ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

คัมภีร์ไร้เทียมทาน ที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน ไม่ห่วงไม่รักไม่บอกนะเนี่ย ฮาฮา แหย่เล่นจ้าแนวหนุนต้านระยะกลางยาว จุดยุทธศาสตร์ที่สำมะคันต้าน๓1265.10-----------จุดสูงของวันที่21 มิย. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขายต้าน๒1243.70-----------จุดสูงของวันที่01 กค. หากแตก ซื้อขึ้น หากไม่แตก ซื้อลงต้าน๑1230.52----------- แนวต้านที่สำคัญ หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย หากแตก ให้ซื้อขึ้น วันที่ 18 สค. 2010หนุน๑1188.78--------เส้นค่าเฉลี่ย20วัน หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น หากด่านแตกทะลวงลง ให้ซื้อลงหนุน๒1156.70--------จุดต่ำของวันที่28 กค. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น หากด่านแตกทะลวงลง ให้ซื้อลงหนุน๓1123.69---------จุดต่ำของวันที่19 เมย. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น หากด่านแตกทะลวงลง ให้ซื้อลงเวลาอ่านแล้วต้องรู้จักคิดด้วยนะครับ เช่น"หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย" ต้องรู้จักคิดกลับ---"หากถึงและมีแรงส่งขึ้นต่อ ผู้ซื้อขึ้นก็ถือต่อ ผู้ซื้อลงให้ตัดเนื้อขายออกเสีย " อะไรทำนองนี้เป็นต้นนะครับ วิธีดูทิศทางทอง เอาแนวดูวิธีทองรายวันมาลงโดยไม่ได้แก้ เวลาดูให้ทำความเข่าใจเองนะครับ วิธีดูทิศทางทอง ต้าน๓----หนุน๓เป็นทิศทางทองที่จะเคลื่อนไหวในช่วงนี้ หากพุ่งทะลุต้าน๓หรือดิ่งทะลวงหนุน๓ แสดงถึงวันนั้นทองเคลื่อนไหวแรงเกินปกติ เส้นแดนเป็นเส้นที่จะแบ่งแยกทิศทางของทองที่จะขึ้นหรือลง หากทองเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางใดมากและนาน นั่นหมายถึงโอกาสเป็นไปได้มากที่ทองจะเคลื่อนไปในทิศทางนั้นๆ ในช่วงเวลานั้น (ยังต้องแบ่งออกในช่วงเวลาตลาดเอเซีย ยุโรป เมกาด้วย) ต้าน๑และหนุน๑หากถูกทดสอบแบบมีผล(ขึ้นลงมากกว่า๑ครั้ง)แล้วยืนอยู่ได้ นั่นคือทิศทางทองที่จะเดินต่อไปในช่วงเวลานั้น หากการวิเคราะเกิดขัดแย้งกันเมื่อไหร่ ให้หยุดมองดูอย่างเดียว ไม่ควรซื้อ-ขายในช่วงเวลานั้น แนวทางนี้เหมาะกับการเล่นสั้นมาก (เล่นแบบออนไลน์ในอนาคต) มีความแม่นยำถึง80%ครับ อีกอย่างข่าวปัจจัยพื้นฐานอาจเปลี่ยนทิศทางทองได้กะทันหันนะครับข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ถัาติดดอยเมื่อทองต่ำลงมา หากยังมีเงินเหลืออยู่ ควรซื้อเพิ่ม เพิ่มที่ละนิด ต่ำอีกซื้ออีก เพื่อดึงต้นทุนที่สูงให้ต่ำลงมา ใครที่ยังไม่มีทองในมือควรทยอยซื้อเข้าอย่ามากนัก หากทองลงอีก เราก็ซื้ออีก ดีกว่าเวลาทองขึ้นเราไปไล่ซื้อในราคาที่สูง จดจำเป็นคติเตือนใจว่า เรามิอาจซื้อได้ในราคาที่ต่ำสุด และขายได้ในราคาที่สูงสุด ไม่มีการลงทุนใดที่ไม่เสี่ยง การบริหารพอร์ตให้ได้จังหวะ จะลดความเสี่ยงลงได้ครับกราฟสำคัญ ปัจจัยพื้นฐานก็สำคัญ จิตวิทยาการโน้มเอียงของคนก็สำคัญ สิ่งเหล่านี้หากเป็นไปในแนวเดียวกัน ก็จะมุ่งไปทางนั้น หากแย้งกันก็ต้องดูฝ่ายไหนเหนือกว่า.....ด้วยเหตุนี้ไม่มีนักวิเคราะห์คนใดที่จะทำนายได้แม่นยำตลอดกาลได้ครับ

 

 

อรุณสวัสดิ์คะอ.ทองใหม่ +1 เติมพลังคะวันนี้ไม่มีคัมภีร์ไร้เทียมทานของอ.เหรอคะ :wub:

ที่ถามนี่ผมรู้เลยไม่ได้อ่านต้นกระทู้ของวันนี้ ฮาฮา ตามนี่ครับ

http://www.thaigold2.info/Board/index.php?/topic/120-%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99-thaigold2/page__st__3045

ถูกแก้ไข โดย ทองใหม่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน วันที่ 18 สิงหาคม

วันพุธที่ 18 สิงหาคม 2010 เวลา 10:12 น. กอง บก.ออนไลน์ ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

 

หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ.ไทยออยล์ รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันวันที่ 18 สิงหาคม 2553 ราคาน้ำมันเด้งกลับ จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและเงินดอลลาร์สหรัฐ

 

 

 

ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ก.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 0.53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาเรล ปิดที่ 75.77 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจาก

+ ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น 1% ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 2 เท่าส่งผลโดยตรงต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯโดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับเพิ่ม 103.84 จุด มาอยุ่ที่ 10,405.85 จุดประกอบกับผลประกอบการของบริษัท วอลมาร์ท และ โฮมดีโป้ ออกมาดีกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้

 

 

+ ตัวเลขยอดขอสร้างบ้านใหม่เดือนกรกฎาคมปรับเพิ่มขึ้น 1.7% ซึ่งดีกว่าตัวเลขเดือนมิถุนายนที่ปรับลดลงถึง 8.7% ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯมากขึ้น

+ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร เนื่องจากประเทศไอร์แลนด์และสเปนประสบความสำเร็จในการออกพันธบัตรรัฐบาลทำให้ตลาดมีความมั่นใจในเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปมากขึ้น

- รอยเตอร์คาดการณ์ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังว่าจะปรับลดลง 1.0 ล้านบาร์เรล ในขณะที่หลังปิดตลาด ทางสถาบันปิโตรเลียมของสหรัฐฯ (API)

ออกมาประกาศตัวเลขปริมาณน้ำมันคงคลัง ดังนี้

(หน่วย: ล้านบาร์เรล) API รอยเตอร์โพล

น้ำมันดิบคงคลัง เพิ่มขึ้น 5.9 ลดลง 1.0

น้ำมันเบนซินคงคลัง เพิ่มขึ้น 2.0 ลดลง 0.1

น้ำมันดีเซลคงคลัง เพิ่มขึ้น 2.1 เพิ่มขึ้น 1.5

 

 

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 1.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 76.93 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 0.42 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 72.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์:

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากมีการนำเข้าของอินโดนีเซียที่ปรับเพิ่มขึ้น เพื่อเก็บสำรองน้ำมันไว้สำหรับช่วงวันหยุดในเดือน ก.ย.

ราคาน้ำมันดีเซล ไม่เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้าซึ่งปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีอุปทานในภูมิภาคในระดับสูงเป็นผลมาจากการที่โรงกลั่นในภูมิภาคผลิตได้เต็มที่

 

 

ทิศทางราคาน้ำมันระยะสั้น

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 74 - 80 เหรียญสหรัฐฯ จับตาปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังประจำสัดาห์ของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA)

 

ปัจจัยที่น่าจับตามอง

 

• ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ ได้แก่

วันพุธ : ปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปคงคลังประจำสัดาห์ของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA)

วันพฤหัสบดี : ยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงาน, ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ และ ผลสำรวจดัชนีภาคอุตสาหกรรมของรัฐฟิลาเดลเฟีย

วันศุกร์ : -

 

• ฤดูกาลเฮอริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติกที่จะเริ่มมีความรุนแรงขึ้นในช่วงตั้งแต่กลางเดือน ส.ค. ไปจนถึงเดือน ต.ค. ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบ

ถูกแก้ไข โดย ทองใหม่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หยิบเงินหยิบทอง : บล.กิมเอ็ง

วันพุธที่ 18 สิงหาคม 2010 เวลา 09:50 น. บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

กลยุทธ์วันนี้ 870 +

ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบบริเวณ 860 จุด +/- เป็นวันที่ 3 เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียและยุโรป เพราะต่างรอดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ คืนวานนี้ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิทั้ง 3 ตลาดพร้อมกันเป็นวันที่ 2

 

สำหรับมุมมองต่อ SET INDEX วันนี้เชื่อว่าจะไต่ระดับขึ้นทดสอบ 870 จุด หลัง SET INDEX ปิดโดดถึงกว่า 5 จุดในช่วงนาทีสุดท้ายของการซื้อขาย นำโดย PTT – PTTEP ขณะที่ DJIA – NYMEX คื่นวานนี้เกิดการฟื้นตัวขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 6 วันทำการ กลายเป็นจุดที่สร้างบรรยากาศการลงทุนให้แก่ตลาดหุ้นในเอเชียเช้าวันนี้ รวมถึงตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ KimEng เชื่อว่าหุ้น PTT น่าจะเป็นกลุ่มนำตลาดในรอบนี้

 

 

 

ทั้งนี้มีปัจจัยเก็งกำไรอยู่ที่วันจันทร์ 23 ส.ค. จะมีการพิจารณาโครงการในมาบตาพุด ซึ่งหากโครงการโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ไม่เข้าข่ายโครงการอันตราย เท่ากับว่าเป็นการปลดล็อกหุ้นอย่างแท้จริง บวกกับทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เชื่อว่าจะเป็นขาขึ้น และค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินต่างๆ สภาพคล่องทางการเงินที่ล้นในระบบ จะเป็นตัวผลักดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างกลุ่มพลังงานที่พักฐานมาตลอดกว่า 2 เดือน

 

 

 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng เสนอ “ถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ” รวมถึง “ทยอยสะสม PTT/ PTTCH”

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้นักลงทุน “เตรียมพิจารณาปิดสถานะ Long ใน S50U10 บริเวณ 595 จุดหรือสูงกว่า และถือเงินสด” Stop Loss: S50U10 < 580 จุด ปิด Long และ เปิด Short

Portfolio Hold: CPF/ TASCO / MCOT/ BEC/ BBL/ PTT/PTTEP/ BANPU/ TPC/ MINT/ THAI/ AOT/ MAJOR/ BTS/ TVO/ AP/ CPALL/ HEMRAJ / TTA/ HANA/ THCOM

Accumlative Buy: PTT/ PTTCH

Technical View แนวรับ 860 จุด, 845-850 จุด, 830 จุด และ 820-822 จุด ส่วนแนวต้าน 865-870 จุด และ 886-888 จุด ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อขายระยะสั้น หรือสะสมหุ้นพื้นฐานดีนอกกลุ่มหลัก”

 

 

 

-Strategy Today

 

ตลาดหุ้นไทยวานนี้ถือเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 860 จุด +/- เป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในเอเชียและยุโรปที่แม้ว่าจะฟื้นตัวขึ้นจากวันก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในลักษณะ Sideways และ DJIA Futures – NYMEX จะขยับขึ้นอย่างโดดเด่น ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายก็ตาม แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างรอดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ คืนวานนี้ เพราะมีหลายรายการที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม SET INDEX ปิดบวกถึง 5.23 จุด หรือ 0.61% มาอยู่ที่ 865.78 จุด เมื่อมีแรงซื้อหุ้น PTT – PTTEP ในช่วง ATC เข้ามาอย่างโดดเด่น ขณะที่มูลค่าการซื้อขาย 28,150 ล้านบาท

 

 

 

กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดวานนี้ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี +3.74%, กลุ่ม Packaging +1.79% และกลุ่มธนาคาร +1.65% ขณะที่กลุ่มหลักอย่างกลุ่มพลังงาน +0.52%, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ -0.46% และกลุ่ม ICT -0.31%

 

ทิศทาง SET INDEX วันนี้คาดว่าจะขยับขึ้นทดสอบ 870 จุด ซึ่งยังไม่น่าจะมีแรงส่งที่มากเพียงพอต่อการผลักดัน SET INDEX แต่ก็เป็นการเปลี่ยนมุมมองต่อ SET INDEX เป็นลักษณะ Sideways-to-Sideways-Up อีกครั้ง หลังจากที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบมาตลอด 3 วันทำการที่ผ่านมา ทั้งนี้ KimEng เสนอให้นักลงทุนติดตามการเคลื่อนไหวของปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้

 

1.ราคาหุ้น PTT – PTTEP ในช่วงสั้น หากยืนเหนือ 260 / 150 บาท น่าจะเป็นสัญญาณบวก: หากประเมินในช่วงสั้น วันที่ 21 ส.ค.นี้ออสเตรเลียจะมีการเลือกตั้ง เมื่อได้การเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง การจัดตั้งรัฐบาล และการหยิบยกประเด็นของมอนทารามาพิจารณา ย่อมใกล้เข้ามาแล้ว ซึ่งจะกลายเป็นจุดที่ปลดล็อก UPSIDE Gain ของหุ้น PTTEP ด้าน PTT ราคาหุ้นถูกกดดันจากรณีมาบตาพุด วันที่ 23 ส.ค.นี้ จะมีการพิจารณาโครงการอันตรายในเขตมาบตาพุด หากมีความชัดเจนในวันจันทร์หน้านี้ ย่อมทำให้ราคาหุ้น PTT กลับมาเคลื่อนไหวอย่างโดดเด่นได้เช่นกัน ดังนั้นหากราคาหุ้นทั้ง 2 ไต่ระดับขึ้นในช่วงสั้นๆ นี้ น่าจะเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดหุ้นไทย

 

 

 

2.คาดสถาบันภายในประเทศน่าจะชะลอการขายลง: หลังตลอด 13 วันที่ผ่านมา สถาบันภายในประเทศขายสุทธิไปทั้งสิ้น 10,390 ล้านบาท โดยนักลงทุนกลุ่มนี้เริ่มทยอยขาย ณ SET INDEX 850 จุด ซึ่งรอบนี้ SET INDEX ทำระดับปิดสูงสุด 875.18 จุด และล่าสุด SET INDEX วานนี้ปิดที่ 865.78 จุด นั้นย่อมหมายความว่า แรงขายของนักลงทุนกลุ่มนี้ไม่สามารถกดดัน SET INDEX ให้ลงมาต่ำกว่า ณ ระดับแรกที่เริ่มทยอยขายได้ และเป็นที่น่าสนใจว่านักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิลดลงเหลือ 348 ล้านบาทวานนี้ ซึ่งอาจบ่งชี้ได้ว่าการปรับน้ำหนักการลงทุนหรือการขายทำกำไรช่วงสั้น น่าจะใกล้เสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน

 

 

 

3.แต่หากกลุ่มพลังงานกลับมาเป็นกลุ่มนำตลาดได้อีกครั้ง แรงสะสมของนักลงทุนสถาบันจะกลายเป็นจุดผลักดัน SET INDEX: เพราะตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ เป็นเป้าหมายหลักของการสะสมหุ้นของสถาบันภายในประเทศ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติเช่นกัน แต่หากแรงกดดันของ PTT – PTTEP ผ่อนคลายลง บวกกับทิศทางราคาน้ำมันดิบที่เป็นบวก ย่อมทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้จำเป็นต้องกลับมาเร่งสะสมหุ้นอีกครั้ง และผลักดัน SET INDEX

 

4.ติดตามค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง: เพราะหากมีทิศทางไปในทางแข็งค่าต่อเนื่อง ย่อมบ่งชี้ความเป็นไปได้ว่ากระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าตลาดเงิน – ตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง บวกกับมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย การเกินดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง และทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น น่าจะเป็นจุดที่ทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าเก็งกำไรทั้งระยะสั้นและกลาง

 

ด้านปัจจัยภายในป

 

ระเทศวันนี้จนถึงวันที่ 20 ส.ค. คือ การประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่างงบประมาณประจำปี 2554 โดยจะมีการลงคะแนนวันที่ 20 ส.ค. แน่นอนว่าปัจัยดังกล่าวอาจไม่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงสั้นนี้ แต่ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพรัฐบาล และแนวโน้มการใช้จ่ายของรัฐบาลในปี 2554 อาจกลายเป็นจุดที่ต้องคำนึงถึงเช่นกัน

 

 

 

ภาพรวมเชิงกลยุทธ์ KimEng ยืนยันให้นักลงทุน “ถือพอร์ตการลงทุน” ต่อไป เพราะเชื่อว่า SET INDEX จะขึ้นไปทดสอบ 886-900 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ PTT – PTTEP ที่มีประเด็นกดดันราคาหุ้นอยู่ไม่น้อย ทั้งกรณีมาบตาพุดที่น่าจะได้เห็นภาพชัดเจนในวันที่ 23 ส.ค. และโครงการมอนทาราหลังการเลือกตั้งในออสเตรเลียวันที่ 21 ส.ค.

 

 

 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำให้นักลงทุน “ทยอยสะสม” หุ้นต่อไปนี้

1.PTT: ราคาปิด 257 บาท ราคาเหมาะสม 300.00 บาท

a.ประเด็นการเก็งกำไรที่น่าสนใจคือ วันที่ 23 ส.ค.นี้จะมีการประกาศรายชื่อ 18 โครงการอันตรายในเขตมาบตาพุด ซึ่งทาง PTT ยืนยันว่าโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 มีความปลอดภัยสูง จึงไม่น่าเข้าข่ายความเสี่ยงดังกล่าว

b.NVDR ทยอยสะสม PTT อย่างต่อเนื่องและโดดเด่นในช่วงเกือบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ย่อมตีความได้ว่า ความเป็นไปที่ที่โรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 อาจไม่เข้าข่ายความเสี่ยงดังกล่าวได้เช่นกัน

c.หากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ไม่เข้าข่ายโครงการอันตราย เชื่อว่าจะเป็นการปลดล็อกความกังวลต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของ PTT ในปี 2554 ลงอย่างสิ้นเชิง และจะทำให้ราคาหุ้นกลับมาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาตามปัจจัยพื้นฐานได้อีกครั้ง

d.KimEng มีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ด้วยแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ และการเกิด Technical Rebound ของราคาน้ำมันหลังปรับฐานลงแรงในช่วงก่อนหน้านี้

 

 

 

2.PTTCH: ราคาปิด 99.25 บาท ราคาเหมาะสม 111 บาท

a.สืบเนื่องจากการประกาศรายชื่อ 18 โครงการอันตรายในเขตมาบตาพุด ซึ่งโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ของ PTT มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่เข้าข่ายดังกล่าว หากเป็นไปตามคาด ย่อมเป็นผลบวกต่อ PTTCH ทางอ้อมด้วยเช่นกัน เพราะในส่วนต่อขยายของ PTTCH นั้นจะมี Feed Stock ก๊าซจากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 เข้ามาผลิตปิโตรเคมีได้มากขึ้นในปี 2554

 

What will DJIA move tonight? คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ถูกแก้ไข โดย ทองใหม่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ที่ถามนี่ผมรู้เลยไม่ได้อ่านต้นกระทู้ของวันนี้ ฮาฮา ตามนี่ครับ

http://www.thaigold2.info/Board/index.php?/topic/120-%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99-thaigold2/page__st__3045

 

อายจังเลย !32 ไม่ได้อ่านต้นกระทู้จริงๆๆด้วยคะ เปิดแต่ 2 หน้าสุดท้าย !17 วันหลังหนูจะไล่เปิดตั้งแต่" อรุณสวัสดิ์"ของอ.คะ เลยลำบากอ.เอามาโพสใหม่ ขอโทษอ.ทองใหม่ด้วยน๊าค๊า !_087

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผลสำรวจชี้นักลงทุนลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐฯ - กังวลเศรษฐกิจชะลอ

 

Posted on Wednesday, August 18, 2010

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (อังคารที่ 17 ส.ค. 53)

• ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน (ก.ค.) อยู่ที่ระดับ 546,000 ยูนิต

• การขออนุญาตก่อสร้าง (ก.ค.) อยู่ที่ระดับ 565,000 ยูนิต

• ดัชนีราคาผู้ผลิต หรือ PPI (ก.ค.) เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้า

• ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (ก.ค.) เพิ่มขึ้น 1.0% จากเดือนก่อนหน้า

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พุธที่ 18 ส.ค. 53)

• ตัวเลขน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA

 

 

ผลสำรวจชี้นักลงทุนลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐฯ - กังวลเศรษฐกิจชะลอ

 

นักลงทุนปรับลดพอร์ทการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในเดือนนี้ ท่ามกลางความกังวลว่าเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกอาจกำลังอ่อนแรงลง

 

ผลสำรวจนักลงทุนทั่วโลกล่าสุดที่จัดทำโดย Bank of America Merrill Lynch Global Research พบว่า 14% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มีมุมมองในเชิงลบ หรือ “underweight” ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับที่เคย “overweight” ด้วยสัดส่วน 7% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งถือว่าเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2008 โดยนักลงทุนหันกลับมาให้ความสนใจในตลาดเกิดใหม่ ยุโรป รวมถึงที่อังกฤษ

 

นาย Patrik Schowitz นักกลยุทธ์ตลาดหุ้นที่ดูแลภาคพื้นยุโรปของ Bank of America Merrill Lynch กล่าวว่า ในที่ช่วงที่ผ่านมา มีความชัดเจนที่สหรัฐฯ เป็นจุดศูนย์รวมความกังวลที่จะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ในทางกลับกัน ตลาดเกิดใหม่ก็กลับกลายมาเป็นจุดสนใจที่นักลงทุนต่างคาดการณ์ถึงแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว

 

ที่น่าสนใจก็คือ คำถามในเรื่องแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งก็มีนักลงทุนเพียง 5% ที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะโตในอัตราที่เร่งตัวมากขึ้น เมื่อเทียบกับ 42% ในการสำรวจเมื่อ 3 เดือนก่อน แม้ว่านักลงทุนส่วนใหญ่ถึงกว่า 78% จะไม่ได้คาดการณ์ว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยเป็นรอบที่สองในเร็วๆ นี้

 

ทางด้านนาย Michael Hartnett ที่เป็นหัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดหุ้นจากสังกัดเดียวกัน ก็บอกว่า นักลงทุนมองปัจจัยลบในตลาดจีนและยุโรปน้อยลง แต่กลับไปห่วงถึงแนวโน้มของตลาดญี่ปุ่นและสหรัฐฯ มากกว่า นั่นก็หมายถึง หากมีข่าวดีที่มากระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือที่เกี่ยวกับสถานะนโยบายการคลัง ก็จะถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์ทางด้านบวกให้กับนักลงทุนได้เช่นกัน

 

นักลงทุนกระจายพอร์ทหุ้นไปที่ตลาดยุโรปมากขึ้น ภายหลังความกังวลที่มีต่อวิกฤติหนี้ของประเทศในภูมิภาคค่อยๆ จางลง โดยนักลงทุนให้มุมมอง “overweight” เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

 

FED เผยแบงก์พาณิชย์ผ่อนมาตรฐานปล่อยกู้ให้ SMEs

 

ผลการสำรวจธุรกรรมการปล่อยเงินกู้ของธนาคารในสหรัฐ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่า ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยเงินกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยธนาคารที่ผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยเงินกู้มากเป็นพิเศษคือธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่

 

ที่ผ่านมา ธนาคารในสหรัฐมักผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยเงินกู้ให้กับริษัทขนาดใหญ่ แต่รายงานฉบับล่าสุดบ่งชี้ว่าธนาคารเริ่มผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทขนาดเล็กกว่าด้วย

 

ข้อมูลดังกล่าวอาจเป็นข่าวดีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก หลังจากบริษัทกลุ่มนี้ได้ร้องเรียนให้มีการปล่อยเงินกู้มากขึ้น เพราะถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย จนทำให้บริษัทเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยากและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ

 

เฟดระบุว่า นับเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่พบว่าธนาคารพาณิชย์สหรัฐผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กที่มียอดขายต่อปีไม่ถึง 50 ล้านดอลลาร์

 

นอกจากนี้ รายงานของเฟดระบุว่า ธนาคารในหลายภูมิภาคของสหรัฐมีอัตราการปล่อยเงินกู้มากขึ้นเนื่องจากธนาคารต้องเผชิญกับการแข่งขันสูง โดยธนาคารขนาดใหญ่เริ่มลดมาตรฐานการปล่อยเงินกู้

 

อย่างไรก็ตาม ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงเผชิญกับปัญหาความต้องการเงินกู้ลดน้อยลง

 

นอกจากนี้ ผลการสำรวจของเฟดพบว่า ธนาคารขนาดใหญ่หลายแห่งในสหรัฐยังผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยเงินกู้ให้กับผู้บริโภคหลายกลุ่ม และยังผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยเงินกู้สำหรับลูกค้าชั้นดี อีกทั้งยังเพิ่มช่องทางการปล่อยเงินกู้ให้กับผู้บริโภคด้วย

 

เมื่อเดือนที่แล้ว คณะกรรมการเฟดได้จัดการประชุมเพื่อหารือกันเกี่ยวกับปัญหาที่ธุรกิจขนาดเล็กเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยาก

 

นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดกล่าวว่า ภาคการเงินของสหรัฐกำลังเผชิญช่องว่างระหว่างบริษัทขนาดใหญ่ที่มีกระแสเงินสดหมุนเวียนและผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

 

ขณะที่บริษัทขนาดเล็กเผชิญกับความยากลำบากในการกู้ยืมเงิน ซึ่งความเหลื่อมล้ำดังกล่าวเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามคาด และอาจทำให้เศรษฐกิจถึงกับตกอยู่ในภาวะชะงักงัน

 

ทั้งนี้ เบอร์นันเก้ประกาศใช้มาตรการกดดันให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มปริมาณการปล่อยเงินกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กภายในประเทศ โดยระบุว่าการเปิดทางให้ธุรกิจประเภทดังกล่าวเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น จะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและจะช่วยลดอัตราว่างงานลงด้วย

 

 

ความเชื่อมั่นนักลงทุนเยอรมนีต่ำสุดรอบ 16 เดือน

 

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเยอรมนีประจำเดือนสิงหาคม ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน เนื่องจากเกรงว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว อาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งพึ่งพาการส่งออกสูง

 

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อชี้วัดแนวโน้มของนักลงทุนสำหรับช่วงเวลา 6 เดือนข้างหน้า ร่วงลงมาอยู่ที่ 14 จุด จากระดับ 21.2 จุดในเดือนกรกฎาคม

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีรายงานว่า เศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของยุโรป ขยายตัว 2.2% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ และเป็นสถิติที่ขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 20 ปี

 

ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัวแข็งแกร่งในไตรมาส 2 มาจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนยอดส่งออกของเยอรมนีดีดตัวขึ้นด้วย โดยยอดส่งออกเดือนมิ.ย.ของเยอรมนีพุ่งขึ้น 29% เมื่อเทียบกับเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว

 

ทั้งนี้ ยอดการส่งออกไปยังประเทศนอกกลุ่มสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น 37% และการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรเพิ่มขึ้น 22%

 

อย่างไรก็ตาม ZEW ระบุว่า การที่เยอรมนีพึ่งพาการส่งออกอย่างมากนั้น ถือเป็นความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจในต่างประเทศมีความอ่อนแอ โดยมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐและจีนกำลังชะลอตัว

 

สถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ความต้องการในประเทศเหล่านั้นลดลง และส่งผลกระทบต่อการส่งออกของเยอรมนีตามไปด้วย

 

ทั้งนี้ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานในสหรัฐร่วงลงเกินคาดในเดือนมิ.ย. ขณะที่การผลิตเดือนก.ค.ของจีนชะลอตัวที่สุดในรอบ 17 เดือน

 

นอกจากนี้ รัฐบาลยุโรปหลายประเทศก็กำลังลดงบประมาณรายจ่ายเพื่อหั่นยอดขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูง โดยปัจจัยเช่นนี้อาจจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร 16 ประเทศ ซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกใหญ่สุดของเยอรมนี

 

 

อังกฤษเผยอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวแตะ 3.1%

 

สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่ใช้วัดภาวะเงินเฟ้อ ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ 3.1% ในเดือนกรกฎาคม จากระดับ 3.2% ในเดือนมิถุนายน แต่ยังสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ระดับ 2% ของธนาคารกลางอังกฤษ

 

สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ที่ไม่รวมราคาอาหาร บุหรี่ แอลกอฮอล์ และพลังงาน ร่วงลงมาอยู่ที่ 2.6% จากระดับ 3.1% ในเดือนมิ.ย.

 

ขณะที่ดัชนีราคาผู้ค้าปลีก (RPI) ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ชี้วัดเงินเฟ้ออีกทางหนึ่งโดยรวมต้นทุนเกี่ยวกับบ้าน ปรับตัวลงแตะ 4.8% ในเดือนก.ค. จากระดับ 5% ในเดือนมิ.ย.

 

CPI เป็นดัชนีหลักที่ธนาคารกลางอังกฤษใช้ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ส่วน RPI เป็นดัชนีที่ใช้ในการเจรจาเรื่องค่าจ้าง

 

สำนักงานสถิติฯระบุว่า ราคาเสื้อผ้าและรองเท้าซึ่งร่วงลง 4.9% รวมถึงค่าขนส่งที่ลดลง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาผู้บริโภคชะลอตัว

 

อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อยังถือว่าอยู่ในระดับสูง เพราะค่าอาหารที่แพงกว่าเมื่อปีที่แล้ว

 

ทั้งนี้ กฎหมายของอังกฤษกำหนดให้ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษต้องเขียนหนังสือชี้แจงถึงรมว.คลังทุกๆ 3 เดือน ถ้าอัตราเงินเฟ้ออยู่เหนือระดับเป้าหมาย ซึ่งที่ผ่านมาในปีนี้ เมอร์วิน คิง ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ได้เขียนหนังสือชี้แจงถึงรมว.คลังมาแล้วเมื่อเดือนก.ค. และ พ.ค. โดยคิงได้ส่งหนังสือถึงนายจอร์จ ออสบอร์น รมว.คลังเมื่อวานนี้

 

 

ธนาคารกลางออสเตรเลียมั่นใจตรึงดอกเบี้ยสอดคล้องกับเศรษฐกิจ

 

เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของธนาคารกลางออสเตรเลียเผย การตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมที่ 4.5% เป็นเดือนที่ 3 ในการประชุมเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นมีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

 

เมื่อพิจารณาจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศซึ่งยังไม่อยู่ในระดับที่จะกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ขณะที่หลายฝ่ายยังไม่มั่นใจต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก

 

รายงานหลังการประชุมของธนาคารกลางออสเตรเลียที่เผยแพร่วานนี้ ระบุว่า ตลาดเริ่มผ่านพ้นสถานการณ์เลวร้ายบางอย่างไปได้แล้ว แต่ถึงกระนั้นยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มมากเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่านายเกลน สตีเวนส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลียจะยังไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยจนถึงปีหน้า

 

หลังจากที่รุกขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง 6 ครั้งในระหว่างเดือนต.ค.2552 - พ.ค.2553 จากระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปีที่ 3% มาอยู่ที่ระดับ 4.5% ในปัจจุบัน

 

นอกจากนี้ ธนาคารกลางกล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีสัญญาณบ่งชี้ให้ต้องเพิ่มระดับความระมัดระวังในภาคครัวเรือน ซึ่งภาวะดังกล่าวอาจช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออันเป็นผลภาคอุตสาหกรรมเหมืองของออสเตรเลียที่กำลังเฟื่องฟูจากอานิสงส์ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศจีน

 

ทั้งนี้ การใช้จ่ายภาคครัวเรือนของออสเตรเลียที่เพิ่งดีดตัวขึ้นเมื่อปีก่อน ประกอบกับภาวะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์แพงขึ้นล้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้ธนาคารกลางเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงก่อนหน้านี้

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมามีรายงานที่ระบุว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคและการขยายตัวของราคาสินค้าเริ่มชะลอตัวลง เช่นเดียวกับความต้องการขอสินเชื่อที่ลดน้อยลง

 

 

นายกฯญี่ปุ่นถกผู้ว่า BOJ ถึงทิศทางเงินเยนสัปดาห์หน้า

 

นายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คัง ของญี่ปุ่น จะพบกับนายมาซาอากิ ชิรากาวะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ในสัปดาห์หน้า เพื่อพูดคุยเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงเรื่องการแข็งค่าของเงินเยนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

 

การประชุมดังกล่าวจะมีขึ้นท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่าหน่วยงานด้านการเงินของญี่ปุ่นอาจเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดกั้นเงินเยนที่กำลังแข็งค่าอย่างมากเมื่อเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินสกุลหลักอื่น ๆ ซึ่งการแข็งค่าของเยนนั้นเป็นผลเสียต่อภาคการส่งออกของญี่ปุ่น หลังจากที่ญี่ปุ่นไม่ได้เข้าแทรกแซงตลาดมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2547

 

นายคังและนายชิรากาวะพบกันครั้งสุดท้ายในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยรัฐบาลและธนาคารกลางเห็นพ้องต้องกันว่าควรมีการพูดคุยกันโดยตรงเป็นประจำสม่ำเสมอ

 

นอกจากเรื่องเงินเยนแข็งค่าแล้ว คาดว่านายกฯและรมว.คลังญี่ปุ่นน่าจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ

 

หลังจากที่ข้อมูลจีดีพีเดือนเมษายน-มิถุนายนซึ่งได้รับการเปิดเผยเมื่อต้นสัปดาห์ ระบุว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวเพียง 0.4% ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดการคาดการณ์ไว้

 

รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาใช้มาตรการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวต่อเนื่อง

 

ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นกำลังถูกทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านกดดันให้ผ่อนปรนนโยบายการเงินเพิ่มเติมอีกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

 

นักวิทยาศาสตร์ยืนยันมีน้ำมันตกค้างในอ่าวเม็กซิโก 79%

 

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า น้ำมันที่รั่วไหลจากบ่อน้ำมันมาคอนโดของบริษัทน้ำมันบีพียังคงตกค้างอยู่ในอ่าวเม็กซิโกราว 79% สวนทางกับข้อมูลที่รัฐบาลโอบามาเผยว่าน้ำมันหายไปมากแล้ว

 

คณะนักวิทยาศาสตร์สรุปในบันทึกลงวันที่ 11 ส.ค. 53 ซึ่งเปิดเผยต่อสาธารณะเมื่อต้นสัปดาห์ว่า น้ำมันส่วนมากที่รั่วไหลมาจากบ่อน้ำมันมาคอนโดในช่วงวันที่ 20 เม.ย. – 15 ก.ค. 53 ยังคงตกค้างอยู่ใต้ผิวน้ำ

 

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าได้ใช้ช้อมูลจากการศึกษาของรัฐบาล แต่ได้ผลสรุปออกมาต่างกัน โดยทางรัฐบาลรายงานเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา น้ำมันที่รั่วไหลเกือบ 3 ใน 4 ได้ระเหยไปหรือกำลังจะถูกแบคทีเรียกินไปจนหมดในอีกไม่นานนี้

 

ขณะที่เจน ลุบเชนโก หัวหน้าศูนย์บริหารจัดการมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐ กล่าวว่าน้ำมันเกินครึ่งหายไปเรียบร้อยแล้ว

 

"รัฐบาลพูดเหมือนทุกอย่างจบแล้ว" เดน่า เวตเซล นักเคมีจากศูนย์ทดลองทางทะเล Mote Marine Laboratory ในซาราโซตา ฟลอริด้า กล่าว "แต่สำหรับเรา เรื่องมันเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น"

 

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่ามีน้ำมันมากถึง 79% ตกค้างอยู่ในอ่าวเม็กซิโกกล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวยังไม่นับรวมถึงน้ำมันที่ถูกซัดเข้าไปในพื้นที่ชุ่มน้ำตามชายฝั่ง เนื่องจากน้ำมันดังกล่าววัดปริมาณได้ยาก

 

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์อีกส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าน้ำมันจำนวนมากได้หายไปแล้วตามที่รัฐบาลให้ข้อมูล

 

 

อากาศร้อนทำคนญี่ปุ่นเสียชีวิตแล้วกว่า 130 ราย

 

รัฐบาลญี่ปุ่นแถลง อุณหภูมิที่สูงขึ้นในช่วงหน้าร้อนของแดนอาทิตย์อุทัยทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 132 ราย และทำให้มีผู้ล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการลมแดดอีกกว่า 30,000 คน

 

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ใจกลางกรุงโตเกียว และสถานที่อื่นๆ ของญี่ปุ่นมีอุณหภูมิขึ้นสูงแตะ 37 องศาเซลเซียส ขณะที่พระอาทิตย์ยังคงแผดเผาอย่างรุนแรงต่อเนื่อง

 

ยูกิเอะ อิโต เจ้าหน้าที่ของสำนักงานจัดการเพลิงไหม้และภัยพิบัติเตือนว่า การอยู่นอกบ้านท่ามกลางคลื่นความร้อนสูงเป็นเวลานานค่อนข้างอันตราย และไม่ควรประเมินผลกระทบของคลื่นความร้อนต่ำเกินไป

 

สำนักงานจัดการเพลิงไหม้และภัยพิบัติเผยว่า ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 15 สิงหาคมที่ผ่านมามีผู้ป่วยถูกส่งเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการลมแดดทั่วประเทศถึง 31,579 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่หน่วยงานแห่งนี้เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2551 โดยระบุว่าผู้ป่วยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป

 

สำนักงานจัดการเพลิงไหม้ และภัยพิบัติยังเสริมว่า มีรายงานที่ได้รับการยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิตหลังจากถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้วอย่างน้อย 132 คน และคาดว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีกในเวลาต่อมา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อายจังเลย !32 ไม่ได้อ่านต้นกระทู้จริงๆๆด้วยคะ เปิดแต่ 2 หน้าสุดท้าย !17 วันหลังหนูจะไล่เปิดตั้งแต่" อรุณสวัสดิ์"ของอ.คะ เลยลำบากอ.เอามาโพสใหม่ ขอโทษอ.ทองใหม่ด้วยน๊าค๊า !_087

ไม่เป็นไรจ้า หามิได้ ฮาฮา :rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปภาวะ Gold Futures By GT Wealth Management 18 ส.ค. 53 (ภาคเช้า)

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- พุธที่ 18 สิงหาคม 2553 12:11:57 น.

กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--GT Wealth Management

ราคาทองคำในตลาดโลกช่วงเช้ายังคงทรงตัวในกรอบระหว่าง 1,225-1,227 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ หลังปรับตัวลงเล็กน้อยในช่วงคืนที่ผ่านมา ราคาปรับตัวลดลงหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มมีสัญญาณบวกเพิ่ม โดยเฉพาะดัชนีราคาผู้ผลิต ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม แต่หลังจากราคาปรับตัวลดลงยังคงมีแรงซื้อกลับจากความไม่มั่นใจที่ยังคงทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น โดยกองทุน SPDR รายงานยอดการถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 7.9 ตัน ทำให้มีระดับการถือครองที่ระดับ 1,294.60 ตัน ปริมาณการซื้อขายทองคำล่วงหน้าในตลาดนิวยอร์กไม่สูงมากนักมีประมาณ 55,656 สัญญา ส่วนค่าเงินบาทเช้าปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยใกล้ระดับ 31.67 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ โกลด์ฟิวเจอร์สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนสิงหาคม (GFQ10) เปิดตลาดที่ราคาเดียวกับราคาปิดในช่วงวันอังคาร (17 ส.ค. 53) โดยเปิดที่ระดับราคา 18,500 บาท ราคาทองคำที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำวันนี้ ราคาเสนอซื้อ 18,300 บาท ราคาเสนอขาย 18,400 บาท

 

ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนบริษัทจีที เวลธ์แมเนจเมนท์ จำกัดกล่าวว่า แนวโน้มโดยรวมเรายังคงมองทองคำในเชิงบวก โดยปัจจัยด้านความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงเป็นแรงกระตุ้นให้มีการสะสมสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่ม ซึ่งสิ่งที่ต้องจับตาในช่วงถัดไปคือประเด็นความผันผวนของค่าเงินในอนาคต โดยดอลล่าร์มีแรงกดดันสำคัญจากค่าเงินยูโรที่แม้จะมีการปรับตัวดีขึ้นแต่ความไม่แน่นอนในอนาคตอาจจะส่งให้ยูโรกลับมาผันผวนอีกครั้ง ซึ่งการถูกบริษัทจัดอันดับเครดิตปรับลดอันดับความน่าเชื่ออาจจะเป็นสัญญาณหนึ่งที่จะทำให้ความผันผวนกลับมาอีกครั้ง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับคุณทองใหม่ ได้บทวิเคราะห์ ทั้ง ทอง และ หุ้นไปในตัวเองเลย สู้ดยอดดดดดดดด ตามอ่านเงียบๆ ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปภาวะ Gold Futures By GT Wealth Management 18 ส.ค. 53 (ภาคเช้า)

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- พุธที่ 18 สิงหาคม 2553 12:11:57 น.

กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--GT Wealth Management

ราคาทองคำในตลาดโลกช่วงเช้ายังคงทรงตัวในกรอบระหว่าง 1,225-1,227 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ หลังปรับตัวลงเล็กน้อยในช่วงคืนที่ผ่านมา ราคาปรับตัวลดลงหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มมีสัญญาณบวกเพิ่ม โดยเฉพาะดัชนีราคาผู้ผลิต ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม แต่หลังจากราคาปรับตัวลดลงยังคงมีแรงซื้อกลับจากความไม่มั่นใจที่ยังคงทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น โดยกองทุน SPDR รายงานยอดการถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 7.9 ตัน ทำให้มีระดับการถือครองที่ระดับ 1,294.60 ตัน ปริมาณการซื้อขายทองคำล่วงหน้าในตลาดนิวยอร์กไม่สูงมากนักมีประมาณ 55,656 สัญญา ส่วนค่าเงินบาทเช้าปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยใกล้ระดับ 31.67 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ โกลด์ฟิวเจอร์สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนสิงหาคม (GFQ10) เปิดตลาดที่ราคาเดียวกับราคาปิดในช่วงวันอังคาร (17 ส.ค. 53) โดยเปิดที่ระดับราคา 18,500 บาท ราคาทองคำที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำวันนี้ ราคาเสนอซื้อ 18,300 บาท ราคาเสนอขาย 18,400 บาท

 

ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนบริษัทจีที เวลธ์แมเนจเมนท์ จำกัดกล่าวว่า แนวโน้มโดยรวมเรายังคงมองทองคำในเชิงบวก โดยปัจจัยด้านความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงเป็นแรงกระตุ้นให้มีการสะสมสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่ม ซึ่งสิ่งที่ต้องจับตาในช่วงถัดไปคือประเด็นความผันผวนของค่าเงินในอนาคต โดยดอลล่าร์มีแรงกดดันสำคัญจากค่าเงินยูโรที่แม้จะมีการปรับตัวดีขึ้นแต่ความไม่แน่นอนในอนาคตอาจจะส่งให้ยูโรกลับมาผันผวนอีกครั้ง ซึ่งการถูกบริษัทจัดอันดับเครดิตปรับลดอันดับความน่าเชื่ออาจจะเป็นสัญญาณหนึ่งที่จะทำให้ความผันผวนกลับมาอีกครั้ง

 

สวัสดีค่ะ..จารย์ ข้อมูลตรึมมม.. !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กราฟSET50เมื่อวานนี้กราฟไม่เดิน สงสัยบริษัทที่ให้บริการเว็บขัดข้องหรือไงไม่ทราบ กราฟเพิ่งมาเดินเอาช่วงเที่ยงนี่เองครับ สัญญาณ1ชม.ยังคงบอกว่าขึ้นอยู่ ดังภาพ แต่มีสัญญาณแนวต้านด้านบนบ้างแล้วครับ

post-237-013678500 1282110657.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ คุณทองใหม่ ได้ความรู้เพิ่มขึ้นทุกวัน

+1 เหมือนเดิมค่ะ :D

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ คุณทองใหม่ ได้ความรู้เพิ่มขึ้นทุกวัน

+1 เหมือนเดิมค่ะ :D

post-237-041571800 1282111854.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กลับมาอ่านข้อมูลแล้วกร๊าบบ ขอบคุณมากๆกร๊าบบบบบบบบบบบ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วายแอลจีรุกบริการเทรดทองคำแท่งถึงเที่ยงคืน

วันพุธที่ 18 สิงหาคม 2010 เวลา 13:36 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

User Rating: / 0

แย่ดีที่สุด

 

 

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งอันดับ 1 ของไทย เปิดเผยว่า ในเดือนสิงหาคมนี้ บริษัทฯ ได้เปิดการให้บริการใหม่พื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ โดยล่าสุดได้ขยายบริการรับซื้อขายทองคำแท่ง 99.99% และทองคำแท่ง 96.5% ไปจนถึงเวลา 24.00 น. จากเดิมที่เปิดถึง 22.00 น. โดยอ้างอิงราคา spot ทองคำโลกด้วย

นางพวรรณ์กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการเตรียมความพร้อมทั้งบุคลากรและพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อรองรับเป็นอย่างดี การขยายเวลาในการซื้อขายทองคำแท่งไปจนถึงเที่ยงคืนจะสามารถช่วยให้ลูกค้าลดความเสี่ยงในช่วงที่ของราคาทองคำในตลาดโลกมีความผันผวนเนื่องจากมีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง

 

 

 

“เราไม่หยุดนิ่งในการเป็นผู้นำทั้งด้านการออกผลิตภัณฑ์ และการให้บริการใหม่ๆโดยจะเน้นที่ความสะดวกและปลอดภัยเป็นหลัก เช่น การเปิดให้บริการบัตร YLG Card ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารกรุงเทพและธนาคารกสิกรไทยเพื่อใช้ในการซื้อทองคำแท่ง 99.99% และ 96.5% แทนเงินสด เพิ่มเติมจากการเปิดซื้อ-ขายทองคำแท่งโดยไม่จำกัดปริมาณ ซึ่งลูกค้าสามารถติดต่อซื้อหรือขายกับทางบริษัทได้โดยตรงทุกวันทำการไม่ว่าจะเป็นลูกค้าร้านขายทองคำ และนักลงทุนทั่วไป นอกจากนี้ ยังมีบริการระบบหักบัญชีอัตโนมัติในการซื้อขาย หรือ ATS ที่ไม่จำเป็นต้องถือเงินสดจำนวนมากในการติดต่อซื้อขาย ช่วยลดระยะเวลา รวมทั้งมีระบบส่งมอบทองคำให้กับลูกค้าหลายช่องทาง ทั้งการส่งมอบที่ลูกค้าโดยตรง หรือผ่านช่องทางธนาคาร ตลอดจนลูกค้าสามารถมารับทองคำที่บริษัทฯเอง” นางพวรรณ์ กล่าวในที่สุด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...