ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

หัวใจทองคำกับรอยหยักของสมอง

โพสต์แนะนำ

vdo_thumb_501392.jpg

คู่หูนักลงทุน : เทป 13 ออกอากาศวันที่ 20 เมษายน 2556

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

558802_569045443127547_1680364012_n.jpg

 

วันนี้ ขออนุญาตลงข่าวพรุ่งนี้เช้าเร็วกว่าปกติค่ะ

------------------------------------------------

 

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง .... มิตรแท้ตลอดเส้นทางลงทุน

 

22 เมษายน 2556

 

General News

----------------

 

• ประธานคณะกรรมการด้านการเงินระหว่างประเทศของ IMF กล่าวว่า ยังไม่มีทางออกสำหรับวิกฤตว่างงานทั่วโลก

โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของผู้ว่างงานระยะยาว และการว่างงานของวัยหนุ่มสาวในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว

ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญอยู่ ขณะที่อุปสรรคอันดับ 2

คือการดูแลด้านสาธารณสุขและบำนาญที่มีค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าที่แรงงานรุ่นต่อไปจะสามารถจ่ายได้

 

 

• G20 เห็นด้วยกับการดำเนินนโยบายการเงินของญี่ปุ่นเพื่อแก้ปัญหาเงินฝืดและสนับสนุนการเติบโตในประเทศ โดยผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นได้แสดงความเชื่อมั่นก่อนหน้าการประชุมว่าสมาชิก G20 จะเข้าใจความจำเป็นของญี่ปุ่นในการแก้ปัญหาเงินฝืดและจะไม่ออกแถลงการณ์ตำหนิ

 

อย่างไรก็ตาม G20 ได้เตือนว่าประเทศสมาชิกควรระวังผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเป็นเวลานาน และจะป้องกันไม่ให้มีการลดค่าเงินเพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน

 

• ประธานธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) กล่าวว่า เศรษฐกิจของยูโรโซนยังไม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นนับตั้งแต่การประชุม ECB ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในกรณีที่ข้อมูลเศรษฐกิจปรับตัวแย่ลงกว่านี้

 

ทั้งนี้ ECB ได้ประเมินว่าเศรษฐกิจของยูโรโซนจะหดตัวลง 0.5% ในปีนี้ ก่อนจะขยายตัว 1% ในปีหน้า

 

• Giorgio Napolitano ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของอิตาลีคนใหม่ด้วยคะแนนเสียงถึง 738

จากเกณฑ์ 504 เสียงที่ต้องการจากสภา จึงเป็นประธานาธิบดีอิตาลีคนแรกที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2

แต่เนื่องจากตำแหน่งประธานาธิบดีอิตาลีมีวาระ 7 ปี จึงทำให้กังวลว่าเขาจะดำรงตำแหน่งไม่ครบวาระ

เพราะมีอายุถึง 87 ปีแล้ว

 

• Fitch ลดอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษจาก AAA เหลือ AA+ เพราะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัว และมีปัญหาหนี้สาธารณะที่คาดว่าจะสูงถึง 101% ต่อ GDP ภายใน 2 ปีข้างหน้า

 

อนึ่ง ในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมานี้ Moody’s ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือลงเหลือ Aa1 ด้วยเหตุเดียวกัน

 

• ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน ระบุว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสแรกเป็นสิ่งปกติ เนื่องจากจีนต้องสละการเติบโตในระดับสูงเพื่อการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจตามที่วางแผนไว้

 

• เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในมณฑลเสฉวนของจีนวัดแรงสั่นสะเทือนได้ 7.0 ริกเตอร์ในวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 100 คน ทั้งนี้ มณฑลเสฉวนเคยเกิดเหตุแผ่นดินไหวความรุนแรง 8 ริกเตอร์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตที่สูงถึง 69,000 คน ในปี 2551

 

• รมว.คลังเกาหลีใต้ กล่าวว่า การอ่อนค่าของเงินเยนส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจเกาหลีใต้มากกว่าภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ แม้ว่านโยบายเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว แต่อาจสร้างปัญหาที่ยิ่งใหญ่ตามมาเช่นการเกิดสงครามค่าเงิน

 

ทั้งนี้ เงินวอนเทียบกับเงินเยนได้อ่อนค่าลงแล้วกว่า 21% ใน 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ภาคส่งออกเกาหลีใต้เริ่มลดลง

 

• ยอดหนี้สินของบริษัทรัฐวิสาหกิจของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 392.96 ล้านล้านวอน หรือเพิ่มขึ้น 8.7% จากปีก่อน

ซึ่งเข้าใกล้ระดับหนี้สาธารณะของประเทศที่เป็น 445.2 ล้านล้านวอน ทำให้กังวลว่า

ภาระหนี้สินดังกล่าวจะก่อให้เกิดปัญหาต่อฐานะการคลังของประเทศในอนาคต

 

• กิตตรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะโครงการที่ผ่านการพิจารณาว่าคุ้มค่ากับการลงทุนเท่านั้น โดยจะมีคณะกรรมการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของแต่ละโครงการ อันประกอบด้วยนักวิจัยของ TDRI สำนักงบประมาณ ก.คลัง และ สศช.เป็นแกนหลัก โดยรัฐบาลจะคำนึงถึงความคุ้มค่าของการลงทุนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งแตกต่างกับนักวิชาการที่มุ่งเน้นทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น

 

ทั้งนี้ TDRI ได้ให้ความเห็นว่าการลงทุนแนบท้าย พรบ.โครงสร้างพื้นฐานทั้ง 11 โครงการเป็นการลงทุนที่ไม่มีความคุ้มค่า

 

ส่วนเรื่องการปลดผู้ว่า ธปท.เป็นแค่ความคิดเท่านั้น ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับ ธปท. แต่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเท่านั้น พร้อมเน้นย้ำว่า จะทำงานในส่วนที่ ก.คลัง รับผิดชอบให้ดีที่สุด

 

• รมว.พาณิชย์ ยืนยันให้คงเป้าการส่งออกในปีนี้ไว้ที่ 8-9%

แม้ว่าหน่วยงานอื่นจะลดเป้าการส่งออกลงบ้างแล้วจากผลกระทบของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

โดย ก.พาณิชย์จะใช้เครื่องมือที่มีอยู่ทางการตลาดและการส่งเสริมการส่งออกไปกระตุ้นให้การส่งออกเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้

 

• ธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ชี้ว่า

หน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องหารือเรื่องเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ และช่วยกันหามาตรการที่ดีและเหมาะสมที่สุด

เพราะการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเดียวคงไม่ทำให้บาทอ่อนค่าลงได้

 

ดังนั้น ธปท. จึงควรออกมาตรการสกัดการเก็งกำไรเงินไหลเข้าหรือ Capital Control เพราะเงินบาทแข็งค่ารุนแรงและเร็วเกินไปแล้ว โดยขณะนี้เศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวและฟื้นตัวช้า ซึ่งการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายของ ก.พาณิชย์ ที่ร้อยละ 8-9 หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น

 

• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า เงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าสูงสุดในรอบเกือบ 16 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ 28.60 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีทิศทางสอดคล้องกับการแข็งค่าของสกุลเงินและตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียรวมถึงค่าเงินหยวนของจีน

 

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิพันธบัตรไทย

 

• ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ของ ธอส. เปิดเผยว่า

ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในไตรมาสแรกอยู่ที่ 57.8

เพิ่มขึ้นจาก 56.8 ในไตรมาสก่อน

ขณะที่ดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้าเป็น 71.6 เพิ่มขึ้นจาก 71.0 ในไตรมาสก่อน

 

บ่งชี้ว่า ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต

โดยเฉพาะด้านยอดขาย การลงทุน และการจ้างงาน

 

• กสทช.เห็นชอบร่างประกาศ กสทช. 3 ร่าง เกี่ยวกับการใช้โครงข่ายร่วมกัน

เพื่อรองรับการเปิดให้บริการระบบ 3G คลื่นความถี่ 2.1 GHz ของภาคเอกชน

โดยขั้นตอนต่อไปจะประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้

ซึ่งจะทำให้คนไทยอาจได้ใช้บริการระบบ 3G ภายในเดือนนี้

 

Equity Market

---------------

 

• SET Index ปิดที่ 1,545.46 จุด เพิ่มขึ้น 15.70 จุด หรือ +1.03% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 58,536 ล้านบาท

โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 755.59 ล้านบาท ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดภูมิภาค

และความคาดหวังต่อผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 1/56 ของบริษัทจดทะเบียน

 

• กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบีทีเอสโกรท (BTSGIF) ได้เข้าไปจดทะเบียนให้ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2556 โดยราคาปิดในวันแรกเป็น 12.00 จากราคา IPO 10.80 บาท

 

Fixed Income Market

------------------------

 

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยทุกช่วงอายุ

โดยเปลี่ยนแปลงอยู่ในช่วง 0.00% ถึง 0.02% สำหรับวันนี้ไม่มีการประมูลพันธบัตร

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

21/4/13 -- 6 pm

 

มีหลายคนถามว่า น้องทองของเราจะลงไม่มีที่สิ้นสุดเลยไหม

เท่าที่ประเมิน การปรับลงของทอง จะเริ่มมีการชะลอตัวลงแล้ว

เริ่มตั้งแต่แนวรับ 1300 ซึงเป็นกาชะลอตัว ณ ขณะนี้

เมื่อหลุดแนวรับนี้ จะลงไปกรอบถัดไปที่ 1150 - 1260

ซึ่งคาดว่าเมื่อถึงแนวรับดังกล่าว อาจจะเป็นการสิ้นสุดขาลง

 

ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องจับตา เพื่อบอกว่าเป็นสัญญาณกลับเป็นขาขึ้น คือ

1. การทำ Short Covering ของนักลงทุนรายใหญ่ -- ที่ราคาชะลอตัวลงนี้ เพราะเขามีการทำ short covering คือ

การที่เปิด Short ไว้ราคาสูงๆ เมื่อเห็นราคาร่วงลงมาแรงๆ ก็ปิด Short position เอากำไรออกมาก่อน

แต่อาจจะเป็นเพียงส่วนเดียว เพราะยังคาดการณ์ว่า ราคายังลงได้ต่อ ดังนั้น สิ่งที่เราต้องจับตาคือ

แนวโน้มการสิ้นสุด Short Covering คือปิด position ทั้งหมด

และสวน Long กลับเข้ามา นั้นจะเป็นสัญญาณกลับมาเป็นขาขึ้น

 

2. การเข้าซื้อของตลาด Physical -- แน่นอนว่าทุกคนอยากได้ของถูก ซึ่งจีน และอินเดีย ผู้ซื้อทองคำจำนวนมาก

แน่นอนว่าจับจ้อง shopping ทองในราคาถูก แม้ขณะนี้ยังไม่ได้มีปริมาณซื้อที่ชัดเจน แต่เมื่อราคาลงไปอีกครั้ง

มีแนวโน้มว่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามามากขึ้น และนี้ จะเป็นอีกจุดของสัญญาณขาขึ้น

 

3. ตลาดหุ้น -- ขณะนี้ ทุกตลาดถูก dump ราคาลงมา มีตลาดหุ้นที่ยังคงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จุดนี้เองอาจเป็นสัญญาณอันตรายลำดับถัดไปของตลาดดังกล่าว เนื่องจาก ของที่แพงเกินไป

ก็มีโอกาสถูกขายออกมา เพื่อไปซื้อของที่ถูกกว่า ดังนั้น เมื่อใดก็ตาม ตลาดหุ้นเริ่มร่วงลงมา

คงเป็นสัญญาณดีต่อตลาดทองคำในลำดับถัดไป

 

4. Debt Ceiling -- ขณะนี้ ราคาทองคำลง จนทุกคนอาจจะลิมเลือนประเด็น fiscal cliff ไปชั่วขณะ แต่แน่นอนว่า ประเด็นนี้จะเริ่มกลับเข้ามา เพราะยังคงปฏิเสธไม่ได้ว่า หนี้สิ่นของสหรัญยังคงอยู่ที่ระดับสูง แม้ว่าจะมีนโยบายมาแก้ปัญหา แต่ก็เป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้น เมื่อถึงเวลาที่อาการกำเริบอีกครั้ง อาจจะเป็นแรงหนุนต่อราคาทองคำอีกครั้ง ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

 

5. ค่าเงินที่ผันผวน -- มีการเข้าแทรกแซงทางการเงิน จนทำให้ค่าเงินผันผวน ซึ่งถ้าผวนมากๆ

อาจจะ มีแรงซื้อทองกลับเข้ามาเพื่อปิดความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของค่าเงิน

 

6. ภาวะสงคราม -- ทางเกาหลี ที่ดูรำๆ ว่าจะมีปัญหาให้เกิดสงคราม ซึ่งมีภาวะสงครามที่ไร ราคาทองก็จะขึ้นทุกที

แต่ทุกวันนี้การทำสงครามคงไม่ใช่การใช้อาวุธ แต่เป็นการทำสงครามทางธุรกิจมากกว่า

ดังนั้น แม้ประเด็นนี้จะช่วงผลักดันราคาทอง แต่ก็มีระดับที่ค่อนข้างต่ำ

 

จริงๆ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ เนื่องจาก ทองคำ เชื่อมโยงต่อหลายๆ factors ผู้ที่ซื้อขายทองคำ

จึงจำเป็นต้องศึกษาอย่างละเอียดก่อนการลงทุน --- ส้มเปรี้ยว ลองยกมาคร่าวๆ ให้เข้าใจกัน

และเป็นข้อสังเกตเล็กๆน้อยๆ ถึงแนวโน้มของตลาด -- หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

 

ทั้งนีั้ แม้ส้มเปรี้ยวจะหยิบยกปัจจัยบวกมาให้ดูหลายๆ ข้อ

แต่ปัจจัยดังกล่าว ยังไม่เกิดขึ้น sentiment ตลาดทองคำ ก็ยังดูไม่ดีนัก -- การเข้าซื้อทองคำ

จึงจำเป็นต้องซื้อขายระยะสั้น และรอจังหวะที่สิ้นสุดการลง เพื่อเข้าซื้ออีกครั้ง ที่นี้ คงได้ทำกำไรกันยาวๆ

--- ขอให้ถึงวันนั้นเร็วๆ ^^

 

ซินแซ ส้มเปรี้ยว ^^

Sinsae Sompreaw

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บ่องตงฝรั่งยังงงเป็นไก่ตาแตก

blank.gif โดย ไสว บุญมา 21 เมษายน 2556 14:56 น. blank.gif TabOver.gif ​ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ใช้ศัพท์แสงที่ไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม แรงบันดาลใจของการใช้ได้แก่การมองว่ามันถึงเวลาที่เราต้องทำอะไรให้ทะลุปล้องของแนวคิดเดิมๆ แล้ว การมองเช่นนั้นส่วนหนึ่งมาจากการประชุมประจำฤดูใบไม้ผลิของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลกในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.เมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งพอสรุปได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจฝรั่งทั้งหลายยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรนโยบายที่ประเทศก้าวหน้าดำเนินมาในช่วงนี้จึงไม่มีผลตามที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์บ่งบอก

 

​เหตุการณ์ด้านเศรษฐกิจหลักในตอนนี้ที่ทำให้เกิดความงุนงงได้แก่การถดถอยครั้งใหญ่ในประเทศก้าวหน้าหลังฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกเมื่อปี 2551 การถดถอยดังกล่าวนับว่าร้ายแรงที่สุดรองลงมาจากวิกฤตที่เกิดหลังจากตลาดหลักทรัพย์อเมริกันล่มเมื่อปี 2472 การแก้วิกฤตครั้งนั้นได้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ฝรั่งมั่นใจว่าพวกเขาค้นพบยาสำหรับแก้ปัญหาเศรษฐกิจซบเซาและถดถอยแล้ว ยานั้นมาจากแนวความคิดของนักเศรษฐศาสตร์อังกฤษชื่อ จอห์น เมนาร์ด เคนส์ ซึ่งเสนอทฤษฎีที่ว่าในภาวะเช่นนั้น รัฐบาลต้องเข้าไปกระตุ้นการใช้จ่าย หรือไม่ก็ต้องใช้จ่ายเองเพิ่มขึ้น หรือทำทั้งสองอย่างพร้อมๆ กัน แต่หลังเวลาผ่านไปกว่า 4 ปี ยานั้นยังไม่มีผลตามคาด

 

​เหตุการณ์ที่รองลงมาได้แก่ปัญหาของประเทศในกลุ่มผู้ใช้เงินสกุลยูโรซึ่งล้มละลายตามกันไปหลายประเทศแล้ว เช่น ไอร์แลนด์ โปรตุเกส กรีซ และไซปรัส บางประเทศยังไม่ล้มละลาย แต่ตกอยู่ในสภาพหยอดข้าวต้ม เช่น สเปน และอิตาลี

 

​อันที่จริงเหตุการณ์แรกนั้นหากมองให้ลึกลงไปไม่ใช่สิ่งใหม่ มันเกิดขึ้นในญี่ปุ่นมากว่า 20 ปีแล้วและยังแก้ไขไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน ในตอนแรกๆ พวกนักเศรษฐศาสตร์เรียกมันว่า “ทศวรรษที่สูญหาย” (The Lost Decade) พอมันยืดเยื้อมาถึง 20 ปีก็เปลี่ยนไปเรียกมันว่า “สองทศวรรษที่สูญหาย” The Lost Two Decades) ความสูญหายได้แก่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นซบเซามาตั้งแต่ครั้งหลังฟองสบู่แตกเมื่อปี 2534 ฟองสบู่นั้นเกิดจากการกู้หนี้ยืมสินมาเก็งกำไรในหลักทรัพย์หลายอย่าง โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ในแนวเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในเมืองไทยในปี 2540 ที่ต่างกับเมืองไทยได้แก่หนี้ของญี่ปุ่นเป็นหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืมภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ส่วนของไทยเป็นหนี้ที่กู้ยืมจากต่างประเทศ

 

​หลังจากปี 2534 ญี่ปุ่นดำเนินนโยบายตามแนวทฤษฎีที่เคนส์เสนอ แต่ ณ วันนี้ เศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังอยู่ในภาวะซบเซา ระดับการผลิตยังทำได้ไม่เท่ากับในตอนก่อนฟองสบู่แตก ธนาคารต่างๆ ยังมีปัญหา บริษัทขนาดใหญ่ที่เคยโด่งดังเช่นโซนี่ไม่มีความสามารถที่จะแข่งขันกับบริษัทที่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในต่างประเทศได้ และรัฐบาลมีหนี้สินสูงมาก

 

​อาจจำกันได้ว่า หลังจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศแตกเมื่อตอนกลางปี 2551 ทำให้เศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ในประเทศก้าวหน้า ธนาคารกลางต่างๆ ได้อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบจำนวนมหาศาลและรัฐบาลพยายามกระตุ้นการใช้จ่ายพร้อมกับเข้าไปช่วยเหลือธนาคารและบริษัทขนาดใหญ่ที่จะล้มละลายโดยตรง ณ วันนี้ เศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นยังตกอยู่ในสภาพลูกผีลูกคนในขณะที่รัฐบาลมีหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก

 

​ภาวะหนี้สินที่หนักอึ้งนั่นเองนำไปสู่ความล้มละลายและอยู่ในสภาพหยอดข้าวต้มของหลายประเทศในกลุ่มผู้ใช้เงินสกุลยูโร

 

​นอกจากหนี้สินแล้ว ความล้มละลายของไซปรัสยังชี้ให้เห็นปัญหาที่มาจากการเปิดเสรีต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจอีกด้วย ไซปรัสเปิดเสรีทางการเงินอย่างกว้างขวางโดยหวังจะทำรายได้จากการให้บริการแก่เศรษฐีและบริษัทห้างร้านที่ต้องการหลบเลี่ยงภาษีและอุปสรรคทางการเงินในประเทศของตน ผลปรากฏว่าไซปรัสประสบความสำเร็จสูงมากเนื่องจากธนาคารในไซปรัสรับเงินฝากจากภายนอกจำนวนมหาศาล เนื่องจากไซปรัสมีขนาดเล็กมาก ธนาคารที่รับฝากเงินจำเป็นต้องนำเงินนั้นไปลงทุนในต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่นำไปซื้อสินทรัพย์ในกรีซ เมื่อกรีซล้มละลาย ธนาคารไซปรัสมีปัญหาสาหัสจนนำประเทศไปสู่ความล้มละลายด้วย

 

​เหตุการณ์ในไซปรัสไม่ต่างกับเหตุการณ์ในเมืองไทยซึ่งนำไปสู่ความล้มละลายในปี 2540 ที่ต่างกันบ้างได้แก่เงินที่ไหลเข้ามาในเมืองไทยถูกนำไปใช้ซื้อหลักทรัพย์ในเมืองไทย ส่วนเงินที่ไหลเข้าไซปรัสถูกนำไปซื้อหลักทรัพย์ในต่างประเทศ แต่ไม่ว่าจะนำไปซื้ออะไรที่ไหน มันทำให้เกิดความล้มละลายได้เช่นกัน

 

​อาจจำกันได้ว่า การเปิดเสรีต่างๆ มีที่มาจากแนวคิดที่เรียกกันว่า “ฉันทามติแห่งวอชิงตัน” (Washington Consensus) ฉันทามตินั้นมาจากผลักดันของรัฐบาลอเมริกันในสมัยโรนัลด์ เรแกน (พ. ศ. 2523 – 2531) ร่วมกับรัฐบาลอังกฤษในสมัยมาร์กาเรต แทตเชอร์ (พ. ศ. 2522 – 2534) ทั้งสองเชื่อว่าถ้ารัฐบาลปล่อยให้ภาคเอกชนทำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างเต็มที่ เศรษฐกิจจะดีเอง แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่าความเชื่อนั้นผิดโดยสิ้นเชิง การเปิดเสรีโดยไม่มีการควบคุมนำไปสู่ความฉ้อฉลในภาคเอกชนเพิ่มขึ้นซึ่งนำไปสู่การเกิดฟองสบู่และความล้มละลายยังผลให้เกิดความยากจนและความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เองที่ชาวอังกฤษบางส่วนแสดงความดีใจอย่างออกหน้าออกตาเมื่อมาร์กาเรต แทตเชอร์ ตายในตอนต้นเดือนนี้

 

​ประวัติของวิวัฒนาการในด้านแนวคิดทางเศรษฐกิจบ่งว่า แนวคิดแบบเรแกน-แทตเชอร์อยู่คนละขั้วกับแนวคิดแบบเคนส์ เหตุการณ์ที่ผ่านมาชี้ให้เห็นแล้วว่า แนวคิดแรกเป็นตัวสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหาและแนวคิดหลังแก้ปัญหาของโลกปัจจุบันไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะโลกได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญแล้ว แต่ฝรั่งยังไม่เข้าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ การจะใช้ทฤษฎีที่ฝรั่งคิดขึ้นมาพัฒนาประเทศไม่น่าจะเหมาะสมอีกต่อไปแล้ว แต่นั่นคือสิ่งที่รัฐบาลไทยกำลังทำแบบไม่ลืมหูลืมตา

 

​หากถามว่าแนวคิดไหนจะใช้แก้ปัญหาและพัฒนาประเทศได้ดีในภาวะที่โลกได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ขอบ่องตงอย่างดังๆ เพื่อจะได้ฟังกันชัดๆ อีกครั้งว่า จงไปทำความเข้าใจและใช้แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง! แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง!! แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง!!!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

545919_601170143226360_668050949_n.jpg

ฟ้าสวยใส เปลี่ยนสลับ แสงสี

เช่นเดียวกับทุกสิ่ง ยึดมั่นมิได้

ปล่อยวาง มีสติ รับรู้

ธรรมชาติ และสัจจะธรรม

ชีวิต เติบโต นักลงทุนเรียนรู้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

375982_10200767645380716_1746461059_n.jpg

คนรวยๆ เขาทำอย่างนี้

-----------------------

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

22 เมษายน 2556

 

เถ้าแก่ เป็นคำที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ใช้เรียกผู้สร้างตนเองจนมีฐานะและกิจการที่ร่ำรวย

ส่วนฝรั่งเขาเรียกเถ้าแก่กันว่า Entrepreneur

 

คนไทยเดี๋ยวนี้ไม่ใช้คำว่าเถ้าแก่แล้ว อาจจะเพราะฟังเสียงอ่านแล้วมันทั้ง “เฒ่า” และทั้ง “แก่”

หลายคนเลยไม่ชอบใช้คำนี้ บอกว่าฟังแล้วไม่มงคลหู

 

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นเถ้าแก่ เถ้าหนุ่ม หรือเถ้าสาว ของชาติไหน ก็มักจะชาญฉลาดในกิจการ

สามารถจัดการบริษัทได้ยอดเยี่ยม แต่อาจบริหารเงินทั้งของตนเองและของกิจการไม่ได้ดีไปทุกคน

 

ที่จริงแล้วเป้าหมายของ Entrepreneur ในเรื่องบริหารเงินนั้นล้วนแต่ไม่ต่างกัน

เพราะมี 2 เรื่อง ได้แก่ 1. ทำอย่างไรถึงจะรวยขึ้น กับ

2. ทำอย่างไรจึงจะรักษาส่วนที่รวยอยู่แล้วเอาไว้ได้ เพื่อให้ลูกหลานได้สืบทอดความมั่งคั่งไปได้อย่างยั่งยืน

 

ไว้ว่างๆ จะเขียนเรื่องนี้ให้เศรษฐีโดยเฉพาะ โดยจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดการความมั่งคั่ง

กับการจัดการอารมณ์ของคนหลายรุ่นในครอบครัวเศรษฐี

 

อย่าเพิ่งประหลาดใจไปเลยที่ว่าถึงการจัดการอารมณ์คน เพราะเรื่องนี้สำคัญพอๆ

กับการจัดการทรัพย์สินทีเดียว ซึ่งหากละเลยไป ทุกอย่างอาจจะพังทลายไปได้ง่ายๆ เชียวละ

 

วันนี้จะเน้นเรื่องการบริหารเงินของคนทั่วไป ว่าจะมีหลักการที่ต่างกับคนรวยๆ อย่างไร หรือไม่

 

เรื่องนี้ Martin Graham ประธานกรรมการ Advisory Board ของ Oracle Capital Group

แนะนำเรื่องการบริหารเงินบอกว่า มันไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะมีเงินมากหรือมีเงินน้อย

เรียกว่า ขอให้มีเงินก่อน มีสักหน่อยก็เอาไปบริหารด้วยวิธีพื้นฐานคล้ายๆ กันได้

 

นึกถึงตอนเปิดบูธในงานมหกรรมการเงินต่างๆ ที่มีบูธธนาคาร กองทุน มีคนเดินเข้ามาที่บูธกองทุน มาขอกู้เงิน

และเพื่อไม่ให้ท่านผู้นั้นเสียเวลา ก็ต้องบอกไปอย่างเกรงอกเกรงใจยิ่งว่า....

 

“มีเงิน ให้มาที่นี่ ... ถ้ายังไม่มี ให้ไปที่นั่น”

 

แล้วก็ชี้มือแนะนำทางไปที่บูธแบงค์ เพื่อให้แบงค์แนะนำการกู้ที่เหมาะสม

 

Martin Graham มีกฏ 5 ข้อที่ใช้ในการจัดการเงินทอง ได้แก่

--------------------------------------------------------------

 

1. ลงทุนระยะยาวด้วยเงินที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อีกยาวนาน

 

ถ้ายังไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน ก็อย่าเพิ่งไปลงทุนในหุ้น อย่างน้อยต้องมั่นใจว่าเงินที่จะนำไปลงทุนในหุ้นนั้น

เราไม่จำเป็นต้องใช้มันเลยในเวลา 5 ปี แม้จะมีเรื่องฉุกเฉินเราก็มีส่วนหนึ่งที่กันเอาไว้ต่างหากแล้ว

 

2. อย่าไปลงทุนในอะไรที่เราไม่รู้จัก

 

ในโลกของการลงทุน คนเดินดินทั่วๆ ไปมักจะมีสายตาที่แหลมคมกว่ามืออาชีพ

 

เรื่องนี้ Graham ยกตัวอย่างมาอธิบายว่า ในปี 2012 Marks & Spencer นำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาด

และเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินลูกค้า ไม่ใส่ใจเข้าถึงรสนิยมลูกค้า แต่นักวิเคราะห์หุ้นกลับไม่ได้สังเกตุเห็นจุดนี้

จึงวิเคราะห์ไม่สอดคล้องกับแนวโน้มเชิงลบที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่คนเดินถนนกลับสังเกตุเห็นความผิดปกตินี้ได้ง่ายๆ

 

ดังนั้น เราจึงควรลงทุนแต่เฉพาะกิจการที่เราเองรู้จักดีเท่านั้น เพราะผู้เชี่ยวชาญก็สามารถผิดพลาดได้

 

3. อย่าแช่การลงทุนไว้จนชั่วนิจนิรันดร์

 

เราต้องกระจายการลงทุนทั้งในแง่สินทรัพย์ อุตสาหกรรม และพื้นที่ที่ลงทุน และสำคัญมาก ที่จะต้องมีการปกป้องในยามตลาดเป็นขาลง เช่นสลับหมุนเวียนการลงทุนเป็นครั้งคราว เป็นต้น แต่ไม่ได้หมายความให้เราไปนั่งจ้องตลาดวันละเป็นชั่วโมงๆ เพื่อพยายามซื้อๆ ขายๆ ให้ได้กำไร เพราะสิ่งที่ควรทำมากกว่าคือการวางแผนการลงทุน ซึ่งหากทำไม่เป็นก็ให้ใช้บริการทึ่ปรึกษาหรือผู้แนะนำการลงทุนที่มีประสบการณ์ และเขาจะแนะนำให้ได้ว่าเราควรปรับพอร์ตลงทุนได้เมื่อไหร่

 

กุญแจสำคัญก็คือ เตรียมพร้อมสำหรับปรับสมดุลพอร์ตลงทุนของเรา (Portfolio Rebalancing) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมที่สุดภายใต้ความเสี่ยงที่เรารับได้ โดยเฉพาะเมื่อเราแก่ตัวลง และไม่ อยากนำเงินก้อนสุดท้ายไปเสี่ยงมากๆ

 

ข้อสังเกตุอย่างหนึ่งคือ คนไทยแม้จะเริ่มลงทุนกันเป็นบ้างแล้ว แต่มักไม่รู้จักวางแผนลงทุนเป็นพอร์ตโฟลิโอที่ผสมผสานด้วยสินทรัพย์หลากหลาย

 

หรือถ้าวางแผนลงทุนแล้ว ก็ไม่รู้จักการปรับสมดุลพอร์ตลงทุนของตน ทั้งๆ ที่นั่นคือการเปิดรับความเสี่ยงจากการขึ้นลงของราคาสินทรัพย์ที่เราลงทุนอย่างเต็มที่ ไม่มีดิสเบรค

 

4. ยืนคนละข้างกับฝูงชน

 

ตลาดและสื่อมวลชนที่เสนอข้อมูลตามตลาด ไม่ได้ถูกเสมอไป อย่าแห่ลงทุนหรือแห่ขายตามตลาด จงกล้าในการแสวงหาสิ่งดีๆ ที่คนมองข้าม กล้าลงทุนในสิ่งดีๆ ที่อารมณ์ตลาดถล่มขาย และกล้าขายสิ่งที่ตลาดไล่ตามลงทุน เพราะมันจะทำให้เราซื้อของดีได้ในราคาถูก ในขณะที่ขายออกไปได้แพงๆ

 

5. ลงทุนแบบเผื่อเหลือเผื่อขาด

 

กฏเหล็กที่สุดในการบริหารเงินของเศรษฐี คือ ต้องปกป้องความมั่งคั่งเอาไว้ให้ได้ และต้องปกป้องให้ถึงมือทายาทในรุ่นต่อๆ ไปได้โดยไม่เสียหาย

 

ในการทำให้บรรลุเป้าหมายที่เป็นฏเหล็กนี้ หลายๆ คนมักลืมสัจธรรมของชีวิต นั่นก็คือ ท้องฟ้าไม่ได้สดใสไร้สมอง เอ้ย ไร้เมฆหมอกทุกวัน บางวันก็มีพายุ มีฝนกระหน่ำจนเปียกปอน เพราะกิจการที่เป็นเจ้าของหรือที่เป็นลูกจ้างก็มีวันซวดเซจนเราต้องตกงานอย่างไม่ได้คาดคิดได้

 

นอกจากนี้ เรายังอาจเจออุปสรรคในชีวิตส่วนตน ในชีวิตครอบครัว เช่นการหย่าร้าง หรือลูกหลานมีปัญหาทางการเงินจนต้องมาขอความช่วยเหลือจากเรา และแน่ละ สิ่งเหล่านี้คนส่วนใหญ่มักไม่ได้ใส่มันลงไปในแผนการลงทุน

 

ดังนั้น ต้องเผื่อสิ่งไม่คาดฝันเหล่านี้ลงไปในแผนการลงทุนด้วย อย่าลงทุนจำนวนมากในอะไรที่ขายออกได้ยาก หรือที่เรียกว่ามีสภาพคล่องน้อย เช่นอสังหาริมทรัพย์ เพราะต่อให้ซื้อได้ถูกมากเพียงใด หากขายได้ยากในยามเราจำเป็นต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วนแล้ว เราจะลำบากมาก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

22/04/13 -- 10.50 am

 

น้องทองขึ้นมาแบบนี้ -- จะกลับมาเป็นขาขึ้นแล้วรึยังเน้อออออ??

ค่าเงินบาท จะแข็งต่อไหม????

ทำไม SET ขึ้นเอาๆๆ ????

 

+++ สำหรับน้องทองนะค่ะ +++

การปรับตัวลดลงแรงๆ ในช่วงที่ผ่านมาอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าคนที่มี Short อยู่ต้องปิด Position ออกมาก่อนเพื่อทำกำไร ซึ่งพฤติกรรมนี้เรียกว่า Short Covering --- ดังนั้น น้องทองของเราจึง Rebound กลับขึ้นมาได้

 

อีกทั้ง ถ้าจะเห็นตามเยาวราช ร้านทองต่างๆ คนแห่ไปซื้อทองกัน อย่างกับได้ฟรี เพราะเห็นว่าราคาถูก -- ธนาคารกลางต่างๆ คนอินเดีย คนจีนที่เคยซื้อทอง ก็คงมีึความคิดไม่ต่างกัน

 

แต่จะบอกว่าเป็นขาขึ้นเลยไหม ยังตอบว่า ไม่น่าจะใช่

เพราำะกองทุน SPDR ยังขายต่อ และปัจจัยอื่นๆ อีก คนยังกลัวการปรับขึ้น

 

และถ้าดูจากภาำพทางเทคนิค ราคากำลังเข้าใกล้แนวต้านสำคัญแล้ว ดังนั้น ถ้าัยังไม่ผ่าน 1440 ก็มีแนวโน้มลงต่อค่ะ

 

สิ่งที่ควรจะทำก็คือ รอดูจังหวะการขึ้นค่ะ ถ้าเห็นสัญญาณการขายเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน ก็เตรียมตัวลงอีกรอบ

 

ตอนนี้กรอบอยู่ที่ 1320 - 1440 -- ไม่ผ่านแนวต้าน เตรียมทิ้งอีกรอบ

 

อาจเปิด Short เมื่อถึงต้านหลักๆ อย่าง 1435/1440 และทยอยปิดทำกำไรเมื่อราคาปรับลดลง แนวรับหลักๆ คือ 1400

 

แนวต้าน 1425/1435 -- 1440

แนวรับ 1400/1385

 

+++ ค่าเงินบาท +++

แข็งแรงมากเกินไป อาจจะอ่อนตัวได้เล็กน้อย แต่แนวโน้มหลัก ยังแข็งได้ต่อ

 

+++ SET +++

แข็งแรงเช่นกัน -- ผลประกอบการดี // ตลาดหุ้นต่างประเทศบวกต่อ

แต่ระวังแรงขายใกล้แนวต้าน 1600

 

 

ซินแซ ส้มเปรี้ยว ^^

Sinsae Sompreaw

 

63104_615526108475743_760640605_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

APRIL 22, 2013

POSTED BY KOBSAK (ADMIN)

หน้าผาทองคำ

 

 

คอลัมน์ ไขปัญหาเศรษฐกิจกับดร.กอบ

 

 

 

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับคนที่ลงทุนไว้ในทองคำ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่ง กองทุนรวมทองคำ

หรือตลาดล่วงหน้าทองคำ นับเป็นช่วงเวลาที่ต้องกลั้นหายใจ ลุ้นกันอย่างเต็มที่

เพราะราคาทองคำที่เคยอยู่ที่ประมาณ 1,600 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้ปรับตัวลดลงมาต่ำสุดที่ 1,320 ดอลลาร์/ออนซ์

หรือลดลงมาประมาณเกือบ 20%

ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นช่วงที่เราปิดตลาดสำหรับเทศกาลสงกานต์ โดยเมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 12 เมษายน

ราคาเริ่มตกลงอย่างรวดเร็วถึง 4% และในวันต่อมา คือ วันจันทร์ที่ 15 เมษายน นักลงทุนในทองคำ

ต่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ที่เห็นราคาทองทิ้งดิ่งเหมือนตกหน้าผา อย่างไม่สิ้นสุด

โดยลดลงอีก 9% หรือประมาณ 140 ดอลลาร์ ในเวลาเพียง 1 วัน

เกิดอะไรขึ้นกับราคาทองคำ

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจว่า ทำไมคนถึงเลือกที่จะลงทุนในทองคำ

สาเหตุหลักที่ทำให้คนเลือกถือ หรือ ลงทุนในทองคำ มีอยู่ 3 เรื่อง

ประเด็นที่หนึ่ง คือ ความเชื่อว่าการที่ทุกประเทศแย่งกันพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมาก

ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ยุโรป และล่าสุดญี่ปุ่น ท้ายสุดจะนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อสูง

และค่าเงินอ่อนของประเทศที่พิมพ์เงินเหล่านี้ ซึ่งเมื่อเกิดเงินเฟ้อสูง ราคาทองคำก็จะพุ่งสูงขึ้น ดังนั้น

ทองคำจึงเป็นทางเลือกในการลงทุนที่ดี

ประเด็นที่สอง คือ ทองคำเป็น safe haven หรือสินทรัพย์ที่จะปลอดภัยที่สุดในยามเกิดปัญหา

โดยราคาทองคำมักจะเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจสำคัญ หรือเกิดสงครามขึ้น โดยในปัจจุบัน

ความกังวลใจว่ายุโรป ว่าจะเกิดปัญหาอีกไม่ว่าจะเป็นสงครามกับอิหร่าน หรือ สงครามกับเกาหลีเหนือ

ก็จะทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ทุกคนต้องการถือไว้

ประเด็นที่สาม คือ การเก็งกำไร ถ้าทุกคนยังจำกันได้ ราคาทองคำเคยพุ่งขึ้นอย่างไม่รู้จบ

เป็นกระทิงร้อนแรง จากประมาณ 800 ดอลลาร์หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551

มาเป็น 1,900 ดอลลาร์ในปี 2554 หรือมากกว่าเท่าตัวในเวลา 3 ปี

โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการอัดฉีดเงินสภาพคล่องของธนาคารกลางประเทศต่างๆ

และจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อนักลงทุนเห็นราคาทองคำปรับลดลงมาอยู่ที่ 1,550-1,650 ดอลลาร์

ก็คิดว่า น่าจะเป็นโอกาสที่ดี ที่จะลงทุนในทอง เพราะราคาต่ำมากแล้ว วาดฝันกันต่อไปว่า

ต่อไปราคาทองคำจะสามารถกลับไปทะลุ 2,000 ดอลลาร์ได้ในที่สุด ถ้าเงินเฟ้อมาจริง

หรือเมื่อเกิดความผันผวนในตลาดทุนโลก

อย่างไรก็ตาม หลังจากรอกันมานาน ปรากฏว่า เงินเฟ้อที่ทุกคนกลัว กลับไม่เกิดขึ้น

แม้ธนาคารกลางทั่วโลก จะมีการพิมพ์เงินและอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา

แต่สภาพคล่องดังกล่าวก็ไม่แปลงเป็นเงินเฟ้อ (จากปัญหาการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับที่สูงของประเทศต่างๆ

รวมไปถึงราคาน้ำมันโลกที่อยู่ในระดับปานกลางอย่างต่อเนื่อง จากการค้นพบ Shale Gas หรือก๊าซธรรมชาติจากหินดินดาน)

นอกจากนี้ ก็เริ่มชัดว่า ความต้องการทองคำเพื่อนำไปใช้ และไปลงทุนในเอเชีย ก็อาจจะไม่มากอย่างที่ทุกคนคิด

โดยข่าวตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจล่าสุดของจีนที่ออกมาเมื่อเช้าวันจันทร์ชี้ว่า เศรษฐกิจจีนจะยังอ่อนตัวไปอีกระยะ

โดย ไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวได้เพียง 7.7% เท่านั้น เมื่อเทียบกับ 7.9% ในไตรมาสสุดท้ายเมื่อปีก่อน

กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้ราคาทองคำดิ่งเหวลงในวันดังกล่าว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวังของนักลงทุนที่รอคอยข่าวดี รอเงินเฟ้อ

รอข่าวการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชียที่จะทำให้ความต้องการซื้อทองคำกลับคืนมา ก็หมดไป

และยิ่งราคาทองคำตกลงต่อเนื่อง ความกลัวครอบงำตลาด นักลงทุนก็เร่งขายทองคำเพื่อรักษากำไรที่มีอยู่

หรือเพื่อตัดการขาดทุน นำมาซึ่งการทิ้งดิ่งของราคากว่า 140 ดอลลาร์ในวันดังกล่าว

ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อความกลัวหมดไป ความโลภก็จะเข้ามา จากคนที่คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าลงทุนในทองคำ

ทำให้ราคาปรับตัวดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม จากเงินเฟ้อโลกที่ยังไม่ปรับเพิ่มขึ้น

จากเอเชียที่ยังอ่อนแอ ก็จะยังมีคำถามอยู่เสมอว่า ราคาทองคำระยะยาวจะไปได้ไกลดังฝันจริงหรือไม่

และทองคำเป็นทางเลือกในการลงทุน เป็น safe haven ที่ดีจริงหรือไม่

คนที่จะได้โอกาสจริงๆ ในรอบนี้ ก็คงจะเป็นคนธรรมดาที่อยากซื้อทองมาใช้เป็นเวลานานแล้ว

แต่เห็นว่าราคาแพงเกินไป ตอนนี้นับว่าเป็นโอกาสที่จะซื้อทองในราคาที่ถูกลงมาก

(จากเมื่อสองปีที่แล้ว ที่ราคาทองแท่ง 96.5% อยู่ที่ 27,000 บาท แต่ตอนนี้อยู่ต่ำกว่า 20,000 บาท)

แต่ก็ต้องขอให้ซื้อโดยทำใจไว้ว่า ราคาทองคำผันผวน มีขึ้นก็มีลง ราคาที่ซื้อ แม้ถูกแล้วก็มีโอกาสที่อาจจะถูกกว่านี้ได้

ตรงนี้ ต้องทำใจว่า เราซื้อเพราะพอใจในราคานี้แล้ว และซื้อมาใช้จริงๆ ก็ขอเอาใจช่วยทุกคนครับ

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ประจำวันที่ 18 เมษายน 56

คอลัมน์ ไขปัญหาเศรษฐกิจกับดร.กอบ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Wealth Station

อัพเดทช่วงบ่าย มองขึ้นบนแนวหนุนที่ 1382 เป้าหมายที่ 1436 1473 1507 และถ้าหลุด 1382 ก็มองแนวที่ 1363 1335

มุมมองส่วนตัวการยืนเหนือ 1400 ได้ส่งผลให้ภาพรวมดีขึ้นพาทองเข้าสู่ช่วงรีบาวด์การรีบาวด์ แต่ยังไม่กล้ามองเกิน 1450 ครับ สำหรับรอบนี้

สัปดาห์นี้ตัวเลขเศรษฐกิจวันอังคารจะสำคัญสุดในรอบสัปดาห์ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงหัวค่ำ และวันศุกร์

เทรดดิ้งตามกรอบและระวังช่วงประกาศตัวเลขครับสำหรับสัปดาห์นี้

 

69050_530518516986628_1018195709_n.png

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดีคับคุณginger

ดีคับ

 

T220410_03CC.gif

 

 

 

Stock2morrow

>>>>$$$$ ครึ่งเช้า วันที่ 22 เมษายน 2556 ฝรั่ง Net Buy 900 M. !! !! ฿฿฿฿

 

http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=43547

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เจาะแก่น VI

"อย่าให้อดีตมาขีดอนาคต"

 

ในทุกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวตลอดเวลาทั้งจากปัจจัยภายในบริษัทเองและปัจจัยภายนอกบริษัท นักลงทุนต้องคอยสังเกตและติดตามพร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบจากธุรกรรมนั้นๆ

 

แน่นอนว่าการทำธุรกรรมในแบบเดียวกันอาจได้ผลเหมือนกันหรือไม่เหมือนกันก็ได้เพราะปัจจัยภายในของบริษัทมีรายละเอียดปลีกย่อยไม่เหมือนกัน

นักลงทุนต้องพิจารณากว่าธุรกรรมที่บริษัทนั้น"คุ้มค่า"หรือไม่ และจะส่งผลต่อ"อนาคต"ของบริษัทอย่างไร

 

ส่วนการtakeover makroของcpallนั้นจะได้ผลเหมือนตอนbigC takeover carrefour หรือไม่ อย่างไร ต้องคอยติดตามครับ

 

นักเจาะแก่น 08

 

528237_520399864673334_971173964_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...