ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดดีดขึ้น $8.5 หลังภาคบริการสหรัฐอ่อนแอ, วิตกปัญหาในโปรตุเกสและอียิปต์

 

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2556 06:58:32 น.

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมในภาคบริการของสหรัฐชะลอตัวลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ความรุนแรงในอียิปต์ และปัญหาการเมืองในโปรตุเกสด้วย

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้น 8.50 ดอลลาร์ หรือ 0.68% ปิดที่ 1,251.90 ดอลลาร์/ออนซ์

 

 

ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.ปรับขึ้น 39.1 เซนต์ หรือ 2.02% ปิดที่ 19.70 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ย.ดีดขึ้น 3.16 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 3.1745 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 21.00 ดอลลาร์ หรือ 1.54% ปิดที่ 1,346.80 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 3.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 685.70 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาทองคำดีดตัวสูงขึ้น หลังจากที่สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐขยายตัวชะลอลงแตะ 52.2 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 53.7 ในเดือนพ.ค. ซึ่งตัวเลขล่าสุดนับว่าต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้

 

ขณะเดียวกัน ความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาวุ่นวายทางการเมืองในอียิปต์และโปรตุเกสก็ช่วยหนุนตลาดทองคำเช่นกัน

 

ความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรปถูกจุดปะทุขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่มีรายงานว่านายเปาโล ปอร์ตาส รัฐมนตรีต่างประเทศของโปรตุเกสลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันอังคาร เพียงหนึ่งวันหลังจากที่นายวิโต กาสปาร์ รัฐมนตรีคลังเพิ่งลาออกไป โดยนายปอร์ตาสยังเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญของรัฐบาลผสมชุดปัจจุบันของโปรตุเกสด้วย ด้านนายกาสปาร์เป็นผู้ผลักดันแผนการปรับลดงบประมาณของโปรตุเกส ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทำให้โปรตุเกสได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศ

 

การลาออกดังกล่าวจึงสร้างความหวั่นเกรงว่า โปรตุเกสจะไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการขอรับเงินช่วยเหลือ และทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลโปรตุเกสพุ่งสูงขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงขาขึ้นของราคาทองถูกจำกัดอยู่บ้าง เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐบางตัวออกมาดีเกินคาด โดย ADP ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 188,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค. ซึ่งมากสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 160,000 ตำแหน่ง

 

ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 29 มิ.ย. ปรับตัวลดลง 5,000 ราย มาอยู่ที่ 343,000 ราย ซึ่งดีกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้เช่นกัน นับเป็นการส่งสัญญาณว่าตลาดแรงงานสหรัฐกำลังกระเตื้องขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะเป็นไปอย่างช้าๆก็ตาม

 

ทั้งนี้ ตลาดทองคำนิวยอร์กจะปิดทำการซื้อขายในระบบปกติ (Floor-trading) ในวันพฤหัสบดีที่ 4 ก.ค.นี้ เนื่องในวันชาติสหรัฐ ก่อนจะกลับมาซื้อขายอีกครั้งในวันศุกร์

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมในภาคบริการของสหรัฐชะลอตัวลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ความรุนแรงในอียิปต์ และปัญหาการเมืองในโปรตุเกสด้วย

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้น 8.50 ดอลลาร์ หรือ 0.68% ปิดที่ 1,251.90 ดอลลาร์/ออนซ์

ทองปิดบวก$8.5 กังวลปัญหาในโปรตุเกส

news_img_515119_1.jpg

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

ทองปิดบวก 8.5 ดอลลาร์ หรือ 0.68% ปิดที่ 1,251.90 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังภาคบริการสหรัฐอ่อนแอ วิตกปัญหาในโปรตุเกส-อียิปต์

 

ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.ปรับขึ้น 39.1 เซนต์ หรือ 2.02% ปิดที่ 19.70 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ย.ดีดขึ้น 3.16 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 3.1745 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 21.00 ดอลลาร์ หรือ 1.54% ปิดที่ 1,346.80 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 3.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 685.70 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาทองคำดีดตัวสูงขึ้น หลังจากที่สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐขยายตัวชะลอลงแตะ 52.2 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 53.7 ในเดือนพ.ค. ซึ่งตัวเลขล่าสุดนับว่าต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้

 

ขณะเดียวกัน ความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาวุ่นวายทางการเมืองในอียิปต์และโปรตุเกสก็ช่วยหนุนตลาดทองคำเช่นกัน

 

ความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรปถูกจุดปะทุขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่มีรายงานว่านายเปาโล ปอร์ตาส รัฐมนตรีต่างประเทศของโปรตุเกสลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันอังคาร เพียงหนึ่งวันหลังจากที่นายวิโต กาสปาร์ รัฐมนตรีคลังเพิ่งลาออกไป โดยนายปอร์ตาสยังเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญของรัฐบาลผสมชุดปัจจุบันของโปรตุเกสด้วย ด้านนายกาสปาร์เป็นผู้ผลักดันแผนการปรับลดงบประมาณของโปรตุเกส ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทำให้โปรตุเกสได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศ

 

การลาออกดังกล่าวจึงสร้างความหวั่นเกรงว่า โปรตุเกสจะไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการขอรับเงินช่วยเหลือ และทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลโปรตุเกสพุ่งสูงขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงขาขึ้นของทอง' class='anchor-link' target='_blank'>ราคาทองถูกจำกัดอยู่บ้าง เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐบางตัวออกมาดีเกินคาด โดย ADP ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 188,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค. ซึ่งมากสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 160,000 ตำแหน่ง

 

ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 29 มิ.ย. ปรับตัวลดลง 5,000 ราย มาอยู่ที่ 343,000 ราย ซึ่งดีกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้เช่นกัน นับเป็นการส่งสัญญาณว่าตลาดแรงงานสหรัฐกำลังกระเตื้องขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะเป็นไปอย่างช้าๆก็ตาม

 

ทั้งนี้ ตลาดทองคำนิวยอร์กจะปิดทำการซื้อขายในระบบปกติ (Floor-trading) ในวันพฤหัสบดีที่ 4 ก.ค.นี้ เนื่องในวันชาติสหรัฐ ก่อนจะกลับมาซื้อขายอีกครั้งในวันศุกร์

 

http://www.bangkokbiznews.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ADP ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์จ้างงานในสหรัฐอเมริกาประจำเดือนมิถุนายน 2556 โดยระบุว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 188,000 ตำแหน่งเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ บริษัทขนาดเล็กมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 84,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ส่วนบริษัทขนาดกลางจ้างคนเพิ่ม 55,000 ตำแหน่ง และบริษัทขนาดใหญ่จ้างพนักงานเพิ่ม 49,000 ตำแหน่ง ด้านภาคบริการจ้างงานเพิ่มขึ้น 161,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ส่วนภาคโรงงานจ้างงานเพิ่มเพียง 1,000 ตำแหน่ง

ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ (วันที่ 4 กรกฎาคม 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สมาคมนักวิเคราะห์ฯหั่นเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯวันที่ 10 ก.ค.นี้ รับสหรัฐฯชะลอมาตรการคิวอีเร็วกว่าคาด ลุ้นดัชนี 1,400 จุดเอาอยู่หรือไม่ โกลด์แมน แซคส์ ปรับลดแนวโน้มหุ้นเอเชีย จากปัญหาสภาพคล่องหด มองบวกหุ้นไทยคาดไตรมาสแรกปีหน้าดัชนีพุ่ง 17% น้ำประปาไทย ลุยโรดโชว์ญี่ปุ่น

 

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่าสมาคมเตรียมประกาศปรับลดเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ จากเดิมที่ประเมินปีนี้ดัชนีอยู่ที่เฉลี่ย 1,625 จุด ทั้งนี้เนื่องจากหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากกรณีธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาหรือเฟด มีนโยบายลดขนาดของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) เร็วกว่าคาดการณ์ไว้จากเดิม 2 ปี

ดังนั้นนักลงทุนควรติดตามว่าในเดือนกันยายนนี้เฟดจะลดวงเงินคิวอีลงเท่าไร จากปัจจุบันอยู่ที่ 8.5 หมื่นล้านดอลาร์สหรัฐฯต่อเดือน โดยถ้าลดลงไปเหลือ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯก็คาดว่าหุ้นไทยจะไม่กระทบมาก แต่หากมีการชะลอเร็วกว่าที่คาด หรือปรับลดลงเหลือ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ต้องมาพิจารณาว่าดัชนีที่ระดับ 1,400 จุดจะรับไหวหรือไม่

ด้านโกลด์แมน แซคส์ โบรกเกอร์สัญชาติสหรัฐฯ ได้ปรับลดดัชนี MSCI สำหรับภูมิภาคเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ลงสู่ระดับ 480 จากเดิมที่ 550 โดยระบุว่าภูมิภาคเอเชียจะมีการปรับตัวย่ำแย่ในช่วงหลายเดือนข้างหน้า เมื่อพิจารณาถึงภาวะสภาพคล่องที่ตึงตัวขึ้นและการขยายตัวที่อ่อนแรงลง

โกลด์แมน แซค ระบุว่า บรรยากาศด้านเศรษฐกิจมหภาคได้เอื้อประโยชน์น้อยลงต่อหุ้นของภูมิภาคเอเชีย ขณะที่มีกระแสการชะลอมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลให้ภาวะทางการเงินตึงตัวมากขึ้น และแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจจีน

ขณะที่ปัจจุบันนี้ โกลด์แมนด์ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดของเกาหลีใต้ ไทยและสิงคโปร์ ขณะที่ลดสัดส่วนการลงทุนในฮ่องกง ไต้หวัน ออสเตรเลีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ โดยคงน้ำหนักการลงทุนในจีน อินเดียและอินโดนีเซีย ขณะที่มองว่าตลาดหุ้นไทยมีความน่าดึงดูดใจ จากการขยายตัวที่สดใสของประเทศ โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น 17% ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า

ด้านความเคลื่อนไหวการนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียน ล่าสุด บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด(มหาชน)(บมจ.) (TTW) ร่วมโรดโชว์ ในงานไทยแลนด์ คอร์เปอร์เรท เดย์ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)โนมูระพัฒนสินฯ พร้อมเข้าพบนักลงทุนสถาบันญี่ปุ่นขนาดใหญ่ 9 แห่ง

นายสมเกียรติ ปัทมมงคลชัย ผู้บริหารด้านบัญชีและการเงิน TTW กล่าวว่า ประเด็นหลักของการนำเสนอข้อมูล นอกจากจะนำเสนอผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2556 ที่กำไรสุทธิเติบโตกว่า 48% แล้ว บริษัทยังมีแผนการลงทุนในโรงผลิตน้ำแห่งที่ 2 เม็ดเงินลงทุนกว่า 2.1 พันล้านบาท เพื่อแสดงถึงการเติบโตของ TTW ในอนาคต อีกทั้งบริษัทมีงบการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีหนี้สินต่อทุนเพียง 1.25 เท่า นอกจากนี้เป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET50

 

ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ (วันที่ 4-6 กรกฎาคม 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หุ้นมะกัน-ทองคำ-น้ำมันปิดบวก

 

 

04/07/2013 , 07:40

Filed under breakingnews, เศรษฐกิจ

Leave a Comment

 

 

 

%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%993.jpg

เอเอฟพี – ราคาน้ำมันตลาดนิวยอร์กเมื่อวันพุธ ปิดเหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบปีกว่า จากความกังวลสถานการณ์อียิปต์และคลังเชื้อเพลิงสำรองสหรัฐฯ ส่วนทองคำบวกเล็กน้อย หลังสกุลเงินอเมริกาอ่อนค่าลง ขณะที่วอลล์สตรีท ทรงตัว นักลงทุนปรับฐานก่อนหน้าวันหยุด

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 1.64 ดอลลาร์ ปิดที่ 101.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขยับเหนือ 100 ดอลลาร์ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2012 ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.76 ดอลลาร์ ปิดที่ 105.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

วิกฤตการเมืองในอียิปต์ยังเป็นตัวกดดันให้ราคาน้ำม้นดิบดีดตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนมีความกังวลถึงผลกระทบต่อตะวันออกกลาง ด้วยแม้จะไม่ใช่ผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ แต่อียิปต์ก็คือที่ตั้งของเส้นทางลำเลียงน้ำมันสำคัญ อย่างเช่นคลองสุเอซและท่อลำเลียงสุเมด

ราคาน้ำมันวานนี้ยังได้แรงหนุนจากรายงานคลังเชื้อเพลิงสำรองของสหรัฐฯ ที่ระบุว่าในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 28 มิถุนายน คลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศ ลดลง 10.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้ว่าจะลดลงแค่ 2.3 ล้านบาร์เรลหลายเท่า บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในชาติผู้บริโภครายใหญ่ของโลก

ด้านราคาทองคำวานนี้ ปิดบวกราวร้อยละ 1 จากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ด้วยยังอยู่ภายใต้แรงกดดันของข้อมูลทางเศรษฐกิจอันผสมผสานของอเมริกา โดยทองคำตลาดโคเมกซ์ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 8.50 ดอลลาร์ หรือร้อยละ 0.68 ปิดที่ 1,251.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวันพุธขยับขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน นักลงทุนปรับฐานก่อนหน้าวันหยุดในวันพฤหัสบดี และเฝ้ารอข้อมูลภาคแรงงานที่จะเผยแพร่ออกมาในวันศุกร์

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 56.14 จุด (0.38 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 14,988.55 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 10.27 จุด (0.03 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,443.67 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 1.33 จุด (0.08 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,615.41 จุด —ISN 02

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

China Foreign Exchange Trading System (CFETS) รายงานว่า เงินหยวนแข็งค่าขึ้น 0.48% แตะที่ 6.1755 หยวนต่อดอลลาร์

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศของจีนนั้น เงินหยวนได้รับอนุญาตให้ปรับตัวขึ้นหรือลงไม่เกิน 1% จากอัตราค่ากลางของการซื้อขายแต่ละวัน

 

ทั้งนี้ อัตราค่ากลางสกุลเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อิงกับราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ก่อนที่ตลาดจะเปิดทำการซื้อขายในแต่ละวัน

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควทส์ (วันที่ 4 กรกฎาคม 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ถ้า ECB ลดดอกเบี้ยลงในคืนนี้ ค่าเงินยูโรฯ จะอ่อนค่าลง จริงไหม ? จากการที่ประเทศไทยก็ลดดอกเบี้ยนโยบายลง ค่าเงินบาทก็อ่อนค่า + นโยบายเสริมอื่นๆๆ จึงควรเอามาเป็นบรรทัดฐานเฝ้าระวังในคืนนี้ ค่าเกิดขึ้นจริง ดอลล์สหรัฐฯ จะแข็งค่า แต่บางคนก็บอกว่า แบบนี้ ชาวยุโรปก็จะหันมาเก็บทองคำกันนะสิ เพราะยูโร อ่อนค่า 5555 ผมไม่เชื่อหรอกครับ ในข้อนี้ ค่าเงินรึจะสู้ค่าครองชีพ สิ่งสำคัญที่น่าเป็นห่วงมากกว่า แข็งหรืออ่อน หรือ ไร้ค่า คือ ค่าครองขีพ ถ้าเมื่อใด ค่าครองชีพสูง ประชาชนก็โวยวาย รัฐฯ ก็ต้องหาทางแก้ไข ถ้านิ่งเฉย ก็ " ลาออกไป "

 

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้จริงหรือ

 

ชุติมณฑน์ เชาวรัตน์

chutimon@mfcfund.com

ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน

ฝ่ายตราสารหนี้ต่างประเทศ

บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)

 

เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นในทิศทางเดียวกับเงินสกุลเอเชียอื่นๆ ตามกระแสเงินทุนไหลจากสินทรัพย์ที่มีอัตราผลตอบแทนต่ำมาหาสินทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า ภายหลังการประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงปริมาณ (QE3) ของธนาคารกลางของสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือน ก.ย. 2555 เพื่อช่วยเหลือภาคแรงงานและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังซบเซา

 

อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายมาเป็นสกุลเงินที่แข็งค่ามากที่สุดของภูมิภาคเอเชียและแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2540 เป็นต้นมา (นับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 18 เม.ย.2556 ค่าเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าร้อยละ 6 เทียบกับสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งสวนทางกับค่าเงินเอเชียสกุลอื่นๆ เช่น เงินวอนของเกาหลีใต้ ไต้หวันดอลลาร์ สิงคโปร์ดอลลาร์ ที่กลายมาเป็นค่าเงินที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมล้วนแต่เป็นสกุลเงินที่เคยแข็งค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีสาเหตุมาจากการอ่อนค่าของเงินเยน เนื่องจากสกุลเงินต่างๆ ดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับค่าเงินเยนสูง ดังนั้นการอ่อนค่าของเงินเยนจึงทำให้เศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นได้รับผลกระทบจากการเป็นคู่แข่งทางการค้ากับประเทศญี่ปุ่น ใน ขณะที่ประเทศไทยได้ประโยชน์จากการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น ประกอบกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาล รวมทั้งการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตามการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากผู้ส่งออกและภาครัฐฯ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาดูแลเงินบาทให้เกิดเสถียรภาพ ไม่ปล่อยให้ผันผวนเกินไป และดูแลให้ใกล้เคียงกับสกุลเงินในภูมิภาค เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจส่งออก ซึ่งรายได้จากการส่งออกนับเป็นรายได้ส่วนที่สำคัญที่ผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ แต่ดูเหมือนว่าท่าทีของ ธปท. จะสงบนิ่งมากกว่าที่ตลาดคาดในภาวะที่เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว

 

ในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ได้ใช้มาตรการ Capital Flow Management ในการชะลอการไหลเข้าของเงินทุนมากกว่าที่จะใช้วิธีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ได้แก่ กระตุ้นให้ผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าทุน อาทิ พวกเครื่องจักรจากต่างประเทศ ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการนำเข้าสินค้าได้ถูกลง รวมถึงผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากแรงกดดันที่ลดลงของภาวะราคาน้ำมันแพง กระตุ้นให้มีการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ และซื้อกิจการในต่างประเทศ แต่ฝ่ายที่มีความเห็นขัดแย้งเชื่อว่าการเลือกใช้มาตรการ Capital Flow Management ดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะต้านทานการแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้ได้ และกดดันให้ ธปท. ต้องเข้ามาแทรกแซงตลาด และหาทางสกัดเงินทุนไหลเข้าโดยใช้มาตรการที่แรงกว่าที่ใช้อยู่ในขณะนี้เพื่อควบคุมเงินทุนไหลเข้า ซึ่งหนทางหนึ่งคือการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยของไทยและอัตราดอกเบี้ยของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ โดยหวังว่าหากลดส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยลง จะช่วยลดแรงจูงใจของนักลงทุนต่างประเทศที่หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

 

ทั้งนี้มีมุมมองที่เห็นต่างออกไปเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยของไทยและของประเทศพัฒนาแล้วต่อการเคลื่อนย้ายของเงินทุนว่า แม้ว่าส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยอาจมีส่วนทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะกลางและระยะสั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่สำคัญกว่า อันได้แก่ มุมมองต่อความเสี่ยงของนักลงทุน แนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และแนวโน้มความผันผวนของค่าเงินบาท และอีกด้านหนึ่งดอกเบี้ยนโยบาย ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นการออม และควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางอย่างเช่น การก่อหนี้ หรือการขยายสินเชื่อโดยเฉพาะในภาคครัวเรือน ไม่ให้เติบโตอย่างร้อนแรงเกินไป การจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งที่ในสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในปัจุบันมีแนวโน้มเติบโตอยู่ในเกณฑ์ดี จึงควรคิดพิจารณาถึงผลดีและผลเสียอย่างถี่ถ้วน

 

ดังนั้นในความเห็นของผู้เขียน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียว จึงไม่น่าจะใช่วิธีการที่จะรับประกันว่าจะช่วยชะลอการไหลเข้าของเงินทุนในระยะยาวได้ แต่ควรจะใช้มาตรการอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน และควรได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ได้แก่ การใช้มาตรการการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราควบคู่กับมาตรการทางการคลัง เช่น การเร่งรัดการชำระหนี้ต่างประเทศ การกระตุ้นการลงทุนในต่างประเทศ การนำเข้าสินค้า และเครื่องจักรอุปกรณ์สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ รวมถึงการพิจารณาใช้มาตรการควบคุมเงินทุนบางประเภท โดยการเก็บค่าธรรมเนียมเงินทุนไหลเข้าออก เป็นต้น

 

ความคิดเห็นและข้อความต่างๆ ในบทความนี้เป็นทัศนะของผู้เขียนเท่านั้น ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ค่าเงินแข็ง คือ เงินเท่าเดิมสามารถแลกเงินต่างสกุลได้มากขึ้น หรือเงินต่างสกุลเท่าเดิมแลกเงินได้น้อยลง เช่น เดิมถ้านำเงินบาทจำนวน 37 บาทไปแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มา 1 $ ตอนนี้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุล $ ก็คือเราจะใช้เงินบาทในจำนวนที่น้อยกว่า 37 บาทเพื่อไปแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาเท่ากับ 1 $ เป็นต้น

ค่าเงินอ่อน คือ การใช้เงินมากขึ้นในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือได้เงินน้อยลงเมื่อแลกเงินต่างสกุลเท่าเดิม เช่น เดิมถ้านำเงินบาทจำนวน 37 บาทไปแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มา 1 $ ตอนนี้ค่าเงินบาทอ่อนลงเมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุล $ ก็คือเราจะใช้เงินบาทในจำนวนที่มากกว่า 37 บาทเพื่อไปแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาเท่ากับ 1 $ เป็นต้น

 

 

 

ปัจจัยที่ทำให้เงินอ่อนลง

ค่าเงินบาทอ่อนลง เกิดได้ในกรณีที่ไทยต้องการนำเข้ามาก ๆ เช่น ต้องการนำเข้าน้ำมัน หรือกรณีการนำเข้าวัตถุดิบหรือเครื่องจักรจากต่างประเทศ ดังนั้น ในกรณีนี้ ก็จะต้องมีการนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อที่จะได้เอาเงินไปจ่ายต่างประเทศ ความต้องการในเงินตราสกุลต่างประเทศก็จะสูงขึ้น กลไกตลาดก็จะทำให้ค่าของเงินบาทอ่อนลง เป็นต้น แม้กระทั่งหากนักเก็งกำไรมีความรู้สึกว่าค่าเงินบาทน่าจะอ่อนกว่าที่เป็นอยู่ จึงต้องการที่จะถือเงินบาทน้อยลง และหากนักเก็งกำไรทุก ๆ คน คิดและทำเหมือนกันหมด ก็จะมีส่วนทำให้ค่าเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงได้เช่นกัน

 

 

 

ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

1. การส่งออกที่ขยายตัวดีเกินคาด กล่าวคือการส่งออกปีนี้ยังขยายตัวได้ในอัตราสูงเกือบ 17% ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา และตัวเลขล่าสุดคือเดือนกันยายนนั้น การส่งออกขยายตัวสูงถึง 15% ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว โดยได้เคยมีการคาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยในครึ่งหลังของปีนี้น่าจะขยายตัวไม่เกิน 10% เมื่อการส่งออกขยายตัวดีเกินคาดไปประมาณ 5-6% ก็หมายความว่าประเทศไทยมีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ เพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 1,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากพอที่จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

2. การนำเข้าที่ขยายตัวต่ำกว่าคาด คือแทนที่การนำเข้าจะขยายตัวประมาณ 15-20% ในปีนี้ การนำเข้าขยายตัวเพียง 5-10% เท่านั้น ส่วนต่างดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าการใช้เงินตราต่างประเทศของไทยต่ำกว่า "เป้า" เดือนละ 1,000-1,500 ล้านดอลลาร์ สาเหตุที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการนำเข้าจะขยายตัวมากก็สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะอยู่ระดับสูง แต่ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมากลับปรับลดลงถึง 25%

3.ดุลบริการที่เกินดุล การท่องเที่ยวของไทยในปีนี้โดยรวมนั้นเป็นไปด้วยดี ทำให้มูลค่าการเกินดุลบริการนั้นมีความต่อเนื่อง และการเกินดุลบริการนั้นมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนถึง 300-400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ประเทศไทย เกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 ไตรมาสติดต่อกันแล้ว

4. เงินทุนไหลเข้าประเทศสุทธิ ติดต่อกันมาเกือบ 10 ไตรมาส (หรือ 2 ปีครึ่ง) แล้ว ซึ่งการไหลเข้าสุทธินั้นอยู่ในระดับเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งผมเชื่อว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาประเทศไทยนั้น ก็คืออัตราดอกเบี้ยของไทยที่อยู่ที่ระดับสูงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงอย่างมากในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา คือเมื่อกลางปีเงินเฟ้อสูงกว่า 6% แต่ในเดือนกันยายนนั้นลดลงเหลือต่ำกว่า 3%

5. ธนาคารแห่งประเทศไทยยังเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันมิให้เงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไป เห็นได้จากการที่ประเทศไทยมีทุนสำรองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้าไปแทรกแซงโดยการขายเงินบาทเข้าไปในตลาดเพื่อซื้อเงินดอลลาร์มากักตุนเอาไว้ ทั้งนี้ การขายบาทย่อมจะทำให้ปริมาณบาทในระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงนั่นเอง แต่การเข้าไปแทรกแซงดังกล่าวย่อมทำให้เชื่อได้ว่าหากธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เข้าไปแทรกแซงเงินบาทจะแข็งค่ามากขึ้นไปอีก จึงทำให้เกิดความต้องการที่จะเก็งกำไรค่าเงินบาท

ผลกระทบ

การที่ค่าเงินอ่อนค่าลง จะเป็นตัวกระตุ้นการส่งออกที่ซบเซาให้กระเตื้องขึ้น แต่โดยทางทฤษฎีค่าเงินบาทอ่อนลง จะทำให้สินค้าไทยราคาถูกลง ขายได้มากขึ้น ทำให้รายได้เข้าประเทศมากขึ้นตาม

ส่วนการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น จะช่วยลดความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งช่วยให้รักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทางการจะต้องดูแลคือ การป้องกันมิให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้เกิดการเก็งกำไรทั้งในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและในตลาดทุน

ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า

1. ลดดอกเบี้ยลงสัก 1.0 ถึง 1.5 เปอร์เซ็นต์ โดยการลดดอกเบี้ยนโยบายและควรจะลดทีเดียวไม่ควรจะลดทีละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ เพราะการค่อยๆ ลดจะทำให้ไม่เกิดผล และเกิดการคาดการณ์ต่อไปและต้องใช้เวลานานกว่าจะถึงอัตราเป้าหมาย เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว

2. พร้อมๆ กับการลดดอกเบี้ย ทางการก็เข้าแทรกแซงตลาด และต้องทำให้พอจนเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ถ้าทำครึ่งๆ กลางๆ เงินบาทแข็งต่อไป ธปท.ก็จะขาดทุน ถ้าทำจนบาทอ่อนตัวลงได้ ธปท.ก็จะกำไร ถ้าอ่อนตัวลงได้ถึง 38 บาทต่อดอลลาร์ ก็จะล้างขาดทุนเก่าออกได้หมด

3. การออกพันธบัตร เมื่อออกมาแทรกแซงตลาด เงินบาทในตลาดก็จะเพิ่มขึ้นมากเกิน ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ดูดซับเงินบาทกลับไปโดย ถ้าดอกเบี้ยเงินบาทต่ำ กว่าดอกเบี้ยดอลลาร์ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ไม่ขาดทุน ดอกเบี้ยเท่ากัน ธนาคารแห่งประเทศไทยเปลี่ยนดอลลาร์ในทุนสำรองเป็นพันธบัตรซึ่งตลาดยังรับได้ แล้วถ้าตลาดพันธบัตรเกิดขึ้นได้ ก็จะเป็นผลดีกับการพัฒนาการลงทุนอีกโสตหนึ่งด้วยการลดดอกเบี้ยอย่างแรงคงจะทำให้ราคาพันธบัตรในท้องตลาดที่มีอยู่แล้วขึ้นราคา แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงการดำเนินการดังกล่าวไม่น่าจะพาบ้านเมืองเข้าไปเสี่ยงกับอะไร เพราะเป็นการซื้อดอลลาร์ เอามาเก็บไว้ ทำให้ทุนสำรองเพิ่ม

4. จัดการบริหารหนี้ต่างประเทศของภาครัฐ อันได้แก่หนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ โดยออกพันธบัตรเอาเงินบาท ใช้เงินบาทซื้อเงินดอลลาร์แล้วไปใช้หนี้คืนก่อนกำหนดอย่างน้อยสักครึ่งหนึ่ง

5. ในส่วนของเอกชน ถ้าผ่อนคลายกฎของ ธปท.ที่จะทำให้ภาคเอกชนสามารถยืมเงินบาทจากธนาคารพาณิชย์ไปใช้คืนหนี้ดอลลาร์ได้ เพราะหนี้เงินต่างประเทศเป็นหนี้ของเอกชนเสียตั้งกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ถ้า ธปท.ผ่อนคลายได้ เอกชนคงรีบเปลี่ยนหนี้ดอลลาร์มาเป็นหนี้เงินบาทแทน เพราะจะได้กำไร เพราะตอนได้มาเงินบาทมีราคากว่า 40 บาทต่อเหรียญ ถ้าคืนหนี้ตอนนี้เงินบาทมีราคา 33 บาทต่อเหรียญ เป็นการช่วยธุรกิจเอกชนด้วย ส่วนธนาคารพาณิชย์ให้สามารถปล่อยเงินที่เหลือกองอยู่ในธนาคารด้วย เพราะ สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขณะนี้มีอยู่เพียง 85 เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินฝากเท่านั้น ที่เอกชนถูกบังคับให้ไปกู้ต่างประเทศ เพราะกฎ ธปท.ที่ให้นับสินเชื่อของบริษัทในกลุ่มเดียวกันเป็นสินเชื่อที่ต้องจำกัดปริมาณเพื่อความมั่นคงของธนาคาร ให้สินเชื่อไม่กระจุกตัวในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากจนเกินไป

6. สุดท้ายเร่งโครงการพัฒนาต่างๆ ให้เร็วขึ้น โดยใช้เงินกู้เป็นเงินบาทในประเทศให้มากขึ้น แม้จะไม่เกิดผลทันที แต่ก็น่าจะมีผลทางจิตวิทยาว่า ประเทศยังต้องใช้เงินดอลลาร์อย่างมาก ที่สำคัญนโยบายให้คนไทยเก็บเงินดอลลาร์ได้ ให้เอาเงินออกไปซื้อหุ้นเมืองนอกได้ ไม่ควรทำตอนนี้ ไม่มีผล เพราะผู้คนกำลังคาดการณ์ว่า เงินบาทกำลังจะแข็งต่อไป มีแต่คนอยากเก็บเงินบาท จะมีผลก็ตอนที่คนคาดว่าเงินบาทจะอ่อน คนก็จะเปลี่ยนเงินบาทเป็นดอลลาร์ ถึงตอนนั้นก็จะกลายเป็นปัญหาอีก ต้องสั่งยกเลิกอีก กลายเป็นตัวทำให้บาทไม่มีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต ถึงตอนสถานการณ์พลิกกลับอาจจะมีปัญหาได้

 

สรุปเกี่ยวกับค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง

 

 

 

อ้างอิง :http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/เงินบาทแข็งค่า

http://nanasarathai.brinkster.net/030709/bath.htm

http://ba.bu.ac.th/ejournal/FI/FI9/FI9.htm

ผู้จัดทำ

เขียนโดย sakikung ที่ 19:16 ไม่มีความคิดเห็น:

ส่งอีเมลข้อมูลนี้

BlogThis!

แบ่งปันไปที่ Twitterhttp://moneyvaluehistory.blogspot.com/

แบ่งปันไปที่ Facebook

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีตอนเช้าครับป๋า เช้านี้ลุ้นราคากันใหม่

 

เมื่อคืนไม่ลงอย่างที่หวัง ( ไว้ลึก ๆ )

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุมร้านทองป้องกัน​เอา​เปรียบ

ข่าวทั่ว​ไป หนังสือพิมพ์​ไทย​โพสต์ -- พฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2556 00:00:12 น.

 

วันที่ 3 กรกฎาคม นายกฤติพงษ์ คง​แข็ง รอง​ผู้ว่าราช​การ จ.นครศรีธรรมราช นำคณะลงพื้นที่ตรวจสอบร้านจำหน่ายทองรูปพรรณ​ใน​เขต​เทศบาลนครนครศรีธรรมราช จำนวน 10 ​แห่ง ว่ามี​การ​เอา​เปรียบ​ผู้บริ​โภค​หรือ​ไม่ ​เนื่องจาก​ในรอบหลาย​เดือนที่ผ่านมาราคาทองคำผันผวน ​จึงต้อง​เข้า​ไปดู​แลอย่างต่อ​เนื่อง ​ทั้ง​เชิญ​ผู้ประกอบ​การร้านทอง​เข้าพบ​เพื่อ​ให้น​โยบาย ว่า​ทำอย่าง​ไร​เพื่อ​ให้ประชาชน​หรือ​ผู้บริ​โภค​ได้รับ​ความ​เป็นธรรม ​และต้องดำ​เนิน​การ​ให้ถูกต้อง อย่าง​ไร​ก็ตาม ​แม้ราคาทองคำจะอยู่ที่บาทละ 18,450 บาท ​ซึ่งนับว่าถูกลง ​แต่​ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช​ก็​ไม่คึกคัก มีประชาชน​เข้ามาซื้อทองคำกันจำนวนน้อยมาก

 

http://www.ryt9.com/s/tpd/1685247

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นายเทิศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าดัชนีจะมีความผันผวนและแกว่งตัวในกรอบแคบ ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นในยุโรปเป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องการลาออกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของโปรตุเกส ทำให้นักลงทุนมีความกังวล เนื่องจากภายหลังการลาออกของทั้ง 2 รัฐมนตรี ทำให้ Bond Yeild ของโปรตุเกสเพิ่มสูงขึ้น ส่งสัญญาณว่ารัฐบาลโปรตุเกสอาจต้องมีการใช้มาตรการรัดเข็มขัดเพิ่มขึ้น

 

ส่วนปัจจัยที่หนุนตลาดในวันนี้เป็นเรื่องของการขานรับการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทวิจัยในสหรัฐฯที่คาดว่าสหรัฐฯมีแนวโน้มจ้างงานสูงขึ้น ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียช่วงเช้ามีตลาดที่ดัชนีเป็นบวกและเป็นลบคละกัน

 

พร้อมให้แนวต้าน 1,450 จุด แนวรับ 1,420 จุด

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควทส์ (วันที่ 4 กรกฎาคม 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สมัยก่อนมีเพลง สาวอีสานรอรัก แต่ยุค 2013 นี้ ชาวอีสาน รอซื้อทองครับ

 

57e5acg78dd9defj9fbif.jpg

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม 2556

 

 

ชาวอีสานรอซื้อทองบาทละ1.5หมื่น

โพลล์ เผยชาวอีสานกว่า 50% รอซื้อทองเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลังหากทองลงต่อ เหลือราคาบาทละ 1.5 - 1.6 หมื่น ขณะที่เยาวชน 99.3% รับความรู้-ข่าวสารเรื่องเออีซี

 

3 ก.ค. 56 อีสานโพล เผยผลสำรวจเรื่อง "ความต้องการซื้อทองคำของชาวอีสาน ช่วงราคาทองขาลง" ผลสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างชาวอีสานส่วนใหญ่มีทองคำเก็บไว้ และกว่าครึ่งต้องการซื้อเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลังหากทองลงต่อ ช่วงราคาบาทละ 15,000-16,000 คือช่วงที่คนอีสานจะแห่ซื้อเก็บ

 

นายสุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล (E-Saan Poll) ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า การสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกี่ยวกับความต้องการซื้อทองคำช่วงราคาทองคำเป็นขาลง โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 29-30 มิ.ย. 2556 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,205 ราย ในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ หนองคาย ชัยภูมิ เลย อุบลราชธานี อุดรธานี นครพนม หนองบัวลำภู สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สกลนคร มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ และบึงกาฬ โดยอีสานโพลได้สอบถามความเห็นชาวอีสานว่า มีทองคำเป็นเครื่องประดับหรือมีเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวหรือไม่ พบว่ากลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 63.4 มีทองคำไว้เป็นสมบัติส่วนตัว อีกร้อยละ 36.6 ไม่มี นอกจากนี้กว่าร้อยละ 53.3 ของกลุ่มตัวอย่างมีความต้องการซื้อทองคำเก็บไว้ในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนอีกร้อยละ 46.7 ยังไม่มีความต้องการซื้อทองคำเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง

 

จากการสอบถามราคาทองที่คนอีสานต้องการและเต็มใจซื้อไว้ในช่วงครึ่งปีหลัง และนำมาสร้างเป็นเส้นอุปสงค์ทำให้พบว่า ถ้าทองแท่งบาทละ 19,000 บาท จะมีคนอีสาน 18 ปีขึ้นไป ต้องการซื้อทองเก็บไว้เพียง 1.1% ณ ระดับราคา 18,000 จะมีคนซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 4.2% ณ ระดับราคา 17,000 จะมีคนซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 10.5% ณ ระดับราคา 16,000 จะมีคนซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 16.5% และเมื่อระดับราคาอยู่ที่ 15,000 จะมีคนซื้อถึง 33.6% ซึ่งถือว่าเป็นช่วงราคาที่คนจะแห่เข้าซื้อทองเก็บไว้เป็นจำนวนมาก และคนอีสานกว่า 40% จะเข้าซื้อทองเก็บไว้เมื่อราคาร่วงต่ำถึงบาทละ 13,000 บาท

 

ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง มีความเชื่อมั่นในการพยากรณ์ 99.99% และคลาดเคลื่อนได้บวกลบ 5.6% ประกอบด้วย เพศหญิง ร้อยละ 52.8 เพศชาย ร้อยละ 47.2 ส่วนใหญ่อายุ 46-60 ปี ร้อยละ 32.6 รองลงมาอายุ 36-45 ปี ร้อยละ 30.8, 26-35 ปี ร้อยละ 16.5, อายุ 18-25 ปี ร้อยล 13.3, และอายุมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 6.8 โดยอาศัยอยู่ในเขตเทศบาล (เขตเมือง) ร้อยละ 35.0 และอยู่นอกเขตเทศบาล (เขตชนบท) ร้อยละ 65.0 ส่วนระดับการศึกษาของผู้ตอบส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถมศึกษา/ต่ำกว่า ร้อยละ 30.4, ปริญญาตรี ร้อยละ 24.3, มัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. ร้อยละ 20.0, มัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 14.9, อนุปริญญา /ปวส. ร้อยละ 5.9, ปริญญาโทและเอก ร้อยละ 4.5

 

ด้านอาชีพส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 39.8 รองลงมาอาชีพรับราชการ/รัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 14.4, รับจ้างทั่วไป/ใช้แรงงาน ร้อยละ 12.9, นักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 9.3, ค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 8.9, พนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 8.8, อาชีพ พ่อบ้าน/แม่บ้าน ร้อยละ 5.6 อื่นๆ 0.8 และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนส่วนใหญ่รายได้อยู่ที่ 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 34.9 รองลงมารายได้ 10,001-15,000 บาทร้อยละ 24.3 รายได้ไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 18.1 รายได้ 20,001-40,000 บาท ร้อยละ 10.8 รายได้ 15,001-20,000 บาท ร้อยละ 8.5 และ 40,001 บาทขึ้นไป ร้อยละ 3.4

 

"จากผลสำรวจจะเห็นว่า ทองคำเป็นทรัพย์สินที่คนส่วนใหญ่นิยมมีไว้ครอบครอง ไม่ว่าจะซื้อเก็บเป็นสมบัติหรือนำมาใส่เป็นเครื่องประดับ และขณะที่ราคาทองคำมีทิศทางที่เป็นขาลง ผลสำรวจพบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างต้องการซื้อทองคำเก็บไว้หากได้ราคาที่เหมาะสม โดยช่วงราคาบาทละ 15,000-16,000 คือช่วงที่คนอีสานจะแห่ซื้อทองเก็บไว้อย่างมีนัยสำคัญ ในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าช่วงราคาดังกล่าว เป็นช่วงที่มีความยืดหยุ่นอุปสงค์ต่อราคาสูง อย่างไรก็ตามการลงทุนในทองคำช่วงนี้มีความผันผวนค่อนข้างมาก หากซื้อเพื่อเก็งกำไรจึงต้องระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้การที่ราคาทองจะลงลึกไปถึงบาทละ 15,000 ก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนในการผลิตทองคำแท่งของเหมืองทองหลายๆ แห่งจะอยู่ที่ประมาณบาทละ 16,000-17,500 (1,100-1,200 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์) ดังนั้นหากทองราคาต่ำกว่าบาทละ 16,000 จะทำให้อุปทานของทองคำเกิดภาวะหดตัวและในที่สุดจะผลักดันให้ราคาทองคำยืนเหนือสูงกว่าบาทละ 16,000 ดังนั้นถ้าใครรอซื้อทองคำที่ต่ำกว่าบาทละ 15,000 อาจต้องรอเก้อ"

 

แม่โจ้โพลล์ เผยเยาวชน 99.3% รับความรู้ ข่าวสารเรื่องเออีซี

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและพยากรณ์ทางการเกษตร (แม่โจ้โพลล์) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้สำรวจความคิดเห็นของเยาวชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,181 รายทั่วประเทศ ในหัวข้อ “เยาวชนไทยกับ AEC” ผลจากการสำรวจความคิดเห็นในประเด็น การรับรู้ข้อมูลของเยาวชนเกี่ยวกับการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 พบว่า เยาวชน ร้อยละ 97.9 ทราบว่าจะมีการรวมกลุ่มเข้าสู่ AEC 2558 มีเพียงร้อยละ 2.1 เท่านั้นที่ยังไม่ทราบ เมื่อสอบถามการได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการรวมกลุ่ม AEC ในปี 2558 พบว่า เยาวชนร้อยละ 99.3 ได้รับความรู้ ข่าวสาร ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งมีระดับการรับรู้ (มากที่สุด , มาก , ปานกลาง ,น้อย , น้อยที่สุด) อันดับที่ 1 ร้อยละ 59.9 ทราบวัตถุประสงค์ของการรวมกลุ่ม AEC อยู่ในระดับ ปานกลาง อันดับที่ 2 ร้อยละ 22.0 ทราบรายละเอียดของการรวมกลุ่ม AEC อยู่ในระดับ มาก อันดับที่ 3 ร้อยละ 9.8 ทราบจำนวนและรายชื่อประเทศที่จะรวมกลุ่ม AEC อยู่ในระดับน้อย อันดับที่ 4 ร้อยละ 5.4 ทราบข้อดีและผลกระทบต่างๆที่จะเกิดขึ้นหลังเกิดการรวมกลุ่ม AEC อยู่ในระดับมากที่สุด และ อันดับที่ 5 ร้อยละ 2.8 ทราบว่าจะมีการรวมกลุ่ม AEC ในปี 2558 อยู่ในระดับ น้อยที่สุด ส่วนร้อยละ 0.7 ยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารใดๆ เลย

 

นอกจากนี้เมื่อสอบถามความเพียงพอต่อการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรวมกลุ่ม AEC ในเชิงลึกนั้น พบว่า เยาวชน ร้อยละ 60.8 เห็นว่ายังได้รับข้อมูลไม่เพียงพอ ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น มีเพียงร้อยละ 39.2 ที่เห็นว่าได้รับข้อมูลเพียงพอแล้ว และจากการสอบถามถึง การเตรียมตัวและความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่ AEC ในปี 2558 ที่จะส่งผลกระทบต่อเยาวชน พบว่า อันดับที่ 1 ร้อยละ 81.6 มีการเตรียมตัวให้เข้าใจและทราบวัตถุประสงค์จำนวนสมาชิกที่เข้ารวมกลุ่ม AEC อันดับที่ 2 ร้อยละ 68.9 ทราบถึงช่วงเวลาที่จะมีการปรับเปลี่ยนช่วงเวลา เปิด - ปิดภาคเรียนให้สอดคล้องกับ AEC อันดับที่ 3 ร้อยละ 62.9 ศึกษาผลดีและผลกระทบต่างๆหลังเกิดการรวมกลุ่ม AEC แล้ว และอันดับที่ 4 ร้อยละ 45.0 เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของประเทศต่างๆที่เข้าร่วมประชุม

 

ผศ.ดร.สุรชัย กังวล ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและพยากรณ์ทางการเกษตร (แม่โจ้โพลล์) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า จากการที่แม่โจ้โพลล์ ได้สำรวจความคิดเห็นของเยาวชนต่อการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ AEC พบว่าเยาวชนไทยส่วนใหญ่ทราบข้อมูลต่างๆ เป็นอย่างดี เนื่องจากหน่วยงานการศึกษาได้ให้ความรู้สอดแทรกกับการเรียนการสอน

 

อย่างไรก็ตามต้องมีการให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง เพราะในภาคการศึกษาของไทยยังต้องมีการปรับเปลี่ยนเมื่อเข้าสู่ AEC ทั้ง การปรับเปลี่ยนช่วงเวลา เปิด-ปิด ภาคเรียน การรับนักศึกษาในกลุ่มประเทศ AEC เข้ามาเรียนในสถาบันการศึกษา รวมถึงการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมทางการศึกษาและอีกสิ่งที่สำคัญ คือ ด้านภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร เพราะผลวิจัยของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่าประเทศไทยยังมีการใช้ภาษาอังกฤษที่ด้อย เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศใน AEC ดังนั้นจึงต้องเพิ่มทักษะทางด้านภาษาในทุกระดับ เพื่อสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันและให้ประเทศไทยพร้อมในการเข้าสู่ AEC ใน 2558

 

http://www.komchadluek.net/

 

ชาวอีสานนิยมซื้อทองเก็บเป็นสมบัติ ชี้หากราคาแตะ 15,000-16,000 บาทจะแห่ซื้อเพิ่ม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 กรกฎาคม 2556 10:27 น.

 

556000008471501.JPEG

 

ศูนย์ข่าวขอนแก่น - อีสานโพลเผยผลสำรวจเรื่อง “ความต้องการซื้อทองคำของชาวอีสาน ช่วงราคาทองขาลง” พบว่า กลุ่มตัวอย่างชาวอีสานส่วนใหญ่ต้องการมีทองคำเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว และกว่าครึ่งต้องการซื้อเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลังหากราคาทองยังลงต่อ ช่วงราคาบาทละ 15,000-16,000 บาทคือช่วงที่คนอีสานจะแห่ซื้อเก็บ

 

วันนี้ (3 ก.ค.) ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจความต้องการซื้อทองคำของชาวอีสานช่วงราคาทองขาลง ซึ่งทำการสำรวจระหว่างวันที่ 29-30 มิ.ย. 56 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,205 ราย ในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัดภาคอีสาน โดยกลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 63.4 ระบุว่าซื้อทองคำไว้เป็นสมบัติส่วนตัว และร้อยละ 53.3 ของกลุ่มตัวอย่างมีความต้องการซื้อทองคำเก็บไว้ในช่วงครึ่งปีหลัง

 

จากการสอบถามราคาทองที่คนอีสานต้องการและเต็มใจซื้อไว้ในช่วงครึ่งปีหลังนั้นพบว่า ถ้าทองแท่งบาทละ 19,000 บาทจะมีคนอีสานอายุ 18 ปีขึ้นไปต้องการซื้อทองเก็บไว้เพียง 1.1% ณ ระดับราคา 18,000 บาทจะมีคนซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 4.2% ณ ระดับราคา 17,000 บาทจะมีคนซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 10.5% ณ ระดับราคา 16,000 บาทจะมีคนซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 16.5%

 

และเมื่อระดับราคาอยู่ที่ 15,000 บาทจะมีคนซื้อถึง 33.6% ซึ่งถือว่าเป็นช่วงราคาที่คนจะแห่เข้าซื้อทองเก็บไว้เป็นจำนวนมาก และคนอีสานกว่า 40% จะเข้าซื้อทองเก็บไว้เมื่อราคาร่วงต่ำถึงบาทละ 13,000 บาท

 

ดร.สุทินระบุว่า จากผลสำรวจจะเห็นว่าทองคำเป็นทรัพย์สินที่คนส่วนใหญ่นิยมมีไว้ครอบครอง ไม่ว่าจะซื้อเก็บเป็นสมบัติหรือนำมาใส่เป็นเครื่องประดับ และขณะที่ราคาทองคำมีทิศทางที่เป็นขาลง ผลสำรวจพบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างต้องการซื้อทองคำเก็บไว้หากได้ราคาที่เหมาะสม โดยช่วงราคาบาทละ 15,000-16,000 บาท คือช่วงที่คนอีสานจะแห่ซื้อทองเก็บไว้อย่างมีนัยสำคัญ ในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าช่วงราคาดังกล่าวเป็นช่วงที่มีความยืดหยุ่นอุปสงค์ต่อราคาสูง

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำช่วงนี้มีความผันผวนค่อนข้างมาก หากซื้อเพื่อเก็งกำไรจึงต้องระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้ การที่ราคาทองจะลงลึกไปถึงบาทละ 15,000 บาทก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนในการผลิตทองคำแท่งของเหมืองทองหลายๆ แห่งจะอยู่ที่ประมาณบาทละ 16,000-17,500 บาท (1,100-1,200 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์)

 

ดังนั้น หากทองราคาต่ำกว่าบาทละ 16,000 บาทจะทำให้อุปทานของทองคำเกิดภาวะหดตัว และในที่สุดมันจะผลักดันให้ราคาทองคำยืนเหนือสูงกว่าบาทละ 16,000 บาท ดังนั้นถ้าใครรอซื้อทองคำที่ต่ำกว่าบาทละ 15,000 บาทอาจต้องรอเก้อ

 

http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000080728

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่บวกขึ้นเช้านี้ ขานรับข้อมูลแรงงานสหรัฐ

 

 

ตลาดหุ้นเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นเช้านี้ หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

ดัชนี MSCI Asia Pacific ไม่รวมญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 0.4% แตะ 422.23 จุด เมื่อเวลา 10.10 น.ตามเวลาโตเกียว

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 13,970.27 จุด ลดลง 85.29 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 1,982.87 จุด ลดลง 11.40 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 20,334.94 จุด เพิ่มขึ้น 187.63 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 7,919.26 จุด เพิ่มขึ้น 7.84 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,830.49 จุด เพิ่มขึ้น 5.83 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,141.41 จุด เพิ่มขึ้น 11.92 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,480.90 จุด เพิ่มขึ้น 0.78 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,768.82 จุด ลดลง 0.39 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,756.00 จุด เพิ่มขึ้น 11.90 จุด

หุ้นวู้ดไซด์ ปิโตรเลียม ผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่อันดับ 2 ของออสเตรเลีย บวกขึ้น 2.3% ขณะที่หุ้นเดนท์สุ อิงค์ บริษัทโฆษณาสัญชาติญี่ปุ่น ร่วงลง 10%

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นขานรับข้อมูลแรงงานสหรัฐ โดยเมื่อคืนนี้ ADP ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 188,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค. ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์

ขณะเดียวกันกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 29 มิ.ย. ปรับตัวลดลง 5,000 ราย มาอยู่ที่ 343,000 ราย ส่งสัญญาณว่าตลาดแรงงานสหรัฐกำลังกระเตื้องขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะช้าก็ตาม

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...