ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
perfection

อ้่านตำรา ลอกการบ้าน มาฟันธง

โพสต์แนะนำ

แนะนำปิดทั้งสองตั๋วที่ราคาปัจจุบัน

1163.8

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

L ตํ่วที่หนึ่ง 1163.8-1152.7 ได้กำไร 11.8 จุด

L ตั๋วที่สาม 1163.8-1147.6 ได้กำไร 16.2 จุด

 

หมายเหตุ

รวมกับตั๋วแรกที่ปิดจ๊อปไปก่อนหน้านี้ กำไร 11.5 จุด

เท่ากับ 11.5+11.8+16.2 เท่ากับ 39.5 จุด

 

โอเค รักทุกคนครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลอกการบ้าน อาจารย์ นัน

 

Gold spot price update 19.11.14

 

*ขอสั้นๆนะครับ ผมมองว่าแบบนี้ครับ คลื่น5ใหญ่สีเหลืองนั้นถ้าจะจบเป็นคลื่น5เลยก็ได้ หรือยังจะไม่จบก็ได้ (หมายความว่าจะจบคลื่น5ใหญ่ตรงแถว 1130+/- ก็ได้ หรืออาจจะมี New low ที่มากกว่านั้นก็ได้) ผมก็เลยใส่เครื่องหมาย? ไว้หลังคลื่น5ใหญ่สีเหลืองนั่นเอง

*ส่วนคลื่น5สีขาวถือว่าน่าจะจบไปแล้วชัดเจน โดยล่าสุดนี้ ราคาทองคำน่าจะอยู่ในช่วงคลื่นปรับในลูกคลื่นa คิดว่าใกล้ที่จะจบคลื่นaสีขาวแล้ว จากนั้นก็น่าจะมีการตกปรับฐานลงมาในคลื่นb สีขาว จากนั้นก็น่าจะมีการขึ้นทำ new high ในคลื่น c ตามภาพ

***ดังนั้นสิ่งที่ควรทำตอนนี้

 

*ใครที่เผลอไป sell เพลินๆ ก็อย่าลืมหาจังหวะออกในช่วงที่ราคาย่อลงไปในคลื่น b นะครับ (ในตอนนี้ให้สันนิฐานก่อนว่าเป็น bสีขาว อย่าพึ่งไปลุ้นว่าจะลงทำ new low ที่ต่ำกว่า 1130 นะครับ)

 

*ใครที่ buy ในช่วงที่ผ่าน แล้วชอบเล่นสั้นก็หาจังหวะปิดทำกำไรออกก่อนในคลื่นa แล้วค่อยหาจังหวะ buy ใหม่ในช่วงคลื่นbสีขาว โดยต้องคอยติดตามดูว่าหากมีการปรับฐานลงมาจริงในช่วงต่อจากนี้จะทำ upper low หรือไม่ หากใช่ก็ buy เข้าไปแรงๆเลยครับ เพราะมีโอกาสได้ลุ้นกับคลื่น

Cสีขาว ที่จะต้องขึ้นทำ upper high เกินจุดจบคลื่นa แน่นอน ตามทฤษฎี นั่นเอง

 

*ส่วนใครที่ซื้อจริงผมว่า ซื้อเก็บยาวๆไปเลยครับ หรือถ้าจะแบ่งก็แบ่งทำกำไรบ้างเล็กน้อย แล้วก็คอยมาหาจังหวะเก็บคืนในช่วงปรับฐานลงมาในคลื่นbสีขาวครับ

 

ขอให้ทุกท่าน โชคดี มีกำไร และขอให้ผมได้แฟนสวยแสนดี สักคนเถอะครับ 555

 

10632590_1000645666628449_6509589236629305292_n.jpg?oh=56a53f266b3ee70dc2fabdb47300e25e&oe=551E1132&__gda__=1423505285_049d1b0fcd393d54ed060bac81c463b1

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลอกการบ้าน อาจารย์ ดอน

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลอก อาจารย์ นัน

 

Gold spot price update 3.12.14

 

*จากครั้งก่อนที่ผมอัพเดท ทิศทางทางแนวโน้มให้ในตอนนั้น ราคายังคงอยู่ในช่วงของคลื่นcorrection ในคลื่นa(สีขาว) และผมได้ทำนายล่วงหน้าตามทฤษฎีคลื่นว่า ราคาน่าจะมีการย่อลงมาในคลื่นb(สีขาว) โดยเฉพาะหากราคาไม่มีการทำ new low ที่ต่ำกว่า1130 ก็น่าจะเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ เพื่อลุ้นกับคลื่นc(สีขาว) ซึ่งโดยปกติก็ต้องสูงกว่ายอดชองคลื่นa นั่นเอง

 

*สถานการณ์ล่าสุดถือว่าเป็นไปตามที่ผมได้ทำนายวาดเส้นสายไว้ล่วงหน้า แบบค่อนข้างจะเป๊ะเลยทีเดียว เรื่องคลื่นนี้ หากศึกษากันให้ลึกถึงแก่น และเข้าใจแก่นมันแล้ว บางที มันก็ไม่ได้เป็นเร ื่องที่จะต้องทำให้ยุ่งยาก อะไรมากมายนะครับ แต่เชื่อมั้ยครับ พอจับจุดเป็น เห็นวิธีการทำนายหรือ Forecast อนาคตแล้ว บางทีพอเหตการณ์จริง มันเป็นไปตามที่เราได้ ทำนายล่วงหน้าแล้ว เราจะรู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน ว่าทำไมราคามันถึงเป็นไปตามกราฟที่เราทำนายไว้

 

*แต่ถ้าจะให้เอลเลียตแม่ยำยิ่งขึ้น ท่านจะต้องมีความรู้ด้านวิเคราะห์อีเว้นท์สำคัญที่มีผลทางด้าน Fundamental ออกด้วย ก็จะยิ่งทำให้ท่านมีมุมมองในเรื่องคลื่น ที่แม่นยำมากขึ้น เพราะเชื่อมั้ยครับ ต่อให้เราเรียนตำราเรืองเอลเลียต เล่มเดียวกัน ในสถานการณ์จริง ท่านอาจจะทำนายตามหลักเอลเลียตออกไม่เหมือนกันเลยก็ได้ เพราะเรื่องนี้ มันต้องใช้ทั้ง ศาสตร์และศิลป์ ครับ เรื่องศาตร์ ก็หมายความว่า ท่านจะต้องเข้าใจหลักการของเอลเลียตให้ได้ก่อน ส่วนศิลป์นั่นก็คือท่านต้องมีมุมมองในการอ่านวิเคราะห์อีเว้นท์สถานการณ์ตลาดให้ได้ว่า ตลาดน่าจะเล่นประเด็นไหนเป็นหลักและประเด็นนั้นจะมีโอกาสออกทางหน้าไหนมากกว่า ท่านก็จะได้มีมุมมองในการทำนายคลื่นในอนาคตที่มันสอดคล้องกับการอ่านอีเว้นท์นั่นเอง

 

***ในหลายๆครั้งผมก็แปลกใจเหมือนกันว่า อีเว้นท์ต่างๆมันก็ชอบออกมาให้ราคามันวิ่งไปตามหลักการของอีเลียตแบบ น่าประหลาดใจ ยกตังอย่างเช่น ราคาที่ปรับลงมาครบ5คลื่นหลักแล้ว ในช่วงที่ จะมีตัวเลขนอนฟาร์มประกาศออกมา บ่อยครั้งมากเลยครับ ที่ตัวเลขจะออกแย่กว่าคาด ทำให้ราคาดีดขึ้นไป ในคลื่นปรับa-b-c แบบนี้เป็นต้น...ร่ายมาสะยาว เอาเป็นว่าถ้ามีเวลาจะมาเขียนข้อสังเกตจาก ปสก.ของผม ใหม่ก็แล้วกันนะครับ

 

*มาว่ากันที่การทำนายแนวโน้มราคาทองกันต่อเลยครับ ประเด็นที่ทุกคนอยากรู้ตอนนี้ ก็คือว่า แล้วคลื่นc(สีขาว) จะไปจบตรงไหน? อันนี้ก็ว่ากันตามภาพเลยครับ หากเราเอาเรื่องของ Trend line กับ Fibonacci retracement มาช่วยในการหาเป้าหมายของคลื่นc ก็จะได้ว่า คลื่นcจะจบแถว 1215+/- แถวนี้ก็ได้ เพราะเป็นแนวต้าน Downtrend line และยังเป็นแนวต้านที่ 38.2% Fibo แต่ก็ยังมีโอกาสที่ราคาจะทะลุขึ้นไปแถวแนวต้านDowntrend line ถัดไป แถวตัวเลข 50% Fibo แถว1240+/- แนวต้านสำคัญคือ 61.8% แถว1265+/- หากราคาขึ้นผ่านด่านนี้ไปได้ ในทางทฤษฎี บอกว่า มีโอกาสสูงที่ราคาที่ขึ้นในรอบนี้ มีโอกาสเป็นการ Reversal กลับเทรนเป็นขาขึ้น และคลื่น a-b-c ก็จะร่างเป็น 1-2-3-4-5 (สีฟ้า) ตามภาพที่ผมนำมาให้ดูนั่นล่ะครับ

 

*ถึงตรงนี้ธรรมเนียมปฏิบัตของคนที่ใช้ระบบคลื่นแล้ว ต้องเป็นช่วงของการหาจังหวะทยอยปิดทำกำไร ตามด่านแนวต้านที่ว่ามาครับ ใครที่จะมาคิด buy เอาช่วงนี้ ตามระบบคลื่นถือว่าไม่ควร เพราะมันไม่คือครับ ความเสี่ยงที่จะผิดมีสูงกว่า แม้ว่าจะมีโอกาศขึ้นไปได้อยู่ก็ตาม แต่ความเสี่ยงมันเริ่มสูงกว่าผลตอบแทนที่คาดหวัง ถ้าประเมินได้แบบนี้ ไม่มีใครเค้าคิดจะ buy กันนะครับ แต่หากอยาก sell ก็ควรจะเข้าไปดูคลื่นย่อยของคลื่น C มันนับได้ V คลื่นหรือยัง ถ้ายังก็ยังไม่ควรคิด sell ในตอนนี้เหมือนกัน ผมลองเข้าไปดู มันน่าจะนับได้แค่ i-ii อยู่เลยครับ

นอนก่อนล่ะ ขณะนี้ ตีสี่สามสิบหก โชคดีครับ

 

10685400_1009761109050238_4504219292676804802_n.jpg?oh=2ea381a5d2002c3f0cbc8352d469eeda&oe=551DBE62&__gda__=1426010632_2ae7e5877695cc5d2404c77047758e09

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผมว่าเมื่อคืนนี้เป็นอีกวันที่น่าจะเป็นวันที่มีการปั่นราคา(ส่วนตัว)น่าจะชัดเจน เนื่องด้วย ไม่มีข่าวอะไรที่สำคัญ ซึ่งวันแบบๆนี้เกิดขึ้นบ่อยๆในปีปีหนึ่ง ขึ้นจาก 1201-1234+ ถามว่า แล้วยังไง

 

1. ตลาดน่าสนใจที่จะเล่นน้องทองอีกครั้ง

 

2. ราคาเสถียรภาพของผม(ส่วนตัว) ยังอยู่ที่ 1200(+-5) หมายถึงไปที่ไหนก็ต้องกลับมาที่ราคานี้

 

3. ทองสามารถขึ้นอีกจาก 1230+ ได้ไม๊ ตอบ อาจจะขึ้นได้แต่ไม่ถึง 1250 เพราะ ปัจจัยในโลกนี้ยังไม่ให้พร้อม ทองเป็นขาขึ้น

 

4. มี สองกรณีเท่่านั้นเวลานี้ที่จะเล่นทอง

4.1 ใจร้อน ใจกลาง ใจอุ่น น่าเล่น S ที่ระดับราคา 1228-1235

4.2 ใจเย็น เงินน้่อย ไม่กลัวเสียโอกาศ น่าเล่น S ที่ระดับราคา 1240+ ขึ้นไป

 

หมายเหตุ ส่วนตัว เชียร์ให้เข้าราคา ณที่โพสเลย 1229.0

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผมว่าเมื่อคืนนี้เป็นอีกวันที่น่าจะเป็นวันที่มีการปั่นราคา(ส่วนตัว)น่าจะชัดเจน เนื่องด้วย ไม่มีข่าวอะไรที่สำคัญ ซึ่งวันแบบๆนี้เกิดขึ้นบ่อยๆในปีปีหนึ่ง ขึ้นจาก 1201-1234+ ถามว่า แล้วยังไง

 

1. ตลาดน่าสนใจที่จะเล่นน้องทองอีกครั้ง

 

2. ราคาเสถียรภาพของผม(ส่วนตัว) ยังอยู่ที่ 1200(+-5) หมายถึงไปที่ไหนก็ต้องกลับมาที่ราคานี้

 

3. ทองสามารถขึ้นอีกจาก 1230+ ได้ไม๊ ตอบ อาจจะขึ้นได้แต่ไม่ถึง 1250 เพราะ ปัจจัยในโลกนี้ยังไม่ให้พร้อม ทองเป็นขาขึ้น

 

4. มี สองกรณีเท่่านั้นเวลานี้ที่จะเล่นทอง

4.1 ใจร้อน ใจกลาง ใจอุ่น น่าเล่น S ที่ระดับราคา 1228-1235

4.2 ใจเย็น เงินน้่อย ไม่กลัวเสียโอกาศ น่าเล่น S ที่ระดับราคา 1240+ ขึ้นไป

 

หมายเหตุ ส่วนตัว เชียร์ให้เข้าราคา ณที่โพสเลย 1229.0

 

audec14.gif

ไม๊ล่ะ น้องทอง กลับมาราคาเถียรภาพ บอนไซ แล้วยังไงต่อ

............รอรอบต่อไปสิ ไปเที่ยวกันดีกว่า................

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฟองสบู่ กับ คุณค่า ภาคสอง

 

 

คำถาม ทองพื้นฐานขึ้น 1800 แต่เทคนิค 1200 ตอนนี้

 

คำถามนี้น่าสนใจคำถามนี้ ผมว่าตัวเลขด้านบนน่าจะเป็นที่รู้กันไม๊น้อยสำหรับคนเล่นทองคำ ผมมาวิเคระห์ได้โดยสรุป ราคาเป็นจริงของทองควรจะอยู่ที่ไหน ผมให้หลัก คณิตศาสตร์ ม1 ง่ายๆ คือ ราคาตรงกลางที่ทองควรจะอยู่

 

1800-1200 เท่ากับ 600 หาร 2 คือ 300 ราคาตรงกลางของทองคำต้องนี้น่าจะอยู่ที่ 1500 เป็นไงครับ ราคานี้เป็นจุดแข็งสุด(1500 จุดแข็งเมษา ฮาวายสองปีก่อนนี้)

ราคาจากปัจจัยการฟื้นตัวของเศษฐกิจสหรัฐ คู่ปรับโดยตรงของทองคำ การยกเลิก QE3 มีสัญญญาณการฟื้นตัว ทำให้ราคาทองคำมาอยู่ในปัจจุบัน 1200 แล้วยังไงต่อไปล่ะ ราคามันจะไปที่ไหนอย่างไร มันต่ำสุดยัง

 

ในความคิดส่วนตัวของผม ราคาทองคำจากปัจจัยที่ปรากฎในโลกนี้มีอยู่ 4 ระดับราคาคือ

1. ราคา 1900 ระดับ ฟองสบู่

2. ราคา 1500 จุดแข็งที่สุดของระดับราคาทองคำในระดับบน

3. ราคา 1200 เป็นระดับราคาที่สะท้อนความเป็นจริงของทองคำ (ในขณะที่โพสอย่างแท้จริง)

 

แล้วต่อไปหลังโพสราคาทองคำจะเป็นอย่างไร ก็ตอบได้ว่า ในปัจจุบัน ที่โพส เรื่อง QE ยังไม่จบ เมื่อเศษฐกิจสหรัฐดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฟคก็จะ ซื้อคืน QE ที่ทำไว้ ถ้าซื้อคืนครบ เรื่อง QE จึงจะไม่ต้องมาคำนึงในการขึ้นลงของทองคำอีก จึงมีโอกาศในระยะอีก อย่างน้อย 1 ปี ที่จะเห็นทองคำในระดับราคาขาลง ต่อไป แล้วราคาทองคำ เมื่อจบ QE น่าจะเป็นเท่าไร ผมเอาแบบหยาบๆ QE เริ่ม ราคาทองคำ 750 (nov 2008) http://www.kitco.com/LFgif//aunov08.gif ปีนี้ 2014 เท่ากับ 6 ปี เงินเฟ้อปีละ 5 เปอร์เซนต์ เท่ากับ 25 เปอร์เซนต์ เท่ากับ ทองคำ จุดคุณค่า เมื่อ ไถ่ถอน QE ได้ทั้งหมด อยู่ที่ 1000 จุด +- 50

 

4. ราคา 1000 (+-50) จึงเป็นจุดที่อาจเกิดขึ้นได้มากสุดเป็น คุณค่าของทองคำ และ ผมเชื่อว่า เป็นไปได้ที่ราคาทองคำที่โอกาศ ในอนาคตที่จะถึง

 

คำถามต่่ำกว่า จุด คุณค่าได้ไม๊

ตอบ โลกนี้พัฒนาไปจากอดีตมากหมาย สหรัฐ ไม่สามารถ ครอบครองโลกเจ้าเดียวได้ในอดีต มี จีน รัสเชีย เยอรมัน การเกิดของประเทศใหม่ๆ การเกิด เศษฐกิจที่ไม่ต้องอาศัย การอ้างอิงของราคาทองคำ เป็นไปไม่ได้แล้วครับ การที่จะเห็นทองคำต่ำกว่านี้ จึงเป็น ศูนย์ ครับ จุดที่ ทุกคนมองว่า ไม่มีคุณค่า เก็บทองไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์ แล้วมาขายกัน จึงไม่มีทางเกิดได้

 

ปัจจัยปัจจัยต่างๆ เปลื่ยนแปลงเร็วมาก ประเมินราคาต่างๆได้พอประมาณ ได้ ราวๆ แต่ผมว่าก็เพียงพอกับการใช้ประกอบเป็นแนวคิด คุณค่าทอง ยังไงต้องมีเหตุการณ์จริงๆ ดังที่ผมกล่าวมาแล้ว เช่น ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ทองไม่มีคุณค่า มันก็ต้องมีคุณค่า มันต้องลงได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าแนวคำว่า คุณค่าขอมัน

 

///บอนไซ///

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

M4sTtr2Mon24949.png

 

บทความฉบับเต็ม

 

วอร์เรน บัฟเฟตต์

 

Create by, PipsRunner • 05/06/2013

 

ชื่อนี้เป็นชื่อที่สามารถการันตีความสำเร็จใน การทำธุรกิจของชายที่ชื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์ได้เป็นอย่างดี เขาเป็นบุรุษที่เกิดก่อนสงครามโลก แต่กลับเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหลักทรัพย์ยุคดิจิตอล ปัจจุบันเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และซีอีโอของบริษัท เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ และนักธุรกิจรุ่น GEN-Y สมควรต้องศึกษาแนวทางในการดำเนินธุรกิจของบัฟเฟตต์ในเรื่องการมีวิสัยทัศน์ และความอดทนในการทำธุรกิจ เพราะทั้งสองสิ่งถือว่ามีความสำคัญมากหากอยากจะให้บริษัทของตนประสบความ สำเร็จในแวดวงนี้ โดยบัฟเฟตต์ถือคติในการทำธุรกิจที่อาจแปลเป็นสุภาษิตไทยได้ว่า “ช้าๆ แต่ได้พร้าเล่มงาม” นั่นหมายถึงมีความอดทนในการทำธุรกิจ ไม่เร่งรีบหรือหักโหมมากเกินไปนัก ค่อยทำกำไรทีละเล็กทีละน้อยและสะสมมูลค่าไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ในเรื่องการมีวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจเป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ควรมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจซึ่งมีแนวโน้มในการสร้างกำไรระยะยาวมากกว่า ที่จะมองธุรกิจที่ให้กำไรมากแต่เป็นเพียงแค่ภาพมายาและมีวงจรที่สั้นมาก และให้พยายามเดินสวนกระแสในบางครั้งหากมีโอกาส นอกจากนี้ปรัชญาการใช้ชีวิตที่สมถะของเขาก็เป็นสิ่งที่ควรนำมาเป็นตัวอย่าง ในการใช้ชีวิตของผู้ประกอบการธุรกิจรายใหม่ซึ่งไม่ควรทะเยอทะยานหรือตั้ง เป้าหมายเกินตัวมากไป คำกล่าวอมตะของเขาคือ “ผมจะไม่พยายามกระโดดข้ามที่สูง 7 ฟุต แต่ผมจะมองหาคานไม้ที่สูง 1 ฟุตเพื่อให้ผมสามารถเดินข้ามได้อย่างสบายๆ” ประวัติย่อบัฟเฟต์วอร์เรน บัฟเฟตต์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี วอร์เรน เอดเวิร์ด บัฟเฟตต์ (Warren Edward Buffett)

 

(เกิด 30 สิงหาคม ค.ศ. 1930 นักลงทุนชาวอเมริกา เจ้าของบริษัท Berkshire Hathaway และเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก รองจากบิลล์ เกตส์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เกิดที่เมืองโอแมฮา ในรัฐเนแบรสกา ได้ซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ปี เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่ วอร์ตัน มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียและได้ย้ายไปเรียน และจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเนแบรสกา หลังจากนั้นได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในปี 1951

 

***** เพิ่มเติมโดย www.holidaytours.in.th *****

วอร์เรน บัฟเฟตต์นักลงทุนหมายเลขหนึ่งของโลก เป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า มีความอดทนทางด้านจิตใจสูง บัฟเฟตต์เป็นลูศิษย์ของเบนจามิน เกรแฮม เจ้าของทฤษฎี Margin of Safety ซึ่งบัฟเฟต์ได้พัฒนาตัวเอง สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าอาจารย์ โดยเพิ่มการใช้ทฤษฏีดอกเบี้ยทบต้น สร้างความมั่งคั่งให้กับตนและผู้ที่เข้าลงทุนด้วย

บัฟเฟตต์จะใช้ประโยชน์จากนายตลาด ซื้อหุ้นในขณะที่คนอื่น ๆ เทขาย แต่จะซื้อเฉพาะหุ้นที่มีคุณภาพเท่านั้น

ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปมักจะทำตามนายตลาด และซื้อหุ้นที่เป็นที่นิยมของคนทั่วไป และเป็นเจ้าของคำพูด “หัวใจหลักของการลงทุนอยู่ที่ ความได้เปรียบเชิงแข่งขันของธุรกิจ

และความยั่งยืนของความได้เปรียบนั้น”ขณะที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ จากคนธรรมดา สู่นักลงทุนระดับโลกนั้น

มีผลตอบแทน จากการลงทุนทบต้นเพียงปีละ 24% เท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่มากนัก ถ้าเทียบกับ ผลตอบแทนของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้รับในปีนี้ แต่บัฟเฟตต์สามารถทำผลตอบแทนในระดับดังกล่าว ได้อย่างยาวนานต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบปี ซึ่งด้วยยุทธวิธีดังกล่าว ทำให้เขารวยได้เป็นอันดับสองของโลก ถ้านักลงทุนสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ปีละ 100% ทุกปี จากเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 1 ล้านบาท เงินดังกล่าวจะกลายเป็น 1,000 ล้านบาทใน 10 ปี

และภายในเวลา 20 ปี จะกลายเป็นเงิน 1 ล้านล้านบาท (ซึ่งเท่ากับงบประมาณประเทศไทยทั้งประเทศ)

จะเห็นว่า การทำผลตอบแทนสูงๆ นั้นในระยะยาวแล้ว มีโอกาสเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก ดังนั้น นักลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้ปีละ 15-25% ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลมากนัก เพียงแต่ท่านสามารถทำผลตอบแทนดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง ก็ ”เพียงพอ” ที่จะทำให้พอร์ตการลงทุนของท่านเติบโตอย่างเห็นผลได้ในระยะยาว

 

จาก settrade.com โดยคุณงงงง

http://api.settrade..../IPO/newWebboar

d/board.jsp?content=qa.jsp&tid=3771&page=1

มหัศจรรย์ดอกเบี้ยทบต้น เห็นมีคนถามหา พอดีไปเจอมาเลยเอามาให้อ่านกัน

แล้วก็ถึงคราวพระเอกของเหล่าบรรดาคนออมเงินทั้งหลายแล้วครับ ซึ่งก็คือดอกเบี้ยนั่นเอง และคงจะไม่มีใคร ไม่รู้จัก

 

ใช่มั๊ยครับ แต่ถ้าจะพูดถึงดอกเบี้ยธรรมดาทั่วๆไป ใครจะสนใจหละครับ

มันธรรมดาเกินไป ที่ผมจะพูดถึง นี่หลายคนคงรู้สรรพคุณนี้ดี แต่ผมเชื่อว่าหลายคนอาจไม่รู้เลยหละครับ

เพียงแค่สนใจตัวเลขของดอกเบี้ยก็เพียงพอแล้ว แต่ว่าจริงๆแล้วดอกเบี้ยมีความมหัศจรรย์ในตัวเองครับ

ถ้าเรารู้จักนำมาใช้ มีคนเคยบอกว่าสิ่งมหัศจรรย์ของตัวเลขก็คือ ดอกเบี้ยทบต้นนี่หละครับ เชื่อหรือไม่ว่า

เพียงแค่เงินเก็บของคุณสร้างดอกเบี้ย แล้วคุณนำดอกเบี้ยไปสร้างดอกเบี้ยต่อ เพียงแค่ 5 ปี เงินของคุณก็จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว ที่ดอกเบี้ย 15 % ต่อปี จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมเวลาเป็นหนี้เพียงน้อยนิด แต่คล้อยหลังไปไม่กี่ปีมันเพิ่มขึ้นหลาย เท่าตัว

 

เพิ่มเติมโดย www.holidaytours.in.th อัตราดอกเบี้ยทบต้น

At = A0 x (1+rate) ^ n At = ยอดเงินรวม

A0 = เงินต้นที่ฝาก

rate = อัตราดอกเบี้ย(มักจะอยู่ในรูป เปอร์เซ็นต์ต่อปี)

^ = ยกกำลัง

n = จำนวนปีที่ฝาก

ถ้าคุณมีเงิน 20,000 การลงทุนให้ผลตอบแทนทบต้น 10% ต่อปี

เป็นเวลา 30ปี จะเป็นเงิน

At = 20000*(1+0.10)^30

At = 348,988

สรุปได้ว่าสิ่งมหัศจรรย์ ที่จะทำให้เราได้พบอิสรภาพทางการเงินได้

นั่นก็คือดอกเบี้ยทบต้น

 

การลงทุนตอน 6 ขวบว่ากันว่าบัฟเฟตต์นั้นมีหัวด้านการลงทุนตั้งแต่ยังเล็ก

อย่างเมื่อตอนอายุเพียง 6 ขวบ เขาได้ซื้อโค้กกระป๋องมาขายและ ทำกำไรในการขายได้ประมาณ 20% จากยอดรวมทั้งหมด

โดยเขาได้เปรียบการลงทุนของตนเองไว้ว่า เหมือนสิงโตที่รอตะครุบเหยื่อในพงหญ้าสูงและ จะเข้าจู่โจมเมื่อถึงเวลาที่เหยื่อเข้ามาใกล้ (A lion in the tall grass) ซึ่งเขาจะรอจนกว่าราคาหุ้นที่ต้อง การเดินทางมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจที่สุดเพื่อ

 

เข้าครอบครอง และสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาประสบ ความสำเร็จจากการลงทุนนั้นคือ

ไม่ใช้อารมณ์ในการลงทุน แต่ใช้ความรู้และประสบการณ์ใน การตัดสินใจแต่ละครั้ง

 

เพิ่มเติมโดย www.holidaytours.in.th

 

บทเรียนแรกจากการซื้อหุ้น เมื่อบัฟเฟตต์ซื้อหุ้นตัวแรก ราคาของมันกลับดิ่งลง แต่เขาอดทนก็ถือมันไว้ ต่อมาเมื่อราคาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเขาได้กำไรจึงขายมันออกไป แต่ราคาหุ้นกลับวิ่งขึ้นไปไม่หยุด เขาจึงได้บทเรียนว่า การขายหุ้นดีออกไปเร็วเกินไป ถือเป็นความผิดพลาด หลังจากนั้นในเวลาต่อมาเขาได้พัฒนาการลงทุน โดยใช้แนวคิด ซื้อกิจการที่ดีที่สุด ในราคายุติธรรม และเก็บเอาไว้ไม่โดยขายเลยตลอดชีวิต ได้พบอาจารย์ แต่อาจารย์กลับไม่ยอมรับ เมื่อบัฟเฟตต์ได้พบเบนจามิน เกรแฮม เจ้าของทฤษฎี Margin of Safety เขารู้สึกเหมือนเบนจามิน เกรแฮม ได้นำผ้าผูกตาออกจากตาเขา เขาขอทำงานกับเบนจามิน เกรแฮม แต่ถูกปฏิเสธ แม้ว่าเขาจะทำงานให้ฟรีก็ตาม แต่เบนจามิน เกรแฮมกลับพูดว่า ราคานี้ก็ยังแพงเกินไป

แต่บัฟเฟตต์ก็ไม่ละความพยายาม จนเบนจามิน เกรแฮม ยอมรับเขาในที่สุด

 

ความผิดพลาด 25ปีแรก

เรื่องย่อโดย www.holidaytours.in.th

ที่เบอร์กไชร์ฮาธาเวย์

ช่วงแรกของการลงทุนของบัฟเฟตต์

เขาจะซื้อหุ้นที่ราคาถูกมาก ๆ

แต่ผลประกอบการระยะยาวของบริษัทนั้นไม่ดีนัก โดยไม่ได้เลือกบริษัทที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน

และมีความยั่งยืนของความได้เปรียบนั้น และเขาเริ่มตระหนัก ว่านี่ไม่ใช่กลยุทธ์ในฝัน

ต่อมาเขาจึงเลิกลงการลงทุนรูปแบบนี้ เพราะมันเหมือนกับการหาคนที่โง่กว่ามาซื้อหุ้นต่อ และมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากไม่มีคนที่โง่กว่ามาซื้อหุ้นไป….

 

รายละเอียด

ความผิดพลาด25ปีแรกของ วอเร็น บัฟเฟตต์ ข้อความต่อไปนี้ปรากฎอยู่ในรายงานประจำปี 2532 ของเบอร์กไชร์ฮาธาเวย์

 

บริษัทที่วอเร็น บัฟเฟตต์ ใช้ในการลงทุนถือหุ้นของเขา สิ่งที่บัฟเฟตต์เขียนถือเป็นหลักสำคัญในวิธีคิดและ หลักการลงทุนบางส่วนที่สำคัญมากของเขาในปัจจุบัน ความผิดพลาดข้อแรกของผม แน่นอนคือการซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของเบอร์กไชร์

ถึงแม้ว่าผมจะรู้ว่าธุรกิจของมัน การผลิตสิ่งทอ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีอนาคต แต่ผมก็ถูกล่อให้ซื้อเพราะราคาที่ดูเหมือนว่าจะถูกมาก การซื้อหุ้นแบบนั้นได้สร้างผลตอบแทนให้ผมไม่เลว ในช่วงที่ผมเริ่มลงทุนใหม่ ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเราได้เบอร์กไชร์มาในปี 2508 ผมก็เริ่มตระหนักว่านี่ไม่ใช่กลยุทธ์ในฝัน ถ้าคุณซื้อหุ้นในราคาที่ถูกพอ โดยปกติก็จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ผลกำไรของธุรกิจ จะกระตุกหรือดีดตัวขึ้นซึ่ง จะเปิดโอกาสให้คุณขายหุ้นทิ้งและได้กำไรพอสมควร ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานในระยะยาวของธุรกิจจะแย่มาก ผมเรียกแนวการลงทุนแบบนี้ว่า ก้นบุหรี่ นั่นคือก้นบุหรี่ที่พบบนถนนที่เหลือพอสูบได้

เพียงคำเดียวนั้นอาจจะให้ความสุขในการสูบได้ไม่มาก แต่ราคาซื้อที่ถูกมาก” จะทำให้การสูบมีกำไร บัฟเฟตต์ พูดอีกหลายประเด็นเกี่ยวกับข้อผิดพลาดในการซื้อหุ้น โดยมองที่ความถูกเป็นหลักและเขาสรุปว่า ผมสามารถยกตัวอย่างความโง่เขลาของการซื้อหุ้นถูก อื่น ๆ อีก แต่ผมแน่ใจว่าคุณจะเห็นภาพนั่นคือ มันเป็นเรื่องที่ดีกว่ามาก ที่จะซื้อบริษัทที่ดีเลิศในราคาที่ยุติธรรม แทนที่จะซื้อบริษัทที่ดีพอใช้ในราคาที่ดีเยี่ยม ผมเป็นคนที่เรียนรู้ช้า แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อจะซื้อบริษัทหรือหุ้น

เรามองหาธุรกิจชั้นหนึ่ง ที่มาพร้อมกับผู้บริหารชั้นหนึ่งผมได้พูดมาหลายครั้งว่า เมื่อผู้จัดการที่มีชื่อเสียงสุดยอดในการบริหารธุรกิจ มาเจอกับธุรกิจที่มีชื่อเสียงสุด แย่ในด้านของการทำกำไร สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ ชื่อเสียงของธุรกิจ บทเรียนต่อมาที่บัฟเฟตต์พูดถึงก็คือ หลังจาก 25 ปีของการซื้อและดูแลธุรกิจที่หลากหลาย ผมไม่เคยเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหายาก ๆ ของธุรกิจเลย สิ่งที่เราเรียนรู้ก็คือการหลีกมัน การที่เราประสบความสำเร็จนั้นเป็นเพราะเรามุ่งเน้นที่การมองหารั้วที่สูง 1 ฟุต สามารถก้าวข้ามไปได้มากกว่าที่เราจะสร้างความสามารถในการที่ จะกระโดดข้ามรั้วสูง 7 ฟุต การค้นพบนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ยุติธรรม แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจและการลงทุน มันเป็นเรื่องที่สามารถทำ กำไรได้มากกว่ามากที่จะเพียงยึดอยู่กับสิ่งที่ง่ายและ เห็นได้ชัดมากกว่าที่จะวิเคราะห์หรือตัดสินใจในสิ่งที่ยาก… ในอีกกรณีหนึ่ง โอกาสการลงทุนที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจที่ดีเยี่ยมประสบกับ ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดครั้งเดียว แต่แก้ไขได้อย่างเช่นในกรณีที่เกิดมาแล้วหลายปีของหุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรสและ GEICO อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้ว เราทำได้ดีกว่าโดยการหลีกเลี่ยงมังกรแทนที่จะฆ่ามัน

การค้นพบที่น่าประหลาดใจที่สุดของผมซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากใน ธุรกิจก็คือพลังแฝง ที่เราอาจจะเรียกว่า

“สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสถาบัน”…….ยกตัวอย่างเช่น…….

2) เช่นเดียวกับที่งานถูกขยายออกไปเมื่อมีเวลาเหลือโครงการลงทุนและการซื้อกิจการต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นเพื่อที่จะใช้เงินของบริษัทให้หมด

3) ธุรกิจที่ผู้นำปรารถนาที่จะทำ ไม่ว่าจะโง่เขลาเพียงใด จะได้รับการสนับสนุนอย่างรวดเร็วโดยตัวเลข ผลตอบแทนการลงทุนและยุทธศาสตร์ที่เตรียมโดยลูกน้องของเขา

4) พฤติกรรมของบริษัทคู่แข่งในกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าเขาจะขยายงาน ซื้อกิจการ ตั้งและจ่ายผลตอบแทน ให้แก่ผู้บริหาร หรืออะไรก็ตาม จะถูกเลียนแบบโดยไม่คิดถึงความเหมาะสม. หลังจากความผิดพลาดอื่น ๆ ผมเรียนรู้ที่จะทำธุรกิจเฉพาะกับคนที่ผมชอบ เชื่อใจ และยกย่องตรงกันข้ามเราไม่ประสงค์ที่ร่วมกับผู้จัดการซึ่งขาดคุณสมบัติที

น่าชมเชยไม่ว่าธุรกิจของเขาจะมีแนวโน้ม

น่าสนใจแค่ไหน เราไม่เคยประสบความสำเร็จในการซื้อธุรกิจดี ๆ กับคนที่ไม่ดี ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดบางอย่างของผมไม่ได้เปิดเผยต่อสาธา รณชน นั่นคือหุ้นหรือธุรกิจซึ่งผมรู้จักคุณค่าของมันดีแต่กลับไม่ได้ซื้อ ไม่ใช่เรื่องบาปที่คนจะพลาดโอกาสการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่ นอกเหนือความรู้ หรือความเข้าใจของเขา แต่ผมได้ปล่อยธุรกิจที่ยิ่งใหญ่หลายรายที่เสิร์ปมาให้ถึงที่และ เป็นธุรกิจที่ผมสามารถ เข้าใจได้อย่างเต็มที่ให้หลุดไป สำหรับผู้ถือหุ้นของเบอร์กไชร์ รวมถึงตัวผมเอง บทเรียนนี้ราคาแพงมาก นโยบายการเงินที่อนุรักษ์นิยมสุดยอดของเราอาจจะดูเหมือนว่าเป็น ความผิดพลาดแต่ผมคิดว่าไม่ มองย้อนกลับไปถ้าเรากู้เงินมาลงทุนในระดับปกติของธุรกิจ ผลตอบแทนการลงทุนของเราคงจะดีกว่า เฉลี่ยปีละ 23.8% ที่เราได้มา แม้ในปี 2508 บางทีเราสามารถที่จะตัดสินว่ามีโอกาสถึง 99% ที่การกู้เพิ่ม จะทำให้ผลกำไรสูงขึ้น ในเวลาเดียวกันเราอาจจะเห็นว่ามีโอกาสเพียง 1% ที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจทำให้เราเสียหายหรือถึงล้มละลาย

เราไม่ชอบโอกาส 99:1 นั้นและจะไม่ชอบตลอดไป โอกาสเล็กน้อยของการเสียหายหรือเสียหายหนัก

ในมุมมองของเราจะไม่คุ้มกับโอกาสมากมายที่จะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นถ้าการกระทำของคุณมีเหตุผลคุณ ก็แน่นอนว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีอยู่แล้ว ในกรณีส่วนมากการกู้ก็เพียงแต่ทำให้สิ่งต่าง ๆ เคลื่อนเร็วขึ้น… ผมไม่เคยรีบมาก : เรามีความสุขกับการลงทุนมากกว่าผลตอบแทนที่ได้

– แม้ว่าเราจะได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันทั้งคู่ เราหวังว่าในอีก 25 ปีต่อไปที่เราจะรายงานความผิดพลาดใน 50 ปีแรก ถ้าเรายังคงอยู่ในปี 2558 ที่จะทำอย่างนั้น คุณเชื่อได้เลยว่าส่วนนี้จะกินพื้นที่กระดาษมากกว่านี้มาก”

Value Investor ของไทยเรายังมีบทเรียนหรือความผิดพลาดน้อยเมื่อคิดถึงระยะเวลาที่ความคิดและ แนวทางการลงทุนแบบ Value Investment ทีเพิ่งก่อร่างขึ้นมาเพียงไม่ถึง 10 ปี แต่โชคดีที่เรามีเซียน อย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ที่ผ่านประสบการณ์มายาวนาน และ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ตลาดอเมริกันกับไทยอาจจะแตกต่างกัน

แต่ผมคิดว่าหลักการนั้นใช้กันได้เกือบ 100% เงื่อนไขของ ความสำเร็จนั้นอยู่ที่คนจะประยุกต์ใช้ได้ดีแค่ไหนและมีความมั่น

 

สร้างชื่อเสียงเงินทองจากการลงทุน

 

เรื่องย่อโดย www.holidaytours.in.th

บัฟเฟต์แตกต่างจากผู้ลงทุนทั่วไป เนื่องจากไม่มีใคร สามารถคาดเดาจังหวะการขึ้นลงของหุ้นที่แน่นอนได้

บัฟเฟตต์จึงเลือกที่ซื้อหุ้นในจุดที่ราคายังต่ำ และกิจการมีโอกาสเติบโตได้มาก โดยไม่นำพากับสภาวะตลาดผันผวนระหว่างทาง เพราะเขาเชื่อมั่นว่าหุ้นที่ดี จะมีการเดินทางของราคาที่สูงขึ้นในที่สุด

 

รายละเอียด วอร์เรน บัฟเฟตต์ ผู้สร้างชื่อเสียงเงินทองจากการลงทุน โดย Settrade.com (ได้ตัดข้อความบางส่วนไปใส่ในตอนลงทุนตอน6ขวบ) เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสเขียนถึง เบนจามิน เกรแฮม และทฤษฎีที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาคือ Margin of Safety ซึ่งในบทความวันนั้นได้มีการกล่าวถึง ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการการลงทุนในหุ้น ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอีกท่านหนึ่งนั่นก็คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์

 

 

(Warren Buffett)

 

ผู้ซึ่งเป็นศิษย์เอกของเกรแฮม และดูเหมือนจะทำได้ดีกว่าผู้เป็นอาจารย์อยู่ขั้นหนึ่ง ดังนั้นวันนี้ขอใช้พื้นที่ตรงนี้พูดถึงบัฟเฟตต์ และหลักการลงทุนที่ทำให้ ตัวเขาประสบความสำเร็จ ขนาดเป็นมหาเศรษฐีลำดับต้นๆ ของโลก

อารมณ์นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บัฟเฟต์แตกต่างจากผู้ลงทุนทั่วไป ที่มักจะไม่ทำตามเป้าหมายการลงทุนที่วางไว้

และบ่อยครั้งที่มักจะเข้าซื้อขายอย่างหุนหันพลันแล่น เช่นซื้อด้วยแรงกระตุ้น และการรับข่าวสารสั้นๆ และขายหุ้นด้วยความกลัวอย่างไม่มีเหตุผล ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ตามกฎการตัดขาดทุน คือ ขายหุ้นที่ขาดทุน และถือหุ้นที่มีกำไร แต่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่มักจะทำตรงกันข้ามคือ ขายหุ้นที่กำไร และถือหุ้นที่ขาดทุนไว้ อาจจะด้วยความกังวลใจที่หุ้นที่ถืออยู่และมีกำไร

เริ่มปรับตัวลง จึงตัดสินใจขายหุ้นออกไป และพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ขายทำกำไรดีกว่าปล่อยให้ขาดทุน และตรงกันข้ามกับ ผู้ลงทุนที่ถือหุ้นและขาดทุนอยู่ จึงได้แต่บอกกับตัวเองว่า จะขายถ้าราคาหุ้นกลับขึ้นมาถึง ราคาที่เคยซื้อไว้ ซึ่งการลงทุนแบบนี้นั้นมีโอกาสเกิดการขาดทุนสูง เนื่องจากไม่มีใคร สามารถคาดเดาจังหวะการขึ้นลงของหุ้นที่แน่นอนได้ ดังนั้นวิธีการหลีกเลี่ยงการซื้อขายผิดจังหวะก็คือ เดินตามรอยของบัฟเฟตต์ที่จะเลือกซื้อหุ้นในจุดที่ราคายังต่ำ

และกิจการมีโอกาสเติบโตได้มาก โดยไม่นำพากับสภาวะตลาดผันผวนระหว่างทาง เพราะเขาเชื่อมั่นว่าหุ้นที่ดี จะมีการเดินทาง ของราคาที่สูงขึ้นในที่สุด แนวทางหลักอีกอย่างของบัฟเฟตต์ในการซื้อหุ้นก็คือ เขาจะมองว่าการซื้อหุ้นคือการเข้าร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ไม่ใช่การซื้อสินค้าที่ต้องซื้อขายเพื่อทำกำไรอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก่อนจะเข้าลงทุนก็ต้องศึกษาข้อมูลของบริษัทนั้น ๆ ให้ละเอียด รอบคอบ และเมื่อลงทุนแล้วต้องเชื่อมั่นในบริษัท ซึ่งแนวคิดนี้นั้นคล้ายกับ Value Investor

มือทองของเมืองไทยท่านหนึ่ง คือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี และไม่ซื้อขายบ่อย ๆ และท่านก็มองว่านี่คือการทำธุรกิจส่วนตัว ที่ไม่ต้องดำเนินธุรกรรมเองทั้งหมด เพียงแต่คัดสรรกิจการที่ดีและร่วมเป็นเจ้าของ โดยเงินปันผลก็เหมือนเงินเดือนที่นำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ต้องซื้อขายหุ้นเพื่อนำกำไรมาใช้ในระยะสั้น

แต่ต้องมีวินัยในการลงทุนนั่นคือเก็บหุ้นไว้ให้มีมูลค่าเติบโตทบต้นทบดอกด้วยตัวมันเอง และไม่หวั่นไหวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ส่วนหลักการลงทุนของบัฟเฟตต์ที่ใช้เป็นประจำในการเลือกซื้อหุ้นแต่ละตัวได้แก่

เป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยม และมีฐานลูกค้าแข็งแกร่งหรือเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว

ยกตัวอย่างหุ้นที่เขาถืออยู่ อาทิ โค้ก และอเมซอน สามารถคาดเดารายได้ และรายจ่ายได้ไม่ยาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน ดังนั้นเขาจะสามารถคาดเดาได้อย่างไม่ยากว่าจะมีกำไร หรือขาดทุนในแต่ละปี ผลตอบแทนต่อทุน (ROE) สูง บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญกับตัวเลขนี้ค่อนข้างมาก คือน่าจะต้องมากกว่า 12% สำหรับธุรกิจประเภทผลิตสินค้า แต่หากเป็นธุรกิจสถาบันการเงินแล้ว ค่าตัวเลขนี้ปกติจะสูงมาก บัฟเฟตต์ จึงแนะนำให้ดูที่ตัวเลขของผลตอบแทนรวมของสินทรัพย์ (ROA) ประกอบด้วยหากสูงกว่า 10% ก็ถือว่าดี มีกระแสเงินสดที่ดี เพราะธุรกิจที่ดี ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินทุนสูงมาก

ในการดำเนินงานและรักษาสถานภาพในตลาดเพื่อการแข่งขัน เพราะควรจะมีรายได้หล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ มีผู้บริหารที่ดี เห็นแก่ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ลงทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะไม่เพียงเลือกธุรกิจที่ดี แต่ควรเลือกช่วงเวลาที่ดีและราคาเหมาะสมด้วยและนี่ก็คือข้อมูลอย่างย่อ ๆ

 

บทย่อโดย www.holidaytours.in.th

“ถ้าเราวิเคราะห์ดีแล้วเมื่อเราซื้อหุ้น เวลาที่จะขายหุ้นนั้นเกือบจะไม่ต้องเลย”

วอเร็น บัฟเฟตต์นั้นไม่เหมือนนักลงทุนคนอื่น เขาซื้อโดยมีสมมติฐานว่าจะไม่ขายหุ้นที่เขาลงทุนส่วนใหญ่ อยู่กับเขามานาน หลาย ๆ บริษัท

เขาคือเจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด เขาไม่ดูราคาหุ้น สิ่งที่เขาดูก็คือ ผลกำไรของบริษัท ดูเงินสดที่บริษัทหามาได้

และบ่อยครั้งเขาเอาเงินสดนั้นมาใช้ลงทุนซื้อกิจการ หรือหุ้นตัวอื่นต่อ ๆ ไป และนี่คือ วิธีการทำเงินจากหุ้นโดยไม่ต้องขายหุ้นแต่ซื้อหุ้นไปเรื่อย ๆ จะเรียกว่าลงทุนแบบ One Way Ticket ก็น่าจะได้

รายละเอียด

One Way Ticket (วอเร็น บัฟเฟตต์) โลกในมุมมองของ Value Investor ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนเอกของโลกบอกว่า เขาอยากซื้อหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมที่สุดในราคาที่ยุติธรรม แล้วเก็บเอาไว้ไม่ขายเลยตลอดชีวิต และกลยุทธ์นี้เองที่ทำให้เขา สามารถทำกำไรได้ผลตอบแทน จากการลงทุนสูงมากเฉลี่ยกว่า 20%

ต่อปีทบต้นมาเรื่อย ๆ เป็นเวลาเกือบ 50 ปี และกลายเป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับสองของโลก ด้วยความมั่งคั่ง

หลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐความคิดของการซื้อหุ้นแล้วไม่ขายเลย นั้นบัฟเฟตต์ได้มาจากฟิลิป ฟิชเชอร์ใน

หนังสือคลาสสิค Common Stocks and Uncommon Profit ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958

ต่อไปนี้เป็นคำเรียบเรียงของบางส่วน ในหนังสือซึ่งวอเร็น บัฟเฟตต์เคยอ้างถึง และผมคิดว่า Value Investor ควรได้เรียนรู้เอาไว้ และถ้าเป็นไปได้นำมาประยุกต์ ใช้กับการลงทุนของตนเอง มีการอ้างเหตุผลอีกข้อหนึ่งในการขายหุ้น

ของนักลงทุนซึ่งทำให้เขาพลาดจากกำไร ที่เขาควรจะได้ เหตุผลข้อนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ไร้สาระที่สุด

นั่นก็คือหุ้นที่เขาถืออยู่มีราคาวิ่งขึ้น ไปมากมหาศาล เพราะฉะนั้นมันคงรองรับผลการดำเนินงานในอนาคตไปหมดแล้ว

ดังนั้นเขาควรจะขายมัน และซื้อหุ้นตัวอื่นที่ราคายังไม่ได้ขึ้น บริษัทที่ดีเยี่ยม ซึ่งเป็นหุ้นประเภทเดียว ที่ผมคิดว่านักลงทุนควรซื้อ ไม่ได้ทำงานแบบนี้ การทำงานของมันอาจจะเข้าใจได้ง่ายที่สุด โดยการอุปมาอุปไมกับเรื่องดังต่อไปนี้

สมมติว่ามันเป็นวันที่คุณเรียนจบจากมหาวิทยาลัย หรือเรียนจบมัธยมก็ได้ ทีนี้สมมติต่อว่าในวันนั้นเพื่อนร่วมชั้นของคุณทุกคน ต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน แต่ละคนเสนอเงื่อนไขให้คุณ แบบเดียวกันนั่นคือ ถ้าคุณให้เงินพวกเขาเท่ากับ 10 เท่าของรายได้ทั้งหมดที่เขาจะได้รับ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าหลังจากที่เขาเริ่มทำงาน พวกเขาก็จะตอบแทนคุณโดยการจ่ายเงินให้คุณ เท่ากับหนึ่งในสี่ของรายได้ของเขาตลอดชีวิตวิธีการและแนวทางในการลงทุน

 

 

เรื่องย่อโดย www.holidaytours.in.th

บัฟเฟต์เลือกจะลงทุนในบริษัทชั้นหนึ่ง ที่ตัวเองมีความเข้าใจเป็นอย่างดีเท่านั้น รวมทั้งมีผู้บริหารที่ไว้ใจได้ด้วย วอร์เร็นได้กล่าวว่า ”หลังจากที่ซื้อหุ้นแล้ว ผมจะไม่สนใจตลาดหุ้นเลยและถึงแม้ว่าตลาดหุ้นจะปิดทำการยาวนานถึง10ปีก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะว่า ผมมั่นใจธุรกิจที่ลงทุนไปแล้วนั้น มีมูลค่าที่แท้จริงของมัน ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องให้ตลาดหุ้นมารับรู้ด้วยก็ได้”

 

รายละเอียด

วิธีการและแนวทางในการลงทุน ของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์หุ้นไม่ใช่เพียงแค่กระดาษแผ่นหนึ่งอย่างที่หลายๆคนคิด

มันเป็นเอกสารที่แสดงถึงความมีส่วนเป็นเจ้าของในกิจการนั้นด้วย เมือคิดจะลงทุน จงใช้มุมมองอย่างเจ้าของกิจการในการเลือกลงทุนมุ่งเน้นลงไปในกิจการและข้อมูลเบี้องหลัง ไม่ใช่แค่มองว่ามันเป็นแค่หุ้น ต้องรู้ใช้ชัดว่ากิจการนี้ทำอะไร และทำได้ดีแค่ไหน? พิจารณาลงทุนเฉพาะกิจการที่เราเข้าใจได้ เพราะไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถ ที่จะค้นหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการที่เราเป็นเจ้าของได้ มีกิจการที่ดีเพียงไม่กี่บริษัทที่เราจะสามารถลงทุนแล้วได้รับ ผลตอบแทนสูง

ในโลกนี้ประกอบไปด้วยธุรกิจที่ดีเด่น ธุรกิจที่แย่

และธุรกิจที่ไม่ดีไม่เลวจงจำกัดการค้นหาธุรกิจนั้นโดยมองย้อนไปถึงประวัติเก่าๆของกิจการนั้นๆ ”นักลงทุนควรที่จะคิดเสมอว่าการลงทุนนั้นเปรียบเสมือนการตัดสิน ใจครั้งสำคัญ ในชีวิตซึ่งมีได้เพียงยี่สิบครั้งเท่านั้น ดังนั้นการตัดสินใจทุกครั้งจะต้องไตร่ตรองให้ดี เพราะหากพลาดไปจะเหลือโอกาสอีกไม่มาแล้ว” ธุรกิจที่ดีจะเสมือนว่ามีทางด่วน ซึ่งลูกค้าต้องจ่ายเพื่อข้ามไปสู่จุดหมายปลายทางที่เขาต้องการ และสิ่งนี้จะทำให้กิจการนั้นสามารถเติบโตได้ตลอดไป ดังตัวอย่างเช่น บริษัทหลายบริษัทจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ สินค้าและบริการของตัวเอง ซึ่งบริษัทโฆษณาก็จะสามารถได้รับผลประโยชน์จากความต้องการโฆษณา นี้ด้วย

• ผู้ชายส่วนใหญ่จำเป็นต้องโกนหนวด และผู้หญิงก็อาจจะโกนขนขา สำหรับกิจการที่ผลิตมีดโกนที่ใหญ่ที่สุด

ในโลก อย่างเช่น Gillette ซึ่งสามารถยึดคลองตลาดที่ไม่มีวันหดหายไปได้เลย และจะเติบโตไปตาม การขยายตัวของจำนวนประชากรโลก ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มักจะมีคุณสมบัติต่างๆดังนี้ 1 ไม่ซับซ้อน (Simplicity) กิจการเหล่านี้จะเข้าใจได้ง่ายๆ และใช้การบริหารแบบธรรมดา

 

 

2 ธุรกิจเสมือนมีสิทธิพิเศษที่แข็งแกร่ง (Strong business

franchises) ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จาก ค่าความนิยมทางเศรษฐกิจ

(Economic Goodwill) เช่นสามารถปรับราคาขึ้นได้โดยที่ ลูกค้าไม่มีความขัดข้อง

3 สามารถคาดการได้ (predictability) สามารถคาดการผลประกอบการได้อย่างมั่นใจ

4 ผลตอบแทนจากเงินทุนสูง (High return on Equity) สามารถที่จะมีผลตอบแทนจากเงินทุนได้สูง โดยไม่ต้องอาศัยการตบแต่งบัญชี (Creative Accounting)หรือการใช้เงินลงทุนจากการกู้

ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนนี้สำคัญกว่าตัวเลขกำไรต่อหุ้นที่หลายๆ คนให้ความสำคัญเสียอีก

5 สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ดี (Strong Cash Generation)

เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องมีการลงทุนอย่าง มหาศาลเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันให้สูงอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจที่แข็งแกร่งจริงจะใช้เงินลงทุนเพียง เล็กน้อยก็สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมั่นคง

6 อุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น (Devotion to Shareholder Value) การที่มีผู้บริหาร ที่ซื่อสัตย์ และมีฝีมือทุ่มแรงกายแรงใจให้แก่งานของบริษัท เพื่อสร้างมูลค่าให้กิจการตลอดเวลา ในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจจงจำไว้ว่า ”ราคาคือสิ่งที่เราจ่าย มูลค่าคือสิ่งที่เราได้รับ” ดังนั้นการลงทุนใดๆเราต้องคำนึงถึงส่วนต่างเพื่อความปลอดภัย

(Margin of Safety) ระหว่างราคากับมูลค่าให้มากไว้ เพื่อหากว่าเราเกิดความผิดพลาดขึ้นก็ยังไม่ทำให้เราขาดทุนมาก

ในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงนั้น วอร์เร็นมักจะใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด(Discount Cash flow)

หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า DCF วิธีการนี้คือการประมาณกระแสเงินสดในอนาคตที่กิจการจะได้รับ และคิดลดกระแสเงินสดนั้นกลับมา ณ ปัจจุบันโดยใช้อัตราคิดลดที่ปราศจากความเสี่ยงโดยเทียบกับ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล อาจจะเป็น10ปีหรือน้อยกว่านั้นซึ่งผลที่ได้สามารถบอกเราได้ถึงส่วนต่าง ของราคาปัจจุบันกับมูลค่าซึ่งนั่นก็คือส่วนต่างเพื่อความปลอดภัย(Margin of Safety) ไม่สนในการเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้น วอร์เร็นเคยพูดไว้ว่า ”หลังจากที่ซื้อหุ้นแล้ว ผมจะไม่สนใจตลาดหุ้นเลย และถึงแม้ว่าตลาดหุ้นจะปิดทำการยาวนานถึง10ปีก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะว่าผมมั่นใจธุรกิจที่ลงทุนไปแล้วนั้นมีมูลค่าที่ แท้จริงของมัน ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องให้ตลาดหุ้นมารับรู้ด้วยก็ได้” วอร์เร็นจะขายหุ้นก็ต่อเมื่อ

• ถ้ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นตามอัตราที่ควรจะเป็น

• ถ้ามูลค่าตลาดของกิจการเพิ่มสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่ประเมิน ได้มากจนเกินไป

 

 

 

บทสรุปบัฟเฟตต์ภาคแรก

บัฟเฟตต์ภาคแรก โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ชีวิตและการลงทุนของวอเร็น บัฟเฟตต์

ในปัจจุบันเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางทั้งในหมู่นักลงทุนและประชาชนทั่วไปในอเมริกา ในเมืองไทยเองนั้น นักลงทุนจำนวนมากน่าจะรู้จักเขาพอสมควร นักลงทุนหลายคนนับถือและยึดถือเขา เป็นแบบอย่างในการลงทุน บทความเกี่ยวกับวอเร็น บัฟเฟตต์ ถูกเขียนขึ้นหลาย ๆ ครั้ง ทั้งในคอลัมน์นี้และในที่อื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วพูดถึงสิ่งที่เขาทำ

ผลงาน พอร์ตโฟลิโอ และความมั่งคั่งของเขาเมื่อเขาดังและประสบความสำเร็จ เป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันสำหรับ Value Investor ทั่ว ๆ ไปนั้น น่าจะอยู่ที่ชีวิตของบัฟเฟตต์ ในขณะที่เขายังไม่ดัง ไม่เป็นที่รู้จัก

ถูกแก้ไข โดย บอนไซ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บทความนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียนลงในนิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 27 ก.พ. 2012 ถอดความเป็นภาษาไทยโดย คุณชัชวนันท์ สันธิเดช ทีมงาน Club VI เผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ ClubVI.com ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2012 และด้วยความที่ระยะนี้ ราคาทองกำลังร่วงหนักจนน่าตกใจ จึงขอเอามาโพสต์ให้ได้อ่านกัน คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ครับ ^^

 

หุ้น เหนือกว่า ทองคำ และ พันธบัตร อย่างไร?

 

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียน

ชัชวนันท์ สันธิเดช แปล

 

 

ผู้คนมักกล่าวว่า การลงทุน คือการกระบวนการในการเอาเงินออกมาบริหาร โดยหวังว่าจะได้รับเงินมากขึ้นในอนาคต

 

แต่ที่เบิร์คไชร์ แฮธาเวย์ เราใช้หลักที่เข้มงวดกว่านั้นมาก เราให้คำจำกัดความของ การลงทุน ว่าเป็นการส่งต่ออำนาจซื้อไปสู่ผู้อื่น ด้วยความคาดหวังอย่างมีเหตุผลว่าจะเกิดเป็นอำนาจซื้อที่มากขึ้นในอนาคต หลังจากหักภาษีในอัตราที่น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ หากจะให้ชี้ชัดยิ่งขึ้น ต้องบอกว่า การลงทุนคือการผัดผ่อนการบริโภค ณ วันนี้ เพื่อให้มีความสามารถที่จะบริโภคได้มากขึ้นในวันข้างหน้า

 

ด้วยนิยามของเรา จึงก่อให้เกิดผลที่ตามมาอันสำคัญยิ่งประการหนึ่ง กล่าวคือ ความเสี่ยงจากการลงทุน มิอาจวัดได้โดยค่าเบต้า (อันเป็นค่าที่คนในวอลล์สตรีทชอบใช้กัน) หากแต่วัดได้โดยหลักความน่าจะเป็น แต่ต้องเป็น ความน่าจะเป็นอย่างมีเหตุผล ที่ผู้ที่เป็นเจ้าของเงินจะสูญเสียอำนาจซื้อหลังจากถือสินทรัพย์นั้นไประยะหนึ่ง

 

ทั้งนี้ ราคาของสินทรัพย์อาจผันผวนขึ้นลงอย่างรุนแรงได้โดยไม่มีความเสี่ยงอันใด หากว่ามันยังคงเพิ่มอำนาจซื้อให้กับผู้ถือสินทรัพย์นั้นอย่างมั่นคงและแน่นอน หลังจากถือมันไว้ระยะหนึ่ง ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า แม้สินทรัพย์ที่ราคาไม่ผันผวนเลย ก็อาจเต็มไปด้วยความเสี่ยงได้

ความน่าจะเป็นในการลงทุนนั้นมีอยู่มากมายและหลากหลาย อย่างไรก็ตาม ความน่าจะเป็นดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็นสามประเภทหลักๆ ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจคุณลักษณะของความน่าจะเป็นแต่ละประเภท เรามาดูกันเถอะครับ

 

การลงทุนต่างๆ ที่อิงกับค่าเงิน เช่น กองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) พันธบัตร การจดจำนอง เงินฝากธนาคาร และอื่นๆ มักถูกเข้าใจว่ามี “ความปลอดภัย” แต่ที่จริงแล้ว พวกมันคือสินทรัพย์ที่อันตรายที่สุด ค่าเบต้าของมันอาจจะเป็นศูนย์ แต่ความเสี่ยงนั้นมากมายเหลือเกิน

 

ในศตวรรษที่ผ่านมา เครื่องมือเหล่านี้ได้ทำลายอำนาจซื้อของนักลงทุนในหลายต่อหลายประเทศ แม้ว่าคนที่ถือมันอยู่จะได้รับผลตอบแทนเป็นระยะๆ ทั้งในรูปของดอกเบี้ยและเงินต้น แต่ผลลัพธ์อันอัปลักษณ์จะยังคงอยู่ตลอดไป รัฐบาลเป็นผู้กำหนดมูลค่าของเงินตรา แต่ระบบที่เป็นอยู่จะบีบบังคับให้รัฐบาลต้องไหลตามน้ำ โดยใช้นโยบายที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ และมีหลายครั้งหลายหนที่นโยบายเหล่านั้นหลุดออกไปอยู่เหนือความควบคุม

 

แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ผู้คนคาดหวังว่าค่าเงินน่าจะมีความแข็งแกร่ง เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็ยังลดค่าลงถึง 86% ตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งเป็นเวลาที่ผมเข้ามาบริหารเบิร์คไชร์ ณ วันนี้ เราต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 7 ดอลล่าร์ เพื่อซื้อสิ่งที่เราเคยซื้อได้ด้วยเงิน 1 ดอลล่าร์ ในเวลานั้น

ด้วยเหตุนี้ กองทุนหรือสถาบันการเงินใดๆ ที่ไม่มีภาระต้องจ่ายภาษี จึงต้องทำดอกเบี้ยให้ได้ถึง 4.3% ต่อปี จากการลงทุนในตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงจะสามารถรักษาอำนาจซื้อของตัวเองไว้ได้ ผู้จัดการของกองทุนหรือสถาบันการเงินเหล่านั้นคงกำลังหลอกตัวเองแน่ๆ ถ้าพวกเขาจะเรียกดอกเบี้ยที่ได้รับว่า “รายได้”

 

สำหรับนักลงทุนที่ต้องจ่ายภาษีอย่างคุณและผม ภาพที่เห็นกลับเลวร้ายยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 47 ปีที่ผ่านมา ตั๋วเงินคลังของสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.7% ต่อปี ฟังดูแล้วเหมือนจะน่าพอใจ แต่ถ้านักลงทุนแต่ละคนจ่ายภาษีในอัตรา 25% ต่อปี ผลตอบแทน 5.7% นี้ จะทำให้พวกเขาไม่ได้อะไรเลยในแง่ของรายได้ที่แท้จริง

 

ภาษีเงินได้ที่พวกเขาต้องจ่าย จะกินผลตอบแทนที่ว่าไปถึง 1.4% ในขณะที่ “ภาษีเงินเฟ้อ” ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จะกัดกินผลตอบแทนอีก 4.3% ที่เหลือจนหมดสิ้น ที่น่าสังเกตก็คือ ภาษีเงินเฟ้อ มีค่ามากกว่าภาษีเงินได้ธรรมดาที่นักลงทุนคิดว่าเป็นภาระหลักของพวกเขาถึงเกือบ 3 เท่า

 

ในธนบัตรอาจมีคำว่า “เราเชื่อมั่นในพระเจ้า” (In God We Trust) อยู่ก็จริง แต่มือที่ทำให้เครื่องพิมพ์เงินของประเทศเราพิมพ์ธนบัตรออกมานั้น เป็นมือของคนเดินดินธรรมดาๆ นี่เอง

 

แน่นอนว่าอัตราดอกเบี้ยสูงๆ จะช่วยชดเชยความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เกิดจากการลงทุนซึ่งอิงกับค่าเงินได้ และอัตราดอกเบี้ยในทศวรรษที่ 80 ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะครอบคลุมความเสี่ยงจากการสูญเสียอำนาจซื้อดังกล่าวได้เลยแม้แต่น้อย ที่จริงแล้ว พันธบัตรควรมีฉลากคำเตือนให้ระวังอันตรายแปะอยู่ด้วยซ้ำ

 

ภายใต้สภาวการณ์ทุกวันนี้ ผมจึงไม่ชอบการลงทุนใดๆ ที่อิงกับค่าเงิน อย่างไรก็ตาม เบิร์คไชร์ ฮาแธเวย์ ก็ยังมีการลงทุนเหล่านั้นอยู่พอสมควรในรูปแบบของการลงทุนระยะสั้นต่างๆ สำหรับ เบิร์คไชร์ สภาพคล่องจำนวนมหาศาลถือเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นสิ่งที่เรา ไม่มีทาง จะละเลย เราจำเป็นต้องมองข้ามอัตราผลตอบแทนที่ไม่เพียงพอนั้น เพื่อคงไว้ซึ่งสภาพคล่องมหาศาล เราจึงถือตั๋วเงินคลัง ซึ่งเป็นการลงทุนประเภทเดียวที่พอจะไว้วางใจได้ในเรื่องของสภาพคล่อง ภายใต้สภาวะทางเศรษฐกิจที่แสนจะสับสนอลหม่านดังเช่นในปัจจุบัน บนหน้าตักของเราในเวลานี้มีอยู่ราวๆ 2 หมื่นล้านดอลล่าร์ และอย่างน้อยที่สุดต้องมี 1 หมื่นล้านดอลล่าร์สำรองไว้เสมอ

 

นอกเหนือจากความจำเป็นในเรื่องของสภาพคล่องและกฎระเบียบต่างๆ แล้ว เราจะซื้อหลักทรัพย์ที่อิงกับค่าเงินก็ต่อเมื่อมีโอกาสที่มันจะให้ผลตอบแทนในระดับที่สูงผิดปกติเท่านั้น เช่น เมื่อมีการตั้งราคาสินเชื่อผิดๆ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาของวิกฤตการเงิน จนเกิดเป็นพันธบัตรขยะ (Junk Bonds) มากมาย หรือเมื่ออัตราดอกเบี้ยนั้นสูง จนเราสามารถที่จะทำกำไรจากพันธบัตรชั้นดีได้ในเวลาที่อัตราดอกเบี้ยนั้นลดลง

 

แม้ว่าในอดีต เราจะเคยศึกษาถึงโอกาสที่ทั้งสองเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น และอาจทำการศึกษาซ้ำอีกในอนาคต แต่ตอนนี้ เราแทบไม่เห็นว่าความคาดหวังดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้เลย

 

ณ วันนี้ ความเห็นของ เชลบี้ คัลลอม คนในวอลล์สตรีทที่เคยพูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้วดูเหมือนจะเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน“พันธบัตรที่เชื่อกันว่าให้ผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง กำลังถูกตั้งราคาราวกับมันเป็นสิ่งที่ให้ความเสี่ยงโดยไม่มีผลตอบแทน”

 

การลงทุนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของสินทรัพย์ที่ไม่มีวันจะทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย แต่ผู้คนกลับชอบที่จะซื้อหา เนื่องจากผู้ซื้อมีความหวังว่าใครสักคน ซึ่งย่อมรู้เช่นเดียวกันว่าสินทรัพย์ชนิดนี้จะไม่มีวันทำให้เกิดประโยชน์โพดผลใดๆ จักยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าเพื่อซื้อมัน อาทิเช่น ดอกทิวลิป ซึ่งได้กลายเป็นสินค้ายอดนิยมของผู้คนในศตวรรษที่ 17

 

การลงทุนจำพวกนี้ ต้องมีกลุ่มของผู้ซื้อที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้ซื้อถูกล่อให้แห่กันเข้ามาด้วยความเชื่อที่ว่ากลุ่มของคนที่เป็นแบบพวกเขาจะขยายตัวต่อไปอีก

 

ผู้ถือสินทรัพย์ชนิดนี้มิได้มีแรงบันดาลใจว่าตัวสินทรัพย์ที่พวกเขาถือจะสร้างผลผลิตใดๆ ทั้งยังรู้ดีกว่าสินทรัพย์นั้นจะยังคงไร้ชีวิตตลอดไป พวกเขาเพียงหวังว่าคนอื่นๆ จะปรารถนามันมากยิ่งขึ้นในอนาคต

 

ในบรรดาสินทรัพย์จำพวกนี้ อันดับหนึ่งคือ “ทองคำ” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนที่กลัวสินทรัพย์อื่นๆ แทบจะทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินกระดาษ (อันที่จริง สินทรัพย์หลายชนิดก็มีเหตุผลควรที่สมควรจะกลัวอยู่)

 

อย่างไรก็ตาม ทองคำมีจุดอ่อนอยู่สองประการ คือ ตัวมันเองเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ ทั้งยังไม่ทำให้เกิดผลิตผลอะไรขึ้นมาได้เลย จริงอยู่ที่ทองคำมีประโยชน์ในแง่ของอุตสาหกรรมและใช้เป็นเครื่องประดับได้ แต่อุปสงค์ในแง่ดังกล่าวมีอยู่จำกัด และไม่สามารถทำให้ทองเพิ่มปริมาณขึ้นได้

 

ถ้าคุณมีทองคำหนึ่งออนซ์ ทองคำนั้นย่อมมีปริมาณหนึ่งออนซ์เท่าเดิมตราบจนชั่วกัลปาวสาน

 

สิ่งสำคัญที่ดึงดูดแฟนพันธุ์แท้ทองคำคือความเชื่อที่ว่า ผู้คนจะเกิดความกลัวในสินทรัพย์อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ความเชื่อดังกล่าวก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง

 

ยิ่งไปกว่านั้น ราคาที่สูงขึ้นของทองคำก็ยิ่งทำให้คนมีความกระตือรือร้นอยากจะซื้อมัน จนดึงดูดให้ผู้ลงทุนเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของราคาทองเป็นไปตามข้อสรุปทางการลงทุนที่สมเหตุสมผลแล้ว

 

นักลงทุนที่ชอบแห่ตามกันไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทไหน มักจะสร้างความจริงของตัวเองขึ้นมาเสมอ อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ทั้งหุ้นอินเทอร์เน็ตและบ้านได้แสดงให้เห็นถึงภาวะความเฟ้อเกินไป อันเป็นผลมาจากการผสมผสานกันระหว่างข้อสรุปที่มีเหตุผลกับราคาที่เกินกว่าเหตุ

 

ในภาวะฟองสบู่ มหาชนที่เคยลังเลสงสัย มักยอมศิโรราบต่อ “ข้อพิสูจน์” ที่ตลาด “จัดให้” และกลุ่มของผู้ซื้อก็จะขยายตัวออกไปอย่างใหญ่หลวง จนเพียงพอที่จะทำให้พฤติกรรมแห่ตามกันนั้นหมุนเวียนต่อไปเรื่อยๆ แต่แล้วฟองสบู่ที่โตเกินก็จะแตกโพละออก และเมื่อนั้น ภาษิตโบราณก็จักได้รับการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง …

 

“สิ่งที่คนฉลาดทำในตอนเริ่มต้น คนโง่จะทำมันในท้ายที่สุด”

 

 

(ต่อตอนหน้า)

 

อ้างอิง - นิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 27 ก.พ. 2012

อ่านฉบับเต็มได้ที่ - http://finance.fortune.cnn.com/2012/02/09/warren-buffett-berkshire-shareholder-letter/

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

 

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียน

ชัชวนันท์ สันธิเดช แปล

 

(ต่อจากตอนที่แล้ว)

 

ณ วันนี้ คลังทองคำของโลกมีอยู่ประมาณ 170,000 เมตริกตัน หากเอาทองทั้งหมดมาหลอมรวมกัน เราจะได้ลูกบาศก์ทองคำที่มีความกว้างยาวลึกด้านละ 68 ฟุต (เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขนาดของมันวางลงบนสนามเบสบอลได้พอดิบพอดี) ณ ราคา 1,750 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ในเวลาที่ผมเขียนบทความนี้ ราคาของทองคำทั้งหมดในโลกจะมีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ โดยเราจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ก้อน A”

 

เอาล่ะ ทีนี้มาสร้าง “ก้อน B” กันบ้าง ก้อน B ที่ว่านี้มีราคาเท่ากับก้อน A แต่เราสามารถใช้มันซื้อไร่นาทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา (จำนวน 400 ล้านเอเคอร์ ทำรายได้รวมกัน 2 แสนล้านเหรียญต่อปี) บวกกับบริษัท Exxon Mobil จำนวน 16 บริษัท (Exxon Mobil คือบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก โดยสมมุติว่าเรามีบริษัทนี้อยู่ 16 แห่ง แต่ละแห่งทำกำไรได้ปีละ 4 หมื่นล้านเหรียญ) หลังจากซื้อของดังกล่าวแล้ว เราจะยังเหลือเงินติดตัวไว้ใช้ราวๆ หนึ่งล้านล้านดอลล่าร์ (สมมุติว่าเราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองใช้เงินเกินตัว)

 

คุณพอจะใช้จินตนาการได้ไหมว่า จะมีนักลงทุนคนไหนในโลกที่มีเงิน 9.6 ล้านล้านดอลล่าร์ แล้วจะเลือกซื้อก้อน A แทนที่จะซื้อก้อน B ?!!

นอกจากมูลค่าของทองจะถูกประเมินอย่างไม่สมเหตุสมผลแล้ว ราคาปัจจุบันยังทำให้ตัวมันถูกผลิตขึ้นปีละคิดเป็นมูลค่า 160,000 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งผู้ซื้อ ไม่ว่าจะซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับหรือซื้อไปใช้ในทางอุตสาหกรรม รวมทั้งคนที่กำลังกลัวและนักเก็งกำไร จะค่อยๆ รับเอาอุปทานส่วนเพิ่มนี้ไว้เรื่อยๆ ก่อนที่ราคา ณ ปัจจุบันจะกลายเป็นราคาสมดุลในที่สุด

 

ในเวลาหนึ่งศตวรรษนับจากนี้ ที่ดิน 400 ล้านเอเคอร์จะผลิตข้าวโพด ธัญพืช ค้อตต้อน และพืชผลอื่นๆ ได้อีกเป็นจำนวนมาก และจะผลิตผลผลิตที่มีคุณค่าเหล่านั้นต่อไป ไม่ว่าค่าเงินจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในขณะที่ Exxon Mobil จะทำเงินปันผลให้กับเจ้าของอีกนับล้านล้านเหรียญ และจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่าหลายล้านล้านเหรียญเช่นกัน (อย่าลืมว่าคุณมี Exxon อยู่ 16 บริษัท) ในขณะที่ทองคำ 170,000 ตัน จะไม่เพิ่มปริมาณขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่สามารถสร้างผลิตผลอะไรใดๆ ได้ทั้งสิ้น

 

คุณอาจลูบคลำก้อนทองคำนี้ด้วยความรัก แต่มันจะไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใดๆ แน่นอน

 

ต้องยอมรับว่า เมื่อคนในยุคหนึ่งร้อยปีนับจากนี้รู้สึกกลัว พวกเขาก็จะยังกระโดดเข้าหาทองคำอยู่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ผมมั่นใจว่า ก้อน A ที่มีมูลค่า 9.6 ล้านล้านเหรียญ จะทวีมูลค่าต่อไปในอนาคตในอัตราที่ด้อยกว่าก้อน B อย่างมากเป็นแน่แท้

 

การลงทุนสองประเภทที่เราได้กล่าวไปจะได้รับความนิยมสูงสุดในเวลาที่ความกลัวพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ความหวาดกลัวว่าเศรษฐกิจจะล่มสลาย ทำให้ผู้คนพากันไปถือสินทรัพย์ที่อิงกับค่าเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎข้อบังคับต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาและความกลัวว่าค่าเงินจะล่มสลาย เป็นสิ่งที่ทำให้คนแห่กันไปหาทรัพย์สินที่เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างทองคำมากที่สุด

 

เราได้ยินคำว่า “เงินสดคือพระเจ้า” (Cash is King) ในปี 2008 ซึ่งเป็นเวลาที่เราควรเอาเงินสดออกมาลงทุน ไม่ใช่เก็บไว้ เราได้ยินคำว่า “เงินสดคือขยะ” ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 อันเป็นเวลาที่การลงทุนแบบตรึงกับค่าเงินดอลล่าร์อยู่ในระดับที่น่าดึงดูดในที่สุดในความทรงจำ ในช่วงเวลานั้น นักลงทุนที่จะทำอะไรก็ต้องรอให้ฝูงชนเห็นด้วยเสียก่อน จึงพลาดโอกาสงามๆ ครั้งใหญ่ในชีวิตไป

 

สำหรับความชอบส่วนตัวของผม ได้แก่ การลงทุนในประเภทที่สาม ซึ่งคุณก็รู้ว่าคืออะไร นั่นก็คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลิตผล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ เรือกสวนไร่นา หรืออสังหาริมทรัพย์ โดยอุดมคติแล้ว ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้มีศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนอันทำให้ผู้เป็นเจ้าของมันยังคงรักษาอำนาจซื้อไว้ได้แม้ในเวลาที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยมีจำเป็นน้อยมากที่จะต้องเอาทุนใส่เพิ่มเข้าไป

 

เรือกสวนไร่นา อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจต่างๆ เช่น โคคาโคล่า ไอบีเอ็ม รวมทั้ง ซีส์ แคนดี ของเรา ได้ผ่านการทดสอบในช่วงที่เงินเฟ้อเป็นเลขสองหลักมาแล้ว ในขณะที่บริษัทอื่นๆ ก็มีบ้างที่แพ้เงินเฟ้อ เพราะต้องเอาเงินลงทุนใส่เพิ่มเข้าไปค่อนข้างมากเพื่อจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น เจ้าของสินทรัพย์เหล่านั้นจึงต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้มากขึ้น แม้กระนั้น การลงทุนเหล่านี้ก็ยังเหนือกว่าพวกสินทรัพย์ที่ไม่สร้างผลิตผลและสินทรัพย์ที่อิงกับค่าเงินทั้งหลาย

 

ไม่ว่าค่าเงินในหนึ่งศตวรรษต่อจากนี้ไปจะอิงอยู่กับทองคำ เปลือกหอย ฟันฉลาม หรือกระดาษ (เหมือนที่เป็นอยู่ในวันนี้) ผู้คนก็พร้อมที่จะเอาแรงกายของตนเองในแต่ละวันเพื่อแลกกับโคคาโคล่าสักกระป๋องหรือถั่วของซีส์

 

ในอนาคต ประชากรอเมริกันที่เพิ่มจำนวนขึ้นย่อมจะบริโภคสินค้ามากขึ้น กินอาหารมากขึ้น และต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้นกว่าทุกวันนี้ ผู้คนย่อมจะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองผลิตได้กับสิ่งที่คนอื่นผลิตได้ตลอดไป ธุรกิจในประเทศของเราจะยังคงนำส่งสินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการให้กับประชาชนต่อไป

 

หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ธุรกิจเหล่านี้ก็คือ “วัว” ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเป็นร้อยๆ ปี และให้ “นม” เราได้อีกมากมาย มูลค่าของมันมิได้วัดโดยตัวกลางในการแลกเปลี่ยนใดๆ แต่วัดจากความสามารถในการผลิตนมของมัน ยอดขายนมที่เพิ่มขึ้นจะทบต้นเป็นผลประโยชน์ของเจ้าของวัว เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อศตวรรษที่ 20 ที่ดาวเพิ่มจาก 66 ถึง 11,497 จุด (และให้ปันผลมากมายเช่นกัน)

 

เป้าหมายของเบิร์คไชร์ คือสะสมธุรกิจชั้นนำเข้ามาในพอร์ทให้มากขึ้น ทางเลือกแรกของเราคือเป็นเจ้าของมันทั้งหมด แต่อีกทางหนึ่งก็คือ เป็นเจ้าของโดยถือหุ้นซึ่งซื้อขายเปลี่ยนมือได้ของบริษัทนั้นในสัดส่วนพอสมควร

 

ผมเชื่อว่า เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็น “ผู้ชนะ” เหนือกว่าสินทรัพย์ในอีกสองประเภทที่เราได้อรรถาธิบายให้ฟังแล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือ มันจะเป็นการลงทุนที่ ปลอดภัยกว่ามาก

 

– จบ –

 

 

อ้างอิง - นิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 27 ก.พ. 2012

อ่านฉบับเต็ม ภาษาอังกฤษได้ที่ - http://finance.fortu...eholder-letter/

 

ท้่ายบทโดยบอนไซ

........ต่างคนต่างมีความเชื่อ เคราพท่าน อย่างจริงใจครับ ส่วนผม........

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ผมมองทองคำคือสินทรัพย์ปลอดภัย

เป็นหลักประกัน ชีวิตยามเกิด อุบัติภัย ภัยธรรมชาติ หรือ สงคราม

ถูกแก้ไข โดย บอนไซ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...