ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ภาวะตลาดทองคำ ประจำวันที่ 4 ต.ค.53

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- จันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2553 09:58:47 น.

กรุงเทพฯ--4 ต.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์

คำแนะนำการลงทุน Gold Futures

DAY TRADER

GFV10 ซื้อในช่วงราคา 18840 — 18860 ขายในช่วงราคา 18910 — 18930

GFZ10 ซื้อในช่วงราคา 18880 — 18910 ขายในช่วงราคา 18970 — 19000

SWING TRADER

ทิศทางราคาทองคำโลก(Gold Spot) อยู่ในช่วงของทิศทางขาขึ้นโดยมีแนวรับและแนวต้านที่1300และ1325เหรียญ ระวังค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นคำแนะนำนักลงทุนรายวันให้เก็งกำไรตามภาวะปรับฐานในทิศทางราคาทองคำขาขึ้น นักลงทุนรายสัปดาห์แนะนำหาจังหวะปิดสถานะ LONG POSITION เพื่อขายทำกำไร หรืออาจจะเปิดสถานะ Short Position

 

GFV10 รอเข้าซื้อที่ระดับ 18780 รอขายที่ระดับ 18950

ปัจจัยสำคัญ

สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ย. ขยายตัวที่ระดับ 54.4 จุด จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 56.3 จุด ซึ่งแม้ว่าดัชนีที่เคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 50 จุดจะบ่งชี้ว่าภาคการผลิตมีการขยายตัว แต่ก็ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 54.5 จุด

 

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคประจำเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 0.4% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% นอกจากนี้ ข้อมูลของกระทรวงระบุว่า รายได้ส่วนบุคคลเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 0.5% ทำสถิติเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.3% ขณะที่อัตราการออมเดือนส.ค.เพิ่มขึ้นแตะระดับ 5.8% จากเดือนก.ค.ที่ระดับ 5.7%

 

กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เข้าถือครองทองคำที่1302.345ตันในช่วงเวลาที่สิ้นสุด ณ วันที่ 1ต.ค. ซึ่งลดลง 2.431ตัน จากระดับ1304.776ของวันที่ 30 ก.ย.

 

GOLD Market Recap : 01/10/2010

MORNING RECAP : ราคาทองคำต่างประเทศเปิดที่ระดับ 1,308 $ ส่วน Gold Future V10 เปิดที่ 18,860 สมาคมค้าทองแท่งเปิดที่ 18,800 ปรับลง 100 บาทจากวันทำการก่อน ตลาดทองคำ ( ราคาต่างประเทศ )อยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลที่ระดับ 1,315 $ และค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง โดยล่าสุดอยู่ที่ 30.29 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐ ในช่วงเช้าราคาทองคำแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,307 - 1,312 $ สำหรับช่วงบ่าย ราคาทองคำต่างประเทศปรับตัวขึ้นทำ New high ใหม่ที่ระดับ 1,317 $ Gold Future V10 ปิดตลาดที่ 18,840 ในขณะที่ราคาทองคำแท่งของสมาคมค้าทองคำแท่ง ไม่เปลี่ยนแปลง ปิดตลาดอยู่ที่ 18,800 บาท นักลงทุนซื้อขายทำกำไรอย่างหนาแน่น เนื่องมาจาก Spot Gold ทำ New high อย่างต่อเนื่อง

 

NIGHT RECAP: ราคาทองคำเปิดตลาดในประเทศไทยที่ระดับ 1309 เหรียญ โดยราคาเคลื่อนตัวอยู่ระหว่าง 1307 - 1316 เหรียญ ก่อนกลับมาปิดตลาดที่ 1315 เหรียญ ในเวลาประเทศไทย ต่อมาในตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก ราคาทองคำมีการเคลื่อนตัวไปทำจุดสูงสุดที่ 1320 เหรียญ และกลับมาปิดตลาดที่ 1318 เหรียญ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 4 ต.ค.2553

วันจันทร์ที่ 04 ตุลาคม 2010 เวลา 10:00 น. กอง บก.ออนไลน์ ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 4 ต.ค. " ดอลลาร์อ่อนตัวต่ำสุดในรอบ 6 เดือน หนุนน้ำมันดิบพุ่งทะลุ 81 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล"

ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 1.61 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 81.58เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจาก

 

+ ประธานธนาคารกลางของรัฐนิวยอร์กออกมากล่าวว่า มีความจำเป็นที่ธนาคารกลางจะต้องออกมาตรการที่จะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯกลับไปขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เมื่อเทียบกับเงินยูโร ดึงให้นักลงทุนโยกย้ายจากตลาดดอลลาร์มาลงทุนในตลาดน้ำมันเพิ่มขึ้น

 

 

+ ตลาดตอบรับกับข่าวดีจากตัวเลข PMI ของจีนซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดภาคการผลิต โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือน ก.ย. มาอยู่ที่ 53.8 จาก 51.7 ในเดือน ส.ค. เรียกความมั่นใจของนักลงทุนในตลาดต่อปริมาณความต้องการน้ำมันที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของจีน ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลก

 

 

+ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯหลายตัวที่ประกาศเมื่อวันศุกร์ออกมาในทิศทางที่ดีขึ้น นำโดยการใช้จ่ายในการก่อสร้างประจำเดือนส.ค.ที่ปรับตัวดีขึ้น 0.4% จากเดือนก.ค.สวนการคาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ และดัชนีชี้วัดความรู้สึกของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจประจำเดือนก.ย.ที่ออกมาดีขึ้น โดยอยู่ที่ 68.2 จากผลสำรวจครั้งก่อนที่ 66.6

- อย่างไรก็ตามดัชนีภาคการผลิตประจำเดือนก.ย.ปรับลดลงมาอยู่ที่ 54.4 จากผลของปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าที่เริ่มชะลอลง ขณะที่ระดับสต๊อกสินค้าคงคลังปรับตัวสูงขึ้น

 

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 1.44 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 83.75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ตลาดสิงคโปร์ ส่งมอบเดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 2.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 79.44 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

 

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์:

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ ประกอบกับความต้องการน้ำมันจากอินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามต้องจับตาดูปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซินจากไต้หวัน ภายหลังมีข่าวว่าโรงกลั่นในประเทศที่ประสบปัญหาจะสามารถกลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติในกลางเดือนต.ค.นี้

 

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ อีกทั้งฤดูกาลซ่อมบำรุงโรงกลั่นของญี่ปุ่นช่วยลดปริมาณอุปทานในตลาดและลดปริมาณการส่งออกน้ำมันดีเซลไปยังทวีปยุโรป ส่งผลให้ผู้ผลิตรายอื่นในภูมิภาคเริ่มมองหาโอกาสในการขนย้ายน้ำมันไปทดแทน

 

-ทิศทางราคาน้ำมันระยะสั้น

 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 77-84 เหรียญสหรัฐฯ ติดตามยอดคำสั่งซื้อของโรงงาน และยอดสัญญาซื้อขายบ้านรอปิดการขายที่จะประกาศในคืนนี้

 

 

ปัจจัยที่น่าจับตามอง

• ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ได้แก่ :

วันจันทร์ : ยอดคำสั่งซื้อของโรงงาน และ ยอดสัญญาซื้อขายบ้านรอปิดการขาย

วันอังคาร : ดัชนีภาคการบริการ

วันพุธ : GDP ไตรมาสที่ 2 ของกลุ่มสหภาพยุโรป

วันพฤหัสบดี : ยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงาน และ สินเชื่อผู้บริโภค

วันศุกร์ : อัตราการว่างงาน และ ยอดค้าส่ง

 

• การประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ สำหรับ ไตรมาส 3/53 โดยบริษัท อัลโค จะเป็นบริษัทแรกในกลุ่มดาวโจนส์ที่จะประกาศผลประกอบการในวันที่ 7 ต.ค. นี้

• ธนาคารกลางสหรัฐฯ เตรียมตัวที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบระลอก 2 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่ให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจช้าลงไปกว่านี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการประกาศในการประชุมของธนาคารกลาง ในวันที่ 2-3 พ.ย. นี้

• การประชุมโอเปกในวันที่ 14 ต.ค. นี้ ที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย ซึ่งในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศสมาชิก ได้แก่ ลิเบีย อิรัก คูเวต เอกวาดอร์ และกาตาร์ ได้ออกมาให้ความเห็นว่า โอเปกน่าจะตัวสินใจคงโควตาการผลิตน้ำมันดิบไว้ที่ระดับเดิม

• พายุเฮอริเคนในบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกของสหรัฐฯ ที่ยังมีโอกาสก่อตัวขึ้น แต่น่าจะลดปริมาณลงแล้วในเดือน ต.ค. โดยมีการพยากรณ์จำนวนพายุเฮอริเคนในปีนี้ไว้ที่ 8-12 ลูก ซึ่งนับจนถึงปัจจุบัน มีเฮอริเคนเกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น 6 ลูก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินนอกไหลเข้าสิงหาฯ 2.9พันล้านดอลล์

วันจันทร์ที่ 04 ตุลาคม 2010 เวลา 09:39 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ การเงิน Financial - การเงิน-ตลาดทุน

 

แบงก์ชาติเผยเศรษฐกิจเดือนสิงหาคม ยังขยายตัวดี ภาคการผลิต-ส่งออกครึ่งหลังของปีเริ่มชะลอแต่สะท้อนสู่ระดับปกติ ระบุเม็ดเงินนอกยังไหลเข้ากว่า 2.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลั่นยังไม่มีมาตรการใหม่สกัดบาทแข็ง พร้อมเล็งปรับประมาณการจีดีพีประชุมกนง. 20 ต.ค.นี้ ด้านบอร์ดไฟเขียวให้นำทุนสำรองฯลงทุนพันธบัตรนหยวนของรัฐบาลจีนได้

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แถลงภาวะเศรษฐกิจไทยประจำเดือนสิงหาคม2553 ว่า โดยรวมยังคงขยายตัวดี แม้บางภาคเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคการผลิต และ การส่งออก เริ่มชะลอลงเข้าสู่แนวโน้มปกติ แต่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ยังขยายตัวดีต่อเนื่อง

เห็นได้จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ขยายตัว 8.7% ชะลอลงจากเดือนก่อน 13.1% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก โดยมีมูลค่า16,292 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯขยายตัวที่23.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าการนำเข้ามีจำนวน15,440 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว41.8% ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (PCI) ขยายตัว 6.7% เป็นผลมาจากรายได้ภาคการเกษตรขยายตัว 28.8% การจ้างงาน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในเกณฑ์ดี ดัชนีการลงทุนเอกชน (PII) ขยายตัว 22% ตามการขยายตัวจากการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ และยังมีอุปสงค์รองรับในระยะยาวถึงปี 2554 ถือเป็นตัวเลขการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15

ตัวเลขการขยายตัวทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าการขยายตัวโน้มเข้าสู่ภาวะปกติที่มีค่าเฉลี่ยการเติบโตนับจากปี 2547-2551 (ยกเว้นปี 2552 ที่มีระดับการขยายตัวต่ำกว่าปกติ) เฉลี่ยการขยายตัวของดัชนีอุตสาหกรรมเฉลี่ยอยู่ที่ 7.8% ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเฉลี่ยอยู่ที่ 5% ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนเฉลี่ยอยู่ที่ 6.5% ขณะที่การส่งออกและนำเข้าเฉลี่ยอยู่ที่ 17% เท่ากัน

ส่วนความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 50.3% ถือว่าธุรกิจมีความเชื่อมั่นในระดับสูง และมองในข้างหน้า 3 เดือนยังสูงที่ระดับ 56.7% จะหนุนการลงทุนช่วงต่อไป และสินเชื่อที่ให้กับภาคธุรกิจขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยเดือนสิงหาคมเติบโต 9.7% เทียบกับปีก่อน ด้านฐานะการคลังแม้จะติดลบ แต่มีความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากรวมกับงบไทยเข้มแข็งยังกระตุ้นเศรษฐกิจได้ยาวถึงปีหน้า

สำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายเดือนสิงหาคม มีเงินไหลเข้าสุทธิ 2,972 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป็นการไหลเข้าในทุกภาค ซึ่งขณะนี้ธปท.ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด และเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติม เพราะยังไม่เห็นความผิดปกติ ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งจึงมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามามาก ทั้งนี้ค่าเงินในช่วงวันที่ 1-24 กันยายน 2553 ยังแข็งค่าต่อเนื่องเฉลี่ยอยู่ที่ 30.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 2.71% เทียบกับเดือนก่อนหน้า และแข็งค่า 9.46% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจที่เหลือของปีนี้ ยังขยายตัวต่อเนื่องจากแรงหนุนในช่วงครึ่งปีแรก แม้จะมีอัตราขยายตัวที่ชะลอลงบ้าง โดยการส่งออกที่ชะลอตัวลงในเดือนนี้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้น ไม่ได้ทำให้ภาพรวมทั้งปี เปลี่ยนไปจากประมาณการ ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอลง และฐานการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 อยู่ในระดับสูงด้วย แต่หากมองในแง่มูลค่าส่งออกยังสูง

นายเมธี กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ของ ธปท. วันที่ 20 ตุลาคมที่ประชุมจะมีการทบทวนตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจ (จีดีพี) ใหม่ ทั้งนี้จากประมาณการครั้งที่ผ่านมาที่ระดับ 6.5-7.5% นั้นยังไม่ได้นำเอาตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ซึ่งออกมาดีกว่าที่คาดมารวมไว้ในการพิจารณา

ด้านนางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงินธปท. กล่าวว่า ธปท.อยู่ระหว่างศึกษาการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนในพันธบัตรสกุลเงินหยวนของรัฐบาลจีน โดยได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ธปท. แล้ว เพียงแต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งนี้เนื่องจากธปท. เห็นถึงความแข็งแกร่งของสกุลเงินหยวนที่สามารถยกระดับขึ้นเป็นเงินสกุลหลักของโลก แต่การเข้าลงทุนก็คงต้องใช้ระยะเวลาบ้าง ซึ่งขณะนี้ทางการจีนก็พยายามทำอยู่

 

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,571 3-6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บาททำนิวไฮใหม่เปิดตลาดที่30.17/30.19บาทต่อดอลลาร์

วันจันทร์ที่ 04 ตุลาคม 2010 เวลา 09:33 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

User Rating: / 0

แย่ดีที่สุด

 

 

นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบี ไทยรายงานว่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ (4 ต.ค.) ที่ระดับ 30.17/30.19 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าทำสถิติใหม่ และแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 1 ต.ค. ซึ่งเงินบาทอยู่ที่ 30.19/30.21 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยการแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค และยังมีเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุน

 

ซีไอเอ็มบีไทย สรุปสถานการณ์ตลาดเงินเมื่อวันศุกร์ที่ 1 ต.ค. บาท/ดอลลาร์ เมื่อวันศุกร์ (1 ต.ค.) เงินบาทช่วงท้ายภาคบ่ายแข็งค่าสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 13 ปีที่ระดับ 30.20 ตามทิศทางสกุลเงินยูโร และผู้ส่งอกต่างเร่งขายดอลลาร์ฯมากขึ้น หลังเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง โดยเงินบาทอยู่ในทิศทางแข็งค่าขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

เยน/ดอลลาร์ เมื่อวันศุกร์(1 ต.ค.) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินเยนเนื่องจากมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยตลาดการเงินคาดการณ์ว่าดัชนี ISM’s factory index และดัชนีคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของสหรัฐฯที่จะประกาศในวันศุกร์และวันจันทร์จะชี้ถึงภาวการณ์ผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอ ทั้งนี้ทางการญี่ปุ่นได้พยายามแทรกแซงตลาดเพื่อให้ค่าเงินเยนอ่อนลงโดยขายเงินเยนออกมาถึง 2.12 ล้านล้านเยน ( 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ) เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ก็ช่วยให้ค่าเงินเยนอ่อนลงได้เพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินของญี่ปุ่นจะประชุมในสัปดาห์หน้า ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นก็คาดหวังที่จะให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นดำเนินการเพื่อหยุดยั้งการสูงขึ้นของค่าเงินเยน ขณะที่นักลงทุนก็กำลังทดสอบการดำเนินการของทางการญี่ปุ่นในการยุติการแข็งค่าของเงินเยนเช่นกัน

 

ยูโร/ดอลลาร์ เมื่อวันศุกร์(1 ต.ค.)ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มแข็งขึ้นหลังรายงานข่าวที่ว่าธนาคารในยูโรโซนลดการพึ่งพาเงินทุนจากธนาคารกลาง ขณะเดียวกันความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้นก็ส่งผลให้มีการซื้อเงินยูโรมากขึ้น โดยนักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มที่ค่าเงินยูโรจะแข็งขึ้นไปอยู่ที่ 1.40 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ยูโร

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กราฟGold 1

ช่อง1 เส้นแดงอยู่เหนือเส้นเขียว---ทิศทางขึ้น ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง—ทิศทางลง สีขาว—กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นเขียวอยู่เหนือเส้นแดง---ทิศทางลง ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง—ทิศทางลง สีขาว—กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นแดงและเขียวประสานเป็นกากะบาด ---กำลังจะเปลี่ยนทิศ ให้ดูเส้นแนวโน้มประกอบ หากเส้นแดงและเขียวกำลังจะประสาน แต่ไม่ทันได้ประสานก็หันหันหัวกลับขึ้นหรือลง แสดงว่ากำลังมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนี่งเกิดขึ้น หากขึ้นทะลุเส้นปะแนวต้าน ให้ดูเส้นปะแนวต้านเส้นต่อไป หากลงทะลุเส้นปะแนวหนุน ให้ดูเส้นแนวหนุนเส้นต่อไป ส่วนจุดกลมเหลืองทอง---ทิศทางลง จุดกลมฟ้า---ทิศทางขึ้น หากกราฟวิ่งในยามปกติ พอเชื่อถือได้ หากกราฟวิ่งขึ้นลงแรงๆ คือยามไม่ปกติ ไม่อาจเชือถือได้

ช่อง2 ให้ดูเส้นสีม่วง ประกอบกับเส้นแนวโน้มในช่อง1 หากหันหัวไปในทิศทางเดียวกัน โอกาสที่จะผิดพลาดก็มีน้อย ส่วนเส้นปะสีเหลืองทองและฟ้า หากขึ้นเหนือเลข80 เข้าสู่เขตซื้อเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ หากลงต่ำกว่าเลข20 เข้าสู่เขตขายเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ตลอดเวลา

ช่อง3 ให้ดูทั้ง2เส้น คือเหลืองทองและฟ้า หันหัวไปทิศทางเดียวกันหรือไม่ เท่านั้นยังไม่พอ ให้ดูประกอบทิศทางในช่อง1ว่าเป็นทิศทางเดียวกันหรือไม่ หากทิศทางหันหัวในแนวเดียวกัน ทิศทางนั้นเชื่อถือได้

ดูกราฟทุกครั้งให้ดูที่หัวมุมซ้ายบน จะบอกเวลา H4=4ชม. H1=1ชม. D1=1วัน และบอกชนิดของกราฟด้วย เช่น goldหรือset50เป็นต้น

post-237-075578400 1286164331.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เส้นปากถุง (BollingerBandsเส้นสีขาวทั้ง๓เส้น)แบบง่ายๆ ไม่ปวดเศียรเวียนเกล้า

เส้นบน---แนวต้าน

เส้นกลาง---แนวโน้ม(สำคัญสุด)

เส้นล่าง---แนวหนุน

ลักษณะที่๑---ทิศทางขึ้นเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวขึ้น เส้นล่างหันหัวลง

ลักษณะที่๒---ทิศทางขึ้นเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวขึ้น

เมื่อเจอลักษณะทั้ง๒นี้ ราคาระหว่างวันที่ขึ้นๆลงๆ เมื่อเจอจุดที่เห็นว่าต่ำแล้วให้ซื้อเข้าได้เลยครับ ขอเพียงเส้นกลาง(แนวโน้ม)ยังหันหัวขึ้นอยู่ แม้ราคาเแท่งเทียนจะอยู่ต่ำกว่าเส้นกลาง ก็ยังซื้อเข้าได้ หากเส้นบนเดินขวางเมื่อไหร่ ให้ทยอยลดพอร์ตได้เลยครับ

ลักษณะที่๓---เลือกทิศทาง---เส้นบนหันหัวลง เส้นล่างหันหัวขี้น ปากถุงแคบลง ถึงช่วงนี้ ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว หากใครยังคิดอยากเคลื่อนไหว ก็จงเคลื่อนไหวไปหน้าทีวี จงอย่าทำการอย่างอื่นใด หากใครเป็นจอมยุทธ์ ก็ชิงเคลื่อนไหวก่อนใครได้

ขอแถมอีกนิด จงโฟกัสที่เส้นกลาง หากเส้นกลางเริ่มขยบหัวหัวขึ้นหรือลง ทิศทางอาจขึ้นหรือลงตามเส้นกลางแนวโน้มนั้น

ลักษณะที่๔---เคลื่อนไหวในกรอบแคบ---เส้นบน กลาง ล่าง เดินขวางทั้ง๓เส้น หากใครเล่นออนไลน์ สามารถเล่นได้เล็กน้อยอย่ามาก เมื่อราคาแท่งเทียนใกล้เส้นบน จงขาย ใกล้เส้นล่าง จงซื้อ ต้องเข้าออกให้ทันการณ์ หาไม่แล้วจากกำไรอาจขาดทุนได้นา ขอบอก

ลักษณะที่๕---ทิศทางลงเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวลง เส้ยล่างหัวหัวลง

ลักษณะที่๖---ทิศทางลงเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวลง เมื่อเส้นล่างเดินขวางเมื่อไหร่ ผู้ที่ใจกล้าที่เล่นออนไลน์ เริ่มทยอยซื้อเข้าได้ที่ละนิด อัตราเสี่ยงยังมีอยู่บ้างนะครับ สิบอกไห่

วิธีดูเส้นปากถุงที่กล่าวมานี้ .....ไม่ใช่ตำราของฝรั่ง แบบของฝรั่งผมเคยอ่านมาบ้างแล้ว ยาวมาก ปวดหัว ทำความเข้าใจได้ยากมากๆๆๆๆ ...........เหมาะเฉพาะกราฟราย๔ชม.และช่วงปกติเท่านั้นนะครับ (บางครั้งตลาดจงใจคึงขึ้นลงอย่าแรงๆ แทบหัวใจวายสำหรับผู้มีทองในมือและผิดทิศทางของตัวเอง เรียกว่า ช่วงไม่ปกติครับ)

ดูกราฟทุกครั้งให้ดูที่หัวมุมซ้ายบน จะบอกเวลา H4=4ชม. H1=1ชม. D1=1วัน และบอกชนิดของกราฟด้วย เช่น goldหรือset50เป็นต้น

post-237-094132600 1286164377.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักเศรษฐศาสตร์คาดตัวเลขว่างงานสหรัฐฯ จ่อเพิ่มเป็นเดือนที่สอง

 

Posted on Monday, October 04, 2010

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ (ศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2553)

• รายได้ส่วนบุคคล (ส.ค.) เพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า

• รายจ่ายส่วนบุคคล (ส.ค.) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้า

• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ก.ย.) อยู่ที่ระดับ 68.2 จุด (มากกว่าเดือนก่อนหน้าและคาดการณ์)

• ดัชนีภาคการผลิต (ก.ย.) อยู่ที่ระดับ 54.4 จุด

• ค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง (ส.ค.) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้า

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (จันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2553)

• ยอดสั่งซื้อสินค้าโรงงาน (ส.ค.) โดยกระทรวงพาณิชย์

• ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (ส.ค.) โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติสหรัฐฯ

 

 

นักเศรษฐศาสตร์คาดว่างงานสหรัฐฯ จ่อเพิ่มเป็นเดือนที่สอง

 

นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จะประกาศตัวเลขอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นในเดือนกันยายนติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2

 

นักลงทุนยังรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความกังวลว่าเศรษฐกิจอาจไม่มีแรงกระตุ้นและข่าวดีใหม่ๆ มากเพียงพอที่จะทำให้คนอเมริกันมั่นใจหันมาจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการกันมากขึ้น

 

นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานจะประกาศตัวเลขอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นในเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นเดือนที่สองติดต่อกัน ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดำเนินมาได้ราวหนึ่งปีกลับยังไม่สามารถสร้างงานใหม่ได้ทันกับจำนวนแรงงานที่เข้ามาในตลาดมากขึ้น โดยตัวเลขที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่ามีแนวโน้มที่อัตราการว่างงานจะขยับขึ้นจาก 9.6% ในเดือนสิงหาคมไปอยู่ที่ 9.7% ในเดือนที่แล้ว นอกจากนั้น ข้อมูลยังอาจแสดงให้เห็นว่า ภาคเอกชนปรับเพิ่มอัตรากำลังด้วยการจ้างงานอีกกว่า 70,000 ตำแหน่ง แม้ตัวเลขการจ้างงานโดยรวมยังหนีไม่พ้นสภาวะความซบเซา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาครัฐเลิกจ้างงานภายหลังจากโปรเจ็คท์การทำสำมะโนประชากรได้สิ้นสุดลง

 

ในขณะนี้ผู้บริหารของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) กำลังถกเถียงกันถึงเครื่องมือที่ใช้เพิ่มเติมเพื่อบรรเทาปัญหาการว่างงานที่ตัวเลขจ่ออยู่ที่อัตรา 10% โดยนาย William Dudley ประธาน FED สาขานิวยอร์ก กล่าวว่ามาตรการเพิ่มเติมอาจมีความจำเป็น หากแนวโน้มเศรษฐกิจทั้งการจ้างงานและเงินเฟ้อยังไม่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยยกตัวอย่างว่า การอัดฉีดเงินซื้อสินทรัพย์จำนวน 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มีผลเทียบเคียงกับการที่ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5 – 0.75% ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาการถือครองสินทรัพย์ของ FED

 

นอกจากนี้ วันอังคารนี้ก็จะมีรายงานสภาวะภาคบริการของสหรัฐฯ จากสถาบัน ISM ซึ่งผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ที่จัดทำโดย Bloomberg ระบุว่า ดัชนีสะท้อนกิจกรรมของภาคบริการจะปรับตัวดีขึ้นในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นเดือนที่ตัวเลขร่วงลงไปแตะระดับต่ำที่สุดในรอบเจ็ดเดือน

 

 

IMF เรียกร้องทั่วโลกเลี่ยงสงครามค่าเงิน

 

โดมินิก สเตราส์ คาห์น กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เรียกร้องประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพิ่มความพยายามในการป้องกันการเกิดสงครามค่าเงินทั่วโลก

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในระหว่างการประชุมเศรษฐกิจที่ประเทศยูเครน นายสเตราส์-คาห์นได้กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว แม้ว่าจะเป็นการฟื้นตัวที่ไม่สม่ำเสมอนัก โดยทั่วโลกสามารถหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์ที่ใหญ่กว่านี้มาได้ เนื่องจากความร่วมมือกันทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นการคลังและนโยบายการเงิน

 

อย่างไรก็ตาม กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า ความเต็มใจที่จะร่วมมือในปัจจุบันได้ลดลง ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามหนึ่ง และเป็นไปได้ที่ทั่วโลกกำลังเริ่มต้นทำสงครามค่าเงิน

 

สเตราส์-คาห์นแนะว่า ผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจต้องถอยกลับมาร่วมมือกัน ด้วยการหารือกันเรื่องมูลค่าของค่าเงิน พยายามปรับเปลี่ยนในสิ่งที่ควรปรับ และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไร้สมดุลทั่วโลก เพราะหากไม่มีการพูดคุย ก็อาจเกิดวิกฤตการณ์ใหม่ที่ประเทศต่างๆ พยายามหาวิธีแก้ปัญหาระดับโลกด้วยตนเองและไม่ร่วมมือกัน

 

 

ยอดขายรถยนต์ใหม่ในสหรัฐฯพุ่ง 28.5%

 

ออโต้ดาต้า คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐฯเปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในสหรัฐฯ ซึ่งรวมยอดขายของบริษัทผลิตรถยนต์ทุกแห่ง พุ่งขึ้น 28.5% ในเดือนก.ย.ปีนี้ แตะระดับ 958,966 คัน เมื่อเทียบกับเดือนก.ย. 2552 อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับเดือนส.ค.แล้ว ยอดขายรถยนต์ใหม่เดือนก.ย.ร่วงลงเกือบ 40,000 คัน มาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 ล้านคัน ซึ่งบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์สหรัฐฯยังคงชะลอตัวลง อันเนื่องมากจากความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจ

 

เจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ยังคงครองตำแหน่งค่ายรถยนต์ที่มียอดขายมากเป็นอันดับ 1 ในตลาดสหรัฐฯ โดยในเดือนก.ย. 2552 จีเอ็มมียอดขายพุ่งขึ้น 11.5% แตะที่ 173,031 คัน และมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์สหรัฐฯมากเป็นอันดับ 1 ที่ระดับ 18%

 

รองลงมาคือฟอร์ด มอเตอร์ ที่ทำยอดขายเพิ่มขึ้น 46.4% แตะที่ 160,375 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 16.7% และอันดับ 3 คือค่ายโตโยต้า มอเตอร์ที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 16.8% แตะที่ 147,162 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 15.3% ขณะที่ยอดขายของไครสเลอร์ แอลแอลซี เพิ่มขึ้น 60.9% แตะที่ 100,077 คัน

 

สำหรับยอดขายรถยนต์ในกลุ่มบิ๊กทรีของสหรัฐฯ คือ จีเอ็ม-ฟอร์ด-ไครสเลอร์ รวมกันพบว่า ยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 32.6% แตะที่ 433,483 คัน ทำให้กลุ่มบิ๊กทรีกวาดส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯได้ถึง 45.2% ในเดือนก.ย.ปีนี้ เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ย. 2552 ที่ระดับ 43.8%

 

สำหรับค่ายรถยนต์อื่นๆของญี่ปุ่นนั้น ฮอนด้า มอเตอร์ มียอดขายเพิ่มขึ้น 26.1% แตะที่ 97,361 คัน ขณะที่ยอดขายของนิสสัน มอเตอร์ เพิ่มขึ้น 34.0% แตะที่ 74,205 คัน ยอดขายของฟูจิ เฮฟวี่ อินดัสทรีส์ พุ่งขึ้น 46.9% แตะที่ 21,432 คัน ยอดขายของมาสด้า มอเตอร์เพิ่มขึ้น 30.5% แตะที่ 18,580 คัน และยอดขายของมิตซูบิชิ มอเตอร์ คอร์ป เพิ่มขึ้น 5.3% แตะที่ 4,961 คัน

 

อย่างไรก็ตาม ยอดขายของซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ป ร่วงลง 11.8% แตะที่ 1,641 คัน

 

 

เอเปคย้ำ SMEs ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาค

 

รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสที่ดูแลด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จากกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของ SMEs ในฐานะที่เป็นปัจจัยผลักดันสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ พร้อมหารือถึงแนวทางในการส่งเสริมการพัฒนา SMEs เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของภูมิภาค

 

ในแถลงการณ์ร่วมภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมร่วมกันเป็นเวลาสองวันที่เมืองจิฟุ ทางภาคกลางของญี่ปุ่น ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับ SMEs ว่าเป็นแหล่งสำคัญของการจ้างงานและความเจริญรุ่งเรือง ตลอดจนมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนานวัตกรรม

 

แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยรวมยังคงมีความยืดหยุ่นในช่วงที่เกิดภาวะถดถอยทั่วโลก และคาดว่าภูมิภาคนี้จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องต่อไป

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ในการประชุมดังกล่าว ผู้แทน 20 เขตเศรษฐกิจ จากกลุ่มเอเปคที่ประกอบด้วยสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ ได้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ตามอัตราการขยายตัวของจีดีพีในช่วงภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย เพื่อหารือถึงผลกระทบของวิกฤตการเงินที่มีต่อ SMEs

 

นอกจากนี้ สมาชิกยังได้หารือเกี่ยวกับทิศทางของยุทธศาสตร์การขยายตัวระยะยาวของ SMEs ในกลุ่มเอเปคจนถึงปี 2563 โดยให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนการมีส่วนร่วมของวิสาหกิจเหล่านี้ในภาคอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูง และช่วยเหลือให้สามารถเข้าถึงตลาดโลกได้

 

ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมระดับรัฐมนตรี ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคที่เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนพ.ย.นี้

 

 

ญี่ปุ่นเตรียมร่างงบประมาณพิเศษ 5 ล้านล้านเยน

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าววงในของรัฐบาลญี่ปุ่นว่า นายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คัง เตรียมร่างงบประมาณพิเศษมูลค่ารวม 5 ล้านล้านเยนเพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาภาวะเงินฝืดที่ยืดเยื้อภายในประเทศ

 

แหล่งข่าวกล่าวว่า การที่รัฐบาลออกงบประมาณพิเศษฉบับนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการออกพันธบัตร ซึ่งสอดคล้องกับที่นายโยชิโตะ เซนโกกุ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ญี่ปุ่นไม่มีแผนออกพันธบัตรใหม่เพื่อระดมทุนหนุนงบประมาณพิเศษในช่วงปีงบประมาณปัจจุบัน

 

รัฐบาลผสมของญี่ปุ่นภายใต้แกนนำของพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (DPJ) เตรียมยื่นร่างงบประมาณเสริมประจำปีงบประมาณการเงิน 2553 ต่อที่ประชุมสภาไดเอทในช่วงปลายเดือนต.ค.นี้ ซึ่งรัฐบาลต้องการให้ร่างงบประมาณฉบับดังกล่าวผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรภายในช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้

 

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในไตรมาส 3/53 อยู่ที่ระดับ -24.7 จุด ลดลง 13.5 จุดจากไตรมาสแรก และเป็นสถิติที่ลดลงครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความวิตกกังวลว่าการแข็งค่าของเงินเยนจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในวันข้างหน้า

 

ผลสำรวจของ BOJ บ่งชี้ว่า ผู้บริโภคที่มองว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลงนั้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 30.6% ส่วนจำนวนผู้บริโภคที่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.9%

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นวิตกกังวลว่า เงินเยนที่แข็งค่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการส่งออกเป็นหลักนั้น ซบเซาลงด้วย เนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าจะทำให้ผลประกอบการในตลาดต่างประเทศของบริษัทญี่ปุ่นลดน้อยลง และอาจส่งผลให้ภาวะเงินฝืดของญี่ปุ่นยืดเยื้อต่อไปอีก

 

สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของญี่ปุ่นได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่นเดินหน้าแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยนต่อไป โดยกล่าวว่าการปล่อยให้เงินเยนเคลื่อนไหวในช่วง 85-90 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐยังไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวกลุ่มผู้ผลิตของญี่ปุ่นให้ยกเลิกการย้ายฐานการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพราะเงินเยนที่แข็งค่ากำลังส่งผลให้กำไรในตลาดต่างประเทศของบริษัทญี่ปุ่นหดตัวลงด้วย

 

 

ไมโครซอฟท์ฟ้องโมโตโรล่าข้อหาละเมิดสิทธิบัตรสมาร์ทโฟน

 

ไมโครซอฟท์ ผู้ผลิตซอฟท์แวร์ยักษ์ใหญ่ ได้ยื่นฟ้อง โมโตโรล่า ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือของสหรัฐฯ โดยกล่าวหาว่า สมาร์ทโฟนของโมโตโรล่าได้ละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ 9 รายการ ซึ่งรวมถึงการเชื่อมต่ออีเมล์ ปฏิทิน และรายชื่อ

 

ไมโครซอฟท์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงสหรัฐฯในวอชิงตัน และคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า โมโตโรล่าได้รับอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ในระหว่างปี 2548 - 2550 และได้ใช้ต่อเนื่องมาโดยไม่มีการต่อใบอนุญาตใหม่ โดยในคำร้องได้ระบุถึงสมาร์ทโฟน 2 รุ่นที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิล ได้แก่ Motorola Droid 2 และ Motorola Charm แต่ไมโครซอฟท์กล่าวว่า ไม่ได้มีเฉพาะสองรุ่นนี้ที่ละเมิดสิทธิบัตร

 

ด้านโฆษกหญิงของโมโตโรล่ากล่าวว่า บริษัทยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง แต่จากประวัติเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่ชัดเจนของบริษัท คาดว่าโมโตโรล่าจะแก้ต่างข้อกล่าวหานี้อย่างเต็มที่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณอจ.ทองใหม่ที่ช่วยโพสข่าว ให้อ่านทุกวัน ขอบคุณจริงๆคะ !01 !Hi !bye

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปภาวะ Gold Futures By GT Wealth Management 4 ต.ค. 53 (ภาคเช้า)

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- จันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2553 12:06:40 น.

กรุงเทพฯ--4 ต.ค.--GT Wealth Management

ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ใกล้ระดับ 1,320 ดอลล่าร์ หลังจากความกังวลเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มในอนาคต โดยตลาดคาดการณ์เพิ่มว่ามีความเป็นไปได้ว่าในไม่ช้าเฟดอาจจะมีการดำเนินการในการผลักดันให้เศรษฐกิจหลุดพ้นจากความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการถดถอยซ้ำ และทางเลือกหนึ่งที่เฟดอาจจะเลือกใช้คือการเพิ่มปริมาณเงินในอนาคตและส่งผลให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในตัวค่าเงินดอลล่าร์ ทำให้ดอลล่าร์ร่วงลงอย่างหนักในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะ SPDR รายงานการขายทองออกอีก 2.43 ตัน ทำให้มีระดับการถือครอง 1,302.35 ตัน ค่าเงินบาทเช้าวันนี้แข็งค่าหลุดลงต่ำกว่า 30.15 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ โกลด์ฟิวเจอร์สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนตุลาคม (GFV10) เปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 10 บาทจากช่วงปิดตลาดวันศุกร์ (1 ต.ค. 53) โดยเปิดที่ระดับราคา 18,850 บาท ส่วนราคาทองคำที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำวันนี้ ราคาเสนอซื้อ 18,700 บาท ราคาเสนอขาย 18,800 บาท

 

ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนบริษัทจีที เวลธ์แมเนจเมนท์ จำกัดกล่าวว่า การลงทุนในทองคำในช่วงสั้นนักลงทุนอาจจะต้องให้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคทองคำในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นกว่า 160 ดอลล่าร์ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ค. ทำให้อาจจะมีแรงเทขายทำกำไรเป็นระยะ ประกอบกับค่าเงินบาทที่ยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าเทียบดอลล่าร์ทั้งจากปัจจัยภายในและการอ่อนค่าลงของเงินดอลล่าร์เอง แต่กรอบแนวโน้มของราคาทองคำ GT ยังคงมองเป็นขาขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...