ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ป๋าค่ะจากข่าวนี้เป็นไปได้มั้ยค่ะที่จะส่งผลกระทบกะทองแบบรุนแรง

 

ไม่แน่ใจว่าจะมีผลกระทบอะไรมากหรือเปล่า เพราะไม่ใช่บ่อนใหญ่

แต่เอามาฝากไว้เป็นข้อมูลพิจารณาครับซ่างไห่ เสี่ยวหลงเปา โกลด์ เอ็กซ์เชนจ์ จะเพิ่มมาร์จินสัญญาทองคำจาก ร้อยละ ๑๒ เป็น ร้อยละ ๑๓ ในวันที่ ๒๘ นี้ลิมิตราคาผันผวนได้ใน ๑ วันเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๙ เป็น ร้อยละ ๑๐ (ถ้าราคาวันนี้ จากผันผวนได้บวกลบได้ ๑๕๐ จะกลายเป็นบวกลบได้ ๑๖๖ เหรียญ) ในวันที่ ๓๑มาร์จินจะกลับมาที่อัตราเดิม ถ้าวันแรกของการเทรดในปี ๒๐๑๓ ปิดไม่ถึงลิมิตนักวิแคะบอกว่าการปรับเพิ่มมาร์จินชั่วคราวครั้งนี้อาจจะทำให้นักลงทุนขายสัญญาออก เพราะต้องเติมเงินเพิ่มบ่อนซ่างไห่จะปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑ ถึงวันที่ ๓ มกราในข่าวยังรายงานเพิ่มเติมว่าบ่อนอื่นๆก็มีการปรับเพิ่มมาร์จินชั่วคราวก่อนหยุดยาวเหมือนกัน

นั้นคือการเลือกหาอ่านข่าวสาร ที่ปลอบใจ ไปวันๆ ถ้ายุคนี้สมัยนี้ ต้องใข้คำว่า " แถ " ทำให้ " เสียจังหวะไม่รับรู้โลกความจริงของการลงทุน "

 

นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ ๓๒๔ :: กุมภาพันธ์ ๕๕ ปีที่ ๒๗

 

คอลัมน์รับอรุณ : พร้อมรับความสูญเสีย

พระไพศาล วิสาโล

 

แบ่งปันบน facebook Share

ชีวิตคนเราล้วนวนเวียนอยู่กับเรื่องได้-เสีย มีเรื่องได้-เสียเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิตทั้งในทางดีและทางร้าย ทั้งนี้เพราะสุขหรือทุกข์ของคนเราล้วนขึ้นอยู่กับได้หรือเสีย ถ้าได้ก็มีความสุข แต่หากเสียก็มีความทุกข์

 

ได้คือสุข เสียคือทุกข์ นี้คือสมการชีวิตที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี แต่สมการนี้แปลกตรงที่ ตามตรรกะแล้ว เวลาได้สิ่งหนึ่งมาแล้วสูญเสียสิ่งนั้นไป สุขกับทุกข์ที่เกิดขึ้นตามมา น่าจะเท่ากัน เพราะเกี่ยวเนื่องกับของชิ้นเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ เราสังเกตไหมว่า สิ่ง ๆ เดียวกันนั้นเวลาเราได้มา ความสุขที่เกิดขึ้นมักจะน้อยกว่าความทุกข์เมื่อสูญเสียสิ่งนั้นไป

 

แดเนียล คาเนแมน (Daniel Kahneman)ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อสิบปีที่แล้ว กับคณะ ได้ทำการทดลองจนได้ข้อสรุปว่า การสูญเสียสิ่งหนึ่งไปนั้นทำให้เรามีความทุกข์เป็นสองเท่าของความสุขเมื่อได้มันมา การทดลองอย่างหนึ่งที่เขาทำขึ้นก็คือ แบ่งนักศึกษาในชั้นเรียนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับถ้วยกาแฟซึ่งประทับตรามหาวิทยาลัย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นได้แต่เพียงยืนดูถ้วยกาแฟ จากนั้นก็เปิดโอกาสให้มีการซื้อขายกัน การซื้อขายนั้นไม่ได้ใช้เงินจริง ๆ เพียงแต่ตอบคำถามว่า “จำนวนเงินเท่าใดที่คุณยินดีจะขายหรือซื้อถ้วยกาแฟ” ผลปรากฏว่า เจ้าของพร้อมสละถ้วยกาแฟหากได้เงินเป็นสองเท่าของจำนวนที่ผู้ซื้อยินดีจ่าย การทดลองนับสิบ ๆ ครั้งให้ผลสรุปทำนองเดียวกัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ความไม่อยากสูญเสียถ้วยกาแฟนั้นมีมากเป็นสองเท่าของความอยากได้ถ้วยกาแฟ ดังนั้นหากต้องสูญเสียถ้วยกาแฟไปฟรี ๆ จึงมีความทุกข์เป็นสองเท่าของความสุขเมื่อได้ถ้วยกาแฟนั้น

 

การทดลองอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตั้งโจทย์ว่า หากมีการเสี่ยงโชคด้วยการโยนเหรียญ ถ้าออกก้อยต้องเสีย ๑๐๐ เหรียญ แต่ถ้าออกหัวจะได้.....เหรียญ ถามว่าต้องเติมเงินในช่องว่างนั้นเป็นจำนวนเท่าไหร่คุณถึงจะยอมเล่น? คำตอบของคนส่วนใหญ่อยู่ราว ๆ ๒๐๐ เหรียญ แต่ก็มีบางคนที่แม้ออกหัวได้ ๒๐๐ เหรียญก็ยังไม่ยอมเล่น ทั้ง ๆที่มีโอกาส ๕๐ เปอร์เซ็นต์ที่จะได้ ทั้งนี้ก็เพราะไม่อยากเสีย ๑๐๐ เหรียญนั่นเอง

 

การทดลองดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า คนเรากลัวความสูญเสียและพยายามหลีกเลี่ยงมันให้ไกล เว้นแต่มีสิ่งแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า (คือดีกว่าหรือมากกว่า) ไม่ว่าทำอะไรก็ตามถ้าโอกาสเสียกับได้มีเท่า ๆ กัน เราจะไม่ทำเลยถ้าเลือกได้ ทั้งนี้ก็เพราะการสูญเสียนั้นทำให้เรามีความทุกข์มากกว่าความสุขที่ได้สิ่งเดียวกันนั้นมา (นี้กระมังเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงจดจำคนที่ขโมยหรือโกงเงินเราได้แม่นยำหรือยาวนานกว่าคนที่ให้เงินเราในจำนวนเท่า ๆ กัน)

 

มองตามตรรกะ ความสุขที่ได้จากเงิน ๑๐๐ บาท กับความทุกข์ที่เสียเงิน ๑๐๐ บาท น่าจะเท่ากันหรืออยู่ในระดับเดียวกัน แต่ทำไมความทุกข์ที่เสียเงิน ๑๐๐ บาทจึงมากกว่าความสุขที่ได้เงิน ๑๐๐ บาท คำตอบจะเห็นชัดมากขึ้นเมื่อย้อนกลับไปที่การทดลองเกี่ยวกับถ้วยกาแฟ ตอนที่ยังไม่ได้ถ้วยกาแฟมานั้น ผู้คนไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะซื้อมัน จึงมักให้ราคาที่ไม่สูงนัก แต่เมื่อได้ถ้วยกาแฟมาแล้ว ผู้คนไม่อยากเสียมันไป ดังนั้นจึงตั้งราคาสูง ถามว่าทำไมถึงไม่อยากเสียมันไป เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นเพราะเมื่อได้มันมาแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกยึดมั่นว่ามันเป็น “ของฉัน” ความยึดมั่นดังกล่าวนี้เองทำให้เราทุกข์เมื่อต้องสูญเสียมันไป ตรงข้ามกับตอนที่ยังไม่ได้มันมา ยังไม่มีความยึดมั่นสำคัญหมายว่ามันเป็น “ของฉัน” ดังนั้นเมื่อได้มันมาความดีใจจึงไม่มากเท่ากับความเสียใจยามที่ต้องสูญเสียมันไป ด้วยเหตุผลเดียวกัน เงิน ๑๐๐ บาทที่ได้มากับเสียไป แม้จำนวนเท่ากัน แต่ความรู้สึกผูกพันต่อเงินสองก้อนนั้นไม่เท่ากัน ตอนที่ยังไม่ได้มันมานั้น เงินจำนวนนั้นไม่ใช่ของฉัน แต่เมื่อได้มาแล้ว ก็เกิดความยึดมั่นทันทีว่าเป็นเงินของฉัน เมื่อต้องเสียมันไป จึงเกิดความเสียดายหรือเป็นทุกข์ขึ้นมาในระดับที่มากกว่าความดีใจตอนที่ได้มันมา

 

การทดลองอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้ถ้วยกาแฟ อีกกลุ่มหนึ่งได้ช็อกโกแลตแท่งใหญ่ ซึ่งมีราคาเท่ากับถ้วยกาแฟ การสอบถามความเห็นก่อนการทดลองทำให้ทราบว่านักศึกษาแต่ละคนชอบของสองอย่างไม่เท่ากัน เมื่อเริ่มการทดลองหลายคนได้สิ่งที่ตนเองชอบน้อยกว่า แต่เมื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนจากถ้วยกาแฟเป็นช็อกโกแลต หรือกลับกัน ปรากฏว่ามีเพียงหนึ่งในสิบที่ขอเปลี่ยน

 

นี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ว่าคนเราไม่ชอบการสูญเสีย ถึงแม้ว่าตอนที่ยังไม่ได้มานั้น อาจจะชอบไม่มากนัก แต่เมื่อได้มาแล้วก็ไม่อยากเสียมันไป แม้จะเป็นการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ชอบมากกว่าก็ตาม สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพอได้มันมาก็เกิดความยึดติดถือมั่นว่าเป็นของฉันทันที จึงไม่อยากเสียมันไป

 

ความรังเกียจและพยายามหลีกเลี่ยงการสูญเสียนั้น เป็นสัญชาตญาณที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ มันช่วยให้เราหวงแหนและปกป้องทรัพย์สมบัติซึ่งจำเป็นต่อความอยู่รอดของเรา อีกทั้งยังทำให้เราไม่หลงใหลสิ่งใหม่ ๆ จนยอมเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทองข้าวของที่มีอยู่ แต่บางครั้งมันก็เป็นโทษต่อตัวเรามิใช่น้อย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ นักเล่นหุ้นที่รู้ทั้งรู้ว่าหุ้นในมือของตนนั้นราคาตกลงเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ยอมขายเพราะกลัวขาดทุน และหวังว่าราคามันจะดีขึ้นในที่สุด ผลก็คือถือหุ้นตัวนั้นจนกลายเป็นขยะคามือ ซึ่งทำให้เขาขาดทุนยิ่งกว่าเดิม เช่นเดียวกับนักธุรกิจที่ทำกิจการจนขาดทุนอย่างหนักแต่ไม่ยอมเลิกเพราะเสียดายเงินที่ลงไป กลับกู้เงินซ้ำเล่าซ้ำเล่ามาค้ำจุนกิจการที่ไม่มีอนาคต ด้วยความหวังล้ม ๆ แล้ง ๆ ว่ามันจะดีขึ้น สุดท้ายเขาก็เป็นหนี้ท่วมหัวจนล้มละลาย

 

ความกลัวสูญเสียบางครั้งจึงทำให้เราตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากคนที่กอดหีบสมบัติที่กำลังจมน้ำ ด้วยความหวังว่าจะกู้มันขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่ในยามนั้นการปล่อยหีบสมบัติเป็นวิธีเดียวที่ช่วยให้สูญเสียน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรปล่อยให้ความกลัวสูญเสียครอบงำจิตใจจนขาดสติหรือบดบังปัญญา ดังได้กล่าวแล้วว่าความกลัวสูญเสียนั้นมีข้อดี อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่นิ่งนอนใจ พยายามหาทางป้องกันและรักษาทรัพย์สมบัติที่มี แต่ความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ความสูญเสียพลัดพรากนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความสูญเสียพลัดพรากไปได้ตลอด ดังนั้นเมื่อถึงคราวต้องสูญเสียพลัดพราก จึงควรรู้จักทำใจยอมรับความจริง การไม่ยอมรับความจริงเพราะกลัวหรือรังเกียจความสูญเสียนั้น นอกจากทำให้เราทุกข์ใจจนอาจกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือล้มป่วยแล้ว ยังอาจผลักให้เราก่อปัญหาหนักกว่าเดิม เช่น ทำให้เกิดความสูญเสียหนักขึ้น

 

การมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของตนนั้น ช่วยให้ใจไม่ถูกครอบงำด้วยความกลัวสูญเสีย อย่างน้อยก็ทำให้ไม่เผลอทำให้ปัญหาเลวร้ายลง สติยังช่วยให้ได้คิดหรือเกิดปัญญา สามารถไตร่ตรองด้วยเหตุผลหรือข้อเท็จจริง จนเห็นโทษของการหวงแหนปกป้องทรัพย์สมบัติอย่างไม่ลืมหูลืมตา เช่น ทำให้นักลงทุนเห็นชัดว่า การขายหุ้นที่กำลังตกตอนนี้แม้จะขาดทุนแต่ก็ยังดีกว่าการถือไว้ในมือไปเรื่อย ๆ หรือทำให้นักธุรกิจเห็นชัดว่าเลิกกิจการตอนนี้ดีกว่ามัวกู้หนี้มาต่ออายุกิจการอย่างไร้อนาคต สติและปัญญาช่วยให้เราเห็นว่าการกอดหีบสมบัติที่กำลังดิ่งลงน้ำนั้น ในที่สุดย่อมลงเอยด้วยการสูญเสียทั้งชีวิตและหีบสมบัติ

 

อย่างไรก็ตาม ได้กล่าวแล้วว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เรากลัวความสูญเสีย ก็คือ ความยึดติดถือมั่นว่าเป็นของเรา หรือที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกว่า ความยึดมั่นใน “ตัวกู ของกู” ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ความกลัวสูญเสียครอบงำใจ นอกจากการใช้สติและปัญญารับมือกับเหตุการณ์แล้ว การทำใจให้คลายความยึดมั่นในตัวกูของกู ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเรายึดติดถือมั่นในทรัพย์สินน้อยลง ความกลัวสูญเสียก็จะน้อยลงตามไปด้วย

 

วิธีหนึ่งที่ช่วยลดความยึดมั่นในตัวกูของกู ก็คือ การให้ทานหรือสละทรัพย์สมบัติให้แก่ผู้อื่นหรือส่วนรวม ถ้าเราคิดแต่จะเอา ไม่ยอมให้ ความยึดมั่นในตัวกูของกูย่อมเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อคิดจะให้ ทีแรกจะมีแรงต้านทานอันเกิดจากความยึดติดถือมั่น แต่เมื่อให้บ่อย ๆ ความยึดติดถือมั่นในทรัพย์สมบัติก็จะลดลง โดยเฉพาะการให้ที่ไม่หวังประโยชน์เข้าตัวเลย หากมุ่งเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นหรือส่วนรวมล้วน ๆ แต่ถ้าให้เพราะอยากร่ำรวยอยากถูกหวยแล้ว อย่างที่ผู้คนมักอธิษฐานเวลาทำบุญ ความยึดมั่นในทรัพย์มีแต่จะพอกพูนขึ้น

 

ผู้ที่ให้เป็นนิจ ไม่ว่าให้แก่ผู้เดือดร้อน นักบวช หรือองค์กรสาธารณประโยชน์ เมื่อถึงคราวที่ต้องสูญเสียทรัพย์ด้วยเหตุจำเป็น ก็พร้อมจะเสียโดยไม่บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงชนิดที่ก่อให้เกิดโทษ ขณะเดียวกันก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะไม่ได้ยึดติดถือมั่นกับมันอย่างเต็มที่ หากจำเป็นต้องเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะหรือชีวิต ก็พร้อมจะทำ ไม่เผลอเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อรักษาทรัพย์ เช่น ในยามที่ถูกโจรปล้นจี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การไม่ยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์ว่าเป็น “ของกู” ทำให้เราเป็นนายมัน ไม่ใช่มันเป็นนายเรา ตรงกันข้าม การยึดติดถือมั่นว่ามันเป็นของเรา มีแต่จะทำให้เรากลายเป็นของมันไป

 

การหมั่นระลึกถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เรายึดติดถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ น้อยลง เพราะตระหนักได้ว่าไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องจากเราไป ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น ยิ่งระลึกถึงความจริงที่ว่า เราเกิดมามือเปล่า และเมื่อสิ้นลม เราก็ต้องจากไปมือเปล่า ทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นจึงเป็นเสมือนกำไร หากสูญไปจนหมดก็แค่เท่าทุน ไม่อาจเรียกว่าขาดทุนหรือสูญเสียด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ได้เป็นของเราตั้งแต่แรก การระลึกเช่นนี้ยังกระตุ้นให้เราหมั่นให้ทานหรือสละทรัพย์ให้ผู้อื่น ไม่คิดจะเก็บเอาไว้กับตัวเอง เพราะรู้ว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว

 

นอกจากการให้ทานและระลึกถึงความไม่เที่ยงแล้ว การหมั่นมองตนจนเห็นใจที่ยึดมั่นในตัวกูของกูอยู่เนือง ๆ ก็ช่วยให้เราเป็นอิสระเหนือทรัพย์มากขึ้น และไม่กลัวการสูญเสีย จะว่าไปแล้วการยึดติดถือมั่นว่ามี “ตัวกู”นี้แหละเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งนี้เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่แห่งตัวตน ดังนั้นเมื่อต้องสูญเสียสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป จึงกลายเป็นการกระทบตัวกู ทำให้ความยิ่งใหญ่แห่งตัวกูลดน้อยถอยลง หรือถึงกับรู้สึกว่าตัวกูถูกคุกคาม การทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย จึงมิใช่เป็นแค่การปกป้องทรัพย์สมบัติที่ยึดมั่นว่าเป็นของกูเท่านั้น หากยังเป็นการปกป้องตัวกูหรือความยิ่งใหญ่แห่งตัวกูด้วย

 

เป็นเพราะหวงแหนตัวตน ผู้คนจึงหวงแหนทรัพย์สมบัติและอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรสักอย่างที่เที่ยงแท้ยั่งยืนหรืออยู่กับเราไปตลอด ร้ายกว่านั้นก็คือ ตัวตนที่หวงแหนนั้นแท้จริงหามีไม่ หากเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเองด้วยอวิชชา เมื่อใดที่เราเห็นชัดด้วยปัญญาว่าตัวกูนั้นไม่มีอยู่จริง ความยึดติดถือมั่นในตัวกูของกูก็ดับไปเอง ถึงตอนนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป ไม่ว่าความสูญเสียทรัพย์ หรือแม้แต่ความสูญเสียชีวิต ไม่ว่าความผันผวนปรวนแปรใด ๆ เกิดขึ้นกับชีวิต ก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป จะได้หรือเสียก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะจิตอยู่เหนือการได้และเสียอย่างสิ้นเชิง

 

แต่ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นนั้น เราก็ควรฝึกใจให้เป็นทุกข์น้อยที่สุดเมื่อประสบความสูญเสีย โดยไม่มัวหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธความสูญเสียอย่างหลับหูหลับตา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:01 ขอบคุณ ขอรับ ป๋า ในวาระใกล้วันขี้นปีใหม่ 2556 ขอให้ ป๋า และครอบครัว มีความสุข คิดสิ่งใด ขอให้สมปรารถนา ทุกประการ อายุยืนนาน ร่างกาย แข็งแรง นะขอรับ

 

nqyv2.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นั้นคือการเลือกหาอ่านข่าวสาร ที่ปลอบใจ ไปวันๆ ถ้ายุคนี้สมัยนี้ ต้องใข้คำว่า " แถ " ทำให้ " เสียจังหวะไม่รับรู้โลกความจริงของการลงทุน "

 

นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ ๓๒๔ :: กุมภาพันธ์ ๕๕ ปีที่ ๒๗

 

คอลัมน์รับอรุณ : พร้อมรับความสูญเสีย

พระไพศาล วิสาโล

 

แบ่งปันบน facebook Share

ชีวิตคนเราล้วนวนเวียนอยู่กับเรื่องได้-เสีย มีเรื่องได้-เสียเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิตทั้งในทางดีและทางร้าย ทั้งนี้เพราะสุขหรือทุกข์ของคนเราล้วนขึ้นอยู่กับได้หรือเสีย ถ้าได้ก็มีความสุข แต่หากเสียก็มีความทุกข์

 

ได้คือสุข เสียคือทุกข์ นี้คือสมการชีวิตที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี แต่สมการนี้แปลกตรงที่ ตามตรรกะแล้ว เวลาได้สิ่งหนึ่งมาแล้วสูญเสียสิ่งนั้นไป สุขกับทุกข์ที่เกิดขึ้นตามมา น่าจะเท่ากัน เพราะเกี่ยวเนื่องกับของชิ้นเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ เราสังเกตไหมว่า สิ่ง ๆ เดียวกันนั้นเวลาเราได้มา ความสุขที่เกิดขึ้นมักจะน้อยกว่าความทุกข์เมื่อสูญเสียสิ่งนั้นไป

 

แดเนียล คาเนแมน (Daniel Kahneman)ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อสิบปีที่แล้ว กับคณะ ได้ทำการทดลองจนได้ข้อสรุปว่า การสูญเสียสิ่งหนึ่งไปนั้นทำให้เรามีความทุกข์เป็นสองเท่าของความสุขเมื่อได้มันมา การทดลองอย่างหนึ่งที่เขาทำขึ้นก็คือ แบ่งนักศึกษาในชั้นเรียนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับถ้วยกาแฟซึ่งประทับตรามหาวิทยาลัย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นได้แต่เพียงยืนดูถ้วยกาแฟ จากนั้นก็เปิดโอกาสให้มีการซื้อขายกัน การซื้อขายนั้นไม่ได้ใช้เงินจริง ๆ เพียงแต่ตอบคำถามว่า “จำนวนเงินเท่าใดที่คุณยินดีจะขายหรือซื้อถ้วยกาแฟ” ผลปรากฏว่า เจ้าของพร้อมสละถ้วยกาแฟหากได้เงินเป็นสองเท่าของจำนวนที่ผู้ซื้อยินดีจ่าย การทดลองนับสิบ ๆ ครั้งให้ผลสรุปทำนองเดียวกัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ความไม่อยากสูญเสียถ้วยกาแฟนั้นมีมากเป็นสองเท่าของความอยากได้ถ้วยกาแฟ ดังนั้นหากต้องสูญเสียถ้วยกาแฟไปฟรี ๆ จึงมีความทุกข์เป็นสองเท่าของความสุขเมื่อได้ถ้วยกาแฟนั้น

 

การทดลองอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตั้งโจทย์ว่า หากมีการเสี่ยงโชคด้วยการโยนเหรียญ ถ้าออกก้อยต้องเสีย ๑๐๐ เหรียญ แต่ถ้าออกหัวจะได้.....เหรียญ ถามว่าต้องเติมเงินในช่องว่างนั้นเป็นจำนวนเท่าไหร่คุณถึงจะยอมเล่น? คำตอบของคนส่วนใหญ่อยู่ราว ๆ ๒๐๐ เหรียญ แต่ก็มีบางคนที่แม้ออกหัวได้ ๒๐๐ เหรียญก็ยังไม่ยอมเล่น ทั้ง ๆที่มีโอกาส ๕๐ เปอร์เซ็นต์ที่จะได้ ทั้งนี้ก็เพราะไม่อยากเสีย ๑๐๐ เหรียญนั่นเอง

 

การทดลองดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า คนเรากลัวความสูญเสียและพยายามหลีกเลี่ยงมันให้ไกล เว้นแต่มีสิ่งแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า (คือดีกว่าหรือมากกว่า) ไม่ว่าทำอะไรก็ตามถ้าโอกาสเสียกับได้มีเท่า ๆ กัน เราจะไม่ทำเลยถ้าเลือกได้ ทั้งนี้ก็เพราะการสูญเสียนั้นทำให้เรามีความทุกข์มากกว่าความสุขที่ได้สิ่งเดียวกันนั้นมา (นี้กระมังเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงจดจำคนที่ขโมยหรือโกงเงินเราได้แม่นยำหรือยาวนานกว่าคนที่ให้เงินเราในจำนวนเท่า ๆ กัน)

 

มองตามตรรกะ ความสุขที่ได้จากเงิน ๑๐๐ บาท กับความทุกข์ที่เสียเงิน ๑๐๐ บาท น่าจะเท่ากันหรืออยู่ในระดับเดียวกัน แต่ทำไมความทุกข์ที่เสียเงิน ๑๐๐ บาทจึงมากกว่าความสุขที่ได้เงิน ๑๐๐ บาท คำตอบจะเห็นชัดมากขึ้นเมื่อย้อนกลับไปที่การทดลองเกี่ยวกับถ้วยกาแฟ ตอนที่ยังไม่ได้ถ้วยกาแฟมานั้น ผู้คนไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะซื้อมัน จึงมักให้ราคาที่ไม่สูงนัก แต่เมื่อได้ถ้วยกาแฟมาแล้ว ผู้คนไม่อยากเสียมันไป ดังนั้นจึงตั้งราคาสูง ถามว่าทำไมถึงไม่อยากเสียมันไป เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นเพราะเมื่อได้มันมาแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกยึดมั่นว่ามันเป็น “ของฉัน” ความยึดมั่นดังกล่าวนี้เองทำให้เราทุกข์เมื่อต้องสูญเสียมันไป ตรงข้ามกับตอนที่ยังไม่ได้มันมา ยังไม่มีความยึดมั่นสำคัญหมายว่ามันเป็น “ของฉัน” ดังนั้นเมื่อได้มันมาความดีใจจึงไม่มากเท่ากับความเสียใจยามที่ต้องสูญเสียมันไป ด้วยเหตุผลเดียวกัน เงิน ๑๐๐ บาทที่ได้มากับเสียไป แม้จำนวนเท่ากัน แต่ความรู้สึกผูกพันต่อเงินสองก้อนนั้นไม่เท่ากัน ตอนที่ยังไม่ได้มันมานั้น เงินจำนวนนั้นไม่ใช่ของฉัน แต่เมื่อได้มาแล้ว ก็เกิดความยึดมั่นทันทีว่าเป็นเงินของฉัน เมื่อต้องเสียมันไป จึงเกิดความเสียดายหรือเป็นทุกข์ขึ้นมาในระดับที่มากกว่าความดีใจตอนที่ได้มันมา

 

การทดลองอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้ถ้วยกาแฟ อีกกลุ่มหนึ่งได้ช็อกโกแลตแท่งใหญ่ ซึ่งมีราคาเท่ากับถ้วยกาแฟ การสอบถามความเห็นก่อนการทดลองทำให้ทราบว่านักศึกษาแต่ละคนชอบของสองอย่างไม่เท่ากัน เมื่อเริ่มการทดลองหลายคนได้สิ่งที่ตนเองชอบน้อยกว่า แต่เมื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนจากถ้วยกาแฟเป็นช็อกโกแลต หรือกลับกัน ปรากฏว่ามีเพียงหนึ่งในสิบที่ขอเปลี่ยน

 

นี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ว่าคนเราไม่ชอบการสูญเสีย ถึงแม้ว่าตอนที่ยังไม่ได้มานั้น อาจจะชอบไม่มากนัก แต่เมื่อได้มาแล้วก็ไม่อยากเสียมันไป แม้จะเป็นการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ชอบมากกว่าก็ตาม สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพอได้มันมาก็เกิดความยึดติดถือมั่นว่าเป็นของฉันทันที จึงไม่อยากเสียมันไป

 

ความรังเกียจและพยายามหลีกเลี่ยงการสูญเสียนั้น เป็นสัญชาตญาณที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ มันช่วยให้เราหวงแหนและปกป้องทรัพย์สมบัติซึ่งจำเป็นต่อความอยู่รอดของเรา อีกทั้งยังทำให้เราไม่หลงใหลสิ่งใหม่ ๆ จนยอมเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทองข้าวของที่มีอยู่ แต่บางครั้งมันก็เป็นโทษต่อตัวเรามิใช่น้อย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ นักเล่นหุ้นที่รู้ทั้งรู้ว่าหุ้นในมือของตนนั้นราคาตกลงเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ยอมขายเพราะกลัวขาดทุน และหวังว่าราคามันจะดีขึ้นในที่สุด ผลก็คือถือหุ้นตัวนั้นจนกลายเป็นขยะคามือ ซึ่งทำให้เขาขาดทุนยิ่งกว่าเดิม เช่นเดียวกับนักธุรกิจที่ทำกิจการจนขาดทุนอย่างหนักแต่ไม่ยอมเลิกเพราะเสียดายเงินที่ลงไป กลับกู้เงินซ้ำเล่าซ้ำเล่ามาค้ำจุนกิจการที่ไม่มีอนาคต ด้วยความหวังล้ม ๆ แล้ง ๆ ว่ามันจะดีขึ้น สุดท้ายเขาก็เป็นหนี้ท่วมหัวจนล้มละลาย

 

ความกลัวสูญเสียบางครั้งจึงทำให้เราตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากคนที่กอดหีบสมบัติที่กำลังจมน้ำ ด้วยความหวังว่าจะกู้มันขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่ในยามนั้นการปล่อยหีบสมบัติเป็นวิธีเดียวที่ช่วยให้สูญเสียน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรปล่อยให้ความกลัวสูญเสียครอบงำจิตใจจนขาดสติหรือบดบังปัญญา ดังได้กล่าวแล้วว่าความกลัวสูญเสียนั้นมีข้อดี อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่นิ่งนอนใจ พยายามหาทางป้องกันและรักษาทรัพย์สมบัติที่มี แต่ความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ความสูญเสียพลัดพรากนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความสูญเสียพลัดพรากไปได้ตลอด ดังนั้นเมื่อถึงคราวต้องสูญเสียพลัดพราก จึงควรรู้จักทำใจยอมรับความจริง การไม่ยอมรับความจริงเพราะกลัวหรือรังเกียจความสูญเสียนั้น นอกจากทำให้เราทุกข์ใจจนอาจกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือล้มป่วยแล้ว ยังอาจผลักให้เราก่อปัญหาหนักกว่าเดิม เช่น ทำให้เกิดความสูญเสียหนักขึ้น

 

การมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของตนนั้น ช่วยให้ใจไม่ถูกครอบงำด้วยความกลัวสูญเสีย อย่างน้อยก็ทำให้ไม่เผลอทำให้ปัญหาเลวร้ายลง สติยังช่วยให้ได้คิดหรือเกิดปัญญา สามารถไตร่ตรองด้วยเหตุผลหรือข้อเท็จจริง จนเห็นโทษของการหวงแหนปกป้องทรัพย์สมบัติอย่างไม่ลืมหูลืมตา เช่น ทำให้นักลงทุนเห็นชัดว่า การขายหุ้นที่กำลังตกตอนนี้แม้จะขาดทุนแต่ก็ยังดีกว่าการถือไว้ในมือไปเรื่อย ๆ หรือทำให้นักธุรกิจเห็นชัดว่าเลิกกิจการตอนนี้ดีกว่ามัวกู้หนี้มาต่ออายุกิจการอย่างไร้อนาคต สติและปัญญาช่วยให้เราเห็นว่าการกอดหีบสมบัติที่กำลังดิ่งลงน้ำนั้น ในที่สุดย่อมลงเอยด้วยการสูญเสียทั้งชีวิตและหีบสมบัติ

 

อย่างไรก็ตาม ได้กล่าวแล้วว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เรากลัวความสูญเสีย ก็คือ ความยึดติดถือมั่นว่าเป็นของเรา หรือที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกว่า ความยึดมั่นใน “ตัวกู ของกู” ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ความกลัวสูญเสียครอบงำใจ นอกจากการใช้สติและปัญญารับมือกับเหตุการณ์แล้ว การทำใจให้คลายความยึดมั่นในตัวกูของกู ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเรายึดติดถือมั่นในทรัพย์สินน้อยลง ความกลัวสูญเสียก็จะน้อยลงตามไปด้วย

 

วิธีหนึ่งที่ช่วยลดความยึดมั่นในตัวกูของกู ก็คือ การให้ทานหรือสละทรัพย์สมบัติให้แก่ผู้อื่นหรือส่วนรวม ถ้าเราคิดแต่จะเอา ไม่ยอมให้ ความยึดมั่นในตัวกูของกูย่อมเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อคิดจะให้ ทีแรกจะมีแรงต้านทานอันเกิดจากความยึดติดถือมั่น แต่เมื่อให้บ่อย ๆ ความยึดติดถือมั่นในทรัพย์สมบัติก็จะลดลง โดยเฉพาะการให้ที่ไม่หวังประโยชน์เข้าตัวเลย หากมุ่งเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นหรือส่วนรวมล้วน ๆ แต่ถ้าให้เพราะอยากร่ำรวยอยากถูกหวยแล้ว อย่างที่ผู้คนมักอธิษฐานเวลาทำบุญ ความยึดมั่นในทรัพย์มีแต่จะพอกพูนขึ้น

 

ผู้ที่ให้เป็นนิจ ไม่ว่าให้แก่ผู้เดือดร้อน นักบวช หรือองค์กรสาธารณประโยชน์ เมื่อถึงคราวที่ต้องสูญเสียทรัพย์ด้วยเหตุจำเป็น ก็พร้อมจะเสียโดยไม่บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงชนิดที่ก่อให้เกิดโทษ ขณะเดียวกันก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะไม่ได้ยึดติดถือมั่นกับมันอย่างเต็มที่ หากจำเป็นต้องเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะหรือชีวิต ก็พร้อมจะทำ ไม่เผลอเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อรักษาทรัพย์ เช่น ในยามที่ถูกโจรปล้นจี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การไม่ยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์ว่าเป็น “ของกู” ทำให้เราเป็นนายมัน ไม่ใช่มันเป็นนายเรา ตรงกันข้าม การยึดติดถือมั่นว่ามันเป็นของเรา มีแต่จะทำให้เรากลายเป็นของมันไป

 

การหมั่นระลึกถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เรายึดติดถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ น้อยลง เพราะตระหนักได้ว่าไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องจากเราไป ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น ยิ่งระลึกถึงความจริงที่ว่า เราเกิดมามือเปล่า และเมื่อสิ้นลม เราก็ต้องจากไปมือเปล่า ทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นจึงเป็นเสมือนกำไร หากสูญไปจนหมดก็แค่เท่าทุน ไม่อาจเรียกว่าขาดทุนหรือสูญเสียด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ได้เป็นของเราตั้งแต่แรก การระลึกเช่นนี้ยังกระตุ้นให้เราหมั่นให้ทานหรือสละทรัพย์ให้ผู้อื่น ไม่คิดจะเก็บเอาไว้กับตัวเอง เพราะรู้ว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว

 

นอกจากการให้ทานและระลึกถึงความไม่เที่ยงแล้ว การหมั่นมองตนจนเห็นใจที่ยึดมั่นในตัวกูของกูอยู่เนือง ๆ ก็ช่วยให้เราเป็นอิสระเหนือทรัพย์มากขึ้น และไม่กลัวการสูญเสีย จะว่าไปแล้วการยึดติดถือมั่นว่ามี “ตัวกู”นี้แหละเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งนี้เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่แห่งตัวตน ดังนั้นเมื่อต้องสูญเสียสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป จึงกลายเป็นการกระทบตัวกู ทำให้ความยิ่งใหญ่แห่งตัวกูลดน้อยถอยลง หรือถึงกับรู้สึกว่าตัวกูถูกคุกคาม การทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย จึงมิใช่เป็นแค่การปกป้องทรัพย์สมบัติที่ยึดมั่นว่าเป็นของกูเท่านั้น หากยังเป็นการปกป้องตัวกูหรือความยิ่งใหญ่แห่งตัวกูด้วย

 

เป็นเพราะหวงแหนตัวตน ผู้คนจึงหวงแหนทรัพย์สมบัติและอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรสักอย่างที่เที่ยงแท้ยั่งยืนหรืออยู่กับเราไปตลอด ร้ายกว่านั้นก็คือ ตัวตนที่หวงแหนนั้นแท้จริงหามีไม่ หากเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเองด้วยอวิชชา เมื่อใดที่เราเห็นชัดด้วยปัญญาว่าตัวกูนั้นไม่มีอยู่จริง ความยึดติดถือมั่นในตัวกูของกูก็ดับไปเอง ถึงตอนนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป ไม่ว่าความสูญเสียทรัพย์ หรือแม้แต่ความสูญเสียชีวิต ไม่ว่าความผันผวนปรวนแปรใด ๆ เกิดขึ้นกับชีวิต ก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป จะได้หรือเสียก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะจิตอยู่เหนือการได้และเสียอย่างสิ้นเชิง

 

แต่ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นนั้น เราก็ควรฝึกใจให้เป็นทุกข์น้อยที่สุดเมื่อประสบความสูญเสีย โดยไม่มัวหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธความสูญเสียอย่างหลับหูหลับตา

นั้นคือการเลือกหาอ่านข่าวสาร ที่ปลอบใจ ไปวันๆ ถ้ายุคนี้สมัยนี้ ต้องใข้คำว่า " แถ " ทำให้ " เสียจังหวะไม่รับรู้โลกความจริงของการลงทุน "

 

นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ ๓๒๔ :: กุมภาพันธ์ ๕๕ ปีที่ ๒๗

 

คอลัมน์รับอรุณ : พร้อมรับความสูญเสีย

พระไพศาล วิสาโล

 

แบ่งปันบน facebook Share

ชีวิตคนเราล้วนวนเวียนอยู่กับเรื่องได้-เสีย มีเรื่องได้-เสียเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิตทั้งในทางดีและทางร้าย ทั้งนี้เพราะสุขหรือทุกข์ของคนเราล้วนขึ้นอยู่กับได้หรือเสีย ถ้าได้ก็มีความสุข แต่หากเสียก็มีความทุกข์

 

ได้คือสุข เสียคือทุกข์ นี้คือสมการชีวิตที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี แต่สมการนี้แปลกตรงที่ ตามตรรกะแล้ว เวลาได้สิ่งหนึ่งมาแล้วสูญเสียสิ่งนั้นไป สุขกับทุกข์ที่เกิดขึ้นตามมา น่าจะเท่ากัน เพราะเกี่ยวเนื่องกับของชิ้นเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ เราสังเกตไหมว่า สิ่ง ๆ เดียวกันนั้นเวลาเราได้มา ความสุขที่เกิดขึ้นมักจะน้อยกว่าความทุกข์เมื่อสูญเสียสิ่งนั้นไป

 

แดเนียล คาเนแมน (Daniel Kahneman)ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อสิบปีที่แล้ว กับคณะ ได้ทำการทดลองจนได้ข้อสรุปว่า การสูญเสียสิ่งหนึ่งไปนั้นทำให้เรามีความทุกข์เป็นสองเท่าของความสุขเมื่อได้มันมา การทดลองอย่างหนึ่งที่เขาทำขึ้นก็คือ แบ่งนักศึกษาในชั้นเรียนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับถ้วยกาแฟซึ่งประทับตรามหาวิทยาลัย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นได้แต่เพียงยืนดูถ้วยกาแฟ จากนั้นก็เปิดโอกาสให้มีการซื้อขายกัน การซื้อขายนั้นไม่ได้ใช้เงินจริง ๆ เพียงแต่ตอบคำถามว่า “จำนวนเงินเท่าใดที่คุณยินดีจะขายหรือซื้อถ้วยกาแฟ” ผลปรากฏว่า เจ้าของพร้อมสละถ้วยกาแฟหากได้เงินเป็นสองเท่าของจำนวนที่ผู้ซื้อยินดีจ่าย การทดลองนับสิบ ๆ ครั้งให้ผลสรุปทำนองเดียวกัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ความไม่อยากสูญเสียถ้วยกาแฟนั้นมีมากเป็นสองเท่าของความอยากได้ถ้วยกาแฟ ดังนั้นหากต้องสูญเสียถ้วยกาแฟไปฟรี ๆ จึงมีความทุกข์เป็นสองเท่าของความสุขเมื่อได้ถ้วยกาแฟนั้น

 

การทดลองอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตั้งโจทย์ว่า หากมีการเสี่ยงโชคด้วยการโยนเหรียญ ถ้าออกก้อยต้องเสีย ๑๐๐ เหรียญ แต่ถ้าออกหัวจะได้.....เหรียญ ถามว่าต้องเติมเงินในช่องว่างนั้นเป็นจำนวนเท่าไหร่คุณถึงจะยอมเล่น? คำตอบของคนส่วนใหญ่อยู่ราว ๆ ๒๐๐ เหรียญ แต่ก็มีบางคนที่แม้ออกหัวได้ ๒๐๐ เหรียญก็ยังไม่ยอมเล่น ทั้ง ๆที่มีโอกาส ๕๐ เปอร์เซ็นต์ที่จะได้ ทั้งนี้ก็เพราะไม่อยากเสีย ๑๐๐ เหรียญนั่นเอง

 

การทดลองดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า คนเรากลัวความสูญเสียและพยายามหลีกเลี่ยงมันให้ไกล เว้นแต่มีสิ่งแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า (คือดีกว่าหรือมากกว่า) ไม่ว่าทำอะไรก็ตามถ้าโอกาสเสียกับได้มีเท่า ๆ กัน เราจะไม่ทำเลยถ้าเลือกได้ ทั้งนี้ก็เพราะการสูญเสียนั้นทำให้เรามีความทุกข์มากกว่าความสุขที่ได้สิ่งเดียวกันนั้นมา (นี้กระมังเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงจดจำคนที่ขโมยหรือโกงเงินเราได้แม่นยำหรือยาวนานกว่าคนที่ให้เงินเราในจำนวนเท่า ๆ กัน)

 

มองตามตรรกะ ความสุขที่ได้จากเงิน ๑๐๐ บาท กับความทุกข์ที่เสียเงิน ๑๐๐ บาท น่าจะเท่ากันหรืออยู่ในระดับเดียวกัน แต่ทำไมความทุกข์ที่เสียเงิน ๑๐๐ บาทจึงมากกว่าความสุขที่ได้เงิน ๑๐๐ บาท คำตอบจะเห็นชัดมากขึ้นเมื่อย้อนกลับไปที่การทดลองเกี่ยวกับถ้วยกาแฟ ตอนที่ยังไม่ได้ถ้วยกาแฟมานั้น ผู้คนไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะซื้อมัน จึงมักให้ราคาที่ไม่สูงนัก แต่เมื่อได้ถ้วยกาแฟมาแล้ว ผู้คนไม่อยากเสียมันไป ดังนั้นจึงตั้งราคาสูง ถามว่าทำไมถึงไม่อยากเสียมันไป เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นเพราะเมื่อได้มันมาแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกยึดมั่นว่ามันเป็น “ของฉัน” ความยึดมั่นดังกล่าวนี้เองทำให้เราทุกข์เมื่อต้องสูญเสียมันไป ตรงข้ามกับตอนที่ยังไม่ได้มันมา ยังไม่มีความยึดมั่นสำคัญหมายว่ามันเป็น “ของฉัน” ดังนั้นเมื่อได้มันมาความดีใจจึงไม่มากเท่ากับความเสียใจยามที่ต้องสูญเสียมันไป ด้วยเหตุผลเดียวกัน เงิน ๑๐๐ บาทที่ได้มากับเสียไป แม้จำนวนเท่ากัน แต่ความรู้สึกผูกพันต่อเงินสองก้อนนั้นไม่เท่ากัน ตอนที่ยังไม่ได้มันมานั้น เงินจำนวนนั้นไม่ใช่ของฉัน แต่เมื่อได้มาแล้ว ก็เกิดความยึดมั่นทันทีว่าเป็นเงินของฉัน เมื่อต้องเสียมันไป จึงเกิดความเสียดายหรือเป็นทุกข์ขึ้นมาในระดับที่มากกว่าความดีใจตอนที่ได้มันมา

 

การทดลองอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้ถ้วยกาแฟ อีกกลุ่มหนึ่งได้ช็อกโกแลตแท่งใหญ่ ซึ่งมีราคาเท่ากับถ้วยกาแฟ การสอบถามความเห็นก่อนการทดลองทำให้ทราบว่านักศึกษาแต่ละคนชอบของสองอย่างไม่เท่ากัน เมื่อเริ่มการทดลองหลายคนได้สิ่งที่ตนเองชอบน้อยกว่า แต่เมื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนจากถ้วยกาแฟเป็นช็อกโกแลต หรือกลับกัน ปรากฏว่ามีเพียงหนึ่งในสิบที่ขอเปลี่ยน

 

นี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ว่าคนเราไม่ชอบการสูญเสีย ถึงแม้ว่าตอนที่ยังไม่ได้มานั้น อาจจะชอบไม่มากนัก แต่เมื่อได้มาแล้วก็ไม่อยากเสียมันไป แม้จะเป็นการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ชอบมากกว่าก็ตาม สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพอได้มันมาก็เกิดความยึดติดถือมั่นว่าเป็นของฉันทันที จึงไม่อยากเสียมันไป

 

ความรังเกียจและพยายามหลีกเลี่ยงการสูญเสียนั้น เป็นสัญชาตญาณที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ มันช่วยให้เราหวงแหนและปกป้องทรัพย์สมบัติซึ่งจำเป็นต่อความอยู่รอดของเรา อีกทั้งยังทำให้เราไม่หลงใหลสิ่งใหม่ ๆ จนยอมเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทองข้าวของที่มีอยู่ แต่บางครั้งมันก็เป็นโทษต่อตัวเรามิใช่น้อย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ นักเล่นหุ้นที่รู้ทั้งรู้ว่าหุ้นในมือของตนนั้นราคาตกลงเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ยอมขายเพราะกลัวขาดทุน และหวังว่าราคามันจะดีขึ้นในที่สุด ผลก็คือถือหุ้นตัวนั้นจนกลายเป็นขยะคามือ ซึ่งทำให้เขาขาดทุนยิ่งกว่าเดิม เช่นเดียวกับนักธุรกิจที่ทำกิจการจนขาดทุนอย่างหนักแต่ไม่ยอมเลิกเพราะเสียดายเงินที่ลงไป กลับกู้เงินซ้ำเล่าซ้ำเล่ามาค้ำจุนกิจการที่ไม่มีอนาคต ด้วยความหวังล้ม ๆ แล้ง ๆ ว่ามันจะดีขึ้น สุดท้ายเขาก็เป็นหนี้ท่วมหัวจนล้มละลาย

 

ความกลัวสูญเสียบางครั้งจึงทำให้เราตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากคนที่กอดหีบสมบัติที่กำลังจมน้ำ ด้วยความหวังว่าจะกู้มันขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่ในยามนั้นการปล่อยหีบสมบัติเป็นวิธีเดียวที่ช่วยให้สูญเสียน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรปล่อยให้ความกลัวสูญเสียครอบงำจิตใจจนขาดสติหรือบดบังปัญญา ดังได้กล่าวแล้วว่าความกลัวสูญเสียนั้นมีข้อดี อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่นิ่งนอนใจ พยายามหาทางป้องกันและรักษาทรัพย์สมบัติที่มี แต่ความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ความสูญเสียพลัดพรากนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความสูญเสียพลัดพรากไปได้ตลอด ดังนั้นเมื่อถึงคราวต้องสูญเสียพลัดพราก จึงควรรู้จักทำใจยอมรับความจริง การไม่ยอมรับความจริงเพราะกลัวหรือรังเกียจความสูญเสียนั้น นอกจากทำให้เราทุกข์ใจจนอาจกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือล้มป่วยแล้ว ยังอาจผลักให้เราก่อปัญหาหนักกว่าเดิม เช่น ทำให้เกิดความสูญเสียหนักขึ้น

 

การมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของตนนั้น ช่วยให้ใจไม่ถูกครอบงำด้วยความกลัวสูญเสีย อย่างน้อยก็ทำให้ไม่เผลอทำให้ปัญหาเลวร้ายลง สติยังช่วยให้ได้คิดหรือเกิดปัญญา สามารถไตร่ตรองด้วยเหตุผลหรือข้อเท็จจริง จนเห็นโทษของการหวงแหนปกป้องทรัพย์สมบัติอย่างไม่ลืมหูลืมตา เช่น ทำให้นักลงทุนเห็นชัดว่า การขายหุ้นที่กำลังตกตอนนี้แม้จะขาดทุนแต่ก็ยังดีกว่าการถือไว้ในมือไปเรื่อย ๆ หรือทำให้นักธุรกิจเห็นชัดว่าเลิกกิจการตอนนี้ดีกว่ามัวกู้หนี้มาต่ออายุกิจการอย่างไร้อนาคต สติและปัญญาช่วยให้เราเห็นว่าการกอดหีบสมบัติที่กำลังดิ่งลงน้ำนั้น ในที่สุดย่อมลงเอยด้วยการสูญเสียทั้งชีวิตและหีบสมบัติ

 

อย่างไรก็ตาม ได้กล่าวแล้วว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เรากลัวความสูญเสีย ก็คือ ความยึดติดถือมั่นว่าเป็นของเรา หรือที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกว่า ความยึดมั่นใน “ตัวกู ของกู” ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ความกลัวสูญเสียครอบงำใจ นอกจากการใช้สติและปัญญารับมือกับเหตุการณ์แล้ว การทำใจให้คลายความยึดมั่นในตัวกูของกู ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเรายึดติดถือมั่นในทรัพย์สินน้อยลง ความกลัวสูญเสียก็จะน้อยลงตามไปด้วย

 

วิธีหนึ่งที่ช่วยลดความยึดมั่นในตัวกูของกู ก็คือ การให้ทานหรือสละทรัพย์สมบัติให้แก่ผู้อื่นหรือส่วนรวม ถ้าเราคิดแต่จะเอา ไม่ยอมให้ ความยึดมั่นในตัวกูของกูย่อมเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อคิดจะให้ ทีแรกจะมีแรงต้านทานอันเกิดจากความยึดติดถือมั่น แต่เมื่อให้บ่อย ๆ ความยึดติดถือมั่นในทรัพย์สมบัติก็จะลดลง โดยเฉพาะการให้ที่ไม่หวังประโยชน์เข้าตัวเลย หากมุ่งเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นหรือส่วนรวมล้วน ๆ แต่ถ้าให้เพราะอยากร่ำรวยอยากถูกหวยแล้ว อย่างที่ผู้คนมักอธิษฐานเวลาทำบุญ ความยึดมั่นในทรัพย์มีแต่จะพอกพูนขึ้น

 

ผู้ที่ให้เป็นนิจ ไม่ว่าให้แก่ผู้เดือดร้อน นักบวช หรือองค์กรสาธารณประโยชน์ เมื่อถึงคราวที่ต้องสูญเสียทรัพย์ด้วยเหตุจำเป็น ก็พร้อมจะเสียโดยไม่บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงชนิดที่ก่อให้เกิดโทษ ขณะเดียวกันก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะไม่ได้ยึดติดถือมั่นกับมันอย่างเต็มที่ หากจำเป็นต้องเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะหรือชีวิต ก็พร้อมจะทำ ไม่เผลอเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อรักษาทรัพย์ เช่น ในยามที่ถูกโจรปล้นจี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การไม่ยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์ว่าเป็น “ของกู” ทำให้เราเป็นนายมัน ไม่ใช่มันเป็นนายเรา ตรงกันข้าม การยึดติดถือมั่นว่ามันเป็นของเรา มีแต่จะทำให้เรากลายเป็นของมันไป

 

การหมั่นระลึกถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เรายึดติดถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ น้อยลง เพราะตระหนักได้ว่าไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องจากเราไป ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น ยิ่งระลึกถึงความจริงที่ว่า เราเกิดมามือเปล่า และเมื่อสิ้นลม เราก็ต้องจากไปมือเปล่า ทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นจึงเป็นเสมือนกำไร หากสูญไปจนหมดก็แค่เท่าทุน ไม่อาจเรียกว่าขาดทุนหรือสูญเสียด้วยซ้ำ เพราะมันไม่ได้เป็นของเราตั้งแต่แรก การระลึกเช่นนี้ยังกระตุ้นให้เราหมั่นให้ทานหรือสละทรัพย์ให้ผู้อื่น ไม่คิดจะเก็บเอาไว้กับตัวเอง เพราะรู้ว่าตายแล้วก็เอาไปไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว

 

นอกจากการให้ทานและระลึกถึงความไม่เที่ยงแล้ว การหมั่นมองตนจนเห็นใจที่ยึดมั่นในตัวกูของกูอยู่เนือง ๆ ก็ช่วยให้เราเป็นอิสระเหนือทรัพย์มากขึ้น และไม่กลัวการสูญเสีย จะว่าไปแล้วการยึดติดถือมั่นว่ามี “ตัวกู”นี้แหละเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ทั้งนี้เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่แห่งตัวตน ดังนั้นเมื่อต้องสูญเสียสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป จึงกลายเป็นการกระทบตัวกู ทำให้ความยิ่งใหญ่แห่งตัวกูลดน้อยถอยลง หรือถึงกับรู้สึกว่าตัวกูถูกคุกคาม การทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสีย จึงมิใช่เป็นแค่การปกป้องทรัพย์สมบัติที่ยึดมั่นว่าเป็นของกูเท่านั้น หากยังเป็นการปกป้องตัวกูหรือความยิ่งใหญ่แห่งตัวกูด้วย

 

เป็นเพราะหวงแหนตัวตน ผู้คนจึงหวงแหนทรัพย์สมบัติและอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรสักอย่างที่เที่ยงแท้ยั่งยืนหรืออยู่กับเราไปตลอด ร้ายกว่านั้นก็คือ ตัวตนที่หวงแหนนั้นแท้จริงหามีไม่ หากเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเองด้วยอวิชชา เมื่อใดที่เราเห็นชัดด้วยปัญญาว่าตัวกูนั้นไม่มีอยู่จริง ความยึดติดถือมั่นในตัวกูของกูก็ดับไปเอง ถึงตอนนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป ไม่ว่าความสูญเสียทรัพย์ หรือแม้แต่ความสูญเสียชีวิต ไม่ว่าความผันผวนปรวนแปรใด ๆ เกิดขึ้นกับชีวิต ก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป จะได้หรือเสียก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะจิตอยู่เหนือการได้และเสียอย่างสิ้นเชิง

 

แต่ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาถึงขั้นนั้น เราก็ควรฝึกใจให้เป็นทุกข์น้อยที่สุดเมื่อประสบความสูญเสีย โดยไม่มัวหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธความสูญเสียอย่างหลับหูหลับตา

ขอบคุณค่ะป๋าที่ได้ชี้แนะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข้อเท็จจริงสำคัญกว่าจินตนาการ ในตลาดเก็งกำไรทองคำ

 

ตั้งแต่ สิ่งที่คนเรียกว่า QE3 ออกมาต้นตุลาคม จนมาถึง QE4 ที่จะเริ่มใช้ต้นปี 2556 โดยธนาคารกลางสหรัฐ ช่วงที่ผ่านมา และ ยิ่งช่วงนี้ จะได้ยินความคิดขายฝันเยอะมากกว่า fundflow ไหลเข้าปั่นราคาทองคำให้สูงขึ้น ระดับ $2,000 ถึง $2,500 ทำ QE เงินเข้าตลาดมากมาย รีบซื้อทองคำ / เงินแท่ง เข้าไว้ยังไงก็กำไร เดี่ยวก็มีคนมาซื้อต่อ ได้ฟังอะไรแบบนี้แล้วต้องคิดตาม ว่ามันจริงไหม ที่รายใหญ่แบบเจ้าของเงินทุนจะปล่อยให้แม่งเม่า หรือ รายย่อยได้กำไรง่ายๆ

 

อนาคตอาจจะมีเงินไหลเข้าปั่นราคาสูงขึ้น จริงหรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้ได้ เพราะจริงๆแล้วการเกร็งในตลาดทองคำเกิดมากในตลาดฟิวเจอร์ ทองกระดาษ Gold Paper ของนักลงทุนขาใหญ่ เขาย่อมพิจารณาในหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องความถูกแพง และการเติบโตของธุรกิจในอนาคต แน่นอนว่าการทำ QE3 และ QE4 จะมีเงินที่อัดฉีดเข้ามาในระบบเพิ่มอีก บวกกับนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ และธนาคารกลางทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ธนาคารกลางญี่ปุ่น ต่างออกมาตรการอัดฉีดเม้ดเงินเข้าระบบ เรียกว่ากระแสเงินใหม่ย่อมต้องหาที่ไป แต่รูปแบบของมันก็ไม่จำเป็นต้องไหลทะลักแบบน้ำป่าไหลหลากเขามาตลาดใดตลาดหนึ่งในทันที หรือ ยากจะเข้าในตลาดทองคำหรือเปล่า ถ้ามีความเสี่ยงสูง กว่าสินค้าเพื่อการลงทุนอื่นๆๆ

 

ดังนั้นการที่จะไปจินตนาการว่า มีมาตการ QE ทั่วโลก ที่ธนาคารใหญ่ๆ ทั่วโลกทำ ราคาทองต้องขึ้นหลายสิบเปอร์เซนต์ จับทองเข้าพอร์ตที่ราคาอะไรก็ได้ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องสนใจมูลค่าที่แท้จริง แพงแค่ไหนยังไงก็รวย มันจึงเป็นการหวังลมๆแล้งๆเกินไป จะนำไปเปรียบเทียบกับเมื่อตอนทำ QE1 QE2 ไม่ได้เพราะตอนนั้นราคาทอง $1850-1920 คิดว่า ถ้ามี QE3 QE4 ราคาทองค้อง 3,500-4,000 เหรียญสหรัฐ

 

มีข้อคิดเบื้องต้นฝากไว้ไม่อยากให้ประมาท ลองคิดง่ายๆครับว่า QE3 / QE4 ที่เขาเรียกขานกันนั้น และมาตรการของประเทศต่างๆในการพิมพ์แบงค์อัดฉีดเงินเข้ามาในระบบ เป็นเงินก้อนใหม่พึ่งพิมพ์ออกมา แน่เหรอ แต่ในข้อเท็จจริงคือ กระแสเงินเก่า ( เงินก้อนเดิม ) ในตลาดทองคำ ที่ถูกเทขายออก จากบรรดากองทุนปั่นราคาฯ ฟาดกำไรพุงปลิ้น โดยออกข่าวมาก่อนจะเทขายว่า คนนั้นซื้อทอง คนนี้เก็บทอง หลังจากนั้น กดราคาทองคำให้ลดลงหรือไม่ เมืี่อเงินถูกไหลออกจาก ทองคำ บัดนี้ ก็ยังไม่ไหลกลับเข้า วี่แววกระแสเงินเก่าก็ยังไม่กลับเข้าตลาด ขาดปัจจัยมาเป็นข้ออ้างสำคัญ

 

ดังนั้นการอ่านข่าว อ่านข้อความใดๆก็ตาม ด้วยถ้อยคำและภาษาที่ปรุงแต่งมา อาจจะทำให้เราเชื่อ ทำให้เคลิ้ม ทำให้จินตนาการไปต่างๆนานา โดยเฉพาะการจินตนาการไปตามที่ใจเราอยากให้เป็น เช่นคนไม่มีทองในพอร์ท พออ่านข่าว QE3 QE4 มาเงินไหลเข้าตลาดทองคำ ก็มักจะมองว่าราคาทองคำต้องขึ้นแน่ อยากซื้อ แพงแค่ไหนก็ซื้อโดยไม่คิดเพราะจินตนาการไปแล้วว่า ยังไงก็ต้องมีเม็ดเงินมาไล่ราคาทองให้สูงขึ้น เป็นแน่แท้ หรือแม้แต่การลดค่า Margin ในการเข้าซื้อ ทองกระดาษ Gold Future นักลงทุนที่ลงทุนประจำก็รู้ดีว่า ความเสี่ยงเป็นฉันใดในทองกระดาษ ยิ่งเข้าซื้อมากในระดับหมดสัญญาฯ เดือนเดียวกัน ความเสี่ยงย่อมตามมา ลด Margin เพื่อให้นักลงทุนได้สัญญาฯ ความเสี่ยงมาถือในพอร์ท มันคุ้มค่า หรือ มันจะคุ้มคลั่ง กันแน่ เพราะหลายๆคน จินตนาการไปว่า เมื่อมีเงินเหลือจากค่า Margin นักลงทุนจะไปเพิ่มสัญญาฯ ใน Gold Future ให้มากขึ้น หุหุ มันก็เป็นแค่การหลอกล่อแมงเม่าหน้่ใหม่ ให่เข้ามาสู่การเก็งกำไร มากยิ่งขึ้น เพราะมองว่า ลงเงินน้อย กำไรเยอะ แต่คนที่อยู่มานานแล้ว และไม่มีการจัดระบบระเบียบการลงทุน ในการกระจายความเสี่ยง เล่นแต่ทองคำอย่างเดียว จะรู้ว่า " มันหนาวสุดขั้ว ขนาดไหน " ในยุคนี้ ปีนี้ 2555 และอาจเริ่มมากขึ้นในปีต่อๆไป

 

ในตลาดซื้อขายเกร็งกำไรทองคำ สิ่งที่เราคิด เราจินตนาการ ตามที่มีคนชักนำให้เห็นอาจจะไม่เป็นตามนั้นเสมอไป เราจำเป็นต้องมีสติ ต้องมีการคิดวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจ โดยเฉพาะการมองบนข้อมูล ข้อเท็จจริงแบบปราศจากการอคติ การจะอยู่รอดในตลาดทองคำจริง ทองคำกระดาษ ได้นั้น สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือ ความพอเพียง ไม่โลภจนขาดสติ ครับ

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:01 ขอบคุณ ขอรับ ป๋า ในวาระใกล้วันขี้นปีใหม่ 2556 ขอให้ ป๋า และครอบครัว มีความสุข คิดสิ่งใด ขอให้สมปรารถนา ทุกประการ อายุยืนนาน ร่างกาย แข็งแรง นะขอรับ

 

nqyv2.jpg

:)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไอ้คิด กับ อีคาด ใครๆก็บอกว่า " นิสัยไม่ดี " ส่วนนังจิน (ตนาการ ) มันล่อลวงให้นักลงทุนเป็น " เงาในภาพ " หรือเปล่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข้อเท็จจริงสำคัญกว่าจินตนาการ ในตลาดเก็งกำไรทองคำ

 

ตั้งแต่ สิ่งที่คนเรียกว่า QE3 ออกมาต้นตุลาคม จนมาถึง QE4 ที่จะเริ่มใช้ต้นปี 2556 โดยธนาคารกลางสหรัฐ ช่วงที่ผ่านมา และ ยิ่งช่วงนี้ จะได้ยินความคิดขายฝันเยอะมากกว่า fundflow ไหลเข้าปั่นราคาทองคำให้สูงขึ้น ระดับ $2,000 ถึง $2,500 ทำ QE เงินเข้าตลาดมากมาย รีบซื้อทองคำ / เงินแท่ง เข้าไว้ยังไงก็กำไร เดี่ยวก็มีคนมาซื้อต่อ ได้ฟังอะไรแบบนี้แล้วต้องคิดตาม ว่ามันจริงไหม ที่รายใหญ่แบบเจ้าของเงินทุนจะปล่อยให้แม่งเม่า หรือ รายย่อยได้กำไรง่ายๆ

 

อนาคตอาจจะมีเงินไหลเข้าปั่นราคาสูงขึ้น จริงหรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้ได้ เพราะจริงๆแล้วการเกร็งในตลาดทองคำเกิดมากในตลาดฟิวเจอร์ ทองกระดาษ Gold Paper ของนักลงทุนขาใหญ่ เขาย่อมพิจารณาในหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องความถูกแพง และการเติบโตของธุรกิจในอนาคต แน่นอนว่าการทำ QE3 และ QE4 จะมีเงินที่อัดฉีดเข้ามาในระบบเพิ่มอีก บวกกับนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ และธนาคารกลางทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ธนาคารกลางญี่ปุ่น ต่างออกมาตรการอัดฉีดเม้ดเงินเข้าระบบ เรียกว่ากระแสเงินใหม่ย่อมต้องหาที่ไป แต่รูปแบบของมันก็ไม่จำเป็นต้องไหลทะลักแบบน้ำป่าไหลหลากเขามาตลาดใดตลาดหนึ่งในทันที หรือ ยากจะเข้าในตลาดทองคำหรือเปล่า ถ้ามีความเสี่ยงสูง กว่าสินค้าเพื่อการลงทุนอื่นๆๆ

 

ดังนั้นการที่จะไปจินตนาการว่า มีมาตการ QE ทั่วโลก ที่ธนาคารใหญ่ๆ ทั่วโลกทำ ราคาทองต้องขึ้นหลายสิบเปอร์เซนต์ จับทองเข้าพอร์ตที่ราคาอะไรก็ได้ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องสนใจมูลค่าที่แท้จริง แพงแค่ไหนยังไงก็รวย มันจึงเป็นการหวังลมๆแล้งๆเกินไป จะนำไปเปรียบเทียบกับเมื่อตอนทำ QE1 QE2 ไม่ได้เพราะตอนนั้นราคาทอง $1850-1920 คิดว่า ถ้ามี QE3 QE4 ราคาทองค้อง 3,500-4,000 เหรียญสหรัฐ

 

มีข้อคิดเบื้องต้นฝากไว้ไม่อยากให้ประมาท ลองคิดง่ายๆครับว่า QE3 / QE4 ที่เขาเรียกขานกันนั้น และมาตรการของประเทศต่างๆในการพิมพ์แบงค์อัดฉีดเงินเข้ามาในระบบ เป็นเงินก้อนใหม่พึ่งพิมพ์ออกมา แน่เหรอ แต่ในข้อเท็จจริงคือ กระแสเงินเก่า ( เงินก้อนเดิม ) ในตลาดทองคำ ที่ถูกเทขายออก จากบรรดากองทุนปั่นราคาฯ ฟาดกำไรพุงปลิ้น โดยออกข่าวมาก่อนจะเทขายว่า คนนั้นซื้อทอง คนนี้เก็บทอง หลังจากนั้น กดราคาทองคำให้ลดลงหรือไม่ เมืี่อเงินถูกไหลออกจาก ทองคำ บัดนี้ ก็ยังไม่ไหลกลับเข้า วี่แววกระแสเงินเก่าก็ยังไม่กลับเข้าตลาด ขาดปัจจัยมาเป็นข้ออ้างสำคัญ

 

ดังนั้นการอ่านข่าว อ่านข้อความใดๆก็ตาม ด้วยถ้อยคำและภาษาที่ปรุงแต่งมา อาจจะทำให้เราเชื่อ ทำให้เคลิ้ม ทำให้จินตนาการไปต่างๆนานา โดยเฉพาะการจินตนาการไปตามที่ใจเราอยากให้เป็น เช่นคนไม่มีทองในพอร์ท พออ่านข่าว QE3 QE4 มาเงินไหลเข้าตลาดทองคำ ก็มักจะมองว่าราคาทองคำต้องขึ้นแน่ อยากซื้อ แพงแค่ไหนก็ซื้อโดยไม่คิดเพราะจินตนาการไปแล้วว่า ยังไงก็ต้องมีเม็ดเงินมาไล่ราคาทองให้สูงขึ้น เป็นแน่แท้ หรือแม้แต่การลดค่า Margin ในการเข้าซื้อ ทองกระดาษ Gold Future นักลงทุนที่ลงทุนประจำก็รู้ดีว่า ความเสี่ยงเป็นฉันใดในทองกระดาษ ยิ่งเข้าซื้อมากในระดับหมดสัญญาฯ เดือนเดียวกัน ความเสี่ยงย่อมตามมา ลด Margin เพื่อให้นักลงทุนได้สัญญาฯ ความเสี่ยงมาถือในพอร์ท มันคุ้มค่า หรือ มันจะคุ้มคลั่ง กันแน่ เพราะหลายๆคน จินตนาการไปว่า เมื่อมีเงินเหลือจากค่า Margin นักลงทุนจะไปเพิ่มสัญญาฯ ใน Gold Future ให้มากขึ้น หุหุ มันก็เป็นแค่การหลอกล่อแมงเม่าหน้่ใหม่ ให่เข้ามาสู่การเก็งกำไร มากยิ่งขึ้น เพราะมองว่า ลงเงินน้อย กำไรเยอะ แต่คนที่อยู่มานานแล้ว และไม่มีการจัดระบบระเบียบการลงทุน ในการกระจายความเสี่ยง เล่นแต่ทองคำอย่างเดียว จะรู้ว่า " มันหนาวสุดขั้ว ขนาดไหน " ในยุคนี้ ปีนี้ 2555 และอาจเริ่มมากขึ้นในปีต่อๆไป

 

ในตลาดซื้อขายเกร็งกำไรทองคำ สิ่งที่เราคิด เราจินตนาการ ตามที่มีคนชักนำให้เห็นอาจจะไม่เป็นตามนั้นเสมอไป เราจำเป็นต้องมีสติ ต้องมีการคิดวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจ โดยเฉพาะการมองบนข้อมูล ข้อเท็จจริงแบบปราศจากการอคติ การจะอยู่รอดในตลาดทองคำจริง ทองคำกระดาษ ได้นั้น สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือ ความพอเพียง ไม่โลภจนขาดสติ ครับ

ข้อเท็จจริงสำคัญกว่าจินตนาการ ในตลาดเก็งกำไรทองคำ

 

ตั้งแต่ สิ่งที่คนเรียกว่า QE3 ออกมาต้นตุลาคม จนมาถึง QE4 ที่จะเริ่มใช้ต้นปี 2556 โดยธนาคารกลางสหรัฐ ช่วงที่ผ่านมา และ ยิ่งช่วงนี้ จะได้ยินความคิดขายฝันเยอะมากกว่า fundflow ไหลเข้าปั่นราคาทองคำให้สูงขึ้น ระดับ $2,000 ถึง $2,500 ทำ QE เงินเข้าตลาดมากมาย รีบซื้อทองคำ / เงินแท่ง เข้าไว้ยังไงก็กำไร เดี่ยวก็มีคนมาซื้อต่อ ได้ฟังอะไรแบบนี้แล้วต้องคิดตาม ว่ามันจริงไหม ที่รายใหญ่แบบเจ้าของเงินทุนจะปล่อยให้แม่งเม่า หรือ รายย่อยได้กำไรง่ายๆ

 

อนาคตอาจจะมีเงินไหลเข้าปั่นราคาสูงขึ้น จริงหรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้ได้ เพราะจริงๆแล้วการเกร็งในตลาดทองคำเกิดมากในตลาดฟิวเจอร์ ทองกระดาษ Gold Paper ของนักลงทุนขาใหญ่ เขาย่อมพิจารณาในหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องความถูกแพง และการเติบโตของธุรกิจในอนาคต แน่นอนว่าการทำ QE3 และ QE4 จะมีเงินที่อัดฉีดเข้ามาในระบบเพิ่มอีก บวกกับนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ และธนาคารกลางทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ธนาคารกลางญี่ปุ่น ต่างออกมาตรการอัดฉีดเม้ดเงินเข้าระบบ เรียกว่ากระแสเงินใหม่ย่อมต้องหาที่ไป แต่รูปแบบของมันก็ไม่จำเป็นต้องไหลทะลักแบบน้ำป่าไหลหลากเขามาตลาดใดตลาดหนึ่งในทันที หรือ ยากจะเข้าในตลาดทองคำหรือเปล่า ถ้ามีความเสี่ยงสูง กว่าสินค้าเพื่อการลงทุนอื่นๆๆ

 

ดังนั้นการที่จะไปจินตนาการว่า มีมาตการ QE ทั่วโลก ที่ธนาคารใหญ่ๆ ทั่วโลกทำ ราคาทองต้องขึ้นหลายสิบเปอร์เซนต์ จับทองเข้าพอร์ตที่ราคาอะไรก็ได้ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องสนใจมูลค่าที่แท้จริง แพงแค่ไหนยังไงก็รวย มันจึงเป็นการหวังลมๆแล้งๆเกินไป จะนำไปเปรียบเทียบกับเมื่อตอนทำ QE1 QE2 ไม่ได้เพราะตอนนั้นราคาทอง $1850-1920 คิดว่า ถ้ามี QE3 QE4 ราคาทองค้อง 3,500-4,000 เหรียญสหรัฐ

 

มีข้อคิดเบื้องต้นฝากไว้ไม่อยากให้ประมาท ลองคิดง่ายๆครับว่า QE3 / QE4 ที่เขาเรียกขานกันนั้น และมาตรการของประเทศต่างๆในการพิมพ์แบงค์อัดฉีดเงินเข้ามาในระบบ เป็นเงินก้อนใหม่พึ่งพิมพ์ออกมา แน่เหรอ แต่ในข้อเท็จจริงคือ กระแสเงินเก่า ( เงินก้อนเดิม ) ในตลาดทองคำ ที่ถูกเทขายออก จากบรรดากองทุนปั่นราคาฯ ฟาดกำไรพุงปลิ้น โดยออกข่าวมาก่อนจะเทขายว่า คนนั้นซื้อทอง คนนี้เก็บทอง หลังจากนั้น กดราคาทองคำให้ลดลงหรือไม่ เมืี่อเงินถูกไหลออกจาก ทองคำ บัดนี้ ก็ยังไม่ไหลกลับเข้า วี่แววกระแสเงินเก่าก็ยังไม่กลับเข้าตลาด ขาดปัจจัยมาเป็นข้ออ้างสำคัญ

 

ดังนั้นการอ่านข่าว อ่านข้อความใดๆก็ตาม ด้วยถ้อยคำและภาษาที่ปรุงแต่งมา อาจจะทำให้เราเชื่อ ทำให้เคลิ้ม ทำให้จินตนาการไปต่างๆนานา โดยเฉพาะการจินตนาการไปตามที่ใจเราอยากให้เป็น เช่นคนไม่มีทองในพอร์ท พออ่านข่าว QE3 QE4 มาเงินไหลเข้าตลาดทองคำ ก็มักจะมองว่าราคาทองคำต้องขึ้นแน่ อยากซื้อ แพงแค่ไหนก็ซื้อโดยไม่คิดเพราะจินตนาการไปแล้วว่า ยังไงก็ต้องมีเม็ดเงินมาไล่ราคาทองให้สูงขึ้น เป็นแน่แท้ หรือแม้แต่การลดค่า Margin ในการเข้าซื้อ ทองกระดาษ Gold Future นักลงทุนที่ลงทุนประจำก็รู้ดีว่า ความเสี่ยงเป็นฉันใดในทองกระดาษ ยิ่งเข้าซื้อมากในระดับหมดสัญญาฯ เดือนเดียวกัน ความเสี่ยงย่อมตามมา ลด Margin เพื่อให้นักลงทุนได้สัญญาฯ ความเสี่ยงมาถือในพอร์ท มันคุ้มค่า หรือ มันจะคุ้มคลั่ง กันแน่ เพราะหลายๆคน จินตนาการไปว่า เมื่อมีเงินเหลือจากค่า Margin นักลงทุนจะไปเพิ่มสัญญาฯ ใน Gold Future ให้มากขึ้น หุหุ มันก็เป็นแค่การหลอกล่อแมงเม่าหน้่ใหม่ ให่เข้ามาสู่การเก็งกำไร มากยิ่งขึ้น เพราะมองว่า ลงเงินน้อย กำไรเยอะ แต่คนที่อยู่มานานแล้ว และไม่มีการจัดระบบระเบียบการลงทุน ในการกระจายความเสี่ยง เล่นแต่ทองคำอย่างเดียว จะรู้ว่า " มันหนาวสุดขั้ว ขนาดไหน " ในยุคนี้ ปีนี้ 2555 และอาจเริ่มมากขึ้นในปีต่อๆไป

 

ในตลาดซื้อขายเกร็งกำไรทองคำ สิ่งที่เราคิด เราจินตนาการ ตามที่มีคนชักนำให้เห็นอาจจะไม่เป็นตามนั้นเสมอไป เราจำเป็นต้องมีสติ ต้องมีการคิดวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจ โดยเฉพาะการมองบนข้อมูล ข้อเท็จจริงแบบปราศจากการอคติ การจะอยู่รอดในตลาดทองคำจริง ทองคำกระดาษ ได้นั้น สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือ ความพอเพียง ไม่โลภจนขาดสติ ครับ

ขอบพระคุณค่ะเป็นข้อคิดที่ดีที่สุดค่ะป๋า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คลังสหรัฐจ่อมาตรการพิเศษขยายเพดานหนี้

ข่าวต่างประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2555 11:06น.

 

รมว.คลัง รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ระบุ หนี้สินรัฐบาลจะเพิ่มขึ้นถึง 16.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในวันที่ 31 ธ.ค. นี้

จำเป็นต้องใช้มาตรการพิเศษบางอย่างเพื่อชะลอเส้นตายชั่วคราว

สำนักข่าวบีบีซี ของอังกฤษ รายงานว่า นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้ยื่นจดหมายต่อผู้นำสภาคองเกรส ว่า ในเร็วๆ นี้ กระทรวงการคลัง จะเริ่มใช้มาตรการพิเศษบางอย่างตามที่กฎหมายระบุไว้ เพื่อเลื่อนกำหนดเส้นตายเป็นการชั่วคราว ไม่ให้สหรัฐฯ ต้องผิดนัดชำระหนี้

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวอาจทำให้สามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้อีกประมาณ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และน่าจะสามารถยืดเวลาให้รัฐบาลได้อีกประมาณ 2 เดือน ในการแก้ปัญหาดังกล่าว

 

อย่างไรก็ดี จากความไม่แน่นอน ด้านนโยบายภาษีและค่าใช้จ่ายปี 2556 ที่ไม่ได้รับการแก้ไข หรือที่เรียกว่าภาวะหน้าผาการคลัง คงไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามาตรการข้างต้นจะใช้ได้ผลนานแค่ไหน

 

ทั้งนี้ หากประธานาธิบดีบารัก โอบามา และสภาคองเกรส ประสบความล้มเหลวในการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลังก่อนสิ้นปีนี้ มาตรการลดการใช้จ่ายและการขึ้นภาษีวงเงินรวม 6 แสนล้านเหรียญ จะมีผลบังคับใช้พร้อมกันโดยอัตโนมัติ ในวันที่ 1 ม.ค. ปีหน้า ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป๋า ถามหน่อยเพิ่มเพดานหนี้ครั้งก่อนราคาทองขึ้นหรือลง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บลจ.กสิกรไทย คาดปี 56 ราคาทองคำวิ่งในกรอบ 1,850-1,900 เหรียญ

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2555 12:55:45 น.

นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ. กสิกรไทย คาดการณ์ราคาเป้าหมายของทองคำในปี 2556 ที่ประมาณ 1,850 — 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และมองว่าในระยะยาวราคาทองคำยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่รัฐบาลในประเทศต่างๆ มีแนวโน้มจะดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางเศรษฐกิจต่อเนื่องผ่านการอัดฉีดเม็ดเงินออกมาโดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ประกอบกับ อัตราดอกเบี้ยที่จะยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้ราคาทองคำจะมีแนวโน้มเป็นบวก แต่อาจมีความผันผวนขึ้นและลงเป็นรอบๆ ตามสภาวะตลาดและทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นอีกโอกาสสำหรับผู้ลงทุนที่จะจับจังหวะซื้อขายทำกำไรได้

 

นายนาวิน กล่าวว่า ความกังวลจากมาตรการ Fiscal Cliff และแรงเทขายทำกำไรเพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในช่วงเทศกาลที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลงไปประมาณ 5% ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมาเป็นเพียงความผันผวนในระยะสั้น เพราะปริมาณการถือครองทองคำในกองทุน ETF ยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงตามไปด้วย ในทางกลับกันพบว่ามีปริมาณทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี ซึ่งสะท้อนชัดถึงมุมมองต่อราคาทองคำในระยะยาวที่เป็นบวก และเชื่อว่าทองคำจะยังคงเป็นสินทรัพย์ที่สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจต่อไปได้

 

"นักลงทุนในกองทุนทองคำอาจได้รับข่าวดีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตลาดเชื่อว่าสภาคองเกรสและพรรครีพับลิกันอาจได้ข้อสรุปร่วมกันหลังปีใหม่ ช่วงต้นปีหน้าจึงอาจเป็นจังหวะที่ผู้ลงทุนจะสามารถเข้าลงทุนเพื่อสะสมโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำได้" นายนาวินกล่าว

 

นอกจากนี้ บลจ. กสิกรไทย เตรียมจ่ายปันผลกองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) ซึ่งเป็นกองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่ 1 กรกฎาคม — 31 ธันวาคม 2555 ประมาณการอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 0.20 บาทต่อหน่วย โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนของกองทุนดังกล่าว ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 2 มกราคม 2556 ประมาณการมูลค่าการจ่ายเงินปันผลจากจำนวนหน่วยลงทุน ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2555 กว่า 300 ล้านบาท

 

อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปราคาซื้อขายทองคำและ Gold Futures ภายในประเทศ ณ วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 09.00 น.

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม 2555 10:24:26 น.

กรุงเทพฯ--27 ธ.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์

ราคาทองคำเปิดตลาดที่ระดับ 1,654 เหรียญ/ออนซ์ และกลับมาปิดช่วงกลางคืนที่ระดับ 1,663 (22.30 น.) เหรียญ/ออนซ์ ค่าเงินบาทปิด 30.64 บาท/ดอลลาร์ ราคาสมาคมเปิดที่ 24,000 บาท กับ 24,100 บาท และกลับมาปิดที่ 24,050 บาท กับ 24,150 บาท ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures 50 บาท

 

 

 

อยู่ที่ 1,781 คู่สัญญา แบบ 10 บาท อยู่ที่ 4,342 คู่สัญญา และ Silver Futures อยู่ที่ 4 คู่สัญญา Open Interest แบบ 50 บาท ลดลง 0.7 % แบบ 10 บาท ลดลง 0.4 % Silver Futures เพิ่มขึ้น 1% GFZ12 ปิด 24,180 บาท และ GFG12 ปิด 24,360 บาท GF10Z12 ปิดที่ 24,190 บาท GF10G12 ปิดที่ 24,360 บาท SVZ12 เมื่อคืนไม่มีการซื้อขาย

 

สัญญา Comex ปิดเพิ่มขึ้น 1.2 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,660.7 ดอลลาร์/ออนซ์ Silver ปิดเพิ่มขึ้น 13.8 เซ็นต์ ที่ระดับ 30.035 ดอลลาร์/ออนซ์ SPDR ถือครองทองคำ 1,350.82 ตัน (คงทองเท่าเดิม) น้ำมัน NYMEX ปิด เพิ่มขึ้น 2.37 เซนต์ ปิดที่ระดับ 90.98 ดอลลาร์/บาร์เรล ดาวโจนส์ลดลง 24.49 จุด ปิดที่13,114.59 จุด

 

Ratio Gold / Silver เท่ากับ 55.3 ต่อ 1

ข่าวที่สำคัญ

Research News Report: Morning News

Bullion Desk, Reuters, Bloomberg และ CNBC

- ตลาดทองคำได้ปรับตัวลดลง หลังจากเพิ่มขึ้นในช่วงที่ปริมาณซื้อขายเบาบาง เนื่องจากตลาดลอนดอนปิดทำการ ขณะที่ยังคงจับตา Fiscal Cliff โดยมีสัญญาณว่าอาจจะมีทางแก้ปัญหาในสภา ซึ่งนายโบห์นเนอร์ได้เร่งให้พรรคเดโมแครตออกมาตรการหรือร่างในการแก้ปัญหา ความพยายามครั้งใหม่ของนายโอบามาที่จะแก้ปัญหา Fiscal Cliff เป็นปัจจัยบวกต่อทองคำเมื่อวานนี้ โดยนายโอบามาจะยกเลิกวันหยุดพักผ่อนที่ฮาวาย โดยจะเดินทางกลับมายังกรุงวอชิงตันในวันพุธนี้ตามเวลาในสหรัฐ เพื่อหาทางแก้ภาวะหน้าผาการคลังกับสภาคองเกรส

 

- ขณะที่ทองคำที่เคยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และได้รับแรงกระตุ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ได้เพิ่มความเป็นสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หากมีแนวทางการแก้ปัญหา Fiscal Cliff นักลงทุนบางคนคาดว่าราคาทองคำจะแกว่งในช่วงปัจจุบันจนถึงสิ้นปี และจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ 30 — 40 เหรียญได้ในทั้ง 2 ทิศทาง

 

- นายยุยจิ อิเคมิสุ ผู้จัดการ Standard Bank สาขาโตเกียวกล่าวว่า เขายังมีมุมมองบวกในตลาด แต่ก่อนจะถึงเริ่มต้นปีหน้า ตลาดอาจจะยังได้รับแรงกดดันจากการปิดสถานะ Long อยู่ และในสัปดาห์นี้ราคาน่าจะอยู่ในช่วง 1,640 — 1,670 เหรียญ

 

ทองคำตลาด Tocom ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเงินเยนอ่อนค่าสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 20 เดือน หลังจากเพิ่มความคาดหวังว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

- ผู้ซื้อขายทองคำกล่าวว่า มีการซื้อทองคำและเครื่องประดับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตามผู้ซื้อขายในสิงคโปร์กล่าวว่า มีการผลิตไม่เพียงพอในช่วงวันหยุดคริสต์มาส แต่ปริมาณการซื้อขายยังเบาบางในอินโดนีเซียและไทย

 

- RBC Capital Markets กล่าวว่า ตอนนี้กองทุนต่างๆได้ปิดสถานะก่อนสิ้นปี เนื่องจากเหตุผลทางภาษีและการเคลื่อนย้ายการลงทุนไปสู่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า

 

- นายไกธ์เนอร์ เลขาธิการกระทรวงการคลัง ได้เตือนถึงความเสี่ยงของสหรัฐในการผิดนัดชำระหนี้และเขาจะใช้ “มาตรการพิเศษ” เพื่อเลื่อนการผิดนัดชำระหนี้ออกไปเป็นช่วงต้นปี 2013 โดยกล่าวว่าหนี้กำลังแตะระดับเพดานหนี้ในวันที่ 31 ธ.ค.เขาจึงจะกำหนดให้มี 2 แสนล้านดอลลาร์สำรองก่อนจะถึงระดับเพดานหนี้ ซึ่งอาจจะพอใช้ได้เกือบ 2 เดือน และเขาได้กระตุ้นให้รัฐสภาเร่งตกลง Fiscal Cliff ด้วย

 

- จากผลสำรวจของ Gallup ในวันที่ 21 — 22 ธ.ค. เผยว่าชาวสหรัฐมากกว่า 2 ใน 3 (66%) ได้สูญเสียความเชื่อมั่นที่นายโอบามาและรัฐสภาจะสามารถตกลงเรื่อง Fiscal Cliff กันได้ ขณะที่ผลสำรวจครั้งก่อนเมื่อวันที่ 15 — 16 ธ.ค.เผยว่า 57% คาดว่าจะตกลงกันได้ และผลสำรวจล่าสุดยังเผยว่า ชาวสหรัฐส่วนใหญ่ (54%) ได้เพิ่มการสนับสนุนแนวคิดของนายโอบามาและพรรคเดโมแครต เพิ่มจากเดิมที่ 48%

 

- International Council of Shopping Centers (ICSC) และโกลด์แมน แซคส์ เผยดัชนียอดขายของห้างค้าปลีกในสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.7% ในรอบสัปดาห์ที่แล้วซึ่งสิ้นสุดวันที่ 22 ธ.ค. เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ถือว่าเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน แต่เมื่อเทียบรายปี อัตราการขยายตัวชะลอลงแตะ 3.2% จากที่ขยายตัว 3.5% ในปีที่แล้ว เพราะในรอบสัปดาห์ดังกล่าวของปีที่แล้วมีวันคริสต์มาสอีฟด้วย

 

- สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ เผยดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวลดลง 0.1% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบกับเดือนก.ย. ส่วนเมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองใหญ่ขยายตัว 4.3% ซึ่งเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ โดยมีแค่ชิคาโกกับนิวยอร์กเท่านั้นที่ดัชนีราคาบ้านลดลงเมื่อเทียบปีต่อปี

 

- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาริชมอนด์ เปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมภาคการผลิตขยายตัวช้าลงสู่ระดับ 5 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 9 ในเดือนพ.ย. แต่ตัวเลขที่อยู่เหนือ 0 หมายความว่ากิจกรรมภาคการผลิตยังมีการขยายตัว

 

- ผลสำรวจโดยสมาคมธนาคารจีนเผยให้เห็นว่า ผู้บริหารธนาคารจีนเชื่อมั่นในแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ โดยคาดว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ปัจจัยขับเคลื่อนการขยายตัวในอนาคตที่สำคัญ จะได้แก่นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการปฏิรูปเชิงระบบ

 

- นายอากิระ อามาริ รัฐมนตรีกระทรวงฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งเป็นกระทรวงที่จัดตั้งขึ้นใหม่ กล่าวหลังจากได้รับการชี้แนะจากนายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่สำนักนายกฯ ในวันนี้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเงินเยนแข็งค่า และภาวะฝืดเคืองเรื้อรังเป็นอันดับแรก นายมอนติจะเสนอผู้ช่วยให้มาเป็นตัวแทนในการเลือกตั้งในเดือนก.พ. เพื่อมาแข่งกับนายเบอลุสโคนี่ที่พยายามจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และนายมอนติได้นัดกับสมาชิกร่วมรัฐบาลในวันนี้เพื่อหารือถึงกลยุทธ์และรายชื่อของตัวแทนในการลงเลือกตั้ง

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่เมื่อคืน

- ไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ

ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้

- Unemployment Claims ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 361K คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ 365K

- CB Consumer Confidence ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 73.7 คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ 70.3

- New Home Sales ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 368K คาดการณ์ว่าจะออกมาที่ 382K

วิเคราะห์ทางเทคนิค

Gold — ราคาทองคำยังเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ 1,655-1,665 เหรียญ โดยที่เมื่อวานมีปริมาณการซื้อขายเบาบาง แต่ราคาสามารถดีดขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,667 เหรียญ โดยประมาณและกลับลงมาใหม่ MTS Gold คาดว่าราคาทองคำยังเคลื่อนตัวในกรอบแคบๆ เพื่อรอข่าว Fiscal Cliff คาดว่าคืนนี้น่าจะมีข่าวบ้าง ในเชิงเทคนิคราคาทองคำมีแนวรับที่ระดับ 1,650 และแนวต้านที่ระดับ 1,670 เหรียญ

 

Gold Futures Z12 จะมีแนวรับที่ระดับ 24,050 บาท และแนวต้านที่ระดับ 24,200 บาท

Gold Futures G13 จะมีแนวรับที่ระดับ 24,250 บาท และแนวต้านที่ระดับ 24,420 บาท

Silver Futures Z12 จะมีแนวรับที่ระดับ 910 บาท และแนวต้านที่ระดับ 940 บาท

คำแนะนำ

สำหรับนักลงทุนเก็งกำไรรายวัน (Swing Trade)

เก็งกำไรในภาวะการแกว่งตัวในกรอบแคบๆ 1,655 — 1,665 เหรียญ

นักลงทุนระยะสั้น 7 — 20 วัน (Weekly Trade)

ยังไม่ทำอะไรรอความชัดเจนทิศทางของตลาด

นักลงทุนระยะยาวทองคำแท่ง

ยังไม่ทำอะไรรอความชัดเจนทิศทางของตลาด

Gold Future series Z จะหมดอายุในวันนี้ แนะนำให้นักลงทุนเปลี่ยน (Roll Over) ไปถือ series G โดยไม่แนะนำให้ซื้อเพิ่มใน Series ZและหาจังหวะปิดSeries Z

 

ประชาสัมพันธ์ : บริษัทMTS Gold จะมีการออกอากาศในรายการ "รู้ก่อนรวยกว่า" ทางช่อง TNN ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 13.00-13.30 น. เริ่มวันอังคารที่ 1 มกราคม 2556 โดยจะพูดถึงสภาพตลาดราคาทองคำอย่างเจาะลึก เพื่อให้ท่านนักลงทุนได้ทราบก่อนใคร

 

บทวิเคราะห์ข้างต้น ยึดหลักตาม Technical Analysis บริษัทไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการวิเคราะห์ข้างต้นและโปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุนด้วยตัวของท่านเอง

 

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป๋า ถามหน่อยเพิ่มเพดานหนี้ครั้งก่อนราคาทองขึ้นหรือลง

ขึ้นจ๊ะเจ้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป๋า ถามหน่อยเพิ่มเพดานหนี้ครั้งก่อนราคาทองขึ้นหรือลง

ในช่วงนั้น คือ ต้นเดือนสิงหาคม ราคาทองขานรับเรื่องราวมาตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม พอความจริงปรากฎ นิ่ง ครับ

 

สหรัฐตกลงเพิ่มเพดานหนี้2.4ล้านล้านรอดผิดนัดชำระหนี้

วอชิงตัน- โลกโล่งอก แกนนำสภาคองเกรสสหรัฐบรรลุข้อตกลงเพิ่มเพดานหนี้ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ช่วยเศรษฐกิจมะกันพ้นวิกฤติผิดนัดจ่ายหนี้

นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แถลงเมื่อวันอาทิตย์ (31 ก.ค) ว่าผู้นำพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน ที่ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรตามลำดับ สามารถบรรลุข้อตกลงการลดขาดดุลงบประมาณ และหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดเงินชำระหนี้ที่จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐอย่างร้ายแรง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...