ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

นิทานเซน : หลักการของระหัดวิดน้ำ blank.gif ASTVผู้จัดการออนไลน์ blank.gif 555000000390701.JPEG ภาพจาก tupian99 blank.gif อาจารย์เซนอู๋เซียง เดินทางจาริกธรรมไปทั่วทุกสารทิศ วันหนึ่งระหว่างการเดินทางเกิดกระหายน้ำขึ้นมา จึงได้มองหาแหล่งน้ำ เมื่อพบเข้าก็ปรากฏว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังทำหน้าที่ควบคุมระหัดวิดน้ำอยู่ในบริเวณนั้น อาจารย์เซนอู๋เซียงจึงเอ่ยปากขอน้ำดื่ม

 

ชายหนุ่มผู้นั้น เมื่อพบเห็นอาจารย์เซน ก็ใช้สายตามอง พร้อมทั้งเอ่ยปากว่า "อาจารย์เซน หากวันหนึ่งข้าละทางโลกก็จะออกบวชเช่นกัน แต่เมื่อถึงวันนั้นข้าจะเสาะหาที่เร้นกาย ตั้งใจนั่งสมาธิศึกษาธรรม ไม่มีทางออกเดินทางเร่ร่อนไปเรื่อย เหมือนท่านในตอนนี้"

 

อาจารย์เซนจึงถามชายหนุ่มผู้นั้นกลับไปว่า "แล้วเมื่อใดกันเล่าที่เจ้าจะละทางโลกได้"

 

ชายหนุ่มตอบว่า "นับคนรุ่นเดียวกัน มีเพียงข้าที่ทราบหลักการทำงานของระหัดวิดน้ำอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการจ่ายน้ำคนเดียวของหมู่บ้าน หากวันใดวันหนึ่งปรากฏผู้มารับช่วงต่อหน้าที่นี้แทนข้า ถึงตอนนี้ข้าก็จะหมดภาระและสามารถออกบวชได้"

 

อาจารย์เซนยังคงถามต่อไปว่า "เจ้าบอกว่าเจ้าแม่นในหลักการของระหัดวิดน้ำที่สุด อย่างนั้นเราถามเจ้า หากระหัดวิดน้ำจมลงไปในน้ำทั้งหมด หรือไม่ก็ไม่กระทบถูกน้ำเลยแม้แต่ส่วนเดียว จะเกิดอะไรขึ้น?"

 

ชายหนุ่มตอบโดยไม่ต้องคิดว่า "การทำงานของระหัดวิดน้ำย่อมต้องให้ครึ่งหนึ่งอยู่ในน้ำ ครึ่งหนึ่งอยู่เหนือน้ำ หากจมลงไปในน้ำทั้งหมดนอกจากจะไม่สามารถหมุนได้แล้วยังจะหักพังไหลไปตามน้ำ ในทางกลับกันหากระหัดวิดน้ำไม่มีส่วนไหนจมน้ำเลย ก็ไม่สามารถวิดน้ำขึ้นมาได้"

 

เมื่อชายหนุ่มกล่าวจบ อาจารย์เซนจึงบอกว่า "ความสัมพันธ์ของระหัดกับสายน้ำ ก็เหมือนความสัมพันธ์ของมนุษย์กับโลก หากคนผู้หนึ่งคลุกคลีจมจ่อมอยู่ในโลกิยะอย่างเต็มตัวย่อมถูกเกลียวคลื่นแห่งโลกีย์พัดพาไปอย่างง่ายดาย แต่ในทางกลับกัน ชีวิตที่ขาวสะอาดปราศจากการข้องแวะกับเรื่องราวความเป็นไปทางโลกก็คล้ายดั่งไร้ราก เพราะเมื่อไม่รู้จักไม่เข้าใจว่าทางโลกเป็นอย่างไร ก็ยากที่จะหลุดพันจากความทุกข์หรือกิเลสตัณหาได้"

 

 

 

ที่มา : หนังสือ 《一日一禅》, 东方闻睿 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国电影出版史, 2004.8, ISBN 7-106-02204-7

blank.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานสอนใจ : ช็อกโกแลต blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ blank.gif 555000000263001.JPEG blank.gif blank.gif บั๊ดเป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ อายุ 10 ขวบ วันหนึ่งป้าของบั๊ดมาเยี่ยมครอบครัวของบั๊ดที่บ้าน ป้าเพิ่งไปเที่ยวต่างประเทศมาจึงซื้อของมาฝาก พ่อ แม่ และบั๊ดมากมาย แต่ที่บั๊ดเห็นแล้วตาลุกวาวคือช็อกโกแลตแท่งโตที่ป้าบอกว่าเป็นยี่ห้อที่อร่อยที่สุดของประเทศนั้น

 

ความจริงบั๊ดเป็นเด็กเอื้อเฟื้อคนหนึ่ง แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเก็บช็อกโกแลตไว้กินคนเดียว เพราะเป็นสิ่งที่เขาชอบมาก ดังนั้นเมื่อป้ากลับไปแล้วบั๊ดจึงคว้าช็อกโกแลตแล้ววิ่งเข้าไปในห้องนอนของตัวเองทันทีโดยที่พ่อและแม่ไม่ทันได้สังเกตเห็น

 

'เอาเข้ามากินในห้องอย่างนี้ไม่มีใครแย่งเราได้ เราจะได้กินช็อกโกแลตแท่งนี้ให้เต็มที่ไปเลย' บั๊ดพูดกับตัวเองด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง

 

บั๊ดลงมือแกะห่อช็อกโกแลตพลางจินตนาการถึงรสชาติเข้มข้นหวานมันที่กำลังจะแตะลิ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงร้อง เรียกชื่อเขาดังมาจากหน้าบ้าน

 

"บั๊ด บั๊ด ยู้ฮู! บั๊ด"

 

เสียงเรียกแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อน ๆ ของเขาเอง พวกนั้นคงชวนไปเตะฟุตบอลเหมือนทุกวัน แต่วันบั๊ดแสร้งทำหูทวนลมเสีย เพราะเขาอยากกินช็อกโกแลตมากกว่าออกไปวิ่งเล่น

 

"บั๊ด บั๊ด เฮ้! บั๊ด อย่ามาทำไก๋ เรารู้นะว่านายอยู่บ้าน นั่นไง รองเท้านายวางอยู่นั่น เราเห็นนะเพื่อน"

 

เพื่อนของบั๊ดฉลาดเป็นกรด บั๊ดจึงต้องวางช็อกโกแลตแล้ววิ่งไปที่หน้าต่าง

 

"โทษทีเราหลับอยู่ พวกนายมีอะไรหรือเปล่า" บั๊ดชะโงกหน้าออกไปถามจึงได้รู้ว่าเพื่อน ๆ มากันหลายคนทีเดียว เพื่อนคนที่ตะโกนเรียกบั๊ดตอบว่า

 

"จะมีอะไรล่ะ ก็มาชวนไปเตะบอลน่ะสิ นายนัดพวกเราเองนะ จำไม่ได้รึไง"

 

"วันนี้เราไปไม่ได้แล้ว พวกนายไปเล่นกันก่อนเถอะ"

 

"ทำไมล่ะ"

 

"เรา..." บั๊ดคิดคำแก้ตัว "อ้อ ใช่แล้ว เราต้องทำการบ้าน"

 

"การบ้านอะไร" เพื่อนอีกคนถามขึ้น บั๊ดจึงได้รู้ว่ามีคนที่เรียนห้องเดียวกันกับเขาปะปนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย บั๊ดตกใจ "ไม่มีสักหน่อยนี่นา" เพื่อนห้องเดียวกันคนนั้นหันไปพูดกับคนอื่น ๆ แล้วเด็กชายที่ตะโกนเรียกบั๊ดจึงร้องถามบั๊ดว่า

 

"เฮ้ บั๊ด นายเป็นอะไรกันแน่..หรือว่าพ่อซื้อเกมใหม่มาให้แล้วแอบเล่นคนเดียว..ดีล่ะ พวกเราจะขึ้นไปบุกห้องนอนเพื่อเล่นเกมสุดมันนั้นด้วย"

 

'ถ้าพวกนี้มาเห็นช็อกโกแลตเรา เราก็จำต้องแบ่งให้ แล้วจะเหลือกินเองสักเท่าไรล่ะ' สมองของบั๊ดคิดเรื่องช็อกโกแลตขึ้นมาทันที แล้วปากเขาก็ร้องขึ้นเร็วเท่าความคิดว่า

 

"ไม่มี ๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้น เอาล่ะ ๆ เราจะลงไปเดี๋ยวนี้ พวกนายรออยู่ตรงนั้นแหละ"

 

พูดจบบั๊ดก็วิ่งกลับมาที่เตียงนอนแล้วเอาช็อกโกแลตที่แกะค้างไว้แต่ยังไม่ได้กินแม้แต่น้อยซุกไว้ใต้ผ้าปูที่นอน เพราะเป็นที่ที่เขาแน่ใจว่าจะปลอดภัยจากมนุษย์ทุกคนในโลก จากนั้นจึงวิ่งลงไปหาเพื่อน ๆ ที่รออยู่ด้านล่าง

 

เด็ก ๆ เล่นฟุตบอลกันตั้งแต่บ่ายถึงเย็นจึงชวนกันเลิก วันนี้ทุกคนยังไม่กลับบ้านของตัวเองทันที แต่กลับชวนกันไปเล่นที่บ้านของบั๊ดต่อ บั๊ดซึ่งมีใจพะวงถึงแต่ช็อกโกแลตใต้ผ้าปูที่นอนอยู่ตลอดเวลาจำต้องตอบรับคำขอของเพื่อน ๆ อย่างเสียไม่ได้

555000000263002.JPEG ขอบคุณภาพประกอบจาก longevity.about.com blank.gif ปกติเวลาบั๊ดชวนเพื่อน ๆ มาเล่นที่บ้าน เขาจะพาเพื่อน ๆ ขึ้นไปเล่นบนห้องนอน แต่วันนี้บั๊ดไม่เอ่ยปากชวนใครขึ้นไปบนห้องนอนของเขาเลย ดีที่แม่ของบั๊ดทำขนมอบไว้จึงนำขนมอบและน้ำหวานมาให้บั๊ดและเพื่อน ๆ กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ ทุกคนสนุกสนานเฮฮายกเว้นบั๊ด แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น

 

'เมื่อไรเจ้าพวกนี้จะกลับไปเสียทีนะ เราเสียเวลาอยู่กับพวกมันมาทั้งวันแล้ว เราอยากกินช็อกโกแลตของเราเสียที' บั๊ดคิดซ้ำไปซ้ำมาด้วยความหงุดหงิด

 

กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น เด็ก ๆ จึงขอตัวกลับบ้าน บั๊ดดีใจมากแต่ต้องเก็บซ่อนอาการไว้ ครั้นเพื่อน ๆ กลับไปจนหมดแล้ว บั๊ดจึงรีบวิ่งขึ้นบันไดแต่สวนกับพ่อที่เดินลงมา และถามบั๊ดว่า

 

"ลูกเห็นช็อกโกแลตที่ป้าซื้อมาฝากบ้างไหม เห็นป้าบอกว่าอร่อยนักหนา พ่อก็เลยจะชิมดูเสียหน่อยว่ารสชาติเป็นอย่างไร แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอสักที"

 

บั๊ดอึก ๆ อัก ๆ เพราะไม่ค่อยอยากแบ่งช็อกโกแลตให้ใคร แต่เมื่อเป็นพ่อก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นเขาจึงพาพ่อไปที่ห้องนอนและเปิดผ้าปูที่นอนออก ทันทีที่ได้เห็นของวางอยู่ สองพ่อลูกร้องออกมาด้วยความตกใจ

 

ช็อกโกแลตแท่งนั้นยังวางอยู่ที่เดิม แต่ไม่อยู่ในสภาพที่จะกินได้อีกต่อไป เนื่องจากกองทัพมดได้จัดการกัดกินช็อกโกแลตแท่งนั้นจนกลายเป็นรูพรุนไปเสียทั้งแท่ง พ่อของบั๊ดจึงต้องเอาช็อกโกแลตแท่งนั้นไปทิ้งถังขยะก่อนจะมาสอบถามความจริงจากบั๊ดซึ่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

 

เมื่อรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว พ่อก็พูดกับบั๊ดว่า "เพราะลูกแกะซองช็อกโกแลตทิ้งไว้ มดจึงได้กลิ่นและไปบอกเพื่อน ๆ ของมันให้มากินช็อกโกแลตด้วยกัน นั่นเป็นเพราะพวกมันไม่หวงสิ่งดี ๆ ไว้กับตนเพียงตนเดียว แต่รู้จักแบ่งปันสิ่งดี ๆ นั้นให้กับเพื่อน ๆ ของมันด้วย มดทุกตัวจึงได้กินช็อกโกแลตอร่อยแท่งนี้อย่างมีความสุข แต่สำหรับลูก ลูกคิดแต่จะกินให้อร่อยคนเดียว อยากมีความสุขเพียงคนเดียว สุดท้ายลูกก็จะไม่เหลืออะไรอย่างนี้เอง จำไว้นะ สิ่งดี ๆ มีไว้แบ่งปัน มิใช่เก็บไว้กับตัวเอง"

 

บั๊ดปล่อยโฮด้วยความเสียใจที่ตัวเองตระหนี่ไม่รู้จักแบ่งปันสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่น จึงต้องเสียช็อกโกแลตไปทั้งหมด ต่อไปนี้เขาจะทำตัวเสียใหม่อย่างที่พ่อสอน

 

พ่อกอดบั๊ดและปลอบเขาอย่างอ่อนโยน

 

บทสรุปของผู้แต่ง

 

เรามาช่วยกันเพิ่มความสุขให้แก่โลกของเรากันสักหน่อยดีไหม วิธีการก็ง่าย ๆ เพียงแค่แบ่งปันสิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่แล้วให้คนอื่นบ้าง ไม่ต้องมากมาย แบ่งให้เขาเท่าที่เราจะให้ได้ และเพียงพอที่จะทำให้เราเห็นรอยยิ้มสวย ๆ และได้ยินเสียงหัวเราะดัง ๆ ของเขาก็พอ

 

การแบ่งปันอาจจะทำให้เราเหลือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขน้อยลง แต่จะเพิ่มกลิ่นแห่งความสุขให้อบอวลอยู่ในโลกมากขึ้น และเราเองก็จะ ได้รับความสุขเพิ่มขึ้นอีกจากเรื่องดี ๆ ที่เราทำลงไป ก็เหมือนเวลาเราเล่าเรื่องตลกให้ใครฟังนั่นล่ะ เราไม่ได้ต้องการเงินทองจากเขาสักหน่อย เราแค่อยากให้เขายิ้มหรือหัวเราะไปกับเรื่องที่เราเล่า แค่นั้นเองที่เราอยากเห็น และแค่ได้เห็นก็ทำให้เรามีความสุขได้แล้ว

 

/////////////

 

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

3.3.jpg

 

ถ้าจะอยู่ ในโลกนี้ อย่างมีสุข อย่าประยุกต์ สิ่งทั้งผอง เป็น “ของฉัน”

 

มันจะสุม เผากระบาล ท่านเป็นควัน ต้องปล่อยมัน เป็นของมัน อย่าผันมา-

เป็นของกู ในอำนาจ แห่งตัวกู ท่านจะอยู่ วุ่นวาย คล้ายคนบ้า

 

อย่างน้อยก็ เป็นนกเขา เข้าตำรา มันคึกว่า "กูของกู" อยู่ร่ำไป ฯ

ท่านหามา, มีไว้, ใช้หรือกิน ตามระบิล, อิ่มหนำ ก็ทำไหว

 

โดยไม่ต้อง มั่นหมาย ให้อะไรๆ ถูกยึดไว้ ว่า "ตัวกู" หรือ "ของกู" ฯ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คำพูดแย่ๆ

 

ถ้าแคร์คำพูดแย่ๆ … ก็เท่ากับแพ้ใจตัวเอง

 

ถ้าคนหนึ่งตีกลอง แล้วอีกคนยิ่งเต้น คนตีเขาก็ยิ่งตี

 

แต่ถ้าตีแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น เขาก็จะหยุดไปเอง เพราะตีไปก็เหนื่อยเปล่า

 

บ่อยครั้งที่เรามักเจอคำพูดแย่ๆ จากคนรอบข้าง

 

ถ้าไม่รู้จักดูแลจิตใจ ความรู้สึกของตัวเอง

 

เราจะถูกบั่นทอนลงทีละนิด

 

ดูแลหัวใจของเราให้ดี เรียนรู้ที่จะคิดปฏิเสธคำพูดแย่ๆ จากคนอื่น

 

รู้แหล่งที่มาอย่างมีเหตุผล แล้วจะไม่มีอะไรมาบั่นทอนหัวใจเราได้เลย

 

ขอบคุณ...บทความดี ๆ จากเวป..โซนไอทีดอทคอม (http://www.zone-it.com/87451)

 

สวัสดีครับ คุณ ginger สบายดีนะครับ ช่วงนี้เห็นเพื่อนๆลุ้นน้องทองกันสนุก :45

 

ส่วนผมปล่อยแท่งไปแล้วเมื่อวันพุธ ก็ได้แค่แอบอ่าน แอบมองเพื่อนๆ อยู่ห่างๆ :047

 

หวังเก็บเกี่ยวความรู้ไปกับเขาด้วย ตั้งใจว่าอบรมวันที่ 29 เสร็จ แล้วจะลงสนาม GF กะเขาด้วย :_Rd

 

ช่วงนี้เลยต้องเก็บข้อมูลเยอะๆครับ :38

 

ป.ล.ของผมมันไม่ขึ้นให้แก้ไขข้อความครับ แล้วก็เข้าได้เป็นบางกระทู้ด้วย :065 ไม่ทราบว่าเป็นอะไร :_18d

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอเก็บไว้ ให้มีใบไม้ผลิบนดวงจันทร์ 4826e7b01e66.gif

 

 

ตามคอยดูใจ...ตามดูไว้ จะได้ไม่ตามใจตัวมากไป

 

นับ 1 ถึง 100 ยังโกรธอยู่หรือเปล่า....

 

หรือนับยังไม่ถึง 5 ก็บึ้้มซะแว้ว

 

ยังไก็ใจเย็นๆไว้ คุณเลือกได้.....

 

 

ความโกรธมีผลในทางทำลาย ทำร้าย มากกว่าสร้างสรรค์

 

จึงไม่ควร(อย่างยิ่ง)ที่จะปล่อยให้ตัวเอง....ตกเป็นเหยื่อของความโกรธ

 

และหลงคิดว่าที่โกรธนั่นสมควรแล้ว เพราะคุณเลือกได้

 

เวลาที่คุณโกรธ ไม่ว่า คุณจะเป็นแบบตัวร้ายขาวีน แบบเอาเป็นเอาตาย

 

โกรธเหมือนไฟไหม้ฟาง(โกรธง่ายหายเร็ว) โกรธแรงอาฆาตลึก

 

โกรธแบบเก็บกดหรือโกรธแบบดูยังไงก็น่ารักก็เถอะนะ

 

ยังไงพิษของความโกรธก็ทำร้ายทั้งตัวเองและคนรอบข้าง

 

โดยเฉพาะคนที่ถูกโกรธ.....cncy_p_decoration001528.gif

 

รอยร้าว หลุมลึก-ตื้น ของหัวใจ(ของใครก็ตาม คนรอบๆข้าง)

 

หากคุณโกรธคุณจัดการอย่างไร

 

สติ ความเข้าใจ ความเมตตา นึกถึงใจเขาใจเราบ้าง โดยเฉพาะหัวใจเล็กของคนที่รักคุณ


ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

-การลงทุนมีความเสียง

 

ผันผวนสูง นักลงทุนทำได้แค่กำจัดความเสี่่ยง

 

-การคาคหวังมาก อาจผิดคาด หากพลาดควรตั้งสติ 48444z0c8y6274p.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เรื่องที่ชอบ.. ก้อนอิฐที่ไม่เข้าที่เข้าทางสองก้อน 20040416zqp7.jpg หลังจากการซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖ นั้น เราก็หมดตัวและเป็นหนี้โดยที่ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ แม้แต่เพิงที่อาศัยได้บนที่ดินผืนนั้น ในช่วงสองสามอาทิตย์แรก เราต้องอาศัยนอนอยู่บนบานประตูเก่าๆ ที่ซื้อมาถูกๆจากคนขายของเก่า เราหนุนบานประตูเก่าๆนั้นให้สูงขึ้นจากพื้นดินด้วยก้อนอิฐ

ท่านเจ้าอาวาสได้บานประตูที่ดีที่สุด เป็นบานประตูเรียบๆ ส่วนบานประตูของอาตมาเป็นชนิดที่มีบัว แถมยังมีรูขนาดใหญ่พอควรอยู่ตรงกลางตรงบริเวณที่เคยติดลูกบิด โชคดีนะที่เขาถอดลูกบิดออกไปแล้ว ... แต่เจ้ารูนี่ก็ยังคงอยู่เกือบจะกลางเตียงประตูของอาตมาทีเดียว อาตมาเคยพูดตลกๆว่า อาตมาไม่ต้องลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำหรอกนะ! ความจริงที่แสนหนาวก็คือว่า ลมสามารถพัดกรูผ่านเจ้ารูนี่มาถึงตัวอาตมา ทำให้อาตมาไม่ค่อยได้หลับได้นอนในช่วงค่ำคืน พวกเราเป็นพระจนๆ ที่ต้องการที่พักอาศัย แต่ไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะจ้างช่างก่อสร้างได้ แค่ค่าวัสดุต่างๆก็แพงเกินพอแล้ว อาตมาจึงต้องเรียนรู้ว่าเขาทำงานก่อสร้างกันอย่างไร เตรียมฐานรากกันอย่างไร ตลอดจนถึงการผสมคอนกรีต การก่ออิฐ การตั้งหลังคา งานประปา และทุกๆอย่าง

การก่ออิฐอาจจะดูเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่โปะปูนลงไปแล้ววางก้อนอิฐ แตะด้านนี้ที ด้านนั้นทีให้เข้าที่ ตอนอาตมาเริ่มก่ออิฐใหม่ๆ อาตมาแตะกดมุมหนึ่งลงเพื่อให้ได้ระดับ อิฐก็เริ่มแตกแถวแตกแนว หลังจากที่อาตมาดันมันให้กลับเข้าที่ มุมแรกก็เริ่มสูงเกินไปอีกแล้ว โยมลองทำดูซิ!

เพราะอาตมาเป็นพระ อาตมาจึงมีความอดทนและมีเวลาที่จะทำงานได้โดยไม่จำกัด อาตมาจึงทำงานอย่างประณีตที่สุด โดยไม่สนว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเท่าใด เพื่อให้มั่นใจว่าอิฐทุกก้อนจะถูกวางอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด... ในที่สุดการก่อกำแพงอิฐแผงแรกของอาตมาก็สำเร็จลง อาตมาก้าวถอยออกมายืนชื่นชมผลงาน ในชั่วขณะนั้นแหละที่อาตมาสังเกตเห็น ....โอ๊ย!... อาตมาก่ออิฐพลาดไปสองก้อน อิฐก้อนอื่นๆเป็นแถวเป็นแนวสวยงาม มีแต่เจ้าอิฐสองก้อนนี้แหละที่เอียงๆ ทำมุมกับแนวก้อนอิฐก้อนอื่นๆ มันดูแย่มากๆเลย มันทำให้กำแพงทั้งแผงดูไม่ดีเลย

ขณะนั้นปูนก่ออิฐก็แข็งเกินกว่าที่จะสามารถดึงอิฐออกมาก่อใหม่เสียแล้ว อาตมาจึงกราบเรียนท่านเจ้าอาวาส ขอทุบกำแพงเพื่อเริ่มต้นก่ออิฐใหม่อีกครั้ง หรือถ้าจะให้ดีก็อยากจะระเบิดมันทิ้งไปเลย อาตมาก่ออิฐไม่ดี และอาตมาก็รู้สึกอับอาย แต่ท่านเจ้าอาวาสไม่อนุญาตให้รื้อ กำแพงนี้จะต้องคงอยู่...

เวลาอาตมาพาแขกเยี่ยมชมวัดที่เริ่มตั้งใหม่ของเรา อาตมาจะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพาแขกเดินไปทางกำแพงนั้น อาตมาไม่อยากให้ใครๆเห็นมันเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปได้สามสี่เดือน ขณะที่อาตมากำลังเดินอยู่กับผู้มาเยี่ยมวัดคนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นกำแพงนั้น แล้วก็เปรยขึ้นมาว่า "กำแพงนี่สวยดี"

 

อาตมาถามเขาด้วยความประหลาดใจว่า "คุณลืมแว่นสายตาของคุณไว้ในรถหรือเปล่า? สายตาคุณเสื่อมหรือเปล่า? คุณไม่เห็นรึว่ามีอิฐถึงสองก้อนที่วางไม่ดีจนทำให้กำแพงนี้เสียหายหมด?"

 

คำพูดที่เขาตอบอาตมานั้นได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดของอาตมาต่อกำแพงนั้น ต่อตัวอาตมาเอง และต่อหลายๆแง่มุมของชีวิต เขาบอกอาตมาว่า "ใช่ ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น แต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่ามีอิฐอีก ๙๙๘ ก้อน ก่อไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ"

อาตมาถึงกับอึ้งทีเดียว นับเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่นๆบนกำแพงนั้น นอกเหนือจากเจ้าสองก้อนที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวาของเจ้าอิฐสองก้อนนั้น ล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนอิฐที่ดีนี้มีมากกว่าเจ้าอิฐที่ไม่ดีสองก้อนนั้นมากมายนัก ก่อนหน้านี้ ตาของอาตมาจับจ้องเฉพาะแต่ที่อิฐสองก้อนนั้น ตาของอาตมามืดบอดต่อสิ่งอื่นๆทั้งหมด อาตมาจึงไม่อาจทนมองกำแพงนั้นได้ และไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้เห็นกำแพงนั้นด้วย เป็นเหตุให้อาตมาอยากจะทลายกำแพงนั้นทิ้ง...

เดี๋ยวนี้เมื่ออาตมาสามารถเห็นอิฐดีๆนั้นแล้ว กำแพงนั้นก็ไม่น่าเกลียดอีกต่อไป มันก็เป็นเหมือนกับที่ผู้มาเยี่ยมคนนั้นพูด "กำแพงนี่สวยดี" เดี๋ยวนี้กำแพงนั้นก็ยังคงอยู่ แม้เวลาจะผ่านไป ๒๐ ปีแล้ว อาตมาเองก็ลืมเสียแล้วว่าเจ้าอิฐไม่ดีสองก้อนนั้นอยู่ตรงไหน อาตมาไม่สามารถเห็นจุดที่ผิดพลาดนั้นจริงๆ

มนุษย์เราสักกี่คนที่ตัดสัมพันธ์หรือหย่าร้างเพียงเพราะเขาเพ่งมองเห็นแต่ "อิฐที่ไม่ดีสองก้อน" ที่อยู่ในตัวคู่ชีวิตของเขา พวกเรากี่คนที่เคยรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังจนอาจจะเคยคิดฆ่าตัวตาย เพียงเพราะเรามองเห็นแต่ "อิฐที่ไม่ดีสองก้อน"ในตัวของเรา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงมี"อิฐที่ดีและอิฐที่ดีจนไม่มีที่ติ"มากมายอยู่เคียงข้างส่วนที่บกพร่อง ไม่ว่าจะมองไปข้างบน ข้างล่าง ข้างซ้าย ข้างขวา เพียงแต่เรามองมันไม่เห็นเท่านั้น แทนที่จะเห็นสิ่งดีๆที่มีอยู่ สายตาของเรากลับเพ่งมองจดจ่อเฉพาะสิ่งที่ผิดพลาด ทั้งหมดที่เราเห็นมีแต่สิ่งผิดพลาด จนเราอยากคิดทำลายมันทิ้งเสีย มันน่าเศร้าจริงๆที่หลายครั้งหลายหน เราได้ลงมือทลาย "กำแพงที่ดี"นั้นไปจริงๆ

***** จากหนังสือ "ชวนม่วนชื่น" ธรรมะบันเทิงหลายเรื่องเล่า โดย พระอาจารย์พรหม

ศรีวรา อิสสระ : ผู้แปล

 

ขอบคุณผู้วาดภาพ

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คมธรรม ท่าน ว. วชิรเมธี การจัดการความโกรธ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

มองเป็นก็เห็นสุข 1/3 พระไพศาล วิสาโล

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

หลวงปู่ชา สุภัทโท - จงทำเหตุให้ดี

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

พระมหาสมปอง..ขำๆครับ

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ใจ สมควรรักษาใจ

 

ใจ หากปล่อยให้เห็นผิด ทำผิด

 

ใจ โหดเหี้ยม กระทำการอำมหิต

 

ใจที่หวาดกลัว จะขลาดเขลา เย็นชา

 

อบรมรักษาใจ ให้แยก ถูก-ผิด

 

ใจนี่สำคัญนัก

 

http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000005352

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเซน : ยื้อไว้ไม่ยอมตาย กับ มีชีวิตอยู่อย่างดี

 

 

 

blank.gif 555000000085201.JPEG ภาพจาก blog.cntv.cn blank.gif <撑着不死与好好活着>

ในวันหนึ่งที่อากาศร้อนจัด มวลดอกไม้รอบบริเวณอารามเซนโดนแดดเผาจนเหี่ยวเฉา เมื่อเณรน้อยเห็นดังนั้น จึงกล่าวด้วยความตกใจว่า "แย่แล้ว ต้องรีบรดน้ำพวกมันสักหน่อย" จากนั้นจึงรีบยกถังไปตักน้ำตั้งท่าจะนำมารดต้นดอกไม้

 

เมื่ออาจารย์เซนเห็นเหตุการณ์จึงกล่าวห้ามว่า "จงอย่ารีบร้อนไป ตอนนี้แสงแดดแรงมาก หากรดน้ำลงไป เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น จะพาลให้ต้นดอกไม้ตายเป็นแน่ จงรอให้ถึงยามค่ำก่อนเถิดค่อยรดน้ำ"

 

ยามค่ำ เหล่าดอกไม้ที่โดแดดมาทั้งวันล้วนแห้งเหี่ยว เณรน้อยจึงบ่นว่า "ไม่รีบรดน้ำให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้ดอกไม้พวกนี้คงแห้งตายไปหมดแล้ว ต่อให้รดน้ำยังไงก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก"

 

อาจารย์เซนได้ยินจึงปรามว่า "อย่าพูดมาก รดน้ำไป!"

 

เมื่อได้น้ำที่ชุ่มฉ่ำราดรดลงไป ไม่นานเหล่าดอกไม้ก็กลับมาชูช่อดังเดิม เณรน้อยเห็นดังนั้นจึงอุทานด้วยความยินดีว่า "โอ้โฮ ดอกไม้เหล่านี้ช่างทนยิ่งนัก ยังสามารถยื้อไว้ไม่ยอมตาย"

 

ทว่าอาจารย์เซนกล่าวแย้งว่า "เหลวไหล มิใช่ยื้อไว้ไม่ยอมตาย แต่เป็นการมีชีวิตอยู่อย่างดีต่างหาก"

 

"แล้วมันต่างกันอย่างไร?" เณรน้อยถามด้วยความงุนงง

 

อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า "ย่อมต่างกัน เราถามเจ้า ปีนี้เราอายุ 80 กว่าแล้ว เรียกว่าเรายื้อไว้ไม่ยอมตาย หรือ มีชีวิตอยู่อย่างดี?"

 

หลังจากเสร็จสิ้นการทำวัตรเย็น อาจารย์เซนเรียกเณรน้อยมาพบ ทั้งยังถามถึงเรื่องที่ค้างไว้ว่า "เป็นอย่างไร คิดออกแล้วหรือไม่?"

 

"คิดไม่ออกครับ" เณรน้อยตอบ

 

อาจารย์เซนจึงอธิบายว่า "เด็กโง่ ผู้ที่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเอาแต่กลัวความตาย ย่อมเรียกว่า ยื้อไว้ไม่ยอมตาย ส่วนผู้ที่มองไปข้างหน้าในทุกๆ วันจึงเรียกว่ามีชีวิตอยู่อย่างดี เมื่อมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งวันก็ต้องใช้มันให้ดีที่สุด ผู้ที่ยามมีชีวิตเอาแต่กลัวความตาย เอาแต่จุดธูปสวดมนต์ภาวนาเพื่อหวังว่าตายแล้วจะกลายเป็นพุทธะล้วนไม่มีทางเป็นพุทธะ" จากนั้นจึงกล่าวว่า " วันนี้มีชีวิตอยู่แล้ว แต่กลับไม่ตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี เมื่อตายไปฟ้าก็คงไม่ประทานชีวิตที่ดีกว่ามาให้หรอก"

 

ที่มา : http://www.360doc.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเซ็น

เมื่อโชอันตื่น

โดย นพ.ประสาน ต่างใจ

โพสท์ในลานธรรมเสวนากระทู้ที่ 000144 โดย คุณ : Lynnie [ 16 ก.ค.

bar-1s.jpg

 

เมื่อหลายร้อยปีก่อน มีเรื่องเล่าที่กล่าวถึงโชอันชาวเมืองเกียวโต ผู้ซึ่งในบั้นปลายได้บวชเป็นพระในนิกายโซโตะเซน เล่ากันว่าตั้งแต่โชอันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ คนทั้งเมืองเกียวโตก็รู้จักโชอันกันถ้วนทั่ว ทั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพราะโชอันเป็นลูกโทนของเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองนั้น หรือว่าพ่อของโชอันจะเป็นคนใจบุญสุนทานโอบอ้อมอารีที่สุดในเมืองนั้น และไม่ใช่เพียงว่าโชอันเป็นเด็กที่ฉลาดกว่าเด็กทั้งหมดในวัยใกล้เคียงกัน

ทั้งไม่ใช่ว่าเพราะโชอันเป็นเด็กที่เรียบร้อยและมีจริยาวัตรงดงามที่สุดคนหนึ่งในเมืองเกียวโต

แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้คนรู้จักโชอันดีเป็นพิเศษอยู่ที่ความล้มเหลวในกิจการงานในทุก ๆ ด้านของโชอัน จนสุดท้ายเขาจำต้องหนีหายไปจากเกียวโตตั้งแต่ก่อนวัยกลางคน ไม่มีใครนึกฝันว่าในที่สุดโชอันผู้ล้มเหลวในชีวิตไม่เป็นท่า จะกลายเป็นพระผู้รอบรู้ปฏิบัติเซน ที่มีชื่อเสียงด้านปัญญากระเดื่องดังไปทั่วญี่ปุ่น ไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลับมาเกียวโตอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้หายหน้าหายตาไปหลายสิบปี

กลับมาในฐานะของปรมาจารย์ผู้บรรลุธรรม ทั้ง ๆ ที่ก่อนนี้โชอันคือผู้ล้มเหลวโดยแท้

ความล้มเหลวของโชอันนั้นเป็นเรื่องที่ชาวเมืองเกียวโตทุกคนรู้กันทั่ว และบางคนถึงกับนำเอาเกร็ดชีวิตของโชอันไปอุปมาอุปไมยสอนลูกสอนหลาน ถึงความหายนะของโชอันที่เป็นผลของความไม่เอาไหนอย่างไม่น่าเชื่อ โชอันที่เป็นคนฉลาดที่สุดกลับบริหารทรัพย์สินสมบัติไม่เป็น หลังจากที่ท่านเศรษฐีผู้เป็นพ่อตายไป โชอันไม่ดื่มเหล้าเล่นการพนันหรือเสเพล กลับสามารถทำให้ทรัพย์สินเงินทองต้องมลายสูญหายไปจนหมดสิ้นอย่างรวดเร็วจากการบริหารงานธุรกิจของเขา

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โชอันหมดตัวลง บรรดาลูกจ้างและคนในบ้านแทบทุกคนของโชอันพากันได้ดี หลายคนกลายเป็นเศรษฐีย่อย ๆ อีกหลายคนมีศักดิ์ศรีมีฐานะดีกว่าเดิม หรืออย่างน้อยก็พอมีพอกินไม่ต้องอาศัยหรือเป็นลูกจ้างใครอีกต่อไป นั่นล้วนเป็นผลดีผลพลอยได้จากโชอันทั้งสิ้น

ความล้มเหลวในทางเกียรติยศชื่อเสียงยิ่งไม่น่าเชื่อ แม้ว่าชาวบ้านทุกคนจะรู้จักโชอัน หลายคนได้อาศัยใบบุญของเศรษฐีที่เป็นพ่อ แต่ด้วยนิสัยยินยอมประนีประนอมของเขา ทำให้ไม่มีใครอยากเสนอตำแหน่งหน้าที่อันทรงเกียรติไม่ว่าอย่างหนึ่งอย่างใดให้กับโชอัน

ตำแหน่งสำคัญ ๆ กลับไปได้กับคนที่เรียนหนังสือตกแล้วตกอีก จนอาจารย์ท้อใจ หรือไม่ก็ได้กับคนตลบตะแลงขี้คุยขี้เหล้า ร้ายกว่านั้น ตำแหน่งที่เกี่ยวกับความปลอดภัยและความยุติธรรม กลับไปได้กับนักเลงหัวไม้ซามูไรเศษสวะอย่างไม่น่าเชื่อ

ทั้ง ๆ ที่มีหญิงสาวทรงรูปโฉมฐานะและตระกูลดีหลายคนในเมือง ที่เพียงแต่โชอันสนใจบ้างหรือใช้ความพยายามบ้างแม้เพียงสักเล็กน้อย ก็จะมีโอกาสได้มาครอบครองอย่างแน่นอน แต่โชอันไม่รู้ว่าไปทำอย่างไรจึงพลาดไปทั้งหมด ปล่อยให้พวกนักเลงคนขี้คุยรวมทั้งลูกน้องลูกจ้างของโชอันเองคว้าเอาไปครองกันจนหมดสิ้น

ดังนั้นหลังจากที่โชอันกลับมาและเปิดสำนักโซโตะเซน หลายคนจึงสนใจที่จะเรียนรู้ หรือว่าความสำเร็จของการแสวงหาความจริงจะได้มาก็ด้วยความล้มเหลวซ้ำซ้อนที่ปวดร้าว

เมื่อหลายคนถาม โชอันจึงเล่าให้ฟังว่า เขาก็ไม่รู้ว่าอะไรคือความสำเร็จและเขาไม่สนใจตรงนั้น โชอันเพียงบอกว่า เขารู้เพียงว่าเขาได้ตื่นขึ้นจากความฝันที่ไม่ใช่ความฝันเท่านั้น

โชอันบรรยายเป็นโคลงที่มีห้าบท ตามแนวที่ดัดแปลงมาจากร่ายของเดอเมลโลดังนี้ :

"ข้าเดินท่องเที่ยวอดมื้อกินมื้อมาสิบเจ็ดปี ท่องเที่ยวหาความสำเร็จในโลกกว้าง พายุฝน เมฆที่มืดครึ้ม ฟ้าแลบฟ้าคะนอง ภาพที่ซ้อนภาพ ที่แท้ - เบื้องหลังคือฟ้าสีครามตะวันสีทอง"

"ข้าจำได้ว่าข้าเดินเข้าไปในถ้ำที่ลึกและมืดสนิท ข้าทรุดตัวลงนั่งที่มุมหนึ่ง คนเดียวแท้ ๆ ข้าครุ่นคนึงถึงเรื่องของชีวิต ข้าครุ่นคะนึงถึงชีวิตที่เส็งเคร็ง ล้มเหลว ไร้ค่า ไร้ความหมาย"

"ข้าเห็นดอกไม้บนต้นไม้หลายต้นริมทางเดิน แต่ก็เห็นเมล็ดพันธุ์อีกมากกว่ามาก ที่ไม่สามารถเติบโตเป็นต้นได้ หน่ออีกมากที่โตไม่ทันกับถูกเหยียบ ถูกสัตว์แทะวัวแพะกัดกิน แดดร้อนเฉาตาย"

"ข้าเห็นไข่แมลงไข่นกไข่ต่าง ๆ มากมาย โตเป็นตัวแล้วก็ถูกกัดกินตายไป บ้างไม่ทันโตก็ฝ่อตกแตกตายไป ไข่เต่าทะเลเป็นพันเหลือเพียงหนึ่ง เพียงเพื่อหนึ่ง - พันหมื่นต้องเสียสละ"

"ข้าเห็นคนมากหลายแย่งชิงกันเพื่อเพียงหนึ่ง แย่งชิงกันเป็นนักแสดงนางงามเป็นดารา แย่งชิงเป็นใหญ่...ขอข้าก่อนเป็นหัวหน้า แย่งชิงเป็นผู้แทนรัฐมนตรีมหาเสนา แย่งกันเป็นนักปราชญ์เป็นศาสดา"

"ข้าผ่านวันชั่วโมงที่ไร้ความหมายหลากหลาย คำพูดที่ไร้ค่าหลากหลาย ความคิดพลังงานไร้ผลที่หลากหลาย แผนงานโครงการที่ไร้ความหมาย เจ็บไข้เจ็บใจคือ...ความโง่ที่หามาเอง"

"ข้านึกถึงโอกาสทองแสงแห่งความสำเร็จ เกียรติยศศักดิ์ศรีที่ข้าทิ้งมันไป ความงามความยิ่งใหญ่ที่ไม่สนใจ ละทิ้งไปทั้งที่ควรหาควรได้ นึกถึงสัญญาที่ข้าไม่เคยรักษามัน"

"ทั้งหมดและเดี๋ยวนี้...ข้าเข้าใจและวางเฉย ไม่เสียดายเสียใจหรือรู้สึกผิด ธรรมชาติหลากหลายไม่เท่ากัน ลำไผ่มียาวมีสั้น...ทุกตอนทุกขั้นคือความหมาย หนึ่งหรือหมื่นหรือพัน...ต่างกันที่ความหมาย..."

(From The Kingdom by Anthony de Mello, 1984)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...