ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ด่านรับ $1418 รับไม่ไหว ปล่อยมันลงต่อไปดีกว่า " แตกแล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สำหรับนักลงทุนที่เรียกตัวเองว่า สมาชิก ขายก่อนตอนนี้ ถือว่า สายเกินไปนิดหน่อย ถ้าเขาใจดี เด้งคืนมาก่อนที่ 1419 ก็แทงขายก่อนได้ 19,350 ไม่แน่ใจ อยู่นิ่งๆ ไม่เสียตังค์ หรือเขียนใส่กระดาษ ขายก่อน 19,300 บาท น้ำหนัก 40 บาท

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แบงก์ชาติ-เฮดจ์ฟันด์ป่วนตลาดปั่นราคาทองคำโลก (23/04/2556)

ตกอยู่ในอาการตื่นทองกันทั่วโลกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อราคาทองคำในตลาดดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 33 ปี แถมยังร่วงแรงทำสถิติลงมาเกือบ 10% ภายในหนึ่งวัน เมื่อวันที่ 15 เม.ย. โดยอยู่ที่ 1,361.70 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

 

ผลลัพธ์ข้างต้นทำให้นักลงทุน ซึ่งรวมถึงบรรดาธนาคารกลางอีกส่วนหนึ่งซึ่งถือครองเก็บสำรองทองคำอยู่ในสภาวะขาดทุนระนาว เพราะราคาที่หล่นฮวบทำให้มูลค่าของทองคำสำรองเฉพาะของธนาคารกลางหายไปกว่า 5.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 16.24 ล้านล้านบาท) ภายใน 2 วัน

 

ขณะเดียวกันก็ทำให้นักลงทุนอีกส่วนหนึ่งเห็นเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ โดยหวังว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะตกอยู่ในอาการตื่นทองแบบหวาดผวาหรือยินดี ผู้เชี่ยวชาญในตลาดทองคำส่วนใหญ่ต่างออกโรงเตือนว่า สถานการณ์ผันผวนและเอาแน่เอานอนไม่ได้ในปัจจุบัน ได้แสดงให้เห็นว่าราคาทองคำขณะนี้กำลังเป็นเครื่องมือสำหรับการเก็งกำไรหารายได้ใหม่ของผู้เล่นรายใหญ่ 2 กลุ่ม คือ ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น กับกองทุนบริหารความเสี่ยง หรือที่รู้จักกันดีในนาม เฮดจ์ฟันด์

 

เจฟฟรีย์ ซิกา ประธานเอสไอซีเอ เวลท์ แมเนจเมนท์ ในมอร์ริสทาวน์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งดูแลบริหารจัดการเงินทุนต่างชาติมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ยอมรับว่า สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทองคำไม่ได้เป็นเพียงแหล่งพักสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอีกต่อไป แต่จะเป็นแหล่งลงทุนโกยกำไรที่น่าสนใจสำหรับเฮดจ์ฟันด์

 

ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ราคาทองคำในตลาดโลกที่ผ่านมาอิงอยู่กับปัจจัยหลักๆ ประมาณ 3-4 ประการ คือ 1) ค่าเงินเหรียญสหรัฐ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เงินสกุลหลักของโลกอ่อนลง นักลงทุนรวมถึงธนาคารกลางทั่วโลกจะแห่ซื้อทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษามูลค่าสินทรัพย์ของตนเอง 2) ปริมาณการผลิตและปริมาณความต้องการที่มีอยู่จริงในตลาด ซึ่งเกี่ยวพันกับสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยปริมาณความต้องการทองคำจะมาจากอุตสาหกรรมเครื่องประดับ อุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์ และภาคการลงทุนที่ต้องการทองคำมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังเกิดวิกฤตสินเชื่อเป็นต้นมา 3) ความวิตกกังวลในอัตราเงินเฟ้อที่ส่วนใหญ่นิยมสังเกตจากราคาน้ำมันในตลาด เพราะทองคำคือหนึ่งในสินทรัพย์ที่ถือครองเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ และ 4) สถานการณ์การเมืองและระบบการเงินที่หากมีสภาวะไม่มั่นคงเมื่อใด นักลงทุนจะแห่เข้าหาทองคำเพื่อใช้เป็นหลักประกันรับรองความปลอดภัยในสินทรัพย์ของตนเองทันที

 

ทว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างเห็นตรงกันว่าราคาทองคำอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจใช้ปัจจัยข้างต้นมากะเกณฑ์คาดการณ์ได้อีกต่อไป ขณะเดียวกันก็เป็นที่น่าสังเกตว่าความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางในหลายประเทศ และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่กลับมีอิทธิพลต่อชะตากรรมของราคาทองคำมากขึ้น

 

กระทั่งอาจเรียกได้ว่า กลไกราคาทองคำในตลาดโลกบิดเบี้ยวและบิดเบือนด้วยความตั้งใจหรือจงใจของใครบางคนก็คงไม่ผิดนัก

 

ทั้งนี้ สำหรับภาวะเศรษฐกิจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แถมยังมีสภาพคล่องล้นเหลือจากนโยบายอัดฉีดของรัฐบาลหลายประเทศ แทนที่ราคาทองคำจะพุ่งพรวดทำสถิติใหม่เหมือนที่เคยทำได้ในเดือน ก.ย. 2554 ที่ 1,923.70 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่ราคาทองคำกลับไม่มีแววกระเตื้องขึ้นตามที่นักลงทุนหลายฝ่ายคาดหวัง

 

สาเหตุเพราะรายงานข่าวที่ระบุว่าธนาคารกลางไซปรัสกำลังจะขายทองคำสำรองบางส่วนเพื่อระดมทุนให้ได้อีก 1.3 หมื่นล้านยูโร เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ 1 หมื่นล้านยูโรจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จนทำให้เกิดกระแสหวาดหวั่นว่าบางประเทศอาจเดินตามรอยไซปรัส ขายทองคำสำรองออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของตนเอง

 

ยิ่งเมื่อก่อนหน้าข่าวขายทองคำของธนาคารกลางไซปรัส มีรายงานข่าวที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของ จอร์จ โซรอส พ่อมดทางการเงินแห่ขายการถือครองทองคำในกองทุนตน แล้วหันมาลงทุนในตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัวมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตลาดทองคำโลกหม่นหมองไม่น่าสนใจในทันที

 

นอกจากสถานการณ์ข้างต้นจะปั่นป่วนราคาทองคำในตลาดโลกได้เป็นอย่างดีแล้ว สัญญาณการเก็งกำไรทองคำยังเริ่มปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นจากการกลับเข้ามาถือครองทองคำ โดยเฉพาะในระยะยาวของบรรดาเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่อีกครั้ง

 

บลูมเบิร์กรายงานว่า แม้ราคาทองคำจะดำดิ่งมากที่สุดในรอบ 33 ปี แต่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของมหาเศรษฐีอย่าง จอห์น พอลสัน หนึ่งในกองทุนที่ลงทุนรายใหญ่ในตลาดทองคำโลกกลับเลือกที่จะเพิ่มเดิมพันในทองคำมากขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลจากคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าล่วงหน้าของสหรัฐที่พบว่า บรรดาผู้จัดการกองทุนและนักเก็งกำไรต่างถือครองทองคำในระยะยาวเพิ่มอีก 9.8% มาอยู่ที่ 61,579 จุด ทั้งในตลาดฟิวเจอร์สและตลาดออปชั่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 16 เม.ย.

 

แดน เดนโบว์ ผู้จัดการกองทุนยูเอสเอเอ พรีเชียส เมทัลส์ แอนด์ มิเนเริลฟันด์ส กล่าวว่า เหตุการณ์ข้างต้นนับเป็นเรื่องน่าแปลกใจท่ามกลางราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบัน แต่เมื่อพิจารณาจากมูลค่าที่มีอยู่ในตัวเองของทองคำ จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนหลายรายเลือกที่จะพึ่งระยะเวลาให้ช่วยเยียวยาราคาทองคำ

 

คาเมรอน แบรนด์ต ผู้อำนวยการการวิจัยแห่งเคมบริดจ์ ซึ่งคอยติดตามกระแสความเคลื่อนไหวของทุนในตลาดทั่วโลก ยอมรับว่า การที่ราคาทองคำร่วงลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ต่างเร่งถอนเงินลงทุนออกจากสารพัดกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.07 แสนล้านบาท) โดยในจำนวนดังกล่าวประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดทองคำและแร่โลหะมีค่าอื่นๆ เช่น เงิน แต่การเทขายส่วนใหญ่ล้วนเป็นการถือครองทองคำระยะสั้น

 

ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของพอลสันแอนด์โค ให้เหตุผลอย่างมั่นใจว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณความต้องการซื้อในตลาดเอเชีย โดยเฉพาะจากจีนและอินเดียจะทำให้ราคาทองคำไม่ตกต่ำในระยะยาวแน่นอน

 

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ราคาทองคำในตลาดโลกทำสถิติดิ่งลงแตะ 1,321.50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในวันที่ 16 เม.ย. ราคาทองคำแท่งในขณะนี้ตีตื้นกลับมาแล้ว 5.6% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแห่ซื้อทองของจีนและอินเดีย

 

สมาคมทองคำจีน ระบุว่า ยอดขายปลีกในวันที่ 15-16 เม.ย. เพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ ด้านสมาคมทองคำแท่งบอมเบย์แห่งอินเดียถึงกับคาดการณ์ว่ายอดนำเข้าทองของประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น 36% ในช่วง 3 เดือนต่อจากนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ผู้ผลิตทองคำรายใหญ่อย่างยูเอส มินท์ ขายทองคำไปได้แล้วทั้งสิ้น 1.675 แสนออนซ์ในเดือน เม.ย. ทำสถิติสูงสุดประจำเดือนนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2553

 

นอกจากนี้ พอลสันแอนด์โค ยังระบุอีกว่า ในอนาคตอันใกล้ นโยบายอัดฉีดเงินเข้าระบบของบรรดาธนาคารกลางจะทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อแน่นอน ซึ่งการลงทุนในทองคำย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สอดคล้องกับความเห็นของ แคเธอรีน รอว์ ผู้จัดการกองทุนแบล็กร็อกในลอนดอน หนึ่งในเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ที่ลงทุนในทองคำ ที่ระบุว่าราคาทองคำดิ่งขณะนี้เป็นผลจากภาวะตื่นตระหนกจากกระแสข่าวแห่ขายทองของธนาคารกลางในหลายประเทศเสียมากกว่า

 

ด้านนักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งยังให้เหตุผลว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากราคาที่ถูกลงทำให้มีแรงดึงดูดให้ธนาคารกลางบางประเทศตัดสินใจเพิ่มการลงทุนในทองคำหรือเพิ่มปริมาณทุนสำรองทองคำของตนเอง เห็นได้จากธนาคารกลางศรีลังกาที่ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ว่า ราคาทองที่ร่วงลงถือเป็นโอกาสอันดีให้ประเทศเพิ่มทุนสำรอง

 

แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำต่างสรุปตรงกันว่า เมื่อพิจารณาราคาทองคำในขณะนี้ควบคู่กับทิศทางแนวโน้มราคาในอนาคต “ทองคำ” อาจเป็นสินทรัพย์ที่อันตรายสำหรับการลงทุนของใครหลายคนก็เป็นได้

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ (วันที่ 23 เมษายน 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

5555555555 เรื่องจริงๆๆ

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เมื่อวานนี้ ขนหมูไปคืนอาแปะที่ตลาดซีคอนฯ ตอนนี้ ใครเห็นราคาแล้วอยากจะไขวคว้า ก็จงเอามือยัดใส่กระเป๋า ดูเฉยๆ อาจจะได้ของราคาถูกกว่า พรุ่งนี้ อันนี้ กล่าวถึง ทองแท่งตัวเป็นๆ หนักๆ เท่านั้นนะครับ ที่เมื่อวานขายคืนไปที่ 19,360 บาท ใจเย็นๆ นะครับ พรุ่งนี้ ไปแย่งต่อแถว รับบัตรคิวที่ซีคอนฯ กัน

ลงแย้วๆๆๆป๋าาา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แล้วเมื่อครู่นี้ ก็ถึงจุดราคาที่ฝรั่งฯ ให้เริ่ม Long เราก็ต้องปิด เอส ที่ขายก่อน 19,350 ซื้อเข้า 19,275 บาท เขียน Long ซื้อเข้าที่ 19,285 บาท กันต่อไป ในการเล่นรอบ

 

 

หมายเหตุที่ต้องระวังลงลึก คือ ปิด Gap ที่ประมาณ $1404 มันน่าจะมาแน่ๆๆ คืนนี้นะ

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เพราะมันยังมีแนวต้านที่ื $1408 จึงต้องเด้งขึ้นเด้งลง หาแรงกระแทก สะสมพลังก่อนนะครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แล้วเมื่อครู่นี้ ก็ถึงจุดราคาที่ฝรั่งฯ ให้เริ่ม Long เราก็ต้องปิด เอส ที่ขายก่อน 19,350 ซื้อเข้า 19,275 บาท เขียน Long ซื้อเข้าที่ 19,285 บาท กันต่อไป ในการเล่นรอบ

 

 

หมายเหตุที่ต้องระวังลงลึก คือ ปิด Gap ที่ประมาณ $1404 มันน่าจะมาแน่ๆๆ คืนนี้นะ

รับแทรบบบบคับป๋า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

::

 

รบกวนสอบถามความคิดเห็นส่วนตัวของคุณป๋าค่ะ คุณป๋ามองว่า ตอนนี้มีโอกาสรีบาวน์ขึ้นไปก่อนที่จะลงมาที่ 1,404 ใช่ไหมค่ะ ถ้าคุณป๋ามองว่า รีบาวน์ น่าจะรีบาวน์ได้ประมาณเท่าไรค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดียามเย็นค่ะทุกคน

จะไหลลงไปถึงไหนกันน๊าาาาาาา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ซีพี ออลล์ เตรียมพร้อมรับ AEC ซื้อกิจการแม็คโคร หวังใช้เป็นช่องทางนำสินค้าSMEs และสินค้าเกษตรไทยลุยตลาดอาเซียน

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- อังคารที่ 23 เมษายน 2556 17:11:52 น.

กรุงเทพฯ--23 เม.ย.--ธนาคารไทยพาณิชย์

ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ร้านอิ่มสะดวกของคนไทย ประกาศความพร้อมเตรียมรับมือการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) หรือเออีซีซึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2558 ที่จะถึงนี้ ด้วยการลงทุนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของบริษัท ซื้อกิจการบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (“แม็คโคร”) ผู้นำในธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสดและบริการตนเองในประเทศไทยด้วยมูลค่าประมาณ 188,880 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นช่องทางนำสินค้าจากประเทศไทยโดยเฉพาะสินค้าจากผู้ผลิตขนาดเล็กและขนาดกลางหรือ SMEs และสินค้าผลิตผลทางการเกษตรของไทย รวมถึงสินค้าประเภทอาหารแช่แข็งและอาหารสด เช่น เนื้อสัตว์ ฯลฯ ไปจำหน่ายในประเทศกลุ่มอาเซียน เพื่อหวังนำเงินตราเข้าสู่ประเทศ และช่วยให้ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง และเกษตรกรไทยมีช่องทางจำหน่ายสินค้าที่มีศักยภาพสูง สามารถแข่งขันได้

 

 

นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในอีก 20 เดือนข้างหน้า ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะผู้นำในธุรกิจค้าปลีกของคนไทย เล็งเห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสดีของผู้ผลิตสินค้าชาวไทยที่จะนำผลิตภัณฑ์ออกไปจำหน่ายในตลาดอาเซียนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรถึง 600 ล้านคน เนื่องจากสินค้าของไทยเป็นที่ยอมรับว่ามีคุณภาพสูง ปัจจุบันยังขาดอยู่แต่เพียงช่องทางจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ซีพี ออลล์ จึงอาสาที่จะมาทำหน้าที่นี้เพราะมีความมั่นใจในศักยภาพของบริษัทเองที่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจค้าปลีกมา 25ปี รวมกับศักยภาพของ สยามแม็คโคร ซึ่งก็เป็นผู้นำในธุรกิจจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารสดและแช่แข็ง ของใช้ประจำวันที่ประสบความสำเร็จมาโดยตลอดเช่นกัน เห็นได้จากยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

 

“นอกเหนือจากการจะใช้ สยามแม็คโคร เป็นทัพหน้าในการกระจายสินค้าสู่ตลาด AEC แล้ว ซีพี ออลล์จะนำจุดเด่นของ สยามแม็คโคร ด้านการช่วยเหลือร้านโชห่วย โดยทำหน้าที่ "มิตรแท้โชห่วย" ด้วยการเป็นแหล่งป้อนสินค้าให้กับร้านโชห่วยทั่วประเทศ มารวมพลังกับภารกิจประจำของเซเว่น อีเลฟเว่น คือการตระเวนจัดอบรมสัมนาให้ความรู้ด้านการบริหารร้านค้าปลีก ให้กับร้านโชห่วยทุกภูมิภาคทั่วประเทศที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งจะช่วยให้ภารกิจด้านการช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยแบบดั้งเดิมหรือโชห่วย สัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นและรวดเร็วขึ้น”

 

สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับเพิ่มเติมจากการลงทุนครั้งสำคัญนี้ คือ การเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของกลุ่ม ซีพี ออลล์ ในหลายๆ ด้าน ทั้งทางด้านการผนึกกำลังแสวงหาสินค้าและบริการใหม่ๆ และหลากหลาย มาอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค และการได้ประโยชน์จากการประหยัดเชิงขนาด (Economy of Scale) นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายโอกาสให้กับนักศึกษาของวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาเพื่อสังคมของ ซีพี ออลล์ จะได้มีสถานที่สำหรับฝึกภาคปฏิบัติได้กว้างขวางและครอบคลุมยิ่งขึ้น

 

ขณะเดียวกันพนักงานของทั้งสองบริษัทก็มีโอกาสพัฒนาตนเองด้วยการเข้ามาศึกษาในสถาบันการศึกษาทั้งสองแห่งมากขึ้นด้วย สอดคล้องกับนโยบายหลักของซีพี ออลล์ ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และการพัฒนาบุคลากรของประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

 

การเข้าซื้อหุ้นของบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ บริษัทได้แต่งตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแต่เพียงผู้เดียว (Sole Financial Advisor) และเป็นหนึ่งในผู้จัดการวงเงินสินเชื่อร่วม (Joint Mandated Lead Arranger and Underwriter) กับธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงค์กิ้งคอร์ปอเรชั่น (เอชเอสบีซี) ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ธนาคารยูบีเอส เอจี และ ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น ซึ่งได้เข้าร่วมในการจัดเตรียมวงเงินสินเชื่อร่วม โดยมี Baker & McKenzie เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย ทั้งนี้ บริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น กับ ผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น ซึ่งบริษัทคาดว่าจะจัดให้มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 มิถุนายน 2556 และหากได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น บริษัทจะเข้าทำการชำระค่าซื้อหุ้นแม็คโครทั้งหมดตามสัญญา รวมทั้งจะดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดต่อผู้ถือหุ้นรายอื่นทุกรายของแม็คโคร ในช่วงเดือนกรกฎาคม — สิงหาคม 2556 โดยราคาเสนอซื้อ (Tender offer price) จะเป็นราคาเดียวกันกับราคาที่บริษัทจะได้มาที่ 787 บาทต่อหุ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

รบกวนสอบถามความคิดเห็นส่วนตัวของคุณป๋าค่ะ คุณป๋ามองว่า ตอนนี้มีโอกาสรีบาวน์ขึ้นไปก่อนที่จะลงมาที่ 1,404 ใช่ไหมค่ะ ถ้าคุณป๋ามองว่า รีบาวน์ น่าจะรีบาวน์ได้ประมาณเท่าไรค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

$1418-$1420

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปสภาวะตลาดทองคำแท่ง และโกลด์ฟิวเจอร์ส วันที่ 23 เมษายน 2556 โดย YLG

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- อังคารที่ 23 เมษายน 2556 16:53:20 น.

กรุงเทพฯ--23 เม.ย.--PRdd

สภาวะตลาดวันที่ 23 เมายน 2556 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,410.95—1,431.31 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFJ13 อยู่ที่ 19,390 บาท โดยราคาปรับตัวลดลง 80 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 19,470 บาท ขณะที่ซิวเวอร์ฟิวเจอร์ SVJ13 อยู่ที่ 675 บาท โดยราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 675 บาท

 

 

(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 16.10 น.ของวันที่ 23/04/13)ออกมา คือ ออกมา คือ

 

แนวโน้มวันที่ 24 เมษายน 2556

ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นรวมทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของยูโรโซนในเดือนเมษายน ที่สำรวจโดย มาร์กิตระบุว่า ดัชนี PMI อยู่ที่ 46.5 โดยดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจของภูมิภาคยังเผชิญภาวะหดตัว ของประเทศสมาชิกยูโรโซน 17 ประเทศ ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นขยับลงสู่ระดับ 46.5 ในเดือนเมษายน จาก 46.8 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการปรับขึ้นที่ 46.6 จาก 46.4 ในเดือนมีนาคมซึ่งยังต่ำกว่า 50 แสดงถึงแนวโน้มหดตัวลง ทั้งนี้ดัชนีดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจยูโรโซน ซึ่งอาจปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนให้ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ปัจจัยเหล่านี้เข้ามาส่งผลทำให้การปรับตัวขึ้นไปของราคาทองคำถูกจำกัดในเวลาต่อมา ขณะที่ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากธนาคารกลางเยอรมนี หรือบุนเดสแบงก์ ระบุว่า เศรษฐกิจของเยอรมนีอาจจะมีการขยายตัวในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และมีแนวโน้มจะกระเตื้องขึ้นในช่วงไตรมาส 2 เนื่องจากตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้นและความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับสินค้าประเภททุนโดยนักลงทุนจะเห็นได้ว่ากระแสข่าวเหล่านี้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาค่อนข้างมากจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามวายแอลจีประเมินว่าราคาทองคำหากไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,438 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเกิดแรงขายทางเทคนิคออกมาให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงมาอีกครั้ง แต่หากราคาสามารถยืนแนวรับบริเวณได้ในโซน 1,403 หรือ 1,392 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เชื่อว่าราคาทองคำจะสามารถดีดตัวขึ้นต่อไปได้

 

กลยุทธ์การลงทุน ทางวายแอลจีมีมุมมองว่า ราคาทองคำยังมีการเคลื่อนไหวในกรอบและราคาทองคำคาดว่าเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway ในระยะสั้นซึ่งยังมีโอกาสทดสอบแนวต้านต่อไปที่ 1,438 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยความผันผวนของราคาและการแกว่งตัวของราคาอาจลดลงบ้างจากช่วงที่ผ่านมา ซึ่งหากราคาทองคำมีการปรับตัวลดลงมา ไม่หลุดแนวรับแนะนำนักลงทุนสามารถเก็งกำไรระยะสั้น โดยให้เน้นไปที่การเข้าซื้อ ทั้งนี้ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,403 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,392 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเมื่อราคามีการปรับตัวสูงขึ้นนักลงทุนที่สะสมทองคำไว้อาจขายทำกำไรบ้างส่วนออกมาบ้างเพื่อลดความเสี่ยง แต่สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงได้แนะนำให้ถือต่อเพื่อทำกำไรบริเวณแนวต้านถัดไป

 

ทองคำแท่ง (96.50%)

แนวรับ 1,403 (19,120บาท) 1,392 (18,970บาท) 1,380 (18,810บาท)

แนวต้าน 1,438 (19,600บาท) 1,450 (19,760บาท) 1,460 (19,900บาท)

GOLD FUTURES (GFJ13)

แนวรับ 1,403 (19,230บาท) 1,392 (19,080บาท) 1,380 (18,920บาท)

แนวต้าน 1,438 (19,710บาท) 1,450 (19,880บาท) 1,460 (20,010บาท)

SILVER FUTURES (SVJ13)

แนวรับ 22.30 (661บาท) 21.85 (648บาท) 21.50 (638บาท)

แนวต้าน 23.45 (694บาท) 23.80 (704บาท) 24.30 (718บาท)

หากต้องการทราบทิศทางราคาทองคำและแนวทางลงทุนทองคำ ขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากทีมที่ปรึกษาการลงทุนด้านโกล์ดฟิวเจอร์ส โทร.02-687-9999 และการลงทุนด้านทองคำแท่ง โทร.02-687-9888 หรือwww.ylgbullion.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...