ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

news_img_392953_1.jpg

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสักการะพระแก้วมรกตและศาลหลักเมืองแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมทั้งบุตรชาย ได้เดินทางไปยังตลาดสามย่านเพื่อจับจ่ายซื้อของใช้ส่วนตัว โดยใช้เวลาเลือกซื้ออยู่ประมาณ 30 นาที

 

ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ซื้อน้ำจับเลี้ยง "เจ๊หงส์" ซึ่งเป็นร้านดังของตลาดสามย่านด้วย โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เจ็บคอและเสียงแหบจึงซื้อน้ำจับเลี้ยงดื่มเพื่อให้ชุ่มคอ และจะซื้อตุนไว้ดื่ม 2-3 วันด้วย เนื่องจากของร้านดังกล่าวน้ำจับเลี้ยงมีสรรพคุณดี

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กวีซีไรต์ค้านเปลี่ยนสุภาษิต ชี้ “รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด” ไม่ใช่การสั่งสอนลูก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 สิงหาคม 2555 19:12 น.

 

 

       กวีซีไรต์ค้านเปลี่ยนสุภาษิต “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” เป็น “รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด” ชี้ การกอดเป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่การอบรมบ่มนิสัย

       

       วันนี้ (29 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไพวรินทร์ ขาวงาม กวีซีไรต์ประจำปี 2538 ได้โพสต์เฟซบุ๊กในชื่อ “ไพวรินทร์ ขาวงาม” เพื่อแสดงความเห็นไม่เห็นด้วยกรณีที่ที่ประชุมคณะกรรมการการศึกษาปฐมวัยแห่งชาติ มีมติเห็นชอบเปลี่ยนสุภาษิตที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” เป็น “รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด” เพื่อหวังเปลี่ยนค่านิยมสร้างความอบอุ่น และเพื่อใช้เป็นนโยบายยุทธศาสตร์การศึกษาปฐมวัยและดำเนินการตั้งแต่ปีการศึกษา 2556 โดยจะมีการเสนอขอความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆ นี้ โดยมีใจความว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” นั้น ตรรกะคำเก่าเขาลงตัวดีแล้วเนื่องจาก “ผูก” กับ “ตี” เป็นคำเข้ากลุ่มกัน ถ้าไม่ชอบคำนี้ เพราะเห็นว่าล้าสมัย ก็ไม่ต้องนำมาใช้ ยกคำ หรือการกระทำเช่นนี้ให้ตกสมัยไป และให้คิดคำใหม่ให้ทันสมัยแทน

 

       “รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด คำว่า ผูกกับกอดมันผิดฝาผิดตัวชอบกล คนเราเลี้ยงลูก ก็ต้องอุ้มลูกกอดลูกอยู่แล้ว นั่นมิใช่การการอบรมบ่มนิสัยในวันวัยที่เปลี่ยนไป คำว่า ตี มิใช่การเฆี่ยนตีด้วยไม้เรียวอย่างเดียว หากยังหมายถึงการขนาบให้รู้กฎกติกามารยาท อบรมสั่งสอนว่ากล่าวตักเตือนในบาปบุญคุณโทษ การลงโทษเมื่อเขาทำผิด การให้อภัย การยกย่องเมื่อเขาทำดี คำพูดของพ่อแม่ก็อาจเป็นไม้เรียวชนิดหนึ่ง ที่อาจทั้งมีไว้ตี และมีวางไว้ในบ้านให้ลูกรู้ความเอาเอง วันนี้ แม้ผมไม่คิดจะตีลูกด้วยไม้เรียว แต่ก็ต้องขนาบตีลูกด้วยวิธีการของผม การกอดนั้น ต้องกอดอยู่แล้วด้วยสัญชาตญาณความรัก รักมาก กอดมากๆ เขาผลักออกอีกต่างหาก เพราะเขาเริ่มรำคาญเป็น”

       

       นายไพวรินทร์ ยังโพสต์ด้วยว่า ในวัยเด็กตนเองเคยโดนไม้เรียวพ่อ เคยโดนพ่อดุ โตมาแล้วพ่อแม่ก็ภูมิใจในตัวลูก และลูกก็ยังรักและคิดถึงพ่อแม่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งเสมอ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

“สุชาติ” เตรียมนัดถกทุกสถาบันเลื่อนเปิด-ปิดเทอม 5 ก.ย.นี้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 สิงหาคม 2555 16:40 น.

 

 

       “สุชาติ” เตรียมนัดกลุ่มมหา’ลัยรัฐ ราชภัฏ ราชมงคล เอกชน คุยเลื่อนเปิด-ปิดเทอม 5 ก.ย.นี้ ชี้ ส่วนตัวเห็นควรทำเป็นมาตรฐานเดียวกัน ด้าน “ไพฑูรย์” ระบุ ยังไม่มีความจำเป็นต้องเลื่อนให้ตรงอาเซียนเวลานี้ แต่แนวโน้มมหา’ลัยเอกชนต้องเลื่อนตาม ทปอ.ไม่เช่นนั้นอาจเกิดความลักลั่น

       

       ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวกล่าวถึงกรณีที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติเลื่อนกระบวนการคัดเลือกและปฏิทินการสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือแอดมิชชัน ประจำปีการศึกษา 2557 ซึ่งเดิมกระบวนการรับสมัครแอดมิชชันจะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ของทุกปีมาเป็นช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เพื่อให้สอดคล้องกับการเลื่อนเปิดเทอมให้ตรงกับกลุ่มประเทศอาเซียน ว่า ในสัปดาห์หน้าตนจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาหารือในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยังไม่อยากพูดว่ามหาวิทยาลัยทุกแห่งควรจะต้องเลื่อนเปิด-ปิดเทอมให้เหมือนกัน แต่ตนเห็นว่าเราควรทำให้เป็นมาตรฐานของประเทศ ซึ่งทุกๆ ประเทศก็ทำแบบนั้น ยกเว้นเพียงมหาวิทยาลัยอย่างมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ม.ร.) หรือมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ซึ่งเปิดรับนักศึกษาได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ในส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทราบว่าจะไม่เลื่อนเปิดเทอม ซึ่งตนก็เห็นด้วยเพื่อที่นักเรียนจะได้มีเวลาเตรียมความพร้อมและในต่างประเทศเขาก็ไม่มีการปรับเปลี่ยน

 

 

 

       ด้าน รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (รองเลขาธิการ กกอ.) กล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เชิญมหาวิทยาลัยในกลุ่ม ทปอ., มรภ., มทร.มหาวิทยาลัยเอกชน มาประชุมร่วมกันที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในวันที่ 5 กันยายน เวลา 15.00 น.ซึ่งนอกจากมหาวิทยาลัยแล้วยังจะเชิญ สพฐ.สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เข้าร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ เพื่อจะได้มาพูดคุยปัญหาของแต่ละฝ่ายและหาทางออกร่วมกัน เพราะมีความกังวลว่าหากเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนไม่ตรงกันจะเกิดปัญหาเด็กวิ่งรอกสอบมากขึ้น ผู้ปกครองเสียค่าใช้จ่าย และก็ยังเป็นภาระงบประมาณของรัฐด้วย นอกจากนี้ ยังมีความกังวลอื่นๆ เช่น กรณีกลุ่ม ม.ราชภัฏ ก็เป็นกังวลว่านักศึกษาที่เรียนในศึกษาศาสตร์ อาจจะกระทบว่าเมื่อต้องไปฝึกสอนในโรงเรียน 1 ปีการศึกษาหากเลื่อนเปิดเทอมออกไปเวลาการฝึกสอน อาจจะไม่ตรงกับการเปิดเรียนของโรงเรียน หรือกลุ่ม มทร.เองอาจจะเสียโอกาสหากเด็กที่จบอาชีวศึกษาแล้วอยากจะมาเรียนต่อ

       

       ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) กล่าวว่า จริงๆ แล้วมีแนวโน้มว่ามหาวิทยาลัยเอกชนจะต้องเลื่อนการเปิด ปิดภาคเรียนตามมติ ทปอ.แน่นอน เพราะไม่เช่นจะทำให้เกิดการลักลั่น ถ้ามหาวิทยาลัยใดไม่เลื่อนเปิดปิดภาคเรียนตาม ทปอ.ก็อาจจะมีกรณีที่นักเรียนสละสิทธิ์ เพื่อมาสอบแอดมิชชันได้ หรือมาเข้าร่วมระบบรับตรงผ่านเคลียริงเฮาส์ ของสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.) และความจริงแล้ว อุดมศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยรัฐ เอกชน รวมทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) หากจะเลื่อนก็ควรจะเลื่อนเปิดปิดภาคเรียน หรือจะปรับแนวทางอะไรก็ควรปรับให้ให้สอดคล้องกันทั้งระบบ ไม่เช่นนั้นการสื่อสารระหว่างมหาวิทยาลัยเองจะเกิดปัญหา นักเรียนเองก็จะสับสนขณะเดียวกันทำให้เด็กต้องวิ่งสอบหลายครั้ง

       

       “ส่วนตัวเห็นว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่อุดมศึกษาไทยต้องเร่งรีบเลื่อนเปิด-ปิด ภาคเรียนให้ตรงกับประเทศอาเซียน เพราะเรายังพอมีเวลาศึกษา ผลกระทบที่เกิดจากการร่วมตัวของประชาคมอาเซียนให้ดีก่อน ถ้าพบว่า เมื่อเป็นประชาคมอาเซียนแล้วกิจกรรมของในระดับอุดมศึกษามีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนนักศึกษา บุคลากร หรือมีจำนวนนักศึกษาต่างชาติมาเรียนในประเทศไทยมากขึ้น ค่อยตัดสินใจเลื่อน แต่ถ้าไม่มีผลกระทบดังกล่าวมากก็ยังไม่มีความจำเป็น เนื่องจากทุกวันก็นักศึกษาไทยไปเรียนต่อต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ก็ยังไม่จำเป็นต้องเลื่อน เพราะเป็นนักศึกษาจำนวนน้อย และโดยส่วนตัวเชื่อว่า ช่วงที่รวมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนใหม่ๆ กิจกรรมที่เกี่ยวกับนักศึกษา จะยังมีน้อยอยู่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

555000011179701.JPEG

 

       ในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายๆท่านน่าจะเคยได้ยินกระแสข่าวที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “หน้าผาทางการคลัง” หรือ Fiscal Cliff ที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันในขณะนี้ค่ะ และในวันนี้เราจะมาดูกันว่า Fiscal Cliff ที่ว่านี้คืออะไร และมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ หรือการลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนอย่างไรบ้างค่ะ

       

       Fiscal Cliff หรือ หน้าผาทางการคลัง เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้ค่ะ หลังจากที่มาตรการที่เคยใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กำลังจะสิ้นสุดลง และรัฐบาลยังไม่มีมาตรการใหม่ๆ ออกมารองรับ โดยมาตรการที่กำลังจะหมดอายุลงนั้น ประกอบไปด้วย (1) มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ทั่วไปสำหับคู่สมรสให้น้อยลง (2) มาตรการยกเลิกภาษีมรดก และ (3) มาตรการผ่อนปรนภาษี 2% ที่เก็บจากรายได้ของผู้ที่มีเงินเดือน (Payroll - tax cut ) ซึ่งมาตรการภาษีทั้ง 3 อย่างนี้ถูกนำมาใช้ในสมัยการเลือกตั้งของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช (ปี 2544 และ 2546) และกำลังจะหมดอายุลงในปี 2556 ที่จะถึงนี้ ซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะมีมาตรการใดใหม่ๆ ออกมาเพื่อทดแทนมาตรการเหล่านี้ด้วยค่ะ

       

       ในขณะที่มาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้ง 3 มาตรการกำลังจะหมดอายุลง แต่ในวันที่ 2 มกราคม 2556 นี้ สหรัฐฯ กำลังจะเริ่มบังคับใช้มาตรการใหม่ หรือ (4) มาตรการปรับลดงบประมาณภาครัฐ (Sequestration) ที่จะลดงบประมาณของตนเองลงประมาณ 8.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2556 (Sequestration คือ มาตรการระยะยาวเพื่อลดรายจ่ายทางด้านการคลังลงประมาณ 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลา 10 ปี โดยงบประมาณที่ถูกปรับลดราวครึ่งหนึ่งเป็นงบประมาณด้านกลาโหม) นอกจากนี้แล้ว (5) มาตรการลดสวัสดิการแก่ผู้ว่างงาน ที่จะช่วยให้รัฐบาลสามารถลดรายจ่ายลงได้ถึง 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ก็กำลังจะหมดอายุลงในปี 2556 นี้ด้วยค่ะ ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า หลังจากมาตรการภาษีเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจบลงแล้ว แต่สหรัฐฯ กำลังจะตัดลดงบประมาณของตัวเองลง พร้อมๆกับต้องแบกรับภาระด้านสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นไปด้วยพร้อมๆกัน สถานการณ์เช่นนี้จะมีผลทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เดินไปในทิศทางใดนั่นเอง

       

       โดยหลายฝ่ายคาดว่า Fiscal Cliff ที่กำลังจะเกิดขึ้น จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก รวมถึงจะมีผลทำให้อัตราการจ้างงานในประเทศสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอีกด้วย ซึ่งเปรียบเสมือนกับการตกจากหน้าผา หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ การเข้าสู่ภาวะหดตัวทางการคลังนั่นเองค่ะ ซึ่งนักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ว่าหากเกิด Fiscal Cliff ขึ้น จะมีผลทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2556 อยู่ที่ระดับ 2.2% หรือขยายตัวได้ต่ำกว่าระดับปัจจุบัน 1 % ในขณะที่อัตราการว่างงานจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 10% จากระดับปัจุบันที่ 8.3% นอกจากนี้แล้ว หากสหรัฐฯ ไม่มีการต่ออายุมาตรการภาษีออกไป จะส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชน (Consumption) ลดลง เนื่องจากประชาชนต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น และยังจะมีผลทำให้ปริมาณเงินที่เคยหมุนเวียนอยู่ในมือประชาชน(ประมาณ 1.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หายไปอีกด้วย สถานการณ์เช่นนี้ อาจทำให้สหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง และอาจส่งผลให้มีเงินไหลออกจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมไปถึงสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ แล้วไหลเข้าสู่ประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือดีกว่า (ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า)

       

       ทั้งนี้ อุปสรรคในการแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff หลักๆแล้วเกิดจากเหตุผลทางการเมือง เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงระยะเวลาของการเลือกตั้งใหม่ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2555 นี้ สูญญากาศทางการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง จะส่งผลทำให้การตัดสินใจใช้นโยบายต่างๆ เป็นไปอย่างล่าช้า และในท้ายที่สุดแล้ว สภาคองเกรสอาจไม่สามารถดำเนินมาตรการเพื่อหลีกเลี่ยงการตกหน้าผานี้ได้ทันเวลาหลังจากการเลือกตั้งเพียง 2 เดือน อีกทั้งพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค (เดโมแครต และรีพับบลิกัน) ต่างก็มีนโยบายทางการคลังที่แตกต่างกัน ดังนั้นในขณะนี้จึงยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนถึงมาตรการรองรับที่จะออกมา และด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เราจึงได้ยินกระแสข่าวเกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่อาจจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยการใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติม เช่น การใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งที่ 3 หรือ Quantitative Easing: QE3 ที่คาดกว่าจะถูกนำมาใช้ในช่วงกลางเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

       

       สำหรับผลกระทบต่อประเทศไทยนั้น ในเบื้องต้นคาดว่าอาจมีผลทำให้การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ ชะลอตัวลง ดังนั้นผู้ประกอบการส่งออกของไทยควรเตรียมตัวรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ในขณะที่การลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศไทย คาดว่าอาจจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดการเงินของไทยมากขึ้นทั้งในตลาดหุ้น และตลาดพันธบัตร ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และสุดท้ายอาจเป็นผลเสียต่อภาคการส่งออกของไทยได้ อย่างไรก็ตาม เราคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปค่ะ ว่าสหรัฐฯ จะมีมาตรการใดๆ ออกมาแก้ปัญหาดังกล่าว เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อทั้งการลงทุน และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเช่นกันค่ะ

       

       โดยสโรกาญจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์

       ฝ่ายวิจัยและพัฒนา

       สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย

       

       

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

ราคาทองเคลื่อนไหว-รอมาตรการเฟดรอบใหม่ในการประชุมศุกร์นี้

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 สิงหาคม 2555 16:57 น.

 

 

 

 

       วายแอลจี คาดทองคำตลาดโลกเคลื่อนไหวในกรอบ ระดับ 1,663.49-1,669.49 ดอลลาร์ต่อออนซ์ รอดูประธานเฟดส่งสัญญาณการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบใหม่ในการประชุมศุกร์นี้ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มองมีนัยสำคัญ คาดราคาทองคำมีโอกาสค่อยๆ ขยับขึ้น

       

       “วายแอลจี” ระบุสภาวะตลาดวันที่ 29 สิงหาคม 2555 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,663.49-1,669.49 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFV12 อยู่ที่ 24,900 บาท โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 50 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 24,850 บาท ขณะที่ซิลเวอร์ฟิวเจอร์ SVV12 อยู่ที่ 977 บาท โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 8 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 969 บาท สำหรับแนวโน้มวันที่ 30 สิงหาคม 2555 นั้น ราคาทองคำตลาดโลกมีลักษณะการเคลื่อนไหวในกรอบเนื่องจากนักลงทุนกำลังรอดูว่า นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะส่งสัญญาณถึงการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบใหม่ในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในวันศุกร์นี้หรือไม่

        

       โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคน ซึ่งรวมถึงนักเศรษฐศาสตร์จากฟอร์ต พิตต์ แคปิตอล มองว่า สุนทรพจน์ของเบอร์นันเก้ในรอบนี้มี “นัยสำคัญ” เป็นอย่างยิ่ง เพราะอยู่บนรอยต่อทางการเมืองในสหรัฐฯ แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เบอร์นันเก้อาจจะแสดงความคิดเห็นอย่างไม่เต็มปากนักในเวทีนี้ โดยความหวังของนักลงทุนส่งผลให้ยังคงมีแรงซื้อเข้ามายังตลาดทองคำ อย่างไรก็ดี การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ผู้กำหนดนโยบายของอีซีบีกำลังกำหนดรายละเอียดในแผนการซื้อพันธบัตรรอบใหม่ โดยอีซีบีได้รับแรงกดดันให้ดำเนินบทบาทมากยิ่งขึ้นในการแก้ไขวิกฤตหนี้ยูโรโซน ในขณะที่รัฐบาลของประเทศสมาชิกยูโรโซนเผชิญกับอุปสรรคทางกฎหมาย และทางการเมืองในการประสานงานกันเพื่อดำเนินมาตรการแก้ไขวิกฤตในระยะยาว เบื้องต้น วายแอลจีประเมินว่าราคาทองคำมีโอกาสค่อยๆขยับขึ้น ซึ่งหากราคาทองคำสามารถผ่านระดับ 1,676 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไปได้ ราคาทองคำจะขยับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญในโซน 1,683 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับแนวรับยังคงอยู่ในโซนเดิมคือ 1,652-1,643 ดอลลาร์ต่อออนซ์

       

       สำหรับกลยุทธ์การลงทุน “วายแอลจี” แนะนำนักลงทุนสามารถลงทุนระยะสั้นโดยเข้าซื้อหากราคาย่อตัวไม่หลุดแนวรับบริเวณ 1,652 หรือ 1,643 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยไม่แนะนำให้เข้าซื้อทั้งหมดบริเวณแนวรับใดแนวรับหนึ่ง ควรเหลือเงินทุนเพื่อซื้อเฉลี่ยหากราคาหลุดแนวรับแรกซึ่งราคาจะปรับตัวลงไปบริเวณแนวรับถัดไป และให้แบ่งขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นบริเวณแนวต้าน 1,676 หรือ 1,683 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่สามารถผ่านไปได้ อาจเห็นการย่อตัวของราคาทองคำอีกครั้ง เบื้องต้น วายแอลจียังมองว่าราคาทองคำอาจมีโอกาสค่อยๆ ขยับขึ้น ซึ่งหากราคาทองคำสามารถผ่านระดับ 1,683 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไปได้ มีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป

       

       ** ทองคำแท่ง (96.50%)**แนวรับ 1,652 (24,500 บาท) 1,643 (24,370 บาท) 1,635 (24,250 บาท) แนวต้าน 1,676 (24,860 บาท) 1,683 (24,960 บาท) 1,690 (25,070 บาท) **GOLD FUTURES (GFV12)** แนวรับ 1,652 (24,700 บาท) 1,643 (24,560 บาท) 1,635 (24,440 บาท) แนวต้าน 1,676 (25,050 บาท) 1,683 (25,160 บาท) 1,690 (25,260 บาท) **SILVER FUTURES (SVV12)**แนวรับ 30.30 (959 บาท) 30.10 (953 บาท) 29.80 (944 บาท) แนวต้าน 31.05 (983 บาท) 31.25 (989 บาท) 31.50 (997 บาท)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

รอคืนนี้ดีกว่าครับ ไม่ก็เช้าวันจันทร์ เจ๊ยังจิ้นอยู่ ปักตะไคร้ไม่ได้ผลหรอก 5555555

 

คุยเรื่อง “ครั้งแรก” กับสาว “กระแทกจิ้น”

โดย Taste 24 สิงหาคม 2555 12:04 น.

 

       อีกไม่กี่วัน จะมีหนังไทยเรื่องใหม่เข้าฉาย ในชื่อที่ฟังแล้วต้องบอกว่า “แร้งงงง...” จริงๆ เพราะ “รักแรกกระแทกจิ้น” (Virgin Am I) นั้น อ่านแล้วก็เสียวแว้บในหัวใจกันเลยทีเดียว

       

       แน่นอนว่า นอกจากตัวอย่างแรงๆ ที่ถูกปล่อยออกมา ในหนังเรื่องดังกล่าวยังมีนักแสดงสาวๆ เพียบ และสองคนในนั้นที่เราไปคว้าข้อมือมาถามไถ่พูดคุยกันถึงหนังเรื่องนี้ ก็ดู “เด๊กกกก...เด็ก” ชนิดที่ไม่น่าจะเชื่อว่า เธอจะมาเล่นหนังซึ่งในสายตาของคนส่วนใหญ่ มันน่าจะเป็นหนังที่ “ล่อแหลม” เรื่องนี้

       

       คนแรก “ณัชภัสร์ พิพัฒน์ไชยศิริ” หรือ “นัตตี้ AF7” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราที่เตรียมจะเข้ารั้วมหา'ลัยในปีหน้า ส่วนอีกคน “พรวรา สิทธิประศาสน์” หรือ “พ้อย” นักร้องสาวน้อยที่เคยออกงานเพลงมาแล้วกับค่ายอาร์เอส เราถามถึงบทบาทของพวกเธอในหนังเรื่องนี้ หญิงสาวทั้งสองยิ้มร่า พร้อมเตือนเราก่อนว่า “อย่าตัดสิน เพียงเพราะเห็นแค่หน้าหนังค่ะ” แหม...พูดไปแล้วก็คิดถึงภาษิตฝรั่งที่บอกว่า don't judge a book by its cover. เหลือเกิน

 

       รู้สึกยังไงกับชื่อของหนังที่ตั้งออกมา แรงเหลือเกิน?

       นัตตี้ : ถ้าคิดว่าชื่อหนังมันแรง ก็แรงจริงนั่นแหละค่ะ แต่เนื้อหาของหนังไม่ได้แรงเหมือนชื่อ คือเหมือนกับว่า ชื่อหนัง เขาตั้งมาเพื่อดึงดูดให้คนมาสนใจ หรือรู้สึกสะดุด แบบว่า “เอ๊ย หนังเรื่องนี้มันอะไรอ่ะ ทำไมต้องชื่อแบบนี้” เพื่อให้คนสนใจ แล้วอย่างที่รู้ว่า เดี๋ยวนี้คนไทยส่วนใหญ่ไม่อุดหนุนหนังไทยด้วย เราก็เลยต้องหาจุดที่ดึงดูดให้คนหันมาสนใจน่ะค่ะ

       

       แล้วหนังชื่อแรงๆ เรื่องนี้ จะบอกอะไรกับคนดูหรือครับ?

       พ้อย : มันพูดเกี่ยวกับเซ็กซ์ค่ะ เซ็กซ์ครั้งแรกของคนเรา โดยเล่าผ่านคนทั้งสามวัย และคนสามวัยนี้ก็จะพบรูปแบบ “เซ็กซ์ครั้งแรก” แตกต่างกันไป

       

       นัตตี้ : ใช่ค่ะ แล้วมันก็เป็นเรื่องที่มีอยู่ในชีวิตจริงๆ ด้วย หนังเรื่องนี้ก็จะสะท้อนบอกคนดูว่า ถ้าคุณเจอสถานการณ์อย่างนี้ คุณจะรับมืออย่างไร ก็เป็นความรักหลายรูปแบบมุมมองที่มีอยู่จริง

 

       เราคิดยังไงกับคำว่าจิ้นหรือไม่จิ้น?

       พ้อย : พ้อยรู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งมาเล่นหนังเรื่องนี้ พ้อยยิ่งรู้สึกว่า เอ๊ย ขนาดเด็กวัยรุ่นน่ะ มันมีคลิปอะโบ๊ะจั้มบ๊ะหลุดออกมา มันก็เป็นธรรมชาติ ปัจจุบันนี้มันก็แบบ...ทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้ คือมันเป็นธรรมชาติน่ะค่ะ แต่จะทำอย่างไรให้มันเหมาะสม

       

       นัตตี้ : ก็เห็นด้วยกับพี่พ้อยนะคะ เพราะในปัจจุบัน เราจะเห็นว่าเด็กนักเรียนที่ไป “ซัมบะระฮึ่ม” กัน แล้วก็มีคนเห็น ถ่ายคลิปไว้ คือนัตคิดว่า ทำอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ผิดอะไรนะคะ แต่ว่าส่วนตัวของนัต คิดว่าเราควรจะรักษาศีลธรรมอันดีไว้บ้างน่ะค่ะ เพราะว่าประเทศไทยเรา มีประเพณี มีวัฒนธรรมที่ดีงาม ก็เลยอยากจะฝากไว้ว่า ถ้าจะทำอะไร ก็ช่วยนึกถึงสถาบันที่เรียนกันอยู่หรือนึกถึงพ่อแม่บ้าง นึกถึงท่านเข้าไว้

       

       จริงๆ แล้ว “ครั้งแรก” ของคนเรา มันต้องสวยงามเสมอไปหรือเปล่าครับ?

       พ้อย : พ้อยคิดว่าครั้งแรกมันจะต้องแบบว่าสวยงามนะคะ หรือว่าจะต้องมีกับคนที่ตัวเองรักเท่านั้น คืออาจจะแค่หาคนที่มา “เสียครั้งแรก” เท่านั้นเอง ตามอารมณ์ อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นความรักหรือเปล่า อาจจะรู้สึกแค่ว่า...

       

       นัตตี้ : อยากจะลองอะไรอย่างนั้นน่ะ

       

       พ้อย : ช่ายยย...แต่จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องคิดมาลองกัน เพราะครั้งแรก เราก็น่าจะทำกับคนที่เรารักค่ะ

       

       นัตตี้ : บางทีนะคะ นัตคิดว่าน่าจะมีพวกวัยรุ่นที่คิดว่า การที่เราได้ลอง มันเป็นเรื่องเท่ ดูดี อู๊ย ทำๆๆ ยังไม่ได้ทำนะ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาอวดกันหรือเห็นเป็นความเท่ เอามาอวดกัน เพราะโดยส่วนตัว ถ้ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ มันควรจะเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม ในวัยที่เหมาะสม และสถานการณ์ที่เหมาะสม อย่างเช่นคุณทำงานแล้ว คุณบรรลุนิติภาวะ คุณพร้อมที่จะใช้ชีวิตแล้วค่ะ

 

http://www.manager.co.th/Taste/ViewNews.aspx?NewsID=9550000102860

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พึ่งสังเกตุ อิทธิฤทธิ์คำแสลง " เอาอยู่ " จึงใช้ไม่ได้ผล เพราะมี Big Bag ตั้งถาวรนี่หว่า คงต้องค้นหาคำใหม่ๆๆ ในอนาคต อิอิ

 

สวัสดีค่ะคุณเด็กขายของ สงสัยจังว่าถ้า...ธาราแวะมาบ่อยๆ จะ "ต้านอยู่" ไหม อิอิ

 

ปล.อย่าว่ากันนะคะ จริงๆ แล้วนับถือความรอบรู้ + ชื่นชมความขยันและการเป็นผู้ปกครองที่่ดีของเพื่อพ้องน้องพี่ในห้องนี้ของเฮียจิวแป๊ะทง มาตลอดค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รบ.ญี่ปุ่นทำนายดินไหวแรงอาจตายกว่า3แสน

ข่าวต่างประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2555 7:29น.

 

รัฐบาลญี่ปุ่น ทำแบบจำลองแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุด ที่อาจเกิดขึ้นใน มหาสมุทรแปซิฟิก อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตได้ถึง 320,000 คน

สำหรับคาดการณ์ตัวเลขผู้เสียชีวิตนั้น มาจากการจำลองภัยพิบัติครั้งเลวร้ายที่สุด กรณีที่อาจเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลถึง 9 ริกเตอร์ ซึ่งจะก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ กวาดกลืนพื้นที่ตามแนวชายฝั่งทางใต้ของกรุงโตเกียว

สำนักคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น จัดทำสมมติฐานกรณีเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวกลางดึก ในช่วงฤดูหนาวและกระแสลมแรง ซึ่งจะทำให้คลื่นน้ำ สูงถึง 34 เมตร กวาดกลืนผู้คนที่กำลังหลับใหล ประชาชนจำนวนมากถึง 323,000 คน อาจจมคลื่นยักษ์ ถูกสิ่งของอัดทับ หรือ เพลิงไหม้จากภัยพิบัติ  ขณะที่ เหตุแผ่นดินไหวและสึนามิ 9.0 ริกเตอร์ ในญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ปีที่แล้ว ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สูง 20 เมตร มีผู้เสียชีวิตและสูญหาย ราว 19,000 คน รวมทั้งต้องปิดเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และเกิดวิกฤตินิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงตามมา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

สวัสดีค่ะคุณเด็กขายของ สงสัยจังว่าถ้า...ธาราแวะมาบ่อยๆ จะ "ต้านอยู่" ไหม อิอิ

 

ปล.อย่าว่ากันนะคะ จริงๆ แล้วนับถือความรอบรู้ + ชื่นชมความขยันและการเป็นผู้ปกครองที่่ดีของเพื่อพ้องน้องพี่ในห้องนี้ของเฮียจิวแป๊ะทง มาตลอดค่ะ

โอ้โห ! ไปควักอ้างอิงเมื่อบ่ายวานนี้ เด็กขายของก็แซว ขำขำ เพราะเพื่อนๆ หลายๆท่าน โพสต์แต่ " เอาอยู่ " แต่มัน Sideway Up นักลงทุนซื้อทองตู้แดงนั่งหง่าว ได้แต่มอง ไม่กล้าซื้อ แหม ! ถ้าเป็นปีที่แล้ว วิ่งไล่ซื้อทองเพราะหวัง US$2,000 มาตอนนี้ กลัวแล้ว บ้านบนดอยฯ ถ้าฝากเงินไว้กับทองคำแท่ง 1 ปี ขาดทุน 1,500 บาทต่อบาททอง อ้างอิงราคาซื้อปีที่แล้ว 25,900-26,200 บาท

 

แวะมาบ่อยๆๆ ได้เลยครับ ธารา ไม่กลัว เพราะแกล้งแปลความหมายไม่ออกครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ยูโรร่วงเทียบดอลล์ ขณะตลาดจับตาเบอร์นันเก้แถลง (30/08/2555)

 

สกุลเงินยูโรอ่อนแรงลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (29 ส.ค.) หลังจากมีรายงานว่านายกรัฐมนตรีเยอรมนีและอิตาลีมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตในการทำธุรกรรมด้านธนาคารให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (ESM) นอกจากนี้ ยูโรและสกุลเงินอื่นๆได้เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ก่อนที่เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะกล่าวสุนทรพจน์ด้านเศรษฐกิจที่เมืองแจ็คสันโฮลในวันพรุ่งนี้

 

ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง 0.30% แตะที่ 1.2526 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 1.2564 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ขยับขึ้น 0.09% แตะที่ 1.5830 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5816 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้น 0.20% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 78.660 เยน จากระดับของวันอังคารที่ 78.500 เยน และแข็งค่าขึ้น 0.29% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9584 ฟรังค์ จากระดับ 0.9556 ฟรังค์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.16% แตะที่ 1.0355 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 1.0372 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.44% แตะที่ 0.8008 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8043 ดอลลาร์สหรัฐ

 

สกุลเงินยูโรอ่อนแรงลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี และนายมาริโอ มอนติ นายกรัฐมนตรีอิตาลี มีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตในการทำธุรกรรมด้านธนาคารให้กับกองทุน ESM ซึ่งเป็นกองทุนช่วยเหลือถาวรของยูโรโซน

 

การออกใบอนุญาตให้กองทุน ESM มีสถานะเป็นธนาคารนั้น ได้กลายมาเป็นประเด็นขัดแย้งนับตั้งแต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนของยุโรปได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า หากกองทุน ESM ได้ใบอนุญาตทำธุรกิจธนาคารก็จะทำให้ ESM สามารถเข้าถึงเงินกู้ของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ได้

 

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อีกหลายคนไม่เห็นด้วยกับการอนุญาตให้กองทุน ESM ได้รับใบอนุญาตดังกล่าว เพราะเกรงว่า ESM จะได้รับสิทธิในการกู้เงินจากมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของอีซีบี ซึ่งจะเป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของสหภาพยุโรป (อียู)

 

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ขยายตัว 1.7% สูงกว่าการประมาณการครั้งแรกที่ระบุว่าขยายตัว 1.5% โดยปัจจัยที่ทำให้จีดีพีไตรมาส 2 ดีกว่าการประมาณการเบื้องต้นคือ ยอดส่งออกที่ดีเกินคาด ยอดนำเข้าที่ลดลง รวมถึงการบริโภคส่วนบุคคลที่แข็งแกร่ง

 

นักลงทุนยังคงจับตาดูความเคลื่อนไหวของเฟดอย่างระมัดระวัง โดยเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดมีกำหนดจะแถลงมุมมองทางเศรษฐกิจในการประชุมที่เมืองแจ็คสันโฮล มลรัฐไวโอมิง ในวันที่ 31 ส.ค.นี้ ขณะที่นักลงทุนบางกลุ่มคาดว่า เบอร์นันเก้อาจจะส่งสัญญาณการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมครั้งนี้ แต่ก็มีนักลงทุนอีกจำนวนหนึ่งที่คาดว่าเบอร์นันเก้จะยังไม่ส่งสัญญาณการใช้มาตรการดังกล่าว

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศยุโรปและสหรัฐในวันนี้ โดยเวลา 15.00 น.ตามเวลาไทย เยอรมนีจะเปิดเผยข้อมูลตลาดแรงงานเดือนส.ค. จากนั้นในเวลา 15.10 น.ตามเวลาไทย ยูโรสแตทจะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคค้าปลีกของกลุ่มยูโรโซนเดือนส.ค. และในเวลา 16.00 น.ตามเวลาไทย อิตาลีจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเดือนส.ค.

 

จากนั้นในเวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลรายได้-การบริโภคส่วนบุคคลเดือนก.ค. และจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 30 สิงหาคม 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อรุนสวัสดิ์ ทุกท่าน รายงานตัวจ้า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ (30/08/2555)

 

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (29 ส.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทเอกชน ซึ่งรวมถึงบริษัทลอรีอัล นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่านายกรัฐมนตรีเยอรมนีและอิตาลีมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตในการทำธุรกรรมด้านธนาคารให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (ESM)

 

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.1% ปิดที่ 267.01 จุด

 

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3413.89 จุด ลบ 17.66 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 7010.57 จุด บวก 7.89 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5743.53 จุด ลบ 32.18 จุด

 

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืน (29 ส.ค.) หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ขยายตัวสูงกว่าการประมาณการในครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่ เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะแถลงมุมมองด้านเศรษฐกิจในการประชุมที่เมืองแจ็คสันโฮล รัฐไวโอมิง ในวันศุกร์นี้

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 4.49 จุด หรือ 0.03% แตะที่ 13,107.48 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 1.19 จุด หรือ 0.08% แตะที่ 1,410.49 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 4.04 จุด หรือ 0.13% แตะที่ 3,081.19 จุด

 

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (29 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาทองคำทะยานขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่ เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะแถลงมุมมองด้านเศรษฐกิจในวันศุกร์นี้

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 6.7 ดอลลาร์ หรือ 0.4% ปิดที่ 1,663 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1664.0 - 1658.5 ดอลลาร์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 30.922 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 4.1 เซนต์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.ปิดที่ 1,520.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 10 เซนต์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 636.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 4.45 ดอลลาร์

 

-- สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (29 ส.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายในรอบสัปดาห์ที่แล้ว และจากการคาดการณ์ที่ว่า พายุเฮอริเคนไอแซคจะสร้างความเสียหายแค่ในวงจำกัดเท่านั้น

 

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 84 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 95.49 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 94.76-96.37 ดอลลาร์

 

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน ขยับลง 4 เซนต์ ปิดที่ 112.54 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 111.50-113.30 ดอลลาร์

 

สกุลเงินยูโรอ่อนแรงลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (29 ส.ค.) หลังจากมีรายงานว่านายกรัฐมนตรีเยอรมนีและอิตาลีมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตในการทำธุรกรรมด้านธนาคารให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (ESM) นอกจากนี้ ยูโรและสกุลเงินอื่นๆได้เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ก่อนที่เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะกล่าวสุนทรพจน์ด้านเศรษฐกิจที่เมืองแจ็คสันโฮลในวันพรุ่งนี้

 

ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง 0.30% แตะที่ 1.2526 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 1.2564 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ขยับขึ้น 0.09% แตะที่ 1.5830 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5816 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้น 0.20% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 78.660 เยน จากระดับของวันอังคารที่ 78.500 เยน และแข็งค่าขึ้น 0.29% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9584 ฟรังค์ จากระดับ 0.9556 ฟรังค์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.16% แตะที่ 1.0355 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 1.0372 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.44% แตะที่ 0.8008 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8043 ดอลลาร์สหรัฐ

 

-- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (29 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขาย ก่อนที่เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะแถลงมุมมองด้านเศรษฐกิจในการประชุมที่เมืองแจ็คสันโฮล รัฐไวโอมิง ในวันศุกร์นี้

 

ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดลบ 32.18 จุด หรือ 0.56% แตะที่ 5,743.53 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,739.23-5,775.76 จุด

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 30 สิงหาคม 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดลบ 84 เซนต์ หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่ง (30/08/2555)

 

สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (29 ส.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายในรอบสัปดาห์ที่แล้ว และจากการคาดการณ์ที่ว่า พายุเฮอริเคนไอแซคจะสร้างความเสียหายแค่ในวงจำกัดเท่านั้น

 

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 84 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 95.49 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 94.76-96.37 ดอลลาร์

 

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน ขยับลง 4 เซนต์ ปิดที่ 112.54 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 111.50-113.30 ดอลลาร์

 

สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 24 ส.ค. พุ่งขึ้น 3.78 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 364.52 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล

 

ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 873,000 บาร์เรล สู่ระดับ 126.08 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 150,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.51 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 201.23 ล้านบาร์เรล สอดคล้องกับที่คาดว่าจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันทรงตัวที่ 91.2%

 

นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังอ่อนแรงลงหลังจากมีรายงานว่า พายุเฮอริเคนไอแซคได้เคลื่อนตัวลงสู่ภาคพื้นดินในพื้นที่ตอนใต้ของมลรัฐหลุยเซียนาแล้วเมื่อวานนี้ ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพายุเฮอริเคนไอแซคจะอยู่แค่ในวงจำกัดเท่านั้น

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อมีรายงานว่า รัฐมนตรีคลังของกลุ่มประเทศ G7 ได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และจะเรียกร้องให้สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบายน้ำมันของจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์

 

ด้านนางมาเรีย แวน เดอร์ โฮเวน ผู้อำนวยการ IEA ยังคงเดินหน้าคัดค้านการระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ โดยเธอกล่าวว่าการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบยังไม่ใช่ปัจจัยที่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ต้องระบายน้ำมันออกจากคลัง

 

อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงไม่มากนัก เนื่องจากภาวะการซื้อขายในตลาดได้รับแรงหนุนจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ขยายตัว 1.7% สูงกว่าการประมาณการครั้งแรกที่ระบุว่าขยายตัว 1.5%

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 30 สิงหาคม 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เฟดเผยรายงาน Beige Book ชี้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวค่อยเป็นค่อยไป (30/08/2555)

 

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยในรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคง “ขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป" ในเดือนก.ค.และต้นเดือนส.ค.ทั่วภูมิภาคและภาคธุรกิจส่วนใหญ่ แต่แนวโน้มการฟื้นตัวในภาคค้าปลีกและภาคการผลิตยังไม่มีความชัดเจน

 

เฟดเปิดเผยว่าข้อมูลจาก 6 เขตบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจท้องถิ่นมีการขยายตัวเล็กน้อย และอีก 3 เขตมีการเติบโตปานกลาง

 

ภูมิภาคส่วนใหญ่ระบุว่ากิจกรรมค้าปลีก ซึ่งรวมถึงยอดขายรถยนต์ ได้เพิ่มขึ้นนับแต่รายงานฉบับที่แล้ว แม้ว่าหลายพื้นที่ ซึ่งรวมถึงคลีฟแลนด์ ชิคาโก ดัลลัสและซานฟรานซิสโก ตั้งข้อสังเกตว่าการปรับตัวดีขึ้นของภาคค้าปลีกอยู่ในภาวะอ่อนแอ

 

ส่วนภาพรวมในภาคอุตสาหกรรมการผลิตก็ยังคงไม่มีความชัดเจน เนื่องจาก 6 เขตรายงานว่าอุปสงค์สำหรับสินค้าภาคการผลิตปรับลดลง

 

รายงาน Beige Book  เป็นผลสำรวจที่อิงกับข้อมูลเศรษฐกิจจากธนาคารภูมิภาค 12 แห่งของเฟด และจะมีการเปิดเผยปีละ 8 ครั้งเพื่อแสดงถึงภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐ

 

นอกจากนี้ เฟดรายงานว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยทั่วไปบ่งชี้ถึงการปรับตัวดีขึ้นทั่วประเทศ ส่วนในด้านที่อยู่อาศัยนั้น ทั้ง 12 เขตรายงานถึงการเพิ่มขึ้นของยอดขายบ้าน ราคาบ้านหรือการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ขณะที่รายงานเกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ก็เป็นไปในเชิงบวกโดยทั่วไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเกินคาด 3.78 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว (30/08/2555)

 

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 24 ส.ค. พุ่งขึ้น 3.78 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 364.52 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล

 

ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 873,000 บาร์เรล สู่ระดับ 126.08 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 150,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.51 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 201.23 ล้านบาร์เรล สอดคล้องกับที่คาดว่าจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันทรงตัวที่ 91.2%

 

สต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ที่ได้รายงานในข้างต้นนั้น ไม่นับรวมกับน้ำมันในคลังยุทธภัณฑ์สำรอง (Strategic Petroleum Reserve - SPR) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ปริมาณ 697 ล้านบาร์เรล โดยรัฐบาลสหรัฐจะระบายน้ำมันออกจากคลังดังกล่าวก็ต่อเมื่อเกิดภาวะอุปทานตึงตัวที่เป็นผลมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ การโจมตีของผู้ก่อการร้าย และสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมือง

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 30 สิงหาคม 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...