ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

1006026_4501036823046_1470964317_n.jpg

นาข้าว หาปลา มีเพื่อนเล่น มีอาหาร

พึ่งพาตนเอง มีความสุข ท่ามกลางธรรมชาติ

มิต้องมีเงินมากมาย

เงินซื้อความสุขแบบนี้มะได้

 

972080_4500434207981_1946236135_n.jpg

 

970002_4492810497393_957101684_n.jpg

มือแม่

Sarawut Whenset

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

สื่อนอกตีแผ่ข่าวดัง ชาวบ้านล้อมรถกูเกิลที่แพร่

1376552095.jpg

 

2013-08-15 14:08:52

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ชาวบ้านตำบลสะเอียบ อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ได้รวมตัวกันปิดล้อมรถกูเกิลสตรีทวิว (Google Street View) รถสำรวจเส้นทางสัญจรทั่วโลกของเว็บไซต์ชื่อดัง "กูเกิล" จนกลายเป็นประเด็นข่าวให้วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากชาวบ้านคิดว่า รถกูเกิลสตรีทวิวเป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับ โครงการสร้างเขื่อนแก่งเสื้อเต้น ที่ยังมีข้อพิพาทที่สรุปยังไม่ได้

ล่าสุด ข่าวดังกล่าวได้ถูกตีแผ่และเผยแพร่โดยสำนักข่าวใหญ่ๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น สำนักข่าวเอพี, เอ็นบีซีนิวส์ หรือ ฟรานซ์ทเวนตี้โฟร์ โดยมีการนำเสนอข่าวการปิดล้อมรถกูเกิลสตรีทวิวที่กำลังปฏิบัติหน้าที่โดยชาวบ้านในท้องถิ่น ซึ่งไม่ทราบว่ารถคันดังกล่าวคืออะไรและมาอะไรในพื้นที่ที่ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องโครงการสร้างเขื่อนในท้องที่

สำนักข่าวต่างประเทศยังระบุอีกว่า ชาวบ้านได้นำตัวคนขับรถกูเกิลสตรีทวิวไปทำพิธีสาบานต่อหน้าพระพุทธรูป เพื่อยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นแต่อย่างใด ซึ่งชาวบ้านบอกว่า รู้สึกระแวงกับสิ่งแปลกปลอมและไม่คุ้นตาที่เข้ามาในละแวกหมู่บ้าน รถกูเกิลสตรีทวิวทำให้ชาวบ้านหวาดระแวง เพราะเห็นมีกล้องติดอยู่บนหลังคารถ จึงพากันคิดว่ามาสำรวจพื้นที่สร้างเขื่อน จึงเกิดความไม่พอใจ

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวได้คลี่คลายลงแล้ว หลังจากที่กลุ่มชาวที่ปิดล้อมและจับตัวพนักงานขับรถคันดังกล่าว ได้ออกมาขอโทษ เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขณะที่ทางด้าน บริษัท กูเกิล ก็ได้ยอมรับคำขอโทษและไม่ติดใจอะไรแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่า กูเกิลสตรีทวิวเคารพให้สิทธิส่วนบุคคล กฎหมายของไทย และบันทึกภาพแต่สมบัติสาธารณะเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เหตุดังกล่าวไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับ รถกูเกิลสตรีทวิว เมื่อปี 2010 ชาวบ้านในหมู่บ้านหนึ่งที่เยอรมันได้รวมตัวกันประท้วง เนื่องจากไม่ต้องการให้กูเกิลเข้ามาบันทึกภาพที่หมู่บ้าน โดยอ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว

http://toptenthailand.com/6365-news.html

แหล่งที่มา : http://news.sanook.com/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

สาระแห่งสุขภาพ

4 hours ago

 

***บร็อคโคลี่ กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์***

 

บร็อกโคลี่เป็นผักที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน (betacarotene) เส้นใยอาหาร วิตามินซี รวมไปถึงสารอาหารต่างๆ อีกหลากหลายชนิด มีสารซัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งเป็นตัวช่วยทำให้ตับขับสารพิษ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งการเจริญของเนื้องอก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษในการต่อต้านมะเร็ง คือ สามารถป้องกันอนุมูลอิสระที่เข้าไปทำลายเซลล์และทำลาย ดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้

 

โดยกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ของสหรัฐอเมริกา ทราบเรื่องนี้ดี และพบด้วยว่ามันมีสารที่ต้านมะเร็งด้วย อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวเสื่อมสลายได้ง่ายเมื่อต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ก่อนที่ผักจะไปวางขายถึงมือผู้บริโภค นักวิจัยจึงค้นหาวิธีรักษาสารตัวนี้เพื่อให้บร็อกโคลี่ยังมีคุณสมบัติต้านมะเร็งได้ดังเดิม

 

รายงานระบุว่า บร็อกโคลี่ที่วางขาย ไม่ใช่บร็อกโคลี่สด เพราะทางโรงงานอุตสาหกรรม

จะลวกผักที่อุณหภูมิ 86 องศาเซลเซียสก่อนเสมอ เพื่อยับยั้งไม่ให้เอนไซม์ในผักทำงานจนส่งผลต่อสี กลิ่น

และรสชาติขณะที่ขนส่งผักไปยังร้านค้า

 

อลิซาเบธ เจฟเฟอรี ศาสตราจารย์ด้านโภชนาการและทีมวิจัย พบว่า กระบวนการนี้จะทำลายเอนไซม์ "ไมโรซีเนส" (myrosinase)

ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับสารอีกตัว ชื่อ "กลูโคราฟานิน"(glucoraphanin) เมื่อมันถูกสับหรือเคี้ยว

ซึ่งจะทำ ให้เกิดสารต้านมะเร็ง "ซัลโฟราเฟน"

 

ด้าน เอ็ดเวิร์ด ดอสซ์ นักศึกษาในคณะทดลอง กล่าวว่า จากการนำตัวอย่างบร็อกโคลี่แช่เย็นที่วางขายมาตรวจสอบ

ไม่พบเอนไซม์สำคัญตัวนี้เลยทั้งก่อนและหลังการทำให้สุก

 

จากการศึกษาต่อมา ทีมวิจัยทดลองลวกผักด้วยอุณหภูมิที่ต่ำลงที่ 76 องศาเซลเซียส

และนำไปแช่เย็นพบว่า เอนไซม์ไมโรซีเนสยังเหลืออยู่ร้อยละ 82

เมื่อทดลองฉีดพรมน้ำที่ผสมเศษหัวไช้เท้าซึ่งเป็นผักอีกชนิดที่มีเอนไซม์ไมโรซีเนส พบว่า

ช่วยรักษาสารต้านมะเร็งในบร็อกโคลี่ไว้ได้ แม้บร็อกโคลี่จะผ่านการปรุงอาหาร

เมื่อทดลองให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 49 องศาเซลเซียสนาน 10 นาที

 

ทั้งนี้พบว่าหน่อหรือต้นอ่อนของบร็อกโคลี่มีเอนไซม์ไมโรซีเนส และมีปริมาณที่มากกว่าบร็อกโคลี่ต้นที่โตแล้ว

 

ดังนั้นการกินทั้งบร็อกโคลี่และต้นอ่อนของมันจะให้ประโยชน์ที่เพิ่มมากขึ้นกว่าการกินอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว

 

การรับประทานบร็อกโคลี่เพื่อให้ได้ประโยชน์ในการช่วยต้านมะเร็งมากที่สุดนั้น

จะต้องไม่ผ่านกรรมวิธีการปรุงอาหารที่มีระยะเวลานานเกินไป

 

แต่..!!!!! อย่าลืมล้างผักให้สะอาดจะได้ปลอดภัยต่อสุขภาพ

 

ที่มา : สสส./ข่าวสด/by สาระแห่งสุขภาพ

 

 

998435_532881663457258_367558086_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

 

สาระแห่งสุขภาพ

4 hours ago

 

***วัตถุกันเสีย ทำลายไต***

 

ไลพ์สไตล์ที่เร่งรีบของคนเมืองส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพึ่งอาหารปรุงสำเร็จ

ที่มักถูกเก็บรักษาหรือยืดอายุไว้ด้วยสารกันบูด

ซึ่งเชื่อว่ามีผู้บริโภคน้อยคนที่จะทำให้ความสำคัญกับส่วนผสมในอาหารที่เรากินในแต่ละวัน

ว่าจะส่งผลทางสุภาพร่างกายเราอย่างไรบ้าง วันนี้เลยอยากจะชวนคุณหันมาทำความรู้จักกับส่วนผสมในอาหารอย่าง

“สารกันบูด” กันหน่อย

 

เจ้าวัตถุกันเสีย หรือที่เราคุ้นคึยในชื่อของ สารกันบูด เป็นสารที่ช่วยยืดอายุอาหารไว้ให้เก็บได้นานขึ้น

เมื่อใส่ลงไปในอาหารจะช่วยยับยั้งการการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์

ซึ่งวัตถุกันเสียไม่ได้มีเพียงแต่สารสังเคราะห์เท่านั้น แต่ยังมีสารที่เป็นธรรมชาติ อย่าง น้ำตาล เกลือ และกรด

ที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ ซึ่งคนเราได้ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติที่มาช่วยยืดอายุอาหารโดยการหมัก ดอง

เพื่อถนอมอาหารไว้ได้นานขึ้น

 

สำหรับสารสังเคราะห์ที่มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ที่เราคุ้นหู หรือเห็นกันบ่อยๆ

บนฉลากผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กรดเบนโซอิก และเกลือเบนโซเอต หรือเรียกว่า สารกันบูด

กรดซอร์บิก เกลือซอร์เบต กรดโพพีโอนิก และเกลือโพพีโอเนต หรือชื่อทั่วไปคือ สารกันรา

และสารประกอบไนเตรต ไนเตรต ซึ่งคือ ดินประสิว

 

นอกจากนี้ ยังมีซัลเฟอร์ไดออกไซด์และเดกลือซัลไฟต์ เพียงแค่ชื่อ ก็แอบทำให้เวียนหัว เอาเป็นว่าวัตถุกันเสียแต่ละชนิดแตกต่างกัน ซึ่งอาหารสำเร็จรูปล้วนแล้วแต่มีวัตุกันเสียปนอยู่มากมาย

 

หลายๆ คนคงสังสัยว่า หากเรากินอาหารที่ปนเปื้อนสารกันบูดมากๆ จะมีผลเสียต่อสุขภาพหรือไม่

 

หากปริมาณสารกันบูดในอาหารมีปริมาณตามที่กฏหมายอนุญาตให้ใช้ ไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด

ก็ไม่ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ เพราะการกำหนดปริมาณนั้นต้องผ่านขั้นตอนการประเมินความปลอดภัยมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ว่าในแต่ละวันหากร่างกายได้รับสารกันบูดในปริมาณนี้ จะสามารถกำจัดออกได้หมด

โดยไม่เหลือสารตกค้างสะสมในร่างกาย จึงไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว

แต่ถ้าหากได้รับเกินปริมาณที่กำหนด ร่างกายอาจไม่สามารถกำจัดออกได้หมด

ทำให้ตับและไตต้องทำงานหนักเพื่อขับสารพิษออกจากร่างกาย ส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้

 

อย่างไรก็ตาม อาหารที่ปรุงสดใหม่ย่อมให้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากกว่าอาหารที่ผ่านการเก็บรักษาไว้นานๆ

เราในฐานะผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจในการบริโภค ฉลาดเลือก ฉลาดซื้อ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเองด้วย

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์เอ็มทูเอฟ/by สาระแห่งสุขภาพ

 

 

1001096_532880433457381_732078933_n.jpg

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

สาระแห่งสุขภาพ

Yesterday

 

***ปัสสาวะ เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก***

 

อาการปัสสาวะนานกว่าปรกติ ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือในสาว ๆ ที่มีอาการปัสสาวะบ่อยปนปัสสาวะไม่สุดให้รำคาญใจ

ซึ่งในอาการที่ว่านี้มีโรคที่มาจากความเสื่อมของร่างกาย พูดง่าย ๆ ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงตามอายุอยู่หลายอาการ เมื่อตอนยังหนุ่มสาวไม่เป็นกลับเป็นตอนมีอายุ แต่ก็ใช่ว่าอาการที่ว่าจะปกติตามอายุเสมอไปเพราะในหลายกรณีเป็นความผิดปกติที่ถึงขั้นร้ายแรง เช่น มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ

 

ดังนั้นก่อนจะข้ามไปสรุปว่าเป็นอาการ “ปัสสาวะบ่อยตามวัย” ขอให้ดูให้แน่ก่อนว่าไม่ใช่โรคอันตราย

เท่าที่รวบรวมมามีโรคเกี่ยวกับปัสสาวะที่น่าจับตาอยู่หลัก ๆ 5 โรค

 

1) ต่อมลูกหมากโต เป็นโรคที่มักเกิดกับผู้ชายสูงวัย ต่อมนี้มักจะเริ่มโตเมื่ออายุเข้าเลขสี่นำหน้า

อาการที่พบมีปัสสาวะไม่พุ่ง ใช้เวลาปัสสาวะนานกว่าปกติเหมือนยังไม่หมดท้องและถ้าโตหนักเข้าก็ทำให้ปัสสาวะไม่ออกเลยก็มี

 

2) กระเพาะปัสสาวะไวเกิน เกิดจากเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติไป

มักพบในผู้ใหญ่ อาการมีง่าย ๆ คือไม่อยากไปเที่ยวไหนไกล

เพราะมักปวดปัสสาวะบ่อยแล้วเวลาปวดก็อั้นไม่อยู่ ต้องดูแก้ให้ถูกจุด

 

3) ติดเชื้อท่อปัสสาวะ ปัญหานี้พบในสตรีบ่อยกว่า เพราะสรีระที่ต่างไป อาการคือทำให้เข้าห้องน้ำบ่อย คอยแต่จะลุกขึ้นมาปัสสาวะ ที่สำคัญคือมีอาการเจ็บขัด ปัสสาวะปนเลือด บางรายปวดหลังมีไข้ร่วมด้วย

 

4) กรวยไตอักเสบ นี่คือความรุนแรงอย่างหนักสุดของอาการปัสสาวะบ่อย

เพราะกรวยไตอักเสบเป็นการติดเชื้อที่ทำให้ช็อคถึงขั้นเสียชีวิตได้

จะมีปัสสาวะบ่อยร่วมกับไข้หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่นและปวดหลัง

 

5) เนื้องอกและมะเร็งทางเดินปัสสาวะ

 

 

คนยุคหนึ่งเคยเรียกขานอาการปัสสาวะผิดปกตินี้ว่า “ช้ำรั่ว” เพราะเห็นคนไข้มีอาการผิดปกติคล้ายกับมีรูรั่วต้องคอยปัสสาวะนิดๆหน่อยๆ อยู่ตลอดเวลา ดูเป็นอาการน่ารำคาญ ซึ่งความจริงมีอันตรายมากกว่านั้นต้องรีบรักษากัน

 

ทางรักษาและป้องกันง่ายๆ ทางหนึ่งในสไตล์อายุรวัฒน์ก็คือปรับการใช้ชีวิต ดังต่อไปนี้

 

1) ดื่มน้ำกระเจี๊ยบ ยา(เครื่องดื่ม)กลางบ้านของฝรั่งเวลาเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบคือ

“น้ำแครนเบอรี่” ส่วนครื่องดื่มป้องกันท่อปัสสาวะแบบไทยๆ คือน้ำกระเจี๊ยบ ใช้ดื่มได้บ่อยๆ

ชงแบบไม่หวานจะช่วยลดไขมันลงได้ด้วย ให้ดื่มสักประมาณวันละ 1 ลิตรในท่านที่มีปัญหาท่อปัสสาวะติดเชื้อ

 

2) รับประทานวิตามินซี การกินวิตามินซีจะช่วยให้ท่อปัสสาวะแข็งแรงและทำให้ปัสสาวะเป็นกรด

เปรียบได้กับการฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะไปในตัว

การรับประทานวิตามินซีก็ไม่ยากเย็นขอสักวันละ 1,000 มิลลิกรัมร่วมกับกินฝรั่งสดให้เยอะเข้าไว้

 

3) ระวังการมีเพศสัมพันธ์ อาการปัสสาวะบ่อยเกิดได้ถ้ามีเพศสัมพันธ์

ขอให้ดื่มน้ำเอาไว้ให้เยอะแล้วถ้ามีอาการผิดปกติเช่น ตกขาว,เจ็บขัดเวลาปัสสาวะ,

มีมูกผิดปกติติดชั้นใน ขอให้รีบตรวจหาเชื้อแล้วจะรักษาได้

 

4) ไม่อั้นปัสสาวะ การอั้นปัสสาวะนาน ๆ ทำให้เสี่ยงท่อปัสสาวะอักเสบติดเชื้อ

ทางที่ดีสุดคือปวดเมื่อไรหาทางระบายเมื่อนั้น ที่ไหนมีปัสสาวะคั่งอยู่นาน ที่นั่นจะมีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้

 

5) ระวังเรื่องล้าง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เรื่องล้างคือการทำความสะอาดหลังเข้าห้องน้ำ

เพราะเชื้อที่เข้าไปในท่อปัสสาวะได้ง่ายส่วนใหญ่คือเชื้อที่มาจากบริเวณทวารหนัก

ดังนั้นการล้างให้ถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในเด็กผู้หญิงควรสอนล้างไม่ให้ย้อนทาง ส่วนเด็กชายก็ต้องจัดหาห้องน้ำสะอาดเอาไว้ให้ใช้

 

6) หายารับประทาน สุดท้ายถ้ายังมีอาการปัสสาวะบ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวัน

ขอให้พบแพทย์ ในผู้ใหญ่ปัญหาที่เจอบ่อยคือกระเพาะปัสสาวะไวเกิน จะทำให้ “ช้ำรั่ว”

ได้บ่อยกลั้นลำบาก ไม่ยาก กรณีนี้มียารักษา ส่วนท่านที่เป็นท่อปัสสาวะอักเสบก็สามารถกินยาฆ่าเชื้อแล้วหายได้เช่นกัน

สำคัญที่ต้องไม่ทิ้งไว้นาน

 

ทั้งหมดก็คือเรื่องราวของเรื่องปัสสาวะที่ถูกเรียกว่า “เรื่องการเบา” แต่ถ้าเราไม่รีบรักษาดูแลเสียแต่เนิ่น ๆ

ปล่อยเพลิน ๆ ไปเรื่องการเบาก็จะกลายเป็นเรื่องหนักถึงขั้นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ,ไตวายหรือโลหิตติดเชื้อได้

 

สำหรับขั้นตอนการตรวจก็แสนง่าย อย่างแรกเลยคือตรวจได้จากปัสสาวะ ยอมสละปัสสาวะเพียงนิดก็เอาไปส่องตรวจเชื้อหรือเพาะเชื้อได้แล้ว ส่วนถ้ายังไม่แน่ใจก็ให้คุณหมอท่านส่องกล้องดูในกระเพาะปัสสาวะได้

 

 

ที่มา : นพ.กฤษดา ศิรามพุช/by สาระแห่งสุขภาพ

 

 

1176135_532423983503026_797439699_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น


  •  

    ***กินอย่างไรห่างไกลโรคนิ่ว***
     
    แม้ว่าโรคนิ่วจะสามารถรักษาได้ แต่ก็คงไม่มีใครอยากให้เป็น แล้วทำอย่างไร ถึงจะห่างไกลจากโรคนี้
     
    นพ.ดนัยพันธ์ อัครสกุล หัวหน้างานศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ กลุ่มงานศัลยกรรม รพ.ราชวิถี ให้ความรู้ว่า โรคนิ่วนั้นแบ่งออกเป็นสองชนิดหลักก็คือ นิ่วที่มีแคลเซียมกับนิ่วที่ไม่มีแคลเซียม
     
    "นิ่วที่มีแคลเซียม" นิ่วประเภทนี้จะเหมือนกระดูกเอ็กซเรย์แล้วเห็นง่ายยิ่งเห็นสีเข้ม แสดงว่า นิ่วแข็งมากการรักษาก็ลำบาก ส่วน "นิ่วที่ไม่มีแคลเซียม" นิ่วแบบนี้เอ็กซเรย์ธรรมดาจะไม่เห็น ต้องทำวิธีพิเศษ เช่น ซีทีสแกน หรือ อัลตราซาวนด์ แต่อัลตราซาวนด์จะเห็นแค่ช่วงไตและท่อปัสสาวะ
     
    การเป็นนิ่ว ใช่ว่าจะจบเพียงแค่นั้น เพราะมันยังสามารถมีภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น ติดเชื้อ ไตเป็นหนอง ต้องตัดไตออก หรืออาจนำไปสู่ภาวะไตวายได้เช่นกัน อาหารการกินนั้นเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการเกิดโรคนิ่ว ดังนั้น นี่คือ แนวทางที่ต้องรู้ในการบริโภคเพื่อห่างไกลจากโรคนิ่วไปชั่วนิจนิรันดร์
     
    1.อาหารที่ควรเลี่ยง
    1.1 ผักที่มีสีเขียวเข้มเคี้ยวแล้วกรุบๆ กรอบๆ มีแคลเซียมสูงอาจทำให้เป็นนิ่วได้
    1.2 ชาที่เข้มหรือชงหลายครั้งมาก จะมีออกซาเลดหลุดออกมา การทานชาที่ถูกต้องควรทานน้ำเดียวชงครั้งเดียวแล้วทิ้งเลย
    1.3 วิตามินซี (จำพวกยาเสริม) ถ้าทานเกินสามกรัมต่อวัน จะทำให้เกิดผลึกออกซาเลตและเป็นนิ่วได้ เพราะวิตามินซีที่ทานเข้าไป สามารถถ่ายเทออกทางท่อปัสสาวะและอาจจะมีการตกค้าง หากทานในปริมาณที่มาก
    1.4 บางคนเชื่อว่า ดื่มโซดาช่วยให้ไม่เป็นนิ่วได้ ตรงนี้ไม่มีตัวเลขชัดเจน แต่มีบางแหล่งข้อมูลระบุว่าโซดาสามารถทำให้เกิดนิ่วได้
     
    2.อาหารที่ควรรับประทาน
    2.1 ควรดื่มน้ำสะอาด มากกว่า 8 แก้วต่อวัน โดยดื่มทีละน้อยตลอดวัน
    2.2 ควรดื่มน้ำผลไม้อย่างน้อย 2ชนิดต่อวัน โดยเฉพาะชนิดที่มีซิเทรต สารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุจำพวกโพแทสเซียม แมกนิเซียมสูง เช่น น้ำมะนาวเข้มข้น น้ำส้ม น้ำแอปเปิล
    2.3 ทานผัก ธัญพืช และผลไม้ ซึ่งมีวิตามิน ใยอาหาร และแร่ธาตุที่ช่วยยับยั้งการเกิดนิ่ว ลดการทำลายของเซลล์เยื่อบุหลอดไต ลดการอักเสบ เพิ่มซิเทรตในปัสสาวะ
    2.4 ไขมันจากพืชและจากปลา มีกรดไขมันโอเมก้า-3ช่วยลดการอักเสบการเสื่อมของไต และลดปริมาณแคลเซียมที่เป็นสารก่อนิ่ว
     
    ที่มา : ผู้จัดการ/by สาระแห่งสุขภาพ
     
     
    1098317_532013073544117_8008240_n.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...