ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

อุตุเตือนฉบับ 24 ฝนชุกภาคกลาง-อีสานตอนล่าง

 

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "สภาวะฝนตกหนักถึงหนักมาก" ฉบับที่ 24 ลงวันที่ 06 กันยายน 2555 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณประเทศลาวได้เคลื่อนตามแนวร่องมรสุม โดยจะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคกลางของประเทศไทยในระยะต่อไป ประกอบกับมรสุมกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณจังหวัดตาก กำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี นครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา และภูเก็ต ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากในช่วงวันที่ 6-7 กันยายน 2555

อนึ่ง คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนบนและ ทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง ขอให้ชาวเรือควรเพิ่ม ความระมัดระวังในการเดินเรือในระยะ 1-2 วันนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เห็นราคาทองแล้ว อย่าพึ่งเป็นชาวไร่ฯ " อดทน และ ใจแข็ง "

 

555632_489605934400708_1443821621_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดียามเช้า 1693 ป๋ากลับมาเร็วๆคิกถึ งใครจะห้วใจวาย ช่างเค้าเถอะที่อยู่ รอฟังข่าว วันนี้มีข่าวสำคัญด้วยจิ นะ นะ นะ นะ

 

เมื่อวานก็ไม่คุยกะเจ้ ฮือ ฮือ ปั้วก็ไม่รัก ป๋าก็ไม่รัก

อ้าวเจ้ก็ยังมีที่รักกกกกกมากมายของเจ้ไง หัวยังไม่เน่าซักกะหน่อย อิอิ

ยังมีที่รัก กับ อ้ายลัก นี่หว่า พอแก้ขัดได้

แล้วผมหายไปไหนนี้ื :_02 :Wt :Wt

 

เจ้ บอกให้เล่า รามเกียรติ์ให้ปั้วฟังก็ไม่เชื่อ ป่านผลัดกัน ...... หัว ไปแล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันนี้ตื่นสาย ฝนตกนอนวบายมาก ขอรีสตาร์ทเครื่อง ดูกราฟ อ่านข่าวก่อนนะครับ ลูกเพี๊ยะมาโพสต์พอดี :uu

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หุ้นจีนร่วง5ครั้งรอบ6วันระดับต่ำสุดในรอบ3ปี

ข่าวต่างประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ.2555 7:36น.

 

402559-01.jpg

 

หุ้นจีน ปิดลดลงเป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 วัน วานนี้ ดัชนีร่วงลงแตะระดับต่ำที่สุด นับตั้งแต่ต้นปี 2552 เพราะถูกฉุดจากหุ้น ในกลุ่มการเงินและพลังงานที่ร่วงลงอย่างหนัก

สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ดัชนีซีเอสไอ 300 ซึ่งประกอบด้วย หุ้นชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ และตลาดหลักทรัพย์ เซินเจิ้น ปิดที่ 2,199.9 จุด ลดลงร้อยละ 0.2 ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 ส่วน ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ปิดที่ 2,037.68 จุด ลดลงร้อยละ 0.29 ต่ำที่สุดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2552

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป๋าไม่อยู่ห้องเงียบจังค่ะ พรุ่งนี้มีตัวเลขสำคัญหลายตัว แล้วป๋าไม่อยู่ใครจะมาโพสข้อมูลข่าวสารให้อ่านน้าาาาา ป๋ากลับมาไวๆนะค่ะคิดถึงค่ะ

 

:17

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กบอ.ขออย่าห่วงซ้อมระบายน้ำฝั่งตอ.-เชื่อไร้ฝน

ข่าวการเมือง ระบายน้ำ วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ.2555 8:59น.

 

ที่ปรึกษาน้ำ กบอ. "น.อ.สมัย" ยัน ทดสอบระบายน้ำฝั่งตะวันออก พรุ่งนี้ จะไม่ให้กระทบประชาชน เชื่อ ฝนไม่ตกเท่าวันนี้ ขณะ "วัลลภ" เผยทดสอบระบายน้ำฝั่งตะวันตก เรียบร้อยดี ปัดมีปัญหาอุโมงค์ยักษ์

น.อ.สมัย ใจอินทร์ ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการติดตามวิเคราะห์สถานการณ์น้ำและจัดสรรน้ำ ในคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เปิดเผยกับ ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า การทดสอบระบายน้ำฝั่งตะวันออก พรุ่งนี้ ได้มีการวางกำลังไว้ตั้งแต่เมื่อวาน และวันนี้จะมีการทดสอบเบื้องต้น โดยจะไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนโดยเด็ดขาด พร้อมจะมีการวางแผน เตรียมความพร้อม ในการผลักดันน้ำออกทันที หากมีฝนตกมาก เพื่อจะระบายลงอุโมงค์ยักษ์ หรือ คูคลองที่จะลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำบางปะกง ทั้งนี้ ยอมรับว่า คลองลาดพร้าวตอนบน ยังไม่มีการขุดลอกจริง เพราะมีปัญหาสร้างบ้านรุกล้ำ แต่ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาขยะ หรือ ผักตบชวา

 

นอกจากนี้ น.อ.สมัย ยังเปิดเผยว่า จากการติดตาม การพยากรณ์อากาศ ทราบว่า พรุ่งนี้ ฝนจะไม่ตกมากเท่าวันนี้ แต่ก็พร้อมจะเลื่อนการทดสอบไปก่อน หากมีฝนมาก ซึ่งย้ำว่าพรุ่งนี้อากาศค่อนข้างจะโปร่งใส

 

วัลลภปลื้มเทสระบายน้ำปัดมีปัญหาอุโมงค์ยักษ์

 

นายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยกับ ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า การทดสอบการระบายน้ำฝั่งตะวันตก เมื่อวานนี้ เป็นไปโดยเรียบร้อยดี โดย กทม. ได้มีการทดสอบระบบระบายน้ำของตัวเองด้วย เมื่อช่วงเช้าของวานนี้ ก่อนที่ กรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ. จะทดสอบ ซึ่งใช้เจ้าหน้าที่ 2,000 คน ทั้งนี้ มีจุดวิกฤติเล็กน้อย ที่บริเวณคลองทวีวัฒนาตัดกับเพชรเกษม อย่างไรก็ตาม จากการทดสอบ ทราบว่า กทม. ยังสามารถรับน้ำที่มีปริมาณสูงขึ้นได้ และ กทม. ไม่มีอะไรต้องปรับปรุงเพิ่มเติม

 

นายวัลลภ ยังเปิดเผยว่า วันนี้ ผู้ว่าฯกทม. จะเรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง เรื่องการทดสอบระบายน้ำฝั่งตะวันออก ในวันพรุ่งนี้ ส่วนกระแสข่าวปัญหาเรื่องอุโมงค์ยักษ์นั้น ยืนยันว่า อุโมงค์ทำงานได้ดีเต็มร้อยตามปกติ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พี่ใหญ่กลับมาแล้ว เย้ ถ้าไม่กลับมาคงต้องมีคนหัวใจวายแน่ๆ ^^

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กสิกรไทย คาด กนง.คงดอกเบี้ย 3% ถึงสิ้นปี

ข่าวเศรษฐกิจ วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ.2555 21:18น.

 

กสิกรไทย คาด กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3 จนถึงสิ้นปีนี้ พร้อมจับตาเศรษฐกิจโลกใกล้ชิด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้ความเห็นกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 3 ในการประชุมวันนี้ (5 ก.ย.) ว่า มติคงอัตราดอกเบี้ยของ กนง. เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ในขณะที่คาดว่า กนง. จะจับตาพัฒนาการของการแก้ไขปัญหาของประเทศแกนหลักอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบ และน้ำหนักความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งระยะต่อจากนี้ของเดือน ก.ย. จะมีเหตุการณ์สำคัญในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมธนาคารกลางยุโรป (6 ก.ย.) ที่ตลาดมีการคาดการณ์ถึงโอกาสของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกร้อยละ 0.25 รวมไปถึงมาตรการในการซื้อพันธบัตรของประเทศที่ประสบปัญหาหนี้

 

นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมนี ก็จะมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับประเด็นกองทุนถาวรในการกอบกู้วิกฤติ (ESM) ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ (12 ก.ย.) อันจะมีอิทธิพลต่อการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรปในภายภาคหน้า ตลอดจนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 12 ก.ย. ว่า จะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้หรือไม่

 

ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ประเมินว่า เศรษฐกิจไทย จะสามารถรักษาแรงส่งการขยายตัวไว้ได้ และแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี ทำให้ในขณะนี้ เครือธนาคารกสิกรไทย ยังมีมุมมองว่า กนง.น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 3 จนถึงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ดีหากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กดดันความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยชัดเจน หรือ เลวร้ายกว่าคาด ก็คงจะเป็นปัจจัยที่เพิ่มโอกาสสำหรับการที่ กนง.อาจพิจารณาจุดยืนด้านนโยบายได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

:17

พี่ใหญ่กลับมาแล้ว เย้ ถ้าไม่กลับมาคงต้องมีคนหัวใจวายแน่ๆ ^^

555632_489605934400708_1443821621_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กสิกรไทยลดคาดการณ์ส่งออกไทยไปจีนปีนี้จากโต10-15%เหลือ6-10% (06/09/2555)

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "ส่งออกไปจีนเดือนก.ค.หดตัวร้อยละ 7.5(YoY)ครั้งแรกในรอบปี  ลุ้นไตรมาสสุดท้าย คาดทั้งปีโตร้อยละ 6-10" ระบุว่า การส่งออกของไทยไปจีนเดือนก.ค.หดตัวร้อยละ 7.5(YoY) ครั้งแรกในรอบปี โดยมีมูลค่าส่งออก  2,247  ล้านดอลลาร์ฯ ร่วงลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.1(YoY) ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 19.4 (YoY) มีมูลค่า 3,223 ล้านดอลลาร์ฯ ขาดดุลเพิ่มขึ้น 976 ล้านดอลลาร์ฯ การหดตัวดังกล่าวเป็นสัญญาณที่สร้างความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของการส่งออกของไทยในช่วงเวลาที่เหลือของปี เนื่องจากไทยพึ่งพิงการค้ากับจีนค่อนข้างมากอีกทั้งที่ผ่านมาจีนยังเป็นแรงส่งที่สำคัญของไทยในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงซบเซา ภาพดังกล่าวตอกย้ำการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปีที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 3 ปี ที่อัตราร้อยละ 7.8 ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุน และการค้า รวมทั้งยอดสินเชื่อในประเทศประเทศที่ต่างก็เติบโตช้าลง ไม่เว้นแม้แต่ยอดการส่งออกของจีนเองที่ขยายตัวในระดับต่ำกว่าความคาดหมายในเดือน ก.ค. ด้วยอัตราเพียงร้อยละ 1.0(YoY) เท่านั้น สำหรับการส่งออกของไทยไปจีนในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2555 นั้นแม้ว่ายังคงเติบโตในเกณฑ์บวกด้วยอัตราร้อยละ 5.1(YoY) โดดเด่นกว่าคู่ค้าหลักอื่นๆ(เป็นรองเพียงอาเซียน) แต่ก็ต้องยอมรับว่าอัตราการเติบโตดังกล่าวเป็นระดับต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้

 

 

การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนก.ค.2555 ที่หดในครั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานเปรียบเทียบในปีก่อนหน้าที่ค่อนข้างสูง ซึ่งในเดือนก.ค.และส.ค. ในปี 2554 การส่งออกของไทยไปจีนมีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องกัน จากผลของราคาสินค้าเกษตรและราคาน้ำมันในปีก่อนอยู่ในเกณฑ์สูง ขณะที่ในเดือน ก.ค. ปี 2555 ราคาสินค้าปรับตัวลดลง จากปีก่อนค่อนข้างมาก ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้การส่งออกในช่วงนี้ชะลอลงมากด้วยเช่นกัน  แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2555 การส่งออกโดยรวมของไทยไปจีนน่าจะกลับมาขยายตัวได้ในระดับค่อนข้างสูงเพราะอานิสงส์จากฐานเปรียบเทียบในปี 2554 ที่อยู่ในระดับต่ำ

 

 สินค้าเกษตรหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยในเดือนก.ค.หดตัวร้อยละ 6.4 จากร้อยละ 13.4 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งการส่งออกสินค้าเกษตรมีทิศทางชะลอลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้หดตัวร้อยละ 9.4 ส่วนหนึ่งเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับฐานเปรียบเทียบในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูงเพราะเหตุอุทกภัยในจีนจึงต้องนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่หดตัว ได้แก่ ยางพารา ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลังอัดเม็ดและมันเส้น เป็นต้น ขณะที่ สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดีช่วยผลักดันการค้าไทย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง และผลไม้  เป็นต้น ทั้งนี้ ในช่วงปลายปีการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปจีนน่าจะกลับมาขยายตัวได้พอสมควร

 สินค้าอุตสาหกรรมเสี่ยงชะลอตัวมากขึ้น โดยในเดือนก.ค.หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบปีที่ร้อยละ 11.9 สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ยังคงขยายตัวได้ในระดับต่ำที่ร้อยละ 3.5  ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ สิ่งทอ และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น  ซึ่งสินค้าในกลุ่มนี้อาจต้องจับตาอย่างมากเพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับซัพพลายเชนในจีนที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรป

 สินค้าที่ขยายตัวสูงเป็นสินค้าที่สนองต่อตลาดในจีนเป็นสำคัญ โดยสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร ขยายตัวในเกณฑ์สูงที่ร้อยละ 50.2 ในเดือน ก.ค. โดยเฉพาะน้ำตาลที่ขยายตัวสูงด้วยปัจจัยราคาน้ำตาลที่พุ่งขึ้นในช่วงต้นปี และการสต๊อกน้ำตาลในจีนเพื่อเตรียมรับกับช่วงเทศกาลในเดือนตุลาคม สำหรับสินค้าแร่และเชื้อเพลิงขยายตัวร้อยละ 58.2 โดยเฉพาะแร่ดีบุกและน้ำมันสำเร็จรูปที่มีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น เพราะราคาส่งออกดีบุกและน้ำมันปรับตัวลดลงจากปีก่อนอย่างชัดเจนโดยดัชนีราคาส่งออกดีบุกและดัชนีราคาน้ำมันสำเร็จรูปหดตัวถึงร้อยละ 35.8 และร้อยละ 3.4 ตามลำดับ

  

เฝ้าระวังสินค้าที่ส่งออกไปจีนเพื่อผลิตและส่งออกต่อไปยังยุโรป

 

 ในด้านการส่งออกของจีนไปยังตลาดโลกชะลอตัวตามทิศทางเชิงลบของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการคุกคามของวิกฤตหนี้ในยุโรปที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ย่อมส่งผลให้ภาคการค้าของจีนประสบภาวะชะลอตัวตามไปด้วย โดยการส่งออกล่าสุดของจีนที่รายงานโดยกรมศุลกากรของจีนเดือนก.ค.ขยายตัวเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น ซึ่งในช่วง 7 เดือนแรกของปีเติบโตอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำร้อยละ 7.8(YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เติบโตสูงถึงร้อยละ 23.4  อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป(EU 27) จะพบว่าส่งออกในภาพรวมเดือน ก.ค.และช่วง 7 เดือนแรกของปีเติบโตถึงร้อยละ 5.4 และร้อยละ 10.5 ตามลำดับ สะท้อนว่ายุโรปเป็นปัจจัยหนึ่งที่กดดันการส่งออกของจีน รวมไปถึงภาคการผลิตในประเทศ และท้ายที่สุดก็อาจส่งผลต่อการค้าระหว่างไทย-จีนที่ปัจจุบันจีนเป็นตลาดอันดับ 1 ของไทย

 

 ทั้งนี้จากการที่สหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดส่งออกมีสัดส่วนร้อยละ 16.6 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของจีน มีทิศทางชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี 2554 และหดตัวสูงถึงร้อยละ 16.2 ในเดือนก.ค.2555 ทำให้ภาคการผลิตในจีนที่พึ่งพิงตลาดส่งออกไปยัง EU อ่อนแรงลงตาม โดยสินค้า 5 อันดับแรกที่จีนส่งออกไปยัง EU คิดเป็นสัดส่วนถึง 3 ใน 4 ของการส่งออกทั้งหมดของจีนไปยัง EU หดตัวชัดเจน อันได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์/ของเล่น/เกม โลหะพื้นฐาน อุปกรณ์การขนส่งและส่วนประกอบ(ยานยนต์ เครื่องบิน เรือ)

จีนพึ่งพิงตลาดสหภาพยุโรปและสหรัฐฯด้วยสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน

 

 แม้การส่งออกไปสหภาพยุโรปจะกระทบต่อการผลิตในจีนแต่การบริโภคในจีนยังเป็นแรงส่งต่อทิศทางการค้าระหว่างไทยกับจีน โดยเมื่อมองด้านการนำเข้าของจีนที่รายงานโดยกรมศุลกากรของจีนยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องแม้จะชะลอลงเหลือร้อยละ 5.7  ในเดือน ก.ค. ขณะที่ในช่วง 7 เดือนแรกขยายตัวร้อยละ 6.6 ชี้ว่าตลาดจีนเองยังมีศักยภาพในการบริโภคซึ่งน่าจะเป็นทิศทางที่เอื้อให้การส่งออกของไทยไปจีนยังมีโอกาสขยายตัวได้ดีขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ โดยเฉพาะแรงหนุนสำคัญจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคและภาคธุรกิจจีนที่มีมาอย่างเข้มข้นขึ้นในช่วงท้ายของครึ่งปีแรกที่จะเริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าทางการจีนจะเพิ่มแรงกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหากจำเป็น

บทสรุป

 

จากตัวเลขการส่งออกของไทยไปจีนในช่วง 7 เดือนแรกที่เติบโตช้ากว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของการส่งออกของไทยไปจีนในปีนี้ลงมาเหลือเพียงร้อยละ 6-10 จากเดิมที่คาดว่าน่าจะเติบโตร้อยละ 10-15  ทั้งนี้  ประเด็นที่อาจกระทบต่อการค้าระหว่างไทยกับจีนที่ต้องจับตาอย่างมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้คือ การประคับประคองเศรษฐกิจในฝั่งยุโรป โดยความสำเร็จของการแก้ไขวิกฤตหนี้ในยุโรปยังคงต้องขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายด้านซึ่งยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ซึ่งภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบางอาจกระตุ้นให้ทางการจีนมีแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น

 

ในท้ายที่สุดแล้วสินค้าส่งออกจากไทยที่ยังต้องพึ่งพิงการค้ากับจีนเป็นสำคัญก็จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมรับผลกระทบทางอ้อมจากวิกฤตหนี้ของยุโรปที่ผ่านมายังจีนซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย  โดยเฉพาะสินค้าส่งออกของไทยที่เป็นซัพพลายเชนของการผลิตในจีนและตลาดยุโรป ทั้งนี้กลุ่มสินค้าไทยที่ต้องเตรียมรับมือกับการชะลอตัวค่อนข้างมาก ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ สิ่งทอ(ชนิดไม่ถัก) พลาสติกและผลิตภัณฑ์ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ สำหรับสินค้าในกลุ่มที่ต้องพึ่งตลาดการบริโภคในจีนอาจได้รับผลกระทบในระดับที่รุนแรงน้อยกว่า

 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ (วันที่ 6 กันยายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธนาคารกลางแคนาดาประกาศตรึงดอกเบี้ย 1% ส่งสัญญาณขึ้นดบ.หากศก.ฟื้นตัว (06/09/2555)

ธนาคารกลางแคนาดาประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1% ในการประชุมครั้งล่าสุด อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า เพราะคาดว่าเศรษฐกิจภายในประเทศจะกระเตื้องขึ้น

 

แถลงการณ์ของธนาคารกลางแคนาดาระบุว่า แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ทิศทางเศรษฐกิจของแคนาดายังคงแข็งแกร่ง ซึ่งสอดคล้องกับศักยภาพที่แข็งแกร่งของภาคการผลิตภายในประเทศ หรือสอดคล้องกับภาวะที่เศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้โดยไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ธนาคารกลางแคนาดามีกำหนดที่จะประกาศเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยข้ามคืนครั้งต่อไปในวันที่ 23 ต.ค.นี้ และจะเปิดเผยแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในวันถัดไป ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของรายงานนโยบายการเงินรายไตรมาส สำนักข่าวซินหัวรายงาน

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 6 กันยายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ยินดีครับ คุณเด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขีดแข่งขัน'ยุโรป-สหรัฐ'ร่วง

วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555AAAขนาดตัวอักษร| Share on email Share on print Share on twitter Share on facebook Share on myspace Share on stumbleupon Share on digg | More Sharing Services

 

เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่ม (WEF) เผยผลการจัดอันดับดัชนีขัดแข่งขันโลกประจำปี 2555 ปรากฏว่าสวิตเซอร์แลนด์ยังสามารถครองอันดับประเทศที่มีขีดแข่งขันและนวัตกรรมมากที่สุดในโลก เป็นปีที่ 4 ติดกัน แต่ขีดแข่งขันของเพื่อนบ้านบางชาติในยุโรป รวมถึงในสหรัฐ กลับลดลง

 

 

ดับเบิลยูอีเอฟ อธิบายว่าสวิตเซอร์แลนด์ครองอันดับหนึ่งในเรื่องของนวัตกรรม ผลจากระบบการศึกษาอันเป็นเลิศ รวมถึงการที่บริษัททุ่มงบไปกับการวิจัยและพัฒนา ทั้งยังมีการร่วมมืออย่างมากระหว่างภาควิชาการกับภาคธุรกิจ นอกจากนั้น สวิตเซอร์แลนด์ยังได้รับการยกย่องในอีกหลายภาค รวมถึงการเป็นผู้นำโลกด้านความมีประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน และมีสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคอันมีเสถียรภาพมากที่สุดชาติหนึ่งของโลก

 

ประเทศที่มีขีดแข่งขันเป็นอันดับ 2 คือ สิงคโปร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้ว เพราะสถาบันภาครัฐและเอกชนได้รับการจัดว่าดีที่สุดในโลกเป็นปีที่ 5 ติดกัน ทั้งยังครองอันดับหนึ่งในเรื่องประสิทธิภาพของตลาดสินค้าและตลาดแรงงาน ส่วนพัฒนาการตลาดเงินนั้นอยู่อันดับ 2 นอกจากนั้น สิงคโปร์ยังมีสาธารณูปโภคติดอันดับโลก ด้วยถนน ท่าเรือ และกลไกการขนส่งทางอากาศเป็นเลิศ ขีดแข่งขันของสิงคโปร์ยังได้รับการหนุนนำจากการให้ความสำคัญด้านการศึกษา ทำให้บุคลากรมีทักษะอันเป็นที่ต้องการสำหรับเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

 

ส่วนฟินแลนด์มาเป็นอันดับ 3 และเบียดสวีเดนลงไปอยู่อันดับ 4 ตามด้วยเนเธอร์แลนด์, เยอรมนีซึ่งรักษาอันดับ 6 ไว้ได้ แม้ตลาดแรงงานค่อนข้างตายตัว ขาดความยืดหยุ่นในการกำหนดค่าจ้าง ทั้งยังมีต้นทุนสูงในการปลดคนงาน อันเป็นอุปสรรคต่อการสร้างงาน โดยเฉพาะในช่วงที่วัฏจักรทางธุรกิจซบเซา กระนั้นสภาวะแวดล้อมด้านเศรษฐกิจมหภาคของเยอรมนียังมีเสถียรภาพอย่างน่าชื่นชมแม้ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) เผชิญปัญหาเศรษฐกิจ เพราะเยอรมนีสามารถลดการขาดดุลการคลังลงเหลือ ลบ 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)

 

ขีดแข่งขันของอังกฤษขยับขึ้นมา 2 ขั้นมาอยู่อันดับ 8 เพราะสามารถปรับปรุงในหลายด้าน และชัดเจนว่าได้ประโยชน์จากจุดแข็งอย่างความมีประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน อันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตลาดแรงงานที่ตายตัวในหลายประเทศของยุโรป นอกจากนั้น ภาคธุรกิจของอังกฤษยังมีความชำนาญและมีนวัตกรรม ทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ จนมีศักยภาพในการผลิตสูงขึ้น และดำเนินงานในตลาดขนาดใหญ่ได้ ส่วนตลาดการเงินก็ฟื้นตัวต่อเนื่อง

 

ด้านฮ่องกงติดอันดับ 9 ด้วยสาธารณูปโภคที่เป็นเลิศ ทั้งด้านคมนาคม โทรศัพท์ และไฟฟ้า ส่วนตลาดการเงินก็ไม่เป็นสองรองใคร สำหรับญี่ปุ่นหล่นไปอยู่อันดับ 10 แม้มีขีดแข่งขันที่ดีด้านความชำนาญในการทำธุรกิจและนวัตกรรม แต่ขีดแข่งขันรวมของประเทศถูกฉุดจากความอ่อนแออย่างหนักของสภาวะแวดล้อมด้านเศรษฐกิจมหภาค เช่น การขาดดุลงบประมาณในระดับสูง ทำให้มีหนี้ภาคสาธารณะสูงที่สุดในโลก

 

ไต้หวันอยู่อันดับ 13 เหมือนเดิมเป็นปีที่ 3 เกาหลีใต้กลับมาติด 20 อันดับแรก ด้วยโครงสร้างพื้นฐานอันโดดเด่นและสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่ดี ได้ดุลงบประมาณเกิน 2% ของจีดีพี มีหนี้สาธารณะต่ำ มีการศึกษาที่แพร่หลายและมีคุณภาพสูง ซึ่งเมื่อผสานกับความพร้อมทางเทคโนโลยีในระดับสูง ทำให้มีศักยภาพทางนวัตกรรมมาก

 

ส่วนมาเลเซียหล่นไปอยู่อันดับ 25 เพราะมีความพร้อมทางเทคโนโลยีในระดับต่ำ ทั้งที่มีระดับนวัตกรรมและความชำนาญทางธุรกิจสูง แถมยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ แต่การขาดความคืบหน้าในด้านนี้จะบั่นทอนความพยายามของมาเลเซียในการขึ้นเป็นเศรษฐกิจบนพื้นฐานความรู้ภายในปลายทศวรรษนี้

 

จีนหล่นไปอยู่อันดับ 29 เพราะมีความเสื่อมถอยด้านพัฒนาการในตลาดเงิน ความพร้อมทางเทคโนโลยี และความมีประสิทธิภาพของตลาด โดยการมีการแข่งขันจากต่างประเทศและในประเทศในระดับที่ไม่เพียงพอ เป็นประเด็นที่น่าวิตก เพราะอุปสรรคในการเข้าตลาดจีนเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยขึ้น

 

อินโดนีเซีย หล่น 4 อันดับ ไปอยู่ที่ 50 แม้เป็นประเทศหนึ่งที่ทำได้ดีที่สุดในหมู่ชาติกำลังพัฒนาของเอเชีย โดยเป็นรองมาเลเซีย จีน และไทย แต่ก้าวหน้ากว่าฟิลิปปินส์ เวียดนาม และประเทศในเอเชียใต้ ข้อด้อยของอินโดนีเซียคือกรอบระดับสถาบันที่ถูกบั่นทอนจากความวิตกเกี่ยวกับคอร์รัปชันและสินบน และต้นทุนอาชญากรรมและความรุนแรงที่มีต่อการทำธุรกิจ กระนั้น กฎระเบียบภาครัฐไม่ค่อยเป็นภาระ ส่วนการใช้จ่ายสาธารณะก็ไม่ทิ้งขว้างหรือสิ้นเปลืองเหมือนหลายประเทศในเอเชีย

 

อินเดีย หล่น 3 อันดับ ไปอยู่ที่ 49 จากที่เคยแซงหน้าบราซิลและแอฟริกาใต้ ปัจจุบันตามหลังชาติเหล่านี้ เพราะขาดประสิทธิภาพด้านการคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ และพลังงาน ทั้งยังได้คะแนนต่ำในแง่การปรับใช้กับสภาพเศรษฐกิจ จริงๆ แล้วภาคธุรกิจอินเดียเองก็ระบุบ่อยๆ ว่าสาธารณูปโภคเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดในการทำธุรกิจ สำหรับฟิลิปปินส์ ขยับขึ้นจาก 75 มาอยู่อันดับ 65 จนเป็นประเทศหนึ่งที่มีการปรับปรุงมากที่สุด โดยเฉพาะด้านความเคารพสถาบันสาธารณะ รวมถึงความเชื่อมั่นนักการเมืองที่เพิ่มขึ้นมาก ด้านเวียดนามสลับกับฟิลิปปินส์ เพราะหล่นจาก 65 ไปอยู่อันดับ 75 กลายเป็นสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอันดับต่ำที่สุดเป็นชาติที่ 2

 

ส่วนประเทศในยุโรปอย่างอิตาลีขยับขึ้นมา 1 อันดับอยู่ที่ 42 เพราะทำได้ดีโดยเฉพาะความชำนาญของภาคธุรกิจ ทั้งยังมีตลาดแรงงานกว้างใหญ่ แต่ขีดแข่งขันรวมถูกบั่นทอนจากความอ่อนแอทางโครงสร้าง เพราะตลาดแรงงานค่อนข้างตายตัว และไม่มีการพัฒนาตลาดการเงินมากพอเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการพัฒนาภาคธุรกิจ ทั้งยังมีการคอร์รัปชันในระดับสูง มีแก๊งอาชญากรรม

 

อย่างไรก็ตาม สภาพการณ์ของประเทศยุโรปจำนวนหนึ่ง รวมถึงสหรัฐ ไม่สดใสมากนัก เพราะแม้ประเทศยุโรปทางตอนเหนือ ยังติด 10 อันดับประเทศที่มีขีดแข่งขันมากที่สุดของโลก แต่ประเทศยุโรปทางตอนใต้มีขัดแข่งขันน้อยลง อย่างกรีซที่หล่นจาก 90 เมื่อปีที่แล้ว ไปอยู่อันดับ 96 ในปีนี้ จากทั้งหมด 144 ชาติที่มีการจัดอันดับ ส่วนโปรตุเกสหล่นจาก 45 ไปอยู่อันดับที่ 49 แต่สเปนยังรักษาตำแหน่งเดิมที่ 36 ไว้ได้

 

ทั้งนี้ กรีซและโปรตุเกสล้วนขอความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและสหภาพยุโรป หลังจากเศรษฐกิจมีปัญหา ส่วนสเปนนั้นขอความช่วยเหลือแก่ภาคธนาคารของประเทศ จากสหภาพยุโรป

 

ด้านฝรั่งเศส หลุดจาก 20 อันดับแรก ไปอยู่ที่ 21 จากอันดับที่ 18 เมื่อปีที่แล้ว นายเธียร์รี ไกเกอร์ นักเศรษฐศาสตร์ดับเบิลยูอีเอฟ กล่าวว่าแนวโน้มแง่ลบดังกล่าวแม้ไม่รุนแรงแต่ก็น่าวิตก เพราะสะท้อนว่าประสิทธิภาพของรัฐบาลฝรั่งเศสลดลงไปมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รวมถึงสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค และโดยเฉพาะความมีประสิทธิภาพของตลาดแรงงาน

 

สหรัฐ ซึ่งครองอันดับหนึ่งขีดแข่งขันของดับเบิลยูอีเอฟเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ก็มีขีดแข่งขันลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยลดจากอันดับ 5 เมื่อปีที่แล้ว ไปอยู่อันดับ 7 ปีนี้ นางสาวมาร์กาเรตา เซเนียก ฮานูซ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของดับเบิลยูอีเอฟ ย้ำว่าสหรัฐยังมีสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่สหรัฐกำลังเผชิญความเปราะบางด้านเศรษฐกิจมหภาค ไม่ว่าจะเป็นขาดดุลมากขึ้น ขณะเดียวกับก็เผชิญปัญหาการเมืองและความเชื่อมั่นในนักการเมืองที่ลดน้อยถอยลง

 

"สภาพการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สหรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญๆ บางประการที่กำลังเผชิญอยู่ได้" นางสาวเซเนียก ระบุ พร้อมย้ำว่าความเหนื่อยล้าทางการเมืองเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองทั้งสองพรรคหลักของสหรัฐ

 

ทั้งนี้ การจัดอันดับของดับเบิลยูอีเอฟยึดจากข้อมูลต่างๆ ที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ รวมถึงการสำรวจความเห็นนักธุรกิจ 15,000 คน ใน 144 ประเทศ

 

 ที่มา สุทธิชัยหยุ่น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...