ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ถ้าอ่านจบแล้วก็ลงมาวิเคราะห์แนวรับแนวต้านเบื้องต้นกันดูนะครับ

post-2375-085083600 1291690274.gif

แท่งเทียนเก่าเขียว ใหม่กำลังแดง

อย่างแรกเส้นที่ขีด Fibo ที่ถ้านับไม่ผิดคาดว่าจะเป็นขา 1 ลงมา 2 ราคามาติดแถว 238 แนวfibo (ถ้าลองลาก fibo มันลงมาแถว 68 แล้วแด้งเลยคาดว่าเป็นขา 2 ขึ้นมาทำ 3) น่าจามาโอกาสมาเทส 1413แนวนี้ MA แทงขึ้นเกือบหมด แนวขาขึ้นเต็มตัว

stoch 5 เริ่มบีบลง

stoch 14 บีบตามแต่ยังไม่แตะ

RSI ถ้าขยายดูหัวปักลงนิดๆๆ

จากดู วันนี้น่าจาย่อ แถวรับแรก น่าจาเห็นแถว 141X 140X

ต้าน น่าจาแถว 142X อาจมีหลุดแถว 143X

พิจารณาดูกันครับ

 

 

โพสต์แต่เช้า แต่เพิ่งมาเห็น แม่นจังค่ะ อธิบายดีค่ะ

จะติดตามอ่านนะคะ แต่หากระทู้ไม่ค่อยเจออ่ะ

ขอบคุณค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บทเรียนที่ ๒ ครับ ดับเบิลท๊อป แนวที่ควรปล่อยของ คงไม่ต้องบอกนะครับ ทองลง 30 เหรียญ ที่มันลงแรงอย่างนี้เพราะรากฐานมันไม่ดีครับ

ถ้าสังเกตปีนี้ไม่มีการปรับฐานจริงๆๆจังจังเลย มาเรื่องกราฟกันเลยนะครับ

post-2375-097937100 1291771169.gif

แท่งเทียนเก่าแดง ใหม่กำลังแดง

ดูจาก fibo จาเห็นว่าลงมาเทสแถว 38.2 เกาะอยู่แถวแนวนี้ แต่ถ้าดูจากเทรนขึ้นเส้นสีแดงแล้วมันหลุดลงมาถ้าย้อนดูรายชั่โมงหรือตำ่กว่านั้นจาเริ่มเห็นการคอนเฟอร์มว่ากลับเข้าเทรนไม่ได้(ไม่ได้เอาลงมาอะนะครับ)

stoch 5 บีบลง มาแถว 58

stoch 14 บีบตาม ลงมาแถว 88

RSI ถ้าขยายดูหัวปักลง กำลังจามาแถว 50

จากดู วันนี้น่าเมื่อคืนลงแรงๆๆน่าจามีดันตัวขึ้นมา ความคิดผมคือมันน่าจาจบขา 3 แล้ว ถ้ากลับเข้าไปยืน 1405-7 ไม่ได้ในเร็วๆๆนี้มีเฮแน่ครับ (แต่อย่าเพิ่งกลัวเราอาจจะมีรุ้นที่ขึ้นขา 5 เพื่อทิ้งของ หรือเอากำไรกันอยู่) รับแรกก็คงแถว 139X ต่อไปก็ 138X และ 1375 แนวที่ขึ้นมาตอนนี้หลุดนี่ไปละบายบายปลายปีได้เลยครับ

รับแรก น่าจาเห็นแถว 139X 138X อาจมีหลุดแถว 1375*(หลุดอะยาว)

ต้าน น่าจาแถว 141X 1430

พิจารณาดูกันครับ

ถูกแก้ไข โดย mtts

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มีข่าวมาฝาก

 

ค่าเงินดอลล่าห์สหรัฐ : ค่าเงินยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะขยายโครงการลดหย่อนภาษี แม้นักลงทุนบางกลุ่มกังวลว่าโครงการดังกล่าวจะส่งผลให้สหรัฐมียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นก็ตาม ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.32% สู่ระดับ 1.3262 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ (6 ธ.ค.) ที่ 1.3305 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 1.02% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 83.480 เยน จากระดับของวันจันทร์ที่ 82.640 เยน และดีดตัวขึ้น 0.62% เมื่อเทียบกับเงินฟรังค์ที่ระดับ 0.9875 ฟรังค์ จากระดับ 0.9814 ฟรังค์

 

นักลงทุนเข้าถือครองสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีโอบามาและแกนนำพรรครีพับลิกันตกลงที่จะขยายโครงการลดหย่อนภาษีที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ได้ริเริ่มเอาไว้ พร้อมทั้งขยายขอบข่ายโครงการให้สวัสดิการแก่ผู้ไม่มีงานทำ ซึ่งทำให้นักลงทุนเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อเนื่อง

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางกลุ่มกังวลว่า การขยายโครงการลดหย่อนภาษีอาจส่งผลให้ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐพุ่งขึ้นอีก แต่ถึงกระนั้นก็ตาม สำนักงบประมาณแห่งรัฐสภาสหรัฐ (CBO) คาดว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐจะอยู่ที่ 1.34 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2553 ซึ่งต่ำกว่ายอดขาดดุลในปีงบประมาณ 2552 อยู่ประมาณ 7.1 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้มีรายงานว่า คณะกรรมการควบคุมการขาดดุลงบประมาณซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยประธานาธิบดีได้เสนอแผนการลดงบประมาณการใช้จ่ายจำนวนมหาศาล โดยมีเป้าหมายที่จะลดยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐลงราว 4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า

 

นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรป หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงคลังของกลุ่มยูโรโซนมีมติไม่เพิ่มวงเงินกองทุนช่วยเหลือประเทศยูโรโซนที่ประสบปัญหาหนี้สิน ซึ่งปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีมูลค่า 7.50 แสนล้านยูโร หรือประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีคลังมองว่ากองทุนมีวงเงินที่สูงพอแล้ว

 

ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. และรายงานงบประมาณประจำเดือนพ.ย.ของรัฐบาลกลางสหรัฐ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดราคาทองคำ :

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง 0.5% เมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาทองคำทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันจันทร์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าสัญญาทองคำยังคงมีแนวโน้มในช่วงขาขึ้น เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนแอ อันเนื่องมาจากคาดการณ์ที่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินเพิ่มขึ้น สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วงลง 7.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,409.00 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 4.2 เซนต์ ปิดที่ 29.777 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 4.15 เซนต์ ปิดที่ 4.0495 ดอลลาร์/ปอนด์

 

ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ร่วงลง 8.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,705.20 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ดิ่งลง 12.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 738.70 ดอลลาร์/ออนซ์ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หลังจากสัญญาทองคำทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1416.1 ดอลลาร์เมื่อวันจันทร์ นักลงทุนจำนวนมากก็แห่เข้ามาเทขายทำกำไร โดยเฉพาะในช่วงใกล้ปลายปีที่นักลงทุนมักมองว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะทำกำไรอย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าตลาดทองคำยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นและมีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่ารัฐบาลสหรัฐและรัฐบาลในหลายประเทศจะอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งจะส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์และสกุลเงินต่างๆอ่อนตัวลง

 

สัญญาทองคำทะยานขึ้นไปแล้ว 29% ตั้งแต่ต้นปี 2553 หลังจากรัฐบาลสหรัฐอัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบการเงินและคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นเวลานาน เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่การดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนแอลงและเป็นปัจจัยหนุนสัญญาทองคำ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดน้ำมัน NYMAX

 

สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) เพราะถูกกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรและเยน นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรลในระหว่างวัน ขานรับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีหน้า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.ปรับตัวลง 69 เซนต์ หรือ 0.77% ปิดที่ 88.69 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยในระหว่างวันสัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นไปแตะระดับ 90.76 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.2551

 

ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.4702 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 1.87 เซนต์ ปิดที่ 2.323 ดอลลาร์/แกลลอน

 

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 6 เซนต์ ปิดที่ 91.39 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรและเยน โดยค่าเงินยูโรถูกกดดันอย่างหนักจากการที่นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป นอกจากนี้ นักลงทุนบางกลุ่มยังเข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 90.76 ดอลลาร์ อันเป็นผลมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์ในปีหน้า

 

คอนลีย์ เทอร์เนอร์ นักวิเคราะห์จาก Wall Street Strategies กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า "ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปีนี้ ขณะที่เทรดเดอร์และนักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้แล้วว่า ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปลายปี 2554"

 

รายงานคาดการณ์ประจำเดือนของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) บ่งชี้ว่า ตัวเลขการใช้น้ำมันทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นเพียง 1.43 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2554 ซึ่งลดลง 10,000 บาร์เรล/วันจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.44 ล้านบาร์เรล/วัน

 

สัญญาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX แกว่งตัวอยู่ในช่วง 70-89 ดอลลาร์นับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง หรือ QE2 ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 

นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์ในช่วงเช้าของวานนี้ หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามาและแกนนำพรรครีพับลิกันตกลงที่จะขยายโครงการลดหย่อนภาษีที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ได้ริเริ่มเอาไว้ พร้อมทั้งขยายขอบข่ายโครงการให้สวัสดิการแก่ผู้ไม่มีงานทำ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้นักลงทุนเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายผู้บริโภค และหนุนเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

 

นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นอาจลดลง 0.4 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินอาจเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล และคาดว่า อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 1.3%

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ที่ประเทศเอกวาดอร์ หลังจากรมว.พลังงานของแองโกลาและเวเนซูเอลา คาดการณ์ว่า โอเปคจะคงโควต้าการผลิตน้ำมันไว้ที่ 24.845 ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมครั้งนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จัดข่าวไปอ่นแก้เบื่อกันครับ

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์พุ่งเทียบยูโร หลังโอบามาขยายโครงการลดหย่อนภาษี

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 8 ธันวาคม 2553 07:34:47 น.

ค่าเงินยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะขยายโครงการลดหย่อนภาษี แม้นักลงทุนบางกลุ่มกังวลว่าโครงการดังกล่าวจะส่งผลให้สหรัฐมียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นก็ตาม

 

ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.32% สู่ระดับ 1.3262 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ (6 ธ.ค.) ที่ 1.3305 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ดีดตัวขึ้น 0.36% แตะที่ 1.5766 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5710 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 1.02% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 83.480 เยน จากระดับของวันจันทร์ที่ 82.640 เยน และดีดตัวขึ้น 0.62% เมื่อเทียบกับเงินฟรังค์ที่ระดับ 0.9875 ฟรังค์ จากระดับ 0.9814 ฟรังค์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.61% แตะระดับ 0.9838 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ 0.9898 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ดิ่งลง 0.41% แตะระดับ 0.7577 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7608 ดอลลาร์สหรัฐ

 

นักลงทุนเข้าถือครองสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีโอบามาและแกนนำพรรครีพับลิกันตกลงที่จะขยายโครงการลดหย่อนภาษีที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ได้ริเริ่มเอาไว้ พร้อมทั้งขยายขอบข่ายโครงการให้สวัสดิการแก่ผู้ไม่มีงานทำ ซึ่งทำให้นักลงทุนเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อเนื่อง

 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางกลุ่มกังวลว่า การขยายโครงการลดหย่อนภาษีอาจส่งผลให้ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐพุ่งขึ้นอีก แต่ถึงกระนั้นก็ตาม สำนักงบประมาณแห่งรัฐสภาสหรัฐ (CBO) คาดว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐจะอยู่ที่ 1.34 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2553 ซึ่งต่ำกว่ายอดขาดดุลในปีงบประมาณ 2552 อยู่ประมาณ 7.1 หมื่นล้านดอลลาร์

 

นอกจากนี้มีรายงานว่า คณะกรรมการควบคุมการขาดดุลงบประมาณซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยประธานาธิบดีได้เสนอแผนการลดงบประมาณการใช้จ่ายจำนวนมหาศาล โดยมีเป้าหมายที่จะลดยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐลงราว 4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า

 

นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรป หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงคลังของกลุ่มยูโรโซนมีมติไม่เพิ่มวงเงินกองทุนช่วยเหลือประเทศยูโรโซนที่ประสบปัญหาหนี้สิน ซึ่งปัจจุบันกองทุนดังกล่าวมีมูลค่า 7.50 แสนล้านยูโร หรือประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีคลังมองว่ากองทุนมีวงเงินที่สูงพอแล้ว

 

สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษในเดือนต.ค.ขยายตัวขึ้น 0.6% จากเดือนก.ย. ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. ขณะที่อัตราการขยายตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 5.8%

 

ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนต.ค. ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนต.ค. และรายงานงบประมาณประจำเดือนพ.ย.ของรัฐบาลกลางสหรัฐ

ถูกแก้ไข โดย mtts

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองคำพุ่งทำนิวไฮที่ $1416.1 เหตุนลท.แห่ซื้อเพื่อเลี่ยงความเสี่ยง

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 7 ธันวาคม 2553 07:19:55 น.

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) เนื่องจากกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปได้กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.พุ่งขึ้น 9.9 ดอลลาร์ หรือ 0.7% ปิดที่ 1416.1 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1421.2 - 1412.8 ดอลลาร์

 

ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 46.4 เซนต์ ปิดที่ 29.735 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 0.9 เซนต์ ปิดที่ 4.0080 ดอลลาร์/ปอนด์

ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ร่วงลง 14.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,713.60 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 18.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 751.40 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า อัตราว่างงานเดือนพ.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับ 9.8% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ 9.6% ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้นเพียง 39,000 ตำแหน่ง น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 140,000 ตำแหน่ง

 

นักลงทุนยังวิตกกังวลมากขึ้นเมื่อเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวกล่าวให้สัมภาษณ์กับรายการ "60 Minutes" ของสถานีโทรทัศน์ CBS ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเป็นไปอย่างล่าช้า และสหรัฐอาจต้องใช้เวลา 4-5 ปี กว่าที่อัตราว่างงานจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากกว่านี้ที่ราว 5-6%

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังแห่ซื้อทองคำเนื่องจากความกังวลเรื่องปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป โดยล่าสุดมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฮังการีสองขั้นสู่ระดับ Baa3 จาก Baa1 และให้แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นเชิงลบ ซึ่งหมายความว่าอาจมีปรับลดอันดับเครดิตลงอีก หากรัฐบาลไม่สามารถทำให้สถานะการเงินและการคลังมีเสถียรภาพได้

 

เทรดเดอร์ในตลาดทองคำนิวยอร์กคาดการณ์ว่า สัญญาทองคำมีแนวโน้มพุ่งขึ้นอีกหากนักลงทุนยังคงเข้าซื้อเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในช่วงที่ยุโรปยังคงเผชิญกับปัญหาหนี้สาธารณะ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้สัญญาทองคำทะยานขึ้นไปแตะระดับ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในปลายปีนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX: ดอลล์แข็ง ถ่วงน้ำมันดิบปิดลบ 69 เซนต์

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 8 ธันวาคม 2553 07:13:08 น.

สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) เพราะถูกกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรและเยน นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรลในระหว่างวัน ขานรับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีหน้า

 

สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.ปรับตัวลง 69 เซนต์ หรือ 0.77% ปิดที่ 88.69 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยในระหว่างวันสัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นไปแตะระดับ 90.76 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.2551

ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2.4702 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 1.87 เซนต์ ปิดที่ 2.323 ดอลลาร์/แกลลอน

 

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 6 เซนต์ ปิดที่ 91.39 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรและเยน โดยค่าเงินยูโรถูกกดดันอย่างหนักจากการที่นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป นอกจากนี้ นักลงทุนบางกลุ่มยังเข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 90.76 ดอลลาร์ อันเป็นผลมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์ในปีหน้า

 

คอนลีย์ เทอร์เนอร์ นักวิเคราะห์จาก Wall Street Strategies กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า "ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปีนี้ ขณะที่เทรดเดอร์และนักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้แล้วว่า ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปลายปี 2554"

 

รายงานคาดการณ์ประจำเดือนของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) บ่งชี้ว่า ตัวเลขการใช้น้ำมันทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นเพียง 1.43 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2554 ซึ่งลดลง 10,000 บาร์เรล/วันจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.44 ล้านบาร์เรล/วัน

 

สัญญาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX แกว่งตัวอยู่ในช่วง 70-89 ดอลลาร์นับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง หรือ QE2 ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 

นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์ในช่วงเช้าของวานนี้ หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามาและแกนนำพรรครีพับลิกันตกลงที่จะขยายโครงการลดหย่อนภาษีที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ได้ริเริ่มเอาไว้ พร้อมทั้งขยายขอบข่ายโครงการให้สวัสดิการแก่ผู้ไม่มีงานทำ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้นักลงทุนเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายผู้บริโภค และหนุนเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

 

นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบอาจจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นอาจลดลง 0.4 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมันเบนซินอาจเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล และคาดว่า อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 1.3%

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ที่ประเทศเอกวาดอร์ หลังจากรมว.พลังงานของแองโกลาและเวเนซูเอลา คาดการณ์ว่า โอเปคจะคงโควต้าการผลิตน้ำมันไว้ที่ 24.845 ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมครั้งนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณสำหรับความรู้และ บทวิเคราะห์รายวัน

 

ตามอ่านอยู่นะคะ :wub: :wub: :wub:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะ คุณ m สำหรับข่าวสาร และบทวิเคราะห์ !thk !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...