ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
UBwealth

Gold Fight(Nov 2012)

โพสต์แนะนำ

Gold Futures

ว่าด้วยเรื่อง Gold Futures จุดกำเนิดเกิดจากทิศทางราคาทองที่มีทิศทางที่ชัดเจน มาตลอดในช่วงสิบปีที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดแรงซื้อเพื่อการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มโลหะมีค่า ตลาดการลงทุนในตลาดนี้เติบโตเป็นอย่างมากทั้งใ

Gold Futures

ว่าด้วยเรื่อง Gold Futures จุดกำเนิดเกิดจากทิศทางราคาทองที่มีทิศทางที่ชัดเจน มาตลอดในช่วงสิบปีที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดแรงซื้อเพื่อการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มโลหะมีค่า ตลาดการลงทุนในตลาดนี้เติบโตเป็นอย่างมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อตอบรับกับการเจริญเติบโตจึงได้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรียกว่าฟิวเจอร์ทองหรือ Gold Futures ตามตลาดการลงทุนหลัก ๆ ทั่วโลก ในเบื้องต้นการซื้อขายต้องวางเงินเต็มและรับเป็นทองจริง แต่เนื่องจากมีกลุ่มนักลงทุนบางกลุ่มที่เข้าออกตลาดบ่อยๆ กระบวนการจึงย่นย่อเพื่อให้สะดวกแก่การทำธุรกรรม ทั้งวางเงินเพื่อให้ครอบคลุมเพียงแค่ขนาดการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งชำระส่วนต่างกำไรขาดทุนเป็นเงินสดแทนการส่งมอบสินค้าจริง อย่างที่เราทราบทองคำมักเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกทำปลอมให้เหมือน เมื่อของจะเปลี่ยนมือก็จำเป็นต้องตรวจสอบทุกครั้ง ก็เป็นเรื่องเสียเวลา

Gold Futures จึงได้รับความนิยมมากขึ้น จากกระบวนการที่สะดวก ทำธุรกรรมทางโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ตได้ ไม่ต้องเดินทางและขนย้ายทองจริง ในเบื้องต้นที่กำเนิดตลาด Gold Futures ในบ้างเรา Gold Futures ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ถือเป็นทางเลือกที่เปิดขึ้นให้ตลาดการลงทุนทองในประเทศไทยครบวงจรมากขึ้น โดยในช่วงนั้นมีเพียงตลาดทองคำแท่งตามร้านทองและกองทุนทองคำของธนาคารบางแห่งเท่านั้นที่เข้ามารองรับความต้องการในตลาดการลงทุนส่วนนี้

ตลาดการลงทุนทองคำในประเทศไทยได้เติบโตขึ้นมาก เนื่องด้วยราคาทองคำมีทิศทางที่ชัดเจน มีการปรับลดลงบ้างบางช่วงแล้วก็กลับมาปรับตัวขึ้นใหม่ได้มาตลอด กระแสส่วนนี้ผลักดันให้ตลาด Gold Futures ในช่วงแรกมีนักลงทุนทองแท่งเข้ามาทดสอบตลาดเป็นจำนวนมาก ด้วยความที่เคยกำไรจากทองคำแท่งมาตลอด เรียกได้ว่าไม่เคยขาดทุน มีแต่กำไร อันเนื่องมาจาก ตัวสินค้าฟิวเจอร์นั้น มีลักษณะบางประการที่แตกต่างออกไปจากทองแท่งในแบบที่น้อยคนนักจะเข้าใจคือความเสี่ยงที่มันสูงกว่าการซื้อขายทองแท่งเนื่องจาก อัตราทดที่เป็นลักษณะของฟิวเจอร์ มีการเติมเงินเมื่อผิดทางมากๆ และมีอายุมีกำหนดเวลาในการถือครอง 3 อย่างนี้เป็นความแปลกใหม่ที่นักลงทุนในตลาดต้องเรียนรู้ถึงความแตกต่าง

ความแตกต่างที่เกิดขึ้นเหมือนกับปล่อยเสือที่ถูกเลี้ยงไว้ในกรงเข้าป่า กล้าเกินความรู้ที่มีไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับผลที่อาจจะเกิดอย่างไร ผลก็คือมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อย ที่ต้องขาดทุนและล้มหายตายจากไปทั้งขาดทุนบ้าง ทั้งหมดเงินไปทั้งก้อนก็มี ประสบการณ์ที่เกิดกับนักลงทุนส่วนนี้กู่ก้องออกไปทำให้เกิดความกลัวที่จะเข้ามา เริ่มต้นและเรียนรู้กับการลงทุนในตลาดฟิวเจอร์ทั้งทองคำและสินค้าอื่นๆ ด้วย

ถึงกระนั้นจังหวะเวลาได้เกื้อหนุนให้ตลาดทองคำบูมขึ้นอย่างมาก จากการที่ราคาทองปรับตัวขึ้นจากราวๆ กว่า 900 เหรียญไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1226 เหรียญในปี2010 ราคาของ Gold Futures ตอนนั้นสะท้อนภาพของความคิดคนในตลาดได้ดี ความหมายคือคนไทยไม่เชื่อว่าทองจะขึ้น เพราะราคาซื้อขายของ Gold Futures ในเวลานั้นต่ำกว่าราคาคำนวณ หรือราคาที่ควรจะเป็น ช่วงนั้นหลังจากพักฐานจบที่ราว 1,060 ทองก็ทำทรงขึ้นใหม่มาทำไฮที่บริเวณ 1,250 ถึงรอบนี้ราคา Gold Futures ทำการซื้อขายที่มีพรีเมี่ยมแล้วพร้อมๆ กับเริ่มมีคำแนะนำอันนึงที่ร่ำลือขึ้นมาก็คือ “ห้ามเล่น Short ให้เล่นแต่ Long” แต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก ผู้คนในตลาดเริ่มมาเชื่อกันจริงๆ จังๆ ว่าห้ามเล่น Short กันก็ตอนที่ทองขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 1,570 ช่วงนั้นทองมีการพักตัวบ้างก็จริง แต่ราคา Gold Futures แทบไม่ลง มีแต่คนรอซื้อ หลังจากพักตัวจบแล้วพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1,900 อีกครั้งพร้อมๆ กับสถานการณ์ที่ดอลล่าร์ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง จากที่ทองขึ้น คนไม่ซื้อใส่ เวลานั้นกลับตาลปัตร ทองยิ่งขึ้นคนยิ่งซื้อ เป็นช่วงที่ราคาทองคำทำขนาดการเคลื่อนไหวสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ ราว 60 เหรียญต่อวันกรอบการเคลื่อนไหวแต่ละวันสูงมากมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สำหรับท่านที่ปกติเทรด 10 สัญญา เมื่อเจอกับความผันผวนระดับนี้ถ้าไม่ลดพอร์ตแล้วผิดทางก็จะหมดหน้าตักเอาง่ายๆ แต่ถ้าถูกทางช่วงนี้เป็นช่วงน้ำขึ้นโดยแท้ และเมื่อราคาทองมีจุดหักเหเข้ามา จากการคาดหมายว่าจะมีคิวอี3 กลับถูกเปลี่ยนเป็นไม่อัดฉีดเพิ่ม ทิศทางราคาทองกลับหัวดิ่งลงในอัตราเร็วพอ ๆกับที่ขึ้นไป ย้ำสัจธรรมที่ว่า “มีขึ้นก็มีลง ขึ้นเร็วก็ลงเร็ว” ให้ต้องจดจำ

หลังจากลงมาจาก 1,900 รอบนั้นจนถึงตอนนี้ทองขึ้นมาทดสอบ 1,800 สามครั้งและยังไม่ผ่าน ผมบอกใบ้ให้ไว้แต่เนิ่นๆ เมื่อไหร่ก็ตามทองได้สร้างฐานที่บริเวณ 1720 – 1750 ได้แข็งแกร่งจึงจะเป็นเวลาที่ทองจะขึ้นทะลุ 1800 ไปได้ โดยการคาดเดา ที่เดาไว้ตั้งแต่ก่อนลงไป 1672 คือช่วงเดือน พฤศจิกายนจะเป็นช่วงที่ทองฟอร์มตัว และรวบรวมพละกำลัง ก็ยังไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่จะเห็น 1600 ต้นๆ ไปได้ จึงยังคงจำเป็นต้องสังเกตุการฟอร์มตัวในช่วงนี้ว่าจะยังเป็นไปอย่างที่ตั้งใจคือ 1800 1850 1900 หรือเปล่าในช่วงเดือนต่อไป

เรื่องราวที่ผ่านมาให้น่าจดจำเกี่ยวกับทองและ Gold Futures คือ การเทรดเกินตัวและไม่ระมัดระวังมักจบและจบไม่สวย ปัญหาหนี้ยุโรปมักทำให้ทองกลับตัวลง ซึ่งถ้าเราตีความตามเหตุผลเดิมทองจะไม่ลงมาเลย แต่เมื่อเหตุการณ์จริงเกิด มักใช้เหตุผลเดิมไม่ได้ ความกลัวมักไม่ค่อยคำนึงถึงเหตุผลเท่าไหร่ สุดท้ายถ้าลืมเป้าหมายและลืมคำที่ว่า “มีขึ้นมีลง ขึ้นเร็วก็ลงเร็ว” ก็จะติดดอยและตกรถครับ ผมเองเห็นมาหมดทั้งกำไรเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าทั้งที่เงินหมดต้องออกไปอย่างเจ็บช้ำ อานุภาพของอัตราทดนั้นแรงสูง ลงทุนในจำนวนที่เราสามารถรับผลขาดทุนได้เป็นสำคัญ

สุดท้ายการซื้อขายเพื่อการลงทุนนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน ผมไม่ได้รับรู้ถึงความซับซ้อนจนมีลูกค้ามาถามว่าจะเริ่มอย่างไร ผมจึงได้กลับมารำลึกได้ว่ามันมีเรื่องให้พูดถึงมากมายเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การเดินทางสายลงทุน ในการให้คำแนะนำในแต่ละครั้งผมจะต้องคำนึงถึงอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ใช่เพียง “ขึ้นหรือลง” ผมก็เลยแหย่ๆ ไปให้กระตุกใจนิดนึงว่าจะลองพาไปเที่ยวดอยดูซักครั้งเพื่อให้เข้าใจ มาลองๆ นึกดูเราที่เทรดทองมาก็จะได้เจอมาหมดนะครับ ทั้ง ขายหมู ติดดอย ตกรถ คล้ายๆ กับคำพูดของผู้ยิ่งใหญ่หลายๆคนในช่วงที่ผ่านมานะครับ ที่เรามักหลบเลี่ยงความผิดพลาด เป็นโรคกลัวความผิดพลาดกันโดยเฉพาะมือใหม่ ในความทรงจำผมมันจะเหมือนคนทอดเต้าหู้ ผมเคยอยู่ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นมาช่วงหนึ่ง เค้าบอกว่าถ้าเรากลัวน้ำมันกระเด็น น้ำมันจะกระเด็นใส่ แต่ถ้าเราไม่กลัว มันจะไม่กระเด็น คือถ้าผมกลัว ผมจะวางเต้าหู้จากที่สูงน้ำมันก็กระเพื่อมแรงจนกระเด็นมาโดน แต่ถ้าเราไม่กลัวเราเอามือไปใกล้ๆ น้ำมัน ค่อยๆ วาง น้ำมันก็ไม่กระเด็น คล้ายๆ อย่างนั้น ถ้าอยู่บนความกลัว เราก็จะตัดสินใจได้ไม่ดี และจะพบเจอกับสิ่งที่เรากลัว แต่แย่หน่อยที่เราไม่ได้เตรียมอะไรไว้รับมือ ถ้าเราลดความรู้สึกต่างๆ ลง เตรียมแผนไว้รับมือสิ่งต่างที่จะเกิดขึ้น เพราะเราเลิ่ยงไม่ได้ติดดอยขายหมู ตกรถ เราจะเจอแน่นอน เมื่อเตรียมแผน ก็ทำตามแผนเมื่อเหตุการณ์เกิดก็จะช่วยเราได้ แม้การวางแผนจะไม่จบลงด้วยการกำไรทุกครั้งก็ตาม น่าจะเป็นคำตอบทั้ง Gold Futures และทองแท่งนะครับ อย่างที่ผมพูดมาเสมอนะครับ คนที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ดีกว่าคือคนที่จะทำกำไรได้มากกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือวิธีการที่จะนำมาคาดเดาเป็นเพียงส่วนหนึ่ง การควบคุมอารมณ์เป็นทักษะหนึ่งที่ฝึกฝนกันได้และเป็นส่วนหนึ่งที่มาประกอบกันเพื่อตัดสินใจเช่นเดียวกับการคาดเดาทิศทาง

นประเทศและต่างประเทศ เพื่อตอบรับกับการเจริญเติบโตจึงได้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรียกว่าฟิวเจอร์ทองหรือ Gold Futures ตามตลาดการลงทุนหลัก ๆ ทั่วโลก ในเบื้องต้นการซื้อขายต้องวางเงินเต็มและรับเป็นทองจริง แต่เนื่องจากมีกลุ่มนักลงทุนบางกลุ่มที่เข้าออกตลาดบ่อยๆ กระบวนการจึงย่นย่อเพื่อให้สะดวกแก่การทำธุรกรรม ทั้งวางเงินเพื่อให้ครอบคลุมเพียงแค่ขนาดการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งชำระส่วนต่างกำไรขาดทุนเป็นเงินสดแทนการส่งมอบสินค้าจริง อย่างที่เราทราบทองคำมักเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกทำปลอมให้เหมือน เมื่อของจะเปลี่ยนมือก็จำเป็นต้องตรวจสอบทุกครั้ง ก็เป็นเรื่องเสียเวลา

Gold Futures จึงได้รับความนิยมมากขึ้น จากกระบวนการที่สะดวก ทำธุรกรรมทางโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ตได้ ไม่ต้องเดินทางและขนย้ายทองจริง ในเบื้องต้นที่กำเนิดตลาด Gold Futures ในบ้างเรา Gold Futures ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ถือเป็นทางเลือกที่เปิดขึ้นให้ตลาดการลงทุนทองในประเทศไทยครบวงจรมากขึ้น โดยในช่วงนั้นมีเพียงตลาดทองคำแท่งตามร้านทองและกองทุนทองคำของธนาคารบางแห่งเท่านั้นที่เข้ามารองรับความต้องการในตลาดการลงทุนส่วนนี้

ตลาดการลงทุนทองคำในประเทศไทยได้เติบโตขึ้นมาก เนื่องด้วยราคาทองคำมีทิศทางที่ชัดเจน มีการปรับลดลงบ้างบางช่วงแล้วก็กลับมาปรับตัวขึ้นใหม่ได้มาตลอด กระแสส่วนนี้ผลักดันให้ตลาด Gold Futures ในช่วงแรกมีนักลงทุนทองแท่งเข้ามาทดสอบตลาดเป็นจำนวนมาก ด้วยความที่เคยกำไรจากทองคำแท่งมาตลอด เรียกได้ว่าไม่เคยขาดทุน มีแต่กำไร อันเนื่องมาจาก ตัวสินค้าฟิวเจอร์นั้น มีลักษณะบางประการที่แตกต่างออกไปจากทองแท่งในแบบที่น้อยคนนักจะเข้าใจคือความเสี่ยงที่มันสูงกว่าการซื้อขายทองแท่งเนื่องจาก อัตราทดที่เป็นลักษณะของฟิวเจอร์ มีการเติมเงินเมื่อผิดทางมากๆ และมีอายุมีกำหนดเวลาในการถือครอง 3 อย่างนี้เป็นความแปลกใหม่ที่นักลงทุนในตลาดต้องเรียนรู้ถึงความแตกต่าง

ความแตกต่างที่เกิดขึ้นเหมือนกับปล่อยเสือที่ถูกเลี้ยงไว้ในกรงเข้าป่า กล้าเกินความรู้ที่มีไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับผลที่อาจจะเกิดอย่างไร ผลก็คือมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อย ที่ต้องขาดทุนและล้มหายตายจากไปทั้งขาดทุนบ้าง ทั้งหมดเงินไปทั้งก้อนก็มี ประสบการณ์ที่เกิดกับนักลงทุนส่วนนี้กู่ก้องออกไปทำให้เกิดความกลัวที่จะเข้ามา เริ่มต้นและเรียนรู้กับการลงทุนในตลาดฟิวเจอร์ทั้งทองคำและสินค้าอื่นๆ ด้วย

ถึงกระนั้นจังหวะเวลาได้เกื้อหนุนให้ตลาดทองคำบูมขึ้นอย่างมาก จากการที่ราคาทองปรับตัวขึ้นจากราวๆ กว่า 900 เหรียญไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1226 เหรียญในปี2010 ราคาของ Gold Futures ตอนนั้นสะท้อนภาพของความคิดคนในตลาดได้ดี ความหมายคือคนไทยไม่เชื่อว่าทองจะขึ้น เพราะราคาซื้อขายของ Gold Futures ในเวลานั้นต่ำกว่าราคาคำนวณ หรือราคาที่ควรจะเป็น ช่วงนั้นหลังจากพักฐานจบที่ราว 1,060 ทองก็ทำทรงขึ้นใหม่มาทำไฮที่บริเวณ 1,250 ถึงรอบนี้ราคา Gold Futures ทำการซื้อขายที่มีพรีเมี่ยมแล้วพร้อมๆ กับเริ่มมีคำแนะนำอันนึงที่ร่ำลือขึ้นมาก็คือ “ห้ามเล่น Short ให้เล่นแต่ Long” แต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก ผู้คนในตลาดเริ่มมาเชื่อกันจริงๆ จังๆ ว่าห้ามเล่น Short กันก็ตอนที่ทองขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 1,570 ช่วงนั้นทองมีการพักตัวบ้างก็จริง แต่ราคา Gold Futures แทบไม่ลง มีแต่คนรอซื้อ หลังจากพักตัวจบแล้วพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 1,900 อีกครั้งพร้อมๆ กับสถานการณ์ที่ดอลล่าร์ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง จากที่ทองขึ้น คนไม่ซื้อใส่ เวลานั้นกลับตาลปัตร ทองยิ่งขึ้นคนยิ่งซื้อ เป็นช่วงที่ราคาทองคำทำขนาดการเคลื่อนไหวสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ ราว 60 เหรียญต่อวันกรอบการเคลื่อนไหวแต่ละวันสูงมากมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สำหรับท่านที่ปกติเทรด 10 สัญญา เมื่อเจอกับความผันผวนระดับนี้ถ้าไม่ลดพอร์ตแล้วผิดทางก็จะหมดหน้าตักเอาง่ายๆ แต่ถ้าถูกทางช่วงนี้เป็นช่วงน้ำขึ้นโดยแท้ และเมื่อราคาทองมีจุดหักเหเข้ามา จากการคาดหมายว่าจะมีคิวอี3 กลับถูกเปลี่ยนเป็นไม่อัดฉีดเพิ่ม ทิศทางราคาทองกลับหัวดิ่งลงในอัตราเร็วพอ ๆกับที่ขึ้นไป ย้ำสัจธรรมที่ว่า “มีขึ้นก็มีลง ขึ้นเร็วก็ลงเร็ว” ให้ต้องจดจำ

หลังจากลงมาจาก 1,900 รอบนั้นจนถึงตอนนี้ทองขึ้นมาทดสอบ 1,800 สามครั้งและยังไม่ผ่าน ผมบอกใบ้ให้ไว้แต่เนิ่นๆ เมื่อไหร่ก็ตามทองได้สร้างฐานที่บริเวณ 1720 – 1750 ได้แข็งแกร่งจึงจะเป็นเวลาที่ทองจะขึ้นทะลุ 1800 ไปได้ โดยการคาดเดา ที่เดาไว้ตั้งแต่ก่อนลงไป 1672 คือช่วงเดือน พฤศจิกายนจะเป็นช่วงที่ทองฟอร์มตัว และรวบรวมพละกำลัง ก็ยังไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่จะเห็น 1600 ต้นๆ ไปได้ จึงยังคงจำเป็นต้องสังเกตุการฟอร์มตัวในช่วงนี้ว่าจะยังเป็นไปอย่างที่ตั้งใจคือ 1800 1850 1900 หรือเปล่าในช่วงเดือนต่อไป

เรื่องราวที่ผ่านมาให้น่าจดจำเกี่ยวกับทองและ Gold Futures คือ การเทรดเกินตัวและไม่ระมัดระวังมักจบและจบไม่สวย ปัญหาหนี้ยุโรปมักทำให้ทองกลับตัวลง ซึ่งถ้าเราตีความตามเหตุผลเดิมทองจะไม่ลงมาเลย แต่เมื่อเหตุการณ์จริงเกิด มักใช้เหตุผลเดิมไม่ได้ ความกลัวมักไม่ค่อยคำนึงถึงเหตุผลเท่าไหร่ สุดท้ายถ้าลืมเป้าหมายและลืมคำที่ว่า “มีขึ้นมีลง ขึ้นเร็วก็ลงเร็ว” ก็จะติดดอยและตกรถครับ ผมเองเห็นมาหมดทั้งกำไรเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าทั้งที่เงินหมดต้องออกไปอย่างเจ็บช้ำ อานุภาพของอัตราทดนั้นแรงสูง ลงทุนในจำนวนที่เราสามารถรับผลขาดทุนได้เป็นสำคัญ

สุดท้ายการซื้อขายเพื่อการลงทุนนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน ผมไม่ได้รับรู้ถึงความซับซ้อนจนมีลูกค้ามาถามว่าจะเริ่มอย่างไร ผมจึงได้กลับมารำลึกได้ว่ามันมีเรื่องให้พูดถึงมากมายเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การเดินทางสายลงทุน ในการให้คำแนะนำในแต่ละครั้งผมจะต้องคำนึงถึงอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ใช่เพียง “ขึ้นหรือลง” ผมก็เลยแหย่ๆ ไปให้กระตุกใจนิดนึงว่าจะลองพาไปเที่ยวดอยดูซักครั้งเพื่อให้เข้าใจ มาลองๆ นึกดูเราที่เทรดทองมาก็จะได้เจอมาหมดนะครับ ทั้ง ขายหมู ติดดอย ตกรถ คล้ายๆ กับคำพูดของผู้ยิ่งใหญ่หลายๆคนในช่วงที่ผ่านมานะครับ ที่เรามักหลบเลี่ยงความผิดพลาด เป็นโรคกลัวความผิดพลาดกันโดยเฉพาะมือใหม่ ในความทรงจำผมมันจะเหมือนคนทอดเต้าหู้ ผมเคยอยู่ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นมาช่วงหนึ่ง เค้าบอกว่าถ้าเรากลัวน้ำมันกระเด็น น้ำมันจะกระเด็นใส่ แต่ถ้าเราไม่กลัว มันจะไม่กระเด็น คือถ้าผมกลัว ผมจะวางเต้าหู้จากที่สูงน้ำมันก็กระเพื่อมแรงจนกระเด็นมาโดน แต่ถ้าเราไม่กลัวเราเอามือไปใกล้ๆ น้ำมัน ค่อยๆ วาง น้ำมันก็ไม่กระเด็น คล้ายๆ อย่างนั้น ถ้าอยู่บนความกลัว เราก็จะตัดสินใจได้ไม่ดี และจะพบเจอกับสิ่งที่เรากลัว แต่แย่หน่อยที่เราไม่ได้เตรียมอะไรไว้รับมือ ถ้าเราลดความรู้สึกต่างๆ ลง เตรียมแผนไว้รับมือสิ่งต่างที่จะเกิดขึ้น เพราะเราเลิ่ยงไม่ได้ติดดอยขายหมู ตกรถ เราจะเจอแน่นอน เมื่อเตรียมแผน ก็ทำตามแผนเมื่อเหตุการณ์เกิดก็จะช่วยเราได้ แม้การวางแผนจะไม่จบลงด้วยการกำไรทุกครั้งก็ตาม น่าจะเป็นคำตอบทั้ง Gold Futures และทองแท่งนะครับ อย่างที่ผมพูดมาเสมอนะครับ คนที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ดีกว่าคือคนที่จะทำกำไรได้มากกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือวิธีการที่จะนำมาคาดเดาเป็นเพียงส่วนหนึ่ง การควบคุมอารมณ์เป็นทักษะหนึ่งที่ฝึกฝนกันได้และเป็นส่วนหนึ่งที่มาประกอบกันเพื่อตัดสินใจเช่นเดียวกับการคาดเดาทิศทาง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เซ็งตอน 1730. gt webล่ม จนเดี๋ยวนี้ยังเข้าไม่ได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มาฟังเรื่องเล่าผมเสียหน่อยตบท้าย เรื่องการเลือกระยะเวลาของกราฟที่เราจะดูเพื่อเข้าตลาด ระยะเวลาในกราฟที่เราเลือกดูได้ มีตั้งแต่กราฟราย 1 , 5 , 15 ,30 , 45 , 60 นาที , 2 ชม. , 4 ชม. , 8 ชม. , 1 วัน ไปจนถึง 1ปี ตำราเล่มนึงที่ผมอ่านเค้าแบ่งระยะเวลาดังนี้ครับ 1. Sclapling เป็นกลุ่มที่เข้าออกไว วันละหลายรอบ แต่เป็นรอบเล็กๆ ไม่มาก เลี่ยงจังหวะที่จะเหวี่ยงแรงและไม่รับความเสี่ยงช่วงข้ามคืน กลุ่มนี้จุดแข็งคือมีเวลา มีความเจนจัด รู้จักตลาดเข้าใจตลาด เข้าทำกำไรเมื่อตลาดผิดปกติ และตามแนวโน้มย่อยๆ แต่ละวัน จุดอ่อนคือรับความเสี่ยงสูงไม่ได้หรือเรียกว่าเลี่ยง การพลาดกับช่วงการปรับตัวแรง จะทำให้กำไรเล็กๆที่สะสมมานานหายไปในทันที 2. Day Trade กลุ่มนี้คล้าย sclaping ตรงที่ไม่ถือข้ามคืน แต่จำนวนการเข้าตลาดในแต่ละวันน้อยกว่า คือเพียงวันละครั้งสองครั้งเท่านั้น อาศัยรอบที่ใหญ่กว่า 3. Swing Trade กลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่สุด ถือข้ามคืน อาศัยรอบระยะเวลาราว 2 - 4 วัน หรือไม่มากกว่า 2 สัปดาห์ กลุ่มนี้เพิ่มจุดแข็งตรงที่เงินทุนที่รับความเสี่ยงช่วงข้ามคืนได้เข้ามาเพื่อแลกกับผลตอบแทนที่สูงขึ้น กลุ่มนี้ตื่นมาในแต่ละวันต้องมาค่อยตามเช็คหน้า เช็คหลังว่ายังมีทิศทางไปตามที่ดูไว้หรือไม่ กลุ่มนี้นิยมกันไม่น้อยกว่ากลุ่มเดย์เทรด เพราะโดยลัษณะเหมาะกับกลุ่มคนที่ทำงานอื่นไปด้วยและเทรดไปด้วย กลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่ม Long Term กลุ่มนี้ถือยาวปีครึ่งปี จุดแข็งคือขนาดพอร์ตที่สามรถรับความเสี่ยงได้มากเช่นสามารถรองรับการปรับตัวลง 100 เหรียญของทองได้เป็นต้น กลุ่มนี้ค่อนไปทางตามปัจจัยพื้นฐานมากกว่ากลุ่มอื่น ต้องคอยตามเช็คปัจจัยที่หนุนนำในทุกสัปดาห์หรืออย่างน้อยเดือนละสองครั้ง

คร่าวๆ ดังนี้ แปลว่าการเลือก Time Frame ขึ้นอยู่กับความสามารถ เวลา เงิน และความชอบ ส่วนตัวผมให้ปัจจัยเรื่องเงินเป็นตัวหลัก ความสามารถนั้นอ้างอิงกับผู้ให้คำแนะนำได้ ส่วนความชอบ ถ้าเวลาไม่เอื้อก็คงยาก ผมบอกเสริมให้นิดนึงว่า ถ้ากราฟรายวันส่งสัญญาณให้ซื้อ ถ้าไม่ผิด ทิศทางจะเป็นไปตามนั้นราว 3 - 5 วัน ถ้าเป็นกราฟรายชั่วโมง เมื่อมีสัญญาณก็จะเป็นไปตามนั้นอีกราว 3 - 5 ชั่วโมง ส่วนตัวผมใช้แนวราคาเป็นเป้าช้าเร็วไม่ตายตัวนัก แค่ให้สอดคล้องกับเรื่องระยะเวลาก็เลยให้เป้าเวลา การถือครองเพื่อข้ามช่วงเวลานั้นต้องพิจารณาเรื่องหน้าตักที่พร้อมรับสถานการณ์ บางครั้งเราไม่เข้าใจ อาจเพลี่ยงพล้ำโดยมิอาจตั้งตัว เราสามารถเทรดตามได้มากกว่าหนึ่งแบบในพอร์ตเดียวกันได้ หมายถึงเราอาจมี Long Term กับ Day Trade ได้ แต่ถ้ามากกว่าสอง การวางแผนและการลงมืออาจต้องใช้ความเชี่ยวชาญทั้งจากนักลงทุนเองและผู้ให้คำแนะนำ

สุดท้ายการเลือก Time Frame ในการเทรดถือเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสัำคัญนะครับ เป็นหนึ่งในการวางแผน การเทรดอย่างไม่มีแผน หรือมีแผนที่ไม่รัดกุมก็มักจะสับสนวุ่นวายเอาง่ายๆในระหว่างทาง ลองเลือกดูเอานะครับ อาจจะเริ่มจากที่เราชอบเสียก่อนแล้วค่อยมาดูถึงความเป็นไปได้อื่นๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...