ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

 

 

ลีกวนยูมองอะไรในอเมริกา? (2) / จบ

 

 

มี1ด้วยมั้ยครับ ผมค้นด้วยอากู๋แล้วไม่เจอครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

  • รัฐบานหมีขาวสั่งให้โอนกองทุนบำนาญเอกชนเข้ามาเป็นกองทุนบำนาญของรัฐบานเป็นการชั่วคราว
  • ที่ต้องทำตามนี้ ก็เพราะรัฐบานหมีขาว เป็นห่วงว่ากองทุนเอกชนจะไม่ปลอดภัย เลยจะโอนมาเป็นของรัฐก่อน ในระหว่างที่รัฐบานหมีขาวจะใช้เวลาประมาณ ๑ ปี ในการศึกษากองทุนดังกล่าว
  • นักวิแคะมองว่ารัฐบานหมีขาวอาจจะอยากเอาเงินกองทุนดังกล่าว มาอุดกองทุนบำนาญของรัฐบาน ซึ่งเงินขาดมือจนต้องทำให้เอางบของรัฐมาจ่ายเหมือนในอดีต
  • ที่จะเอางบไปอุดกองทุนบำนาญไม่ไหว ก็เป็นเพราะว่ารัฐบานก็เงินไม่พอใช้เหมือนกันเนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ, การลงทุนในประเทศที่ลดลง, และความต้องการสินค้าส่งออกของแดนหมีขาวลดลง

:38 :38 :38

 

http://www.jsmineset.com/2013/10/06/in-the-news-today-1670/

http://blogs.wsj.com/emergingeurope/2013/10/03/russia-to-grab-pension-money-temporarily/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มี1ด้วยมั้ยครับ ผมค้นด้วยอากู๋แล้วไม่เจอครับ

 

ลีกวนยูมองอะไรในอเมริกา? (1)

 

--อเมริกาจะยังคงยิ่งใหญ่ต่อไปหรือไม่ในทศวรรษหน้านี้?

 

เราได้นำเสนอจีนจากสายตาของลีกวนยูไปสองตอนแล้ว ทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และยุทธศาสตร์ที่ควรจะเป็น ตอนต่อไปนี้เป็นตอนสำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะทำให้เราทราบมุมมองของผู้นำระดับโลกเช่นลีกวนยูในการประเมินสถานการณ์อเมริกาตามความเป็นจริง -- SIU ค่อนข้างเห็นพ้องกับลีกวนยูหลายประเด็น เรามาติดตามดูกันครับ

 

และเราจะปิดท้ายซีรี่ส์นี้ด้วยการปรับตัวของสองยักษ์มหาอำนาจนี้ และผลกระทบกับการเมืองเศรษฐกิจโลก พร้อมทั้งความท้าทายต่อไป

 

คำถาม: อเมริกากำลังตกอยู่ในการ "อ่อนกำลังลง" อย่างเป็นระบบหรือไม่?

ลีตอบ: ไม่เลย แม้ว่าอเมริกากำลังตกที่นั่งลำบากในการแก้ปัญหาเรื่องหนี้และการขาดดุลงบประมาณ แต่ผมไม่เคยสงสัยเลยว่าอเมริกาจะกำลังตกต่ำลงเป็นประเทศชั้นสอง

 

อเมริกาแสดงให้เราเห็นว่าพวกเขาสามารถฟื้นตัวและกลับคืนมาได้แล้วในประวัติศาสตร์ จุดแข็งของอเมริกาไม่ได้อยู่แค่เรื่องความคิด แต่สามารถคิดได้กว้างขวาง เต็มไปด้วยจินตนาการ และมีลักษณะมุ่งผลสัมฤทธิ์ พวกเขามีศูนย์ความเป็นเลิศหลากหลายที่จะแข่งขันกันสร้างนวัตกรรม ค้นหาแนวคิดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ แถมสังคมนี้ยังสามารถดึงดูดอัจฉริยะหลากหลายจากทั่วโลกมารวมตัวกัน ภาษาอังกฤษที่อเมริกาใช้เป็นหลักนั้นเล่าก็เป็นภาษาของโลก (lingua franca) ที่เป็นที่ยอมรับของผู้นำในด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม ธุรกิจ การศึกษา การทูต และแม้กระทั่งใครก็ตามที่สามารถไต่เต้าขึ้นไปถึงระดับบนสุดของสังคมของตนทั่วโลก

 

แม้ว่าอเมริกาจะเผชิญหน้าความยากลำบากทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่จิตวิญญาณด้านการสร้างสรรค์ ความสามารถในการฟื้นฟูสภาพ และการสร้างนวัตกรม จะทำให้ให้พวกเขาสามารถหยัดยืนต่อปัญหาหลักต่าง ๆ ได้ แล้วสามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้น แล้วฟื้นขีดความสามารถในการแข่งขันกลับมาอีกครั้ง

 

ในอีกสองสามทศวรรษข้างหน้า อเมริกายังคงเป็นสุดยอดอำนาจขั้วเดี่ยว อเมริกามีพลังอำนาจทางทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และมีระบบเศรษฐกิจที่มีความเป็นพลวัตสูงที่สุดด้วยเช่นกัน ในระบบเศรษฐกิจนั้นมีจักรกลในการสร้างการเติบโตอยู่สามประการคือ นวัตกรรม ความสามารถในด้านผลิตภาพ และ การบริโภค

 

อเมริกายังคงเป็นผู้กำหนดเกมในช่วงระยะเวลาอีกสามสิบปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสันติภาพ หรือเสถียรภาพในระดับนานาชาติใดก็ตามไม่อาจแก้ไขได้หากปราศจากการนำของอเมริกา ยังไม่มีประเทศ หรือกลุ่มประเทศใดก็ตามในโลกที่สามารถแทนที่อเมริกาในฐานะอำนาจที่สามารถบงการโลกได้

 

อเมริกาเผชิญความท้าทายจากสงครามก่อการร้ายในช่วง 9/11 ความช็อคจากสถานการณ์ในขณะนั้นไม่สามารถหยุดยั้งพวกเขาได้ และพวกเขาไม่รีรอที่จะใช้พลังอำนาจทางทหารเพื่อเปลี่ยนเกมจากพวกก่อการร้าย ตามล่าไปสุดขอบโลก พบแล้วทำลายเครือข่ายก่อการร้ายอย่างถอนรากถอนโคน

 

ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า อเมริกากำลังจะกลายเป็น "จักรวรรดิ์อเมริกา" แบบเสมือนจริง ไม่ว่าเราจะทำงานอยู่ส่วนใดบนผืนพิภพ เราจำเป็นจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับกิจการและผลิตภัณฑ์ของบรรษัทอเมริกัน ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า จักรวรรดิ์จะต้องรวบรวมผู้คนต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างศาสนา เข้าเป็นหนึ่งเดียว

 

คำถาม: จุดแข็งของอเมริกาคืออะไร?

ลีตอบ: ทัศนะที่ว่า "เราสามารถทำได้" (a can-do approach to life) ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ทุกสิ่งสามารถถูกแยก ถูกวิเคราะห์ และถูกรื้อกำหนดใหม่ขึ้นมาได้ ต่อให้ทำได้หรือไม่ก็ตาม คนอเมริกันเชื่อว่ามันสามารถแก้ไขได้ ถ้าใส่เงิน การวิจัย และความพยายามลงไปเพียงพอ ลีบอกว่าตลอดช่วงชีวิตเขาได้เห็นอเมริกาได้ปรับแต่งและปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของตนครั้งแล้วครั้งเล่า นับแต่พวกเขาจมลงในทศวรรษ 1980 แล้วดูเหมือนกับญี่ปุ่นและเยอรมนีจะแซงหน้าอเมริกาไป แต่แล้วเศรษฐกิจอเมริกาก็หวนกลับมาคำรามอีกครั้ง ระบบของอเมริกาเป็นระบบที่มีความยอดเยี่ยม มันมีขีดความสามารถในการแข่งขันเหนือใคร

 

สิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาสามารถเอาชนะคนอื่นได้คือ วัฒนธรรมผู้ประกอบการ ทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนมองว่าความเสี่ยงและความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต และมีความจำเป็นต่อการประสบความสำเร็จ เมื่อพวกเขาล้มเหลว พวกเขาก็ลุกขึ้นใหม่แล้วเริ่มต้นด้วยความสดชื่นอีกครั้ง ตอนนี้ทั้งญี่ปุ่นและยุโรปจำต้องหาทางรับวัฒนธรรมนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถการแข่งขันของตน แต่ปัญหาคือวัฒนธรรมอเมริกันแบบนี้ขัดแย้งกับวัฒนธรรมที่เน้นความเป็นส่วนรวมของพวกเขา อาทิเช่นญี่ปุ่นมีประเพณีการจ้างงานชั่วชีวิต พวกเยอรมันมีระบบสหภาพที่ต้องทำการตัดสินใจร่วมกับระดับบริหาร ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสสนับสนุนสหภาพกดดันนายจ้างให้ต้องจ่ายค่าชดเชยหากมีการปลดคนงานออก

 

สหรัฐอเมริกาเป็นสังคม "ชายแดน" พวกเขาเชื่อในเรื่องการสร้างกิจการใหม่และสร้างความมั่งคั่ง นี่ทำให้สหรัฐเป็นสังคมที่มีพลวัตในการสร้างนวัตกรรม แล้วสร้างบริษัทเกิดใหม่เพื่อหาทางทำมาค้าายกับนวัตกรรมที่ค้นพบใหม่นั้นให้ได้ และนั่นก็คือการสร้างความมั่งคั่งใหม่ ๆ ขึ้นมา สังคมอเมริกันจึงเป็นสังคมที่มีความเคลื่อนไหวและความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุก ๆ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในอเมริกา จะมีคนมากกว่าจำนวนมากที่ต้องพยายามแล้วก็ล้มเหลว คนน้อยลงไปอีกที่ล้มเหลวแล้วยังพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งประสบความสำเร็จ แล้วน้อยยิ่งกว่าน้อยที่เมื่อประสบความสำเร็จแล้วก็ยังจะสร้างและเริ่มกิจการใหม่ ๆ ให้เติบโตเพิ่มต่อไปอีก นี่เป็นจิตวิยญาณที่สร้างเศรษฐกิจที่เปี่ยมพลวัต

 

วัฒนธรรมของอเมริกันนั้นหรือ ก็คือเริ่มจากศูนย์แล้วเอาชนะคุณ!

 

ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่ลีให้ความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะต้องฟื้นตัวกลับมาอย่างแน่นอน เมื่ออเมริกันพ่ายให้กับญี่ปุ่นและเยอรมันในการผลิต พวกเขากลับมาด้วย อินเทอร์เน็ต ไมโครซอฟต์ บิลล์ เกตส์ และเดลล์ มีกรอบความคิดแบบไหนที่ทำให้คุณทำได้แบบนี้บ้าง? นี่แหละที่เป็นเส้นทางในประวัติศาสตร์ของพวกเขา พวกเขาเดินทางไปในทวีปที่รกร้างว่างเปล่า แล้วฆ่าพวกอินเดียนแดง ยึดเอาทุ่งไร่ท้องนาและฝูงกระทิง จากนั้นก็พวกเขาก็ตกลงกันเองว่า ใครจะสร้างเมืองที่นั่นที่นี่ แล้วก็ให้ใครสักคนเป็นนายอำเภอ ใครอีกคนเป็นผู้พิพากษา อีกคนเป็นตำรวจ ส่วนอีกคนเป็นทนายความ แล้วก็เริ่มลงมือกันเลย วัฒนธรรมแบบนี้แหละยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน มันเป็นความเชื่อว่าเราสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้

 

ถ้ามองในเชิงสถิติ เป็นกราฟแบบระฆังคว่ำ อเมริกันเมื่อเปรียบเทียบกับยุโรปหรือญี่ปุ่น พวกเขามีพวกสุดปลายทั้งสองขั้วมากกว่า นั่นหมายถึงว่ามีโอกาสในการเกิดความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมยิ่งกว่าด้วย ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะสัคมอเมริกันให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกสูงสุด และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมอเมริกันมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ล้ำหน้า พร้อมทั้งมีประสิทธิภาพจนถึงขีดสุดและสูงกว่าใครเพื่อน

 

อเมริกาเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แค่จากอำนาจและความมั่งคั่ง แต่เป็นเพราะพวกเขาขับเคลื่อนประเทศชาติไปตามอุดมคติอันสูงส่ง เราไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าทำไมอเมริกาใช้พลังของตนผ่านสงครามโลกทั้งสองครั้ง และสงครามเย็น พวกเขายังคงแบ่งปันความมั่งคั่งของตน เพื่อสร้างโลกที่มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง อาจจะพูดได้ว่าอเมริกาใช้กำปั้นน้อยกว่ามหาอำนาจในอดีตที่เคยมีมา ตราบใดที่เศรษฐกิจอเมริกายังคงเป็นตัวนำในโลก ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ตราบนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุโรป ญี่ปุ่น หรือ จีน ก็ไม่สามารถจะแทนที่ตำแหน่งที่โดดเด่นเหนือประเทศอื่นได้ในปัจจุบัน.

 

 

เข้าไปหาอ่านเรื่องอื่นๆมากมายจากนี่เลยครับ

https://www.facebook...iamintelligence

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลีกวนยูมองจีน (1)

 

หนังสือเล่มใหม่ "LEE KUAN YEW : The grand master's insights on China, the United States, and the Wold" ซึ่งเป็นการรวมบทสัมภาษณ์ในที่ต่าง ๆ ของลีกวนยู โดยใช้การพูดคุยระหว่างลีกวนยูกับนักวิจัยจาก belfer center for science and international affairs จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเป็นแกนกลางในการเดินเรื่อง

 

หนังสือเล่มนี้ได้ เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และอดีตประธานสภาความมั่นคงสมัยประธานาธิบดี นิกสันและฟอร์ด มาเขียนคำนิยมให้ พอจะคาดเดาได้ว่าคิสซิงเจอร์เมื่อเขียนคำนิยมก็ต้องพูดถึงลีในแง่ดี แต่ถ้าเราอ่านระหว่างบรรทัดของคำนิยมนี้ เราจะพอคาดเดาได้ว่ามุมมองแบบไหนที่ "ถูกใช้" และ "ได้รับการยอมรับ" ในแวดวงนักนโยบายของเวทีการเมืองระหว่างประเทศ

 

...

 

"His analysis is of such quality and depth that his counterparts consider meeting with him as a way to educate theselves. For three generations now, whenever Lee comes to Washington, he meets with an array of people spanning the top ranks of the American government and foreign policy community. His discussions occur in an atmostphere of rare candor borne of high regard and long-shared experience. Every American president who has dealth with him has benefited from the fact that, on international issus, he has identified the future of his country with the fate of democracies. Furthurmore, Lee can tell us about the nature of the world that we face, with especially penetrating insights into the thinking of his region."

 

และแน่นอนความคิดเห็นของลีที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และเหล่าผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ เข้าพบลีกวนยูนั้น จะเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้ นอกจากความคิดเห็นเรื่องร้อนแรงอย่าง "จีน" และ "อนาคตของจีน"

 

คำถาม: จีนต้องการแทนที่สหรัฐเพื่อเป็นที่ 1 แทนในเอเชียไหม

ลีตอบ: จีนต้องการขึ้นเป็นที่ 1 แทนสหรัฐอย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยในเรื่องนี้เลย โกลด์แมนแซคทำนายว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าด้วยอัตราขนาดนี้ เศรษฐกิจจีนจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จีนกำลังไล่ตามสหรัฐทั้งการส่งคนขึ้นไปบนอวกาศ และใช้มิสไซล์ยิงดาวเทียม แล้วพวกเขายังมีวัฒนธรรมอายุ 4,000 ปี คนอีก 1.3 พันล้านคน เอาแค่ส่วนน้อยในนี้ก็สามารถดึงกลุ่มอัจฉริยะมาได้ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว

 

ตลาดของคน 1.3 พันล้านคนนี้ มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะปฏิเสธได้และทั้งรายได้และกำลังซื้อมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น

 

แต่จีนจะไม่มีวันเป็น "ประเทศตะวันตก" เด็ดขาด จีนจะเป็นจีนและต้องการให้ประเทศตะวันตกยอมรับจีนในเรื่องนี้

 

คำถาม: ถ้าจีนเป็นมหาอำนาจได้จริง จีนจะเป็นอย่างไร

ลีตอบ: ในความคิดของจีน แต่เดิมมาจีนคือ "อาณาจักรกลาง" (จงกั๋ว หรือ 中国) ในเอเชียสมัยโบราณ จีนเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และประเทศอื่นรอบจีนต้องยอมรับอำนาจของจีน (เช่นการส่งบรรณาการมาคำนับ)

 

ไม่มีใครในเอเชีย (หรืออาเซียน) จะแน่ใจได้ว่าจีนจะทำตัวแบบเดียวกับสหรัฐแบบที่เคยเป็นมา จีนต้องการให้ประเทศอื่นในเอเชียให้การเคารพนับถือจีน จีนอาจจะพูดว่าไม่ว่าประเทศจะใหญ่หรือเล็กต่างก็เท่าเทียมกัน แต่ในความเป็นจริงหากเราทำอะไรที่ทำให้จีนไม่พอใจ จีนก็จะบอกว่าคุณกำลังทำให้คน 1.3 พันล้านไม่พอใจนะ ช่วยรู้ที่รู้ทางของคุณหน่อย

 

คำถาม: ยุทธศาสตร์ของจีนที่จะเป็นที่ 1 คืออะไร

ลีตอบ: จีนจะไม่ท้าทายสหรัฐโดยตรง เพราะในขณะนี้สหรัฐมีความเข้มแข็งทางการทหาร และเทคโนโลยีที่เหนือกว่า แต่จีนจะใช้จำนวนคนที่มากกว่า ที่มีทั้งฝีมือและการศึกษาในการ ขายของถูก สร้างของถูก กว่าคนอื่น ๆ

 

จีนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของ เยอรมนี และ ญี่ปุ่น ที่ไปท้าทายระเบียบโลกในขณะนั้นโดยตรง จึงต้องประสบหายนะ ซึ่งจีนไม่โง่ และจีนจะใช้รายได้ประชาชาติ GDP ไม่ใช่รายได้ประชาชาติต่อหัว (จีนไม่สนใจรายได้ต่อคน เท่ากับรายได้ประเทศโดยรวม) เป็นอำนาจในการต่อรอง

 

แม้ขีดความสามารถทางการทหารของจีนจะไม่สามารถทัดเทียมกับสหรัฐในเวลาอันใกล้ แต่จีนจะพัฒนามาตรการแบบไม่สมมาตร (asysmmetrical means) เพื่อทอนกำลังทหารของสหรัฐลง

 

จีนเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การเติบโตของตนนั้นขึ้นกับการนำเข้า พลังงาน วัตถุดิบ และ อาหาร *ดังนั้นจีนต้องการเส้นทางขนส่งทางทะเล* ดังนั้นสิ่งที่ปักกิ่งกังวลที่สุดคือ *ช่องแคบมะละกา*

 

จีนสามารถรอได้ถึง 30 - 50 ปี ที่จะใช้ช่วงเวลานี้ค่อย ๆ สั่งสมกำลังทั้งทางเศรษฐกิจและทางทหาร "อย่างสันติ" ค่อย ๆ เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจรวมศูนย์แบบคอมมิวนิสต์ ให้กลายเป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาด

 

จีนจะไม่เดินซ้ำรอย เยอรมนีและญี่ปุ่น ส่วนข้อผิดพลาดของโซเวียตก็คือพวกเขาให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายทางทหารมากจนเกินไป และให้ความสนใจกับเทคโนโลยีของพลเรือนน้อยเกินไป ดังนั้นเศรษฐกิจของโซเวียตจึงล่มสลาย ผู้นำจีนรู้ดีว่าถ้าเมื่อไหร่จีนไปแข่งขันสะสมอาวุธกับอเมริกา จีนจะหมดตัวทันที

 

ดังนั้นจีนจะยอมก้มหัวให้ "ในช่วงนี้" ยิ้มรอเวลาอีก 40 - 50 ปี หรือนานกว่านั้นก็ได้!

 

เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ จีนจะมุ่งเน้นเรื่องการศึกษาให้กับเยาวชน โดยคัดเลือกคนที่มีสติปัญญาสูงสุด ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้ง เศรษฐกิจ การบริหารธุรกิจ และภาษาอังกฤษ

 

สำหรับยุทธศาสตร์ของจีนต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีง่าย ๆคือ "มาเติบโตกับเราสิ"

 

จีนจะดึงดูดประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าไปในขอบเขตอิทธิพลของตน ด้วยอำนาจอันล้นเหลือทางเศรษฐกิจ เพราะขนาดตลาดของจีนและกำลังซื้อของจีนจะมีขนาดใหญ่จนยากปฏิเสธได้ แม้แต่ญี่ปุ่น เกาหลี ใต้หวัน ก็จะถูกจีน "กลืน" อย่าง "สันติ"

 

ประเทศอื่นในเอเชียยังอยากให้สหรัฐอยู่ในเอเชียแปซิฟิคเพื่อคานอำนาจจีน อันที่จริงสหรัฐฯ ควรจะสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษกับประเทศอื่นในเอเชีย (อย่าง TPP) ให้สำเร็จก่อนหน้านี้สัก 30 ปี แต่ตอนนี้สายไปเสียแล้ว

 

จีนจะเน้นย้ำว่าพวกเขาจะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจในการขยายเขตอิทธิพลของตนในเอเชีย ดังนั้นเครื่องมือที่พวกเขาจะใช้ในขณะนี้คือ เวทีทางการทูต ไม่ใช่การใช้กำลังทางทหาร.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลีกวนยูมองจีน (2) / จบ

 

มุมมองของลีกวนยูต่อจีนในหนังสือ "LEE KUAN YEW : The grand master's insights on China, the United States, and the World"

คำถาม: จุดอ่อนของจีนมีอะไรบ้าง

ลีตอบ: ตอนนี้จุดอ่อนภายในของจีนอยู่ที่ วัฒนธรรม, ภาษา และการไม่สามารถดึงดูดผู้ที่มีพรสวรรค์จากต่างประเทศ รวมทั้งระบบการปกครอง

 

ลีกวนยูมองว่าตอนนี้ภาษาอังกฤษ *เป็นภาษาของโลกไปแล้ว* ต่อให้จีนเปิดรับให้มีผู้ย้ายถิ่นเข้าไปในประเทศได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าคนเลือกได้ก็จะเลือกไปอเมริกามากกว่า การจะอยู่อาศัยในจีนได้ต้องใช้ภาษาจีนและระบบภาษาจีนนั้นยุ่งยากกว่ามาก ลีกวนยูเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ว่าเป็นคนเชื้อชาติจีนเหมือนกัน แต่สิงคโปร์จงใจเลือกภาษาอังกฤษเป็นหลัก และภาษาจีนเป็นรอง ลีบอกว่าสิงคโปร์ตั้งใจในเรื่องนี้เพื่อทำให้คนสิงคโปร์สามารถเชื่อมตัวเองเข้ากับโลกได้ และสามารถเข้าถึงวิทยาการและนวัตกรรมที่ล้ำหน้า การเข้าถึงเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ผ่านตัวภาษา แต่ยังเป็นระบบคิดที่ถูกครอบด้วยตัวภาษาอังกฤษอีกชั้นหนึ่ง ลีกวนยูบอกว่าเคยแนะนำผู้นำจีนเรื่องนโยบายภาษานี้ แต่จีนมีวัฒนธรรมและความภาคภูมิใจที่เข้มแข็งเกินกว่าจะทำเช่นเดียวกับสิงคโปร์ได้

 

ในแง่วัฒนธรรม แม้จีนจะสามารถไล่กวดทันสหรัฐในแง่เศรษฐกิจ แต่ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมจะไม่สามารถไล่ทันอเมริกาได้เลย เพราะจีนมีวัฒนธรรมที่จะไม่ยอมให้มีการแลกเปลี่ยนหรือแข่งขันทางความคิดอย่างเสรี ลีกวนยูชวนให้คิดถึงตรรกะง่าย ๆ ที่ว่า เป็นไปได้อย่างไรที่ประเทศที่มีประชากรมากกว่าอเมริกาถึงสี่เท่าแถมยังมีผู้คนที่มีความสามารถเต็มไปหมด แต่กลับไม่สามารถคิดเทคโนโลยีที่ล้ำยุคออกมาได้เลย?

 

ธรรมเนียมของจีนนั้นเมื่อส่วนกลางเข้มแข็ง ส่วนภูมิภาคก็อ่อนแอ และในทำนองกลับกันส่วนภูมิภาคเข้มแข็งเมื่อไหร่ ส่วนกลางก็จะอ่อนแอ เมื่อส่วนกลางอ่อนแอ "จักรพรรดิก็จะอยู่ห่างออกไปและภูเขาก็จะสูงชันขึ้น" สิ่งเดียวที่จีนกลัวก็คือการที่จีนจะคุมมวลชนของตนไม่อยู่ จีนรู้ว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อใด

 

นอกจากนี้ก็มีปัญหาเรื่องขนาดอันใหญ่โตของประเทศ ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ย่ำแย่ ความอ่อนแอของสถาบัน ผลตกค้างของระบบเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของโซเวียตที่จีนเคยนำมาใช้

 

ปัญหาใหญ่ที่สุดของจีนคือความแตกต่างระหว่างเมืองแถบชายฝั่งทะเลที่ร่ำรวย และเมืองในเขตที่ลึกเข้ามาในพื้นทวีปที่ยากจน (รวมทั้งความเหลื่อมล้ำในตัวเมืองเหล่านั้นด้วย) สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นปัจจัยทำให้เกิดการจราจลและอาจลุกลามบานปลายได้

 

ลีกวนยูมองว่า เทคโนโลยีจะทำให้ระบอบการปกครองของจีนล้าสมัย ภายในอีก 20 ปีข้างหน้า (2030) เมืองต่าง ๆ ของจีนจะต้องรองรับประชากรราว 70 - 75% คนเหล่านี้จะมีทั้ง โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต ทีวีดาวเทียม แล้วคนเหล่านี้ก็จะสามารถเข้าถึงความรู้จากนอกประเทศได้ สามารถจัดตั้งกันเองได้ พอเมื่อเป็นดังนั้นแล้วระบบการปกครองแบบปัจจุบันจะใช้ไม่ได้อีก การตรวจสอบสอดส่องคนต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ทำไม่ได้ เพราะมีคนมากเกินไปที่จะทำได้ทั่วถึง

 

แต่จีนอาจผ่อนปัญหานี้ลงไปได้บ้างถ้าใช้วิธีแบบ "สัมฤทธิผลนิยม" คือยังคงใช้ระบบควบคุมอย่างเข้มงวด เหมือนที่จีนทำอยู่แล้ว ไม่อนุญาตให้มีการจราจลไม่อนุญาตให้มีการประท้วง แล้วค่อย ๆ โอนอำนาจให้กับท้องถิ่น และคนชั้นล่างลงไป

 

คำถาม: จีนต้องการบรรลุเป้าหมายการเป็นหมายเลข 1 เร็วช้าเท่าใด

ลีตอบ: จีนไม่เร่งรีบที่จะเป็นหมายเลข 1 ของโลกแทนสหรัฐ การมีพื้นที่อยู่ใน G20 ก็โอเคสำหรับจีน ในกลุ่มนี้มุมมองของจีนก็จะถูกรับทราบอย่างชัดแจ้งและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็ได้รับการปกป้อง แต่ต้นทุนในการรับผิดชอบก็จะกระจายออกไปให้กับอีก 19 ประเทศที่เหลือด้วย

 

ชนชั้นนำจีนแม้ว่าจะมีมุมมองที่ค่อนไปทางระมัดระวังตัวและอนุรักษ์นิยม แต่พวกเขาก็จะทำงานบนพื้นฐานของฉันทามติมากกว่าการโหวต และด้วยมุมมองระยะยาว ดังนั้นศตวรรษที่ 21 ก็อาจเป็นศตวรรษของจีนก็ได้ หรือแชร์ร่วมกันกับสหรัฐก็ได้ แต่หลังจากนั้นศตวรรษของจีนก็จะตามมาอยู่ดี

 

คำถาม : จีนมองบทบาทของสหรัฐในเอเชียอย่างไร

ลีตอบ : จีนไม่เคยประมาทศักยภาพของประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ที่สามารถครองความเป็นผู้นำในภูมิภาคต่อเนื่องกันถึงเจ็ดทศวรรษ นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

 

สหรัฐยังประกันเสถียรภาพด้านความมั่นคงให้กับ ญี่ปุ่น ประเทศเสือเอเชียทั้งหลาย รวมถึงจีนเองด้วย จีนทราบดีว่าพวกเขายังต้องการตลาดของสหรัฐ เทคโนโลยีของสหรัฐ และการส่งนักศึกษาจีนไปเรียนต่อสหรัฐ เพื่อนำเอาความรู้ล้ำหน้าที่สุดของโลกกลับมาใช้ยังจีน ดังนั้นจีนมองไม่เห็นประโยชน์ที่จะไปต่อกรกับสหรัฐในช่วง 20 - 30 ปีนับจากนี้

 

ตรงข้ามจีนจะยอมรับระเบียบโลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบันค่อย ๆ รอเวลาที่เข้มแข็งพอที่จะ "นิยาม" ระเบียบการเมืองและเศรษฐกิจโลกขึ้นมาใหม่

 

คำถาม: จีนจะยังคงการเติบโตด้วยตัวเลขสองหลักไปอีกหรือไม่

ลีตอบ: สามทศวรรษที่ผ่านมาจีนเติบโตในอัตราเฉลี่ย 10% ต่อปีบางครั้งถึง 12% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ไม่ธรรมดา ลีมองว่าจีนน่าจะยังคงการเติบโตในอัตรานี้ได้อยู่ในทศวรรษข้างหน้า เพราะจีนมาจากฐานการเติบโตที่ต่ำ และจำนวนผู้บริโภคขนาด 1.3 พันล้านจะช่วยเพิ่มการเติบโตได้แน่

 

คำถาม : จีนจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่

ลีตอบ: จีนไม่มีทางเป็นประเทศที่เป็น "เสรีประชาธิปไตย" เพราะถ้าเป็นเมื่อไหร่ จีนจะล่มสลายทันที

 

ลีบอกว่าปัญญาชนจีนเองก็ตระหนักเรื่องนี้ดี การปฏิวัติประเทศให้เป็นประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นยาก ลีชี้ให้ดูขบวนนักศึกษาสมัยเทียนอันเหมิน เดี๋ยวนี้พวกเขาหายไปไหนแล้ว? คนจีนต้องการจีนให้ฟื้นกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ต่างหาก

 

แต่ถ้าพูดถึงระบอบประชาธิปไตยในระดับหมู่บ้านและเมืองเล็ก ๆ อันนี้พอเป็นไปได้ แม้จะมีแรงต้านพวกนี้อยู่แต่จะค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ระบบการสื่อสารและอินเทอร์เน็ตจะช่วยเร่งแนวโน้มนี้เพิ่มมากขึ้น

 

แต่ระบบส่วนกลางอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบัน จะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนักในอีก 50 ปีข้างหน้า

 

ชนชั้นนำจีนจะยอมรับเทคนิคใหม่ ๆ ยกเว้นเส้นทางประชาธิปไตย ที่อนุญาตให้มีการลงคะแนนเสียงเท่ากันทุกคน และระบบหลายพรรคการเมือง เพราะพรรคคอมมิวนิสต์ต้องการควบคุมเสถียรภาพทางการเมือง และพวกเขาไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ที่มีขุนศึกควบคุมเขตต่าง ๆ ในท้องถิ่นอย่างในสมัย ทศวรรษ 1920 และ 1930

 

คำถาม : แล้วจีนจะเป็นที่ 1 ได้ไหม

ลีตอบ : จีนต้องตระหนักว่าศักยภาพตนเองอยู่ที่เศรษฐกิจไม่ใช่การทหาร จีนมีกำลังคนมากและสามารถผลิตของได้ถูกกว่าใครในโลก อิทธิพลของจีนในแง่นี้จะเติบโตมากขึ้นและมากขึ้นจนเกินศักยภาพอเมริกา

 

จีนอาจมีโอกาสมีปัญหาเหมือนกัน ถ้าผู้นำของจีนที่ถูกเลือกขึ้นมาไม่ตระหนักถึงแนวทางนี้ ซึ่งมีลักษณะสัมฤทธิผลนิยมมากกว่าเป็นไปตามอุดมการณ์ทางการเมือง โอกาสที่ว่านี้ลีมองว่ามีสัก 20% ลีไม่ถึงกับมองว่าเป็นไปไม่ได้เลย และโอกาสนี้ก็อาจจะเพิ่มมากขึ้นเพราะจีนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของ ระบบการเมืองภายใน วัฒนธรรมทางธุรกิจ การลดปัญหาการคอรัปชั่น และการสร้างแนวคิดใหม่ ๆ ขึ้นมา

 

ลีมองในแง่ดีว่า ศตวรรษที่ 21 เป็นศตวรรษที่ฟื้นกลับคืนมาของเอเชียในโลก มีหายนะที่อยู่ในการคาดการณ์น้อยเต็มทีที่จะทำให้จีนแตกเป็นเสี่ยงและกลับไปเป็นประเทศที่มีพวกขุนศึกคอยรบกันอีก แต่จีนจะต้องตระหนักถึงเรื่องการศึกษากับประชาชนของตนในการเข้าถึงวิทยาการและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า เพื่อที่จะทำให้สังคมเป็นอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบในก้าวแรก ถัดจากนั้นก็จะบรรลุถึงสังคมไฮเทคโนโลยีในก้าวถัดไป กระบวนการทั้งหมดนี้อาจใช้เวลา 50 - 100 ปี

 

(ลีมองอินเดียตรงข้ามกับจีนว่า การทำประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมได้ไม่ดีเท่าจีน แต่ไปเน้นการบริการ ซึ่งทำให้ประเทศไม่มีความเข้มแข็งเท่าจีนในขณะนี้)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
:047 ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

 

5 ชั่วโมงที่แล้ว

 

 

 

ตอบคำถามQUIZ

 

Business Insider รายงานว่าถ้าฝ่ายรีพับรีกันไม่โหวตให้ยกเพดานหนี้ภายในวันที่17ตุลาคมนี้ ซึ่งจะมีผลให้สหรัฐฯผิดชำระหนี้ ประธานาธิบดีโอบามาสามารถใช้สิทธิ์ของฝ่ายบริหารที่หลายคนเชื่อว่าเขามี เพื่อเพิ่มเพดานหนี้

 

และโอบามาไม่ควรเพิ่ม$1-$2 ล้านล้าน แต่ควรเพิ่มจาก$16.7ล้านล้าน เป็น$25ล้านล้านไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เพื่อให้ต่อยอดไปถึงคอนเกรซหรือประธานาธิบดีสมัยหน้า

 

ท่านเห็นด้วยในข้อเสนอนี้หรือเปล่า? >

 

๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕

 

ผมขอลองตอบคำถามดูอย่างนี้

 

โอบามากำลังเจอวิกฤตหนี้ที่กำลังต้อนเขาเข้ามุมอับ ถ้าไม่ทำอะไรที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินโอบามาอาจจะถูกในบันทึกประวัติศาสตร์ว่า เป็นคำทำให้สหรัฐฯอเมริกาล้มละลายคาเก้าอี้ประธานาธิบดี ลองดูเป็นข้อๆดังนี้:

 

1. ตอนโอบามาเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี2009 หนี้รัฐบาลสหรัฐฯอยู่ที่$10ล้านล้าน แต่ตอนนี้พุ่งมาชนเพดานที่$16.7ล้านล้าน หรือเพิ่มขึ้น$7ล้านล้านใน4ปีครึ่ง อยู่ไปอีก3ปีครึ่ง หนี้รัฐบาลน่าจะพุ่งไปที่$21-$22 ล้านล้านหรือมากกว่า

 

2. หนี้$16.7ล้านล้านเทียบเท่า100%ต่อจีดีพีแล้ว ถ้าต้องเพิ่มหนี้อีกเป็น$25ล้านล้านตามข้อเสนอของBusiness Insider หนี้จะพุ่งเป็น150%ต่อจีดีพี กรีซดีๆนี่เอง

 

3. หนี้นอกงบประมาณสหรัฐฯ (unfunded liabilities) เช่นพวกประกันสุขภาพ หรือประกันสังคม บำนาญต่างๆ อยู่ที่ $220ล้านล้าน ไม่มีทางใช้หนี้จำนวนนี้ได้

 

4. เฟดทำQEเพิ่มงบดุลบัญชีไปแล้วเกือบ$3ล้านล้าน ในระยะ3ปีครึ่งข้างหน้า มีโอกาสเพิ่มQEด้วยซ้ำเพื่อซื้อบอนด์รัฐบาล เพราะหาคนอื่นซื้อไม่ได้ แต่เฟดจะไม่น่าจะเพิ่มงบดุลไปถึง$6-$7ล้านล้านได้ ก่อนที่ดอลล่าร์จะพังเป็นกระดาษไปก่อน เพราะว่าตลาดไม่น่าจะให้เฟดทำเช่นนั้น จะมีการขายบอนด์สหรัฐฯหรือดอลล่าร์ออกมาจนเอาไม่อยู่

 

5. เฟดกดดอกเบี้ย0% มา5ปีแล้ว ไม่น่าจะรักษาดอกเบี้ยระดับนี้ได้นาน อันเห็นได้จากบอนยิลด์ที่พุ่งสูงขึ้น1%ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ถ้าดอกเบี้ยขึ้นต่อ และเฟดสูญเสียการควบคุมดอกเบี้ยจริงๆ ตลาดบอนด์จะพัง รัฐบาลจะไม่สามารถออกบอนด์ได้อีก หรือต้องออกบอนด์ด้วยดอกเบี้ยที่สูงมากจนจ่ายไม่ไหว ตลาดจะไม่เอาด้วย

 

6. เจ้าหนี้รายใหญ่อย่างจีนจะไม่เล่นด้วย ถ้ารวมหัวกับรัสเซียทิ้งบอนด์สหรัฐฯ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น บริกศือื่นๆและตลาดเกิดใหม่จะตามจีนไม่เอาดอลล่าร์ หรือลดการถือครองดอลล่าร์ หรือทำธุรกรรมเกี่ยวเนื่องกับดอลล่าร์น้อยลง

 

 

7. จีนทำหยวนสว๊อปกับคู่ค้าทั่วโลก พร้อมทำการค้าผ่านหยวนและเงินสกุลของคู่ค้า โดยไม่ต้องผ่านดอลล่าร์ ปริมาณดอลล่าร์จะลดลงในการแลกเปลี่ยน หรือการค้า ปริมาณการค้าจีนขณะนี้ใหญ่กว่าของสหรัฐฯแล้ว สามารถให้หยวนมีบทบาทมากขึ้น หรือเป็นทางเลือกของเงินสกุลหลักแทนดอลล่าร์ได้ ขณะนี้ในการค้าโลก มีสัดส่วนของหยวนอยู่15-20%แล้ว

 

8. ถ้าหยวนเพิ่มประมาณในการค้าโลกถึงซัก50% ดอลล่าร์อ๊วกแน่

 

9. ดอลล่าร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเรื่อยๆ จะสร้างปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐฯ กำลังซื้อประชาชนจะลงดลง ปัญหาว่างงานจะเพิ่ม และปัญหาสังคมจะตามมา

 

10. พื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ได้ดีอะไร เพราะตั้งแต่ปี2008เป็นต้นมา ไม่ได้มีการปฏิรูปอะไร แค่แก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก โดยให้เฟดพิมพ์เงินอุ้มแบงค์และพันธบัตรรัฐบาล รัฐบาลก็ก่อหนี้ไปเรื่อยๆเพื่ออุ้มจีดีพี ถ้ารัฐบาลไม่ทำงบขาดดุลปีละเฉลี่ย$1ล้านล้าน จีดีพีสหรัฐฯจะติดลบ

 

11. ยุโรปก็มีวิกฤตหนี้ ญี่ปุ่้นก็มีวิกฤตหนี้ สหรัฐก็มีวิกฤตหนี้ รวมกันแล้วจี-3มีหนี้ ไม่สามารถจะอุ้มกันได้ มีแต่จะกอดคอกันจมน้ำ

 

12. ไม่มีทางที่จีนจะอุ้มสหรัฐฯ เพราะจีนต้องดูแลประเทศตัวเอง และจ้องล้มดอลล่าร์อยู่แล้ว รัสเซียก็คอหนุน อินเดียก็คอยฉวยโอกาสตีซ้ำ

 

13. เวลาเป็๋นสิ่งที่โอบามาไม่มี ถึงทางตันแล้ว ถ้าแม้คอนเกรซให้เพิ่มเพดานหนี้ ก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาพื้นฐานอะไร ลากไปอีกปีหน้า ก็จะเจอgovernment shutdown และเพดานหนี้อีกรอบ เพราะปัญหาระหว่างโอบามากับพวกรีพับรีกันยังจะร้าวลึก

 

14. อเมริกาเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก ไม่มีเจ้าหนี้รายใดต้องการเจอเหตุการความขัดแย้งทางการเมืองจนถึงshutdown และไม่เพิ่มเพดานหนี้แบบนี้อีก

 

15. และถ้ารีพับรีกันไม่โหวตให้เพดานหนี้ผ่าน บอนด์สหรัฐฯจะเป็นขยะ หรือjunkทันที ระบบการเงินสหรัฐฯและของโลกจะล่มเป็นโดมิโน โดยที่ไม่ต้องรอให้พวกMoody's, S&P, Fitchลดเกรด

 

16. จะเห็นได้ว่าโอบามาเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ตาย ทางที่ดีที่สุดคือต้องแก้ปัญหาแบบถอนรากถอนโคลน

 

17. แน่นอนโอบามาต้องไม่ต้องการให้พวกรีพับรีกันล้มกระดานให้สหรัฐฯdefault แต่ถ้าเขาออกกฎหมายพิเศษExecutive Orderของฝ่ายบริหารเพื่อเพิ่มเพดานหนี้ นักลงทุนจะมีข้อสงสัยว่าทำได้หรือเปล่า แม้ว่าเอาเข้าจริงอาจจะทำได้ แต่อย่างที่อธิบายมา เพิ่มเพดานหนี้แล้ว ปัญหาต่อไปจะแก้อย่างไร ปัญหาหนี้ ไม่สามารถแก้ด้วยการเพิ่มหนี่้ พื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอถึงจุดอิ่มตัว ไม่สามารถหารายได้มาจ่ายภาษีได้ มีแต่ต้องพิมพ์เงินเพื่อจ่ายหนี้ กระดาษต่อกระดาษ อย่างนี้ทำได้ไม่นานและระบบต้องล่มในที่สุด

 

18. แต่โอบามาอาจจะเอาExecutive Order No. 11110ของประธานาธิบดีเคนเนดี้มาปัดฝุ่น แล้วให้กระทรวงการคลังพิมพ์ดอลล่าร์ใหม่ออกมาโดยเอาน้ำมันสหรัฐฯเป็น ทรัพย์สินหนุนหลัง แล้วให้คนถือดอลล่าร์ในปัจจุบันของเฟดแลกได้ในอัตราhair cutหรือลดหนี้ เช่น$10ปัจจุบันได้$7ใหม่สำหรับคนทั่วไป $1-$2สำหรับพวกเศรษฐี อะไรทำนองนี้ เพื่อเป็นการลดหนี้รัฐบาลอย่างแท้จริง เจ้าหนี้ต่างประเทศที่ถือบอนด์สหรัฐฯต้องเจรจาเพื่อลดหนี้ให้อยู่ในระดับ เดินหน้าต่อไปได้

 

19. วิธีการนี้จะเลิกระบบที่รอน พอลบอกว่าระบบเงินตลก funny money system คือรัฐบาลให้เอกชนหรือเฟดพิมพ์เงินให้ แถมต้องจ่ายดอกเบี้ยให้อีก ทำให้Wall Streetมีอำนาจเหนือเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างพวก1%และพวก 99%

 

20. จากนั้นโอบามาสามารถปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ดูแลพักชำระหนี้คนจน แล้วก็เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง ทำลายระบบการเงินWall Street

 

21. แน่นอนผู้ที่เสียผลประโยชน์จะไม่ยอม จะเกิดการจลาจลขึ้นในระยะแยก จะมีการปั่นเสื้อเหลือง เสื้อแดง มีนักรบชุดดำเกิดขึ้น เพื่อล้มโอบามา โดยหาว่ากระทำการเป็นเผด็จการเกินอำนาจประธานาธิบดี และโอบามาต้องพร้อมรบ

 

22. ตอนนี้โอบามามีHomeland Security และFederal Emergency Managfement Agencyในมือ พร้อมรบถ้าจำเป็น และถ้าชนะจะพลิกโฉมหน้าสหรัฐฯและเป็นการแก้ปัญหาที่รากเหง้าจริงๆ และถ้าไม่สำเร็จโอบามาคงจะต้องกู๊ดบายอย่างเดียวในฐานะทรราชย์

 

 

thanong

7/10/2013

 

 

 

1150284_164867710376278_1544558526_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลีกวนยูมองความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ

 

นี่เป็นตอนสุดท้ายในซีรี่ส์ จีน vs สหรัฐ เป็นบทสรุปซึ่งเราได้ถอดเกร็ดความคิดของรัฐบุรุษสิงคโปร์ผู้นี้ต่อความเป็นไปของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ซึ่งเกิดจากความสัมพันธ์ของมหาอำนาจทั้งสองประเทศในอนาคต จากหนังสือ Lee Kuan Yew: The Grand Master's Insights on China, the United States, and the World หนังสือเล่มนี้มีวางขายที่ร้านหนังสือ Asiabooks และนอกจากเนื้อหาที่สรุปมาลงแล้ว ยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกมาก

 

คำถาม: การเผชิญหน้าของจีนและสหรัฐจะเป็นอย่างไร

ลีตอบ: นี่ไม่ใช่สงครามเย็นที่โซเวียตเคยขับเคี่ยวกับสหรัฐฯเพื่อเป็นหนึ่งในโลก จีนเพียงแต่ทำไปเพื่อผลประโยชน์ของจีนเอง จีนไม่ได้ให้ความสนใจในการเปลี่ยนแปลงโลก

 

ถึงจะมีความขัดแย้งกันบ้าง แต่ลีเชื่อว่ามันจะไม่บานปลายเพราะจีนต้องการสหรัฐ หมายถึงตลาดสหรัฐ เทคโนโลยีสหรัฐ และส่งนักศึกษาของตนไปเรียนหนังสือในสหรัฐ หากความขัดแย้งระหว่างสองประเทศมีสูงขึ้น จีนจะถูกตัดขาดจากการถ่ายเทข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยี ดังนั้นระดับความขัดแย้งจะดำเนินไปภายใต้กรอบที่จะยังทำให้จีนสามารถดึงดูดผลประโยชน์จากสหรัฐได้อยู่

 

จีนไม่ได้มีปัญหาเรื่องความแตกต่างทางอุดมการณ์กับสหรัฐ เหมือนโซเวียตในสงครามเย็นที่ประนีประนอมกันไม่ได้ ตรงข้ามจีนยินดีรับเศรษฐกิจแบบตลาดมาใช้ ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ จึงดำเนินไปทั้งแบบ ร่วมมือ และแข่งขันอยู่ในที การแข่งขันเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จะไม่เกิดความขัดแย้งขึ้น สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือต่อให้สองประเทศไม่ร่วมมือกัน แต่ทั้งสองประเทศก็ยังอยู่ในเอเชียแปซิฟิคแล้วทำให้ทุกประเทศในภูมิภาคนี้เติบโตไปด้วยกัน

 

ความขัดแย้งทางทหารเกิดขึ้นยาก เพราะกำลังทหารของสหรัฐเหนือกว่าจีนมาก แต่จีนจะยังคงปรับกองทัพให้ทันสัยเป้าหมายไม่ใช่เพื่อท้าทายอเมริกาในขณะนี้ แต่, หากจำเป็น, เพื่อต้องการปิดล้อมและกดดันไต้หวัน ไม่ก็ทำให้เศรษฐกิจไต้หวันเกิดความปั่นป่วน ในขณะที่จีนจะไม่ยอมให้ศาลโลกเข้ามาตัดสินเขตแดนในทะเลจีนใต้ ดังนั้นการคงกำลังทหารของสหรัฐในอเอเชียแปซิฟิคจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้กฎหมายระหว่างประเทศทางทะเลยังมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่

 

คำถาม: สหรัฐควรตอบสนองการทะยานขึ้นของจีนอย่างไร

ลีตอบ: การคงกำลังทางทหารและเศรษฐกิจของสหรัฐทั้งในยุโรปและเอเชียแปซิฟิคิเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสมดุลทางอำนาจเพื่อทำให้เกิดสันติภาพและความมั่นคง แต่หากเศรษฐกิจสหรัฐมีพลวัตน้อยลงไป มีหนี้เพิ่มขึ้น ขีดความสามารถดังกล่าวของสหรัฐจะลดลง ระยะยาวอาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้ ต่อให้สหรัฐสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ผลิตภาพอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น สามารถส่งออกเพิ่มขึ้น แต่สหรัฐก็อาจแบกรับภาระการรักษาความมั่นคงในโลกไว้ไม่ไหว ปัญหาที่น่ากังวลที่สุดคือ เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ฟื้นตัวเร็วพอ มีการกีดกันทางการค้า ญี่ปุ่นเสื่อมถอยลง เพราะอเมริกาจะกลับไปในนโยบายการปกป้องทางการค้า กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ ความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจจะเลวร้ายลง ทำให้ความมั่นคงผูกพันที่มีร่วมกันอ่อนแอและปริแตกออก นี่จะเป็นพัฒนาการที่น่าสะพรึงกลัวและเต็มไปด้วยความอันตราย เมื่อเสถียรภาพของอเมริกาเสื่อมถอย จะมีผลกระทบกับเสถียรภาพของโลก และเราจะอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างออกไปจากปัจจุบัน

 

ญี่ปุ่นกับอินเดียอาจพอถ่วงดุลจีนได้ ไม่ใช่ตอนนี้ แต่เป็นอีก 20 - 30 ปีข้างหน้า ดังนั้นในระยะนี้เราต้องการสหรัฐทำหน้าที่ในการสร้างความสมดุล ถ้าสหรัฐแก้ปัญหาเศรษฐกิจตนเองได้ อนาคตของเอเชียแปซิฟิคจะเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม แต่มันจะกลายเป็นปัญหาถ้าเศรษฐกิจสหรัฐไม่ฟื้นตัว และไม่สามารถเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะเวลาสิบปีข้างหน้า

 

สหรัฐจะต้องรักษาความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นเอาไว้ แต่สหรัฐจะต้องรักษาความสัมพันธ์กับจีนด้วย มันจะเป็นความสัมพันธ์สามเส้า เพราะลำพังพันธมิตรสหรัฐกับญี่ปุ่นอาจไม่เพียงพอในการต่อกรกับจีน

 

สหรัฐจะต้องช่วยสร้างผลิตภาพมวลรวมประชาชาติของแต่ละประเทศในเอเชีย ให้ก้าวหน้าเหนือกว่าประเทศในอเมริกาเหนือ ไปจนกว่า ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และ รัสเซีย จะสร้างสมดุลใหม่ขึ้นมา แต่ในขณะนี้ยังไม่มีสมดุลอำนาจใดเหมาะเท่ากับสมดุลอำนาจที่นำโดยสหรัฐ ประสบการณ์ของ

 

***ประธานาธิบดีนิกสัน เป็นตัวอย่างนักยุทธศาสตร์ที่มีเน้นผลสัมฤทธิ์ เขาจะเข้าไปสังสรรค์ไม่ใช่ปิดล้อมจีน แต่หากจีนไม่เล่นตามกติกาเป็นพลเมืองที่ดีของโลก เขาจะถอยกลับไปวางแผนสอง ในสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศที่จะถูกเลือกให้ร่วมกระดานหมากรุกเคียงข้างอเมริกา ก็คือ ญี่ปุ่น เกาหลี อาเซียน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และรัสเซีย

 

คำถาม: นโยบายของสหรัฐที่ควรจะเป็นต่อจีนที่กำลังทะยานขึ้น

ลีตอบ: อเมริกาเชื่อว่าแนวคิดของตนเป็นสากล --แนวคิดที่ว่าความเป็นปัจเจก เสรีภาพ และสิทธิในการแสดงความเห็น มีความสำคัญสูงสุด ในความเป็นจริงสังคมอเมริกันไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะหลักการเหล่านี้ หากแต่เป็นเพราะโชควาสนาในทางภูมิรัฐศาสตร์ต่างหาก ผนวกด้วยการมีทรัพยากรล้นเหลือ พลังจากผู้อพยพ และการหลั่งไหลของเงินทุนและเทคโนโลยีจากยุโรปเป็นจำนวนมหาศาล ที่สำคัญคือพื้นที่อันกว้างขวางของมหาสมุทรสองฝั่ง กั้นอเมริกาจากความขัดแย้งทั้งปวง

 

สหรัฐไม่สามารถหยุดยั้งการทะยานขึ้นของจีน แต่จำต้องเลือกอยู่กับจีนที่เติบโตขึ้น การเติบโตขึ้นของจีนในอีก 30 - 40 ปีข้างหน้า ไม่ใช่แค่ประเทศผู้เล่นที่เป็นใหญ่อีกประเทศ แต่จะเป็นประเทศผู้เล่นที่ใหญ่โตที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์โลก

 

สภาคองเกรสขัดขวางข้อตกลง FTA ฉบับใหม่ ๆ พวกเขาต้องตระหนักถึงเวลาที่มีคุณค่าที่ได้เสียไป และไม่สายที่จะเริ่มต้นใหม่ และต้องตระหนักว่าสิ่งที่เสียไปนั้นใหญ่โตแค่ไหน ทุกปีจีนจะดึงดูดการลงทนและการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน มากกว่าที่สหรัฐได้ทำ ถ้าไม่มี FTA เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน และอาเซียน จะถูกผนวกเข้ากับเศรษฐกิจของจีน -- ซึ่งนั่นเป็นผลลัพธ์ที่ควรหลีกเลี่ยง

 

คำถาม: สหรัฐควรเลี่ยงนโยบายเช่นไรต่อจีน

ลีตอบ: อย่าปฏิบัติกับจีนเหมือนศัตรูแต่แรก ไม่เช่นนั้นจีนจะพัฒนายุทธศาสตร์ต่อต้านกลับ เพื่อทำลายการคงอยู่ของสหรัฐในเอเชียแปซิฟิค ความจริงมันก็มีการถกเถียงถึงยุทธศาสตร์เช่นนี้อยู่แล้ว มันเลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะมีการงัดข้อระหว่างทั้งคู่ในเอเชียแปซิฟิค แต่มันไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความขัดแย้ง

 

นโยบายที่เน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน และข่มขู่ให้จีนสูญเสียสถานะประเทศที่รับผลประโยชน์ รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรต่าง ๆ ที่คองเกรสและรัฐบาลจะมีขึ้น หากมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือการถ่ายโอนเทคโนโลยีขีปนาวุธของจีนให้ประเทศอื่น... เป็นการไม่เคารพต่อความแตกต่างทางวัฒนธรรม ค่านิยม ประวัติศาสตร์ และไม่สำคัญเท่ายุทธศาสตร์การสร้างความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน เพื่อวาระภายในของอเมริกาเอง ถ้าหากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอาจทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันได้

 

ถ้าสหรัฐเน้นนโยบายในเรื่องที่ละเอียดอ่อนต่อจีน เช่น กรณีเทียนอันเหมิน การไล่ล่าผู้ลี้ภัย ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สถานะการเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์ การแยกตัวของทิเบตและกรณีทาไลลามะ รวมถึงการที่ไต้หวันต้องการเป็นสมาชิกอิสระในสหประชาชาติ ประเด็นที่ท้าทายอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพของจีนจะกระตุ้นให้จีนเกิดความรู้สึกเป็นปรปักษ์ ***นโยบายเหล่านี้ควรถูกใช้เฉพาะเมื่อ สหรัฐได้ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะปิดล้อมจีน และทำให้เศรษฐกิจที่เติบโตของจีนชะลอตัวหรือกระทั่งยุติการเติบโต***

 

คำถาม: นโยบายของจีนจะมีผลต่อเส้นทางและการเติบโตของจีนเป็นมหาอำนาจหรือไม่

ลีตอบ: แน่นอน ถ้าอเมริกาทำให้จีนเสื่อมเสีย จีนจะทำตัวเป็นศัตรู ถ้าอเมริกาให้เกียรติจีน จีนก็จะยอมร่วมมือด้วย ดังนั้นอเมริกาควรพูดดี ๆ กับจีน รับรองจีนในฐานะมหาอำนาจ ชื่นชมกับการหวนคืนสู่สถานะเดิมดังที่มีในอดีต นี่ควรเป็นวิธีที่จะร่วมมือกันได้

 

สหรัฐมีเพียงสองทางเลือกต่อจีน คือร่วมมือ หรือโดดเดี่ยวจีน สหรัฐไม่สามารถทำไปพร้อมกันทั้งสองทางเลือกได้ สหรัฐไม่ควรจะบอกว่าร่วมมือกับจีนในประเด็นหนึ่ง แล้วไปโดดเดี่ยวจีนในอีกประเด็นหนึ่ง ไม่ควรมีการผสมผสานสัญญาณสองแบบด้วยกัน

 

อิทธิพลของสหรัฐในระยะยาวต่อจีนคือ การที่มีนักศึกษาจีนจำนวนมากในสหรัฐทุกปี พวกนี้ต่อไปจะกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์บ้าง ปัญญาชนบ้าง แล้วคนพวกนี้แหละจะกลายเป็นตัวแทนที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในจีน

 

คำถาม: จีนควรปรับตัวอย่างไรกับสหรัฐ เพื่อสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืนต่อกัน

ลีตอบ: ตั้งแต่ปี 1945 - 1991 จีนผ่านสงครามหลายครั้งที่เกือบจะทำลายประเทศนี้ลง คนรุ่นนี้ผ่านนรกอย่างการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ (the Great Leap Forward) ที่สร้างทั้งความ อดอยาก หิวโหย เกือบปะทะกับพวกรัสเซีย ส่วนการปฏิวัติวัฒนธรรมเล่าก็บ้าคลั่งอย่างถึงที่สุด ลีไม่สงสัยเลยว่าคนรุ่นนี้ต้องการการเติบโตขึ้นอย่างสันติ แต่คนรุ่นลูกรุ่นหลาน ไม่เคยมีประสบการณ์พวกนี้ คนพวกนี้คิดว่าจีนเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว และไม่ผิดอะไรที่จะสำแดงกำลัง เราจะมีจีนที่ต่างออกไป คนรุ่นหลายไม่เคยฟังคนรุ่นปู่

 

ปัญหาอีกอย่างยิ่งหนักกว่านี้ ถ้าเริ่มมีความคิดที่ว่า โลกไม่ยุติธรรมต่อเรา โลกเอาเปรียบเรา พวกจักรวรรดินิยมทำลายเรา ปล้นปักกิ่ง ทำทุกสิ่งทุกอย่างได้กับเรา อันนี้จะเป็นปัญหา จีนไม่ควรกลับไปหาความคิดเก่า ๆ แบบนี้ จีนเป็นเพียงมหาอำนาจหนึ่ง ร่วมกับอีกหลายมหาอำนาจ มหาอำนาจพวกนั้นอาจมี นวัตกรรมที่ดีกว่า สามารถประดิษฐ์สิ่งใหม่ได้ดีกว่า และมีความสามารถฟื้นตัวได้ดีกว่า พวกอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่น ควรจะหาทางทำให้คนรุ่นใหม่ไม่มีความรู้สึกเป็นศัตรู แต่เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งแทน

 

https://www.facebook.com/siamintelligence/photos/a.10150123272946518.323308.251446551517/10151985584931518/?type=1

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ คุณ MOR LEK

 

นำความรู้ มุมมองที่ดี ๆ มาเผยแพร่ สม่ำเสมอ เป็นวิทยาทาน ขอบคุณอย่างจริงใจครับ :01 :01 :01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
  • รัฐบานหมีขาวสั่งให้โอนกองทุนบำนาญเอกชนเข้ามาเป็นกองทุนบำนาญของรัฐบานเป็นการชั่วคราว
  • ที่ต้องทำตามนี้ ก็เพราะรัฐบานหมีขาว เป็นห่วงว่ากองทุนเอกชนจะไม่ปลอดภัย เลยจะโอนมาเป็นของรัฐก่อน ในระหว่างที่รัฐบานหมีขาวจะใช้เวลาประมาณ ๑ ปี ในการศึกษากองทุนดังกล่าว
  • นักวิแคะมองว่ารัฐบานหมีขาวอาจจะอยากเอาเงินกองทุนดังกล่าว มาอุดกองทุนบำนาญของรัฐบาน ซึ่งเงินขาดมือจนต้องทำให้เอางบของรัฐมาจ่ายเหมือนในอดีต
  • ที่จะเอางบไปอุดกองทุนบำนาญไม่ไหว ก็เป็นเพราะว่ารัฐบานก็เงินไม่พอใช้เหมือนกันเนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ, การลงทุนในประเทศที่ลดลง, และความต้องการสินค้าส่งออกของแดนหมีขาวลดลง

:38 :38 :38

 

http://www.jsmineset...ews-today-1670/

http://blogs.wsj.com...ey-temporarily/

 

 

อืม วิกฤต Pension Fund นี่ค่อยๆ มาเงียบๆ แต่เวลาระเบิดคงไม่เงียบ และมีศพตายเกลื่อนแน่ๆ เลยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อืม วิกฤต Pension Fund นี่ค่อยๆ มาเงียบๆ แต่เวลาระเบิดคงไม่เงียบ และมีศพตายเกลื่อนแน่ๆ เลยครับ

 

รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันครับ มันแปลก ที่อยู่ๆรัฐทั่วโลก จะบอกว่า เอาเงินมาลงทุนระยะยาว เพื่อลดหย่อนภาษีได้

ไม่มีใครเสียอะไรโดยไม่หวังผลฉันใด รัฐก็ไม่ยอมเสียรายได้โดยไม่หวังผลอื่นฉันนั้น

 

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ลุงจิม แนะนำคนที่ตามอ่านความคิดของแกว่า ให้ออกจากระบบให้เร็วที่สุด

- ฝากเงินนอกกลุ่มลุงแซม/ยุโรป

- เปลี่ยน "กองทุน" ที่ลงเงินไว้ทั้งหลาย ให้เป็นเงินกระดาษ/ทองคำ เสีย

- หุ้นที่ต้องการเก็บระยะยาว ให้ลงทะเบียนหุ้นเป็นชื่อตัวเอง (แทนที่จะใช้ชื่อโบรกฯ) และ/หรือ ถอนเป็นใบหุ้นออกมา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Assault On Wall Street ไม่รู้มีใครเคยได้ดูรึยังครับ เหมือนเป็นภาคต่อของ Wall Street อันก่อนดูแล้ว หนาวๆ :_cd

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดูหนังตัวอย่างแล้วรีบหามาดูพลัน ...

ขอบคุณที่แนะนำครับ

 

ที่ลุงจิมแนะนำให้โลกตะวันตกออกจากระบบ ก็เพราะเป็นแบบนี้นี่เอง

ชาวบ้านธรรมดาๆไม่มีอาวุธหนักไปต่อกรกับพวกนายแบงค์ผู้น่ารักแบบในหนัง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โลกเจ๊งทอง17ล้านล้าน

  • 08 ตุลาคม 2556 เวลา 19:33 น. |

49899741545C4EE6890A9E24210A60EB.jpg

 

 

 

ธนาคารกลางทั่วโลกลงทุนทองคำผิดพลาด หัวเรือใหญ่เคยเตือนแล้ว สูญเสียพุ่ง 17 ล้านล้านบาท

บลูมเบิร์ก รายงานเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ว่า เบน เบอร์แนนคี ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยอมรับในระหว่างขึ้นให้การคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งวุฒิสภาเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า เจ้าตัวเองก็ยังไม่เข้าใจกับภาวะที่เกิดขึ้นกับราคาทองที่มีความผันผวนอย่าง หนัก

รายงานระบุว่า ถ้าหากธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกรับฟังความเห็นดังกล่าวบ้างก็อาจจะชะลอการลงทุนในทองคำลง ก่อนที่จะเกิดความสูญเสียดังที่เห็นในปัจจุบันที่ธนาคารกลางทั่วโลกขาดทุน รวมไปแล้วกว่า 5.45 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 17.4 ล้านล้านบาท) นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดที่ 1,921.15 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในปี 2011 ก่อนที่นับจากนั้นมาราคาได้ดิ่งเหวต่อเนื่องรวมแล้วถึง 31% มาจนถึงระดับราว 1,300 เหรียญสหรัฐในปัจจุบัน

“ไม่มีใครเข้าใจภาวะราคาทองคำที่เกิดขึ้น และผมก็จะไม่เสแสร้งว่าเข้าใจด้วยเช่นกัน” เบอร์แนนคี กล่าวต่อวุฒิสภาเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา

ตามข้อมูลของสภาทองคำโลก ระบุว่า ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกนั้นครอบครองทองคำไว้ราว 18% ของทองคำทั้งหมดในโลก ซึ่งคาดว่าในปีนี้ปริมาณทองคำที่ธนาคารกลางต่างๆ ถือเอาไว้จะมีน้ำหนักรวมถึง 350 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ในปี 2012 ถือว่าเป็นปีที่ธนาคารกลางทั่วโลกกว้านซื้อทองคำมากที่สุด คิดเป็นถึง 535 ตัน โดยธนาคารกลางรัสเซียถือเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุด โดยขยายการสำรองทองคำเป็น 20%

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ราคาทองคำเข้าสู่ภาวะตลาดหมีในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ราคาทองคำได้ดิ่งลงต่อเนื่องคิดเป็นราว 21% มาอยู่ที่ระดับราคา 1,316.28 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ที่กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นการร่วงหล่นของราคาที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1981 ทีเดียว ทั้งๆ ในช่วงก่อนหน้านั้น ราคาทองคำสามารถปรับขึ้นมาได้ 12 ปีติดต่อกันมาจนถึงปี 2012 นี่เอง

นักวิเคราะห์เห็นว่า เจ้าหน้าที่ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลกมักจะตัดสินใจผิดพลาดในช่วง เวลาของการลงทุนในทองคำ โดยก่อนหน้านี้เมื่อปี 1999 ธนาคารกลางทั่วโลกก็ลดการถือครองทองคำลงหลังจากที่ราคาดิ่งแตะจุดต่ำสุดใน รอบ 20 ปี ก่อนที่ในปีถัดไปราคาจะกลับมาพุ่งขึ้นเป็น 4 เท่าตัวทีเดียว

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · เมื่อวานนี้ เวลา 8:00 น. · zF84oovpD-v.png

 

หนี้สหรัฐฯที่ต้องจ่ายระยะสั้น

 

คลังสหรัฐฯมีภาระหนี้ที่จะต้องจ่าย$441,000ล้านในระหว่างวันที่ 24ตุลาคมถึงวันที่15 พฤศจิกายน ถ้ากฎหมายยกเพดานหนี้ไม่ผ่าน นรกแตกแน่

 

เพราะว่าในวันที่17ตุลาคมเส้นตายของกฎหมายยกเพดานหนี้ที่ต้องเพิ่ม คลังสหรัฐฯจะมีเงินคงคลังเหลือแค่$30,000ล้าน ประคองหนี้ได้ไม่นาน

 

จากตารางจะเห็นได้ว่า คลังครบกำหนดจ่ายหนี้ $93,000 ล้านในวันที่ 24 ตุลาคม; $105,780ล้าน ในวันที31 ตุลาคม; $54,000ล้านในวันที่7 พฤศจิกายน; $79,000ในวันที่ 14พฤศจิกายน; และ$64,200ล้านวันที่ 15พฤศจิกายน

 

สรุปสหรัฐฯมีแต่หนี้ ยกเพดานหนี้ก็แค่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า สหรัฐฯจะต้องพิมพ์เงินออกบอนด์จ่ายหนี้แบบแชร์แม่ชะม้อยแบบนี้ได้อีกนานเท่าใด

 

thanong

8/10/2013

 

http://www.zerohedge.com/news/2013-10-07/danger-playing-debt-ceiling-chicken-440-billion-debt-maturing-november-15

1383082_164946877035028_2081248691_n.jpg

 

 

 

Thanong Fanclub · 21,013 คนถูกใจสิ่งนี้22 ชั่วโมงที่แล้ว บริเวณ Bangkok ·

 

 

ใครจะถอยก่อน

 

John Boehner ประธานสภาบอกว่าฝ่ายรีพับรีกันจะไม่โหวตให้กฎหมายยยกเพดานหนี้ผ่าน โดยไม่ผูกกับเงื่อนไขของมาตราอื่นๆ เพื่อลดหนี้และลดการใช้จ่ายรัฐบาล

 

ส่วนประธานาธิบดีบอกว่า ฝ่ายรีพับรีกันต้องให้กฎหมายการใช้จ่ายผ่านเพื่อเปิดรัฐบาล และโหวตให้กฎหมายยกเพดานหนี้เพิ่มก่อน แล้วค่อยมาเจรจากันเรื่องการตัดการใช้จ่ายอื่นๆ

 

Boehnerบอกว่าโอบามาไม่ยอมคุยด้วยเลยทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ และฝ่ายโอบามาบอกว่าจะไม่ยอมให้ฝ่ายรีกับรีกันจับตัวเรียกค่าไถ่แบบนี้

 

Boehnerเคยมีแย้มว่า จะทำทุกอย่างไม่ให้รัฐบาลผิดชำระหนี้ โดยจะดันกฎหมายให้ออกมาและแม้ว่าต้องทำงานร่วมกับฝ่ายเดโมแครท

 

เลยไม่รู้จะเอายังไงกันแน่ แต่ที่แน่ๆโอบามายังกร้าวไม่ยอมคุยด้วย

 

สหรัฐฯมีตลาดพันธบัตรรัฐบาลขนาด$12ล้านล้าน พันธบัตรสหรัฐฯถือว่าตราสารเกรดA เอาไว้ลงทุน เอาไว้เทรด เอาไว้ตึ้ง ถ้าพันธบัตรเหล่านี้ต้องถูกลดเกรดเพราะว่ากฎหมายยกเพดานหนี้ไม่ผ่าน ระบบแบงค์จะมีปัญหาสภาพคล่องทันที ผู้ถือบอนด์จะขาดทุนทันที ตลาดการเงินจะถูกเทขาย และระบบการเงินโลกจะมีปัญหาทันที นรกแตก

 

 

thanong

8/10/2013

 

http://www.bloomberg.com/news/2013-10-06/boehner-says-house-doesn-t-have-votes-to-raise-debt-limit.html-PAXP-deijE.gif

 

Boehner Says House Doesn’t Have Votes to Raise Debt Limit www.bloomberg.com

U.S. Speaker John Boehner said the House can’t pass an increase to the U.S. debt ceiling without packaging it with other provisions

 

 

 

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · เมื่อวานนี้ เวลา 8:00 น. · zF84oovpD-v.png

 

ดูดีๆ จีนยุให้โอบามาใช้Executive Orderแก้ปัญหาเพดานหนี้

 

 

รมวช่วยคลังจีน Zhu Guangyao เตือนว่าจีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในตลาดบอนด์สหรัฐฯ เพราะฉะนั้นฝ่ายบริหาร หรือประธานาธิบดีโอบามาต้องดำเนินมาตรการเด็ดขาดเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

 

"The executive branch of the US government has to take decisive and credible steps to avoid a default on its Treasury bonds, " Zhu said.

 

แปลความได้ว่า จีนคงคาดเดาแล้วว่ารีพับรีกันคงไม่ให้กฎหมายยกเพดานหนี้ผ่าน เพราะฉะนั้นโอบามาต้องรับผิดชอบไม่ให้พันธบัตรสหรัฐฯผิดชำระหนี้ ด้วยการออกExecutive Order นั้นเอง

 

Decisive and credible steps หรือมาตรการขั้นเด็ดขาดและน่าเชื่อถือก็คือ อำนาจพิเศษของฝ่ายบริหารนั่นเอง (Executive Order)

 

โอบามาสามารถออกExecutive Order ได้เพื่อ

 

1. ยกเพดานหนี้เพิ่ม แล้วกระทรวงคลังจะได้ออกบอนด์ใหม่เพื่อไถ่ถอนบอนด์เก่า พร้อมจ่ายดอกเบี้ยได้ แล้วก็ถูไถไป

 

หรือ

 

2. พิมพ์ดอลล่าร์ใหม่แบบที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้เคยทำมาแล้ว เพื่อเปิดศึกสงครามภายใน

 

แล้วโอบามาจะเลือกหนทางใหน แต่จีนส่งสัญญานแล้วว่าโอบามาออกมาตรการเด็ดขาดได้ ทำๆไปเถอะ แล้วจีนจะหนุนเอง

 

เริ่มจะเข้าเค้าแล้ว กำลังมัน ห้ามกระพริบตา

 

 

thanong

8/10/2013

 

 

Zhu Guangyao said that China and the US are "inseparable". Beijing is a huge investor in US Treasury bonds.

 

"The executive branch of the US government has to take decisive and credible steps to avoid a default on its Treasury bonds," he said.

 

"It is important for the US economy as well as the global economy."

 

http://www.bbc.co.uk/news/business-24426881

1097994_164950167034699_1113995219_n.jpg

 

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · เมื่อวานนี้ เวลา 14:00 น. · zF84oovpD-v.png

 

น่าจะได้เห็นสหรัฐฯผิดชำระหนี้ทางเทคนิค

 

พรรครีพับรีกันน่าจะปล่อยให้เกิดการผิดชำระหนี้ทางเทคนิค (technical default) โดยจะไม่โหวตให้กฎหมายยกเพดานหนี้ผ่านคอนเกรซภายในเส้นตายวันที่17ตุลาคมนี้ เพราะว่าทุ่มสุดตัวในการเล่นไม้แข็งกับประธานาธิบดีโอบามา จนเหตุการณ์เลยเถิดมาจนเอาไม่อยู่แล้ว ครั้นจะถอยก็จะหน้าแตกเพราะว่าไม่สามารถได้รับการตอบสนองอะไรเลยจากโอบามา เพราะว่าโอบามายืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่ขอเจรจาอะไรทั้งนั้น รีพับรีกันมีหน้าที่ผ่านกฎหมายงบใช้จ่ายรัฐบาลและผ่านกฎหมายยกเพดานหนี้อย่างเดียว

 

1. ฝ่ายรีพับรีกันอ่านเกมผิด คิดว่าประธานาธิบดีโอบามาจะยอมประนีประนอม ด้วยการลดการใช้จ่ายในงบหรือยอมผอนปรนเรื่องโอบามาแคร์ แต่ไปๆมาๆ โอบามายืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่ยอมเจรจาด้วย ทำให้รีพับรีกันปิดรัฐบาลไปก่อน ไม่ผ่านกฎหมายการใช้จ่ายของภาครัฐ

 

2. ทีนี้มาเรื่องใหญ่กว่าคือเรื่องเพดานหนี้ รีพันรีกันยังคงยืนกรานให้โอบามามาประนีประนอมโดยโยงเรื่องงบและเรื่องเพดานหนี้เข้าด้วยกัน แต่โอบามายังเสียงแข็งเหมือนเดิมไม่ยอมคุยด้วยจึงเกิดdeadlockหรือทางตันขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดีซีในขณะนี้

 

3. ในเมื่อรีพับรีกันไม่ได้อะไรเลยจากโอบามาแม้แต่เงาหัวก็ไม่เหลือบมอง รีพับรีกันเลยคงต้องปล่อยเลยตามเลยในการไม่ผ่านกฎหมายยกเพดานหนี้เมื่อเส้นตายวันที่17ตุลาคมผ่านไป พวกบริษัทเร็ทติ้งคงต้องลดเกรดความน่าเชื่อถือหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งแน่นอนต้องเสียเร็ทติ้งAAA และให้เร็ทติ้ง บอนด์สหรัฐฯเป็นผิดชำระหนี้ทางเทคนิค (technical default) แล้วหลังจากนั้นค่อยพยายามยกเพดานหนี้ เมื่อความเสียหายต่อระบบการเงินสหรัฐฯเกิดขึ้นแล้ว

 

4. ขณะนี้โอบามากำลังทำงานกับฝ่ายเดโมแครทในการผ่านกฎหมายเพดานหนี้ฉบับรัฐบาลที่ไม่ผูกพันกับข้อบังคับใด (clean debt limit bill) โดยจะมีการประชุมกันในวันที่11ตุลาคมนี้ เพื่อลองชิมลางก่อนว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนแค่ใหน โดยทางเดโมแครทจะพยายามผ่านกฎหมายเพิ่มเพดานนี้ แม้ว่ารีพับรีกันไม่ร่วม John Boehnerประธานสภาพูดชัดว่า รีพับรีกันจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับ clearn debt limit bill เพราะต้องการให้มีเงื่อนไขการปรับลดการใช้จ่ายและอื่นๆผูกไปด้วย

 

5. แต่อย่างที่เขียนมาแล้ว โอบามามีอำนาจในการออกกฎหมายพิเศษของฝ่ายบริหาร Executive Order โดยสามารถออกกฎหมายพิเศษเพื่อเพิ่มเพดานหนี้ก็ได้ หรือออกกฎหมายพิเศษเพื่อให้กระทรวงการคลัง พิมพ์เงินดอลล่าร์ใหม่เพื่อจ่ายหนี้ก็ได้ ทำได้ทั้งนั้น

 

6. โอบามาน่าจะปล่อยให้สหรัฐฯผิดชำระหนี้ทางเทคนิคก่อน เพื่อโยนความเสียหายให้รีพับรีกัน แล้วค่อยออกexecutive orderออกมาล้างไพ่แก้ปัญหา ตอนนั้นจะได้คะแนนความนิยมจากประชาชน โอบามาจะใช้ความเสียเปรียบเพื่อชิงความได้เปรียบ

 

แต่การผิดชำระหนี้ทางเทคนิค อาจจะไม่จำเป็นต้องผิดชำระจริง เพราะว่าก00ระทรวงคลังยังมีทรัพย์สินเยอะ มีทางถ่วงการผิดชำระหนี้ได้อีกสักระยะ แต่ตลาดการเงินคงต้องเละมากในช่วงนั้น

 

เช้าวันนี้ประธานาธิบดีโอบามาไปเยี่ยมศูนย์ป้องกันภัยพิบัติ Federal Emergency Management Agency ในขณะที่ทางHomeland Securityมีการเตรียมตัวซ้อมรับมือเหตุร้ายโดยจำลองจากสถานการณ์จริงระหว่างช่วงกลางเดือนนี้ ประจวบเหมาะกับเวลาที่ทางคอนเกรซจะพิจรณากฎหมายเพิ่มเพดานหนี้

 

อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด

 

thanong

8/10/2013

 

http://www.bloomberg.com/news/2013-10-07/obama-echoes-no-negotiations-stance-as-congress-deadlocks.html

1379675_164987560364293_105705281_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...