ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

564625_513087162068748_1806537932_n.jpg

 

การแพทย์แผนจีน

Like This Page · January 2, 2012 · K0srxReVLKP.png

 

 

สวัสดีปีใหม่ค่ะ เพื่อนเพจ การแพทย์แผนจีนทุกท่าน

มีใครทราบบ้างมั้ยค่ะ ว่าวันนี้เป็นวันพระราชสมภพของ

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

ซึ่งเป็นพระราชบิดากิจการการแพทย์แผนปัจจุบัน

ทรงมีพระบรมราชปณิธานไว้ดังนี้

“ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน เป็นที่สอง

ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง

ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง

ถ้าท่านทรงธรรมมะแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์”

เรามาน้อมรำลึกถึงท่านกันค่ะ

 

จอมพลเรือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีคุณูปการแก่กิจการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของประเทศไทยเป็นอย่างมาก

 

ประชาชนโดยทั่วไปมักคุ้นเคยกับพระนามว่า "กรมหลวงสงขลานครินทร์" หรือ "พระราชบิดา" และบางครั้งก็ปรากฏพระนามว่า "เจ้าฟ้าทหารเรือ" และ "พระประทีปแห่งการอนุรักษ์สัตว์น้ำของไทย" ส่วนชาวต่างประเทศเรียกพระนามว่า "เจ้าฟ้ามหิดล"

 

พระราชสมภพ

วันศุกร์ เดือนยี่ ปีเถาะ ขึ้น 3 ค่ำ ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2434 ในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระราชชนกนาถพระราชทานพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯ"

 

ทรงงานในฐานะแพทย์

แพทย์ประจำ โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เชียงใหม่ วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2472 ถึงวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2472

 

“อาชีพแพทย์นั้นมีเกียรติ แพทย์ที่ดีจะไม่ร่ำรวย แต่ก็ไม่อดตาย

ถ้าใครอยากร่ำรวย ก็ควรเป็นอย่างอื่นไม่ใช่แพทย์

อาชีพแพทย์นั้นจำต้องยึดมั่นในอุดมคติ เมตตากรุณาคุณ”

พระอนุศาส์นของสมเด็จพระบรมราชชนก

 

พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนก

พระราชกรณียกิจในการปรับปรุงการศึกษาแพทย์ การศึกษาพยาบาล และการปรับปรุงโรงพยาบาลศิริราช

1. ทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลสยาม ทำความตกลงกับมูลนิธิร็อคกี้เฟลเล่อร์ ในการปรับปรุงการศึกษาแพทย์ของประเทศสยาม โดยทางมูลนิธิฯ ให้ความช่วยเหลือดังนี้

o มูลนิธิฯ ส่งศาสตราจารย์ 6 คน เข้ามาจัดหลักสูตร และปรับปรุงการสอนในวิชากายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา พยาธิวิทยา อายุรศาสตร์ ศัลยศาสตร์ สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ของคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

o มูลนิธิฯ ให้ทุนค่าก่อสร้างและซื้ออุปกรณ์เป็นเงิน 130,000 เหรียญ โดยทางรัฐบาลสยามต้องออกเงินสมทบประมาณเท่ากัน

o มูลนิธิฯ จะให้ทุนอาจารย์ไทย ไปศึกษาต่อในต่างประเทศ และต่อมามูลนิธิฯ ได้เสนอให้รัฐบาลสยามปฏิบัติ และให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม คือ

ให้ปรับปรุงอัตราเงินเดือนแพทย์ให้สูงขึ้น

ย้ายการสอนปรีคลินิคมารวมกับคลินิคที่ศิริราช

ช่วยปรับปรุงการสอนเตรียมแพทย์ ในคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยส่งศาสตราจารย์เข้ามาปรับปรุงหลักสูตร และทำการสอนในวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และภาษาอังกฤษ รวมทั้งให้ทุนอาจารย์ไทยไปศึกษาต่อในต่างประเทศ

ให้เลือกบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นหัวหน้าแผนกแทนศาสตราจารย์ของมูลนิธิฯ และส่งไปศึกษาต่อ

ช่วยปรับปรุงโรงเรียนพยาบาล โดยมูลนิธิฯ ส่งอาจารย์พยาบาลเข้ามาช่วยปรับปรุงหลักสูตรและการสอน

o พระราชทานทุนการศึกษาส่วนพระองค์ ให้แพทย์และพยาบาลประมาณ 10 ทุน

o พระราชทานทุนสร้างตึกมหิดลบำเพ็ญ จำนวน 83,584.14 บาท สร้างตึกอำนวยการจำนวน 97,452.94 บาท (ครึ่งของค่าก่อสร้างแทนรัฐบาล)

o ทรงซื้อโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง และพระราชทานเงินซ่อมแซม แล้วพระราชทานให้เป็นโรงเรียนพยาบาล และที่พักพยาบาลของศิริราช เป็นเงิน 85,000.00 บาท

o พระราชทานเงินสำหรับจ้างพยาบาลชาวต่างประเทศ มาช่วยสอน และปรับปรุงโรงเรียนพยาบาล เป็นเงิน 25,000.00 บาท

o พระราชทานเงิน 3,840.00 บาท ตั้งเป็นทุนสอนและค้นคว้าในคณะฯ

o พระราชทานเงินแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 200,000.00 บาท เป็นทุนวิทยาศาสตร์การแพทย์ และทรงทำพินัยกรรมให้ทายาทให้เงินสมทบอีก 500,000.00 บาท เป็นทุนพระราชมรดกฯ เพื่อส่งอาจารย์ทั้งวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน และวิชาแพทย์ ไปศึกษา ณ ต่างประเทศ เพื่อกลับมาเป็นอาจารย์ ทุนนี้ต่อมาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้โอนมาให้ศิริราช มีอาจารย์ทั้งของศิริราช และคณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯ ได้ทุนนี้ 23 คน

o ทรงหาทุนสำหรับศิริราช โดย

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 180,000.00 บาท สร้างตึก 2 หลัง สำหรับแผนกสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา แล้วพระราชทานชื่อว่า "ตึกตรีเพชร" และ "ตึกจุฑาธุช" เพื่อเป็นอนุสรณ์ถวายสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าตรีเพชรรุตม์ธำรง และสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ตามลำดับ

กราบทูลขอความช่วยเหลือจากพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นผลให้

สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชทานเงินจำนวน 17,650.18 บาท เพื่อสร้างท่อประปา ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จากฝั่งพระนครมายังศิริราช และ 13,309.68 บาท เพื่อสร้างท่อระบายน้ำ และยังพระราชทานทุนให้นิสิตแพทย์และพยาบาล

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ประทานเงินสร้างตึกพระองค์หญิง ซึ่งเป็นตึกผู้ป่วยเด็ก ตึกแรกของศิริราช เป็นเงิน 14,600.00 บาท (ถูกระเบิดทำลายหมดในสงครามโลกครั้งที่ 2)

สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ประทานที่ดินสร้างหอพักนักศึกษาแพทย์ (หอชาย 1)

 

พระมหากรุณาธิคุณสุดท้ายที่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยคือพระราชพินัยกรรม พระราชทานพระราชทรัพย์จำนวนมากให้กับคณะเตรียมแพทย จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (ถ้าจำไม่ผิด 500000 บาทเท่ากับเงินมหาศาลในปัจจุบัน) และพระราชทรัพย์อีกมากให้กับการสาธารณสุขของไทย ว่ากันว่า พระราชทรัพย์ท่านมีมาก เพราะทรงประหยัดมาก เมื่อประทับในต่างประเทศ ก็พักห้องเล็กๆเพียงไม่กี่ตารางเมตร สิ่งใดไม่จำเป็นก็ไม่ทรงใช้จ่าย ในกาลสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ จึงทรงมีพระมหากรุณาแก่การแพทย์ของไทยเช่นประการนี้

 

I do not want you to be only a Doctor, but l also want you to be a Man

“True success is not in the learning, but in its application to the benefit of mankind”

(ความสำเร็จมิใช่อยู่ที่การเรียนรู้เท่านั้น หากแต่เป็นการนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์)

 

เรียบเรียงจาก วิกิพีเดีย, http://www.princemahidolaward.org/complete-biography.th.php และความเห็นคุณnatthaset http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3759568/K3759568.html — with Pornpimon Chaiwongroj, Korkiat Aksarachaiyapruk, Jearanai Oprasert รักในหลวง and 37 others.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

 

 

 

 

Wealthstation Guide 28.12.55

 

 

 

 

เข้าสู่วันทำงานสุดท้ายของหลายๆ คน เมื่อวานคนแน่นโลตัส จนคนเฝ้าคิวรอเก็บเงินประสาทกินไปเลย

ราคาทองลงต่ำสุด 1652 แล้วเด้งทันทีมาปิดเหนือ 1660 ได้

ค่อนข้างดี ถ้าวันนี้ปิดเหนือ 1660 ได้ RSIก็จะเบรกเทรนด์แล้วนะครับน่าจะฟื้นตัวไปทดสอบแนว 1672 1683 1685 ได้ครับ สำหรับวันนี้หรือวันพุธหน้าครับ

ท้ายที่สุดขอให้ทุกท่านมีความสุข มากๆ สุขภาพแข็งแรง ทำดีต่อกันครับ

 

 

12-28-2012+9-22-20+AM.png

 

 

 

ที่ 18:38 ไม่มีความคิดเห็น: icon18_email.gif

ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แบ่งปันไปที่ Twitterแบ่งปันไปที่ Facebook

 

 

 

 

 

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

 

 

 

 

Wealthstation Guide 27.12.55

 

 

 

 

ทิศทางราคาทองต่ำสุดที่บริเวณ 1653 สูงสุดที่บริเวณ 1667ในวันที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขายอาจจะน้อยแต่ก็ยังวิ่งอยู่สถานการณ์ยังต้องลุ้นกับแนวหนุนอยู่ครับ แต่วันนี้ขอปิดเหนือ 1665 ด้วยจะดีมาก

แนวต้าน 1660 1665 1672

แนวหนุน 1645 1650 1652

 

 

 

12-27-2012+9-14-42+AM.png

 

 

 

ที่ 18:21 ไม่มีความคิดเห็น: icon18_email.gif

ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แบ่งปันไปที่ Twitterแบ่งปันไปที่ Facebook

 

 

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

 

 

 

ทิศทางราคาทองกลับมาวิ่งต่อหลังวิ่งๆ หยุดๆ มาวันกว่าๆ

เหลือสามวันทำการไม่รู้ว่าทองจะเล่นยังไงนะครับ อยู่บนปิดถอยตั้งหลัก อยู่ล่างซื้อติดมือครับเท่าที่คิดไว้แบบง่ายๆ

รูปแบบอินดิเคเตอร์บอกว่าถ้าในวันสองวันนี้ไม่ลงต่ำกว่าเดิม เราจะเข้าซื้อไว้บ้างและเผื่อมาเก็บเพิ่มเอาวันแรกของปีหน้า เป้าอยู่บริเวณ 1672 - 1680 เท่านั้นสำหรับรอบนี้ ยังไม่กล้ามองไกลนัก

แนวต้าน 1665 1672 1683

แนวหนุน 1645 1650 1652

สำหรับวันนี้ยังคงลุ้นกับแนวหนุนอีกวันครับทรงตัวได้ดี มีลุ้นดีดผ่าน 1665 ในวันสองวันนี้ครับ

 

12-26-2012+8-36-08+AM.png

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

602959_4946303742636_448856777_n.jpg

 

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

แผ่นดินไทยที่จะเสียไปให้กัมพูชาเพราะใคร ?

----------------------------------------------------

 

สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ให้สัมภาษณ์ว่า....

 

"สิ่งที่เราเกรงกลัวมากที่สุดคือ หากศาลตัดสินไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม แล้วเกิดการชักจูงคนไปในทางที่ผิด จะส่งผลเสียอย่างยิ่ง เพราะคำตัดสินของศาลโลกทุกประเทศต้องยอมรับ การขัดขืนจะทำให้ไทยอยู่ในสังคมโลกลำบาก ดังนั้น ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นมาว่า รัฐบาลที่แล้ว (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)

 

ทำอะไรจึงเป็นต้นเหตุให้กัมพูชาไปฟ้องศาลโลก

 

หนักใจในคดีดังกล่าว แต่คิดว่า รัฐบาลก็ทำดีที่สุดแล้ว องค์ประกอบในการสู้คดีใช้ทีมงานชุดเดิมตลอด มีการเปลี่ยนแปลงแค่ตัว รมว.ต่างประเทศเท่านั้น มองตั้งแต่ตอนมารับตำแหน่งแล้วว่า คดีนี้มีแต่แพ้กับเสมอตัว

 

คือ ถ้าแพ้ก็เสีย แต่ถ้าอยู่แบบเดิมคือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา

 

ส่วนพื้นที่รอบปราสาทเป็นแบบเดียวกับปี 2505 ก็คือเสมอตัวเท่านั้น

 

แต่คนที่อยู่ตามแนวชายแดนทั้งไทยและกัมพูชาต้องอยู่กันอย่างนี้ไปชั่วลูกชั่วหลาน

 

ยิ่งในอนาคตที่เราก้าวสู่ประชาคมอาเซียนเหมือนประชาคมยุโรป เรื่องเขตแดนแทบจะไม่มีความหมาย

 

ไม่อยากเห็นการปะทะตามแนวชายแดนเกิดขึ้น เพราะเราเป็นเพื่อนบ้านกันควรอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข ไม่อยากให้มีการแบ่งแยก

 

อยากฝากไว้ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรต้องยอมรับแต่หนักใจที่คนส่วนหนึ่งจะไม่เข้าใจเท่านั้นเอง”

-------------------------------------------------------------------

 

รัฐบาลก่อนพาเราไปขึ้นศาลโลกก็แย่พอแล้ว แต่รัฐบาลนี้ไม่มีปัญญาสักนิดที่จะแก้ไข แถมยังเต็มอกเต็มใจให้สัมภาษณ์ว่าให้ยอมรับเพราะต่อไปโลกไม่มีพรมแดนแล้ว

 

อย่างนั้น พรุ่งนี้เราต้องระวังคนอื่นเข้ามาอยู่ในบ้านเรา คอนโดเรา แล้วบอกว่า ไร้พรมแดนต้อนรับ AEC กันละสิ

 

จิตสำนึกของนักการเมืองเรื่องชาติ เรื่องแผ่นดิน มีเพียงเท่านี้แหละ เลยขอฝากของขวัญจากกรมหลวงชุมพรฯ มอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ใครก็ตามที่คิดร้ายแบ่งแยก ยกแผ่นดินให้ชาติอื่น

 

ของขวัญชิ้นนี้ มิได้มาจากกรมหลวงชุมพรฯ เท่านั้น แต่มาจากคนไทยที่รักชาติ รักแผ่นดินเกิด ซึ่งไม่กลัวว่าจะอยู่ในสังคมโลกอย่างยากลำบากมากไปกว่ากลัวที่จะอยู่ร่วมแผ่นดินกับคนไทยด้วยกันที่มีจิตอกกตัญญูต่อแผ่นดิน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ช้ชีวิตอย่างไรให้เป็นสุขในช่วงปีใหม่และทุกๆ วัน

 

headWhite.jpg

pornPeMai56.jpg

จะใช้ชีวิตอย่างไรให้เป็นสุขในช่วงปีใหม่และทุกๆ วัน

พระไพศาล วิสาโล

ลงนสพ.คมชัดลึก

วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๕

 

ยุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์ คำนี้มีความหมายหลายแง่ แต่แง่หนึ่งก็คือการไหลบ่าของบริโภคนิยม ทำให้ผู้คนมุ่งการมี การเสพ การครอบครองวัตถุเยอะๆ ทำให้ผู้คนคิดถึงแต่ตัวเองมากขึ้น ตอนนี้อาตมาคิดว่าสังคมไทยมีปัญหาหลักๆ ๔ ประการ คือ

 

ประการที่หนึ่ง ผู้คนคิดถึงตัวเองมากกว่าผู้อื่น เอาประโยชน์ส่วนตัวหรือเอาความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่สนใจส่วนรวม ไม่สนใจสังคม หรือไม่สนใจแม้กระทั่งครอบครัวด้วยซ้ำ

 

ประการที่สอง ติดยึดหรือหวังพึ่งพิงทางวัตถุ เข้าใจว่าความสุขจะได้มาก็จากการเสพวัตถุ จึงคิดแต่จะครอบครองหรือว่าเสพวัตถุให้ได้มากที่สุด เพราะคิดว่าวัตถุเท่านั้นที่เป็นที่มาประการเดียวของความสุข

ประการที่สาม หวังลาภลอยคอยโชคและนิยมทางลัด เดี๋ยวนี้เรามักบ่นกันว่าทำไมคนไทยชอบเล่นการพนัน ชอบโกง คอรัปชั่น หรือว่าหลงใหลไสยศาสตร์ อันนี้เป็นเพราะว่าเราหวังลาภลอยคอยโชคและนิยมทางลัด

จึงติดการพนัน ติดหวย ติดลอตเตอรี่ นักเรียนก็คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะได้คะแนนดีโดยไม่เหนื่อย

เพราะฉะนั้นการลอกข้อสอบ การโกงข้อสอบเป็นเรื่องธรรมดามาก ไม่สนใจเรียนแต่ขอเกรดครู

ส่วนคนที่อยากรวยก็เล่นการพนันซื้อหวยหรือพึ่งพาวัตถุมงคล ไม่สนใจทำมาหากิน

ประการที่สี่คือ การคิดไม่เป็น ใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล เอาความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง

ถามว่าทำอย่างไรสังคมจะมีความสุข ผู้คนมีความสุข ก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติสี่ประการ

คือประการที่หนึ่ง นึกถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง

 

ประการที่สอง สองสามารถเข้าถึงความสุขโดยไม่อิงวัตถุ ความสุขที่ไม่อิงวัตถุหมายถึงความสุขที่ได้จากการทำความดี ความสุขจากการที่ได้ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น ความสุขจากการที่ได้ทำสิ่งที่ยากให้สำเร็จได้ ความสุขจากสมาธิภาวนา อันนี้คือความสุขที่ไม่อิงวัตถุ

ประการที่สามพึ่งความเพียรของตัวเอง อยากได้อะไรก็ต้องใช้ความเพียรของตัวเอง คนไทยเราถ้ามีความเพียรเป็นที่พึ่งเราจะประสบความสำเร็จทั้งในชีวิต การทำงานและส่วนรวม คนเราถ้ามีความเพียรเป็นที่พึ่ง ก็จะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เน้นเรื่องความเพียรมาก อาตมาคิดว่าทุกศาสนาก็เน้นตรงนี้คือเอาความเพียรเป็นที่พึ่ง

 

ประการที่สี่ คิดดี คิดเป็น เห็นชอบ ก็คือรู้จักคิดอย่างฉลาด ไม่มองแต่แง่ลบ มองแง่บวกด้วย เจอปัญหาก็ไม่ท้อ เพราะมองเห็นว่าปัญหาทั้งหลายมีข้อดีอย่างไรบ้าง ถูกวิจารณ์แทนที่จะโกรธก็มองว่า สิ่งที่เขาพูดมามีข้อดี

ถูกต้องอย่างไรบ้าง แม้แต่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ไม่ทุกข์

เพราะเราสามารถจะหาประโยชน์จากความเจ็บป่วยได้ ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่า

ป่วยทุกทีก็ต้องฉลาดทุกที เพราะความเจ็บป่วยมาเตือนให้เราฉลาด

มาเตือนให้เราตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต เตือนให้เราไม่ประมาท

และทำให้เราเห็นว่าความสุขที่จริงมันง่ายนิดเดียว เพียงแค่เราไม่ป่วยเราก็มีความสุขแล้ว

แต่คนไม่ได้คิดอย่างนี้ ตอนที่มีสุขภาพดีก็อยากได้นู่นอยากได้นี่ แต่พอเจ็บป่วยขึ้นมาจึงรู้ว่า

ความสุขนี้มันง่ายนิดเดียว เพียงแค่เราไม่ป่วย เพียงแค่สุขภาพปกติเราก็มีความสุขแล้ว

 

อาตมาคิดว่าถ้าคนไทยมีธรรมะสี่ประการนี้ ไม่ว่านับถือศาสนาใด ก็จะมีความสุขได้ง่าย เจอความทุกข์

เจอความลำบากก็ไม่กลัว กล้าสู้สิ่งยาก เพราะรู้ว่าลำบากวันนี้ก็จะสบายวันหน้า

และเมื่อมีความสุขแล้วเราก็จะมีกำลังในการทำความดี สร้างประโยชน์ให้ส่วนรวม

ถ้าคนไทยคิดอย่างนี้กันมากขึ้น สังคมไทยก็จะเป็นสังคมที่สงบสุข

เดี๋ยวนี้เราไม่มีเวลาให้กันแม้กระทั่งในครอบครัว ไม่มีแม้แต่เวลาจะกินข้าวด้วยกัน หรือคุยด้วยกัน

บางทีได้เวลากินข้าวก็ต้องโทรศัพท์เรียกให้ลงมากินข้าวหรือว่าส่งอีเมล์ไปหาลูก

เพราะลูกเอาแต่เฝ้าอยู่หน้าจอ ส่งอีเมล์มาบอกว่าลูกลงมากินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวนี้เรามีเวลาให้คนอื่น

คนที่อยู่คนละทวีป คนละประเทศ แต่เราไม่มีเวลาให้แก่คนใกล้ชิด

อันนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราไปหลงติดติดกับเทคโนโลยี พอเราไปลุ่มหลงกับเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ไอโฟน เฟซบุ๊ค เราเลยไม่มีเวลาให้คนที่อยู่ใกล้ชิด

เราต้องเริ่มต้นจากการเห็นว่าความรัก ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันในครอบครัวเป็นที่มาแห่งความสุข

ให้เวลาแก่กันมากขึ้น อย่าไปหลงไหลเทคโนโลยีมากเกินไป อย่าไปเสียเวลากับเทคโนโลยีมากเกินไป แล้วก็ฟังกันให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ลูกฟังพ่อแม่เท่านั้น คือพ่อแม่อยากให้ลูกฟังพ่อแม่ แต่ว่าลูกจะฟังพ่อแม่ได้

พ่อแม่ต้องฟังลูกก่อน เดี๋ยวนี้มีปัญหาในครอบครัวมาก ว่าลูกไม่ฟังพ่อแม่

แต่อาตมาคิดว่าทั้งหมดนี้เกิดจากการที่พ่อแม่ไม่ค่อยฟังลูก ถ้าพ่อแม่ฟังลูก ลูกก็จะฟังพ่อแม่

ถ้าลูกฟังพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะฟังลูกมากขึ้นเช่นกัน การฟังซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความเข้าใจเห็นอกเห็นใจกัน

แล้วก็จะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันได้มากขึ้น จะมีความรักความเห็นใจกันมากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะในครอบครัวเท่านั้น

 

แต่รวมถึงในที่ทำงาน ในหมู่เพื่อนฝูง ในสังคม ถ้าเราฟังซึ่งกันและกันให้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน

การฟังซึ่งกันและกัน จะทำให้เราเคารพกัน เข้าใจกัน ตอนนี้เมืองไทยผู้คนไม่ค่อยฟังกัน ถ้าอยู่คนละกลุ่ม

คนละสี คนละค่าย คนละพรรคก็ไม่ฟังกันแล้ว ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน

เกิดอคติและในที่สุดก็สร้างภาพให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวเลวร้าย ทำให้เกิดเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน

เกิดความเกลียดชังกัน การที่คนเราจะรักกันได้ ไม่ได้หมายความว่าต้องคิดเหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องใส่เสื้อสีเดียวกัน เพราะยุคโลกาภิวัตน์มันมีแต่ความแตกต่าง เราไม่สามารถทำให้คนคิดเหมือนกันได้

การที่คนเราจะรักกันได้ต้องเริ่มต้นจากการเปิดใจฟังกัน และทำความเข้าใจกัน

นอกจากเปิดใจฟังกันและกันแล้ว ก็ควรที่จะเปิดใจฟังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองด้วย

ถ้าเราฟังความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เราจะรู้ทันจิตใจของเรามากขึ้น

 

เดี๋ยวนี้คนเรานอกจากไม่เป็นมิตรหรือรู้สึกแปลกแยกกับคนอื่นแล้ว เรายังไม่เป็นมิตรกับตัวเอง

แปลกแยกกับตัวเองด้วย คนสมัยนี้บอกว่ารักตัวเอง แต่พอให้อยู่กับตัวเองก็อยู่ไม่ได้

ต้องไปนู่นต้องไปนี่ ทำตัวให้วุ่นกับงาน เที่ยวห้าง โทรศัพท์ถึงเพื่อน เพราะว่าอยู่กับตัวเองไม่ได้

ทำไมอยู่กับตัวเองไม่ได้ ก็เพราะว่าทนตัวเองไม่ได้ มีความขัดแย้งกับตัวเอง

 

อาตมาคิดว่าถ้าคนเราหันมาใส่ใจกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง คือมีสติรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง

เราจะเป็นมิตรกับตัวเองง่ายขึ้น เราจะเหงาน้อยลง เราจะแปลกแยกกับตัวเองน้อยลง

แล้วเราสามารถจะอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข

อยู่กับผู้อื่นก็ราบรื่นกลมเกลียว ทั้งหมดนี้ต้องเริ่มต้นจากการที่เราเป็นมิตรกับตัวเองให้ได้

ปีใหม่นี้ ใครๆ ก็อยากได้ของใหม่ อยากได้ชีวิตใหม่

แต่ชีวิตใหม่ไม่ได้เกิดจากการที่เรามีโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ มีรถคันใหม่ มีบ้านหลังใหม่

อันนั้นไม่ได้ทำให้มีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง จะมีชีวิตใหม่อย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเรามีคุณภาพจิตแบบใหม่

 

เริ่มต้นจากการเป็นมิตรกับตัวเอง รักตัวเองอย่างแท้จริง อยู่กับตัวเองได้ เมื่อเรามีความสุขในตัวเอง

เราก็จะสามารถแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่นได้

การอยู่กับตัวเองยังรวมไปถึงการอยู่กับปัจจุบันด้วย ปีใหม่จะให้ชีวิตใหม่อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเราทิ้งสิ่งเก่าๆ ไป นิสัยที่ไม่ดีเก่าๆ ก็วางหรือทิ้งเสีย อารมณ์เก่า ๆ ที่หมักหมมค้างคาในใจ

 

รู้จักปล่อย รู้จักวางบ้าง ถ้ามันสะสมอยู่ในใจก็จะกลายเป็นพิษ เหมือนกับอาหารที่เรากิน ถ้าถ่ายไม่หมด

มีสิ่งตกค้างหมักหมมมากๆ ก็จะเป็นพิษต่อร่างกาย อาจทำให้เกิดมะเร็งได้

อารมณ์ที่หมักหมมในจิตใจก็อาจทำให้ เกิดเป็นมะเร็งในจิตใจได้

ปีใหม่ควรเป็นเวลาที่เราจะได้ปล่อยวาง หรือว่าขจัดปัดเป่าอารมณ์เก่าๆ ออกไป ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า

ความโกรธ ความท้อแท้ ความเกลียด อย่าเก็บความโกรธเอาไว้ อย่าเก็บความเกลียดเอาไว้

อย่าเก็บสะสมความเศร้าเอาไว้ ปีใหม่ทั้งทีก็ปลดเปลื้องออกไป

 

การมีสติเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเรามีสติ สติจะช่วยขจัดปัดเป่าอารมณ์เก่าๆ ไป ไม่ให้หมักหมมในจิตใจ

และทำให้ชีวิตใหม่อยู่เสมอ ตื่นขึ้นทุกวันจะไม่ใช่เป็นแค่เช้าวันใหม่แต่จะเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ ของชีวิตใหม่

ทำทุกวันให้เป็นวันใหม่อยู่เสมอ แม้ว่าชีวิตประจำวันยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ต่างจากเมื่อวาน

แต่ว่ามีความรู้สึกใหม่ มีความรู้สึกใหม่เพราะว่าเราวางความรู้สึกเก่าๆ ทำให้ใจเราโปร่งโล่ง

 

ปลอดจากความเศร้า ความโกรธ ความเกลียด ความหม่นหมองในใจ เราจะเป็นมิตรกับตัวเองได้

ก็ต้องรู้จักปล่อยวางอารมณ์ที่เศร้าหมอง ละวางความโกรธ ความโลภ มีความเพียร ใส่ใจในการทำความดี ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะทำให้เรามีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง แม้ว่าเรายังมีรถคันเดิม มีบ้านหลังเดิม

ใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิม

 

แต่ถ้าเรามีคุณภาพจิตแบบใหม่แล้ว เราจะมีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง ทุกวันจะเป็นเวลาแห่งความสุข

ทุกวันจะใหม่เสมอสำหรับเรา และทุกชั่วโมงก็จะใหม่เสมอเช่นเดียวกัน

ขอให้ทุกท่านได้รับสิ่งนี้ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐ คำว่าพรแปลว่าสิ่งประเสริฐ สิ่งประเสริฐหรือสิริมงคลในพุทธศาสนา ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่คือธรรมะในจิตใจ ธรรมะในจิตใจไม่มีใครที่จะให้แก่เราได้

มีแต่เราต้องทำขึ้นมาเอง แต่ถ้าเราสามารถสร้างหรือทำขึ้นมาได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นของขวัญอันประเสริฐที่สุด

 

อยากให้เรามอบของขวัญอันประเสริฐนี้แก่ตัวเราเอง ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาให้ ไม่ต้องรอพรจากพระสงฆ์องคเจ้า เราสามารถมอบของขวัญให้ตัวเอง สร้างสิ่งประเสริฐคือพรให้แก่ตัวเอง แล้วเราจะได้ชีวิตใหม่

ทำให้เป็นปีใหม่อย่างแท้จริง

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

 

536132_318385548261771_1636963291_n.jpg

Life 101 Co.,Ltd.

Liked · 18 minutes ago

 

 

» Story ดีๆ "The Next CEO" ...พบกับกระบวนการสรรหา CEO คนใหม่ ที่แหวกแนวไม่เหมือนใคร

และไม่มีใครกล้าเหมือน

 

ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ แต่แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการคนปัจจุบัน หรือ ลูกชายของเขา

 

เขากลับตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป !

เขาเรียกผู้บริหารหนุ่มๆ ในบริษัทของเขามารวมกัน และพูดว่า...

 

“ถึงเวลาที่ผมจะวางมือ และเลือก ว่าที่ CEO คนใหม่แล้วล่ะ”

“ผมตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ”

 

พวกหนุ่มๆ ต่างรู้สึกช็อค!

 

เขาพูดต่ออีกว่า...

 

“วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ นับจากวันนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่พวกคุณนำมาให้ผม ว่ามันเจริญเติบโตขึ้นมากแค่ไหน คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”

 

○○○○○○○○

 

 

นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ จิม เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆ ที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น (ชงมาแบบนี้คงเดาได้ว่า มิสเตอร์จิม เป็นพระเอก)

 

เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้ พวกเขาดูแลรดน้ำอย่างดี

 

ผ่านไปสามสัปดาห์ พวกผู้บริหารหนุ่มคนอื่นได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับ และเริ่มเจริญเติบโต

จิมยังคงเฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมาให้เห็น

 

.. 3 สัปดาห์ผ่านไป .. 4 สัปดาห์ ผ่านไป.. 5 สัปดาห์ ผ่านไป

 

ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง !?

 

○○○○○○○○

 

 

หนุ่มๆ มักจะพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเรื่องต้นไม้ของแต่ละคน แต่จิมไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา

 

เขาเริ่มรู้สึกว่ามันล้มเหลว ผ่านไป 6 เดือน ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา

เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว

 

ทุกๆ คนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิมที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน

เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป

 

ผ่านไปครบ 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ท่านประธานตัดสิน…

 

จิมพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆ ใบนี้ไปแน่”

 

ภรรยาบอกเขาว่า...ให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง

 

จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก

ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้องที่ได้นัดหมายกันไว้...

 

แล้วนายจิม พระเอกของเรา จะพลิกสถานการณ์อย่างไร !?

 

○○○○○○○○

 

 

เมื่อจิมเข้ามาในห้องท่านประธาน เขาแปลกใจมากว่า ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ

 

เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆ คน จิมได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง

 

“โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน เอาละ หนึ่งในพวกคุณจะได้เลื่อนเป็น CEO กันวันนี้แหละ”

 

พอท่านประธานเห็นกระถางของจิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิมขึ้นมาข้างหน้า

 

จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก

 

○○○○○○○○

 

 

เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง ยกเว้นจิม

 

ท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. จิม”

 

จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้อย่างไร

 

และแล้วท่านประธานก็พูดว่า...

 

“เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน ให้พวกคุณดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ 'ต้ม'

แล้ว ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร

 

พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก

พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนน่ะสิ จิมเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง

และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม”

 

“ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง จิม ให้เป็น CEO คนต่อไป”

 

○○○○○○○○

 

 

Life 101 ขอแถม...บทสรุปท้ายเรื่อง :

 

เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ ...คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ

เมื่อคุณปลูกความดี ...คุณก็จะได้รับมิตรภาพ

เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน ...คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่

เมื่อคุณปลูกความพากเพียร ...คุณก็จะได้รับความสำเร็จ

 

เมื่อคุณปลูกความพิจารณา ...คุณก็จะได้รับความละเอียดลออ

เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก ...คุณก็จะได้รับความสำเร็จ

เมื่อคุณปลูกการให้อภัย ...คุณก็จะได้รับการคืนดี

 

ดังนั้น … ตรองดูสักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้

 

คำถามทิ้งท้าย...ในสังคมไทย ปัจจุบัน จะมีคนอย่างนายจิมซักกี่เปอร์เซ็นต์หนอ ??

 

○○○○○○○○

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

 

Wave Riders โต้คลื่น ... รับปีใหม่

การใช้ Elliott Wave ในการลงทุนจริงในตลาด มันไม่ง่ายนัก เพราะมันต้องเรียนรู้ กฎและเงื่อนไข (Rules & Conditions) ต่างๆต่างของ คลื่น ทำความเข้าใจ ขนาด รูปแบบ .. ความสัมพันธ์ด้านราคา และเวลา ของ คลื่นแต่ละชุด .. Degree ของคลื่น ... การมองคลื่นย่อยในคลื่นใหญ่ ... การแยกแยกคลื่นหว่าง Impulsive Wave และ Corrective Wave

...

การยืนยันการจบชุดของคลื่น ด้วยเส้น Trend Line ต่างตามกฎ

อีกทั้งยังต้องใช้เวลา ในการฝึกฝน สะสมประสบการณ์ การอ่านการเคลื่อนไหวของกราฟ ในอดีต จำนวนมาก ให้เห็นคลื่นแทบทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นจริง ..

 

ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมาก ที่ศึกษา Elliott Wave แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ ...

 

และอีกสิ่งหนึ่ง ที่เป็นกับดักทางความคิดของ คนที่ศึกษาเทคนิคคลื่น คือ ไม่เปิดใจให้กว้างพอ

...

เพราะ เรื่องคลื่น เป็นเรื่องของการตั้งสมมุติฐาน บนพื้นฐานของกฎ และเงื่อนไข (Rules & Conditions) และ สร้างรูปแบบ ความน่าจะเป็นที่อาจจะเกิดขึ้นได้ (Probabilitiy Scenario) แล้วเมื่อเวลาเดินหน้าไป เราก็จะค่อยๆ ตัด Scenario ที่มันฝืนกฎทิ้งไป จนสุดท้าย เหลือ เพียงไม่กี่ แบบ และ คลื่นก็จะเฉลยตัวเองในที่สุด

...

ดังนั้น นักโต้คลื่น ... จะต้อง มีหัวใจที่เปิดกว้าง มีความคิดอย่างนักวิทยาศาสตร์ ตั้งสมมุติฐาน และตรวจสอบ กฎและเงื่อนไข (Rules & Conditions) อยู่ตลอดเวลา และ ตัด Scenario ที่มันไม่ใช่ทิ้งไป

..

.. นั่นหมายความว่า ในบางขณะ ของการเดินทางของคลื่น เราอาจสามารถมอง ความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ในอนาคต ได้ถึง 8-9 แบบ และเมื่อคลื่นราคาเดินทางไป จนใกล้จบชุดของคลื่น ก็จะตัดแบบที่เป็นไปไม่ได้ทิ้งไป จนเหลือ ไม่กี่แบบ ....

และเมื่อจบชุด หนึ่งไป ขึ้นต้น คลื่นชุดใหม่ ความน่าจะเป็น ก็จะกลับมา หลายหลาย อีกครั้ง ...

..

ในการลงทุน โดยใช้คลื่น จึงไม่สามารถ ทำได้ตลอดเวลา เพราะเมื่อ มีความเป็นไปได้ ในอนาคต อีกมากมาย การเข้าไป ซื้อใน จังหวะนั้น จึงมาความเสี่ยงสูง มาก ...​ ในจุดนั้น หากจะลงทุน เข้าซื้อ จึงต้องใช้ ความสามารถของเทคนิคคอล ด้านอื่น การวาง Stop Loss เข้ามาช่วยในการลงทุน

ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการพอร์ท ของ นักลงทุนแต่ละคน ...

แต่เมื่อคลื่น เข้าสู่ช่วงที่ ความน่าจะเป็นเหลือไม่กี่แบบ และ ยืนยัน ได้ด้วย เทคนิคคอลด้านอื่น ด้วยแล้ว จึงจะมั่นใจได้อย่างเต็มที่ .....

..

คลื่น Elliott ก็จึงเป็นเพียง เครื่องมือในการลงทุน ที่จะช่วย ในการจำลอง ความเป็นไปได้ ของสถานะการณ์ในอนาคต ให้กับนักลงทุนที่ใช้ความรู้ด้านนี้ ช่วยในการลงทุน

ยังมีนักลงทุน อีกมากมาย ที่ไม่มีความรู้เรื่อง คลื่น แต่ก็สามารถประสบผลสำเร็จ ได้มากมาย ....

..

จึงอยากจะขอเตือน นักลงทุน ที่จะศึกษาเรื่อง คลื่นไว้ว่า ....

" .... จงอย่ายึดติด ... " คลื่นมันพลิกผัน พริ้วไหว ปั่นป่วน แปรเปลี่ยน ได้ตลอดเวลา

" .... จงเปิดใจให้กว้าง..." รูปแบบของคลื่นที่เรามองเห็น อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด ที่มันมี อาจยังมีรูปแบบ ที่เรายังคิดไม่ถึงอีก ก็ได้

 

".... จงทบทวนย้อนกลับอยู่เสมอ..." เมื่อเวลาดำเนินไป คลื่นที่เราดูไปตลอดทาง และคิดว่ามันถูก แต่เมื่อคลื่นมันถึงจุดจบของชุดคลื่น ...​เราอาจพบว่า ทั้งหมด ที่นั่งหลังแข็งนับมาแรมเดือน แรมปี ... เราอาจผิดพลาดตั้งแต่ จุดเริ่มต้น เลยก็ได้ ...

 

ของยกตัวอย่าง การนับคลื่น ไว้ สัก 1 Sceanrio ...

ในกราฟ SET ชุดนี้ .... เป็น Week Chart และสมมุติฐานว่า ตั้งแต่เข้าตลาดมา ...​SET วิ่งขึ้นเป็น Impulse Wave .... มาตลอด .... . (อ้าว .. อาจจะสงสัย แล้วมันไม่ใช่แบบนี้เหรอ ... ขอตอบว่า ไม่รู้สิ ... ใครจะรู้ได้ว่า ยังมีรูปแบบอื่น ที่เรายังนึกไม่ถึงอยู๋ไหม ) .....

 

รูปแรก : SET 1974 - 1981 ....

01-SET-WEEK-1974.jpeg

.

.

รูปสอง : SET 1978- 1984 ....

 

 

 

 

02-SET-WEEK-1978.jpeg

.

.

รูปสาม : SET 1982 - 1988 ....

 

 

 

03-SET-WEEK-1982.jpeg

.

.

รูปสี่ : SET 1986 - 1992 ....

 

 

 

04-SET-WEEK-1986.jpeg

.

.

รูปห้า : SET 1990 - 1995 ....

 

 

 

 

05-SET-WEEK-1990.jpeg

.

.

รูปหก : SET 1993 - 1999 ....

 

 

 

 

06-SET-WEEK-1993.jpeg

.

.

รูปเจ็ด: SET 1997 - 2003 ....

 

 

 

 

07-SET-Week-1997.jpeg

.

.

 

รูปแปด : SET 2002 - 2007 ....

 

 

08-SET-Week-2002.jpeg

.

.

 

รูปเก้า : SET Month 1974 - 2011 ....

 

 

09-SET-Month-1974.jpeg

 

กราฟ ทั้งหมด ที่แสดงมาให้ดู นี้ ใช้เพื่อการศึกษา ประกอบการนับคลื่น ....​ไม่ได้มีจุดประสงค์ ที่จะชี้นำการลงทุน แต่อย่างใด ...

ดังนั้น ขอให้ พิจารณา อย่างรอบครอบ ...

 

 

Happy New Year 2013

 

 

Wave Rider Pui

01-01-2013

http://waveridersclu...ave-riders.html

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

68946_417838394953839_867129596_n.jpg

 

ในหลวงพระราชทานพรปีใหม่ ๒๕๕๖

 

592331_355182217886124_581725176_q.jpg

Information Division of OHM

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ

วันที่ 2 มกราคม 2556 07:49

 

เพดานหนี้16ล้านดอลล์ หน้าผาการคลังสหรัฐ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

news_img_484093_1.jpg

"เพดานหนี้ 16.4 ล้านล้านดอลล์" หน้าผาการคลังที่แท้จริงของสหรัฐ

ในระหว่างที่ลุ้นผลการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก เพื่อลงมติรับร่างแก้ไขกฎหมายหน้าผาการคลังที่ผ่านความเห็นชอบของทำเนียบขาว-วุฒิสภา และเป็นที่คาดกันว่า ส.ส. รีพับลิกันจะค้านแผนขึ้นภาษีครัวเรือนที่มีรายได้ตั้งแต่ 450,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีขึ้นไป

ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่ มองตรงกันว่า ในปี 2556 นี้ หน้าผาการคลังที่แท้จริง คือ เพดานหนี้ 16.4 ล้านล้านดอลลาร์ เพราะหากไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้ดังกล่าวได้แล้ว สุดท้าย กระทรวงการคลังจะไม่มีเงินมาชำระหนี้ และต้องเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งหมายถึงหายนะแท้จริงที่จะเกิดกับตลาดการเงิน และมองข้ามช็อตหลังการแก้ปัญหาหน้าผาการคลังผ่านพ้นไปแล้ว จะยังคงหาคำว่า "สันติภาพ" ไม่เจอระหว่างสภาคองเกรสกับรัฐบาล

นอกเหนือจากความเห็นที่ไม่ลงรอยกันในแนวทางการขึ้นภาษีและการลดการใช้จ่ายของภาครัฐแล้ว ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลกรุงวอชิงตันเป็นชายง่อยมาตลอดสองปีคือ สภาพของรัฐบาลที่ตกอยู่ในภาวะกระเป๋าแฟบ และต้องคอยแบมือขอให้สภาคองเกรสเติมเงินให้ตลอด

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังทำหนังสือแจ้งถึงสมาชิกสภาคองเกรสเมื่อวานว่าตัวเลขหนี้สาธารณะจะพุ่งสูงขึ้นจนเหลืออีกเพียง 95,000 ล้านดอลลาร์ก็จะแตะเพดานหนี้ที่ 16 ล้าน 3 แสน 9 หมื่น 4 พันล้านดอลลาร์ (เกือบ 16.4 ล้านล้านดอลลาร์)ในวันที่ 31 ธ.ค. แต่กระทรวงการคลังได้ประกาศมาตรการชั่วคราวเพื่อชะลอรายจ่ายต่างๆรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ เขา บอกว่า มาตรการนี้จะช่วยซื้อเวลาได้เพียงเกือบ 2 เดือนเท่านั้น

ขณะที่เมื่อวานนี้ (1 ม.ค.) เจ้าหน้าที่คลังสหรัฐ ออกมาเปิดเผยอย่างเป็นทางการว่า สหรัฐถึงจุดแตะเพดานหนี้ในวันจันทร์ตามที่คาดไว้ และภาครัฐต้องหาเงินทุนมาอัดฉีดเพิ่มเติม

เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากมาตรการชั่วคราวสิ้นสุดลง กระทรวงการคลังต้องส่งเรื่องไปให้คองเกรสพิจารณาเพิ่มเพดานหนี้ให้อีกครั้ง และรัฐบาลต้องเผชิญหน้ากับสภาคองเกรสเพื่อให้ต่ออายุร่างกฎหมาย หรือยอมเผชิญกับสถานการณ์ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐ

อย่างไรก็ดี แม้สภาคองเกรสมีแนวโน้มจะผ่านร่างงบประมาณประจำปีก่อนเริ่มปีการเงินทุกครั้ง แต่สภาคองเกรสไม่เคยทำกระบวนการอนุมัติงบประมาณให้ครบถ้วน และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ปี 2539 แล้ว ทำให้รัฐบาลต้องชะเง้อคอ รองบประมาณชั่วคราวมาตลอด ซึ่งนักวิเคราะห์ มองว่า เป็นวิธีที่ทำให้รัฐบาลต้องประหยัดการใช้จ่ายไปโดยปริยาย โดยสภาจะใช้เป็นเครื่องต่อรองทุกครั้งก่อนอนุมัติงบประมาณชั่วคราว

ตามข้อตกลงที่ผ่านการเจรจาต่อรองกันอย่างหนักระหว่างพรรคเดโมแครตนำโดยรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน และพรรครีพับลิกันนำโดยนายมิตช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา ได้ข้อสรุปว่าจะปรับขึ้นภาษีเฉพาะคนรวยที่มีรายได้ตั้งแต่ 4 แสนดอลลาร์ขึ้นไปและคู่สมรสที่มีรายได้ตั้งแต่ 450,000 ดอลลาร์ขึ้นไป โดยขึ้นภาษีจากอัตรา 35% เป็น 39.6% และขึ้นภาษีมรดกที่ดินจาก 35%เป็น 40% แต่ให้คงเก็บอัตราภาษีระดับต่ำแก่ชนชั้นกลาง นอกจากนี้ชะลอการตัดลดรายจ่ายด้านการทหารและสังคมรวมเป็นเงิน 24,000 ล้านดอลลาร์ไว้สองเดือน และขยายสิทธิประกันการว่างงานต่อไปอีก 1 ปีให้กับประชาชน 2 ล้านคน

Tags : หน้าผาการคลังFiscal Cliff

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10 เรื่องแย่ๆ ที่ชวนพ่อแม่ “เปลี่ยน” รับปีใหม่/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 มกราคม 2556 07:59 น.

blank.gif ช่วงเทศกาลปีใหม่ หลายๆ ครอบครัวเดินทางไปพักผ่อน ท่องเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่นมีความสุขต้อนรับปีศักราชใหม่ หรือแม้กระทั่งกระแสสวดมนต์ข้ามปีก็ทำให้ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลกันไปร่วมพิธีทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีความสุขสนุกสนานเบิกบานใจแล้ว ก็อย่าลืมมีช่วงเวลาของการทบทวนชีวิตช่วงปีที่ผ่านมาด้วยนะคะ ว่าเราทำอะไรที่ดีและไม่ดีไปบ้าง มีอะไรที่เราผลัดวันประกันพรุ่งอยากทำแล้วยังไม่ได้ทำมากน้อยขนาดไหน มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอะไรกับใคร ก็ถือโอกาสช่วงเทศกาลปีใหม่ทบทวนตัวเองกันสักหน่อยนะคะ

 

สำหรับคนเป็นพ่อแม่ก็ถือโอกาสทบทวนบทบาทหน้าที่ของตัวเองในปีที่ผ่านมาด้วยว่าเป็นอย่างไร มีพฤติกรรมแย่ๆ ของตัวเองที่อยากจะชวนให้สำรวจเพื่อ “เปลี่ยน” รับปีใหม่กันค่ะ

 

พฤติกรรมแย่ๆ อะไรบ้างที่ถึงเวลาต้อง”เปลี่ยน”ได้แล้ว

555000016689301.JPEG blank.gif หนึ่ง ไม่มีเวลา

 

ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่ชอบพูดว่าไม่มีเวลาล่ะก็ ควรต้องหันมาสำรวจตัวเองแล้วล่ะค่ะว่าเราทำงานหนักไปเพื่ออะไรกัน ถ้าคำตอบเพื่อหาเงินมาดูแลลูกๆ แล้วล่ะก็ ลองถามลูกๆ ดูละกันค่ะว่าลูกต้องการสิ่งของหรือสิ่งอำนวยความสะดวก หรีอต้องการอยู่กับพ่อแม่มากกว่ากัน โดยเฉพาะช่วงวัยทองแท้ของลูกในวัย 0-6 ปี เป็นช่วงเวลาที่พ่อแม่ควรจะดูแลและปลูกฝังสิ่งที่ดีให้กับลูก เป็นการสร้างพื้นฐานและทักษะชีวิตที่สำคัญที่สุดในช่วงชีวิตมนุษย์

 

เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกน้อย ถ้าในวัยเด็กเล็กเราไม่มีเวลาอยู่กับเขา พอเมื่อเขาเติบโตขึ้นมีชีวิตของตัวเองและเริ่มติดเพื่อน ในขณะที่พ่อแม่เริ่มมีเวลา ก็กลายเป็นว่าเมื่อถึงเวลานั้นลูกก็ไม่อยากอยู่กับพ่อแม่ซะแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วก็อย่าได้โทษลูกเลยค่ะ

 

สอง อารมณ์เสีย ขี้หงุดหงิด

 

ช่วงที่ผ่านมาเราเป็นพ่อแม่ที่อารมณ์เสียบ่อยหรือไม่ ถ้าใช่แล้วคงต้องสำรวจดูว่าเป็นเพราะหน้าที่การงานหรือไม่ หรือเป็นเพราะสาเหตุใด แล้วอารมณ์เหล่านั้นได้ส่งผลกระทบมาที่ตัวลูกหรือไม่ ประเภทกลับมาบ้าน เห็นลูกกำลังเล่นโดยยังไม่ทำการบ้าน ก็อารมณ์เสียใส่ลูกทันที ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ก็น่าสงสารลูกและครอบครัวค่ะ เพราะต้องมาคอยรับอารมณ์ของพ่อหรือแม่ที่พกมาจากนอกบ้าน แล้วนำติดเข้ามาในบ้าน จนลูกๆ เข้าหน้าไม่ติด

 

ลองพยายามค้นหาสาเหตุและจัดการควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ ควรแยกเรื่องงานและเรื่องครอบครัวออกจากกันให้ได้ ถ้ารู้สึกว่าเริ่มอารมณ์เสียให้พยายามหาทางคลี่คลายทางใดทางหนึ่งให้ได้เสียก่อน เช่น ฟังเพลง ฯลฯ

 

สาม ตามใจเกินเหตุ

 

ปัญหาที่มักเจอะเจอในกลุ่มพ่อแม่ที่มีฐานะดี และรักลูกผิดวิธี ประเภทลูกอยากได้อะไรก็หาให้ได้ทุกอย่าง ตามใจลูกเพราะกลัวลูกไม่รัก จนลูกติดนิสัย และพอวันหนึ่งก็บอกว่าลูกเอาแต่ใจตัวเอง ซึ่งก็ต้องถามตัวเองกลับไปด้วยว่า แล้วเราเลี้ยงลูกอย่างไร เราเป็นพ่อแม่ที่ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเองใช่หรือไม่ และถ้าลูกมีนิสัยเช่นนี้แล้วก็ต้องรีบหาทางปรับพฤติกรรม ซึ่งท้ายสุดแล้วยากยิ่งกว่าการปลูกฝังและเลี้ยงดูให้ถูกวิธีตั้งแต่แรก

 

สี่ ติดสมาร์ทโฟน

 

พ่อแม่ยุคนี้ไฮเทคมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีสารพัดชนิดที่ทยอยเข้ามา ไม่ใช่แค่เพียงเด็กๆ เท่านั้นที่ติดเครื่องมือสื่อสารเทคโนโลยีทั้งหลาย แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ติดกับเขาด้วยเหมือนกัน มีงานวิจัยหลายชิ้นที่สะท้อนให้เห็นว่าพ่อแม่มัวแต่เล่นสมาร์ทโฟน จนปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุกับลูก ในเมื่อเราก็ไม่อยากให้ลูกมีพฤติกรรมติดสมาร์ทโฟนหรือติดเกม พ่อแม่ก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี มีกฎกติกาการอยู่ร่วมกันในครอบครัวแบบมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน มิใช่อยู่ด้วยกันแต่ต่างคนต่างอยู่กับสมาร์ทโฟนของใครของมัน แล้วก็มาบ่นในภายหลังว่าไม่มีเวลา แท้จริงแล้วก็เอาเวลาไปอยู่กับสมาร์ทโฟนนั่นเอง

 

ห้า บ่นตลอด

 

ลองสำรวจดูว่าลูกชอบบอกเราว่า”พ่อแม่ขี้บ่นจัง”หรือไม่ ถ้าใช่ก็ลองทบทวนตัวเองดูว่าเราเข้าข่ายชอบบ่นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จุกจิกจู้จี้ตลอดหรือเปล่า เพราะไม่มีใครหรอกที่ชอบพฤติกรรมอย่างนั้น เราเป็นผู้ใหญ่ยังไม่ชอบเลย แล้วลูกของเราก็ย่อมไม่ชอบด้วยเช่นกัน ฉะนั้น ลองถือโอกาสปรับเปลี่ยนตัวเองด้วยการขอความร่วมมือจากลูกก็ได้ บอกให้ลูกช่วยแม่ในการปรับพฤติกรรมเรื่องขี้บ่นหน่อย แม่อยากปรับปรุงตัวเอง ลูกสามารถช่วยแม่ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ดีได้ไหม แม่จะได้บ่นน้อยลงด้วย และบอกลูกว่าแม่ก็จะพยายามปรับปรุงตัวเองเช่นกัน

555000016689302.JPEG blank.gif blank.gif หก ขี้โมโห โกรธาลูก

 

ร้อยทั้งร้อยของคนเป็นพ่อแม่ต้องเคยโมโหหรือโกรธลูก ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง อยู่ที่ว่าจะโกรธง่ายหายเร็ว โกรธแล้ววีนแตกเหมือนระเบิดลงในบ้าน เต็มไปด้วยบรรยากาศมาคุหรือไม่ ถ้าใช่ เห็นทีจะต้องปรับลดดีกรีลงให้ได้ เพราะพฤติกรรมเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อใครเลย มีแต่จะทำให้ครอบครัวแตกร้าว ใจลูกก็เสีย บรรยากาศก็ไม่น่าอยู่ ยิ่งถ้าขาดสติก็อาจทำให้เกิดความรุนแรงตามมาได้ ทั้งวาจาท่าทางที่อาจส่งผลร้ายแรงในภายหลังตามมาได้

 

เจ็ด ช่างตำหนิ ติไปหมด

 

พ่อแม่ประเภทช่างตำหนิไปซะทุกเรื่อง ลูกนั่งแกว่งขาก็ตำหนิ ลูกพูดเสียงดังก็ตำหนิ ลูกเดินเร็วก็ตำหนิ ทั้งที่การปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสามารถใช้วิธีพูดเพื่อให้กำลังใจได้เช่นกัน เรียกว่ามีเป้าหมายเหมือนกันอยากให้ลูกมีพฤติกรรมที่เหมาะสม แต่วิธีการที่ใช้อยู่ที่ว่าจะใช้แรงบวกเสริมพฤติกรรม หรือใช้วิธีตำหนิเพื่อให้ลูกทำ เพราะสุดท้ายผลที่ได้ก็ต่างกัน และได้รับความร่วมมือต่างกัน

 

แปด ไม่ไว้ใจ

 

พ่อแม่ขี้ระแวงทั้งหลายมักไม่ไว้ใจลูก ไม่คิดว่าลูกจะทำได้ กังวล วิตกไปซะทุกเรื่อง ลูกเติบโตขึ้นทุกวัน พ่อแม่ต้องแสดงให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่ไว้ใจลูกเสมอ เปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรด้วยตัวเอง อย่าเล็งผลเลิศว่าต้องสำเร็จทุกเรื่อง แต่สิ่งสำคัญคือให้เขาได้กล้าแสดงออก ให้เขาได้รับรู้ว่าพ่อแม่ไว้วางใจเขาเสมอ จะทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง อย่าทำร้ายลูกด้วยความระแวงและวิตกของคนเป็นพ่อแม่เลยค่ะ

 

เก้า ชอบบังคับ ทำตามสั่ง

 

ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ประเภทลูกต้องทำตามคำสั่งพ่อแม่เท่านั้นล่ะก็ เหนื่อยใจแทนลูกค่ะ แม้คุณจะบอกว่าที่บอกให้ทำเพราะรัก แต่ถ้าเป็นการบังคับจิตใจย่อมไม่เกิดผลดีแน่ จริงอยู่ลูกอาจจะทำตามพ่อแม่ เพราะรักพ่อแม่ เขาทำสิ่งนั้นเพราะพ่อแม่บอกให้เขาทำ แต่เขาไม่ได้ทำเพราะรัก หนำซ้ำเด็กบางคนอาจจะไม่เคยได้เรียนรู้จักตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าต้องการอะไรรักอะไร เพราะพ่อแม่เป็นคนกำหนดชีวิตให้ลูกหมด อย่าลืมว่าทุกคนต้องมีชีวิตของตัวเอง ให้เขาได้เรียนรู้จักตัวเอง เลือกหนทางชีวิตของตัวเอง โดยมีคุณเป็นโค้ช มิใช่เจ้าชีวิตของลูก

 

สิบ โทษคนอื่น

 

พ่อแม่ประเภทนี้ก็มีไม่น้อยค่ะ ประเภทลูกตัวเองไม่เคยผิด ถ้าเกิดเหตุใดก็จะโทษคนอื่นเสมอ ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ประเภทนี้แล้วล่ะก็ ไม่ดีแน่ค่ะ เพราะผลที่ตามมาจะทำให้ลูกยิ่งนิสัยเสีย ทำอะไรไม่เคยผิด เพราะมีพ่อแม่คอยปกป้อง ตลอดเวลา เมื่อเติบโตขึ้นก็ทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ละเมิดสิทธิของผู้อื่น

 

ทั้งสิบประการนี้เป็นเรื่องที่อยากชวนให้พ่อแม่หันมาทบทวนตัวเองว่าเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งหรือไม่ ลองถือโอกาสช่วงปีใหม่ “เปลี่ยน”พฤติกรรมแย่ๆ ของตัวเองเพื่อรับสิ่งใหม่กันดีกว่าค่ะ

 

เปลี่ยนตัวเองง่ายที่สุดค่ะ ลูกก็จะมีพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดี และผลที่ตามมาก็มีแต่ได้กับได้ ได้กับลูกและครอบครัว

 

สวัสดีปีใหม่เพื่อนพ่อแม่ทุกท่าน พร้อมยิ้มรับการเปลี่ยนสิ่งใหม่ที่ดีกว่ากันหรือยังคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Stock2morrow

ข่าว Hot วันพุธ

 

SET ทดสอบ 1400 จุด แต่ไม่ผ่าน

 

http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=39569

 

284798_505123102865137_1804126018_n.png

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

427561_371592842913322_1132093069_n.jpg

 

 

ว.วชิรเมธี (W.Vajiramedhi)

เราควรตรวจสอบงบดุลชีวิตว่าปีที่ผ่านมาเราได้กำไรหรือขาดทุน

 

หากชีวิตมีความดีมาก มีความสุขมาก แสดงว่าปีที่ผ่านมาคุณได้กำไร

 

แต่ถ้าชีวิตเต็มไปด้วยความผิดพลาด เศร้าหมองและทุกข์แสดงว่า งบดุลชีวิตประจำปีที่ผ่านมาของคุณขาดทุน

 

จำไว้ว่าขาดทุนเรื่องไหนให้เริ่มต้นใหม่ในเรื่องนั้น

 

กำไรเรื่องไหน ต้องรักษาสิ่งนั้นไว้ให้ดีที่สุด

 

งบดุลชีวิตจำไว้ง่ายๆ สุขคือกำไร ทุกข์คือขาดทุน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปิยสีโลภิกขุ - พระภูวดล ปิยสีโล

ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตแสวงหากัลยาณมิตร ... ก็คุ้มค่า

 

Credit จัดภาพ Montri Sirithampiti

249888_262451090550983_911265446_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

ไ ฟ ไ ห ม้ น้ำท่ ว ม

 

"...พระพุทธองค์ท่านก็ทรงสอนว่า

 

ร่างกายจิตใจนี้ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น

มันจะเป็นของมันอยู่ อย่างนั้น

 

มันจะไม่เป็นไปอย่างอื่น

คือเริ่มเกิดขึ้นมา แล้วก็แก่

แก่มา แล้วก็เจ็บ

เจ็บมา แล้วก็ตาย

 

อันนี้เป็นความจริงเหลือเกิน เป็นสัจธรรมอยู่แล้ว

ก็มองดูมันด้วยปัญญา ให้เห็นมันเสียเท่านั้น

 

ถึงแม้ว่าไฟมันจะมาไหม้บ้านของเราก็ตาม

ถึงแม้ว่าน้ำมันจะท่วมบ้านของเราก็ตาม

ก็ให้มันเป็นเฉพาะบ้านเฉพาะเรือน

 

ถ้าไฟมันไหม้ ก็อย่าให้มันไหม้หัวใจเรา

ถ้าน้ำมันท่วม ก็อย่าให้มันท่วมหัวใจเรา

 

ให้มันท่วมแต่บ้าน ให้มันไหม้แต่บ้าน

ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกกายของเรา

 

ส่วนจิตใจของเรานั้น ให้มันมีการปล่อยวาง

เพราะในเวลานี้มันสมควรแล้ว มันสมควรที่จะปล่อยแล้ว..."

 

ที่มา : เหมือนกับใจคล้ายกับจิต : รวบรวมคำอุปมาของ หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร), หน้า ๘๔

 

602929_477197338993235_664799343_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

398665_529232153763524_24597412_n.jpg

 

Flower Story

ธรรมะอินเทรนด์ ธรรมะออนไลน์

สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นได้ สิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน

 

อย่าสูญเสียความหวังและกำลังใจในส่วนนี้ไป

 

ความทุกข์มันก็เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้คงอยู่ตลอดไปเช่นกัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...