ย benchmark ไว้ที่ 1% เหมือนเดิม ซึ่งก็เป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ท่ามกลางแรงกดดันที่มีต่อธนาคารกลางภายใต้การนำของนายฌอง คล็อด ทริเชต์ (Jean-Claude Trichet)

 

ภารกิจที่นายทริเชต์ ต้องทำอย่างเร่งด่วนในตอนนี้ ก็คือ การฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนใน 16 ชาติภูมิภาค หลังจากเป็นที่ทราบกันว่า รัฐบาลทุกประเทศกำลังเดินหน้านโยบายหั่นงบประมาณการใช้จ่ายลงอย่างหนัก ประกอบกับความกังวลของตลาดที่มีต่อสถานะทางการเงินของภาคธนาคาร ที่อาจเป็นตัวฉุดรั้งแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะต่อไป

 

ตลาดมีความกังวลต่อความพร้อมของ ECB ในการเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่กำลังรออยู่ โดยหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ดูแลภาคพื้นยุโรปของ BNP Paribas ในลอนดอน ก็มองว่า ตนรู้สึกเหมือนธนาคารกลางไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับสภาวะฉุกเฉินและไม่คิดว่า ECB จะมีความพร้อมที่จะงัดมาตรการทุกอย่างเท่าที่จำเป็นออกมาใช้ได้รวดเร็วพอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรการอัดฉีดเงินซื้อสินทรัพย์ หรือการรับมือกับสภาวะการปรับขึ้นของต้นทุนดอกเบี้ย ดังนั้น จึงคิดว่าการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายสุดๆ ควรจะต้องดำเนินต่อไป

 

 

ตลาดโลหะลอนดอนเปิดสำนักงานในสิงคโปร์-ขยายธุรกิจในเอเชีย

 

ตลาดโลหะลอนดอนเปิดสำนักงานสาขาต่างประเทศอย่างเป็นทางการแห่งแรกในสิงคโปร์ ตั้งเป้าขยายธุรกิจในเอเชียเพื่อรองรับอุปสงค์ด้านโลหะและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้

 

เจ้าหน้าที่ตลาดโลหะลอนดอนกล่าวว่า สำนักงานต่างประเทศแห่งนี้จะเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตลาดในเอเชีย เพื่อใช้กำหนดกลยุทธ์การขยายธรุกิจในภูมิภาคดังกล่าว

 

ตลาดโลหะลอนดอนยังสนใจที่จะทำข้อตกลงกับพันธมิตรรายใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชียด้วย ซึ่งทางบริษัทได้มีการเจรจากับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ถึงความเป็นไปได้ในการร่วมดำเนินธุรกิจในเอเชียแล้ว

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า อัตราการลงทุนและการเก็งกำไรในสัญญาตลาดโลหะลอนดอนในเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชีย

 

ทั้งนี้ ตลาดโลหะลอนดอนเป็นตลาดซื้อขายโลหะนอกกลุ่มเหล็กชั้นนำของโลกที่ให้บริการสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และสัญญาซื้อขายอ็อพชั่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะประเภทต่าง ๆ อาทิ อะลูมิเนียม ทองแดง ดีบุก นิกเกิล สังกะสี ตะกั่ว และโลหะผสมอะลูมิเนียม

 

 

ออสเตรเลียเชื่อยังรั้งตำแหน่งผู้นำการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

 

นายเวย์น สวอน รัฐมนตรีคลังออสเตรเลียเปิดเผยว่า ออสเตรเลียยังเป็นประเทศแกนนำการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก หลังกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ระบุว่า เศรษฐกิจออสเตรเลียจะขยายตัว 3.0% ในปีนี้ และ 3.5% ในปีหน้า

 

สวอนกล่าวว่า "รายงานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าออสเตรเลียจะยังเป็นผู้นำการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก เนื่องจากออสเตรเลียมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้น ขณะที่อัตราว่างงานลดลง และมีหนี้สินน้อยกว่าประเทศอื่นอยู่มาก"

 

"การเปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจของ IMF และการายงานตัวเลขจ้างงานออสเตรเลียที่แข็งแกร่งในวันนี้แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจออสเตรเลียยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องจากอานิสงส์ของมาตรการทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของรัฐบาล "

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า อัตราว่างงานของออสเตรเลียในเดือนมิ.ย.อยู่ที่ระดับ 5.1% ซึ่งเท่ากับระดับในเดือนพ.ค. ส่วนจำนวนผู้มีงานทำเพิ่มขึ้นเกินคาดที่ 45,900 ราย

 

อย่างไรก็ตาม IMF เตือนว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกยังขาดความสมดุล โดยเศรษฐกิจในเอเชียขยายตัวแข็งแกร่ง แต่สภาพเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ยังเปราะบาง ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่อการเผชิญภาวะขาลง

 

 

มาเลเซียขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 สู่ระดับ 2.75%

 

ธนาคารกลางมาเลเซียตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 2.75% จากเดิมที่ 2.5% นับเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 แล้วในปีนี้ บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจของมาเลเซียมีความแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น แม้ว่าจะยังมีปัจจัยเสี่ยงที่คุกคามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอยู่ก็ตาม

 

ทั้งนี้ ธนาคารกลางของประเทศต่างๆในเอเชียมีนโยบายที่แตกต่างกันในเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากผู้บริหารธนาคารกลางจำเป็นต้องพิจารณาทั้งในเรื่องการควบคุมเงินเฟ้อและการรักษาระดับการขยายตัวท่ามกลางวิกฤตหนี้ยุโรป

 

มาเลเซียเป็นประเทศแรกในภูมิภาคที่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ และได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าประเทศอื่นๆในเอเชีย ยกเว้นอินเดีย ส่งผลให้เงินริงกิตแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในบรรดาสกุลเงินในเอเชีย

 

ธนาคารกลางอินเดียได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 3 ครั้งนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ส่วนธนาคารกลางไต้หวันก็ได้ขึ้นดอกเบี้ยเมื่อเดือนมิ.ย.หลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น

 

ส่วนอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ขณะที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้ คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมวันนี้

 

 

เทมาเส็กเผยสินทรัพย์พุ่งแตะ New High หลังลงทุนในเอเชียมากขึ้น

 

เทมาเส็ก โฮลดิงส์ ซึ่งเป็นบรรษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ เปิดเผยว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิในปีบัญชีของบริษัทพุ่ง 42% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.86 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (1.34 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปีงบการเงินซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2553

 

สินทรัพย์ของเทมาเส็กอยู่ที่ระดับ 1.85 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ณ เดือนมีนาคมปี 2551 ก่อนที่จะร่วงลงมาสู่ระดับ 1.30 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในเดือนมีนาคมปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินโลก

 

เทมาเส็กได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนไปลงทุนในสินทรัพย์เอเชีย โดยการลงทุนในบริษัทเอเชีย ไม่นับรวมญี่ปุ่นและสิงคโปร์ คิดเป็นสัดส่วน 46% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2547

 

ไซมอน อิสราเอล กรรมการบริหารบริษัท กล่าวในการแถลงข่าวว่า "จะเพิ่มการลงทุนในเอเชียต่อไปในอีก 10 ปีข้างหน้า"

 

ในช่วงปีงบการเงิน 2552 เทมาเส็กลงทุน 1 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ใน 10 บริษัท ซึ่งรวมถึงไชน่า คอนสตรัคชั่น แบงก์, สายการบิน LAN Airlines ของชิลี และบริษัท Sobha Developers ของอินเดีย รวมถึงอีก 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในการเสนอขายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นเดิม (Rights Issue) และการปรับโครงสร้างเงินทุน (Recapitalization)

 

เทมาเส็กระบุว่า มูลค่าการลงทุนของบริษัทขยายตัวราว 17% ต่อปีนับตั้งแต่มีการก่อตั้งกองทุนเมื่อปี 2517

 

ขณะเดียวกันอิสราเอลเตือนว่าการที่ระดับหนี้สินของรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลเสียต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการกลับมาลงทุนอีกครั้ง

 

กรรมการบริหารบริษัทกล่าวว่า "สิ่งสำคัญคือรัฐบาลต้องสร้างสมดุลระหว่างการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการบริหารตัวเลขขาดดุล"

 

 

อินเดียเป็นชาติที่มีมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลก

 

สถาบันจัดอันดับมหาเศรษฐีโลก Capgemini &Merrill Lynch Global Wealth รายงานว่าในปี 2552 อินเดียมีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มมากขึ้นถึง 51% นับเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลก แซงหน้าประเทศจีนไปขาดลอย

 

ในปี 2552 อินเดียมีมหาเศรษฐีจำนวน 126,700 คน เพิ่มจากเดิมในปี 2551 ที่มีอยู่ 84,000 คน คิดเป็นขยายตัว 51% โดยผู้ที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นมหาเศรษฐีจะต้องมีทรัพย์สินเกิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

มหาเศรษฐีทั่วโลกในปี 2552 มีจำนวน 10 ล้านคน เพิ่มขึ้น 17% แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอยก็ตาม ส่วนใหญ่เป็นเศรษฐีในเอเชียแปซิฟิกจำนวน 3 ล้านคนคิดเป็นเพิ่มขึ้น 26 % มีทรัพย์สินรวม 9.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้น 31%)

 

ทั้งนี้มีอินเดียและฮ่องกงเป็นประเทศที่มีการขยายตัวมากเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ

 

นายไพศาล มะระพฤกษ์วรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้า ณ เมืองเจนไนกล่าวว่า ในปี 2552 อินเดียมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจกิจถึง 7% ซึ่งเยี่ยมยอดมากเมื่อเทียบกับทั่วโลก

 

ทั้งนี้คาดว่าการเพิ่มขึ้นของมหาเศรษฐีในอินเดียและจีนจะยังคงขยายตัวสูงต่อเนื่องต่อไปอันเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

 

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (พฤหัสบดีที่ 8 ก.ค. 53)

• ตัวเลขน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ลดลง 5.0 ล้านบาร์เรล

• ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ 454,000 ราย

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (ศุกร์ที่ 9 ก.ค. 53)

• ยอดค้าส่ง (พ.ค.) โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาทองลด100บาท ทองแท่งขายที่18,450บาท และรูปพรรณ 18,850บาท

วันศุกร์ที่ 09 กรกฏาคม 2010 เวลา 09:38 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

สมาคมค้าทองคำประกาศราคาซื้อขายทองคำแท่งและทองรูปพรรณวันนี้ (9 ก.ค.) ทองแท่งซื้อคืนที่บาทละ 18,350 บาท และขายออกที่บาทละ 18,450 บาท ส่วนทองรูปพรรณซื้อคืนที่ 18,085.88 บาท และขายออกที่ 18,850 บาท

ราคาทองวันนี้ปรับลด 100 บาท เมื่อเทียบกับราคาขายทองคำแท่งและรูปพรรณเมื่อวานนี้ (8 ก.ค.) โดยวานนี้ทองแท่งขายออกที่บาทละ 18,550 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออกที่บาทละ 18,950 บาท

ขณะที่ตลาดต่างประเทศทองคำปิดเมื่อคืนนี้ปรับบวก 2.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หยิบเงินหยิบทอง : บล.กิมเอ็ง

วันศุกร์ที่ 09 กรกฏาคม 2010 เวลา 10:16 น. บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

หยิบเงินหยิบทอง : บล.กิมเอ็ง

 

กลยุทธ์วันนี้ 820 Again!

ประเด็นสำคัญวันนี้ SET INDEX วานนี้มีความพยายามขึ้นยืนเหนือ 820 จุด แต่ก็ไม่สามารถทะลุผ่านได้โดยปิดที่ 817.57 จุดเพิ่มขึ้น 2.89 จุดเทียบกับระดับสูงสุดของวันที่ 826.09 จุด ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ด้วยการซื้อสุทธิในตลาดหุ้น และ Long สุทธิใน Futures ซึ่งน่าจะเป็น SET50 Index Futures

 

มุมมองต่อ SET INDEX วันนี้คาดว่าจะยังขยับขึ้นทดสอบแนวต้าน 820 จุดอีกครั้ง และมีความเป็นไปได้สูงที่จะผ่านในวันนี้ ถึงแม้ว่าวันนี้เป็นจะเป็นวันศุกร์ก็ตาม แต่ด้วยเม็ดเงินทุนที่ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นทั่วโลก ประเด็นความกังวลต่อกรณียุโรปเริ่มทรงตัวมากขึ้น เพื่อรอดูผลการทดสอบ Stress Test ในวันที่ 23 ก.ค. บวกกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปวานนี้ออกมาค่อนข้างดี ย่อมทำให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาเป็นบวกได้อีกครั้ง

 

 

 

และทิศทาง SET INDEX สัปดาห์หน้าเชื่อว่าจะขยับขึ้นได้ต่อเนื่องจากสัปดาห์นี้ และอาจสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้เช่นกัน ด้วยภาพรวมของการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่เป็นบวก, การไป Road show ของตลท.ที่ลอนดอน, การประกาศงบ 2Q53 ของกลุ่มธนาคาร และการประชุมกนง.วันที่ 14 ก.ค. คาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25bps เป็น 1.50% หลังตัวเลขเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นกลับมาสู่ระดับปกติได้อย่างรวดเร็ว

 

 

 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng เสนอให้ “ถือพอร์ตการลงทุน” และแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” MCOT/ TISCO

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้นักลงทุน “ถือสถานะ Long ใน S50U10 ข้ามสัปดาห์” Stop Loss: S50U10 < 550 จุด ปิด Long และ เปิด Short

 

Portfolio HOLD: CPF/ TASCO / MCOT/ TTCL/ BBL/ KTB/ PTT/PTTEP/ TPC/ MINT/ THAI

Speculative Buy: MCOT/ TISCO

Technical View แนวรับ 810-812 จุด, 792-796 จุด และ 782-785 จุด ส่วนแนวต้าน 820-822 จุด, 830 จุด และ 850 จุด แนะนำให้ทยอยขายทำกำไร เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น และหาก SET อ่อนตัวลง แนะนำทยอยรับกลุ่มธนาคารและพลังงาน

 

 

-Strategy Today

 

ภาพในสัปดาห์หน้ายังคงเป็นบวก ต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก บวกกับปัจจัยบวกภายในประเทศ น่าจะผลักดันให้กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าเก็งกำไร ต่อเนื่อง ทั้งนี้ติดตามตัวเลข GDP ใน 2Q53 ของจีนในสุดสัปดาห์นี้

 

ภาวการณ์ลงทุนรอบเอเชียและยุโรปวานนี้เป็นบวกอย่างเห็นได้ชัด หลัง DJIA ทะลุ 10,000 จุด ทำให้ SET INDEX เปิดทะลุ 820 จุด ด้วยแรงเก็งกำไรในกลุ่มหลักอย่างกลุ่มธนาคารและพลังงานเข้ามาอย่างหนาแน่น อย่างไรก็ตามในช่วงบ่ายเกิดแรงขายทำกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กดดันให้ SET INDEX หลุด 820 จุด ลงมาปิดที่ 817.57 จุด เพิ่มขึ้น 2.89 จุด หรือ 0.36% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 29,338 ล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า

 

กลุ่มที่สร้างผลตอบแทนดีที่สุดวานนี้ได้แก่ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ +3.11%, กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ +1.92% และกลุ่มขนส่ง +1.58% ขณะที่กลุ่มหลักอย่างกลุ่มธนาคาร +0.42% และกลุ่มพลังงาน +0.20%

 

KimEng ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แม้ว่าวันนี้จะเป็นการซื้อขายสุดท้ายของสัปดาห์ก็ตาม แต่ด้วยบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่เป็นบวกทั่วโลก เชื่อว่า SET INDEX วันนี้มีโอกาสยืนเหนือ 820 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น สนับสนุนการไต่ระดับขึ้นของ SET INDEX นอกเหนือจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นบวกแล้ว เชื่อว่าแรงเก็งกำไรต่อหุ้น 10 บริษัทก่อนที่จะไป Road Show ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า และกลุ่มธนาคารต่องบ 2Q53

 

 

 

และทิศทางในสัปดาห์หน้า KimEng เชื่อว่าจะยังเป็นบรรยากาศการลงทุนที่เป็นบวกต่อเนื่องจากสัปดาห์นี้ โดยจะเป็นการไต่ระดับขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกเช่นเดียวกับสัปดาห์นี้เช่นกัน เนื่องจาก

 

 

1.ความกังวลต่อกรณียุโรปจะทรงตัวมากขึ้น จนกว่าจะมีการรายงานผล Stress Test ปลายเดือนนี้: แม้ว่าเกณฑ์การทำ Stress Test ของ 91 ธนาคารในยุโรป จะดูหล่ะหลวมกว่าที่ตลาดตั้งเป้าไว้ โดยเฉพาะการตั้งข้อสมมติฐานขาดทุนในพันธบัตรของบางประเทศน้อยกว่าที่ตลาดประเมิน แต่ก็ทำให้นักลงทุนทั่วโลกต่างหยุดการ Panic ต่อประเด็นเสี่ยงของยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจชะลอตัว ภาระหนี้สาธารณะสูง KimEng เชื่อว่านักลงทุนจะกลับมาสู่โหมด Risk Aversion อีกครั้งในช่วงใกล้ประกาศผลวันที่ 23 ก.ค.

 

 

2.เม็ดเงิน Hot Money ไหลเข้าเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง: เมื่อความเสี่ยงในยุโรปนิ่งมากขึ้น เงินร้อนย่อมต้องหาช่องทางการลงทุน แน่นอนว่าสินทรัพย์เสี่ยงที่ปรับฐานลงเกือบตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ย่อมกลายเป็นจุดที่น่าสนใจของเม็ดเงินก้อนนี้ที่ไหลออกจาก Safe Haven อย่างตลาดทองคำ และตลาดตราสารหนี้

 

 

3.สัปดาห์หน้า หากตัวเลขเศรษฐกิจประเทศหลักๆ ออกมาเป็นกลางหรือดีกว่าคาด ยิ่งเป็นการต่อยอดของราคาสินทรัพย์เสี่ยง: ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์หน้าได้แก่

a.จีน: การส่งออก – นำเข้าเดือนมิ.ย. วันพรุ่งนี้ และ GDP ใน 2Q53 ในวันที่ 15 มิ.ย. ซึ่งตัวเลขทั้ง 2 รายการนี้ มุมมองของตลาดคาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง

b.ยุโรป: อัตราเงินเฟ้อ, ผลผลิตภาคอุตฯ

c.สหรัฐฯ: ยอดค้าปลีก, ผลผลิตภาคอุตฯ และอัตราเงินเฟ้อ

 

 

 

4.การเริ่มต้นของการประกาศงบ 2Q53: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเริ่มทยอยประกาศงบ 2Q53 ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. เป็นต้นไป ตามมาด้วยธนาคารพาณิชย์ไทยที่จะเริ่มทยอยประกาศเช่นกัน ย่อมทำให้เกิดแรงเก็งกำไรเป็นรายหุ้น

 

ด้วยมุมมองข้างต้นทำให้ KimEng ยังคงกลยุทธ์การลงทุนเช่นเดิมคือ ให้น้ำหนักหลักในหุ้นขนาดใหญ่ Big Cap เพื่อเก็งกำไรต่อกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน โดยหากนักลงทุนมีหุ้นขนาดใหญ่อยู่ในพอร์ตเป็นหลักอยู่แล้วนั้น เสนอให้ถือเพื่อรอจังหวะขายทำกำไรในสัปดาห์หน้า แต่หากต้องการลงทุนเพิ่มเติม KimEng เสนอให้นักลงทุนพิจารณาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศเป็นสำคัญ เพราะเชื่อว่าภาพเศรษฐกิจในช่วง 2H53 ของไทยที่เป็นบวก หลังความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ย่อมทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศเป็นบวกได้ด้วยเช่นกัน

 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำให้นักลงทุน “ทยอยสะสม” หุ้นดังต่อไปนี้

1.MCOT: ราคาปิด 25.00 บาท ราคาเหมาะสม 28.00 บาท

a.ผลกระทบจากกรณีการเมืองในเดือนพ.ค.ต่อ MCOT เป็นไปอย่างจำกัด เพียง 20 ล้านบาท เทียบกับรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่ 434 ล้านบาท ทำให้สิ่งที่ตลาดกังวลต่อประเด็นดังกล่าวค่อนข้างมาก KELIVE เชื่อว่าผลการดำเนินงานใน 2Q53 ของ MCOT จะยังเห็นการเติบโตในเกณฑ์ที่ดี

b.แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 3Q53 จะเติบโตต่อเนื่องจากผลกของการปรับผังรายการช่วงนอกไพร์มไทม์ และรายการช่วงเช้าวันจันทร์ – ศุกร์ รวมถึงรายการ AF7 และผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการต่อสัมปทานหากสรุปได้ใน 3Q53 จะมีรายการพิเศษส่วนนี้ถึง 405 ล้านบาท

c.ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน ซื้อขาย PER10 ต่ำเพียง 11.74x และ 11.01x PER11 เทียบกับ BEC ที่ซื้อขาย PER10-11 ที่ 20.00x และ 18.71x ขณะที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลงวดปีนี้อยู่ที่ 7.6% เทียบกับ BEC ที่ 4.48%

 

2.TISCO: ราคาปิด 30.00 บาท เทียบกับราคาเหมาะสม 35.00 บาท

a.KELIVE ประมาณการกำไรสุทธิ 2Q53 เติบโตถึง 16.9% qoq และ 65.9% yoy จากการเติบโตของยอดขายรถยนต์ใน 2Q53 ส่งผลให้ยอดสินเชื่อ 2Q53 ขยายตัว 5.2% qoq แม้ว่า NIM จะแคบลงเล็กน้อยจาก 5.1% ใน 1Q53 เป็น 4.9% ก็ตาม และรายการพิจารณาจากการขายสินทรัพย์ และค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาการขายหุ้น SCIB รวมกันกว่า 200 ล้านบาท

b.KELIVE ปรับประมาณการกำไรในปี 2553 เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 26% เป็น 2,770 ล้านบาท จากแนวโน้มยอดขายรถยนต์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงมีการปรับยอดสินเชื่อปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิม 10% เป็น 17% และแม้ว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น แต่ TISCO ได้มีการปรับโครงสร้างเงินฝากส่วนนี้ไปแล้วผ่านมา ทำให้ NIM โดยรวมในปีนี้จะยังสูงถึง 5% ได้ พร้อมกับ ROE ที่น่าจะแตะระดับ 20% ในปีนี้เช่นเดียวกัน

c.บวกกับ TISCO เป็น 1 ใน 10 หุ้นที่จะไป Road show ในวันที่ 12-13 ก.ค.นี้ น่าจะได้ Sentiment เชิงบวกเช่นกัน

 

What will DJIA move tonight? คืนนี้มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือ ยอดสต็อกสินค้าค้าส่งเดือนพ.ค. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% mom จากเดือนก่อนหน้า +0.5% mom

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ยอดปล่อยกู้ในสหรัฐฯดิ่ง 9.1 พันล้านดอลล์

Friday, 09 July 2010 10:29

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟดเปิดเผยว่า การปล่อยสินเชื่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคมลดลง 9.1 พันล้านดอลลาร์ หลังความต้องการบริโภคในประเทศชะลอ เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากตลาดแรงงานที่ยังคงซบเซา ขณะที่ในเดือนเมษายน การปล่อยสินเชื่อผู้บริโภคในสหรัฐฯลดลง 14.9 พันล้านดอลลาร์

 

'แนวโน้มความต้องการสินเชื่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ เป็นที่ชัดเจนว่าชะลอลงอย่างรวดเร็ว หลังจากในช่วง 13 เดือนที่ผ่านมา การปล่อยสินเชื่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ ลดลง 11 เดือน' นายโจเซฟ ลาวาร์กนา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ดอยช์แบงก์ซิเคียวริตี้ส์ในนิวยอร์คกล่าว

 

ขณะเดียวกัน ข้อมูลของเฟดระบุว่า ยอดเบิกถอนวงเงินพร้อมใช้ในเดือนเดียวกันลดลง7.3 พันล้านดอลลาร์ และลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2008 ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อยานยนต์และโมบายโฮมส์ลดลง 1.8 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แบงก์ชาติเกาหลีใต้ขึ้นอัตรดบ. 0.25% เป็น 2.25%

Friday, 09 July 2010 10:22

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% โดยเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 

โดยเกาหลีใต้เป็นอีกหนึ่งประเทศในภูมิภาคเอเซียที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังอินเดีย มาเลเซีย และไต้หวันได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วก่อนหน้านี้

 

'เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นเวลาที่จะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนหนึ่งเป็นไปเพื่อการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และเป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น' นายจิม วอลเกอร์ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่เอเซียโนมิคส์ กล่าว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...