ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

สหรัฐฯ เตรียมยุติบทบาทผู้ถือหุ้น Citigroup

 

Posted on Wednesday, December 08, 2010

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พ. 8 ธ.ค. 53)

• สต็อกน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA

 

 

สหรัฐฯ เตรียมยุติบทบาทผู้ถือหุ้น Citigroup

 

ใกล้ถึงเวลาที่อดีตธนาคารยักษ์ใหญ่ของอเมริกา จะสามารถสลัดหลุดได้เป็นอิสระจากการถือหุ้นของรัฐบาล หลังจากที่ต้องซมซานรับเงินช่วยเหลือมาเมื่อครั้งเกิดวิกฤติในปี 2551

 

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยถึงการขายหุ้นที่ยังมีเหลืออยู่ใน Citigroup มูลค่า 10,500 ล้านเหรียญ จนมีผลให้ธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐฯ ใกล้ที่จะเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐ รวมถึงปลดแอกจากเงื่อนไขต่างๆ หลังรับเงินช่วยเหลือมาเมื่อปี 2551

 

ในแถลงการณ์ของกระทรวงการคลังระบุว่า หน่วยงานจะจำหน่ายหุ้นของ Citigroup ออกจำนวน 2,400 ล้านหุ้นในราคา 4.35 เหรียญต่อหุ้น ซึ่งจะทำให้เงินของผู้เสียภาษีที่รัฐควักไปสำหรับดีลการช่วยเหลือในครั้งนั้นงอกเงยเป็นกำไรได้ถึงเกือบ 6,850 ล้านเหรียญ

 

การขายหุ้นยังช่วยให้ Citigroup สามารถเดินออกจากข้อบังคับภายใต้มาตรการอุ้มสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2551 เมื่อครั้งที่ธนาคารจากนิวยอร์กแห่งนี้เกือบไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ขณะที่ราคาหุ้นในช่วงนั้นดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 5 เหรียญ อีกทั้งยังต้องเจอกับการที่ลูกค้าบางรายแห่ถอนเงินออกจากธนาคาร

 

และในช่วงวิกฤติดังกล่าว ธนาคารยังต้องขอรับการการันตีจากรัฐบาลสำหรับบรรดาสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหลาย ที่มีมูลค่ารวมกันกว่า 3 แสนล้านเหรียญ จนทำให้ดีลการช่วยเหลือ Citigroup กลายเป็นการอุ้มสถาบันการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกาเลยทีเดียว

 

ในตอนนี้รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังทยอยกอบกู้เงินที่ตนเคยปล่อยให้ความช่วยเหลือไว้กับสถาบันการเงินทั้งหลาย รวมถึงโครงการเงินกู้ฉุกเฉินต่างๆ นอกจากนั้น ยังมีความพยายามที่จะฟื้นคืนเงินที่ได้ให้ไว้กับบริษัทเอกชนหลายแห่งด้วยเช่นกัน ซึ่งสองรายในนั้นก็ได้แก่ บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ General Motors และบริษัทประกัน AIA หรือ American International Group

 

 

ฮังการีพ้อมูดี้ส์หั่นเครดิตไม่รอบคอบ - EU ยันไม่เพิ่มเงินกองทุน EFSF

 

นายเก-ออร์-กี มาทอลซี รัฐมนตรีเศรษฐกิจฮังการี กล่าวว่า การที่ฮังการีถูกมูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายของรัฐบาล แต่ก็ยอมรับว่ารู้สึกเสียใจ

 

นายมาทอลซีกล่าวว่า มูดี้ส์ไม่ได้พิจารณาปัจจัยทุกอย่างให้รอบด้านก่อนตัดสินใจปรับอันดับความน่าเชื่อถือ พร้อมกับกล่าวว่า "ฮังการีขาดดุลงบประมาณน้อยที่สุดเป็นอันดับ 5 ในอียูในปีนี้ และตัวเลขขาดดุลปีหน้าที่ต่ำกว่า 3% ก็จะน้อยที่สุดเป็นอันดับ 5 ของอียูเช่นกัน"

 

เขากล่าวเพิ่มเติมว่าตัวเลขเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและนโยบายปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจสำหรับช่วงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็น่าจะถูกนำไปพิจารณาในการปรับอันดับความน่าเชื่อถือด้วย

 

มูดี้ส์ ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฮังการีสองขั้นสู่ระดับ Baa3 แนวโน้มเป็นเชิงลบ โดยอันดับเครดิตที่ Baa3 นั้น อยู่เหนือระดับ "ขยะ" เพียงขั้นเดียว

 

ขณะที่ รัฐมนตรีกระทรวงคลังของยูโรโซนได้ตัดสินใจที่จะไม่เพิ่มวงเงินกองทุนช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหาหนี้สินมูลค่า 7.50 แสนล้านยูโร ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือประเทศอาจจะเผชิญกับวิกฤตหนี้เหมือนกับกรีซ

 

นายคลาส์ ริ๊กลิ่ง ประธานของกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) กล่าวว่า กองทุนดังกล่าวมีปริมาณเพียงพอที่จะช่วยเหลือทางการเงินในอนาคต

 

นายรีกลิงกล่าวว่า EFSE จะใช้เงินทุนสำหรับช่วยเหลือไอร์แลนด์ในสัดส่วนที่ไม่ถึง 1 ใน 10 ของความสามารถในการปล่อยกู้ทั้งหมด ซึ่งจะมีเงินทุนเหลือเพียงพอสำหรับใช้กับประเทศอื่นๆ

 

ทางด้านนายดิดดิเอร์ ไรน์เดอร์ส รัฐมนตรีคลังเบลเยียม กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ยูโรโซนควรจะมีการขยายเครือข่ายกองทุนดังกล่าว เพื่อควบคุมการเก็งกำไร ขณะที่นางแองเกล่า แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ได้ปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว เพราะมองว่ายังไม่มีความจำเป็น

 

 

ADB คาดเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกขยายตัว 8.8% ปีนี้

 

ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย ADB ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกในปีนี้ จากเดิม 8.4% เป็น 8.8% เนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวที่รวดเร็วเกินคาด

 

อย่างไรก็ตาม ADB คาดว่า เศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกในปีหน้าจะขยายตัวเพียง 7.3% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มอ่อนแอ โดย ADB คาดว่า ปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกชะลอตัวลงในปีหน้ามาจากการที่รัฐบาลเริ่มถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

นอกจากนี้ ADB ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจจีนว่าจะขยายตัว 10.1% ในปีนี้ แต่คาดว่าในปีหน้าจะขยายตัวเพียง 9.1% จากการส่งออกที่ขยายตัวช้าลง การผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรชะลอตัวลงด้วยเช่นกัน แต่ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมถึงยอดค้าปลีก จะขยายตัวแข็งแกร่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการภายในประเทศยังคงขยายตัวได้ดี

 

ส่วนประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกนั้น เศรษฐกิจสิงคโปร์มีแนวโน้มขยายตัวได้แข็งแกร่งถึง 14% ในปีนี้ แต่คาดว่าอัตราการขยายตัวจะลดลงเหลือเพียง 5% ในปีหน้า

 

ทั้งนี้ ADB กล่าวว่า เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกจะเผชิญกับอุปสรรคมากมาย รวมถึงตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในหลายประเทศ และความเป็นไปได้ที่ว่าเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะชะลอตัวลงในระยะเวลาที่ยาวนานเกินคาด

 

นอกจากนี้ ADB ยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศตนเอง ซึ่งเป็นผลมาจากหลายประเทศต้องการสกัดค่าเงินในประเทศตนเองไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าอาจนำไปสู่สงครามการค้า

 

 

ผู้เชี่ยวชาญชี้จีนจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

 

สตีเฟน โรช นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังและอดีตประธานบริหารบริษัทมอร์แกน สแตนลีย์ เอเชีย กล่าวว่า ปัญหาสำคัญที่สุดของจีนไม่ใช่ภาวะเงินเฟ้อ แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรักษาระดับการขยายตัวอย่างยั่งยืน

 

นายโรชกล่าวเสริมว่า "ในสภาพแวดล้อมหลังภาวะวิกฤติ การเปลี่ยนแปลงหมายถึงการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภค และนับเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดของจีน"

 

ทั้งนี้ รายใด้ของชาวจีนยังอยู่ในระดับต่ำ โดยชาวจีนมีรายได้เพียง 42% ของ GDP ขณะที่ ตัวเลขดังกล่าวของสหรัฐอยู่ที่ 86% ดังนั้นจีนควรเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ" แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจีนควรจะละเลยความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น

 

ข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการระบุว่า เงินเฟ้อของจีนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 เดือนเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดย นายโรชกล่าวว่า "มีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อของจีนจะเพิ่มขึ้น และเป็นปัญหาในอีก 12 เดือนข้างหน้า แต่หากว่ารัฐบาลจัดการได้เร็ว ก็จะสามารถจำกัดขอบเขตของปัญหาได้ ไม่เช่นนั้นจีนอาจจะเผชิญกับปัญหาดังกล่าวในปี 2555 ด้วยเช่นกัน"

 

นอกจากนี้ ไชน่า ซิเคียวริตีส์ เปิดเผยว่า ธ.กลางจีนมีแนวโน้มว่า จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนที่จีนจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคประจำเดือนพ.ย.ในวันจันทร์ที่ 13 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ โดยที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนมักจะขึ้นดอกเบี้ยก่อนที่จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค ดังนั้น ช่วงสุดสัปดาห์นี้ จึงเป็นเวลาที่สำคัญที่ธนาคารกลางจีนอาจจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้

 

ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่า จีนจะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ เพื่อควบคุมราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น

 

 

น้ำมันดิบจ่อแตะ 100 เหรียญ ปีหน้า

 

ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ได้แรงหนุนจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะสูงขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2554 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และความเหลื่อมล้ำของอุปสงค์-อุปทาน

 

ฟาตีห์ ไบรอล หัวหน้านักวิเคราะห์จากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) กล่าวว่า ช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวในระดับต่ำได้สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจโลก

 

ขณะที่ชานกวน ลี นักวิเคราะห์จาก Oppenheimer Gold and Special Minerals Fund กล่าวว่า "เศรษฐกิจสหรัฐและจีน ผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ต่างมีสัญญาณบ่งชี้ในด้านบวก"

 

คอนลีย์ เทอร์เนอร์ นักวิเคราะห์จาก Wall Street Strategies กล่าวว่า "ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปีนี้

 

ขณะที่เทรดเดอร์และนักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้แล้วว่า ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปลายปี 2554"

 

รายงานของ IEA ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ระบุว่า อัตราการใช้น้ำมันโดยเฉลี่ยในปี 2553 อาจเพิ่มขึ้น 2.34 ล้านบาร์เรล/วัน และเพิ่มขึ้นอีก 1.9 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2554

 

แต่ในแง่ของอุปทานนั้น โอเปค ตัดสินใจคงเป้าหมายการผลิตไว้เท่าเดิมสำหรับปี 2553 ในการประชุมซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ส่วน อุปทานน้ำมันจากประเทศนอกกลุ่มโอเปคจะชะลอตัวลงในปี 2554

 

ทั้งนี้ คาดว่าความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานจะขยายตัวขึ้น และจะส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นด้วย

 

ดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ ยังคงเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดน้ำมัน การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้ QE2 ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง และผลที่ตามมาคือทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง

 

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ความอ่อนแอของสกุลเงินดอลลาร์ อาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงน้ำมันดิบ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในขณะเดียวกัน วิกฤตหนี้สาธารณะของยุโรป รวมทั้งสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี และประเด็นอิหร่าน อาจเป็นปัจจัยที่สนับสนุนเงินดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะงผลกระทบต่อตลาดน้ำมันในอีกด้านหนึ่งเช่นกัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:rolleyes:

ขอบคุณสำหรับกราฟ และข้อมูลคะ ติดตามต่อปาย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเซ็ท50วันนี้

post-237-031702500 1291782514.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คาดกรอบการเคลื่อนไหวของทองวันนี้

post-237-021229500 1291782556.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาบ d5f02ecd.gifd5f02ecd.gifd5f02ecd.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับอ.ทองใหม่ :rolleyes: (ข่าวสารที่อาจารย์นำมาแปะให้พวกเราอ่าน มีประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนจิงๆครับ)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเซ็ท50วันนี้

อยากเข้าset บ้างของKSET ต้องรอย่อกว่านี้ไม้คะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลคะ ติดตามต่อปาย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดหุ้นจีนปิดร่วง คาดจีนขึ้นดอกเบี้ยสัปดาห์นี้

วันพุธที่ 08 ธันวาคม 2010 เวลา 14:42:55 น. รอยเตอร์รายงานว่า ตลาดหุ้นจีนปิดร่วงลงในวันนี้ ท่ามกลางวอลุ่มซื้อขายเบาบาง ขณะที่นักลงทุนชะลอการเข้าซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

โดยดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ปิดดิ่งลง 1% อยู่ที่ 2,848.5 จุด โดยร่วงลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยรอบ 250 วันที่ 2,868 จุด ขณะที่นสพ.ไชน่า ซีเคียวริตีส์ เจอร์นัลรายงานวานนี้ว่า ธนาคารกลางจีนอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในสุดสัปดาห์นี้ ก่อนการเปิดเผยดัชนีบ่งชี้เศรษฐกิจรายเดือน การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ ข้อมูลเงินเฟ้อในวันเสาร์นี้อาจบ่งชี้ถึงการดำเนินนโยบายการเงินต่อไปของรัฐบาล ทำให้นักลงทุนรายย่อยชะลอการลงทุนก่อนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในสุดสัปดาห์นี้

 

นักวิเคราะห์คาดว่าปริมาณการซื้อขายจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งภายในต้นปีหน้าอันเนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของภาคเอกชน, มาตรการกระตุ้นของรัฐบาล และมูลค่าที่สมเหตุสมผลของหุ้นขนาดใหญ่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คาดกรอบการเคลื่อนไหวของทองวันนี้

ขอบคุณค่า

เมื่อวานเพิ่งกำจัด k-gold ไป วันนี้ลงแระ หึหึหึ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...