ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

ขอบคุณมากๆค่ะคุณginger แง่คิด มองโลกในแง่ดี กำลังใจที่มอบให้ทุกคน เห็นอะไรบ้างไหม?

อ่านดูซิ มันมีอะไรมากกว่าตัวอักษร ความอบอุ่นและมิตรไมตรี มีอยู่ทุกตัวอักษร :wub: :wub: :wub:

 

รู้มั๊ยว่าเราที่่ได้อ่านที่คุณโพสมาเราก็รู้สึกดีทุกครั้งจริงๆ ขอบคุณมาก

 

hamsin jojosung ขอบคุณทุกๆคนนะๆ

 

...... ....... ...... ....... ........

 

 

นิทานสอนใจ : ซาลาเปาในกล่องวิเศษ blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 ธันวาคม 2554 09:59 น.

 

Share89

blank.gif 554000016982601.JPEG ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต blank.gif blank.gif กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวฐานะยากจน แต่ละวันไม่มีอาหารเพียงพอให้ทุกคนรับประทาน ต้องทนอดมื้อกินมื้อตามยถากรรม แต่กระนั้นทุกคนในครอบครัวก็ไม่เคยประกอบพฤติกรรมไม่สุจริต พวกเขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และมักปฏิบัติธรรม สวดมนต์ก่อนนอน รวมทั้งนั่งสมาธิเป็นประจำทุกวัน โดยพ่อแม่ของครอบครัวนี้จะอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอเพียงให้ลูก ๆ ของพวกเขามีอาหารรับประทานพออิ่มท้องไปวัน ๆ เท่านั้น

 

วันหนึ่งขณะที่ทุกคนในครอบครัวกำลังสวดมนต์กันอยู่นั้น พลันเกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ขึ้น ฑูตสวรรค์องค์หนึ่งก็ปรากฎกายต่อหน้าพวกเขาและมอบกล่องวิเศษกล่องหนึ่งให้แก่ผู้เป็นพ่อ พร้อมกับบอกว่า

"นี่คือกล่องวิเศษ ในกล่องนี้จะมีซาลาเปาอยู่สองลูกให้พวกเจ้า แต่มีข้อแม้ว่าพวกเจ้าจะต้องหยิบกินเพียงวันละหนึ่งลูกเท่านั้น ส่วนอีกลูกก็ให้อยู่ในกล่องเช่นเดิม ถ้าทำดังนี้พวกเจ้าจะไม่มีวันอดและมีซาลาเปากินไปตลอดชีวิต"

กล่าวจบฑูตสวรรค์ก็หายวับไป

ดังนั้นผู้เป็นพ่อจึงเปิดกล่องวิเศษออก และปฏิบัติตามคำของฑูตสวรรค์อย่างเคร่งครัด โดยเขาหยิบซาลาเปาออกมาจากกล่องวิเศษเพียงลูกเดียวเท่านั้นแล้วแบ่งให้ทุกคนในครอบครัวรับประทาน ซาลาเปาในกล่องวิเศษนี้รสชาติเลิศรสยิ่ง และน่าแปลกที่แม้ทุกคนจะได้รับประทานไปเพียงคนละนิดคนละหน่อย แต่แค่นั้นก็ทำให้พวกเขาอิ่มท้องได้ตลอดทั้งวัน

วันรุ่งขึ้นผู้เป็นพ่อก็เปิดกล่องวิเศษเพื่อกินซาลาเปาอีก ปรากฎว่ามีซาลาเปาอยู่ในกล่องวิเศษสองลูกเท่ากับเมื่อวาน เขาจึงหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งมาแบ่งให้ทุกคนในครอบครัวรับประทานแล้วปิดฝากล่องวิเศษลงโดยไม่แตะต้องซาลาเปาอีกลูกเช่นเดิม

วันถัดมาซาลาเปาก็เพิ่มมาอีกหนึ่งลูกเช่นเดิม ผู้เป็นพ่อก็ทำทุกอย่างเหมือนเดิม เป็นเช่นนี้ไปทุกวัน ทำให้ครอบครัวนี้แม้จะไม่ได้ร่ำรวยขึ้น แต่ทุก ๆ คนก็ได้อิ่มท้องแลดูอ้วนท้วมสมบูรณ์ขึ้นจนเป็นที่สงสัยของชายเพื่อนบ้าน

ชายเพื่อนบ้านเฝ้าสังเกตครอบครัวยากจนอยู่นานก็ไม่เห็นว่าครอบครัวนี้มีทรัพย์สินอะไรที่น่าจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่คนในบ้านกลับดูสมบูรณ์พูนสุขอย่างผิดหูผิดตา ในที่สุดเมื่อเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว ชายเพื่อนบ้านจึงไปสอบถามจากภรรยาของชายยากจนว่า

"ขอโทษเถอะพี่สาว ระยะหลังมานี้ข้าสังเกตเห็นว่าครอบครัวของท่านดูมีความสุขขึ้น และเด็ก ๆ ก็ไม่ร้องไห้เพราะความหิวโหยเหมือนแต่ก่อน แต่กลับออกมาวิ่งเล่นอย่างร่าเริงและดูจะอ้วนท้วมขึ้นทุกวัน ไม่ทราบว่าพวกท่านได้ไปประกอบอาชีพอะไรมาหรือ จึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นเช่นนี้"

 

ด้วยความที่ครอบครัวนี้ปฏิบัติตนในศีลธรรมอันดีมาโดยตลอด ภรรยาชายยากจนจึงกล่าวตอบเพื่อนบ้านอย่างไม่คิดจะโกหกปิดบังว่า

 

"พวกเราหาได้ร่ำรวยเงินทอง และยังคงยากจนอยู่เช่นเดิม เพียงแต่บ้านของเราได้รับความเมตตาจากฑูตสวรรค์โดยท่านได้มอบกล่องวิเศษให้แก่บ้านเรา ในกล่องใบนั้นมีซาลาเปาอยู่สองลูก และเราจะหยิบมากินได้เพียงวันละหนึ่งลูกเท่านั้น"

"วันละหนึ่งลูก!" ชายเพื่อนบ้านร้องลั่น "แค่นั้นจะพอหรือ ในเมื่อบ้านของท่านมีคนอยู่ตั้งหลายคน"

"พอสิ แค่ซาลาเปาหนึ่งลูกนั้นก็ทำให้พวกเราอิ่มท้องและมีแรงทำงานได้ตลอดทั้งวัน แต่เราต้องหยิบมากินแค่วันละหนึ่งลูกนะ แล้ววันต่อไปซาลาเปาจะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งลูก เป็นเช่นนี้เรื่อยไปโดยไม่มีวันหมด" ภรรยาชายยากจนบอกเล่าอย่างพาซื่อโดยไม่ได้สังเกตเห็นความละโมบที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของชายข้างบ้านเลย

หลังจากวันนั้นกล่องวิเศษก็หายไปจากบ้านของครอบครัวยากจน ทุกคนในครอบครัวเสียใจมาก แต่ก็ไม่รู้จะตามไปเอาคืนจากที่ไหน พวกเขาจึงต้องทำใจยอมรับความอดอยากด้วยการสวดมนต์อธิษฐานขอให้มีอาหารประทังชีวิตอีกเช่นเดิม

ผ่านไปหลายวัน ฑูตสวรรค์ก็มาปรากฏกายอีกครั้ง พร้อมกับถามว่า

 

"เราให้กล่องวิเศษพวกเจ้าไปแล้ว ทำไมยังอดอยากกันอีก หรือพวกเจ้าไม่ทำตามที่เราบอก"

 

ชายผู้เป็นพ่อรีบตอบฑูตสวรรค์ว่า

 

"ข้าแต่ฑูตสวรรค์ พวกเราไม่กล้าฝืนคำสั่งของท่านหรอก เพียงแต่ที่เราต้องกลับมาอดอยากเช่นเดิมก็เพราะมีขโมยมาขโมยกล่องวิเศษที่ท่านมอบให้พวกเราไปน่ะขอรับ"

 

ฑูตสวรรค์นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า

 

"เอาอย่างนี้ เราจะมองกล่องวิเศษให้เจ้าอีกหนึ่งใบ ทุกวันให้เจ้าปิดประตูหน้าต่างในบ้านให้หมด พร้อมกับลงกลอนให้แน่นหนา แต่ห้ามเปิดกล่องวิเศษใบนี้เด็ดขาดจนกว่าจะล่วงเข้าวันที่เจ็ด"

 

แล้วฑูตสวรรค์ก็มอบกล่องวิเศษใบใหม่ให้แก่ครอบครัวยากจน แล้วหายวับไป

 

ครอบครัวยากจนทำตามคำบอกของฑูตสวรรค์อย่างเคร่งครัด จนชายข้างบ้านรู้สึกผิดสังเกตอีก เขาจึงตะล่อมถามภรรยาแสนซื่อของชายยากจนอีกครั้ง

"ระยะห้าหกวันนี้ ข้าสังเกตบ้านท่านไม่ค่อยเปิดประตูหน้าต่างเลยนะ พวกท่านทำอะไรกันอยู่ในนั้นหรือ จึงต้องการความมิดชิดถึงเพียงนั้น"

ภรรยาชายยากจนก็ตอบโดยไม่ปิดบังอีกเช่นเคยว่า

 

"กล่องซาลาเปาวิเศษของเราถูกขโมยไป ฑูตสวรรค์จึงมอบกล่องวิเศษใบใหม่ให้บ้านเรา แต่พวกข้าก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าข้างในเป็นอะไร เพราะฑูตสวรรค์กำชับให้เราปิดประตูหน้าต่าง และลงกลอนให้แน่นหนาไปจนถึงวันที่เจ็ดจึงจะเปิดกล่องออกดูได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในนั้น แต่พรุ่งนี้ก็จะครบเจ็ดวันแล้วล่ะ"

ได้ฟังดังนั้น ความละโมบก็กระโจนเข้าครอบงำจิตใจชายข้างบ้านอีก

 

"กล่องใบนั้นจะต้องเป็นของเรา...พรุ่งนี้เราจะกินซาลาเปาทั้งสองลูกในกล่องใบแรกให้หมด และเอากล่องเปล่า ๆ ไปสับเปลี่ยนกับกล่องวิเศษใบที่สองจากบ้านเจ้าคนยากจนพวกนั้น พวกมันจะได้ไม่สงสัย และนึกว่าฑูตสวรรค์เล่นตลกกับพวกมันเอง..ในกล่องใบที่สองคงมีเงินทองมากมายที่เพิ่มทุกวันไม่มีวันหมดดังเช่นกล่องซาลาเปาใบแรกอีกเป็นแน่"

 

ชายข้างบ้านคิดอย่างย่ามใจ

 

เช้ามืดอันเงียบสงัด ขณะที่ทุกคนกำลังหลับสบาย ชายข้างบ้านเปิดกล่องวิเศษใบแรกออกมาแล้วกินซาลาเปาสองลูกจนหมดโดยไม่แยแส เขาคิดว่ากล่องใบที่สองจะต้องให้อะไรกับเขามากกว่าซาลาเปาเพียงแค่สองลูก หลังจากนั้นก็ย่องไปที่บ้านของครอบครัวยากจนและงัดหน้าต่างเพื่อเข้าไปขโมยกล่องวิเศษใบที่สอง โดยนำกล่อวิเศษใบแรกไปสับเปลี่ยนด้วย

เมื่อได้กล่องวิเศษใบที่สองแล้ว ชายข้างบ้านก็รีบกลับมาที่บ้านของตนเอง เขาปิดประตูหน้าต่างทุกบานอย่างแน่นหนาที่สุด แล้วค่อย ๆ แง้มฝากล่องออกดูอย่างตื่นเต้น

 

ทันทีที่ฝากล่องถูกเปิดออก แมลงมีพิษมากมายก็พุ่งตัวออกมาและบินเข้าไปรุมกัดต่อยชายข้างบ้านอย่างเอาเป็นเอาตาย จนเขาวิ่งหนีออกจากบ้านแทบไม่ทัน ว่ากันว่าชายข้างบ้านจอมโลภคนนี้ถูกแมลงมีพิษไล่กัดต่อยไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวและไม่มีใครเคยพบเห็นเขาอีกเลย

 

ฝ่ายครอบครัวยากจนนั้น เมื่อถึงเวลาเปิดฝากล่องออกก็พบซาลาเปาสองลูกอยู่ในกล่องเหมือนเดิม พวกเขาดีใจมากรีบสวดมนต์ขอบคุณฑูตสวรรค์เป็นการใหญ่ จากนั้นมาครอบครัวยากจนก็มีซาลาเปาในกล่องวิเศษที่ช่วยให้พวกเขาอิ่มท้องและมีความสุขตลอดมา

บทสรุปของผู้แต่ง

 

น่าแปลกใจที่ดูเหมือนว่ามนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่รู้จักพอ เมื่อมีแล้วก็ต้องมีอีก เมื่อมีมากก็ต้องมีเพิ่ม เพราะฉะนั้นปัญหาที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ก็คือความโลภ แต่ความโลภมิใช่คนผิด มนุษย์ต่างหากที่ผิดเพราะมีความโลภ ดังนั้น หลาย ๆ ครั้งความโลภก็สอนมนุษย์ด้วยบทเรียนที่แสนเจ็บแสบ ด้วยการทำให้มนุษย์ที่มีความโลภสูญสิ้นทุกอย่างจนไม่มีอะไรเหลืออีกเลยในชีวิต

/////////////

 

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากๆค่ะ คุณginger

อักษรหนึ่งคำแทนคำพูดมากมาย

สัมผัสได้ถึงใจผู้ให้ค่ะ

ขอบคุณมากมายค่ะ

พูดไม่เก่ง....ได้แต่ขอบคุณ..ขอบคุณ..ขอบคุณ

โดยเฉพาะกำลังใจในช่วงเวลาที่หลายๆคนคงจะเครียด

กับการติดดอย..และไม่รู้จะไปทางไหนกัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

46974e62aa55c_t.jpg

จริงใจ..สบายจริง

 

คงเป็นเรื่องน่าเศร้า

หากคนเราต้องบิดเบือนความจริงในใจ

แล้วใส่หน้ากากเข้าหากัน

 

เราคงมีชีวิตอยู่กับความสุขปลอมๆ

ท่ามกลางความกลัวที่จะผิดหวัง

ทั้งที่ในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี

 

ถอกหน้ากากออกดีไหม

จะเป็นไรไป หากใครจะอ่านสายตาของเราได้

หรือแม้แต่จะมองทะลุถึงใจของเรา

 

เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่เราไม่ต้องปิดบัง อำพราง

ไม่ต้องไว้ท่าไว้ทางหรือมีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ

เมื่อนั่นใจของเราย่อมมีพลังอย่างเต็มที่

ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้บังเกิดขึ้น

 

ซึ่งต่างค้นพบพลังแห่งความจริงใจ

เป็นพลังที่เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติ

แต่มีอานุภาพเหลือประมาณ

 

ฉะนั้น..

อย่ากลัวเลย..ที่จะเป็นคนจริงใจ

เป็นคนซื่อๆ ใสๆ

ปากกับใจตรงกัน

ถึงแม้เราไม่เก่ง ไม่ดีเด่น

ไม่ได้เป็นคนสำคัญ

ขอเพียงเรามีความจริงใจต่อกัน

แค่นี้ก็สุขสบายใจ..

 

....................

 

 

ถูกใจ ตรงใจ ชอบใจ

(แม้หลายครั้งความจริงใจของเราจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา

โดยคนที่ไม่จริงใจกับเรา แต่เราก็ยังเป็นคนเช่นนี้เอง

เพราะคนซื่อคือคนโง่ในความคิดของคนหลายคน)

กด + ไม่ได้โควต้าหมด

แต่ ++++ ให้หมดใจค่ะ

ขอบคุณ คุณginger ที่สรรหาสิ่งดีๆมามอบให้กัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ความโง่ของคนโง่ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

 

 

ความโง่ของคนโง่

 

แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

 

วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๒๓

 

 

 

 

 

ได้เทศน์เรื่องความฉลาดมานานแล้ว วันนี้ขอได้พากันฟังเทศน์เรื่อง ความโง่

 

 

ความโง นั้นไม่มีขอบเขต ไม่มีใครให้ประกาศนียบัตรชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี ไม่มีเลย ทั้งๆ ที่คนก็มีโง่อยู่แล้วแต่ไม่ชอบให้คนอื่นพูดว่าตนโง่ แล้วคนที่พูดนั้นถ้าพูดด้วยความเหยียดหยามดูถูกคนอื่นก็ยิ่งโง่กว่าเขาเสียอีก

 

 

เราพากันโง่อยู่ตลอดเวลา ความโง่อันนี้แหละทำให้เราเป็นคนจน ทำให้เราไม่สามารถจะฟื้นฟูตัวเราให้ขึ้นมาได้

 

 

โง่มีหลาย โง่ในการทำมาหาเลี้ยงชีพ โง่ในความไหว โง่ในการที่จะนำตนให้รอดปลอดภัย ฯลฯ ความโง่ที่หมักหมมอยู่ในใจของเรานั้น เราเรียนเท่าไรก็เรียนไปเถิดไม่จบไม่สิ้นสักที

 

 

คนนิยมเรียนความฉลาดข้างนอก เช่นเรียนวิชาวิทยาศาสตร์แผนใหม่อะไรต่างๆ เรียนไปหมดทุกอย่าง แต่ตัวของเราเองในนั้นไม่รู้เรื่อง มันโง่อยู่ภายใน นั่นคือความผิดความถูกที่เกิดขึ้นในใจของตน คิดว่าตนดี คิดว่าตนวิเศษ อันนั้นแสนโง่ทีเดียว

 

 

ถ้าเข้าใจว่าตนดี ตนฉลาด ตนวิเศษ ตนเลอเลิศด้วยสติปัญญาอุบายต่างๆอันนั้นแหละเป็นการโง่ที่สุด ถ้าคนใดเข้าใจว่าตนโง่คนนั้นฉลาดขึ้นมา เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคนใดเข้าใจว่าตนโง่คนนั้นฉลาดขึ้นมาบ้าง

 

 

วิชาทุกอย่างที่เราเรียน เป็นการเรียนออกไปภายนอกออกไปจากตัวของเรา ไม่ใช่เรียนเข้ามาในตัวของเรา เรียนส่งออกไปปรุงแต่งออกไปนอกจากกายนอกจากใจ คำว่า กาย มันจึงเพี้ยนเป็นกรายไปเสีย มันกรายออกไปจากกาย มันข้ามกายไปนั่นเองจึงไม่เห็นตนของตน เปรียบเหมือนกับตาไม่เห็นลูกตาหรือตาไม่เห็นก้ำด้น (ก้ำด้น คือ ท้ายทอยนั่นเอง) โบราณท่านว่า ตากับก้ำด้นอยู่ด้วยกันไม่ทราบว่ากี่ปีกี่ชาติแต่ไม่เคยเห็นกันเลย ก้ำด้นของตนแท้ๆ ไม่เคยเห็นสักที จึงว่ามันโง่ฝังอยู่นั่นแหละ ไม่เห็นตัวของเราเอง

 

 

การเรียนภายนอกนั้นปรุงแต่งออกไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่เขาก็ว่าจบแล้วจะให้ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก อะไรต่างๆ ได้ปริญญาเขาก็ว่าจบแล้ว วิชานั้นมันจบที่ไหน อันของที่ไม่รู้ยังมีอีกเยอะแยะมากมายก่ายกอง ความรู้มันเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการไปเรื่อย มันไม่อยู่คงที่ จะว่าเรียนจบได้อย่างไร

 

 

หากเราพากันมาเรียนวิชาความโง่ เรียนสิ่งที่ไม่รู้ในกาย วาจา ใจ ของเราให้มันรู้ขึ้นมา จึงจะหมดความโง่ไป ถ้าไม่เห็นกายเห็นใจของตนมันก็ยังโง่อยู่นั่นเอง ถ้าเข้าใจว่าเห็นแล้ว มันเห็นจริงหรือไม่ มันเบื่อ มันหน่าย มันคลายไหม หรือว่ามันยังยึดถืออยู่ ความยึดความถือนั่นน่ะเรียกว่าไม่เห็นจริง

 

 

ตัวของเราเป็นอนัตตา สิ่งสารพัดวัตถุทั้งปวงทั้งหมดก็เป็นอนัตตา

 

 

อนัตตา คือว่ามันไม่อยู่ในบังคับบัญชาของเรา อนัตตาไม่ได้หมายว่าสิ่งนั้นๆไม่มี ของมีอยู่แต่มันไม่อยู่ในบังคับบัญชา เช่น กายของเรานี้จะไม่ให้แก่ มันก็แก่ ไม่ให้เจ็บมันก็เจ็บ ไม่ให้ตายมันก็ตาย ไม่ให้พลัดพรากจากกัน มันก็พลัดพรากจากไป ทำอย่างไรมันก็ไม่อยู่ในบังคับบัญชา นี่แหละท่านเรียกว่า อนัตตา การที่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อันนั้นแหละท่านเรียกว่า อนิจจัง ของไม่เที่ยง อนิจจังเป็นอนัตตา นี่แหละมันจึงได้เป็นทุกข์หรือ ทุกขัง ความจริง เรื่องกายและใจของเราเป็นอย่างนี้ เราเห็นเช่นนี้แล้วหรือยัง

 

 

ใครๆ ก็เห็นกายกันทุกคนละ แต่มันไม่เห็นจริง ไม่เห็นเป็นอนัตตา ไม่เห็นเป็นทุกขัง ไม่เห็นตามสภาพเป็นจริงทุกอย่าง จึงปล่อยวางไม่ได้ จึงได้ทุกข์ ที่เราเดือดร้อนกันอยู่ทุกวี่ทุกวันนี้ก็เพราะเหตุเห็นไม่จริงนั่นแหละ

 

 

พระพุทธเจ้าทรงเห็นกายและใจตามสภาพที่เป็นจริง อริยสงฆ์สาวกท่านก็เห็นตามเป็นจริง เรียกว่า อริยสัจจ์ นั่นคือ รูปเป็นอนัตตา รูปเป็นอนิจจัง รูปจึงเป็นทุกข์ เมื่อยังไม่เห็นจริงด้วยใจ เห็นแต่ตามสัญญาก็เห็นเป็นเพียง สัจจะ เฉยๆ ถ้าเห็นจริงเห็นชัดลงไปด้วยใจแล้วเรียกว่า เห็นอริยสัจจ์อันนั้นเป็นการเห็นของจริงของแท้ของอริยเจ้า ดังนั้นพวกเราอย่าไปหาธรรมะที่อื่นไกลเลย หาเอาในตัวของเรานี่ ผสมกันขึ้นในที่นี้ ให้ปรากฏเห็นขึ้นมาในที่นี้แหละ ใจคนเห็นกาย จึงอุปมาเหมือนกับเรียนสระกับพยัญชนะผสมกัน ผสมกันได้แล้วก็เขียนข้อความไปได้หมดทุกอย่าง จะขีดเขียนเรื่องอะไรๆ เขียนได้หมด มันออกจากสระกับพยัญชนะเท่านั้น

 

 

ธรรมทั้งหลายก็ออกมาจากกายกับใจไม่นอกเหนือจากกายกับใจ ใจมาพิจารณาตามจริง ถ้าหากไม่มีกาย ก็ไม่มีเรื่องทุกข์ ไม่มีอนัตตา ไม่มีอนิจจัง ไม่มีทุกขัง เพราะมีกายจึงมีอนิจจัง มีทุกขัง มีอนัตตา จึงมีวิปัสสนา มีมรรคผล นิพพาน มีญาณสมาธิ มีธรรมทั้งหลาย

 

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัมมาสัมโพญิญาณก็ตรัสรู้ที่กายกับใจนี่แหละ พระองค์ไม่ได้ไปตรัสรู้อย่างอื่นที่ไหนหรอก พระสงฆ์สาวกทั้งหลายสำเร็จมรรคผลนิพพาน ก็สำเร็จมรรคผลนิพพาน ก็สำเร็จที่กายกับที่ใจนี่แหละ พวกเทพทั้งหลายสำเร็จมีแต่ใจเป็นพวกอามิสกายไม่มีรูปปรากฏ พวกพรหมก็ไม่ปรากฏรูป พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปตรัสรู้ไม่ได้ทรงสอนที่โน่นหรอก ทรงเทศนาสอนมนุษย์พวกเราที่มีกายหยาบๆ เห็นกันอยู่ด้วยตานี่เอง

 

 

การเห็นด้วยตาเรียกว่า ทรรศนะมันยังเห็นไม่จริงไม่แท้ต้องเข้าไปเห็นจึงจะเป็นการเห็นอย่างแท้จริง การเห็นด้วยใจจึงเรียกว่า ญาณทัสนะ คำว่า เห็นด้วยใจคือ มันชัดด้วยใจนั่นเอง ถ้าไม่ชัดก็ไม่เรียกว่าเห็นด้วยใจ เมื่อเห็นชัดด้วยใจนั่นเอง ถ้าไม่ชัดก็ไม่เรียกว่าเห็นด้วยใจ เมื่อเห็นชัดแล้วกายมันเป็นอนัตตา เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง ดังที่อธิบายในเบื้องต้น มันก็ปล่อยวางได้

 

 

นั่นคือปล่อยวางไว้ตามสภาพเดิมของมัน เห็นมันเป็นอนัตตาแล้วไม่ยึดถืออีก ปล่อยไปตาม สภาพอนัตตา มันเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยไป เห็นมันเป็นอนิจจัง ก็ยึดไว้ปล่อยไปตามเรื่องของมันตาม สภาพอนิจจัง มันเป็นทุกขัง มันเกิดเป็นทุกข์เพราะเหตุที่มันแปรปรวนบังคับไม่ได้ ก็ปล่อยไปตาม เรื่องของทุกข์ จึงว่ามันเป็นจริงอย่างไรให้เห็นตามเป็นจริงอย่างนั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า

 

 

ยถาภูตํ สมมปปญญาย ทฏฐพพํ ควรให้เห็นของสิ่งนั้นๆตามเป็นจริง

 

 

นี่จึงจะได้ชื่อว่าเรียนความโง่ ไม่ใช่เรียนความฉลาด มันโง่ตรงนี้ โง่ที่ไม่เห็นกายของเรา ไม่เห็นใจของเราเอง

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ทุกๆ คนที่เกิดขึ้นมาได้ชื่อว่าโง่ด้วยกันทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนแนะนำตักเตือนอะไรต่างๆ เพื่อให้รู้ความโง่นั่นแหละ ไม่ใช่เรียนความฉลาดหรอกให้รู้ความโง่ทั้งนั้นแหละ อันของที่ไม่รู้จึงค่อยเรียน ความไม่รู้ความไม่เข้าใจนั่นแหละมันโง่ ผู้ที่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ทั้งปวงเขาไม่ถือว่าตนฉลาด ความโง่ของคนเรามันยังลึกซึ้งละเอียดมากเหลือมาก ยิ่งเรียนเท่าไรยิ่งเห็นความโง่ของตนมากขึ้นเท่านั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเรียนความฉลาด

 

 

เมื่อรู้จักโง่ เห็นโง่แล้ว ความรู้นั้นแลเป็นความฉลาด การไม่เห็นความโง่ของตนแต่สำคัญว่าตนฉลาด นั่นยิ่งโง่เข้าทุกทีเหตุนั้นการปฏิบัติของพวกเรา จงปฏิบัติตรงที่กายกับใจ นี่แหละ อย่าส่งออกไปภายนอก ใครเรียนอะไรที่ไหนก็เรียนไปเถิดถ้าเพ่งเข้ามาภายในตัวนั้นเรียกว่าเรียน ความโง่ของตน อย่าส่งออกไปภายนอกก็แล้วกัน

 

 

การเรียนกัมมัฏฐานแบบต่างๆหลายเรื่องหลายอย่าง หลายครูหลายอาจารย์ เช่น ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัง อานาปานสติ พุทโธ ทั้งหมดนี้ก็เรียนโง่ด้วยกันทั้งนั้น คือ เรียนให้เห็นตัวโง่ ตั้งใจให้มีสติควบคุมจิตที่มันนึกคิดที่มันปรุงแต่งให้รู้เรื่องของจิต ให้เห็นจิตรู้จักจิตเสียก่อน ถ้าไม่เห็นจิตมันก็รักษาจิตไว้ไม่ได้ คุมจิตไม่ได้ ชำระจิตไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่าจิตมันคิดมันนึกปรุงแต่งอะไรบ้าง มันส่งส่ายไปไหนก็ไม่ทราบ

 

 

ใครๆ ก็พูดถึงจิตถึงใจ จิตเป็นทุกข์ จิตเดือดร้อน จิตยุ่งวุ่นวาย จิตกระวนกระวาย จิตกระสับกระส่าย มันเรื่องของจิตทั้งนั้นแหละ แต่ยังไม่เคยเห็นจิตสักที จิตแท้เป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ เมื่อไม่เห็นจิตไม่เห็นใจ มันก็ไม่มีโอกาสที่จะชำระได้ต้องเห็นตัวมันเสียก่อน รู้จักตัวที่เราพูดถึงเสียก่อน พอเราเดือดร้อนเรายุ่งเหยิงหรือส่งส่ายเราก็แก้ตรงนั้นเอง

 

 

อาการของใจ เรียกว่า จิต คือ ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุงแต่งผู้ส่งส่ายไปมาหน้าหลังสารพัดทุกอย่างรอบด้านรอบข้าง ผู้นั้นเหละเรียกว่า จิต เราเอาสติไปคุมไว้ให้รู้จริงนั้นอยู่เสมอๆตลอดเวลาเห็นจิตของตนอยู่เสมอว่าจิตเป็นอย่างไร มันคิดดีคิดชั่ว คิดหยาบคิดละเอียด คิดปรุงแต่งอะไร ก็ให้รู้เห็นทุกขณะควบคุมมันอยู่อย่างนั้นเป็นนิจ เมื่อเห็นจิตแล้ว ควบคุมจิตอยู่แล้วเวลาจะคิดก็ให้มันคิดได้ จะนึกก็ให้มันนึกได้ มีสติกำกับอยู่ว่าคิดว่านึก เวลาไม่ให้คิดไม่ให้นึกก็อยู่ได้ ไม่ให้ปรุงแต่งก็อยู่ได้ อย่างนี้จึงจะเรียกว่า บังคับจิตอยู่ อย่าให้จิตบังคับเรา

 

 

โดยทั่วไปจิตบังคับให้เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่าง เราอยู่ในอำนาจของจิต มันเป็นไปตามวิสัยอำนาจของจิต คนปุถุชนมันต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อเรากำหนดสติควบคุมจิตได้แล้ว เราจึงไม่อยู่ในอำนาจของจิต แต่จิตอยู่ในอำนาจของเรา มันชักชวนไปทางดีทางชั่วอีกก็ไม่ให้ไป นิ่งอยู่ได้ เช่น มันชักชวนไปในทางชั่วให้โลภ ให้โกรธ ให้หลง ให้คิดประหัตประหารฆ่าตีเขาก็บอกมันว่าไม่ดีอย่าทำ คิดทางดีให้สร้างบุญสร้างกุศลก็ไม่ให้ไปอยู่คงที่ เมื่อหยุดส่ายอยู่คงที่มันก็เข้าถึง ใจ คือ ความเป็นกลาง

 

 

ถ้าพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่าจิตกับใจมันต่างกัน คนละอันกัน แต่แท้ที่จริงท่านพูดอันเดียวกันนั่นแหละ จิตอันใดใจอันนั้นใจอันใดจิตอันนั้น แต่ทำไมจึงเรียกว่าจิต ทำไมจึงเรียกว่าใจ ก็ลองคิดดูซิมันต้องมีแปลกกันอยู่ ใจมันต้องอยู่เฉยๆ คืออยู่กลางสิ่งใดเป็นกลางๆ จะเรียกสิ่งนั้นว่าใจ เช่น ใจมือ ใจเท้า ก็ชี้ลงตรงกลางมือกลางเท้า ใจคนก็ชี้ลงท่ามกลางใจหน้าอก ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนหรอก แต่ชี้ลงท่ามกลางอกเรียกว่า ใจ ที่เรียกว่าใจ คือมันอยู่ท่ามกลางสิ่งต่างๆ ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว ไม่คิดหยาบ ไม่คิดละเอียด ไม่ปรุง ไม่แต่งอะไรทั้งหมด แต่มีความรู้สึกอยู่เฉยๆ ตรงนั้นแหละเป็น ใจ

 

 

เมื่อเราตั้งสติกำหนดจิตที่มันกระสับกระส่ายดิ้นรน เดือดร้อนวุ่นวาย คอยควบคุมระวังตัวนั้นไว้จนหยุดดิ้นรน หยุดแส่ส่าย มีความรู้ สึกเฉยๆ รู้สึกเฉพาะตัวของมันเองไม่คิดไม่นึกอะไร อันนั้นแลเป็น ใจ ตัวเดิมแท้

 

 

ใจนี้มันจะดีอย่างไร ลองคิดดูซิ ถ้าเมื่อคุมจิตได้ เข้าถึงใจได้ก็ไม่มีอะไร มีความรู้สึกเฉยๆเฉพาะตัว ความวุ่นวายเดือดร้อนต่างๆ มันก็หายไปหมด มีแต่ความสุขอันเกิดจากความสงบนั้น เอาความสุขแค่นั้นเสียก่อน สุขอันนั้นถ้าอยู่ได้นานเท่าไรยิ่งดี แต่คนเราไม่ชอบ ชอบให้จิตมันบังคับให้เราเดือดร้อนวุ่นวาย เดี๋ยวก็ร้องไห้ร้องห่ม เดี๋ยวก็หัวเราะเฮฮาเพลิดเพลินเดี๋ยวก็เอะอะโวยวายสารพัดทุกอย่าง เราร้องไห้ก็เพาะมันบังคับให้เราร้องทั้งที่เราไม่อยากร้องไห้ การร้องไห้น่าเกลียดจะตายน่าอับอายขายขี้หน้าคนอื่น แต่มันก็บังคับเอาจนร้องไห้ให้ได้ การหัวเราะก็เหมือนกันหัวเราะเพลิดเพลินสนุกสนานดี มันชอบใจ มันน่าที่จะหัวเราะเพลินเพลิดอยู่เสมอตลอดไป แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น จิตมันทำให้ร้องไห้ก็ได้ หัวเราะก็ได้ นั่นเพาะเราบังคับมันไม่ได้ ถ้าเราบังคับมันได้แล้วมันก็หยุด เอาสติเข้าไปตั้งเมื่อไรหยุดเมื่อนั้น สตินี้ดีมากเป็นเครื่องควบคุมจิตได้ทุกอย่าง

 

 

ได้พูดถึงเรื่องความโง่แล้ว เรามาเรียนความโง่กันเถิดเรียนอย่างวิธีที่อธิบายมานี่แหละ มันจึงจะค่อยหายโง่ ความโง่ไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ยิ่งเรียนก็ยิ่งเห็นความโง่ของตน มันลึกจมอยู่ในก้นบึ้งโน่น ท่านว่า อนุสัย ตราบใดที่ยังไม่ถึง มรรคผล นิพพาน ตราบนั้นยังมีความโง่อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจงพากันเรียนความโง่กันเสียวันนี้

 

 

อธิบายมาก็สมควรแก่เวลา เอวํ ฯ

แล้วก็มีคำตอบให้กับคำถามในใจอีกแล้ว

ก็เรานี่เองหนอเป็นคนโง่จริงๆแหละ

สาธุ สาธุ สาธุ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สว้สดีทุกคน พวงชมพู ย่าหยา Aiya jojosung hamsin เพื่อนๆ

 

เก็บนี่มาฝากที่จริงน่าจะอยู่กระทู้ทำได้ไงของคุณหมอเล็ก แต่เราขอเก็บไว้นี่ 555

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีจ้ะ GINGER และเพื่อนๆทุกๆคนนะจ๊ะ....

 

เปิดมาพบพอดี น่ารักมากเจ้าดำกล่อมเด็กนี่ (ไม่รู้ว่ากล่อมเด็กหรือแหย่เด็กให้ตื่น..อิอิ)

 

ย่าหยามีอยู่ตัวชื่อ เจ้าตอล เป็นเด็กหญิง เวลาย่าหยาคุยโทรศัพท์ครั้งใดแล้วแต่ถ้าเจ้าตอลเห็นหรือได้ยิน จะต้องเข้ามากอดแขน

 

แล้วใช้มือเค้ามาลูบปากย่าหยา ถ้าคุยนานไม่ลูบแล้วตบเลย(แต่ไม่กางเล็บนะ) แรกๆไม่ได้สังเกต มาหลังๆจะเป็นอย่างนี้เสมอ

 

จนแม่บอกว่า มันคงรำคาญ เลยอาจจะบอกเราว่า "วางหูได้แล้วไปทำงาน, วางหูได้แล้วไปทำงาน,ๆๆๆ" ฮ่าๆๆๆๆๆ เอิ๊ก.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:Hi เห็นบทความดีๆ ตั้งแต่ที่ทำงานละค่ะ มันยาวไม่มีเวลาอ่าน เลยกลับมาอ่านที่บ้าน น่ารักดี ขยันหามาโพสต์บ่อยๆนะคะ :gd

 

ชอบรูปภาพด้วย ^ ^

 

 

“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”

 

การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เณรผู้รักความสมบูรณ์แบบ blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 ธันวาคม 2554 10:01 น.

 

Share35

blank.gif 554000017139601.JPEG tupian99.com blank.gif

ยังมีเณรรูปหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ที่พื้น รอบข้างเต็มไปด้วยเศษกระดาษที่เขียนตัวอักษรแล้ว ทิ้งอยู่เต็มพื้น

 

อาจารย์เซนผ่านมาพบเข้าจึงเอ่ยถามเณรว่า "เป็นไรไปแล้ว?"

เณรตอบว่า "เขียนได้ไม่ดี"

 

อาจารย์เซนได้ยินดังนั้นจึงหยิบกระดาษที่ถูกวางทิ้งเหล่านั้นขึ้นมาดู จากนั้นเอ่ยถามเณรด้วยความข้องใจว่า "เขียนได้ไม่เลวทีเดียว เหตุใดต้องโยนทิ้ง แล้วทำไมเจ้าต้องร้องไห้เล่า?"

 

"ศิษย์รู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ"ณรกล่าวพลางร้องไห้ "ศิษย์ชอบความสมบูรณ์แบบ ผิดเพี้ยนไปแม้เพียงน้อยนิด ศิษย์ล้วนมิอาจรับได้"

อาจารย์เซนได้ยินดังนั้นจึงกล่าวกับเณรว่า "ปัญหาคือโลกนี้มีใครบ้างที่ไม่เคยผิดพลาดเลย" จากนั้นจึงเตือนสติเณรว่า"ดูอย่างตัวเจ้าอง เจ้าบอกว่าเจ้ารักความสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อไม่ได้ดั่งใจแม้เพียงเรื่องเล็กน้อย กลับมีโทสะ กลับร้องไห้ออกมา เช่นนี้ตัวเจ้าเองก็ถือว่าไม่สมบูรณ์แบบเช่นกันใช่หรือไม่"

 

ปัญญาเซน: ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ การปฏิบัติเซนที่แท้จริง คือการใช้ชีวิตประจำวันตามธรรมชาติ ตามครรลองที่ควรจะเป็น

ที่มา : www.360doc.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:Hi เห็นบทความดีๆ ตั้งแต่ที่ทำงานละค่ะ มันยาวไม่มีเวลาอ่าน เลยกลับมาอ่านที่บ้าน น่ารักดี ขยันหามาโพสต์บ่อยๆนะคะ :gd

 

ชอบรูปภาพด้วย ^ ^

 

 

“สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ”

 

การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง

 

สาธุ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีจ้ะ GINGER และเพื่อนๆทุกๆคนนะจ๊ะ....

 

เปิดมาพบพอดี น่ารักมากเจ้าดำกล่อมเด็กนี่ (ไม่รู้ว่ากล่อมเด็กหรือแหย่เด็กให้ตื่น..อิอิ)

 

ย่าหยามีอยู่ตัวชื่อ เจ้าตอล เป็นเด็กหญิง เวลาย่าหยาคุยโทรศัพท์ครั้งใดแล้วแต่ถ้าเจ้าตอลเห็นหรือได้ยิน จะต้องเข้ามากอดแขน

 

แล้วใช้มือเค้ามาลูบปากย่าหยา ถ้าคุยนานไม่ลูบแล้วตบเลย(แต่ไม่กางเล็บนะ) แรกๆไม่ได้สังเกต มาหลังๆจะเป็นอย่างนี้เสมอ

 

จนแม่บอกว่า มันคงรำคาญ เลยอาจจะบอกเราว่า "วางหูได้แล้วไปทำงาน, วางหูได้แล้วไปทำงาน,ๆๆๆ" ฮ่าๆๆๆๆๆ เอิ๊ก.

 

น่ารักทั้งคุณแม่คุณลูก ทั้งน้องแมว

 

น้องสาวเราเลี้ยงทั้งหมา+แมว อยู่กันได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : คิดอย่างไร ไม่ให้ทุกข์ blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 ธันวาคม 2554 14:11 น.

 

Share

blank.gif TabOver.gif คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น 554000016029101.JPEG

blank.gif blank.gif ชีวิตกับความทุกข์นี้ดูเหมือนว่าจะเป็นของที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “ทุกข์เป็นสัจจะ” หมายความว่า เป็นความจริง เป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ตลอดเวลา

 

มีพระพุทธภาษิตบทหนึ่งตรัสว่า “ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป นอกจากทุกข์หามีอะไรไม่” ชีวิตจิตใจของเรานั้นมีเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์อยู่ตลอดเวลา เกิด-ดับ.. เกิด-ดับ.. อยู่ในชีวิตของเรา

 

แต่ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้น เป็นเรื่องที่แก้ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ค้นพบวิธีการแก้ทุกข์เป็นคนแรก แล้วก็ใช้วิธีนั้นเยียวยาพระองค์เอง จนพระองค์หลุดพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนอย่างเด็ดขาด ไม่มีความทุกข์ยากลำบากใจเกิดขึ้นในใจต่อไป

 

ตามปกติคนเราไม่ได้เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ที่เป็นทุกข์เกิดขึ้นนั้นก็เพราะความคิดผิดในเรื่องเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับความนึกคิดจิตใจของเรา เมื่อใดเราคิดผิดไป เราก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน

 

การที่คิดผิดนั้นก็เพราะอำนาจอวิชชา ความไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในเรื่องปัญหาเหล่านั้น ความทุกข์อาจเกิดแทรกแซงขึ้นได้ แต่ว่าความทุกข์มันก็เป็นสิ่งไม่เที่ยงเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเป็นของเที่ยงแท้ถาวรคงทนอยู่อย่างนั้นตลอดไป อะไรๆมันเกิดขึ้นนั้น มันอยู่ในสภาพที่เรียกว่าเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา

 

ความทุกข์ก็เกิด-ดับ ความสุขก็เกิด-ดับ อะไรๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น มันเป็นเรื่องเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าถ้ามีเหตุปัจจัยเครื่องส่งเสริม การเกิดนั้นก็ง่ายมาก แล้วก็ดับอยู่เหมือนกัน

 

ความเกิด-ดับของสิ่งทั้งหลายนั้น มันชั่วขณะเดียวเท่านั้น ชั่วขณะหายใจเข้าหายใจออกเท่านั้นเอง แล้วมันก็ดับไปก่อน แต่มันเกิดอีก ทำไมจึงได้เกิดขึ้นมาอีก ก็เพราะว่าเราเอาใจเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นในทางที่ผิด เราไปยึดสิ่งนั้นไว้ ไปคิดในเรื่องนั้นโดยไม่ถูกต้อง เราก็มีความทุกข์ติดต่อเรื่อยๆกันไป

 

ตัวอย่างเช่นว่าเรากลุ้มใจ ความกลุ้มใจนั้นก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ว่าเราก็ยังกลุ้มอยู่ตลอดเวลา ที่เรากลุ้มนั้น ก็เพราะว่าเราใส่เชื้อแห่งความกลุ้มเข้าไปในความคิดของเรา คล้ายกับไฟที่มันไหม้เชื้อ เมื่อมีเชื้อให้ไหม้ ไฟก็ลุกโพลงเรื่อยไป ไม่รู้จักดับไม่รู้จักสิ้น

 

แต่ถ้าหมดเชื้อเมื่อใดไฟมันก็ดับลงเมื่อนั้น แต่ถ้ายังมีเชื้ออยู่ไฟก็ไม่ดับ

 

คนที่หมั่นใส่เชื้อเพลิง ไฟก็ลุกโหมอยู่ตลอดเวลาฉันใด ในจิตใจของเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราเพิ่มเชื้อให้แก่ความทุกข์ ให้แก่ความกลุ้มใจอะไรก็ตาม สิ่งนั้นก็เกิดเรื่อยไปไม่รู้จักจบสิ้น เช่นว่า

 

ความกลุ้มใจเกิดขึ้นเพราะว่าเราคิดในแง่ที่ให้เกิดความกลุ้มใจ

 

ความโกรธก็คิดในแง่ที่ให้เกิดความโกรธ

 

ความเกลียดก็เพราะคิดในแง่ที่ให้เกิดความเกลียด

 

ความริษยาเกิดขึ้นในใจ ก็เพราะความคิดในแง่ริษยา

 

แล้วมันก็มีเชื้อคืออารมณ์ที่เราใส่ลงไปนั่นแหละ มันก็ลุกโพลงอยู่ในใจของเรา เผาใจของเราให้เร่าร้อนอยู่ด้วย ปัญหาอย่างนั้นตลอดเวลา ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น เพราะว่าเราไม่รู้จักตัดต้นเหตุ

 

พระพุทธเจ้าท่านชี้ไว้ชัดในเรื่องนี้ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุ ผลจะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่บางทีเราก็ลืมไปถึงหลักความจริงข้อนี้ ไม่ได้เอาหลักความจริงข้อนี้มาใช้ เป็นหลักในการปฏิบัติ แก้ไขปัญหา เช่น มีอะไรเกิดขึ้น เราก็ไม่ได้คิดนึกตรึกตรองเพื่อจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้น เราปล่อยให้ใจของเรามีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนตลอดเวลา ไม่คิดแก้ไม่สะสาง เราก็มีความทุกข์เรื่อยไป

 

เพราะฉะนั้น ในการแก้ไขปัญหาชีวิต คือความทุกข์ความเดือดร้อน เราต้องใช้ธรรมะเป็นเครื่องประกอบ เอาธรรมะเข้าไปแก้

 

บางทีมันมีเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แล้วเราก็มีความไม่สบายใจด้วยปัญหานั้นๆ ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ เช่นว่าเราต้องสูญเสียอะไรบางอย่างในชีวิตของเราไป จะเป็นบุคคลก็ตาม จะเป็นวัตถุสิ่งของเครี่องใช้ไม้สอยก็ตาม

 

เวลาสิ่งนั้นสูญหายไป เราก็มีความระทมตรมตรอมใจ มีความทุกข์อยู่ในใจตลอดเวลา ไม่สบายไม่อยากพูดกับใคร นั่งคนเดียว ปล่อยจิตปล่อยใจไปตามอารมณ์ อันเป็นเหตุที่จะให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจเท่านั้น

 

ไม่พยายามเปลี่ยนความคิด ไม่พยายามวิเคราะห์วิจัย ตัวปัญหาที่มันเกิดขึ้นในใจของเราว่า มันคืออะไร ทำไมมันจึงทำให้เรามีความคิดอย่างนั้นมีความคิดอย่างนี้ การไม่วิเคราะห์วิจัยนั้นแหละเรียกว่า “ไม่ใช้ปัญญา” เป็นเครื่องพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า

 

พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ชัดในเรื่องนี้ ท่านบอกว่า เมื่อใดมีอะไรเกิดขึ้นในใจของเรา จงใช้ปัญญาเพ่งพินิจในเรื่องนั้น เพ่งพินิจหมายความว่าดูอย่างละเอียด ดูอย่างรอบคอบ ดูให้มันลึกซึ้ง เพื่อจะให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และเราจะแก้ไขสิ่งนั้นอย่างไร

 

ตามปกติคนเราทั่วๆ ไปนั้น ไม่ค่อยจะได้ใช้สิ่งนี้ ที่ไม่ได้ใช้นั้นเพราะอะไร เพราะว่าไม่เคยใช้เลย ก็ใช้ไม่เป็น แต่ถ้าหัดใช้บ่อยๆ ก็เคยชินเป็นนิสัย แล้วเราก็จะหยิบเอาปัญหาขึ้นมาวินิจฉัยได้ง่ายขึ้น

 

จึงอยากขอแนะนำญาติโยมทั้งหลายว่า เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเราต้องหมั่นคิด

 

แต่ว่าการคิดนั้นอย่าคิดในแง่ที่ให้เกิดความกลุ้มใจ ในแง่ที่ให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ เราต้องคิดในแง่ที่ว่าความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร มันเกิดจากอะไร มันอาศัยอะไร แล้วเมื่อสิ่งนั้นมาอยู่ในใจของเรานั้น สภาพจิตใจของเราเป็นอย่างไร มีความทุกข์มีความเบาใจ มีความสุขใจ ร้อนใจ เย็นใจ หรือว่าสงบใจอย่างไร เป็นเรื่องที่จะต้องเพ่งลงไปพิจารณาลงไป ให้เข้าใจเรื่องนั้นชัดเจนถูกต้อง

 

(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรม

วันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๐)

 

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 132 พฤศจิกายน - ธันวาคม 2554 โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กฎแห่งกรรม : คู่อริ - คู่อาฆาต blank.gif blank.gif การฆ่าคนนับว่าเป็นบาปอย่างยิ่ง หากใจไม่หยาบหนาจริงๆ ก็คงไม่กล้าทำ แต่สำหรับบางคนแล้ว ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องสนุกสนาน ไล่ฆ่าฟันกันราวกับว่าชีวิตนี้ไม่มีความหมายอะไร และดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะไม่กลัวบาปกรรมอะไรทั้งสิ้น

 

ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นกรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อห้าหกปีก่อน และผลของกรรมได้ตามไล่ล่าเขาอย่างสาสม ทำให้เขาได้เสวยความทุกข์มาจนกระทั่งปัจจุบัน

 

........

 

ท่ามกลางเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยแสงสีแห่งความเจริญรุ่งเรือง ในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งแถวบางไผ่ นายพันธกร ซึ่งเพื่อนๆ เรียกว่า “กร” อาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่ฐานะค่อนข้างยากจน บ้านของเขาเป็นเพิงเล็กๆ ไม่ต่างจากสลัมทั่วไป

 

สิ่งหนึ่งที่นับว่าโชคดีสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพ คือ มีโอกาสได้ศึกษา แม้ว่าคนที่อยู่ในกรุงเทพจะไม่ได้ร่ำรวยทุกคน แต่ก็สามารถเข้าถึงการศึกษามากกว่าเด็ก ต่างจังหวัด กรก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นความหวังของพ่อแม่ เมื่อเกิดมาจน พ่อแม่ก็พยายามส่งให้ลูกได้เรียนหนังสือ เผื่อวันข้างหน้า เขาจะได้ช่วยครอบครัวให้สุขสบายขึ้น

 

กรได้สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่ก็คิดว่าหากจบมาแล้วคงจะหางานง่าย แต่ที่พ่อแม่ไม่ค่อยจะสบายใจและเป็นห่วงคือเรื่องความปลอดภัย เพราะแต่ละวันมักจะได้ยินข่าวเด็กนักเรียนตีกันเป็นประจำ พ่อแม่จึงพยายามบอกลูกให้ระวังตัวและให้ไปโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ

 

กรเองก็ระมัดระวังตัวอยู่พอสมควร เขาจึงไปขึ้นรถเมล์พร้อมเพื่อน กลุ่มเพื่อนของกรนั้นก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปที่คึกคะนอง หากเจอกับกลุ่มนักเรียนโรงเรียนที่เป็นคู่อริ ก็จะตีกันเสมอ วันใดที่ตนเองมีพวกเยอะก็ดูเหมือนว่าสนุกดี ได้ไล่ตีคนอื่น แต่วันใดตนเองมีพวกน้อย การเอาตัวรอดแต่ละครั้งจึงยากเย็นแสนเข็ญ แทบเลือดตากระเด็น

 

ชีวิตของกรในการไปเรียนหนังสือ ไม่ต่างอะไรกับการไปรบ เพราะต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เจอสีเสื้อต่างกันไม่ได้ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยจะเกิดขึ้นทันที หากทำเขาก่อนก็ย่อมได้เปรียบ นี่คือความคิดของกร เขาไม่เคยคิดเลยว่า คนที่สีเสื้อต่างกับเขาจะคิดอย่างไร แต่สำหรับเขาคือต้องเอาตัวรอดก่อน ตีได้ก็ตี ฆ่าได้ก็ฆ่า ไม่ได้สนใจว่าคนนั้นจะเสียใจ หรือมีพ่อแม่พี่น้องที่รออยู่ข้างหลังอีกมากมาย กรคิดเพียงว่า พวกที่อยู่โรงเรียนซึ่งเป็นคู่อริกับตน จะต้องจัดการให้หมด ไม่ว่าใครก็ตาม

 

หลายครั้งหลายคราที่กรบาดเจ็บกลับมา บางครั้งก็โดนมีดฟัน บางครั้งก็โดนชกต่อยจนหน้าบวม กว่าจะรักษาหายก็หลายอาทิตย์ทีเดียว แต่เหตุการณ์อย่างนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา กรไม่ได้รู้สึกสำนึกหรือกลัวตายเลย เมื่อรักษาหายก็ไปต่อสู้ใหม่ ดูเหมือนว่าความแค้นที่ฝังอยู่ในใจของเขาและเพื่อนๆ จะไม่มีวันจางหายไปได้เลย

 

วันใดที่พวกเขาแก้แค้นได้ ก็จะฉลองกันยกใหญ่ รู้สึกดีใจ ภาคภูมิใจที่เอาชนะคู่อริได้ ยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีใจมากเท่านั้น ความคิดสงสารเห็นอกเห็นใจ แทบไม่มีอยู่เลย คิดอย่างเดียวว่า พวกนั้นสมควรตาย

 

วันหนึ่งขณะที่กรนั่งรถเมล์กลับจากโรงเรียนพร้อมเพื่อนๆ ระหว่างทางพวกเขาได้เจอกับคู่อริขึ้นมาบนรถ ทั้งสองฝ่ายต่างงัดอาวุธออกมามีทั้งมีด เหล็ก ปืนปากกา สนับมือ ฯลฯ แล้ววิ่งเข้าหากันราวกับทำสงคราม ต่างฝ่ายต่างมุ่งมั่นที่จะทำลายฝ่ายตรงข้ามให้ได้

ในระหว่างนั้นมีฝ่ายตรงข้ามคนหนึ่ง ถูกเพื่อนของกรชกต่อยจนล้มลงกองกับพื้น ทุกคนจึงรีบวิ่งมารุมกระทืบซ้ำให้หนักกว่าเดิม กรก็ร่วมหัวจมท้ายกับเขาด้วย โดยได้ใช้เหล็กฟาดเข้าไปที่ขาของคู่อริอย่างแรง กรรู้สึกสะใจมากที่เห็นนักศึกษาคู่อริไม่มีทางสู้ และนอนร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ไม่นานก็แน่นิ่งไป ในที่สุด ชายหนุ่มคู่อริก็เสียชีวิต

วันนั้นพวกของกรเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ได้สร้างความแค้นเคืองให้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างที่สุด เพราะพวกเขาต้องเสียเพื่อนรักไป แน่นอนว่ากระบวนการล้างแค้นจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทุกคนคงไม่ปล่อยให้เพื่อนตายฟรีเป็นแน่ แต่จะได้ล้างแค้นเมื่อไหร่นั้น ไม่มีใครทราบ รู้แต่ว่าทุกคนต้องเตรียมให้พร้อมเสมอ ได้จังหวะเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

 

ส่วนกรและเพื่อนๆก็ย่อมรู้ดีว่า คู่อริจะต้องมาล้างแค้นสักวันหนึ่ง พวกเขาจึงมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง และในใจก็เต็มไปด้วยความกังวลต่างๆ นานา โดยเฉพาะเวลาที่ไปและกลับจากโรงเรียน ไม่รู้ว่าคู่อริจะโผล่มาเมื่อไหร่ นี่คือความทุกข์ของคนทำชั่ว จิตใจย่อมไม่มีทางสงบไปได้

 

ในที่สุดวันที่พวกเขากลัวก็มาถึง ฝ่ายคู่อริได้มาดักรออยู่หลายวันแล้ว และแน่นอนว่าการมาคราวนี้จะต้องยกพวกมามากกว่าเดิม พร้อมกับอาวุธครบมือ

 

กรเล่าว่าขณะนั้นเขานั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถเมล์ พร้อมกับเพื่อนๆ เมื่อรถเมล์เข้าจอดป้าย พวกคู่อริก็กรูกันขึ้นมาบนรถ เพื่อนๆเขาต่างแตกตื่นกระโดดลงจากรถเมล์ แต่หลายคนก็ยังโดนคู่อริวิ่งไล่ตามไปแทง ส่วนกรซึ่งหนีไม่ทัน จึงตกเป็นเป้าถูกคู่อริคนหนึ่งใช้ด้ามปืนฟาดที่ศีรษะ ส่วนอีกคนใช้มีดฟันจนเขาเลือดอาบสลบไป และถูกคู่อริจับโยนลงจากรถเมล์

กรมารู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาเขาเห็นร่างกายของตนเองเต็มไปด้วยผ้าพันแผลเกือบทั้งตัว ทั้งรอยมีดฟัน ทั้งแผลบวมช้ำจากการถูกตี และที่สำคัญมันทำให้กรต้องเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว เดินไม่ได้อีกเลย!!

หลังจากรักษาแผลให้หายดีขึ้น กรรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายครั้งรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย เพราะไม่คิดว่าตนเองจะเป็นแบบนี้ แต่พ่อแม่ก็ได้ปลอบใจ ให้กำลังใจ และพาไปวัดปฏิบัติธรรม เพื่อช่วยเยียวยารักษาจิตใจ

ในเวลาที่กรจิตสงบ เขาได้ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิต ทุกอย่างยังตราตรึงอยู่ในหัวใจของเขา และเขาได้รู้ซึ้งแล้วว่า นี่เป็นผลจากกรรมที่เขาได้กระทำไว้เอง หากเขาไม่ทำความชั่ว ชีวิตของเขาก็คงไม่เป็นแบบนี้ แต่กว่าจะรู้ซึ้งถึงผลของกรรมชั่ว ก็สายไปเสียแล้ว ทุกวันนี้กรพยายามทำบุญกุศล เพื่ออุทิศไปให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เขาได้เคยกระทำไว้ โดยหวังว่ากรรมดีคงจะช่วยทำให้กรรมชั่วที่เขาทำในอดีตเบาบางลงบ้าง

กรรมชั่วเป็นเหมือนกับดักที่รอเราอยู่ หากเรารีบทำความดี กรรมชั่วที่เคยทำในอดีตก็จะส่งผลเบาบางลงได้ กรรมดีเท่านั้นที่จะทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริง ไม่เคยมีใครที่ทำกรรมชั่วแล้วพบความสุขอันแท้จริงเลย

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 132 พฤศจิกายน - ธันวาคม 2554 โดย มาลาวชิโร)

blank.gif

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

ผู้ใดผิดปกติ

image%5B5%5D.png?imgmax=800

เด็กชายคนหนึ่ง มีความแปลกประหลาดไปจากเพื่อน ๆ กล่าวคือ

เขาจะได้ยินเสียงร้องไห้เป็นเสียงหัวเราะ

ได้ยินเสียงหัวเราะเป็นเสียงร้องไห้

เห็นสีขาวเป็นสีดำ

เห็นสีดำเป็นสีขาว

กลิ่นเหม็นก็บอกว่ากลิ่นหอม

กลิ่นหอมก็บอกว่ากลิ่นเหม็น

พ่อของเด็กชายคนนี้จึงเดินทางไปหาคนเก่งมารักษา

ระหว่างเดินทางคนนี้จึงเดินทางไปหาคนเก่งมารักษา

ระหว่างเดินทางอยู่นั้นก็พบเล่าจื้อ

จึงเล่าเรื่องความแปลกประหลาดของลูกชายของตนให้ฟัง

เล่าจื้อกล่าวว่า

“คนเราทุกวันนี้สับสนไปหมด ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ สมมุติว่า คนทั้งโลกเป็นเหมือนลูกชายของคุณ ก็คุณนั่นแหละจะกลายเป็นคนผิดปกติ

จงจำไว้ว่า ความสุข ความทุกข์ ความผิด ความถูก ความงาม ความไม่งาม กลิ่น รส ไม่มีผู้ใดตัดสินยืนยันได้หรอก ทางที่ดีคุณรีบกลับบ้านเกิด อย่ามัวเสียเวลา เสียเงิน กับเรื่องผิดปกติของลูกชายเลย”

 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

จงอย่าคิดว่า ความคิดของผู้อื่นเป็นเรื่องผิด

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...