ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ถึงคุณป๋าคะ ชอบหมดแหละอาหารจากไข่อร่อยเลือกไม่ถูกแล้วแต่วันว่าอยากกินอะไร เอาที่ไม่ชอบสุดดีกว่าไม่ชอบไข่ยัดไส้กินแล้วเยอะแยะวุ่นวาย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำหมดอนาคต?

 

ช่วงหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา นักออมหรือลงทุนทองคำคงมีสภาพไม่ต่างกับเสือติดจั่น ที่งุ่นง่านกระวนกระวายคอย เช็กผ่านเฟซบุ๊กให้วุ่นว่ามีร้านทองสาขาไหนเปิดทำการบ้าง และ จดจ่อที่จะหาทางซื้อทองให้ได้ เพราะเกรงว่าจะตกขบวนรถไฟ หลังราคาทองคำร่วงลงต่ำสุดในรอบ 30 ปี ส่วนคนที่ตุนทองไว้ก่อนหน้าจนอยู่ในสภาพติดดอยตกอยู่ในภาวะกระวนวกระวายไม่แพ้กันแต่ต่างอารมณ์กันอย่างสิ้นเชิงวัฏจักรราคาทองคำโลกในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาอยู่ในแดนบวกตลอด นับจากปี 2545 ที่ราคาทองแท่งเฉลี่ย 310 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ หรือบาทละ 6,355 บาท ก่อนไต่ขยับขั้นๆจนทำสถิติเหนือ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ครั้งแรกเมื่อต้นปี 2551 และปรับขึ้นสูงสุดที่ 1,925 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ในช่วงต้นเดือนกันยายนปี 2554 (บาทละ28,850 บาท )หากทว่าสงกรานต์ที่ผ่านมาข่าวร้ายของนักลงทุนก็มาเยือน เมื่อราคาทองคำได้ดิ่งลงอย่างฮวบฮาบกว่า 208 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ โดยราคาทองคำ วันศุกร์ที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา ร่วงลง 68 ดอลลาร์สหรัฐฯ และวันที่ 15 เมษายน 2556 อีก 140.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบรวมกว่า 13% ก่อนมาปิดที่ 1,361.1 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ และหากนำไปเทียบกับราคาสูงสุด ในเดือนตุลาคม 2555 ( 1,790 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ) ราคาทองได้รูดลงไปแล้วกว่า 24.6 % เปรียบเหมืองทองที่เคยสร้างความมั่งคั่งล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา*ปัจจัยลบฉุดทองดิ่งปรากฏการณ์เหมืองทองล่ม เป็นผลจากการเทขายเพื่อปิดความเสี่ยงของบรรดากองทุน โดยเฉพาะ SPDR ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ถือครองทองคำรายใหญ่ของโลก เทขายทองคำมาตั้งแต่ต้นปีนี้รวมแล้ว 250 ตัน (ปัจจุบันถือครอง 1,134.79 ตัน) และข่าวที่ว่า จอร์จ โซรอส พ่อมดการเงินเฒ่าแห่งวอลล์สตรีต ทยอยขายทองคำออกมาตลอดช่วงไตรมาส1 ที่ผ่านมา หลังจากที่เขาได้ลดสถานะการลงทุนใน SPDR กว่า 50 % จากไตรมาส 3 ปี 2555 ที่ถือครองหุ้นอยู่ 1.3 ล้านหุ้นเหลือเพียง 6 แสนหุ้นในไตรมาส 4 ปี 2555 ซึ่งส่งผลสะท้อนมุมมองการลงทุน ทำให้นักลงทุนในทองคำขาดความเชื่อมั่นนอกจากนี้ราคาทองคำ ยังได้รับแรงกดดันจากการที่อินเวสต์เมนต์ แบงกิ้ง รายใหญ่ของโลกอย่างโกลด์แมน ซากส์ ปรับลดเป้าหมายราคาทอง โดยโกลด์แมน ซากส์ คาดการณ์ราคาทองคำว่าปลายปีนี้ราคาทองคำจะร่วงลงมาที่ 1,350 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์และปี 2557 ที่ 1,250 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์อีกทั้งข้อมูลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจหยุดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ ( Quantitative Easing: QE )ก่อนกำหนดภายในสิ้นปีนี้ (โครงการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการ QE3,4 วงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน สิ้นสุดมาตรการกลางปี 2557 ) หลังเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ เริ่มฟื้น โดยอัตราการว่างงานสหรัฐ ฯเดือนมีนาคม 2556 ลดลงอยู่ที่ 7.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี เทียบจาก 2 ปีก่อนหน้าที่อัตราการว่างงานสูงกว่า 9% ทั้งนี้มาตรการ QE ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ปั่นให้ฟองสบู่ราคาทองคำโลกพุ่งขึ้นต่อเนื่อง จากการเพิ่มปริมาณการซื้อและผลจากพิมพ์แบงก์เข้าสู่ระบบ ซึ่งเป็นตัวการก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้นักลงทุนเข้าถือทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยสุด เพื่อเป็นเกาะคุ้มกันเงินเฟ้อประกอบกับการที่ประเทศจีนรายงานตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกโต 7.7% ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 8% เนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ของโลก โดยทองนำเข้าสัดส่วนกว่า 70% เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ รองมาใช้ในอุตสาหกรรม ฯลฯ*วิตกกลุ่มยูโรเทขายทองนอกจากปัจจัยที่กล่าวข้างต้นแล้ว ราคาทองคำโลกยังได้รับแรงกดดัน หลังมีข่าวว่าประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มาริโอ ดรากิค หนุนให้ธนาคารกลางไซปรัส ซึ่งมีทองคำสำรองระหว่างประเทศ 13.9 ตัน นำทองคำบางส่วนออกมาขายเพื่อระดมทุนราว 400 ล้านยูโร ตามแผนแก้วิกฤติหนี้ จนก่อให้เกิดความวิตกกังวลว่าธนาคารกลางในกลุ่มประเทศยุโรป โดยเฉพาะอิตาลี และโปรตุเกส ที่ถือครองทองคำเป็นอันดับ 4 และ 14 ของโลกจำนวน 2,451 ตัน และ 382 ตันตามลำดับ จะใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อแก้ไขสถานะการเงินของประเทศการเคลื่อนไหวของราคาทองคำโลกที่ปรับลงเร็วกว่าคาด แม้จะยังฟันธงไม่ได้ว่า "ฟองสบู่ทองคำแตกแล้วหรือยัง ? แต่ทว่าการเปิดเผยของบรรดาเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ที่ว่า "ราคาทองคำได้ผ่าน ภาวะฟองสบู่อย่างเต็มรูปแบบแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา " ไม่เพียงจะตอกย้ำ ทิศทางขาลงของราคาทองคำ แต่ยังมาจากปัจจัยด้านเงินเฟ้อที่ยังอยู่ระดับต่ำ ซึ่งสวนทางกับการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หรือการที่อัตราดอกเบี้ยที่จ่อปรับขึ้น หากสหรัฐฯต้องหยุดมาตรการ QE เร็วก่อนกำหนด ซึ่งล้วนเป็นแรงกดดันการปรับขึ้นของราคาทองซ้ำร้ายบรรดาเซียนทอง อาจเผชิญเหตุการณ์ทำนองเดียวกับ ฝันร้ายในช่วง สงกรานต์ อีกครั้ง หากอิตาลีขนทองคำในทุนสำรองซึ่งมีอยู่ 72ซ8 % ออกมาขายบ้าง ความโกลาหลเกิดขึ้นแน่นอนดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ บอกกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เขาไม่อยากสรุปว่าฟองสบู่ทองคำแตกแล้ว แต่ก็ยอมรับทิศทางราคาทองคำโลกเข้าสู่ช่วงขาลงแล้ว นับจากเดือนตุลาคมปีที่แล้วถึงปัจจุบันราคาทองปรับลดลงกว่า 24 % และประเมินว่าราคาทองคำคงสามารถประคับประคองที่ระดับ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้จนถึงสิ้นปีนี้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า เฮดจ์ฟันด์ หรือ ธนาคารกลางในยุโรป ขนทองคำออกมาเทขายหรือไม่ ? ถ้าขาย ราคาทองคำโลกก็มีโอกาสดิ่งหลุด 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือที่บาทละ 16,000 บาท ส่วนโอกาสที่จะลงต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มองว่ายังเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเป็นระดับราคาต้นทุนจากหน้าเหมือง ที่ยังไม่บวกต้นทุนขนส่ง*ทองคำหมดอนาคต ?สอดคล้องกับน.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกลุ่มบริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุกฯ กล่าวว่าราคาทองคำโลกแนวรับ หลุด 1,600 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ไปเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ก่อนที่ช่วงสงกรานต์จะหลุดแนวรับที่ 1,500 และ 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ล่าสุดการคำนวณตามเปอร์เซ็นต์สถิติใหม่ แนวรับราคาทองอยู่ที่ 1,315 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งหากยังร่วงหลุดจากระดับนี้ ราคาทองคำมีโอกาสปรับมาอยู่ที่บาทละ 17,000 บาท (ราคาทองเมื่อ 19 เม.ย. 56 อยู่ที่ 1,392.5 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ /บาทละ 19,050 บาท ) และหากรูดหลุดแนวรับใหม่ที่ 1,175 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ราคาทองก็มีโอกาสแตะที่บาทละ 16,500 บาท" โอกาสที่ราคาทองคำจะหลุดไปจาก 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ มีมากกว่าราคาทองจะปรับขึ้นเป็น 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ " ประธานกลุ่มบริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ฯฟันธงขณะที่กูรูทองคำรายหนึ่ง กล่าวว่าอยากให้ทำใจยอมรับ กรณีผู้ลงทุนหรือซื้อในราคาเกินบาทละ 21,000 บาท เพราะโอกาสที่จะเรียกทุนคืนหรือหวังกำไรส่วนต่างคงเป็นไปได้ยาก แม้ราคาทองคำโลกจะปรับกลับขึ้นเป็น 1,700 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ (เช่นเมื่อปลายปี 2554 ที่ราคาทองในประเทศอยู่ที่บาทละ 25,000 บาท ที่อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯที่ 30.65/30.99 ) แต่ทองในประเทศจะไต่ขึ้นเป็นบาทละ 20,000-21,000 บาท ค่อนข้างยาก จากปัญหาที่บาทแข็งค่า ( 1 บาทมีผลต่อราคาทอง 800 บาท )ที่สำคัญ "ทองคำ " วันนี้ยังเผชิญโจทย์ใหญ่ ความท้าทายจากมุมมองนักลงทุน ที่ชักไม่แน่ใจแล้วว่าทองคำ ยังเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและเป็นเกาะคุ้มกันเงินเฟ้อจริงหรือ โดยเฉพาะปรากฏการณ์ขึ้น – ลงของราคาทองโลกอย่างรวดเร็วในช่วงเพียงเวลาเพียงปีเศษ หรือในกรณีวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป ที่นักลงทุนเก็งว่าทองจะเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด แต่กาลกลับพิสูจน์ว่า "ทองคำ" ก็ไม่แตกต่างกับสินทรัพย์อื่น ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งนอกเหนือจากจุดอ่อนพื้นฐานของทองคำอยู่แล้ว ที่ไม่มีการจ่ายเงินปันผล และไม่ต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานทางด้านผลประกอบการ เฉกเช่นหุ้นตกที่ยังอ้างอิงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนได้ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่กำหนดมูลค่า และอาจทำให้ราคาทองคำ อาจสู่วัฏจักรขาลงไปอีกนาน

 

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,837 วันที่ 21 - 24 เมษายน พ.ศ. 2556

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กสิกรไทยคาดแนวโน้มเงินบาทสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบ28.90-29.50บาท/ดอลลาร์สหรัฐบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาวะตลาดเงินรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (22-26 เม.ย.)เงินบาทกลับไปอ่อนค่าทะลุระดับ 29.00 แตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ใกล้ 29.40 บาทต่อดอลลาร์ฯโดยคำเตือนถึงการแข็งค่ามากเกินปัจจัยพื้นฐานของเงินบาทจากธปท. กระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ในช่วงต้นสัปดาห์ ขณะที่ กลุ่มผู้นำเข้าก็มีความต้องการเงินดอลลาร์ฯ เพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายเดือนด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมในช่วงปลายสัปดาห์ จากสถานะขายสุทธิในตลาดพันธบัตรของนักลงทุนต่างชาติ• อนึ่ง เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยมาเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ระดับ 29.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ (หลังตลาดการเงินในประเทศปิดทำการแล้ว) ในช่วงหลังนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แถลงผลการประชุมเพื่อหารือร่วมกันถึงผลกระทบค่าเงินบาท โดยระบุว่า ยังไม่มีมาตรการ ณ ขณะนี้ แต่พร้อมจะใช้มาตรการหากจำเป็น• ในวันศุกร์ (26 เม.ย.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 29.36 เทียบกับระดับ 28.61 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 เม.ย.)สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (29 เม.ย.-3 พ.ค.) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 28.90-29.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยคงต้องจับตากระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ สัญญาณการดูแลความเคลื่อนไหวของเงินบาท รวมถึงผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขณะที่ต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขตลาดแรงงาน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนี ISM ภาคการผลิต-ภาคบริการเดือนเม.ย. ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย ยอดสั่งซื้อของโรงงาน รายได้-รายจ่ายส่วนบุคคล รายจ่ายด้านการก่อสร้างเดือนมี.ค. ดัชนีราคาบ้านเดือนก.พ. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Q1จีดีพีของอังกฤษ ขยายตัว 0.3%สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของอังกฤษในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ขยายตัว 0.3% เทียบกับช่วงไตรมาส 4 ปีที่แล้ว และปรับตัวขึ้น 0.6% จากช่วงเดียวกันของปี 2555 ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจของอังกฤษสามารถรอดพ้นจากภาวะถดถอยได้ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ โดยภาคบริการเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยผลักดันจีดีพีให้ขยายตัว โดยภาคบริการเติบโต 0.6% ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ จากการปรับตัวแข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีก ร้านอาหารและโรงแรม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ในจีนไตรมาสแรกกำไรพุ่ง 12.1%สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) ได้ออกมาเปิดเผยว่าในไตรมาส 1/2556 บริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของจีนมีผลกำไรรวมเพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบรายปี ทั้งนี้ บริษัทอุตสาหกรรมที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 20 ล้านหยวน (3.2 ล้านดอลลาร์) มีผลกำไรอยู่ที่ 1.17 ล้านล้านหยวนในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้เมื่อพิจารณาข้อมูลเฉพาะเดือนมีนาคม 2556 พบว่า ผลกำไรปรับเพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สู่ระดับ 4.649 แสนล้านหยวน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ชี้แจงผ่านรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชนทางสถานีโทรทัศน์ช่อง11 ถึงกรณีที่สัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า มีการถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารในต่างประเทศ จำนวน 6,000 ล้านบาทว่า ไม่ใช่เป็นเพราะประเทศไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะทางกระทรวงการต่างประเทศเสนอให้ที่ประชุมครม. พิจารณาว่า เงินที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารต่างประเทศ ซึ่งเปิดไว้เพื่อเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ทางสถานทูตดำเนินการควรมีการดำเนินการส่งคืนเข้าคลัง ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวถือเป็นเงินที่ต้องส่งเข้าคลังอยู่แล้วส่วนยอดเงินที่ถอนมาจำนวน 6,000 ล้านบาทนั้น เมื่อเทียบกับรายได้ของรัฐที่มีอยู่ 2.1 ล้านล้านบาท และงบประมาณประจำปี ที่มี 2.4 ล้านล้านบาท ถือว่าเป็นสัดส่วนที่เล็กมากในส่วนของการแข็งตัวของค่าเงินบาท ก็ไม่ได้นิ่งนอนใน โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการไปยังหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาถึงภาวะการณ์ด้านเศรษฐกิจให้รอบคอบ และดำเนินการไปสู่กรอบที่เหมาะสม ตนขอให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจของไทยจะมีการเติบโตอย่างเต็มศักยภาพขณะที่ร่าง พ.ร.บ.ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้วยงบประมาณ 2 ล้านล้านบาท ยืนยันว่า เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ครอบคลุมทั้งบก น้ำ อากาศ ส่งผลดีกับเศรษฐกิจไทยในอนาคต ซึ่งการใช้หนี้นั้นเชื่อว่า ไม่กี่ทศวรรษก็ใช้หนี้ได้หมดที่มา :: mthai.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

'กรณ์'โพสต์เป็นกำลังใจให้ผู้ว่าแบงก์ชาติแก้ปัญหาค่าเงินนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า "เงินบาท บทสรุปของการประชุมเมื่อวานนี้ ระหว่างรัฐบาลและผู้ว่าแบงก์ชาติเป็นบทสรุปที่ดี ไม่ว่าในใจคุณกิตติรัตน์ยังคิดอะไรอยู่ก็ตาม แต่เท่าที่ผมเห็นผ่านสื่อแนวการสัมภาษณ์หลังจากการประชุมของคุณกิตติรัตน์ ก็เป็นแนวทางที่เหมาะสม กล่าวคือได้มีการยืนยันหลักการว่า ๑. วันนี้ยังไม่มีมาตรการ ๒. ถ้าลดดอกเบี้ยน่าจะช่วยให้บาทอ่อนลง ๓. แต่ต้องศึกษาเพิ่มเติมผลข้างเคียงจากการลดดอกเบี้ย ๔. ยังไม่ใช้มาตรการอื่นแต่จะเฝ้าดูความเคลื่อนไหวอย่างไกล้ชิดประเด็นข้อเท็จจริงคือตลาดไม่ได้กลัวการลดดอกเบี้ย นักลงทุนกลัวมากกว่าคือ 'มาตรการอื่น' ดังนั้นการที่ท่านผู้ว่าฯยืนยันว่าจะไม่ลดดอกเบี้ย แต่ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญานว่า 'กังวล' ต่อปัญหานั้น ทำให้นักเก็งกำไรตีความว่า อาจมีการใช้มาตรการอื่นที่จะมีผลมากกว่าและนี่คือเหตุที่บาทอ่อนค่าลงวันสองวันนี้และตราบใดที่นักเก็งกำไรยังมั่นใจว่าผู้ว่าจะยืนกรานในจุดยืนตนเอง เขาจะระวังมากกว่าว่าจะมีการนำเครื่องมืออื่นมาสะกัดเขาหรือไม่ก็คงต้องขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้กับท่านผู้ว่าในช่วงที่ผ่านมา กระแสนี้มีผลต่อท่าทีของรมต.คลังต่อท่านผู้ว่าฯแน่นอนส่วนกำลังใจจาก (สาว) คนไหนมีน้ำหนักมากกว่า ก็สุดแล้วแต่นะครับ "

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รมว.คลังเผยแนวทางแก้บาทแข็งต้องเหมาะสมกับการเติบโตทางศก.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยก่อนเข้าประชุมร่วมกันหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เพื่อติดตามสถานการณ์และปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทว่า การประชุมร่วมกับหน่วยงานเศรษฐกิจเรื่องค่าเงินบาทในช่วงบ่ายวันนี้ (25 เม.ย.) ต้องการร่วมกันหาแนวทางแก้ปัญหาเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนเกินไป และเหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจ เนื่องจากขณะนี้ทุกฝ่ายย่อมรับตรงกันว่าเงินบาทแข็งค่าเกินไป โดยกระทรวงการคลังไม่กำหนดว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมที่จะอยู่ที่ระดับเท่าใด แต่จะต้องให้ผู้ส่งออกสามารถแข่งขันได้เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งโดยค่าเงินบาท/ดอลลาร์ ในสัปดาห์นี้อยู่ในทิศทางอ่อนค่าต่อเนื่องจากการที่ตลาดมีความกังวลว่าทางการจะออกมาตรการดูแลเงินบาท หรือการเคลื่อนย้ายเงินทุนในเร็วๆ นี้ ภายหลังจากที่รัฐบาลและธปท.ให้ความเห็นตรงกันว่าค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาแข็งค่าเร็วและแรงเกินไปในวันนี้ค่าเงินบาท/ดอลลาร์ ไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ 29.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ล่าสุดอยู่ที่ 29.40/47 บาทต่อต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังแข็งค่าขึ้นมาจากสิ้นปีก่อนประมาณ 4.1% และยังเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในเอเชียในปีนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

ฟังนะ " คุณฯ เป็นคนยุติธรรม เป็นนักวางแผนฯ ทำอะไรเป็นระบบฯ มีความมั่นใจสูง " แต่ " คุณฯ เป็นคนไม่มีความอดทน ชอบทำอะไรที่ค้างคา ไม่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ " พอมาถึง " ไข่พะโล้ " คุณฯ ขี้ร้อน ( ไข่ถึงอยู่ในน้ำ ) คุณฯ ผิวคล้ำ ( พะโล้ใส่ซีอิ้ว ) คุณฯ ชอบทำกิจกรรมหลากหลาย ( เพราะมีทั้งเต้าหู้ หมูสามขั้น ) แต่สิ่งหนึ่ง ผมไม่รู้ว่า ไข่พะโล้ชอบแบบน้ำซุปหวานๆ น่ารัก หรือ แบบน้ำซุปเค็มๆ ขี้งก 5555555 จบมั้ย

อ้าวมาตอบให้ด้วย เดาทองอ่ะแม่นแท้ แต่เค้าว่า ถ้าริจะเป็นหมอดู ก็ คุ่หมอเดา อิอิ ตรงไข่พะโล้ ถูกแค่33.33% บอกให้ว่าชอบนำ้หวานๆ คนชอบกินฝอยทองแฉะๆ เหมือนกัน น่าจะเดาได้ว่าชอบหวานขนาดไหน เอิ้กๆ ป้าได้อมยิ้มก่อนนอน หลับฝันดีค่ะป๋า และทุกท่าน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ชี้แจงผ่านรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชนทางสถานีโทรทัศน์ช่อง11 ถึงกรณีที่สัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า มีการถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารในต่างประเทศ จำนวน 6,000 ล้านบาทว่า ไม่ใช่เป็นเพราะประเทศไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะทางกระทรวงการต่างประเทศเสนอให้ที่ประชุมครม. พิจารณาว่า เงินที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารต่างประเทศ ซึ่งเปิดไว้เพื่อเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ทางสถานทูตดำเนินการควรมีการดำเนินการส่งคืนเข้าคลัง ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวถือเป็นเงินที่ต้องส่งเข้าคลังอยู่แล้วส่วนยอดเงินที่ถอนมาจำนวน 6,000 ล้านบาทนั้น เมื่อเทียบกับรายได้ของรัฐที่มีอยู่ 2.1 ล้านล้านบาท และงบประมาณประจำปี ที่มี 2.4 ล้านล้านบาท ถือว่าเป็นสัดส่วนที่เล็กมากในส่วนของการแข็งตัวของค่าเงินบาท ก็ไม่ได้นิ่งนอนใน โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการไปยังหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาถึงภาวะการณ์ด้านเศรษฐกิจให้รอบคอบ และดำเนินการไปสู่กรอบที่เหมาะสม ตนขอให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจของไทยจะมีการเติบโตอย่างเต็มศักยภาพขณะที่ร่าง พ.ร.บ.ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้วยงบประมาณ 2 ล้านล้านบาท ยืนยันว่า เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ครอบคลุมทั้งบก น้ำ อากาศ ส่งผลดีกับเศรษฐกิจไทยในอนาคต ซึ่งการใช้หนี้นั้นเชื่อว่า ไม่กี่ทศวรรษก็ใช้หนี้ได้หมดที่มา :: mthai.com

555 เรื่องนี้ เฉกเช่น " ขว้างหินถามทาง " แต่ที่ได้ยินมา บรรดาฑูตฯ หลายประเทศ ไม่ค่อยพอใจอย่างมาก " งบที่อยู่ในต่างประเทศ . นั้น กระทรวงต่างประเทศ.ใช้หมุนเวียนสำหรับสถานทูตสถานกงสุลทั่วโลกเมื่อบางแห่งเงินไม่พอใช้สำหรับการบริหารภายใน ที่ไหนเก็บค่าธรรมเนียม ค่าวีซ่าได้เยอะ ก็จะเป็นแหล่งกระเป๋าของ กระทรวงฯ เอง ไม่ต้องไปกวนงบจากภาษีที่เก็บจากประชาชนคนไทย " เดี๋ยวก็เงียบไปเอง เพราะไม่มีใครเล่นด้วย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอากราฟรหัส เปลี่ยนฐานมาที่ Comex ให้ดูนะว่า ทำไมจึงต้องขายก่อนเที่ยงวันศุกร์ และ เช้าวันจันทร์ เปิดตลาดมาเอายังไงดี ในรหัส 7,5,2 " 555 อยู่นิ่งๆ รอราคาทองลดราคา และก็คงเกิดอาการ 2 เด้ง อีกคราแต่ครั้งนี้แตกต่างในทิศทางตรงกันข้าม คือ ราคาทอง Spot ลด + ค่าเงินบาท แข็ง " สิ่งนี้ คือความเชื่อส่วนตัว ที่เห็นเส้นสัญญานฯ มันตัดกันนะครับ

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พอมาดูที่ รหัส 5,35,9 แบบกราฟ comex ปิดตลาด : ไม่มีความเห็น เพราะ บอกว่าไปต่อ แต่ถ้าเมื่อราคาถึงจุดหนึ่ง ก็คงตั้งรับไม่ทัน หุหุ กลัวมากครับเดี๋ยวนี้มันผันผวนแรง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พอมาดูที่ รหัสโบราณดั้งเดิม 12,26,9 โห ! ราคาทองไต่ขึ้นมาตังนานเกิน 100 เหรียญไปแล้ว. ยังให้ " อดทน ทนอด ต่อไป " เส้นสัญญานยังห่างแหกถ่างจากกันอยู่เลย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

'จิตติ'ชี้ราคาทองคำตลาดโลกผันผวนแนะศึกษารอบคอบ

ข่าวเศรษฐกิจ วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ.2556 9:51น.

449458-01.jpg

นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ ชี้ ราคาทองคำตลาดโลกยังผันผวน ยัน ไม่ต่ำกว่า 1,325 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แนะนักลงทุนศึกษาข้อมูลรอบคอบ

 

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทองคำในตลาดโลกช่วงนี้ เชื่อว่าจะอยู่ในช่วงระหว่างการปรับฐาน ซึ่งมองว่า แนวโน้มตลอดทั้งปีนี้ ราคาทองคำในตลาดโลก จะยังคงมีความผันผวน พร้อมมองว่าราคาระดับต่ำสุดที่ผ่านมาในวันที่ 18 เมษายน ที่อยู่ที่ 1,325 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ถือว่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว และราคาทองคำคงไม่ลดลงไปอยู่ที่ระดับ 1,200 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจากในขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการปรับฐาน ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นลงได้บ้างเล็กน้อย แต่ก็คงไม่ลดลงไประดับต่ำสุด

 

พร้อมกันนี้ อยากแนะนำนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดค้าทองคำ ให้ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ เนื่องจากในขณะนี้มีกระแสข่าวลือออกมาบ่อยครั้ง ทำให้มีราคาทองคำมีความผันผวน และอาจมีการทุบราคาเกิดขึ้นได้ ซึ่งต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง

 

http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=449458

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

28 เมษายน 2556 05:49

ราคาทองคำยังแกร่งในระยะยาว

news_img_502684_1.jpg

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

สภาทองคำโลก หรือดับเบิลยูจีซี เปิดเผยรายงานฉบับล่าสุดว่า แรงผลักดันพื้นฐาน หรือมูลค่าเชิงกลยุทธ์ในระยะยาวของทอง ยังคงมีความแข็งแกร่ง

 

ในรายงานที่มีชื่อว่า นักลงทุนทองคำนั้น ดับเบิลยูจีซี ระบุว่า หลังจากที่ราคาปรับตัวในช่วงแคบๆ มากว่า 1 ปี ทองได้เผชิญแรงกดดันอย่างหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แรงเทขายที่ไม่คาดคิดมาก่อนในช่วงกลางเดือนเม.ย.ได้เพิ่มความกังวลที่ว่าการปรับตัวที่สดใสของทองได้สิ้นสุดลงแล้ว

 

รายงานชี้ว่า ในระยะใกล้ ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ความเชื่อมั่นที่เปราะบาง และความวิตกเกี่ยวกับการขายทองของธนาคารกลางยุโรป จะสร้างบรรยากาศที่ท้าทายสำหรับราคาทอง นอกจากนี้ การเทขายอย่างรุนแรงในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเม.ย.จะสั่นคลอนความเชื่อมั่นต่อราคาทองไปสักระยะหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตามดับเบิลยูจีซีย้ำว่า สถานการณ์ข้างต้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแรงผลักดันด้านปัจจัยพื้นฐานระยะยาว หรือมูลค่าเชิงกลยุทธ์ในระยะยาวของทองคำ พร้อมแสดงความเชื่อว่า แม้จะเกิดความผันผวนอยู่ในขณะนี้ แต่ปัจจัยพื้นฐานของตลาดทองคำยังแข็งแกร่งอยู่ ความต้องการในตลาดส่งมอบปัจจุบันยังคงแข็งแกร่งในอินเดียและจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของการซื้อทองคำทั่วโลกในแต่ละปี

 

นอกจากนี้ การไม่พิจารณาถึงการขายทอง ที่อาจจะมีขึ้นในไซปรัส ธนาคารกลางต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ได้เป็นผู้ซื้อสุทธิสำหรับทองคำมาหลายปีแล้ว และยังคงมีภาวะการณ์และวัตถุประสงค์ที่จะผลักดันการซื้อเหล่านี้

 

http://www.bangkokbiznews.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...