ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

โกลเบล็กฯแนะทยอยเก็บทอง ลุ้นราคาวิ่งทะลุ1,800ดอลล์

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พุธที่ 19 กันยายน 2555 06:00:00 น.

นายทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โอลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ GBX เปิดเผยว่า ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 หรือ QE3 ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ และทำให้การลงทุนทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น ตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน โดยเฉพาะราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นกว่า? 4.73%? เมื่อเทียบกับราคา ณ ต้นเดือนกันยายน โดยราคาสูงสุดอยู่ที่ 1,777.51ดอลลาร์/ออนซ์ (ณ เวลา 12.00 น. วันที่ 14 กันยายน 2555) ขณะที่ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 1,691.59 ดอลลาร์/ออนซ์

 

การออกมาตรการ QE3 มากระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ อาจส่งผลทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อทองคำที่ถือเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ ทั้งนี้ มองว่าหากราคาทองคำปรับตัวขึ้นผ่านแนวต้านที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ และสามารถยืนอยู่ในราคาดังกล่าว ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีกประมาณ 100 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือกลับสู่แนวต้านก่อนหน้าที่ 1,920 ดอลลาร์/ออนซ์

 

การปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่แนวต้านเดิมดังกล่าว อาจจะไม่ได้เกินในชั่วข้ามคืน แต่จะเป็นการค่อยๆปรับตัวขึ้นหากยืนเหนือระดับราคา 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ได้ ซึ่งถือเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน หากมีปัจจัยลบมากระทบหรือกดดันเชื่อว่าราคาจะปรับตัวลดลงไม่ต่ำกว่า 1,680 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ นักวิเคราะห์ทองคำ บริษัทโกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ กล่าวเตือนว่านักลงทุนต้องติดตามปัจจัยอื่นๆที่จะต่อเนื่องมาจากมาตรการดังกล่าวต่อไป โดยฝ่ายวิเคราะห์ให้กรอบลงทุนไว้ที่ 1,740-1,830 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 25,380-26,680 บาท/บาททอง (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 30.78บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งหากราคาย่อลงมาต่ำกว่า 1,760 ดอลลาร์/ออนซ์ให้ “ทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะกลาง”

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หุ้นเด่น : เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พุธที่ 19 กันยายน 2555 06:00:00 น.

บริษัทหลักทรัพย์(บล.)บัวหลวงวิเคราะห์หุ้นบริษัทอมตะ คอร์ปอเรชันหรือAMATA ราคาหุ้น AMATA มีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และปรับตัวได้แย่กว่าตลาด 7% เนื่องจากการขายที่ดินค่อนข้างอืด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ HEMRAJ อย่างไรก็ตามด้วยราคาหุ้นในขณะนี้ ถือว่าเป็นราคาที่น่าสนใจ ในขณะที่คาดการณ์ยอดขายที่ดินอีกอย่างน้อย 800 ไร่ภายในสิ้นปีนี้จะหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น เราคงคำแนะนำ ซื้อ ในหุ้น AMATA ด้วยราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2556 ที่ 20.20 บาท

 

ยอดขายที่ดินในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างน่าผิดหวัง โดยขายได้เพียง 1,260 ไร่นับตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าจะรวมยอดตามหนังสือแสดงเจตจำนงซื้อ (LOI) อีก 800 ไร่ภายในสิ้นปีนี้ ยอดรวมทั้งหมดนี้คิดเป็นเพียง 67% ของเป้าหมายของบริษัทที่ 3,000 ไร่เท่านั้น อย่างไรก็ตามผู้บริหารยังคงยืนยันว่าบริษัทจะสามารถทำยอดขายที่ดินได้ตามเป้า จากมุมมองของเรา ในขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่าทำได้หรือไม่ ในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้าอาจมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ได้ ตัวอย่างเช่น ในเดือนกันยายน 2554 AMATA มียอดขายที่ดินซึ่งคิดเป็นเพียง 50% ของเป้าหมายปีนั้น แต่ในท้ายที่สุดก็สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าด้วยที่ดินเกือบ 800 ไร่ที่ขายได้ในไตรมาส 4/54 คำถามคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้จนถึงปลายปีจะส่งผลกระทบเชิงบวกหรือเชิงลบต่อราคาหุ้นอย่างไร

 

จากการศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอดีต พบว่าราคาหุ้น AMATA มีความสัมพันธ์อย่างมากกับคาดการณ์ยอดขายที่ดินของตลาด จากสมการ Regression ซึ่งมีค่า R-square ที่ 70% แสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นในขณะนี้มีระดับการซื้อขายซึ่งอ้างอิงจากความคาดหวังที่ว่าบริษัทจะสามารถทำยอดขายที่ดินได้เพียง 1,640 ไร่ในปีนี้ อย่างไรก็ตามภายใต้สถานกาณ์ที่เลวร้ายที่สุด AMATA น่าจะสามารถทำยอดขายที่ดินได้ 2,000 ไร่ หนุนด้วย LOI จำนวน 800 ไร่ ดังนั้นแม้ว่ายอดขายจะพลาดเป้าหมาย ความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลงจะมีจำกัด เราคิดว่าราคาในขณะนี้เป็นจุดเข้าซื้อที่ดี

 

เราค่อนข้างพอใจกับสถานการณ์จำลองที่ AMATA จะขายที่ดินได้ 2,000 ไร่ในปีนี้ เนื่องจากยังเห็นโอกาสในการเติบโตของยอดขายที่ดินในปี 2556 ซึ่งจะส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องใน 2 ปีข้างหน้าแต่หาก AMATAทำยอดขายที่ดินได้ตามเป้าหมายปี 2555 ที่ 3,000 ไร่ โอกาสที่ยอดขายที่ดินจะเติบโตได้อีกในปีหน้าดูค่อนข้างยาก หมายความว่ายอดขายที่ดินจะสูงสุดในปีนี้และกำไรสุทธิจะสูงสุดในปี 2556 จากแนวโน้มกำไรสุทธิในกรณีนี้ อาจทำให้หุ้น AMATA ไม่น่าสนใจนักสำหรับนักลงทุนระยะกลาง

 

ที่มา : บล.บัวหลวง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มีผู้หญิงคนหนึ่งเคยเสียเงินจากการพนันมากที่สุดถึง ๕๐๐,๐๐๐ บาท เคยมีเหตุการณ์

 

สะเทือนใจเกิดขึ้นกับเธอ เมื่อลูกสาววัย ๗ ขวบ อยากให้แม่ซื้อ Ipad ให้ ผู้หญิงคนนั้นบอกลูกว่า “ขอให้แม่เล่นได้ก่อนแล้วจะชื้อให้”

 

ลูกสาว ตอบแม่ว่า “ถ้าอย่างนั้นหนูไม่เอาแล้ว หนูไม่อยากให้แม่พนันทองอีก”

 

สรุปว่า ลูกสาวโง่ หรือ ฉลาด เนี่ย

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับ เฮียนายห้างฯ คุณ เด็กขายของ คุณ ปุยเมฆ คุณ NongRee คุณ Nuchaba คุณ GB2514 คุณ Raty คุณ Mr.Li คุณ Aiya คุณ foo คุณ พลอยสีสวย คุณ เกี้ยมอี๋ คุณ พวงชมพู คุณ Racha คุณ arthas คุณ กระต่ายทอง คุณ ขาใหม่ คุณ Jumbo A คุณ nene81 คุณ modtanoiy คุณ noijaa คุณ kaykee คุณ ท่านตี๋ คุณ แมวหลวง คุณ Pasaya คุณ nufirst คุณ Madee คุณ forgame คุณ noonoon_ja คุณ luk คุณ 96Needle คุณ ดอกเหมยสีทอง คุณ กบจ๊า คุณ Tfex.Gril.. คุณ metha และทุกๆท่านครับ(ขออภัยที่เอ่ยนามไม่ครบครับ)

 

เมื่อวันก่อนมีการทุบแล้วเก็บกลับ จากนั้นก็ย่อลงมา เช้านี้ถึงบ่ายไม่ควรหลุดต่ำกว่า 1764 ลงไปอีก เพื่อไปลุ้น 1785 กันนะครับ ต้านใหญ่คงแถวไฮเดิม 1791+ จนไปถึง 1800 ครับ

 

แนวรับถ้าหลุด 1764 ก็ลงไป 1755 จากนั้นก็ลงไป 1747 หากไม่หลับมายืน 1750 ได้อาจลงไปถึง 171X ครับ

 

เดาว่าวันนี้บ่ายไม่น่าจะหลุด 1764 จากนั้นมีแรงขึ้นทดสอบ 1780+ นะครับ ค่ำดึกระวังย่อ ขึ้นต่อเช้าพรุ่งนี้นะครับ ราคาคงอยู่แถว 1775 ครับ ทั้งหมดเดานะครับ :047

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดซื้อขายดอลลาร์/เยน:เยนอ่อนค่าเช้านี้รอผลประชุมบีโอเจวันนี้ (19/09/2555)

เยนยังคงอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในช่วงเช้านี้ที่ตลาดเอเชีย ขณะที่ มีการคาดการณ์มากขึ้นว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) อาจจะผ่อนคลายนโยบายการ เงินในวันนี้ ส่วนยูโร และสกุลเงินที่มี high-beta ร่วงลงอีกครั้งจากระดับสูงสุดใน รอบหลายเดือน

 

 

ในช่วงเช้านี้ ดอลลาร์/เยนอยู่ที่ 78.77 ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ ที่ 78.93 ที่ทำไว้เมื่อวันจันทร์ และการพุ่งทะลุระดับดังกล่าวอาจจะทำให้ดอลลาร์/เยน ทดสอบระดับสูงสุดตั้งแต่วันที่ 7 ก.ย.ที่ 79.03 และ 79.66 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ เดือนส.ค.

 

 

นักวิเคราะห์กล่าวว่า โอกาสที่บีโอเจจะดำเนินการเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ธนา คารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ประกาศโครงการซื้อพันธบัตรจำนวนมากครั้งใหม่เมื่อวันพฤ หัสบดีที่แล้ว และนั่นทำให้เยนพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ใน ช่วงสั้นๆ

 

 

ถ้าบีโอเจจำเป็นต้องดำเนินการ เทรดเดอร์ก็คาดว่าเยนจะอ่อนค่าลงอีก

 

 

ส่วนยูโร/ดอลลาร์ร่วงลงมาที่ 1.3044 โดยอ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนที่ 1.3173 ที่ทำไว้เมื่อวันจันทร์ เมื่อตลาดยังคงขายดอลลาร์ออกมาหลังการประ กาศมาตรการของเฟด

 

 

เนื่องจากยูโรพุ่งขึ้นราว 9% แล้วนับตั้งแต่ปลายเดือนก.ค. เทรดเดอร์จึงระบุ ว่า การปรับตัวลงดังกล่าวสะท้อนถึงการขายทำกำไรเล็กน้อย ขณะที่ตลาดรอให้สเปนขอ ความช่วยเหลือ และทำให้โครงการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เริ่มใช้ งาน

 

 

 

ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์ร่วงลงจากการปรับสถานะการลงทุน หลังจากพุ่ง แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ 1.0625 เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

 

 

ในช่วงเช้านี้ ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์อยู่ที่ 1.0449

 

 

ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เปิดเผยในรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ว่า RBA มีความวิตกมากขึ้นกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และตลาดได้ปรับตัวรับโอกาส มากขึ้นที่ RBA จะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า

 

ที่มา : ทันหุ้น(วันที่ 19 กันยายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อรุณสวัสดิ์เช้าวันพุธ ครับทุกๆท่าน

ราคาทองยังคงปรับฐานในกรอบแคบๆไม่ไปไหนมา

แต่ควรระวังการขายทำกำไรนะครับ

เพราะกองทุนยังไม่ค่อยได้ปล่อยของออกมาเลย

ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ

 

 

น้ำมัน-หุ้นสหรัฐฯปิดลบกังวลเศรษฐกิจ ทองคำขึ้นเล็กน้อย blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กันยายน 2555 05:34 น.

 

blank.gif blank.gif 555000012138901.JPEG blank.gif เอเอฟพี - ราคาน้ำมันโลกดิ่งลงแรงสองวันติดวานนี้(18)จากความกังวลทางเศรษฐกิจ หนึ่งวันหลังจากทรุดลงกะทันหันและไม่ทราบสาเหตุ ส่วนวอลล์สตีท ก็ขยับลง หลังมีข้อวิตกเกี่ยวกับผลประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่ ขณะที่ทองคำแกว่งตัวขึ้นมาปิดบวกเล็กน้อย หลังเฟดแย้มจะใช้QE3กระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 1.33 ดอลลาร์ ปิดที่ 95.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 1.76 ดอลลาร์ ปิดที่ 112.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

"เหตุดิ่งลงอย่างแรงและกะทันหันของราคาน้ำมันดิบช่วงก่อนปิดตลาด เมื่อวันจันทร์(17) ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงวันนี้(18)" ไมเคิล ฮิวสัน นักวิเคราะห์จากซีเอ็มซี มาร์เก็ตส์ กล่าว "อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงคือแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวไม่เคยเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับ ราคาน้ำมันเพราะราคาน้ำมันดิบที่แพงขึ้นก็ยิ่งแต่ซ้ำเติมปัญหาทางเศรษฐกิจ"

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(18) ปิดในแดนลบ หลังความคึกคักจากถ้อยแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของธนาคารกลาง สหรัฐฯ(เฟด) เลือนหายไป สวนทางกับความกังวลต่อผลประกอบการของบริษัทต่างๆที่คืบคลานเข้ามา หลังเฟดเอ็กซ์ ปรับลดประมาณการณ์ผลประกอบการลง

 

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 11.69 จุด (0.09 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 13,564.79 จุด แนสแดค ลดลง 0.87 จุด (0.03 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,177.80 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 1.85 จุด (0.13 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,459.34 จุด

 

ด้านราคาทองคำวานนี้(18) แกว่งตัวขึ้นมาปิดบวกในกรอบแคบๆ หลังเจ้าหน้าที่เฟดรายหนึ่งระบุว่าธนาคารจะดำเนินการโดยด่วนในความพยายาม กระตุ้นเศรษฐกิจ หลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้แถลงถึงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณทางการเงินรอบ3(QE3) โดยทองคำตลาดโคเมกซ์ของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 0.60 ดอลลาร์(0.03 เปอร์เซนต์) ปิดที่ 1,771.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลมองQE3ดันหุ้นขยับราคาทองเพิ่ม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 กันยายน 2555 18:13 น.

 

เจิดพันธุ์ นิธยายน

บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล แนะจับตาหุ้น และราคาทองคำที่เริ่มขยับขึ้นตามมาตรการ QE3 มองหุ้นไทยโดยเฉพาะกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก รถยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ มาแรงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวน้อยมาก

 

นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด กล่าวว่า ผลตอบแทนกองทุนหุ้นทริกเกอร์กองที่ 2 ของบลจ. ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เข้าเป้า 8% เป็นที่เรียบร้อยแล้วในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสุทธิประมาณ 8.7% ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวมาจากผลตอบแทน 2 ส่วน คือการคัดเลือกหุ้นรายตัวและผลบวกจากมาตรการคิวอี 3 ของสหรัฐฯ

 

สำหรับการคัดเลือกหุ้นรายตัวนั้น บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลได้เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของการบริโภคในประเทศ อย่างกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก รถยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากบริษัทมองว่าหุ้นกลุ่มเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกค่อนข้างน้อย ขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับภาคส่งออกอาจได้รับผลกระทบบ้างในช่วงนี้ เนื่องจากการปรับตัวแข็งค่าของเงินบาท

 

ขณะที่มาตรการคิวอี 3 ของสหรัฐฯนั้น นายเจษฎา มองว่ามาตรการดังกล่าวถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาด โดยครั้งนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ เลือกที่จะกระตุ้นภาคอสังหาฯ โดยตรงผ่านการซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อภาคอสังหาฯ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Mortgage Back Securities) ซึ่งน่าจะทำให้ภาคอสังหาฯ ของอเมริกาปรับตัวดีขึ้นในระยะถัดจากนี้ ซึ่งภาคอสังหาฯ นี้เองที่เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้ความมั่งคั่ง หรือเงินในกระเป๋าของคนอเมริกามีมากขึ้น และสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภคในการเพิ่มอัตราการจับจ่ายใช้สอยในที่สุด ที่สำคัญคือในรอบนี้ เบน เบอร์นาเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศใช้ยาแรง โดยระบุชัดว่าจะกระตุ้นด้วยเม็ดเงินประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญหาเรื่องการว่างงานจะฟื้น ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างคิวอี 1 และ 2 ที่มีการประกาศวงเงินที่ชัดเจน ผลของคิวอี 3 นอกจากจะดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกจากสภาพคล่องในระบบที่เพิ่มขึ้นมากแล้ว ยังเป็นผลบวกต่อโภคภัณฑ์อย่างทองคำ น้ำมัน และราคาสินค้าเกษตรอีกด้วย

 

"หากดูจากบริบททางการเมืองแล้วไม่แปลกใจเลยที่ใช้ยาแรงขนาดนี้ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และค่อนข้างชัดเจนว่าทางพรรค Republican ซึ่งเป็นคู่แข่งกับโอบามาค่อนข้างจะไม่ชอบใจแนวทางของเบอร์นาเก้มาโดยตลอด ล่าสุดมิท รอมนีย์ ผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีก็เพิ่งให้สัมภาษณ์ไม่เห็นด้วยกับมาตรการคิวอี 3 โดยมองว่าไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามทางเฟดก็ได้ยืนยันอยู่เสมอว่าการดำเนินมาตรการใดๆ นั้นมองจากบริบททางเศรษฐกิจ โดยปราศจากการเมืองมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด สำหรับในระยะยาวผลของนโยบายพิมพ์เงินเหล่านี้น่าจะส่งผลกระทบให้เกิดเงินเฟ้ออย่างแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ปัจจัยต้องกังวลในเวลานี้"

 

http://manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000115070

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เศรษฐกิจต่างประเทศ

วันที่ 19 กันยายน 2555 06:03

10 ชาติตุนทองคำมากสุดในโลก

news_img_470599_1.jpg

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

เผยโฉม 10 ประเทศที่ถือครองทองคำมากสุดในโลก ท่ามกลางราคาที่ปรับตัวขึ้น หลังสหรัฐประกาศนโยบายคิวอี 3 แบบไร้ขีดจำกัด

 

ราคาทองคำได้แรงผลักจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนมองหา ท่ามกลางความวิตกว่าอาจก่อภาวะเงินเฟ้อ และทำให้มูลค่าของเงินลดลง นอกจากนี้ ธนาคารกลางของแต่ละประเทศยังสะสมทองคำในคลังเพิ่มขึ้นด้วย

 

จากข้อมูลของสภาทองคำโลก ประจำเดือนกันยายน ระบุว่า ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ซื้อทองคำมากถึง 157.5 ตัน ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ เพิ่มขึ้น 63% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 137.9% เมื่อเทียบจากปีก่อน

 

เมื่อพิจารณาข้อมูลการถือครองทองคำจากที่แต่ละประเทศรายงานต่อสภาทองคำโลก และคำนวณสัดส่วนการถือครองทองคำที่อยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศ พบว่า ประเทศที่ร่ำรวยทองคำในท้องพระคลังมากสุด คือ “สหรัฐ” โดยตัวเลขถือครองทองคำอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 8,133.5 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 75.4% ของทุนสำรอง สหรัฐเคยครอบครองทองคำมากสุดในโลกถึง 20,663 ตัน ในปี 2495 ก่อนลดระดับลงต่ำกว่าหลักหมื่นตันตั้งแต่ปี 2511

 

รองแชมป์ที่ถือครองทองคำมากสุด คือ “เยอรมนี” สะสมทองคำไว้ 3,395.5 ตัน คิดเป็นสัดส่วน 72.3% ในทุนสำรองระหว่างประเทศ ก่อนหน้านี้ เยอรมนีเคยขายทองคำภายใต้ข้อตกลงระหว่างธนาคารกลาง (ซีบีจีเอ) ฉบับที่ 1 และ 2

 

โดยข้อตกลงแต่ละฉบับมีอายุ 5 ปี ขณะที่ข้อตกลงฉบับปัจจุบัน ซึ่งเป็นฉบับที่ 3 (27 กันยายน 2552-26 กันยายน 2557) กำหนดข้อตกลงในการขายทองคำไม่เกิน 400 ตันต่อปี หรือไม่เกิน 2,000 ตัน ตลอดเวลา 5 ปี แต่ธนาคารกลางเยอรมนี หรือที่เรียกว่า บุนเดสแบงก์ ขายทองคำออกมา 6 ตัน ในปี 2552 และขายไปราว 4.7 ตัน นับจากวันที่ 7 กันยายน 2554

 

อันดับ 3 “อิตาลี” แดนมะกะโรนีถือครองทองคำอย่างเป็นทางการ 2,451.8 ตัน หรือมีทองคำคิดเป็น 71.2%ในทุนสำรองระหว่างประเทศ ก่อนหน้านี้ แบงก์ชาติอิตาลีไม่ได้ประกาศขายทองคำภายใต้ข้อตกลงซีบีจีเอ ฉบับ 1 และ 2 รวมถึงไม่มีแผนขายทองคำในข้อตกลงฉบับปัจจุบัน ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว ธนาคารในอิตาลีต่างเชียร์ให้ธนาคารกลางอิตาลีซื้อทองคำ และหนุนบัญชีงบดุลของธนาคารต่างๆ ก่อนการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test)

 

อันดับ 4 “ฝรั่งเศส” สะสมทองคำไว้ราว 2,435.4 ตัน มีสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ 71.7% แดนน้ำหอมเคยขายทองคำ 572 ตัน ภายใต้ข้อตกลงซีบีจีเอ ฉบับ 2 อีกทั้งใช้ทองคำ 17 ตัน เพื่อซื้อหุ้นในธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บีไอเอส) ในปลายปี 2547 แต่ไม่มีแผนจะขายทองคำภายใต้ข้อตกลงฉบับล่าสุด

 

อันดับ 5 “จีน” ถือครองทองคำประมาณ 1,054.1 ตัน ขณะที่สัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ระดับ 1.7% ซึ่งยังค่อนข้างน้อยมาก เมื่อเทียบจากทุนสำรองระหว่างประเทศที่จีนมีสูงถึง 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ การสะสมทองคำเพิ่มเติมในทุนสำรองถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับจีนที่จะผลักดันค่าเงินหยวนสู่สากล

 

อันดับ 6 “สวิตเซอร์แลนด์” ตุนทองคำไว้ 1,040.1 ตัน มีสัดส่วนทุนสำรองที่อยู่ในรูปทองคำคิดเป็น 12.1% ก่อนหน้านี้ ทางการสวิสประกาศขายทองคำ 1,300 ตัน ที่ประเมินว่าเกินกว่าความจำเป็นในการดำเนินนโยบายการเงิน โดยทยอยขาย 1,170 ตัน ภายใต้ข้อตกลงซีบีจีเอฉบับแรก และขายอีก 130 ตัน ภายใต้ข้อตกลงฉบับที่ 2 แต่ยังไม่มีแผนขายทองคำในข้อตกลงฉบับปัจจุบัน

 

อันดับ 7 ได้แก่ “รัสเซีย” ที่มีทองคำ 936.6 ตันในคลังหลวง หรือคิดเป็น 9.6% ในทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด โดยรัสเซียเริ่มสะสมทองคำตั้งแต่ปี 2549 เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับในตะกร้าทุนสำรอง

 

อันดับ 8 “ญี่ปุ่น” ถือครองทองคำอยู่ราว 765.2 ตัน คิดเป็นสัดส่วนในทุนสำรอง 3.1% ทางการญี่ปุ่นมีทองคำในมือแค่ราว 6 ตัน ในยุค 1950 ธนาคารกลางญี่ปุ่นเริ่มจริงจังกับการตุนทองเมื่อปี 2502 อยู่ที่ 169 ตัน แต่ในปีที่แล้ว แบงก์ชาติญี่ปุ่นต้องขายทองคำออกมา เพื่อปั๊มเงิน 20 ล้านล้านเยน สู่ระบบเศรษฐกิจ หลังเกิดเหตุสึนามิพัดถล่มและวิกฤติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

 

อันดับ 9 “เนเธอร์แลนด์” สะสมทองคำไว้ 612.5 ตัน คิดเป็นสัดส่วน 60.7% ของทุนสำรอง เนเธอร์แลนด์ขายทองคำ 235 ตัน ภายใต้ข้อตกลงซีบีจีเอฉบับแรก และ 165 ตัน ในฉบับที่ 2 แต่ไม่มีแผนขายทองคำในข้อตกลงฉบับปัจจุบัน

 

อันดับ 10 “อินเดีย” ถือครองทองคำ 557.7 ตัน คิดเป็น 9.9% ของทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นที่ทราบกันดีว่า ธนาคารกลางอินเดียให้ความสำคัญกับทองคำในฐานะการลงทุนที่ปลอดภัย อีกทั้งเป็นผู้ซื้อทองคำรายสำคัญจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แต่รัฐบาลมักไม่เปิดเผยแผนการซื้อทองคำต่อสาธารณะ

 

ส่วน “ไทย” สะสมทองคำมากเป็นอันดับ 25 มีอยู่ 152.4 ตัน หรือคิดเป็น 4.5% ของทุนสำรองระหว่างประเทศ

 

Tags : ทองคำ

 

http://www.bangkokbiznews.com/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Gold is extremely bullish, target $1791, 1803: Barclays

Source :Commodity Online

4397151805056c9d2834eb.JPG

Gold looks technically poised to target $1791 and subsequently $1803 on stimulus measures that could stoke inflation and make gold investments more attractive.

 

 

LONDON (Commodity Online): Gold breached $1750 an ounce as the much awaited catalyst helped make the precious market buoyant wiht physically backed gold exchange traded fund (ETP) holdings hitting another record high, according to a report by Barclays Capital.

 

Importantly alongside the investor-led rally, physical demand has also picked up significantly in India and China with buying into the recent rally, indicating growing expectations of higher prices.

 

Price forecast: Q3 12: $1665/oz; 2012 annual average: $1672/oz

 

Gold ETP holdings made fresh new highs this week, adding 15.8 tonnes over the past week and reached 2517.3 tonnes by Friday. Monthly flow so far has reached 27 tonnes taking YTD inflow to 143 tonnes. The pick up in longer-term “sticky” interest alongside the move up in prices lends support to gold extending its gains.

 

The most recent CFTC data showed gold’s non-commercial positions climbed to the highest since February of this year. Net speculative length added 11.6 klots with long positions gaining 9.5 klots, while short positions fell by 2.1 klots. Net speculative length as a percentage of open interests has climbed to 40%.

 

Physical demand in China is also showing considerable signs of improvement. Shanghai Gold Exchange trading volume rose by more than 30% on the week on Friday and reached the highest level since mid-August surpassing the annual and monthly daily average. China’s July gold imports from Hong Kong reached 75.84 tonnes, almost 50% higher y/y.

 

Technically, trends are indicative of a extremely bullish gold and Barclays expects trend to continue towards targets of $1791 and $1803. Support 1741, 1723, resistance 1791,1803. Closing above $1803 can push gold higher to record levels of $1922.

 

 

http://www.commodityonline.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Last Updated : 18 September 2012 at 07:20 IST

Physical Gold demand rises in India: Barclays

Source :Commodity Online

  • 10917990765057d46e9adc3.jpg

 

 

 

Indian buyers bought into the rally ahead of several major gold-buying festivals amid concerns that prices could be reach 35,000INR/10g following the announcement of QE3.

 

MUMBAI (Commodity Online): After a lackluster buying trend for the past few months, physical demand for gold rose “dramatically” on Friday, said Barclays Capital, citing a report by Reuters.

 

According to the British bank, jewelers and investors scaled-up purchases despite local record prices.

 

“Indian buyers bought into the rally ahead of several major gold-buying festivals amid concerns that prices could be reach 35,000INR/10g following the announcement of QE3, raising the support level for gold,” Barclays added, citing the news report.

 

India celebrates the Ganesh festival this week, which will be followed by Dussehra in October and Diwali in November. Buying gold during festivals is considered auspicious.

 

http://www.commodityonline.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ESM แล้วยังไง? QE3 แล้วยังไง? (19/09/2555)

ตามข่าวล่าสุดคือศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันมีคำตัดสินเห็นชอบให้เยอรมันสามารถเข้าร่วมกองทุนเพื่อเสถียรภาพยุโรป หรือ ESM ได้แต่ในการซื้อขายของตลาดทั้งหุ้นและน้ำมันกลับไม่ได้บวกแรงๆเพื่อตอบรับข่าวนี้เลย เนื่องจากการขึ้นมาของหุ้นก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นถึงการคาดการณ์ของนักลงทุนก่อนหน้านี้แล้วว่า ทุกคนหวังไว้หมดแล้วว่าจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้

 

 

ส่วนเรื่อง QE3 (ในเวลาที่ผู้อ่านอ่านคอลัมน์นี้น่าจะรู้ผลแล้ว) ตลาดคาดหวังไว้มากเหมือนกันว่าสหรัฐฯ จะมีมาตรการเข้ามาช่วยภาคการจ้างงานกับภาคอสังหาฯ ที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาซะที แต่คำถามคือ การออกมาใช้เงินอัดฉีดจะเหมือนกับที่ QE2 ทำหรือไม่

 

 

ความต่างที่ “นายจริงใจ” พูดถึงตรงนี้คือเรื่องปริมาณเงินที่จะอัดฉีดเข้ามา ว่าจะทำแบบใส่แล้วดึงกลับ (Sterilizes) หรือไม่ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์ของการจัดพอร์ตทั้งของ กองทุนและรายย่อยที่เน้นหุ้นใหญ่ด้วย หากมีการเพิ่มปริมาณ เงินและดึงกลับก็จะเหมือนมาตรการที่ทาง ECB เพิ่งจะออกมาที่เรียกว่า MoT ซึ่งไม่ได้ทำให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ขึ้นมากนัก แต่ถ้าไม่ถูกดึงกลับก็จะสามารถ ไหลไปยังสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อเก็งกำไรได้ เช่น น้ำมัน ทองคำ หรือหุ้นก็ตาม

 

 

ดังนั้น ที่นักลงทุนต้องตามก็คือ 1.มาตรการที่ทาง FOMC มีหรือไม่ 2.จะออกมาจะเป็นแบบไหน เพิ่มปริมาณเงินหรือไม่ 3.ถ้าเพิ่มปริมาณเงินเพิ่มเมื่อไหร่ ซึ่งทั้ง 3 คำถามนี้จะเป็นตัวกำหนดว่า พอร์ตหุ้นที่ถืออยู่หน้าตาจะเป็นอย่างไร (คนที่เล่นหุ้นเล็กหุ้นข่าว ไม่น่าจะต้องติดตามเท่าไหร่ แต่พวกที่ซื้อกองทุนหุ้นหรือพอร์ตที่เน้นหุ้นใหญ่ ควรจะกำหนดกลยุทธ์ไว้คร่าวๆ เป็นอย่างยิ่ง)

 

 

ถ้าเป็นแนวคิดโดยส่วนตัวของนายจริงใจจะออกมาได้ดังนี้

 

 

1.ถ้าไม่มี QE3-Downside เล็กน้อยเนื่องจากพอร์ตของกองทุนหลักๆ ก็ไม่ได้มีหุ้นพวก High Beta อยู่เท่าไหร่ รวมถึง Foreign ownership ก็ถือหุ้นหลังงานแบบ Underweight อยู่ แรงขายอาจจะไม่แรง

 

2.มี QE3 แต่มีการดึงสภาพคล่องกลับ-มุมมองบวกกับเศรษฐกิจจริงเนื่องจากความเสี่ยงที่จะเกิดเงินเฟ้อจะต่ำ พอร์ตหุ้นหลักๆ ก็เป็นเหมือนเดิมคือเน้น Domestic ไปก่อนจนกว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นจริงจึงจะกลับมาหุ้นที่เป็น Global Cycicle

 

 

3.มี QE3 แต่ไม่มีการดึงสภาพคล่องกลับ-ทองคำ น้ำมัน และหุ้น High beta หรือ Global Cycicle เช่น พวกพลังงานหรือปิโตรเคมีที่ Oversold จะมีการซื้อกลับและซื้อเก็งกำไร ถ้ากลับไปดูช่วง QE2 ก็จะเห็นว่าดัชนีขึ้นได้แรงเหมือนกัน

 

 

ก็เป็นแค่ไอเดียของผมเองนะครับ

 

 

--สยามธุรกิจฉบับวันที่ 19 - 21 ก.ย. 2555--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำ Gold Futures by Classic Gold Futures (19/09/2555)

คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส

 

Price Movement:

 

ราคาทองคำในตลาด COMEX ปิดที่ 1,771.20 USDต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.60 USDต่ออออนซ์ โดยมีความเคลื่อนไหวระหว่าง 1,753.20 — 1,775.90 USDต่อออนซ์ ราคาทองคำแกว่งตัวในระหว่างวัน และกลับมาปิดใกล้เคียงกับวันก่อน ในช่วงแรกราคาทองคำอ่อนตัวลงจากราคาน้ำมันและราคาพลาตินั่มปรับตัวลดลง โดยราคาพลาตินั่มปรับลดลง 36.3 USDต่อออนซ์ เนื่องจากผู้ผลิตพลาตินั่มรายใหญ่ในอาฟริกาใต้กลับมาผลิตได้อีกครั้ง ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ประกาศเมื่อคืนออกมาค่อนข้างดี ได้แก่ ดุลบัญชีเดินสะพัดใน Q2 ขาดดุลลดลงมาที่ -117.41 พันล้านUSD เงินทุนไหลเข้าสุทธิเดือนก.ค.เท่ากับ 73.7 พันล้านUSD มากกว่าคาด ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัญเดือน ก.ย.เท่ากับ 40.0 มากกว่าคาดที่ 38 ราคาทองคำในช่วงนี้ได้รับแรงกดดันจาก ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้น ความกังวลในเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยนักลงทุนจับตาดูดัชนี PMI ของจีนที่จะประกาศในวันพฤหัสบดีนี้ อย่างไรก็ตาม มีแรงซื้อทองคำในช่วงอ่อนตัวทำให้ราคาปรับลดลงอย่างจำกัด โดย SPDR เข้าซื้อทองคำเมื่อวานนี้ 1.81 ตัน คาดว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหว side way โดยมีแนวรับบริเวณ 1,750/1,720 และแนวต้านบริเวณ 1,780/1,790 แนะนำ นักลงทุนระยะสั้น Trading ในกรอบ 1,750 — 1,790 แต่ถ้าเปิด Long ไว้มีจุด stop loss บริเวณ 1,740 โดยมีเป้าหมายทำกำไรบริเวณ 1,780/1,790

 

Technical Analysis:

 

สำหรับภาพทางเทคนิคในราย 240 นาที ราคาทองคำแกว่งตัว side way ในกรอบเพื่อสร้างฐาน คาดว่าวันนี้มีแนวรับบริเวณ 1,755/1,750 และแนวต้านบริเวณ 1,775/1,780 โดยมีแรงเข้าซื้อในช่วงราคาอ่อนตัว และขายทำกำไรเมื่อถึงแนวต้านบริเวณ 1,775/1,780/1,790 แนะนำ นักลงทุนระยะสั้น Trading ในกรอบ 1,750 — 1,790 แต่ถ้าเปิด Long ไว้มีจุด stop loss บริเวณ 1,740 โดยมีเป้าหมายทำกำไรบริเวณ 1,780/1,790 ส่วนนักลงทุนระยะกลาง แนะนำ ทยอยเปิด Long ตามแนวรับ 1,750/1,720

 

Key Point in Precious Market:

 

ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำ ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้น ( - ) ราคาน้ำมันร่วงลง คาดว่าเฟดจะคุมเงินเฟ้อโดยจะกดราคาน้ำมัน ( - ) เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปอ่อนแอลง ( - ) ECB ประกาศจะเข้าซื้อพันธบัตรรอบใหม่ไม่จำกัดจำนวน แต่มีเงื่อนไขให้ประเทศที่ประสบปัญหาหนี้มีวินัยทางการคลัง ( + ) ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันประกาศคำวินิจฉัยว่ากองทุน ESM ไม่ขัดต่อก.ม.ของเยอรมัน ( + ) เฟดออกมาตรการ QE3 ตามคาด ( + ) มีแรงซื้อทองคำในช่วงราคาอ่อนตัว ( + ) ราคาโลหะมีค่าอ่อนตัวลงตามราคาพลาตินั่ม ( - )

 

ประเด็นที่ต้องติดตาม ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) ของจีน (วันที่ 20 ก.ย.) การประมูลพันธบัตรสเปน (วันที่ 20 ก.ย.) การประชุมระหว่างผู้นำ กรีซ อิตาลี สเปน วันที่ 28 ก.ย. ก่อนที่จะประชุมผู้นำยูโรโซนวันที่ 18 — 19 ต.ค.

 

การรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของ วันพุธ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค. ยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค. ตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ วันพฤหัสบดี จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนส.ค. ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนก.ย.

 

SPDR ซื้อทองคำเพิ่มขึ้น 1.81 ตัน ถือทองคำจำนวน 1,303.29 ตัน

 

ราคาโลหะเงินปิดที่ 34.72 USDต่อออนซ์ โดยมีความเคลื่อนไหวระหว่าง 34.02 — 35.10 USDต่อออนซ์ ราคาโลหะเงินแกว่งตัว side way ในกรอบระหว่าง 34.1 — 35.1 โดยมีแรงขายทำกำไรบริเวณ 35 USD ต่อออนซ์ และยังไม่สามารถผ่านไปได้ คาดว่าราคาจะแกว่งตัว side way สร้างฐานก่อน คาดว่าวันนี้มีแนวต้านบริเวณ 35.0/35.2 มีแนวรับบริเวณ 34.1/33.8 แนะนำนักลงทุน Trading ในกรอบแนวรับ แนวต้าน ishares silver trust ถือโลหะเงินจำนวน 9,841.22 ตัน

 

ที่มา : ThaiPR.net (วันที่ 19 กันยายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บาทเปิด 30.85/86 แนวโน้มอ่อนค่า (19/09/2555)

ธนาคารกรุงเทพ รายงาน เงินบาทเปิด 30.85/86 แนวโน้มอ่อนค่า นักลงทุนกลับมากังวลปัญหาหนี้ยุโรป

 

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 30.85/86 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากเมื่อวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 30.88/90 บาท/ดอลลาร์

 

สำหรับเงินบาทวันนี้มองแนวโน้มอ่อนค่า เนื่องจากปัจจัยจากปัญหาหนี้สาธารณะในฝั่งยูโรโซนที่กลับมาสร้างความกังวลให้นักลงทุนใหม่อีกครั้ง นอกนั้นปัจจัยที่นักลงทุนรอดูวันนี้ คือการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐฯ เช่น ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค. และสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติรายงานยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค.

 

"ปัจจัยวันนี้คงเป็นข่าวหนี้ในยุโรปที่นักลงทุนกลับมากังวลอีกครั้ง ต้องรอดูว่าทางยุโรปจะมีมาตรการอะไรออกมาเพิ่มเติม" นักบริหารเงิน ระบุ

 

ส่วนความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศช่วงเปิดตลาดเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 78.63 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3018/3050 ดอลลาร์/ยูโร

 

นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.82-30.90 บาท/ดอลลาร์

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ (วันที่ 19 กันยายน 2555)

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แบงก์ชาติ เล็งขยายวงเงินถือครองดอลลาร์เกินกว่า 1 ปี รับผลมาตรการ QE3(19/09/2555)

แบงก์ชาติ เล็งขยายวงเงินถือครองดอลลาร์เกินกว่า 1 ปี รับผลมาตรการ QE3

 

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ บอกว่า ขณะนี้ยังไม่พบกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างประเทศไหลเข้าไทยอย่างผิดปกติ ทั้งในตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตร หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟดประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE 3 ซึ่งค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆในภูมิภาค

 

ผู้ว่าการแบงก์ชาติ บอกอีกว่า ขณะนี้ได้เตรียมเครื่องมือรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นไว้อยู่แล้ว และหากมีความจำเป็น แบงก์ชาติก็พร้อมที่จะขยายวงเงินถือครองเงินตราต่างประเทศเกินกว่า 1 ปีเพิ่มขึ้น เพื่อให้คนไทยที่ต้องการถือครองดอลลาร์ยาว ใช้โอกาสเงินบาทแข็งค่าในการซื้อเงินตราต่างประเทศสะสมไว้ นอกจากนี้ยังมีมาตรการเพิ่มวงเงินการนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศของคนไทยอีกหลายมาตรการ ซึ่งในขณะนี้ได้เสนอกระทรวงการคลังไปแล้ว

 

ที่มา : money channel (วันที่ 19 กันยายน 2555)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...