ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ธนาคารกลางสหรัฐแย้มอาจต้องอัดฉีดงบกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มอีก

 

Posted on Tuesday, December 07, 2010

ธนาคารกลางสหรัฐแย้มอาจต้องอัดฉีดงบกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มอีก

 

นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวยอมรับว่า การใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลนั้น อาจมีมูลค่าสูงกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์ตามที่ได้มีการประกาศไปแล้ว นอกจากนี้ สหรัฐฯ อาจจะต้องใช้เวลาถึง 5 ปีกว่าที่อัตราว่างงานของสหรัฐจะลดลงสู่ภาวะปกติ

 

ประธานเฟดกล่าวให้สัมภาษณ์กับรายการ "60 Minutes" ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสซึ่งเผยแพร่เมื่อวานนี้ว่า มีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนว่า การซื้อพันธบัตรอาจสูงกว่าที่ได้มีการวางแผนไว้ ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของโครงการ QE2 รวมถึงแนวโน้มเงินเฟ้อและเศรษฐกิจ

 

ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดประกาศใช้มาตรการ QE2 ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเพิ่มขึ้นอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะทยอยเข้าซื้อเดือนละ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ไปจนถึงกลางปีหน้า ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว และเพื่อทำให้ต้นทุนการกู้ยืมลดต่ำลง

 

การตัดสินใจใช้มาตรการ QE2 ของเฟดได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในและต่างประเทศ โดยอดีตเจ้าหน้าที่ของพรรครีพับลิกันและนักเศรษฐศาสตร์หลายรายเรียกร้องให้เฟดยุติโครงการนี้ก่อนกำหนด เนื่องจากเกรงว่ามาตรการดังกล่าวอาจทำให้ค่าของเงินลดลงและเกิดเงินเฟ้อ อีกทั้งยังไม่สามารถส่งเสริมการจ้างงานได้ตามที่มุ่งหวัง

 

ขณะที่ จีนและเยอรมนีก็แสดงความวิตกว่ามาตรการดังกล่าวอาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

 

อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้และเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ปกป้องการตัดสินใจใช้มาตรการดังกล่าว โดยยืนยันว่าการที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายตัดสินใจเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาววงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์นั้น ถือเป็นมาตรการที่จำเป็น และจะไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อในอนาคต

 

นอกจากนี้ ในการให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์ชื่อดังของสหรัฐในครั้งนี้ นายเบอร์นันเก้ยังกล่าวถึงอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงด้วยว่า "ด้วยอัตราว่างงานในขณะนี้ อาจต้องใช้เวลา 4-5 ปี กว่าที่อัตราว่างงานจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากกว่านี้ที่ราว 5-6%

 

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (3 ธ.ค. 54) กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payrolls) ประจำเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้นเพียง 39,000 ตำแหน่ง น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 140,000 ตำแหน่ง และน้อยกว่าเดือนต.ค.ที่ตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งถึง 172,000 ตำแหน่ง

 

ขณะที่อัตราว่างงานเดือนพ.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับ 9.8% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 9.6% และนับเป็นเดือนที่ 19 ติดต่อกันที่อัตราว่างงานของสหรัฐเคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 9%

 

ส่วนจำนวนคนที่ไม่มีงานทำในเดือนพ.ย.มีอยู่ทั้งสิ้น 15.1 ล้านคน มากกว่าเดือนต.ค.ที่ระดับ 14.8 ล้านคน

 

รายงานข่าวระบุว่า การให้สัมภาษณ์ของเบอร์นันเก้เกิดขึ้น 3 วันก่อนที่จะมีการเปิดเผยอัตราว่างงานและตัวเลขจ้างงานล่าสุด

 

อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดกล่าวว่า เศรษฐกิจไม่น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีก เนื่องจากเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ อาทิ ภาคที่อยู่อาศัยไม่สามารถตกต่ำลงไปได้มากกว่านี้แล้ว ถึงกระนั้น การว่างงานที่อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานอาจทำลายความเชื่อมั่น และกลายเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอีกครั้ง

 

 

เยอรมนีคาดเศรษฐกิจปีหน้าขยายตัว 2%

 

ธนาคารกลางเยอรมนีปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2554 เป็นขยายตัว 2% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.4% และคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2555 จะขยายตัว 1.5%

 

ทั้งนี้ ธนาคารกลางเยอรมนีเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจภายในประเทศจะยังคงขยายตัวได้ดีจนถึงปี 2555 หลังจากที่สามารถฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์การเงินโลกได้ ส่วนในปี 2553 ธนาคารกลางคาดว่าเศรษฐกิจภายในประเทศจะขยายตัวแข็งแกร่งถึง 3.6%

 

นอกจากนี้ ธนาคารกลางเยอรมนีคาดว่า อุตสาหกรรมส่งออกจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ในขณะที่อัตราการอุปโภคบริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และคาดว่าอัตราว่างงานจะยังคงปรับตัวลดลง

 

สำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนี เปิดเผยว่า จีดีพีของเยอรมนี ขยายตัวเพียง 0.7% ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบไตรมาส 2 ที่สามารถขยายตัวได้ถึง 2.3% หลังจากโครงการก่อสร้างหลายแห่งเสร็จสิ้นลง

 

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น ในขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวขึ้นในเดือนพฤศจิกายน

 

 

มูดี้ส์หั่นเครดิตฮังการีเหลือ Baa3

 

สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสประกาศลดอันดับเครดิตขอฮังการี เนื่องความกังวลเกี่ยวกับการจัดการปัญหาหนี้ของรัฐบาลฮังการี

 

มูดี้ส์ได้หั่นอันดับเครดิตของฮังการีลง 2 ขั้น เหลือเพียง Baa3 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดใน Investment Grade โดยให้แนวโน้มเป็นลบ ซึ่งหมายความว่าอาจมีปรับลดอันดับเครดิตลงอีก หากรัฐบาลไม่สามารถทำให้สถานะการเงินและการคลังมีเสถียรภาพได้

 

การตัดสินใจของมูดี้ส์ก็สอดคล้องกับการจัดอันดับของ S&P และ ฟิทซ์ เรทติ้ง ซึ่งก็ให้อันดับเครดิตแก่ฮังการีเป็นเกรดต่ำสุดใน Investment Grade เช่นกัน ปัจจุบัน ฮังการีมีสัดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณ 79% ของจีดีพีในปีนี้

 

ทั้งนี้รัฐบาลฮังการี ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี วิคเตอร์ ออร์เบิน กำลังพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมการขาดดุลงบประมาณให้ได้ตามกรอบของ EU ซึ่งก็คือ ไม่เกิน 3% ของจีดีพีภายในปีหน้า โดยการนำ กองทุนบำเน็จบำนาญเอกชนเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล, การจัดเก็บภาษี ภาคธนาคาร พลังงาน โทรคมนาคม และ ภาคค้าปลีก เพื่อที่จะลดการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐ

 

มูดี้ส์ หัวหน้านักวิเคราะห์ของมูดี้ส์ระบุว่า รัฐบาลฮังการีพึ่งพานโยบายชั่วคราวมากกว่านโยบายปรับภาวะการคลังให้เข้าสู่สมดุลอย่างยั่งยืน การปรับลดอันดับเครดิตในวันนี้เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลฮังการีสูญเสียความแข็งแกร่งทางการเงินการคลังลงอย่างมาก

 

ขณะที่แนวโน้มเครดิตเชิงลบ สะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งทางการเงินการคลังของรัฐบาล เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณของฮังการีมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น และมีความเสี่ยงที่ฮังการีจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตภายนอก อาทิ ปัญหาหนี้สาธารณะยุโรป

 

 

Pfizer ได้ซีอีโอใหม่ แทนคนเก่าที่เกษียณ

 

บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลกได้ชื่อผู้บริหารใหม่ ในเวลาไม่นานหลังจากที่ผู้คุมบังเหียนคนเก่าเกษียณอายุลง พร้อมๆ กับผลงานราคาหุ้นที่ร่วงตกต่ำเมื่อเทียบกับตอนที่เคยเข้ารับตำแหน่งมาเมื่อปี 2549

 

นาย Ian Read ผู้บริหารที่เคยดูแลงานทางด้าน biopharmaceutical ของบริษัท Pfizer ถูกเสนอชื่อให้ขึ้นรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แทนที่นาย Jeffrey Kindler ผู้ซึ่งเกษียณอายุตัวเองจากบริษัทยาชั้นนำแห่งนี้ โดยภารกิจใหม่ของนาย Read ก็คือการต่อสู้กับบรรดายาประเภท genetic ทั้งหลาย ที่จะเข้ามาแข่งขันกับยาลดคลอเรสตอรอลที่ขายดี อย่าง Lipitor ที่เป็นตัวชูโรงของบริษัท

 

Pfizer กำลังจะต้องเผชิญกับการหมดอายุของสิทธิ์ในการคุ้มครองยา Lipitor ที่ตลาดสหรัฐฯ ในปีหน้า ซึ่งตัวเองถือยอดขายอยู่ถึงกว่า 11,000 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว

 

นอกจากนั้น ผู้ผลิตยาที่มีฐานที่มั่นจากนิวยอร์กแห่งนี้ ยังต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการหาทางชดเชยการขาดทุนที่เกิดจากการควักเงินถึง 68,000 ล้านเหรียญไปเพื่อซื้อบริษัทยาอีกค่าย อย่าง Wyeth มาเมื่อปีที่แล้ว จนได้ครอบครองยารักษาโรคข้ออักเสบ ยี่ห้อ Enbrel รวมถึง Prevnar ที่เป็นวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบอีกด้วย และนี่ยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนายาอีก 4 โครงการในปีนี้

 

สำหรับซีอีโอใหม่ นาย Read ได้อยู่กับ Pfizer มาตั้งแต่ปี 2521 และได้มีโอกาสเข้าไปดูธุรกิจในภาคพื้นละตินอเมริกา ยุโรป และแอฟริกา แม้ว่าชื่อของเขาที่ได้รับการเสนอขึ้นเป็นผู้บริหารสูงสุดในครั้งนี้จะไม่สร้างความแปลกใจให้แก่นักวิเคราะห์ แต่ก็มีบางรายที่บอกว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

 

นาย David Maris นักวิเคราะห์ที่ดูแลอุตสาหกรรม health care จากค่าย CLSA ในนิวยอร์ก คาดว่า ราคาหุ้นของ Pfizer จะทะยานขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยเขาประเมินว่าจะมีดีลการควบรวมกิจการเกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะในประเทศตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่

 

 

สหรัฐ-เกาหลีใต้บรรลุ FTA

 

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ ประกาศว่า สหรัฐและเกาหลีใต้ได้บรรลุข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) เรียบร้อยแล้ว หลังจากการเจรจาได้หยุดชะงักมานานกว่า 3 ปีเนื่องจากความขัดแย้งเรื่องภาษีนำเข้ารถยนต์

 

ข้อตกลงดังกล่าวกำหนดว่าจะยกเลิกภาษีศุลกากรสินค้า 95% ที่ค้าขายกันระหว่างสองประเทศภายใน 5 ปี ซึ่งถือเป็นการทำข้อตกลงทางการค้าครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐ นับตั้งแต่ที่มีการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือกับแคนาดาและเม็กซิโกในปี 2537

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หลังจากเจรจาร่วมกันเป็นเวลานานถึง 4 วัน ผู้แทนของทั้งสองฝ่ายก็สามารถยุติความขัดแย้งที่เป็นอุปสรรคได้สำเร็จ ด้วยการยอมให้สหรัฐยกเลิกภาษีรถยนต์จากเกาหลีใต้แบบค่อยเป็นค่อยไป หลังจากการเจรจาในเรื่องนี้หยุดชะงักไปนานกว่า 3 ปีเนื่องจากกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐวิตกกังเรื่องปริมาณรถยนต์นำเข้าจำนวนมากจากเกาหลีใต้

 

ประธานาธิบดีโอบามาได้แสดงความพอใจกับข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ฉบับนี้ โดยกล่าวว่า ข้อตกลง FTA ระหว่างสหรัฐและเกาหลีใต้จะช่วยสร้างงานในสหรัฐได้อย่างน้อย 70,000 ตำแหน่ง และคาดว่าจะช่วยให้มูลค่าการส่งออกสินค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี

 

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payrolls) ประจำเดือนพ.ย.ที่เพิ่มขึ้นเพียง 39,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานเดือนพ.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับ 9.8% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สหรัฐยังจำเป็นต้องกระตุ้นการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น

 

ขณะที่ประธานาธิบดีลี เมียง บัค ของเกาหลีใต้กล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ทั้งสองประเทศ อีกทั้งจะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นขึ้นด้วย

 

 

ความนิยมคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน

 

หนังสือพิมพ์โยมิอูริ ชิมบุน ของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ผลสำรวจคะแนนสนับสนุนคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คัง ลดลงเหลือ 25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

 

คะแนนสนับสนุนดังกล่าว ซึ่งได้จากการสอบถามประชาชนพันกว่าคนทั่วประเทศทางโทรศัพท์ระหว่างวันที่ศุกร์ถึงอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น ร่วงลงจากระดับ 35% ในการสำรวจครั้งก่อนในระหว่างวันที่ 5-7 พ.ย. ขณะที่คะแนนไม่เห็นชอบเพิ่มขึ้นแตะ 65% จาก 55%

 

83% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า ครม.ญี่ปุ่นชุดนี้รับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน อาทิ เงินฝืด และ เยนแข็งค่า ได้อย่างไม่เหมาะสม นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามยังไม่พอใจวิธีการรับมือกับเหตุการณ์เรือประมงจีนชนเข้ากับเรือตรวจการณ์ของญี่ปุ่นเมื่อเดือนก.ย.

 

 

จีนเตรียมคุมเข้มการซื้อขายตลาดล่วงหน้า

 

นายเจียง หยาง รองประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) กล่าวในที่ประชุมตลาดตราสารอนุพันธ์ระหว่างประเทศครั้งที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นที่มณทลกวางตุ้ง ว่า CSRC จะดำเนินการควบคุมและออกกฎข้อบังคับที่เข้มงวดมากขึ้นในตลาดล่วงหน้า พร้อมประกาศกวาดล้างการทำธุรกรรมซื้อขายแบบใช้ข้อมูลวงในและการปั่นราคาในตลาด

 

รองประธาน CSRC ระบุว่า จีนจะให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงในตลาดล่วงหน้าเป็นลำดับต้นๆ เนื่องจากภาวะการซื้อขายในตลาดล่วงหน้าของจีนและในต่างประเทศกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทำการวินิจฉัยปัจจัยต่างๆที่เป็นสาเหตุของความเสี่ยง รวมถึงวินิจฉัยลักษณะของความเสี่ยงและแนวทางการจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้น

 

ทั้งนี้ นายเจียงกล่าวว่า CSRC จะควบคุมดูแลและใช้กฎข้อบังคับด้านการซื้อขายในตลาดล่วงหน้าอย่างเข้มงวดมากขึ้น พร้อมกับจะกวาดล้างการปั่นราคาและการทำธุรกรรมซื้อขายแบบใช้วงใน รวมทั้งควบคุมการเก็งกำไรในตลาดด้วย

 

 

เวียดนามส่งออกข้าว 6.3 ล้านตัน 11 เดือนแรก

 

กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทของเวียดนาม เปิดเผยว่า เวียดนามส่งออกข้าว 6.3 ล้านตันไปต่างประเทศในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน โดยปริมาณการส่งออกดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

 

นักวิเคราะห์ระบุว่า มูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากราคาข้าวในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาเฉลี่ยของข้าวส่งออกของเวียดนามในช่วง 11 เดือนแรก อยู่ที่ 467 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.6% ตามทิศทางของราคาข้าวในตลาดโลก

 

ในปี 2552 เวียดนามทำรายได้ 2.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการส่งออกข้าว 5.75 ล้านตันในช่วง 11 เดือนแรก ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้า 5.8% ในแง่ของมูลค่า แต่เพิ่มขึ้น 33.5% ในแง่ของปริมาณ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

em0009.gifขอบคุณอ.ทองใหม่สำหรับกราฟตาแป๊ะคร้า em0009.gif cd08785a.gif รายวันแป๊ะยิ้ม ขึ้นไปให้เยอะๆเร้ย แล้วจะขอทำกำไรซักหน่อย :P

ขอรอสัญญาณการปรับฐานด้วยนะคร้าจารย์b048a2d2.gif อยากซื้อเพิ่มด้วยคร้า:P

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากสหำรับกราฟตาแป๊ะมากๆ ครับ

CV

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ เฮียทองใหม่ ขอบคุณมากค่ะ :lol: !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาบ d5f02ecd.gifd5f02ecd.gifd5f02ecd.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จารย์คะ SET 50 มาแล้วค่ะ 630 แล้วเค้ามีวิเคราะห์ต่ออีกมั้ยคะ แบบว่า อยากทราบทิศทางการวิเคราะห์น่ะค่ะ

 

ขอบคุณค่ะ อาจารย์ทองใหม่ :rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หวัดดียามบ่ายค่ะ อ.ทองใหม่ วันนี้เปิดบัญชี GF ค่ะ มาร์บอกให้รอย่อก่อนแล้วค่อยเปิด long ก็ตามเขาค่ะเพราะคืดอย่างนั้นเหมือนกัน ติดตามคำชี้แนะของจารย์ทุกวันเลยค่ะ เอาไว้เป็นบรรทัดฐานในการเล่น GF ค่ะ ขอบคุณจารย์มากนะคะ !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จารย์คะ SET 50 มาแล้วค่ะ 630 แล้วเค้ามีวิเคราะห์ต่ออีกมั้ยคะ แบบว่า อยากทราบทิศทางการวิเคราะห์น่ะค่ะ

 

ขอบคุณค่ะ อาจารย์ทองใหม่ :rolleyes:

630หรือ730 พูดผิดพูดใหม่ได้นะครับ ฮา เป้าหมายที3คือ732 ตอนนี้ก็ถือว่าเข้าเป้าได้แล้วเหมือนกัน ทิศทางใหม่เงื่อนไขยังไม่สมบูรณ์ ทิศทางกราฟยังไม่ปรากฏออกให้เห็นครับ ต้องรอต่อไปครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

630หรือ730 พูดผิดพูดใหม่ได้นะครับ ฮา เป้าหมายที3คือ732 ตอนนี้ก็ถือว่าเข้าเป้าได้แล้วเหมือนกัน ทิศทางใหม่เงื่อนไขยังไม่สมบูรณ์ ทิศทางกราฟยังไม่ปรากฏออกให้เห็นครับ ต้องรอต่อไปครับ

 

อิอิ เมาไปหน่อย ขอบคุณค่ะ อาจารย์ งี้จารย์ก้อรวยแย่เลยดิ :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

YLG มองราคาทองสัปดาห์นี้ขยับขึ้นเป้าหมาย 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์

วันอังคารที่ 07 ธันวาคม 2010 เวลา 15:24 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า การรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ประจำเดือน พ.ย.ที่ออกมาเพียง 39,000 ตำแหน่ง ถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่เหนือความคาดหมายของตลาดอย่างมาก จากเดิมที่คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นถึง 140,000 ตำแหน่ง ได้สร้างความผิดหวังแก่ผู้กำหนดนโยบายของเฟดตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างมาก ซึ่งตัวเลขที่ออกมาดังกล่าวได้ผลักดันให้ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จากที่นักลงทุนคาดการณ์มากขึ้นว่าเฟดจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดย เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดได้ให้มุมมองว่าการใช้มาตรการ QE2 อาจมีมูลค่าสูงกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งให้มุมมองที่เป็นลบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ยิ่งกระตุ้นให้ทองคำเดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง

 

นอกจากประเด็นดังกล่าวที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวอย่างแข็งแกร่งแล้ว ราคาทองคำยังคงได้รับปัจจัยหนุนเดิมจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย ในขณะที่ล่าสุด มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฮังการีลงสองขั้นสู่ระดับ Baa3 จาก Baa1 พร้อมทั้งให้แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบและปัญหาความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีที่ยังคงเปราะบางต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดหวังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทั้งสองประเด็นดังกล่าวถือได้ว่าเป็นปัจจัยหนุนของราคาทองคำที่แข็งแกร่งเช่นกัน ทำให้ทางวายแอลจีมองว่าด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงหนุนราคาทองคำอยู่เช่นนี้จะส่งผลให้การอ่อนตัวลงของราคาทองคำเป็นไปอย่างจำกัดและหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นโอกาสที่ราคาทองคำจะไต่ระดับสูงกว่านี้ก็มีไม่น้อยเช่นกัน

 

สำหรับมุมมองในสัปดาห์นี้ทางวายแอลจีมีมุมมองเชิงบวกต่อการขยับขึ้นของราคาทองคำอีกครั้ง ภายหลังข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐข้างต้นได้สร้างความผิดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแก่นักลงทุนทั่วทุกมุมโลก โดยทางวายแอลจีได้ปรับเปลี่ยนมุมมองสู่การไต่ระดับเป้าหมายเป็น 1,435 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (20,250 บาท) และ 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (20,480บาท) ในสัปดาห์นี้

 

 

ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงต่อการปรับขึ้นของราคาทองคำที่นักลงทุนควรจับตาอย่างใกล้ชิดซึ่งอาจทำให้ราคาไม่สามารถขยับขึ้นไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้ก็คือมาตรการควบคุมเงินเฟ้อและสภาวะฟองสบู่ของจีนซึ่งล่าสุดเริ่มมีกระแสข่าวว่าทางการจีนอาจมีการปรับดอกเบี้ยในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนต่อประเด็นดังกล่าวแต่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากทางการจีนมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นจริงอาจส่งผลให้ราคาทองคำอ่อนค่าลงได้ นอกจากประเด็นของจีนแล้วนักลงทุนยังต้องระวังแรงขายทำกำไรของนักลงทุนกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ที่มักจะมีการเทขายทำกำไรออกมาช่วงปิดไตรมาสหรือช่วงสิ้นปีเพื่อนำผลกำไรนั้นไปสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุนในปีต่อไป

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้รอซื้อเมื่อราคาย่อตัวมาบริเวณแนวรับ 1,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (19,900 บาท) หรือ 1,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์(19,500บาท) ทั้งนี้หากราคาหลุดแนวรับ 1,380 ดออลาร์ต่อออนซ์แนะนำให้ชะลอการเข้าซื้อทันทีสำหรับนักลงทุนที่ยังถือครองทองคำอยู่แนะนำรอขายบริเวณเป้าหมายข้างต้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...