ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

เรื่องนี้ ผมก็พึ่งทราบว่า ที่แหลมแท่น บางแสน ยังเป็นที่ตกปลาทะเลชายฝั่ง แถมยังมีปลาชุกชุม เห็นเพื่อนผมที่ไม่นิยมซื้อปลาจากตลาดฯ เพราะหวั่นเกรงสารฯ เลยต้องไปหามากินเอง แล้วเขาส่งภาพมาให้เห็นว่า มีจริง / เขาสอนลูกชาย อายุ 12 ขวบ ให้รู้จักการหาปลามาทานโดยตัวเอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ขยายตัว 7.5% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์

 

นายเฉิน ไล่หยวน โฆษกสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่าจีดีพีที่ลดลงเป็นผลจากศักยภาพการผลิตที่ลดลง พร้อมชี้ถึงภาวะการณ์ในโลกที่ยังซับซ้อนและรุนแรง อันน่าจะหมายถึงการฟื้นตัวที่อ่อนแอในชาติตะวันตก นอกจากนั้น เศรษฐกิจที่ชะลอลงยังเป็นผลจากการดำเนินมาตรการของผู้นำใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่มุ่งลดการพึ่งพาการส่งออกและการลงทุน โดยหันมาเน้นส่งเสริมการบริโภคในประเทศ

 

นายเฉินกล่าวว่าจีดีพียังน่าจะขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 7.5% ขณะที่ผู้ว่าการธนาคารกลางกล่าวว่ารัฐบาลจะเพิ่มแรงจูงใจเพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก ในความพยายามสร้างเสถียรภาพให้การเติบโต

 

ที่ผ่านมา ผู้นำจีนล้วนประกาศเป้าหมายระยะยาวของการสร้างสมดุลเศรษฐกิจ และนับจากขึ้นเป็นประธานาธิบดีเมื่อเดือนมี.ค. นายสี จิ้นผิง ก็ลดความสำคัญของการผลักดันการส่งออกและการลงทุน โดยหันมาให้ความสำคัญมากขึ้นกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งถูกวางให้เป็นกลไกใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

 

นายแมทธิว เซอร์คอสตา นักเศรษฐศาสตร์ของมูดีส์อนาไลติกส์ ระบุว่าผู้ผลิตเพื่อการส่งออกกำลังได้รับผลกระทบจากความต้องการที่ซบเซาในโลก ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็กำลังให้ความสำคัญกับการปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการปิดอุตสาหกรรมบางภาคที่มีกำลังผลิตมากเกิน อย่างเหล็ก

 

ขณะที่นางเหยา เว่ย นักเศรษฐศาสตร์แห่งโซซิเอเตเจเนอรัล เตือนว่าจีน' class='anchor-link' target='_blank'>เศรษฐกิจจีนอาจชะลอตัวลงอีกในช่วงที่เหลือของปี เพราะรัฐบาลไม่มีแนวโน้มจะกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

นักวิเคราะห์ชี้ว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ จะกระตุ้นให้รัฐบาลเร่งผลักดันการปฏิรูปให้หนักกว่าเดิม เพราะทางเลือกของการอัดฉีดเงินมากขึ้นเข้าสู่เศรษฐกิจผ่านการผ่อนคลายการเงินนั้น เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยและตลาดสินเชื่อที่ร้อนแรงอยู่แล้ว ยิ่งขยายตัวมากขึ้น

 

นายเซียง ซองโจว หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งอกริคัลเจอรัลแบงก์ออฟไชนา กล่าวว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะบีบให้รัฐบาลผลักดันการปฏิรูป อันจะนำไปสู่การกำเนิดของกลไกใหม่ที่ส่งเสริมการเติบโต

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 16 กรกฎาคม 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข้อมูลจีดีพีจีนดันหุ้นมะกัน-น้ำมันบวก ทองคำขึ้นเล็กน้อย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กรกฎาคม 2556 05:46 น

556000009117001.JPEG

เอเอฟพี - วอลล์สตรีทและน้ำมันปิดบวกเล็กน้อยวานนี้(15) หลังข้อมูลเศรษฐกิจจีนกลบความกังวลต่อตัวเลขค้าปลีกสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามปัจจัยหลังนี้ผลักให้นักลงทุนหันไปช้อนซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ทำราคาขึ้นเกือบ 6 ดอลลาร์

 

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 21.34 จุด (0.14 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15,485.64 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 2.42 จุด (0.14 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,682.61 จุด โดยดัชนีทั้ง 2 ตัวทุบสถิติปิดสูงสุดตลอดกาลรอบใหม่ ส่วนแนสแดค เพิ่มขึ้น 7.41 จุด (0.21 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,607.49 จุด

 

ข้อมูลค้าปลีกของสหรัฐฯในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.4 น้อยกว่าร้อยละ 0.7 ที่เหล่านักวิเคราะห์คาดหมายไว้ แต่ตลาดหุ้นอเมริกา ยังได้แรงหนุนจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ช่วงไตรมาส 2 ของจีน ที่เติบโตร้อยละ 7.5 ตามที่คาดหมายไว้และดีกว่าที่นักวิเคราะห์บางส่วนกังวล

 

ปัจจัยเกี่ยวกับข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่เป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์นี้ ก็ส่งให้ราคาน้ำมันวานนี้(15) ขยับขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางแรงกดดันจากคำมั่นคงกระตุ้นเศรษฐกิจจากเฟดและสถานการณ์ความรุนแรงในอียิปต์

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 37 เซนต์ ปิดที่ 106.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 28 เซนต์ ปิดที่ 109.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ราคาน้ำมันนิวยอร์กพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน หลังเบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ให้คำมั่นคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเชิงรุกต่อไป รวมไปถึงความกังวลทางอุปทานอันเกี่ยวข้องกับความยุ่งเหยิงทางการเมืองในอียิปต์

 

อย่างไรก็ตามข้อมูลค้าปลีกที่อ่อนแอเกินคาดหมายของสหรัฐฯ จุดชนวนความกังวลว่าเศรษฐกิจหมายเลข 1 ของโลกอาจกำลังหยุดชะงัก ได้นำมาซึ่งแรงเข้าซื้อในตลาดทองคำ อันถูกมองในฐานะสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และเป็นผลให้ราคาโลหะมีค่าเหลืองชนิดนี้ขยับขึ้นเล็กน้อย ทองคำตลาดโคเมกซ์ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,283.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000086790

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปภาวะตลาด Gold Future By GT Wealth Management 15 ก.ค. 56 (ภาคบ่าย)

 

 

 

ข่าว​เศรษฐกิจ ThaiPR.net -- จันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2556 17:37:54 น.

กรุง​เทพฯ--15 ก.ค.--GT Wealth Management

 

ราคาทองคำ​ในตลาด​โลก​ในช่วงบ่าย ​เคลื่อย​ไหวอยู่บริ​เวณ US$1,280 ต่อออนซ์(Gold spot) ​โดยยังคง​ไม่ผ่านระดับ US$1,300 ต่อออนซ์ ​แม้จะมี​แรงหนุนจากฝั่งยุ​โรป​ทั้ง​เรื่อง​การปรับลดอันดับ​เครดิตของ อิตาลี ประธาณาธิบดี​ไซปรัสกล่าวว่า​เขาหวังว่าจะ​ไม่มี​การขายทองคำสำรองของประ​ เทศ​เพื่อ​แลก​เปลี่ยน​ใน​การ​ได้รับ​ความช่วย​เหลือจากต่างประ​เทศ ​โดยทางฝั่ง​เอ​เชีย ตัว​เลข​เศรษฐกิจจีนอย่าง GDP ​ไตรมาส 2 ออกมาตามคาด ​เช่น​เดียวกับยอดค้าปลีกที่ออกมาดีกว่าคาด ​แต่ผลผลิตอุตสาหกรรมออกมาต่ำกว่าที่คาด ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม​ในคืนนี้คือตัว​เลข​เศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างยอด ค้าปลีก​และคำปราศรัยของนายDaniel Talluro หนึ่ง​ในคณะกรรม​การ FOMC ที่มี​แนวคิดสนับสนุน​การกระตุ้น​เศรษฐกิจ ขณะที่สัปดาห์นี้​ไฮ​ไลท์สำคัญอยู่ที่​การ​แถลงน​โยบาย​การ​เงินต่อสภาคอง​ เกรสที่จะมีผลต่อประ​เด็น​เรื่องมาตร​การ QE ที่มีผลต่อราคาทองคำ ด้านค่า​เงินบาทยังคง​เคลื่อน​ไหวอยู่​เหนือระดับ 31.10บาทต่อดอลลาร์ กองทุน SPDR รายงาน​การถือครองทองคำคงที่ระดับ 939.07 ตัน

 

emnb_1_370232.gif

 

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำสิ้นสุดอายุ​เดือนสิงหาคม 2556 (GFQ13) ปิดที่ระดับ 19,030 บาท ปริมาณ​การซื้อขาย 797 สัญญา

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำสิ้นสุดอายุ​เดือนสิงหาคม 2556 ขนาด 10 บาท (GF10Q13) ปิดที่ระดับ 19,030 บาท ปริมาณ​การซื้อขาย 2,896 สัญญา

 

​แนว​โน้มทองคำ นายกมลธัญ พร​ไพศาลวิจิต ​ผู้จัด​การฝ่ายวิ​เคราะห์ บริษัท จีที ​เวลธ์ ​แม​เนจ​เมนท์ จำกัด​และ​ผู้อำนวย​การศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า Sentiment ของทองคำ​ในช่วงนี้ยังคง​เป็นบวกหลัง​เปิด​เผยรายงาน​การประชุม FOMC ​ซึ่งคณะกรรม​การหลายท่านยังคง​ให้น้ำหนักของตัว​เลข​การฟื้นตัว​เศรษฐกิจ สหรัฐฯ​เป็นสำคัญก่อน​การชะลอมาตร​การกระตุ้น​เศรษฐกิจ ​ทำ​ให้น้ำหนัก​ความกังวลของตลาดลดลง​ไปพอสมควร ​และ​เริ่มมี​แรง​ไหลกลับ​เข้ามาของ fund flow จาก​การ​แข็งค่าขึ้นของค่า​เงิน​ในภูมิภาค​เอ​เชีย ​ทั้งนี้​เราประ​เมิณว่าหากตัว​เลข​การจ้างงานยังคงอยู่​ในระดับ 195,000-200,000 ตำ​แหน่ง อย่างต่อ​เนื่อง 2-3 ​เดือนข้างหน้า ​ความกังวล​เรื่อง​การชะลอมาตร​การ QE น่าจะกลับมามีผลกระทบต่อทองคำอีกครั้ง ​โดยระดับ​การตัดสิน​ใจสำคัญ US$1,300 ​ซึ่ง​เป็น​แนวต้านทาง​เทคนิค​และมี​เป้าหมายถัด​ไป US$1,330-1,350

 

GT Wealth Management

www.gtwm.co.th

TEL : 02-673-9911

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำฟื้นยากนักลงทุนแห่ทิ้ง เล็งซบตลาดทุน

 

15 กรกฎาคม 2556 เวลา 09:08 น. |

A5F9D63AAA7A4BFA94EDB5A74A686345.jpg

 

ทองคำฟื้นยากนักลงทุนแห่ทิ้ง เล็งซบตลาดทุน

 

โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา

 

เกิดเป็นคำถามสงสัยกันเป็นทิวแถวว่าเพราะเหตุใด ท่ามกลางความผันผวนไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน จนหลายประเทศย่ำแย่ถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอย สถานการณ์ของทองคำกลับล้มครืนตามไปด้วย แทนที่จะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในฐานะแหล่งพักการลงทุนที่ปลอดภัยเหมือนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

 

ยืนยันได้จากข้อมูลทองคำในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2556 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาทองคำในตลาดลอนดอนปรับตัวร่วงลงแล้ว 23% มาอยู่ที่ 1,285.14 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยนับเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี ที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ จนน่าจะเป็นเหตุผลให้คนหันหาสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่า

 

ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ยิ่งน่าทำให้นักลงทุนหันหาทองคำมากขึ้น เมื่อประเทศเศรษฐกิจมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐ ส่งสัญญาณล่าสุดว่าจะยังคงเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปในระยะสั้น ซึ่งเป็นชนวนกระตุ้นสำคัญที่นักวิเคราะห์หลายสำนักเคยหวาดวิตกกันว่าจะทำให้เกิดเงินเฟ้อเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อครั้งที่ธนาคารกลางสหรัฐประกาศใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินช่วงระหว่างปี 2553-2554 จนนักลงทุนแห่ไปซื้อทองมาเก็บไว้เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว ทำให้ราคาทองคำดีดตัวทำสถิติสูงสุดที่ 1,921.15 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์เมื่อเดือน ก.ย. 2554

 

อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาหลายสิบเดือนที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสารพัดปัจจัยที่จะทำให้ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อราคาโลหะมีค่าชนิดนี้แม้แต่น้อย ตรงกันข้าม นักวิเคราะห์และนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มหมดความสนใจในทองคำลงเรื่อยๆ

 

สำหรับปัจจัยแรกสุด ก็คือ มาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่จะทำให้เงินท่วมระบบจนเฟ้อนั้น ผลปรากฏว่า นโยบายดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดเงินเฟ้อในตลาดมากตามที่คาดการณ์กันไว้แต่อย่างใด แถมด้วยแนวโน้มที่สถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวและมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้นักลงทุนในตลาดทั่วโลกส่วนใหญ่เห็นไปในทางเดียวกันว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อทองกันไว้เพื่อความปลอดภัย

 

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ ได้ตีพิมพ์รายงานกึ่งวิเคราะห์เมื่อไม่นานมานี้ว่า ปริมาณความต้องการทองคำในตลาดมีแนวโน้มจะลดน้อยลงอีก เพราะนักลงทุนเริ่มเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องซื้อทองเพื่อประกันความเสี่ยงอีกต่อไป

 

หลักฐานยืนยันที่เห็นได้ชัดก็คือ ความเคลื่อนไหวของบรรดากองทุนขนาดใหญ่ (เฮดจ์ฟันด์) ต่างเทขายทองคำที่ถือครองอยู่ โดยให้เหตุผลว่าสถานการณ์ขณะนี้เหมาะสมสำหรับการนำเงินมากระจายให้เกิดความหลากหลายในการลงทุน

 

เมื่อกลางเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา กองทุนโซรอส ฟันด์ แมเนจเมนท์ ของมหาเศรษฐี จอร์จ โซรอส ได้ปรับลดน้ำหนักการถือครองผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการหนุนจากทองคำ โดยลดการลงทุนในเอสพีดีอาร์ โกลด์ ทรัสต์ ลงจนถึงขณะนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งที่เคยถือครองอยู่เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่กองทุนชั้นนำอื่นๆ เช่น นอร์ธเอิร์ธ ทรัสต์ และแบล็คร็อค ก็ลดสัดส่วนทองลงกว่าครึ่งหนึ่งเช่นกัน

 

ด้านข้อมูลจากสภาทองคำโลก (ดับเบิลยูจีซี) ระบุว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ที่ 963 ตัน แม้จะมีความต้องการทองคำจริงในฐานะอัญมณี เหรียญทอง และทองแท่งมากขึ้น เนื่องจากราคาทองคำถูกลงก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มีปริมาณมากเท่ากับในอดีต เนื่องจากตลาดผู้บริโภคทองขนาดใหญ่อย่างอินเดียและจีนเองก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังชะลอตัว ขณะที่อินเดียยังปรับขึ้นภาษีนำเข้าทองคำเพื่อคุมเงินเฟ้อในประเทศ จนส่งผลให้ปริมาณความต้องการทองโดนจำกัดมากขึ้น

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีตัวอย่างการขาดทุนจากภาวะราคาทองคำลดให้เห็น เช่น จอห์น พอลสัน มหาเศรษฐีชื่อดังชาวสหรัฐเจ้าของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งขาดทุนจากการลงทุนในทองถึง 27% ช่วงเดือน เม.ย. ทำให้ความสูญเสียตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน เม.ย. อยู่ที่ 47%

 

ขณะเดียวกัน การส่งสัญญาณจะชะลอมาตรการคิวอีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้รับการตอกย้ำอย่างชัดเจนมากขึ้นว่าจะไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน โดย เบน เบอร์แนนคี ประธานเฟดได้ให้คำมั่นยืนยันหนักแน่นว่าจะรอจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัว

 

ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางตัวเลขการค้า การส่งออก และการจ้างงานที่ส่งสัญญาณบวกมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่คลายความกลัว เริ่มเชื่อมั่นที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาด เนื่องจากสัญญาณที่ส่งมาได้สะท้อนให้เห็นว่าปัจจัยพื้นฐานในภาคเศรษฐกิจจริงเริ่มฟื้นตัวแกร่งและสามารถคาดหวังได้มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้นักลงทุนหมดความสนใจในทองคำ

 

เพราะต้องไม่ลืมว่า ทองคำ แม้จะมีค่าในตัวเอง แต่ก็เหมาะกับการซื้อเพื่อประกันความเสี่ยงที่จะลดแรงของผลกระทบจากการขาดทุนในการลงทุน ไม่ใช่สำหรับการลงทุนเพื่อเพิ่มพูนมูลค่าสินทรัพย์แต่อย่างใด

 

สำหรับปัจจัยต่อมาอย่างเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยเสริมให้มีแรงโหมเข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงนั้น ในมุมมองของนักวิเคราะห์หลายสำนักส่วนใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่า ถึงจะรุนแรง แต่ปัจจัยที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงขั้นที่จะต้องทำให้นักลงทุนถอนเงินออกจากตลาดไปซื้อทองคำเก็บไว้อีกระลอก

 

กรณีที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือเหตุการณ์ประท้วงในอียิปต์ที่ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งผวาเล็กน้อยว่าอาจกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกให้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งราคาน้ำมันแพง จะหมายถึงต้นทุนสินค้าในตลาดอาจสูงขึ้นจนเกิดเงินเฟ้อ และผลักดันให้นักลงทุนเร่งหันหน้าเข้าหาทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม มอร์ช ซิลเวอร์ นักวิเคราะห์จากเฮดจ์อายส์ แสดงความเห็นผ่านเว็บไซต์ซีเอ็นเอ็นมันนี่ ว่า ถึงเหตุดังกล่าวจะทำให้นักลงทุนเริ่มจับตามองตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้น เพราะแม้อียิปต์จะไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน แต่ก็เป็นประเทศที่คุมคลองสุเอซ ช่องทางลำเลียงขนส่งน้ำมันที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กระนั้นความวิตกต่อราคาน้ำมันกลับมีไม่มาก เนื่องจากการขนส่งน้ำมันในปัจจุบันมีช่องทางหลากหลายมากขึ้น

 

สอดคล้องกับความเห็นของ โจนาธาน แคสทีลีน นักการเงินอาวุโสจากเฮดจ์อายส์ ซึ่งยกข้อมูลมาสนับสนุน ว่า ทั้งราคาน้ำมันดิบเบรนต์ ที่แสดงให้เห็นปริมาณความต้องการน้ำมันในยุโรปและเอเชีย กับราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ที่แสดงปริมาณความต้องการน้ำมันในอเมริกาเหนือ ไม่ได้ปรับตัวมากขึ้นกว่าปกติจนน่าตกใจแต่อย่างใด โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากปริมาณน้ำมันดิบที่ส่งมาตามท่อยังคงดำเนินไปได้อย่างปกติ

 

นอกจากนี้ ยังไม่นับรวมปัจจัยเสริมที่มีผลต่อการปรับลดของราคาทองคำที่เพิ่มเข้ามาในระยะนี้ อย่างแนวโน้มการปรับตัวอ่อนค่าลงของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประธานเฟดออกมาย้ำชัดเจนเมื่อวันที่ 11 ก.ค. ว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงต้องการความช่วยเหลืออยู่ ทำให้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเฟดจะยังคงเดินหน้านโยบายผ่อนปรนเชิงปริมาณ หรือคิวอี 3 ต่อไป จนทำให้สกุลเงินเหรียญสหรัฐยังคงอ่อนค่าเช่นเคย

 

ดาริล โจนส์ ผู้อำนวยการด้านการวิจัยจากเฮดจ์อายส์ กล่าวว่า ผลสำรวจสภาพเศรษฐกิจที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าตลาดทั่วโลกเริ่มกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในสหรัฐ ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก

 

ดังนั้น ปัญหาทุนไหลออกจากตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ก็ดี ปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนก็ดี หรือปัญหาการฟื้นตัวช้าของยุโรปก็ดี จึงบรรเทาลง เหตุเพราะนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าข่าวดีจากสหรัฐน่าจะเพียงพอชดเชยความวิตกกังวลของนักลงทุน ส่งผลให้ความน่าสนใจของทองคำลดลง

 

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญในตลาดคาดการณ์ว่า ทั่วโลกน่าจะได้เห็นความผันผวนของราคาทองคำในระยะนี้ แต่โดยรวมแล้ว ความหวังที่จะเห็นราคาทองคำพุ่งพรวดทำสถิติใหม่คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากเสียแล้วในปีนี้

 

http://www.posttoday.com

ถูกแก้ไข โดย Namchiang

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กูรูแนะหาจังหวะขายทอง ขึ้นแค่ช่วงสั้น

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ราคาทอง,มาร์ค เฟเบอร์

news_img_517251_1.jpg

นักวิเคราะห์ไม่แนะซื้อทองคำเวลานี้ แม้ราคาปรับขึ้นใกล้ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ควรหาจังหวะขาย ความเสี่ยงขาลงยังมีมาก

 

นายแกรี คลาร์ก นักวิเคราะห์จากรูบินี โกลบอล อีโคโนมิคส์ กล่าวถึงราคาทองคำในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งปรับขึ้นอย่างคึกคักว่า ถือเป็นโอกาสอันดีที่นักลงทุนจะขาย และกล่าวว่าราคาทองคำไม่มีเสถียรภาพอย่างมากสำหรับนักลงทุนที่จะพิจารณากลยุทธ์ถือครองและซื้อ

 

"ผมเห็นว่าการปรับขึ้นของราคาทองคำยังคงให้โอกาสขาย และการปรับขึ้นตอนนี้แท้จริงได้แรงขับเคลื่อนมาจากความตึงเครียดของตลาดเชิงโครงสร้าง และภาษาออกมาจากปากของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ยังอยากให้ใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินมากขึ้นต่อไป" นายคลาร์กให้ข้อมูลกับซีเอ็นบีซี

 

อย่างไรก็ตาม นายคลาร์กมองว่า อัตราการปรับขึ้นของราคาทองคำ อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงิน แต่การปรับขึ้นนี้จะไปไม่ผลักดันให้ราคาทองคำสูงขึ้นในระยะยาว โดยซีเอ็นบีซีระบุว่า ราคาทองคำเมื่อวันพฤหัสบดี(11 ก.ค.) ปรับขึ้นเกือบ 3%แล้ว ในช่วงกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากนายเบอร์นันเก้พูดว่านโยบายการเงินผ่อนคลายยังจำเป็น แต่นักวิเคราะห์หลายรายรวมถึงนายคาร์กยังคงเห็นว่า ทองคำไม่ใช่การลงทุนที่ดีในระยะยาว

 

นักวิเคราะห์หลายรายเห็นตรงกันว่า การปรับขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งเมื่อวันที่ 11 ก.ค. นี้ขึ้นไปแตะ 1,298 ดอลลาร์ต่อออนซ์นั้น เป็นการปรับขึ้นไม่ต่อเนื่อง และคาดว่าราคาทองคำยังอยู่ในช่วงขาลงมากขึ้น

 

โดยนายคริส วัทลิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลองวิว อีโคโนมิคส์ เห็นด้วยว่าไม่มีกรณีชัดเจนให้เข้าเป็นผู้ซื้อทองคำในระยะยาว ถึงแม้ว่าราคาทองคำปรับลดลงจากระดับเคยทำสถิติสูงสุดในปี 2554 เมื่อราคาขึ้นไปแตะระดับ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเขาเตือนว่าทองคำอาจกลายเป็นฟองสบู่ที่จะพร้อมจะแตก และในที่สุดทำให้ราคาทองคำดิ่งลงไปอยู่ระหว่าง 300-400 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

ด้านนายคลาร์กเพิ่มเติมว่า ราคาทองคำยังคงต่ำลง 25%ในปีนี้ และจะไม่มีเสถียรภาพก่อนถึงสิ้นปี 2557 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยแท้จริงใกล้อยู่ระดับปกติ เพราะราคาทองคำได้รับแรงผลักดันอย่างมากจากอัตราดอกเบี้ยแท้จริง มีความผันผวนมากมายเกิดกับอัตราดอกเบี้ยแท้จริงขณะนี้ เป็นผลจากปรับลดนโยบายผ่อนคลายการเงิน หรือ คิวอี 3 ที่มีการพูดถึงกัน และจะไม่ได้เห็นภาวะปกติเกิดขึ้นจนกว่าจะถึงสิ้นปีหน้า

 

"คิดว่านักลงทุนทองคำควรเตรียมสถานะตั้งรับการฟื้นตัวของสหรัฐ และการสิ้นสุดคิวอีกับการนำอัตราดอกเบี้ยกลับสู่ระดับปกติ ในประเด็นนั้น ราคาทองคำจะปรับลดลงไปสู่ระดับซึ่งมีความต่อเนื่องในระยะยาวมากขึ้น เพราะทองคำยังมีบทบาทสำคัญที่จะเป็นการลงทุนป้องกันเงินเฟ้อกับความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นตามมา แต่ผมมองว่าทองคำตอนนี้เผชิญช่วงขาลงอย่างต่อเนื่อง" นายคลาร์ก กล่าว

 

ส่วนนายโยนิ จาคอบส์ หัวหน้านักวางแผนการลงทุน จากชาร์ท โพรเพห์ต แคปิตอล มองความสัมพันธ์ตรงกันข้ามระหว่างดอลลาร์สหรัฐกับราคาทองคำ พบว่าเมื่อดอลลาร์ปรับลดลง ราคาทองคำกลับปรับขึ้น และเขาตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อดอลลาร์ปรับขึ้น 17% นับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปี2554 ทำให้คาดได้ว่าทองคำจะยังคงอยู่ในช่วงขาลง และเขาเชื่อว่าทองคำไม่ใช่การลงทุนปลอดภัยอีกต่อไป

 

"การซื้อทองคำไม่ใช่ความเคลื่อนไหวชาญฉลาด เพราะเป็นการเทรดที่ขาดทุน เป็นการไล่ล่าการลงทุนมีแต่ความสูญเสีย เป็นการต่อสู้กับแนวโน้มทำให้เกิดการขาดทุน หากเชื่อในการเด้งขึ้นของราคา อย่าซื้อทองคำในเวลานี้ เพราะผมคาดว่าราคาทองคำจะร่วงลงไปแตะ 700 ดอลลาร์ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า" นายจาคอบส์กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม นายมาร์ค เฟเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนเจ้าของวารสาร "อึมครึม-หายนะ-เฟื่องฟู" มองว่าทองคำสามารถเป็นแหล่งทำกำไรได้ในที่สุด และเป็นไปได้ที่ราคาทองคำอาจต่ำลงอีก แต่เขาคิดว่าตอนนี้ทองคำอยู่ในระดับราคาสมเหตุสมผล ซึ่งตัวเขาเองยังคงเข้าไปซื้อทองคำ และคาดว่าในที่สุดราคาทองคำจะปรับสูงขึ้น

 

Tags : ราคาทอง • มาร์ค เฟเบอร์

 

http://www.bangkokbiznews.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินหยวนอ่อนค่าลงแตะ 6.1692 หยวนต่อดอลลาร์ในช่วงเช้านี้

 

 

ข่าวต่างประเทศ RYT9 -- อังคารที่ 16 กรกฎาคม 2556 09:05:00 น.

China Foreign Exchange Trading System (CFETS) รายงานว่า เงินหยวนปรับตัวลง 0.29% แตะที่ 6.1692 หยวนต่อดอลลาร์

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศของจีนนั้น เงินหยวนได้รับอนุญาตให้ปรับตัวขึ้นหรือลงไม่เกิน 1% จากอัตราค่ากลางของการซื้อขายแต่ละวัน

 

ทั้งนี้ อัตราค่ากลางสกุลเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อิงกับราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ก่อนที่ตลาดจะเปิดทำการซื้อขายในแต่ละวัน

 

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์/พันธุ์ทิพย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: pantip@infoquest.co.th--

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบแคบตลอดวัน ภายหลังปรับตัวสูงขึ้นในช่วงตลาด COMEX จากการทำ Short Covering และตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด ปิดตลาด COMEX ที่ระดับ 1,283.5 เหรียญ และไปทำจุดสูงสุดในตลาดอิเล็กทรอนิกส์ที่ 1,293.6 เหรียญ

 

SPDR ไม่ได้ทำอะไรติดต่อกันเป็นวันที่ 3 คงทองเท่าเดิม 939.07 ตัน

 

คอมเมิร์ซแบงก์ระบุว่า ราคาทองคำอาจมีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงสิ้นปี เนื่องจากมองว่าการเทขายของกองทุน ETF น้อยลง โดยคาดการณ์ราคาทองคำเฉลี่ยใน ไตรมาสที่ 3 ที่ระดับ 1,200 เหรียญ และจะปรับตัวสูงขึ้นมาที่ 1,300 เหรียญในไตรมาสที่ 4 และ 1,400 เหรียญในไตรมาสแรกปีหน้า อีกทั้ง 1,600 เหรียญในช่วงสิ้นปี 2014

 

ฝ่ายวิเคราะห์ของซิตี้กล่าวว่า 90% ของต้นทุนอุตสาหกรรมเหมืองทองอยู่ที่ระดับ 1,010 เหรียญ และดูเหมือนจะเป็นแนวรับที่สำคัญที่ราคาอาจลดลงไปถึง โดยลดการคาดการณ์ราคาทองคำตลอดปีนี้ที่ 1,358 เหรียญ ปีหน้า 1,145 เหรียญ

 

ศาลชิลีสั่งพักโครงการเหมืองทองคำปาสคัว-ลามาของแบร์ริค โกลด์ คอร์ป จนกว่าจะมีการก่อตั้งโครงสร้างที่ป้องกันมลภาวะทางน้ำ

 

ประธานเหมืองต่างๆ ในแอฟริกาใต้เสนอการชำระเงินเพิ่มขึ้น 4% ให้แก่แรงงานคนเหมืองทอง ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่สหภาพการค้าร้องขอ 60-100%

 

สำนักข่าว Independent รายงานว่า เนื่องจากราคาทองคำที่ปรับตัวลดลง นักลงทุนมีการหันไปหาเพชรมากขึ้น ซึ่งมองว่าได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า

 

ธนาคารกลางอังกฤษเปิดนิรภัยทองคำให้เข้าเยี่ยมชมผ่านระบบ มือถือในแอพพลิชั่นของ Apple iOS และ Android โดยมีทองคำมูลค่าประมาณ 350,000 ปอนด์ หรือมากกว่า 500,000 ดอลลาร์ แม้จะเกิดการเทขายอย่างหนักในช่วงต้นปี

 

นายตารุลโล่ ฝ่ายปกครองเฟด กล่าวว่า เฟดจะใช้นโยบายผ่อนคลายต่อไป และระบุว่า ไม่มีสมาชิกคนใดที่พูดเกี่ยวกับการขายสินทรัพย์ หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า งบดุลบัญชีของเฟดไม่ได้กำลังหดตัวในอนาคตอันใกล้ แต่จริงๆ แล้วยังคงขยายตัวสู่ระดับ 4 ล้านล้านเหรียญในสิ้นปีนี้

 

ตลาดทั่วโลกหันมาจับตาการแถลงของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ในวันพุธและวันพฤหัสบดี ซึ่งเขาจะมีการรายงานนโยบายการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเทรดเดอร์หวังว่า เขาจะนำเสนอคำพูดใหม่ๆ เกี่ยวกับการที่เฟดจะเริ่มลดขนาด QE และหลายฝ่ายยังคงคาดว่าเฟดจะเริ่มลด QE ในปลายปีนี้ซึ่งเป็นอย่างเร็วที่สุดในช่วงเดือนกันยายน

 

สำนักข่าว Kitco ได้เข้าสัมภาษณ์นักวิเคราะห์ในเทศกาล FreedomFest 2013 โดยได้รับความเห็นว่า การพิมพ์ธนบัตรของเฟดไม่ได้ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ

 

ไอเอ็มเอฟ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า ความวุ่นวายทางการเมืองส่งผลต่อภาวะสินเชื่อตึงตัวในยูโรโซนที่คุกคามธนาคารต่างๆ และเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยนายกฯ สเปนประกาศลาออกวานนี้หลังจากผู้นำฝ่ายค้านเรียกร้องให้เขาออกจากตำแหน่งในเรื่องอื้อฉาวทางการเงิน

 

ความรุนแรงในอียิปต์ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง จากการปะทะของเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มผู้ประท้วงในใจกลางกรุงไคโร โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 22 ราย

 

สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน เนื่องจากเทรดเดอร์กล่าวว่าการเทขายดอลลาร์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้สิ้นสุดลง เนื่องจากเฟดยังคงเป็นคนแรกในกลุ่มธนาคารกลางต่างๆ ที่จะหลีกหนีจากนโยบายผ่อนคลายการเงิน

 

ดัชนีดาวโจนส์ได้รับแรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของซิตี้กรุ๊ปที่รายได้สุทธิในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น

 

ในวันนี้ โกลด์แมน แซคส์ จะประกาศผลประกอบการ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะออกมาแข็งแกร่งจากการลงทุนระบบธนาคาร แม้ว่าจะมีความอ่อนแอในธุรกิจการค้า

 

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ปิดบวกจากตัวเลขค้าปลีกที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด ซึ่งสะท้อนมุมมองว่า เฟดยังอยู่ห่างไกลจากการลดขนาด QE

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สหรัฐอเมริกา

- ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขานิวยอร์ครายงานดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 9.46 จากระดับ 7.84 ในเดือนมิถุนายน มากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการสำรวจโดยรอยเตอร์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ ระดับ 5.00 ทั้งนี้ ดัชนีที่เป็นบวกแสดงถึงภาวะการขยายตัว และดัชนีที่ต่ำกว่า 0 บ่งชี้ว่าภาคธุรกิจอยู่ในภาวะหดตัว ส่วนดัชนีย่อยอื่นๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.77 จากระดับ -6.69 ในเดือนมิถุนายน ขณะที่ดัชนีการส่งออกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.96 จากระดับ -11.77 ในเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับที่ย่ำแย่ที่สุดนับแต่ปี 2552 ส่วนดัชนีการจ้างงานบวกขึ้นสู่ระดับ 3.26 จากระดับ 0.00 ในเดือนมิถุนายน ส่วนดัชนีแนวโน้มทางธุรกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 32.01 ในเดือนนี้ จากระดับ 24.98 ในเดือนที่แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตในนิวยอร์กมีมุมมองบวกมากขึ้นเกี่ยวกับภาวะทาง ธุรกิจในอนาคต

- ยอดค้าปลีกเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 0.4% จากที่เพิ่มขึ้น 0.5%ในเดือนพฤษภาคม (ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีการปรับทบทวนจากเดิมที่รายงานว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6%) ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะปรับตัวขึ้น 0.8% โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ด้านพลังงานและรถยนต์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งหากไม่รวมยอดขายพลังงานและรถยนต์แล้ว ยอดค้าปลีกก็จะหดตัวลง 0.1% ในเดือนที่แล้วขณะที่ยอดค้าปลีกที่ไม่รวมรถยนต์ น้ำมันเบนซินและวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมิถุนายน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพฤษภาคม

- สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนเมษายน (ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีการปรับทบทวนจากเดิมที่รายงานว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3%) ส่วนยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% หลังจากที่ทรงตัวในเดือนเมษายน และจากยอดขายดังกล่าวส่งผลให้ระยะเวลาที่จะทำให้สต๊อกสินค้าคงคงภาคธุรกิจ หมดไปลดลงสู่ระดับ 1.29 เดือนเทียบจากระยะเวลา 1.30 เดือนในเดือนเมษายน ทั้งนี้ ปริมาณสต็อกสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลงในเดือนพฤษภาคม แสดงให้เห็นว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐได้ชะลอตัวลง และอาจจะถ่วงการขยายตัวในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ เนื่องจากบริษัทต่างๆได้สั่งซื้อสินค้าน้อยลง แต่ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ภาคเอกชนต้องสั่งสินค้าเพิ่มในช่วงหลายเดือน ข้างหน้าเพื่อรองรับอุปสงค์ที่ขยายตัว

 

ยุโรป: สหภาพยุโรป

- ยูโรสแตทรายงานว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเขตยูโรโซนปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรก ในรอบ 4 เดือนในอัตรา 0.3% (m-o-m) ในเดือนพฤษภาคม จากที่เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนเมษายน และสอดคล้องกับตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์โดย Consensus forecast ไว้

- การหารือระหว่างสหรัฐและสหรัฐภาพยุโรป (อียู) ว่าด้วยการเป็นพันธมิตรการค้าและการลงทุนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก (TTIP) รอบแรกเสร็จสิ้นไปแล้ว ซึ่งเป็นการวางกรอบการหารือในอนาคต นักวิเคราะห์เชื่อว่า จะช่วยอัดฉีดแรงขับเคลื่อนของสู่ทั้งสองเขตเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่ง และช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีอำนาจมากขึ้นในการกำหนดกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ ในอนาคต ทั้งนี้ ผลการวิจัยของคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ระบุว่า ข้อตกลงดังกล่าวอาจทำให้อียูมีรายได้ประมาณ 1.19 แสนล้านยูโรต่อปี (1.55 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) และรายได้สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐ 9.5 หมื่นล้านยูโรต่อปี (1.24 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

 

อังกฤษ

- ไรท์มูฟได้ทำการสำรวจราคาบ้านในอังกฤษ พบว่า ราคาบ้านโดยเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% (m-o-m) ในเดือนกรกฎาคม จากที่เพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนมิถุนายน และเมื่อเทียบรายปี ราคาบ้านเพิ่มขึ้น 4.8% จากที่เพิ่มขึ้น 2.7% (y-o-y) ในเดือนก่อน

- ดัชนีชี้นำของอังกฤษเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม โดยเพิ่มขึ้น 0.4% (m-o-m) จากที่เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนเมษายน และ 0.7% ในเดือนมีนาคม สะท้อนว่าเศรษฐกิจอังกฤษได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างยั่งยืน

 

สเปน

- นายกรัฐมนตรีสเปน มาเรียโน เรจอย ถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง หลังเกิดกรณีอื้อฉาวเรื่องการรับเงินสินบนของพรรคป็อปปิวลาร์ อีกทั้งนายเรจอย ยังได้ส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือไปให้กำลังใจ นายหลุยส์บาซินาส อดีตรัฐมนตรีคลังที่ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนจากเงินบริจาคของบริษัทต่างๆ เพื่อแลกกับสัญญาของรัฐเป็นการตอบแทน

 

เอเชีย:จีน

- สำนักงานสถิติของของจีนรายงานว่าเศรษฐกิจจีนไตรมาสที่สองขยายตัว 7.5% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ซึ่งเท่ากับตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์จากการสำรวจของ Bloomberg แต่ลดลงจากอัตราการขยายตัว 7.7% ในไตรมาสแรก ทั้งนี้การขยายตัวในอัตราที่ลดลงดังกล่าวเป็นผลจากการที่การผลิตภาค อุตสาหกรรมชะลอการเติบโตลง และนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าภาคการผลิตอาจจะชะลงตัวลงมากกว่านี้ในช่วงครึ่งปี หลังจากการที่รัฐบาลจีนจำกัดการขยายตัวของการให้สินเชื่อเพื่อป้องกันไม่ให้ เกิดวิกฤติการเงินในประเทศหลังสินเชื่อขยายตัวมากในช่วงที่ผ่านมา

- การผลิตภาคอุตสาหกรรมในจีนเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 8.9%จากเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงจากที่ขยายตัว 9.2% ในเดือนพฤษภาคม และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์จากการสำรวจของ Bloomberg คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 9.1% ส่วนยอดขายปลีกในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 13.3% จากเดือนเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัว 12.9% ในเดือนพฤษภาคม และสูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์จากการสำรวจของ Bloomberg ที่ 12.9% สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 20.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ต่ำกว่าช่วง 5 เดือนแรกที่ขยายตัว 20.4% และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์จากการสำรวจของ Bloomberg ที่ 20.2%

- การให้สินเชื่อใหม่สกุลเงินท้องถิ่นในจีนเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 860.5 พันล้านหยวน สูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์จากการสำรวจของ Bloomberg ที่ 800 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมซึ่งอยู่ที่ 667.4 พันล้านหยวน สำหรับปริมาณเงิน M2 เดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 14% จากเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงจากที่ขยายตัวในอัตรา 15.8% ในเดือนพฤษภาคม

 

ไทย

- กระทรวงพาณิชย์ รายงานสถิติการจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่เดือนมิถนายนว่า มียอดผู้ประกอบธุรกิจที่ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัททั่ว ประเทศทั้งสิ้น 5,753 ราย ลดลง 422 ราย หรือลดลง 7% (m-o-m) แต่เพิ่มขึ้น 909 ราย หรือเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนเพิ่มขึ้น 19% (y-o-y) ส่วนนิติบุคคลจดทะเบียนเลิกมีจำนวน 1,170 ราย เพิ่มขึ้น 343 ราย หรือเพิ่มขึ้น 41% (m-o-m) และเพิ่มขึ้น 125 ราย หรือเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนเพิ่มขึ้น 12% (y-o-y) ส่งผลให้สถิติการจดทะเบียนรวมในครึ่งปี 56(ม.ค.-มิ.ย.) มีธุรกิจตั้งใหม่รวม 36,382 ราย เพิ่มขึ้น 6,326 ราย หรือเพิ่มขึ้น 21% (y-o-y) ส่วนธุรกิจเลิกกิจการมี 5,391 ราย ลดลง 186 ราย หรือลดลง 3% สำหรับธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป, อสังหาริมทรัพย์ และขายส่งเครื่องจักร ส่วนธุรกิจค้าสลากที่เคยติดอันดับหนึ่งของการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ใน แต่ละเดือนนั้นได้ขอให้เจ้าหน้าที่ตัดออก เพราะพบความผิดปกติ โดยมีการจัดตั้งเพิ่มขึ้นมากแต่ส่วนใหญ่ใช้ที่อยู่เดียวกัน ซึ่งไม่ใช่วิสัยปกติของการจัดตั้งบริษัท

- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) รายงานผลการจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556(ต.ค.55-มิ.ย.56) สามารถจัดเก็บได้ทั้งสิ้น 1,616,683 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 81,998 ล้านบาท หรือ 5.3% อันเป็นผลมาจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้ปิโตรเลียมได้สูงกว่าเป้าหมาย ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์ภายในประเทศ รายได้ภาคครัวเรือน และผลประกอบการของภาคธุรกิจพลังงานที่ขยายตัวได้ดี ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมจัดเก็บภาษีสังกัดกระทรวงการคลังสูงกว่าเป้าหมาย 48,598 ล้านบาท หรือ 2.9% สำหรับผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลเดือนมิถุนายน 2556 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 181,377 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 3,644 ล้านบาท หรือ 2.0% เป็นผลจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการนำเข้าจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ ตามอัตราการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าที่ชะลอตัวลง สอดคล้องกับอากรขาเข้าที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการเช่นกัน ประกอบกับภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยที่ส่งผลให้ผลประกอบการของภาคธุรกิจที่ยื่นชำระ ภาษีจากกำไรสุทธิประจำปี 2555 ต่ำกว่าประมาณการ

 

Money Market

- บาท/ดอลลาร์ เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเอเซียส่วนใหญ่รวมทั้ง เงินบาทในช่วงเช้าวันนี้สอดคล้องกับภาวะที่วันนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็ง ขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักทั้งเยนและยูโรจากการคาดการณ์เกี่ยวกับตัวเลข ยอดขายปลีกของสหรัฐฯเดือนมิถุนายนที่จะประกาศในวันนี้ อย่างไรก็ดีในช่วงตลาดสหรัฐฯค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเทียบ กับค่าเงินบาท

- เยน/ดอลลาร์ เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเยนในช่วงเช้าวันนี้ก่อนการ รายงานตัวเลขยอดขายปลีกในสหรัฐฯเดือนมิถุนายนที่จะประกาศในวันนี้ซึ่งนัก วิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และเพิ่มความเป็นไปได้ในการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะลดมาตรการ QE อย่างไรก็ดีการรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาในช่วงตลาด สหรัฐฯนั้นขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์

- ยูโร/ดอลลาร์ เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนลงเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรในช่วงเช้าวันนี้ อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นค่าเงินยูโรได้อ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯตาม ภาวะที่วันนี้มีแรงซื้อดอลลาร์สหรัฐฯมากขึ้นเนื่องจากการคาดการณ์ไปในทางบวก ของนักลงทุนเกี่ยวกับตัวเลขยอดขายปลีกของสหรัฐฯเดือนมิถุนายนที่จะประกาศใน วันนี้ ขณะเดียวกันแนวโน้มในการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะลดมาตรการทางการเงินในการ กระตุ้นเศรษฐกิจก่อนธนาคารกลางยุโรปก็เป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ค่าเงิน ดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร

 

Capital Market

- ตลาดสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกขึ้น หลังผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทซิตี้กรุ๊ปช่วยหนุนดัชนี S&P 500 ปิดปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 8 ติดต่อกัน แม้ข้อมูลการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง โดยการขยายตัวของภาคการผลิตรัฐนิวยอร์คเพิ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม ขณะที่ยอดค้าปลีกเดือนมิถุนายนต่ำกว่าคาด และสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

- ตลาดหุ้นเอเชีย เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้จากการที่ตัวเลขจีดีพีจีน ไตรมาสสองขยายตัวในอัตราที่เท่ากับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้และรัฐบาลจีน ขยายช่องทางในการเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินจีนของนักลงทุนต่างประเทศ โดยในวันนี้สำนักงานสถิติของของจีนรายงานว่าเศรษฐกิจจีนไตรมาสที่สองขยายตัว 7.5% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยอัตราการขยายตัวต่ำกว่าไตรมาสแรกที่ขยายตัว 7.7%จากการที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอการเติบโตลง โดยตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 8.9% จากเดือนเดียวกันปีก่อน ต่ำกว่าเดือนพฤษภาคมที่ขยายตัว 9.2% อย่างไรก็ดียอดขายปลีกในประเทศขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นจากที่ขยายตัว 12.9% ในเดือนพฤษภาคม มาเป็น 13.3% ในเดือนมิถุนายน โดยปิดตลาดวันนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเพิ่มขึ้น 0.98% ส่วนดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดเพิ่มขึ้น 0.12% สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่นวันนี้ปิดทำการ

- ตลาดหุ้นไทย เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวขึ้นลงแคบๆในวันนี้ โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่านักลงทุนรอดูปัจจัยใหม่ โดยเฉพาะการประกาศผลประกอบการไตรมาสสองของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะออกมาใน ช่วงปลายสัปดาห์ โดยปิดตลาดวันนี้ SET INDEX เพิ่มขึ้น 1.69 จุด

 

โดย สำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประจำวันที่ 16 กรกฎาคม 2556

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสส่งมอบ ส.ค. เพิ่มขึ้น 0.37 เหรียญฯ ปิดที่ 106.32 เหรียญฯ ส่วนเบรนท์ส่งมอบ ส.ค. เพิ่มขึ้น 0.28 เหรียญฯ ปิดที่ 109.09 เหรียญฯ

 

+ ตัวเลขการใช้น้ำมันจากการคำนวณของรอยเตอร์ซึ่งรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงน้ำมัน คงคลัง ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 เดือนในเดือน มิ.ย. มาอยู่ที่ 9.94 ล้านบาร์เรลต่อวัน และสูงกว่าปีก่อนหน้าเกือบ 10% ทั้งนี้เนื่องจากโรงกลั่นกลับมาจากการปิดซ่อมบำรุง และฐานของปีก่อนที่ค่อนข้างต่ำจากการลดสต็อก อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ยังคงคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำมันที่แท้จริงของ จีนทั้งปีจะโตอยู่ที่ประมาณ 5%

 

+ ผลสำรวจดัชนีภาคอุตสาหกรรมของรัฐนิวยอร์ค เดือน ก.ค.ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.46 จาก 7.84 ในเดือน มิ.ย. โดยตัวเลขดัชนีที่มากกว่าศูนย์แสดงถึงการขยายตัวของกิจกรรมทางอุตสาหกรรมใน พื้นที่ ทั้งนี้ได้รับแรงหนุนมากจากผลสำรวจของยอดสั่งซื้อใหม่ที่มีแนวโน้มปรับตัวดี ขึ้น

 

- ยอดขายปลีกของสหรัฐฯ เดือน มิ.ย. เติบโตน้อยกว่าที่คาด โดยขยายตัวเพียง 0.4% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายรถยนต์ ในขณะที่ยอดขายเฉลี่ยของสินค้าชนิดอื่นคงที่ ซึ่งส่งสัญญาณว่าแรงซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวลดลง

 

- ตัวเลขจีดีพีของจีนไตรมาส 2 ขยายตัวเพียง 7.5% ลดลงจากไตรมาส 1 ที่ 7.5% อย่างไรก็ตามตัวเลขที่ออกมาอยู่ในระดับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้จึงไม่ สร้างความกังวลให้นักลงทุนมากนัก นอกจากนี้ทางโฆษกของสำนักงานสถิติแห่งชาติยังคงให้สัมภาษณ์ว่าจีนจะยังคง เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 7.5% ในปีนี้ ในขณะที่ประธานธนาคารกลางของจีนแถลงว่าทางภาครัฐฯ จะมีนโยบายช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กเพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยรวม

 

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากตลาดน้ำมันเบนซินในภูมิภาคยังคงอยู่ในภาวะตึงตัวมากจากแรงซื้อของ อินโดนีเซียที่ค่อนข้างสูง ในขณะที่อุปทานจากโรงกลั่นในอินเดียและมาเลเซียยังคงขาดหายไปในช่วงการปิด ซ่อมบำรุง

 

ราคาน้ำมันมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากแรงซื้อจากนอกภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศแถบแอฟริกาช่วยลดแรงกดดันจาก อุปทานของอินเดีย อย่างไรก็ตามแรงซื้อของอินโดนีเซียและเวียดนามที่ปรับลดลงทำให้ราคาปรับ เพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก

 

ทิศทางราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นและปัจจัยที่น่าจับตามอง

สัปดาห์นี้ไทยออยล์คาดเบรนท์ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 104 - 110 เหรียญฯ ในขณะที่เวสต์เท็กซัสอยู่ในกรอบ 103-109 เหรียญฯ ติดตามตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ และผลการสำรวจความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์หน้า ได้แก่

วันอังคาร: ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป ดัชนีตลาดบ้าน ดัชนีราคาผู้บริโภคและการผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ รวมทั้งการสำรวจความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี จากสถาบัน ZEW

วันพุธ: อัตราการว่างงานของสหราชอาณาจักร ยอดการขอสร้างบ้านใหม่ รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ(Beige Book)

วันพฤหัส: ยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักร ผลสำรวจดัชนีภาคอุตสาหกรรมของธนาคารกลางฟิลาเดลเฟีย และยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานของสหรัฐฯ

วันศุกร์: ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหราชอาณาจักร และการประชุมกลุ่มประเทศ จี 20 (วันที่ 1)

วันเสาร์: การประชุมกลุ่มประเทศ จี20 (วันที่ 2)

วันอาทิตย์: -

 

- สถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองในอียิปต์หลังประธานาธิบดีชั่วคราว นาย อัดลี มันซูร์ ขอเวลา 6 เดือน สำหรับการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมทั้งกฤษฎีกากำหนดกรอบเวลาจัดการเลือกตั้ง เพื่อส่งให้ประชาชนลงประชามติภายใน 4 เดือน จากนั้นจะจัดเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรภายในต้นปีหน้าแล้วตามด้วยการเลือกตั้ง ประธานาธิบดี

 

- การแถลงนโยบายทางการเงินรอบครึ่งปีที่ผ่านมาจากทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่อคณะกรรมาธิการภาคการเงินของสภาคองเกรซ ซึ่งอาจมีการกล่าวถึงแนวโน้มการชะลอการใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE)

 

- การประชุมของรัฐมนตรีการคลังของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ จี 20 ระหว่างวันที่ 19-20 ก.ค. ประเทศรัสเซีย ที่จะพูดคุยถึงนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เพิ่มเติมหากสหรัฐฯ ตัดสินใจลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง

 

- ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง หลังรายงานปริมาณน้ำมันดิบจากทางสำนักงงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ ปรับลดลงประมาณ 20 ล้านบาร์เรล ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่าน

ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ(วันที่ 16 กค.56)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

ข่าววิ่ง - ข่าววิ่ง

ฝ่ายกลยุทธ์และแผนธุรกิจ หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สรุปรายงานสถานการณ์น้ำมันดิบในสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน

 

ราคาน้ำมันดิบ เบรนท์ (Brent) เพิ่มขึ้น 2.85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 108.06 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเวสท์ เท็กซัสฯ (WTI) เพิ่มขึ้น 4.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลอยู่ที่ 104.81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบดูไบ (Dubai) เพิ่มขึ้น 2.89 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 103.44 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาเฉลี่ยน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 5.82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 124.83 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 2.06 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อยู่ที่ 123.40 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ได้แก่

 

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันในเชิงบวก

- นาย Ben Bernanke ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แถลงถึงนโยบายว่า Fed จะยังคงใช้มาตรการผ่อนปรนทางการเงินต่อไป เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของประเทศยังคงอยู่ในระดับต่ำ และตัวเลขชึ้วัดของตลาดแรงงานที่อัตราการว่างงาน 7.6% อาจบ่งชี้ถึงสภาพตลาดที่แข็งแกร่งเกินความเป็นจริง ทำให้การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบยังคงมีความจำเป็นในระยะเวลานี้

 

 

- EIA รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ของสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 ก.ค.56 ปรับตัวลดลง 9.9 ล้านบาร์เรลเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 373.9 ล้านบาร์เรล

- นาย Benjamin Netanyahu นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล กล่าวอิหร่านจะสามารถผลิตระเบิดนิวเคลียร์ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ และเส้นตายของอิสราเอลที่กลางปี 56 ได้ใกล้เข้ามา พร้อมกล่าวเรียกร้องให้นานาชาติอย่าได้เปลี่ยนประเด็นความสนใจไปยัง ซีเรีย และอียิปต์

- ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของลิเบียในเดือน มิ.ย. 56 ลดลง 16% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 1.13 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เพราะเหตุขัดข้องทางเทคนิคของแท่นผลิต ประกอบกับการหยุดงานประท้วงของพนักงานแหล่งขุดเจาะน้ำมันและท่าส่งออก

 

ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันในเชิงลบ

- ท่าส่งออกน้ำมัน Es sider และ Ras Lanuf ของลิเบียกลับมาดำเนินการแล้ว แต่ท่าส่งออกน้ำมันดิบ Zueitina ยังไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้การประท้วงปิดท่าส่งออกน้ำมันดิบของลิเบียส่งผลให้แหล่งผลิตน้ำมัน ดิบต้องปิดดำเนินการไปถึง 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตของประเทศที่ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน

- ท่อส่งออกน้ำมันดิบ Kirkuk-Ceyhan (1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ของอิรักกำลังกลับมาดำเนินการ ภายหลังปิดดำเนินการในช่วงเดือน มิ.ย. 56 จากการตรวจพบน้ำมันดิบรั่วไหล ทั้งนี้การปิดของท่อดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของอิรักใน เดือน มิ.ย. 56 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2.33 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 2.48 ล้านบาร์เรลต่อวัน

- ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบ Dar Blend ของซูดานใต้สำหรับส่งมอบในเดือน ส.ค. 56 จะเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาแตะระดับ 7 ล้านบาร์เรล ภายหลังซูดานใต้และซูดานสามารถหาข้อยุติจากความขัดแย้งด้านการเมืองและระบบ ท่อขนส่ง อนึ่ง ปริมาณการส่งออก Dar Blend ของซูดานใต้สำหรับส่งมอบในเดือน มิ.ย. 56 และ ก.ค. 56 อยู่ที่ 2.2 ล้านบาร์เรล และ 5 ล้านบาร์เรล ตามลำดับ

- IMF ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกปี 56 จากประมาณการครั้งก่อนในเดือน เม.ย. 56 ที่ 3.3% มาอยู่ที่ 3.1% เพราะเห็นว่าการฟื้นตัวของสหรัฐฯ ยังไม่แข็งแกร่ง ประกอบกับเศรษฐกิจยุโรปถดถอย และเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ขณะที่ภาคการเงินเกิดภาวะเงินทุนไหลเวียนลดลง

- Thomson Reuters/University of Michigan รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเบื้องต้น (Preliminary Consumer Confidence Index) ในเดือน ก.ค. 56 ของสหรัฐฯ ลดลง 0.2 จุด เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 83.9 จุด สวนทางกับนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามยังอยู่ที่ระดับเกือบสูงสุดในรอบ 6 ปี

 

แนวโน้มราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรของนักลงทุน โดย Commodity Futures Trading Commission (CFTC) รายงานกลุ่มผู้จัดการกองทุนปรับเพิ่มสถานะสัญญาซื้อสุทธิ (Net Long Position) น้ำมันดิบ WTI ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า NYMEX ที่นิวยอร์กและ ICE ที่ลอนดอน สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 9 ก.ค. 56 เพิ่มขึ้น 26,107 สัญญาจากสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 330,456 สัญญา ใกล้เคียงสถิติสูงสุดเมื่อ 2 ปีก่อน ด้วยปัจจัยแวดล้อมสนับสนุนต่างๆในช่วง U.S. Summer Driving Season ซึ่งทำให้ความต้องการใช้น้ำมันรวมของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนประเมินว่าปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ของสหรัฐฯ จะลดลงไปอีกในสัปดาห์นี้ หลังจากรวมสองสัปดาห์ก่อนหน้าลดลงกว่า 20 ล้านบาร์เรล เป็นปริมาณมากที่สุดในรอบกว่า 3 ทศวรรษ ผนวกกับอัตราการดำเนินการของโรงกลั่นในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 92.4% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า สูงสุดของปี 56 นอกจากนี้ยังได้แรงสนับสนุนจากราคา Gasoline ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15% นับจากต้นเดือน ก.ค. 56 สูงสุดในรอบสองปีกว่า ประกอบกับอุปสงค์ Gasoline ในสหรัฐฯ เฉลี่ย 4 สัปดาห์อยู่ที่ 9.08 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงสุดในรอบปี ล้วนเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อราคาน้ำมันดิบ ทั้งนี้ยังมีผลสืบเนื่องจากถ้อยแถลงเมื่อสัปดาห์ก่อนของนาย Ben Bernanke ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ว่าการอัดฉีดทางการเงินยังคงเป็นสิ่งจำเป็นต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นการคลายความวิตกให้กับนักลงทุนว่า Fed มีแนวโน้มจะยังไม่ลดขนาดการอัดฉีดในปีนี้ ขณะที่สำนักข่าว Xinhua ของจีนปรับแก้ข่าวที่รายงานการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของจีน นาย Lou Ji Wei ว่าเป้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของจีนอยู่ที่ 7.5% หลังจากรายงานไปก่อนหน้านี้ที่ 7% ทำให้เกิดความกังวลว่าจีนจะปรับลดเป้า GDP

 

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น ภายหลัง Reuters รายงานผลผลิตน้ำมันดิบจากบริเวณทะเลเหนือของอังกฤษและนอร์เวย์ในเดือน ส.ค. 56 จะลดลง 6.6% เมื่อเทียบกับเดือนปัจจุบัน เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุง เสริมกับปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันที่ท่อขนส่ง Trans Niger (1.5 แสนบาร์เรลต่อวัน ) ในไนจีเรียหยุดดำเนินการชั่วคราวเนื่องจากตรวจพบการรั่วไหล

 

ในส่วนของแนวโน้มในระยะยาว IEA คาดการณ์อัตราการเติบโตอุปสงค์น้ำมันดิบโลกในปี 57 จะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (ในปี 56 IEA คาดการณ์อัตราการเติบโตอุปสงค์น้ำมันโลกเติบโตที่ 9.3 แสนบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) และอัตราการเติบโตอุปทานน้ำมันดิบจาก Non-OPEC ในปี 57 ก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สูงสุดในรอบ 20 ปี (และมากกว่าการเติบโตอุปสงค์โลก) โดยหลักจากการเติบโตของผลผลิต Shale Oil จากกลุ่มประเทศในแถบอเมริกาเหนือ (และผลผลิตจากรัสเซีย สหรัฐฯ แคนาดา และบราซิล จะเพิ่มสูงเกินกว่าการคาดการณ์) ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกจากกลุ่มประเทศ OPEC (Call-on-OPEC) ในปี 57 ลดลงมาอยู่ที่ 29.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน (จาก Call-on-OPEC ที่ระดับ 29.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปีนี้ และปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของ OPEC ณ ปัจจุบันที่ระดับ 30.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ตัวเลขจากรายงานดังกล่าวบ่งชี้ว่าบทบาทความสำคัญของ OPEC ในวงการน้ำมันดิบโลกกำลังลดลง เนื่องจากการพึ่งพิงน้ำมันดิบจาก OPEC ลดลง

 

สำหรับในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent มีแนวรับแนวต้านอยู่ที่ 107.02-109.51 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ส่วน WTI อยู่ที่ 104.31-107.45 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และ Dubai อยู่ที่ 102.79-105.28 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

 

สถานการณ์ราคาน้ำมันเบนซิน

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหลักจากการลดลงโดยถ้วนหน้าของปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินเชิงพาณิชย์ของ ประเทศผู้ใช้ โดยของญี่ปุ่น สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 6 ก.ค. 56 ลดลง 5.89 แสนบาร์เรล เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า หรือ 4.29% อยู่ที่ระดับ 13.15 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณสำรอง Light Distillates ของสิงคโปร์ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 ก.ค. 56 ลดลง 7.02 แสนบาร์เรล เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 8.53 ล้านบาร์เรล ต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ด้านปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ ลดลง 2.63 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 221 ล้านบาร์เรล โดยน้ำมันเบนซินยังแข็งแกร่งโดยอินโดนีเซียและเวียดนามยังคงนำเข้า ขณะที่โรงกลั่น CPC ของไต้หวันยังปิดซ่อมบำรุงหน่วย FCC ในสัปดาห์นี้คาดว่าราคาน้ำมันเบนซินจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 124.79-130.79 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

 

สถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซล

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากอุปทานที่ไม่สมดุลกับอุปสงค์ บริษัท Sinopec ซึ่งเป็นบริษัทกลั่นน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย และบริษัท PetroChina ซึ่งเป็นบริษัทกลั่นน้ำมันรายใหญ่ที่สุดอันดับสองในจีน งดส่งออกน้ำมันดีเซล ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ในเดือน ก.ค. 56 เนื่องจากถูกจำกัดโควตาส่งออกจากรัฐบาล และมีแนวโน้มว่าจะต้องงดส่งออกตลอดช่วงไตรมาสที่ 3/56 อย่างไรก็ตาม Platts คาดอินโดนีเซียมีความต้องการน้ำมันดีเซล ในช่วงเดือน ส.ค. 56 ลดลง เนื่องจากธุรกิจในประเทศปิดช่วงเทศกาลวันหยุดเฉลิมฉลองการออกศีลอดของชาว มุสลิม ทั้งนี้อินโดนีเซียนำเข้าน้ำมันดีเซล ปริมาณ 4.5 – 5 ล้านบาร์เรลในเดือนนี้ สูงกว่าเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปีที่ระดับ 2.5-3.5 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์นี้คาดว่าราคาน้ำมันดีเซลจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 121.87-124.36 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

 

ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ(วันที่ 16 กค.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักบริหารเงินจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 31.12/14 บาท/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 31.14/16 บาท/ดอลลาร์

 

"มองว่าเงินบาทแข็งค่าเช้านี้ตาม Major Currency และ Regional และมองว่าเป็นการเล่นรอบมากกว่า ซื้อเข้าและขายทิ้ง เพราะช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ อีกทั้งทองคำยังไม่ยืนเหนือ 1,290 ดอลลาร์/ออนซ์ ก็คงไม่มีอะไรตื่นเต้น หรือถ้าไม่หลุด 1,270 ดอลลาร์/ออนซ์ สถานการณ์เงินบาทก็ไม่น่าจะอ่อนค่ามากมายนัก" นักบริหารเงิน กล่าว

 

นักบริหารเงิน คาดว่าวันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบจำกัด แนวรับแรกอยู่ที่ 31.05 บาท/ดอลลาร์ แนวรับถัดไป 31.00 บาท/ดอลลาร์ แนวต้าน 31.20 บาท/ดอลลาร์

 

* ปัจจัยสำคัญ

 

- ปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 99.77 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ระดับ 99.92/96 เยน/ดอลลาร์

 

- ส่วนเงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.3067 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ระดับ 1.3025/3026 ดอลลาร์/ยูโร

 

- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของ ธปท.วันนี้อยู่ที่ 31.1560 บาท/ดอลลาร์

 

- นักวิเคราะห์ประเมินดัชนีเช้าวันนี้ปรับขึ้นต่อได้แต่ค่อนข้างจำกัดเพราะขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นจิตวิทยาการลงทุน แต่เรื่อง sentiment ที่เป็นบวกยังมีอยู่ ปัจจัยต่างประเทศดาวโจนส์บวกเล็กน้อย ราคาน้ำมันดิบน่าจะทรงตัวสูงขึ้น แนะซื้อหุ้นบิ๊กแคป พลังงาน โรงกลั่น ปิโตรฯ เก็งกำไรระยะสั้น กลุ่มแบงก์ลุ้นงบฯไตรมาส 2 และหุ้นเทิร์นอะราวน์ กรอบ 1,450-1,460 จุด

 

- รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในเร็วๆ นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ (เวิร์กช็อป) กับส่วนราชการและเอกชนในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อรับฟังอุปสรรคการค้าและผลักดันการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลังจากพบว่าในช่วง 5 เดือนแรก การส่งออกหมวดนี้ขยายตัวติดลบ

 

- China Foreign Exchange Trading System (CFETS) รายงานว่า เงินหยวนปรับตัวลง 0.29% แตะที่ 6.1692 หยวนต่อดอลลาร์

 

- ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาของเอเชียลงสู่ระดับ 6.3% ในปี 2556 และลดลงที่ 6.4% ในปี 2557 โดยระบุว่าอุปสงค์ที่ซบเซาต่อเนื่องจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมรายใหญ่ รวมทั้งการขยายตัวที่ชะลอลงของเศรษฐกิจจีนได้บั่นทอนการเติบโต

 

- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงลดลง 30 ดอลลาร์ฮ่องกง เปิดที่ระดับ 11,950 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึง เทียบเท่ากับ 1,292.66 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ลดลง 3.25 ดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.76 ดอลลาร์ฮ่องกงในวันนี้

 

- เจพี มอร์แกนปรับลดการประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจรายปีของจีนในปี 2556 จาก 7.6% สู่ระดับ 7.4% ซึ่งต่ำกว่าเป้าของรัฐบาลที่ 7.5%

 

- นายกรัฐมนตรีมาริอาโน ราฮอยของสเปน ปฏิเสธที่จะลาออกจากตำแหน่ง แม้มีแรงกดดันมากขึ้น อันเนื่องมาจากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการระดมเงินที่ผิดกฎหมายในพรรครัฐบาล

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 16 กรกฎาคม 2556)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไม่รู้ว่า เขามาเปิดที่นี่ พรุ่งนี้ คนจะเยอะมั้ยเนี่ย เดินทางสะดวกดี

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไม่รู้ว่า เขามาเปิดที่นี่ พรุ่งนี้ คนจะเยอะมั้ยเนี่ย เดินทางสะดวกดี

 

หน้าร้าน เยอะ มาก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...