ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

moddum

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    166
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย moddum

  1. สวัสดีค่ะ อาจารย์ ccczaa วันนี้ราคาขึ้้นแต่เช้าเลย ค่ะ ถ้าราคามาแถวๆ 1363 ซื้อไว้ที่ 1344 แล้วน่าจะพิจารณาปล่อยของบางส่วนใช่ไหม ถ้าราคาบาทคงยังอยู่แถวๆนี้ แต่ถ้าราคายืนได้ก็ค่อยว่ากันอีกที เอาตามสูตรนี้นะคะ เพื่อความปลอดภัย......ประมาณ 20$ พอเพียง แล้วค่ะ !10 !17
  2. ขอบคุณท่านอาจารย์ทั้งสองค่ะ !thk !thk ความรู้แบบนี้หาได้ยาก.... นอกจากที่ กระทู้ จบ ป.4 หัดเล่นทอง !10 !10 !gd !gd
  3. อาจารย์แม่นอีกแล้วนะคะ 1344 เหลือ 1329 เสียดายตอนราคา 1347 ซื้อกลับเพราะได้ถูกกว่าที่ขายไปแล้วค่ะ ม่ายงั้นขอรออีกนิด แต่ยังเหลืออีก ไม้นึง รอสุดๆไปเลย [quote [/color]สรุปจาก 3 รูปได้แนวรับ แถวๆ 1354 1349 1344 ---> 1329 แนวต้านก็แถวๆ 1379 1384 ---> 1388 แต่โดยรวมความเห็นส่วนตัวจากการอ่านกราฟ ราคาลงต่อครับ
  4. ขอบคุณค่ะ เฮียแบทแมน คุณมดแดงคะ มาเอาใจช่วยนะค่ะ จะรอเป็นเพื่อนค่ะ
  5. สวัสดีค่ะ อาจารย์ ถึงจุดวัดใจแล้วใช่ใหมคะ เสียวๆจังค่ะ ว่าจะดีดหรือร่วง แต่บาทไม่ค่อยเป็นใจเลย
  6. moddum

    iphone 4

    ขอบคุณค่ะ.. ตอนนี้ i pad .ใช้กันแยะ ไม่ทราบใครมีข้อมูลบ้างคะ ข้อมูลในด้าน mt 4 อ่ะค่ะ ไปหามาฝากเพราะกิเลศเกิดค่ะ
  7. moddum

    การบริหารสมอง..

    กระตุ้นสมองแบบง่ายๆ เพื่อให้ ฉลาดเลิศ เราเคยเป็นอย่างนี้กันมาบ้างแล้ว ประเภทลืมส่งการ์ดอวยพรวันเกิดเพื่อน หรือจู่ ๆ ก็เกิดจำ รหัสกดเงินด่วนไม่ได้ตอนต้องการใช้เงินพอดี ไม่ก็เคยเดินวนเกือบ ทุกชั้นของ ลานจอดรถ พยายามนึกว่าตัวเองจอดไว้โซน F หรือ G เอ..มาคิดอีกที อาจจะเป็น H หรือไงนะ ข่าวดี ข่าวด่วน นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า เราจะฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ ได้ถ้ากระตุ้นสมองถูกวิธี มาดูกันซิว่าทำอย่างไร อาการเผลอไผล ได้นู่นลืมนี่ เป็นที่พูดกันทีเล่นทีจริงว่า ก็เซลล์สมองมันเก็บเสื้อผ้า ยัดใส่กระเป๋าทิ้งเรา ไปแล้วตั้งเยอะ เลยเป็นแบบนี้ ประมาณว่าแก่แล้วเป๋อเหลอนั่นเอง ทฤษฎีที่ว่าเราสูญเสียเซลล์สมอง หลายร้อยเซลล์ในแต่ละวัน เป็นเรื่องที่เรารู้กันมา นานหลายปี แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเรา จะโทษธรรมชาติไม่ได้อีกแล้ว เพราะนักวิทยาศาสตร์หลายคน โดดออกมาประกาศก้องว่า ทฤษฎีเก่าที่ว่าเมื่ออายุมากขึ้น ศักยภาพของสมองมนุษย์ ์จะลดลง เป็นความคิดล้าสมัย ความจริงคือ ตรงกันข้ามสิไม่ว่า นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ความจริงว่า ไม่เพียงแต่เราจะไม่สูญเสียเซลล์สมอง เมื่อสูงวัยขึ้น เท่านั้น แต่ถ้ามีการกระตุ้นที่ถูกต้อง เราสามารถพัฒนาสมองให้ ฉลาดและคิดได้เร็วขึ้น เราอาจจะกลายเป็นนักเขียน และเกิดไอเดียแปลกใหม่มากขึ้น เมื่อแก่ตัวลง ทุกอย่างอยู่ที่ว่า จะสร้างเซลล ์สมองได้อย่างไร เซลล์แต่ละเซลล์ ทำงานเป็นระบบ โดยตัวมันเอง แต่ก็พยายามเพิ่มศักยภาพของตัวเอง ด้วยการเชื่อมต่อกับเซลล์ข้างเคียง โดยแตกกิ่งก้าน สาขาออกไปรอบด้าน เหมือนเครือข่าย ซึ่งการเชื่อมต่อนี้เรียกกันว่า synapses และจะโยงใย ไปยังเซลล์อื่น ๆ จุดเชื่อมต่อแต่ละจุดมีลักษณะเหมือน ปากปลาหมึก ทำหน้าที่จูจุ๊บ ข้างในบรรจุด้วยสารเคมีต่าง ๆ หลายพันตัว เมื่อเราคิด หรือทำอะไร จะทำให้เกิดการกระตุ้นสารเคมีเหล่านี้ ที่มีภาวะแบบ แม่เหล็กไฟฟ้า การกระตุ้นดังกล่าว จะส่งผ่านไปยังจุดเชื่อมต่อของเซลล์ใดเซลล์หนึ่ง และส่งสารข้ามไปยังจุดเชื่อมต่อของเซลล์ข้างเคียงที่ใช้ปากจูจุ๊บ รับข่าวสารไป เคยคิดกัน ว่าความสามารถของสมองคนเรา ถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด จะฉลาดหรือ โง่แต่เกิด ก็แล้วแต่ แต่การค้นพบล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ยิ่งกระตุ้นสมองมากเท่าไหร่ จุดเชื่อมต่อ ของเซลล์ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งหมายถึง แต่ละเซลล์จะสามารถประมวล สัญญาณหรือ ส่งซิกแนลได้หลายทิศทางมากขึ้น และรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม การกระตุ้น สมอง ยังให้ผลข้างเคียงในทางบวกอีกด้วย และส่งผลกระทบต่อชีวิตด้านอื่น ๆของคุณได้ เพราะเซลล์สมองทำงานร่วมกัน การกระตุ้นเซลล์บางเซลล์ให้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ช่วยให้สมองทำงานเร็วขึ้น ดังนั้น การฝึกเล่นเปียโน หรือเริ่มหัดกอล์ฟ อาจทำให ้คุณคิดคำศัพท์เร็วขึ้น เวลาเล่นเกมอักษรไขว้ หรือพูดต่อหน้าผู้คน หรือแม้แต่กระทบทักษะด้านอื่น ๆ ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันเลย ออกกำลังบำรุงสมองได้อย่างไร ไม่เพียงต้องบริหารจิตใจ เพื่อให้สมองเฉียบคมเสมอเท่านั้น การออกกำลังทางร่างกายก็สำคัญ ไม่แพ้กัน แพทย์พบว่า คนที่ออกกำลังสม่ำเสมอ จะทำคะแนนได้ดี ในการทดสอบจิตใจ สมองก็คือกล้ามเนื้อส่วนหนึ่ง เมื่อคุณออกกำลัง ก็ทำให้สมองสามารถจัดการปัญหาซับซ้อนและทำงานได้มากขึ้น อาจเป็นเพราะว่า การออกกำลังอย่างต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านออกซิเจนไปทั่วร่างกาย นอกจากนี้ ร่างกายที่ออกกำลังเป็นประจำ จะมีปริมาณเลือดมากกว่าปกติ ครึ่งลิตร สำหรับช่วยจัดหาออกซิเจน เพื่อทำงาน การออกกำลังสม่ำเสมอ จึงช่วยได้ดี กระตุ้นสมองแบบง่ายๆ เพื่อให้ ฉลาดเลิศ โมสาร์ทเพิ่มไอคิวให้คุณได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อกันแล้วว่า การฟังดนตรีบางชนิด สามารถทำให้เราฉลาดขึ้นได้ นักฟิสิกส์ได้ทำการศึกษาปฏิกิริยาตอบโต้ ของสมองระหว่าง ทำงานที่ให้เหตุผลทางนามธรรม และพบรูปแบบของปฏิกิริยาที่คล้ายกับดนตรี เขาทดลองต่อไปว่า หากจัดการ ฝึกฝนด้านดนตรีแก่เด็ก ๆ จะปรับปรุง ทักษะการให้เหตุผลของพวกเขา ได้หรือเปล่า ผลเบื้องต้นออกมาทางบวก คือ หลังจาก 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน ของการเล่าเรียน ทักษะการให้เหตุผล ของเด็กพัฒนาขึ้นมาก จากผลที่ได้นี้ นักวิจัยตัดสินใจวิเคราะห์ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ใหญ่เมื่อได้ฟังดนตรี นักวิจัยขอให้อาสาสมัคร ฟังบทเพลง 2 ชิ้น คือ โซนาต้าบรรเลงเปียโนของโมสาร์ท และเทปเพลงฟังสบาย ๆ สร้างบรรยากาศอีกม้วน กับให้นั่งอยู่ในความเงียบ จากนั้นให้ อาสาสมัคร ทำแบบทดสอบการให้เหตุผล ผลที่ได้ระบุว่าเพลงของโมสาร์ท ช่วยให้พวกเขา คิดถูกต้อง และรวดเร็วขึ้น และการทดสอบอีกหลายชิ้นที่แสดง ให้เห็นว่าเพลงของโมสาร์ทมีผลกระทบที่ดีที่สุด ต่อทักษะการให้เหตุผล โดยนักวิทยาศาสตร์อ้างว่า เราเกิดมาพร้อม รูปแบบของธรรมชาติ บางอย่างในสมองของเราที่สามารถรู้สึกตื่นเต้นได้ และเมื่อเราได้ฟัง ดนตรีของโมสาร์ท ทำให้เราพอใจ เพราะรูปแบบธรรมชาตินั้นรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในสมองของเราเมื่อเรา ได้ฟังดนตรีของเขา ป้อนจินตนาการให้โลดแล่น น้ำนมของมนุษย์ ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมองทารก ส่วนน้ำนมวัวที่อุดมด้วยโปรตีน มีไว้สำหรับร่างกาย และเต็มไปด้วยไขมันอิ่มตัว ที่มีแต่จะทำให้น่องเราใหญ่และ แข็งแรง ตรงข้ามกับน้ำนมมนุษย์ ที่แม้จะมีโปรตีน และไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า แต่ก็มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวจำนวนมาก และ กรดไขมันเหล่านี้ บางตัวเมื่อรวมกับสารอื่น ๆ ที่เรียกว่า cerebroside สำหรับสร้างเนื้อเยื่อ ของประสาทและสมอง ซึ่งร่างกายมนุษย์ต้องการ เพราะสมองของมนุษย์เติบโตต่อเนื่องตลอด 3 ปี หลังคลอด ขณะที่สมองของวัวแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง พูดสั้น ๆ ก็คือว่า น้ำนมมนุษย์สร้างสมองให้ใหญ่ แต่น้ำนมวัวทำให้ร่างกายใหญ่เท่านั้น เกร็ดความรู้ว่าด้วยสมอง จากการวิจัยพบว่า ผู้ที่มีการศึกษาสูง หรือผู้ที่ลับสมองประลองปัญญาตัวเองบ่อย ๆ จะอายุยืน ในเวลาแค่ 1 นาที สมองสามารถรับความคิดได้หลายอย่าง ขณะที่เมื่อ เทียบกันแล้ว ความสามารถนั้นต้อง อาศัยซูเปอร์ คอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ยักษ์ ความสามารถเลิศล้นที่คงอีก 100 ปี จึงผลิตสำเร็จ ยินดีด้วยจ้า จากการศึกษาทางเคมีของสมองเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยใช้เครื่องสแกนสมอง ศึกษาผู้ร่วมทดลองอายุตั้งแต่ 21-83 ปี พบว่าสมองของคนชรา ที่มีสุขภาพดี ยังคึกคัก และมีประสิทธิภาพเท่ากับ สมองของคนหนุ่ม ที่มีสุขภาพดี ผลทดลองประเมินจาก การทำงานของการเปลี่ยนแปลง เซลล์สมองโดยตรง จากการวิจัยอีกนั่นแหละ พบว่าการที่จะทำจิตใจให้เข้มแข็งได้นั้น เราต้องกระตือรือร้นพาตัวเข้าสู่สถานการณ์ที่ไม่คุ้นชิน หรือทำอะไร ก็แล้วแต่ ที่ท้าทายสติปัญญา จะสามารถกระตุ้นให้สมองเติบโตได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม ทายปัญหา เริ่มเรียนเล่นดนตรีสักชิ้น ซ่อมอะไร สักอย่าง ลองทำงานศิลปะ เต้นรำ ลองลงแข่งเล่นกีฬา หรือแข่ง เล่นเรือใบ และควรจำว่านักวิจัยต่างเห็นพ้องกัน ว่าไม่มีคำว่า สายเกินไป ตลอดชีวิตเรา น่าจะเป็นการเรียนรู้ หาประสบการณ์เพราะ เรากำลังท้าทายสมองของตัวเอง และผลที่ได้คือเพิ่ม รอยหยักให้สมองนั่นเอง กระตุ้นสมองแบบง่ายๆ เพื่อให้ "ฉลาดเลิศ ฝึกสมอง ลองปัญญา ฟังเพลงคลาสิก โดยเฉพาะเพลงของโมสาร์ท เฮย์เดน บาค บีโธเฟ่น มาห์เลอร์ และสตราวินสกี้ นึกฝันถึงเรื่องท้าทายแปลกใหม่ที่เป็นจริงได้ แต่เป็นเป้าหมายที่สูงสักหน่อย สำหรับตัวเอง อาจจะเกี่ยวกับงาน อดิเรกใหม่ ๆ หรืออาชีพใหม่ หรือหาความรู้ใหม่ ๆ ใส่ตัว และฝึกเล่นกีฬาที่ไม่เคยเล่น ลองเรียนเต้นรำ เรียนภาษาอีกสักภาษา หรือจะเรียนระบายสีน้ำ หรืออะไรก็ได้ที่ คุณชอบ สำคัญอยู่ที่ต้องกระตุ้นสมองคุณอย่างสร้างสรรค์ ฝึกบริหารจิตใจ เช่น เล่นหมากรุก ไพ่ นกกระจอก เกมรูบิก หรือไพ่ เพราะช่วยฝึกสมองของคุณ ให้แก้ปัญหา เล่นเกมใบ้คำ หรือเล่นเกมอักษรไขว้ทุกวัน ในหนังสือพิมพ์ กระตุ้นสมองด้วยวิธีใหม่ ๆ เริ่มด้วยการตั้งสติ พยายามจดจำชื่อของคนที่คุณเพิ่งรู้จัก พยายามเชื่อมรูปร่าง หน้าตาของเขากับชื่อให้ได้ หรือหาจุดเด่น และส่วนที่จำง่ายของเขาไว้สักอย่าง เพื่อช่วยให้คุณนึกชื่อเขาออก อาหารสมอง กับการออกกำลังเสริมคุณภาพ ดื่มน้ำ 8 แก้วทุกวัน ส่วนกาแฟและดื่มชาสักหน่อยก็พอจะได้ แต่ควรเลี่ยงน้ำตาล กินเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน โดยเฉพาะเครื่องใน เช่น ตับและไต เพราะให้สารอาหารพวกโปรตีน คาร์โบไฮเดรท แร่ธาตุเหลว วิตามันและกรดไขมันบางชนิดที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูสภาพของเซลล์ และการหมุนเวียนแร่ธาตุ ถ้ากินมังสวิรัติก็ให้กินถั่ว เมล็ดข้าวไม่ขัดขาว (ข้าวซ้อมมือ) และใบผักให้มาก ๆ เพราะอาหารเหล่านี้อุดมด้วยกรดไขมันที่สำคัญมากมาย กินเนื้อปลา รวมทั้งเนื้อ ปลาติดมัน เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ซึ่งอุดมด้วยกรดไขมันที่ร่างกายต้องการ กินผักให้หลากหลาย เพราะเป็นแหล่งอุดมด้วยวิตามินหลายชนิด รวมทั้งมีไฟเบอร์ และกรดไขมันที่สำคัญมาก กินไขมันอิ่มตัวให้น้อยเข้าไว้ แม้จะมีวิตามินให้คุณค่า และความเอร็ดอร่อยก็ตาม แต่หน้าที่หลักของไขมันอิ่มตัวคือ พลังงานสำหรับร่างกายล้วน ๆ เลี่ยงน้ำตาล และอาหารสำเร็จรูป แม้ว่าร่างกายเราจะใช้น้ำตาล (กลูโคส) เป็นพลังงาน แต่ก็ชอบผลิตเอาเองจากอาหารที่เรากินเข้าไปมากกว่า ซึ่งช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ที่เหมาะสมไว้ด้วย การใส่น้ำตาลเพิ่มมากเกินไปในอาหาร จะทำลายกลไกนี้ ออกกำลังสม่ำเสมออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ประมาณครั้งละ 10-30 นาที ถ้าเบื่อเข้ายิม ก็ลองเดินเร็ว จ็อกกิ้ง เต้นรำ ขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำแทน สมัครชมรมว่ายน้ำ หรือชมรมเทนนิส หรือจะเป็น สมาชิกศูนย์กีฬาก็ได้ เพราะการโต้ตอบสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ แบบทันทีทันใด ช่วยกระตุ้นสมองได้ดี สังเกตความสัมพันธ์ ระหว่างอาหารที่คุณกิน กับการทำงานของสมองว่าเป็นอย่างไร กินอาหารเช้าเป็นประจำ และเลี่ยงงานสังสรรค์ ที่มีของมึนเมาด้วย ที่มา http://www.vcharkarn.com
  8. งั้นหรือคะ.เฮีย สงสัยตกข่าวเช่นคุณ kikkapu !38
  9. อยากทราบเช่นกันค่ะ ขอบคุณค่ะ
  10. ไอหลังหวัด ภาวะลมปลายไข้-รักษาด้วยยาแผนไทย บทความจากมติชน ฉบับที่ 1580 นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล หวัดแล้วก็ไอ ลากยาวมาตั้งแต่ปลายฝน มาถึงต้นหนาวก็ยังไม่หาย อาการนี้ไม่ใช่เป็นเฉพาะผมคนเดียว แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้กำลังแพร่ระบาดกันทั่วบ้านทั่วเมือง โทรศัพท์ถึงใครก็มักจะได้ยินคนรับสายทางฝั่งโน้นคุยกับเราไปพลาง ก็ไอพลาง ทั้งฝั่งทางเราและฝั่งทางเขา ครับ ผมโดนหวัดเล่นงานแล้วตามด้วยอาการหลอดลมอักเสบ เสียงแหบ พูดไปสองสามคำก็จะไอทุกที แถมไอก็ไอไม่ค่อยจะออก มันไปดังโคร่งๆเหมือนหมาเห่านั่นแหละ อาการนี้แพทย์เราจะวินิจฉัยว่าเป็นหลอดลมอักเสบ ส่วนมากไม่ติดเชื้อแล้ว แต่ยังมีการอักเสบอยู่แถวๆหลอดลม ก็เลยทำให้เสียงไอมีลักษณะพิเศษอย่างที่ว่า การรักษาทางแพทย์แบบแผน จะระดมยาละลายเสมหะ กระทั่งยากดอาการไอ ซึ่งก็ไม่ค่อยจะได้ผลหรอก คนที่เป็นก็จะต้องแบกรับการไอไปอีก 3-4 สัปดาห์อย่างน่ารำคาญ ต้องยอมรับว่า เมื่อตัวเองป่วยซะเอง และยาแบบแผนเอาไม่อยู่ วิชาโฮมีโอพาธีย์ได้รับไปหลายขนานก็ยังไม่ได้ผลชะงัด ผมปรึกษาแพทย์แผนจีน ท่านก็บอกว่า เป็นภาวะพร่องชี่ของปอด ท่านแนะนำให้ใช้ชะเอมชงน้ำกิน แต่น้ำเสียงก็ดูเหมือนจะรับมือไม่ค่อยอยู่ ด้วยเหตุฉะนี้ผมจึงหันไปปรึกษาแพทย์แผนไทยบ้าง ผมนึกขึ้นได้ถึงอาจารย์คมสัน ทินกร ณ อยุธยา ทายาทรุ่นที่ 6 ของหม่อมราชวงศ์ สอาด ทินกร "อ้อ อาการของคุณหมอเรียกตามภาษาแผนไทยว่า ลมปลายไข้ ภาวะนี้ไม่มีอยู่ในการแพทย์แบบแผน กล่าวคือเป็นสภาวะไข้ที่วัดปรอทเท่าไหร่ก็ไม่พบว่ามีไข้ แต่คุณหมอจะมีตัวร้อนซึ่งสัมผัสได้ที่ผิวกาย" "จริงครับ เมื่อสองวันก่อนผมไปอบรมหลักสูตรหลังปริญญาของวิชาโฮมีโอพาธีย์ ผมยังรู้สึกกลัวหนาวของห้องแอร์ และไอแบบหมาเห่านั่นแหละ เพื่อนหมอด้วยกันซึ่งรู้การแพทย์ทางเลือกด้วยมาจับตัว แล้วบอกว่า ผิวกายยังร้อนอยู่เลย แสดงว่ามีไข้ แต่เป็นไข้ที่วัดปรอทไม่ขึ้น" ผมตอบเพื่อยืนยันคำวินิจฉัยของอ.คมสัน "สมุทฐานของโรคคุณหมอก็คือ เริ่มต้นจากไข้หัวลมก่อน คืออาการไข้ระยะปลายฝนต้นหนาว มันทำให้เกิดไข้หวัด ซึ่งเป็นธาตุปิตตะ ความร้อนกำเริบ ตอนนั้นถ้าวัดไข้ ก็จะพบว่าไข้ขึ้น ผลก็คือ ธาตุความร้อนนี้จะไปรบกวนธาตุน้ำ อาโป ครั้นเมื่อปิตตะสงบลงแล้ว คือหายไข้ วัดปรอทไม่ขึ้นแล้ว แต่แท้ที่จริงยังมีภาวะอักเสบที่ไม่ติดเชื้อแล้ว และอาโปยังกำเริบอยู่ ทำให้เกิดเสมหะ เสมหะในความหมายแผนไทย ไม่ได้หมายถึงขี้เสลด แต่หมายถึงน้ำที่อยู่บริเวณคอ มันจำแนกเป็น 3 อย่างคือ: ศอเสมหะ คือเสมหะที่คอ ที่จมูก ที่ไซนัส อุระเสมหะ คือเสมหะที่ต่ำจากหลอดลมลงไปถึงปอด คูถเสมหะ คือเสมหะที่ลงไปยังลำไส้ใหญ่ เริ่มจากหวัดตอนแรกมีศอเสมหะก่อน เมื่ออาโปกำเริบมาก เสมหะก็ขยายลงไปเป็นอุระเสมหะ ก็คือหลอดลมอักเสบ ไปจนถึงปอดอักเสบ กระทั่งน้ำในปอดก็เรียกได้ ถ้าปล่อยไว้นานอีกทีนี้ก็จะลงไปถึงทางลำไส้ อาจมีท้องเสียเรื้อรังตามมาได้ "วินิจฉัยแล้ว รักษาให้ที่ซิ" ผมบอก "ไม่ยากเลย เริ่มต้นก็ต้อง รุ ซะก่อน นั่นคือขจัดการอักเสบไม่ติดเชื้อที่เรียกว่า ลมปลายไข้ นั่นคือเราจะใช้ตำรับยาไทยชื่อ แดงดับพิษ ในนั้นประกอบด้วยยาหลายตัว แต่ตัวสำคัญคือ ฝางเสน ซึ่งจะมีสีแดง สมุนไพรตัวนี้เป็นยาเย็น มันจะไปดับความร้อนหรือการอักเสบที่เป็นลมปลายไข้ซะ วิธีกินคือ กิน 1 ช้อนชา ชงน้ำอุ่นกินทุก 4 ชั่วโมง ต้องกินไป 2-3 วันหรือกว่านั้น จนกระทั่งเป็นแม่เนื้อเย็น คือจับดูผิวกายไม่มีอาการรุมๆอีกแล้ว และเจ้าตัวก็ไม่กลัวหนาว รับลมเย็นได้อย่างปกติ จึงจะแปลว่า พิษของลมปลายไข้ถูกกำจัดไปแล้ว" หลังจากรุแล้ว ก็ให้การรักษา คือการซ่อมบำรุงให้ภูมิต้านทานร่างกายกลับเป็นปกติ อาจารย์คมสันจะใช้ เบญจผลา ซึ่งประกอบด้วย สมอไทย สมอเทศ สมอพิเภก สมอดีงู และมะขามป้อม พวกนี้เรารู้กันอยู่แล้วว่า มีวิตามินซีและฟลาโวนอยด์สูง ช่วยซ่อมบำรุงภูมิต้านทานได้เป็นอย่างดี ว่าถึงเบญจผลา ไม่ใช่เรื่องใหม่ถ้าคุณผู้อ่านรู้จัก ตรีผลามาแล้ว ทั้งเบญจผลาและตรีผลาต้องประกอบด้วยสมอสำคัญตัวหนึ่งคือ สมอพิเภก สมอตัวนี้สำคัญมากเป็นหมอไทยถือว่ามันเก่งเหมือนพิเภกนั่นเอง โดยปกติแล้ว การกินผลที่รสเปรี้ยวฝาด คือมีวิตามินซีและฟลาโวนอยด์สูง เราจะมีอาการท้องเสีย แต่ถ้าเติมเจ้าสมอพิเภกเข้าไป ความที่เก่งเหมือนพิเภกคือ สมอตัวนี้มันทั้ง "เปิด" และ "ปิด" ทวารได้ กล่าวคือ ถ้าคนกินมีอาการจะท้องเสียเกินไป มันก็จะช่วยระงับไม่ให้ท้องเสีย ระหว่างที่รุและรักษา อาจใช้ยาไทยชื่อ ยาเม็ดธารา ซึ่งตัวหลักคือมะแว้ง ช่วยให้ชุ่มคอ ลดการระคายเคือง ร่วมกับยาน้ำชื่อ ยาศอเสาวรส รักษาศอเสมหะไปด้วย ว่าดังนั้นแล้ว อาจารย์คมสันก็จัดยาให้ผมกินทันที แล้วคุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า ผมกินยาแดงดับพิษ ชงกินไป 6 ครั้ง คือครบรอบ 24 ชั่วโมงพอดี ปรากฏว่า อาการไอเหมือนหมาเห่าของผม ลดลงไปได้กว่า 80% ด้วยเวลาที่ผ่านไปเพียง 1 วัน ส่วนยาน้ำศอเสาวรสนั้น ผมไม่ค่อยชอบรสชาติมันนัก มันเฝื่อนๆกินแล้วชาๆที่คอ แต่ผมชอบเจ้ายาเม็ดธารามาก รสมะแว้งของเขาดีกว่ามะแว้งอมชนิดเม็ดตัวอื่นๆที่ผมลองผมมากว่า 3 สัปดาห์แล้ว ผมเห็นผลที่ชัดเจนจากการทรมานด้วยอาการไอหลังหวัดมากว่า 3 สัปดาห์ จึงดีใจมาก โทรศัพท์ไปบอกอาจารย์คมสันด้วยความดีใจ และผมก็มามีความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบว่า การ รุ ของแผนไทย ที่แท้เป็นระดับการรักษาของการแพทย์แบบแผนนั่นแล้ว คือใช้ยาแดงดับพิษรักษาอักเสบไม่ติดเชื้อของผมไปทันที ส่วนการ รักษา ของแผนไทย มันหมายถึงการเสริมสุขภาพ ซ่อมบำรุงสุขภาพ ไม่ให้กลับเป็นอีก นับเป็นการมองโรคอย่างองค์รวมจริงๆ ตามภูมิปัญญาแผนไทย และด้วยเหตุนี้ ผมจึง จบพ. ใช้ดี...จึงบอกเพื่อน ยังไงล่ะครับ เชื่อว่าคนทั่วกรุงกำลังเดือดร้อนกับอาการไอหลังหวัดกินกว่าครึ่งค่อนเมือง น่าจะได้ประโยชน์จากกรณีศึกษานี้ เรื่องความรู้ยาไทยคุณจะหาความรู้เพิ่มเติมได้จาก www.yahomthai.com ครับ
  11. ขอบคุณมากค่ะ สำหรับกราฟราย 4 เห็นรูปแบบการเกิดแล้วค่ะ
  12. แอบอ่านานแล้วเช่นกัน ขอบคุณค่ะเฮีย เฮียมีมุขแยะจัง รายย่อย (ยับ) เอ้ แล้วขาใหญ่ ต่อสร้อยยังงัยดีคะ คิดม่ายออก
  13. ขอบคุณนะคะ... แม่นมากๆ ถ้าให้คะแนน คงให้ 99.99 % คุณ มดแดงเอามาวางให้เทียบ เลยเห็นชัดๆ....วันหน้าคงต้องมาหาเลขเด็ดแถวนี้บ้าง เป้าล่างเกินไป 0.53 ( 1353.08-1352.55 ) เป้าบนเกินไป 0.60 (1369.69-1369.08)
  14. moddum

    ปวดหลัง

    ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวจะพิมพ์มาอ่านเลยค่ะ..ดีจัง
  15. เพิ่งเข้ามาดูค่ะ...รูปสวยค่ะรูป กลางคืน ..น่าจะมีมากกว่านี้นะคะ เลยไม่ได้ดูเหมือนที่คิดไว้ !thk
  16. ทุกข์จากการหา-สุขจากการให้ เปลว สีเงิน ก็ไม่ทราบเพราะอะไรจึงมีคนชอบส่งหนังสือธัมมะ-ธัมโมมาให้ผมอ่านเป็นประจำ ทั้งที่สภาพผมแต่ละวันกระเสือกกระสนข้นคลั่กอยู่แต่ในทะเลบาป แต่ก็ต้องขอบคุณมูลนิธิธรรมอิสระ วัดอ้อน้อย ที่ส่งนิตยสาร "ธรรมลีลา" มาให้อ่านเป็นประจำ อ่านๆ ไปก็สะดุดข่าวในเล่มที่เขียนตัวโตๆ ไว้ข่าวหนึ่งว่า "สุดยอดนางแบบชื่อดังของโลกเปลี่ยนมานับถือพุทธ หันปฏิบัติธรรม" ผมอ่านด้วยความสนใจ จบแล้วก็เต็มใจที่จะคัดลอกมาให้ท่านอ่านด้วย..... อังกฤษ - เคท มอสส์ สุดยอดนางแบบโลกอังกฤษได้เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาแล้ว และเริ่มให้ความสนใจเรียนรู้มากขึ้น โดยเริ่มจากการทำสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบ แหล่งข่าวจากเดลิมิเรอร์ รายงานว่า "เคทสนใจพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ถึงขั้นเช่าพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ขนาด ๔x๒ ฟุต ประดิษฐานไว้ในห้องรับแขกเพื่อกราบไหว้บูชา เธอต้องการลดความเครียด เธอชอบหาเวลาทำสมาธิและเรียนรู้พระพุทธศาสนา เพราะทำให้เธอรู้สึกสงบ" โดยเธอได้ชักชวนเพื่อนฝูงให้ลองทำสมาธิเช่นกัน และแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือกล่าวว่า เคทจุดธูปที่ทำจากไม้จันทน์ และกราบตรงเบื้องหน้าพระพุทธรูป เพื่อนๆ ของเธอก็ทำตาม แต่ก็พากันสำลักควัน ทั้งนี้ บรรดาเพื่อนสนิทของเธอหวังว่า พุทธศาสนาจะช่วยทำให้เคท ซึ่งขณะนี้อายุ ๓๕ ปี และเป็นแม่ของลูกสาววัย ๖ ขวบ หยุดเที่ยวเตร่ สำมะเลเทเมา และสงบนิ่งลงได้ในที่สุด เมื่อไม่นานมานี้ เซอร์ฟิลิป กรีน นักธุรกิจเจ้าของ TOPSHOP ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและที่ปรึกษา ได้กล่าวเตือนสุดยอดนางแบบคนดังว่า ขอให้เธอเที่ยวและดื่มให้น้อยลง เพราะเธอจำเป็นต้องดูแลตัวเธอเองให้ดูดีอยู่เสมอ รวมทั้งให้เธอทำตัวให้มีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย. ครับ...อันที่จริงไม่ใช่ข่าวแรก หรือข่าวใหม่ ถ้าใครมองโลกให้กว้างออกไปจากตัวเองจะพบว่า ในสังคมตะวันตกแห่งยุคโลกาภิวัตน์อันเจริญขีดสุดทางวิทยาการ แต่กลับพบว่า ชีวิตคนตะวันตก หรือคนนิยมอยู่อย่างตะวันตกกลับไม่พบความสุขแท้จริงในชีวิตจากสิ่งที่เรียก ว่าความเจริญนั้น และเขาเริ่มคิดกันว่า ระบบ วิธี วัตถุ ความเจริญ ที่เป็นอยู่ของเขาขณะนี้ ใช่หรือ...คือสิ่งสนองตอบความต้องการแท้จริงของชีวิต? คำตอบคือ...ไม่ใช่! เพราะเขายิ่งแสวงหา ยิ่งแก่งแย่ง ยิ่งกอบโกย เขากลับยิ่งทุกข์ ยิ่งลำบาก กระทั่งจะหายใจยามละโมบก็เหนื่อยหอบเป็นทวีคูณกว่ายามใจไม่อยากได้ใคร่ดีของ ใคร เขาก็ฉงนและฉุกคิดว่า ก็เอ๊ะ...เราแก่งแย่ง-แสวงหาทุกอย่างก็ด้วยคิดว่า ได้มาแล้ว มีแล้วจะเป็นสุข แต่ไฉนยิ่งหา-ยิ่งหาย, ยิ่งได้-ยิ่งทุกข์ ล่ะ? และด้วยภูมิปัญญาตะวันตก ทำให้เขาใช้หลักเหตุและผลเข้าจับ เขาก็จับเค้าเงื่อนขั้นต้นได้ว่า "สุขนั้นมิได้มาจากการหา" เพราะเขาหาเท่าไหร่ๆ ก็ไม่เคยพอซักที แถมยิ่งได้มาก็ยิ่งพร่อง เติมเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รู้จักเต็ม! ความที่สังคมตะวันตกสอนว่า "อย่าอยู่กับตัวเอง" เขาว่าการอยู่กับตัวเองจะทำให้ฟุ้งซ่าน คิดมาก เป็นโรคประสาท บ้า ฉะนั้น คนตะวันตกจึงมีชีวิตประจำวันอยู่กับสิ่งนอกตัว วันๆ ต้องเข้าสมาคม หรือไม่ต้องก็ต้องพากันไปท่องเที่ยว เมื่ออยู่กับบ้านก็ต้องอยู่กับเครื่องเล่นต่างๆ เกมบ้าง วิทยุบ้าง โทรทัศน์บ้าง หนัง ละครบ้าง กระทั่ง จัดปาร์ตี้พี้ยา สุรา เพศ! เรียกว่าตลอด ๒๔ ชั่วโมง ยกเว้นนอนหลับ ต้องหาสิ่งต่างๆ มาบำเรอเปรอปรนร่างกายตามหลักชีวิตคนตะวันตกที่ว่า "อย่าอยู่กับตัวเอง" เนี่ยะ...วันนี้คนตะวันตกส่วนหนึ่งได้คิดแล้วว่า การแสวงหาในขั้นละโมบ-แก่งแย่งนั้น มันไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเลย และการใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งนอกตัว นั่น..นอกจากไม่สุขอย่างที่หวังแล้ว ยังนำมาซึ่งทุกข์ทั้งกายและทั้งใจภายหลังมากมาย ไม่ต้องดูอื่นไกล ดู "ไมเคิล แจ็กสัน" เป็นตัวอย่างก็พอ หามาได้ขนาดไหน ไมเคิล แจ็กสัน รู้สึกว่ายังไม่พอ และไม่รู้สึกว่าวัตถุภายนอกขนาดเนเวอร์แลนด์นั้น สร้างสุขให้กับชีวิตเขาได้เพียงพอแล้ว? สุดท้าย ต้องตายอย่างน่าสงสารไปกับการใช้ชีวิตประจำวันตามคำสอนตะวันตกที่ว่า "อย่าอยู่กับตัวเอง" จึงหามายาเป็นที่อยู่ของกายและใจ จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายนั่นแหละ ไมเคิล แจ็กสัน อาจได้คำตอบชัดๆ ว่า "สุขมิได้มีมาจากการหา" เลย! เมื่อคนตะวันตกค้นพบ "ลายแทงชีวิตเป็นสุข" ไปครึ่งหนึ่ง เขาจึงตื่นตัว และตื่นกระหายแสวงหา "ลายแทงชีวิตเป็นสุข" อีกครึ่งหนึ่งที่ยังหาไม่พบ และก็มีคนพบว่า ลายแทงชีวิตเป็นสุขที่สมบูรณ์แท้จริงนั้นอยู่ที่ "คำสอนพระพุทธศาสนา" "ขุมทรัพย์จากโอษฐ์พระพุทธองค์" นั่นเอง! ลายแทงชีวิตครึ่งหลังที่คนตะวันตกค้นพบขณะนี้ นั่นคือ "สุขแท้จริงมาจากการให้" มิใช่มาจากการหา ตามปรัชญาชีวิตคนตะวันตกที่หลงผิดคิดกันเช่นนั้นมายาวนาน! ดังนั้น เวลานี้คนในยุโรป คนในสหรัฐอเมริกา เหมือนคนหลงทางที่หิวกระหาย เมื่อพบธารทิพย์จากพุทธธรรมต่างดื่มด่ำฉ่ำชื่นสู่ชีวิตใหม่ จนยากที่ผมจะไม่ปลื้มใจเยื่อใยวาสนาในพุทธศาสนาแต่บางบรรพ์ของพวกเขา เหมือนอย่างนางแบบ "เคท มอสส์" ที่ผมลอกข่าวมาให้อ่านข้างบนนั้น "สุขแท้จริงมาจากการให้ มิใช่มาจากการหา" ตอนนี้คนตะวันตกเริ่มรู้แล้ว เข้าใจแล้ว เรียกว่าเข้าสู่ความเป็น "ต้นคด-ปลายตรง" ต้นของเขากระหืดกระหอบอยู่กับการหา แต่ตอนปลาย คือขณะนี้ของเขา เหมือนน้ำใส ไร้ตะกอนขุ่น สะอาด-สว่าง-สงบ อยู่กับสุขจากการให้ สุข-ตามคำสอนพระพุทธองค์มีถึง ๑๐ ขั้น ตั้งแต่ระดับสุขในกาม ขึ้นไปถึงสุขในระดับรูปฌาน อรูปฌาน และสุขในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ และการจะหาสุขจริงแท้ อันเป็นสุขอริยะให้พบนั้น เส้นทางเดินตรงข้ามปรัชญาตะวันตกที่ว่า "อย่าอยู่กับตัวเอง" เป็น "จงอยู่กับตัวเอง"! เพราะชีวิตสุขแท้-ไม่เวียนกลับไปทุกข์อีกนั้น หาได้จากข้างในตัวเอง จะไม่มีวันค้นหาได้พบจากสิ่งนอกตัวเลย!? การอยู่กับตัวเอง ความหมายก็คือ ทุกลมหายใจทั้งหลับและตื่น ต้องมีสติ มีสติรู้ทุกอย่างไม่ว่าจะทำ จะพูด จะคิดอะไร ก็พูดด้วยสติ คิดด้วยสติ ทำด้วยสติ ไม่ได้หมายความว่าต้องหมกตัวอยู่คนเดียวแต่ในบ้าน การอยู่กับตัวเองด้วยการมีสตินั้น ไปดูหนังได้ ฟังเพลงได้ เที่ยวผับ เที่ยวบาร์ เฮฮาปาร์ตี้ได้ ทำอะไรได้ทุกอย่าง-อย่างที่มนุษย์พึงทำได้ด้วย "สัมมาสติ" เมื่ออยู่กับตัวเองเป็น "สุขจากการให้" ก็จะเป็นความรู้-ความเข้าใจที่มาเองต่อเนื่องกัน เหมือนจุดไฟที่ไส้เทียน เมื่อไฟติดไส้แล้ว ไฟจะลามเลียเนื้อเทียนเลี้ยงไส้ ไส้จะเลี้ยงไฟ และไฟก็จะเลี้ยงแสง และแสงก็จะเลี้ยงสรรพสัตว์ "สุขจากการให้" ขั้นต้นนี้ไม่ยากเลย ให้อภัย ให้รัก ให้เมตตา ให้ความช่วยเหลือ ให้ความเข้าใจ ให้ยิ้ม ให้เงินทอง ให้ที่อยู่อาศัย ให้นั้นมาจากใจบริสุทธิ์ กระแสใจคือกระแสพลังงานอย่างหนึ่ง พลังงานไม่สูญหาย แต่จะแปรสภาพแตกแขนงขยายไปไม่สิ้นสุด เหมือนน้ำตก พลังงานนั้นไม่หายไปไหน เอามาทำเป็นไฟฟ้าได้ เอาไปทำอาหารได้ เอาไปทำเหล็กได้ เอาไปทำรถได้ เอาไปทำบ้านได้ ทำเสื้อผ้าได้ ทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนเป็นเหตุ-เป็นผลของพลังงานทั้งสิ้น แม้กระทั่งการเกิด-การตาย ก็เป็นเหตุ-เป็นผลของพลังงานที่เราเรียกว่า "กรรม" นั่นแล! อีกแง่คิดหนึ่งได้จากนางแบบชาวอังกฤษ เราจะเห็นว่าคนต่างชาติหรือที่เรียกว่าฝรั่ง นั้น ถ้าเขาสนใจและเข้าหาคำสอนในพระพุทธศาสนา เขาจะพุ่งทะลุตรงเข้าถึงแก่นพุทธศาสนาทันที และจะดื่มด่ำฉ่ำอมตสุขในธรรม เคร่งครัดด้วยศรัทธา-ปสาทะในพระพุทธศาสนายิ่งกว่าคนไทยเรา เพราะเขาพุ่งหาแก่นธรรมด้วยปฏิบัติธรรม จึงเข้าถึงแก่น แต่พวกเรา "พุทธสำมะโนครัว" เข้าหาเสกเป่า-เขย่าติ้ว-ปิดทอง จึงติดอยู่แค่เปลือก! พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ ๒-๓ วันก่อน ผู้มิใช่ญาติก็เหมือนญาติ ทั้งที่เคยไม่เคยพบหน้าค่าตากัน "คุณอุบล เชื่อมสุข" จากบ้านชมเดือน ที่บ้านปรก อ.เมืองฯ จ.สมุทรสงคราม เห็นตามรูปจะเป็นโฮมสเตย์ ริมแม่น้ำแม่กลอง ล่องเรือชมหิ่งห้อย นำหนังสือ "สวดมนต์สมาธิ" มาฝากไว้ ๑ เล่มพร้อมขนม บอกว่าจะต้องกลับไปเลี้ยงหลานที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ผมก็อยากจะบอกว่าหนังสือสวดมนต์และ "การทำสมาธิ การบริหารลมหายใจอย่างมีประสิทธิภาพ" ที่คุณอุบลพบต้นฉบับเป็นของโรงเจไต่เสี่ยฮุกโจ้ว และนำไปพิมพ์แจกจ่ายญาติสนิทมิตรสหาย ตลอดถึงผม ๑ เล่มนั้น ผมอ่านแล้ว ขอบอกว่าได้สร้างกุศลยิ่งใหญ่ ให้ธรรมที่ถูกต้องตามธรรมเป็นทาน เป็นงานสืบต่อพระพุทธศาสนาที่ขออนุโมทนาบุญด้วย และอยากจะบอกตรงนี้ว่า ผมเพิ่งได้รับหนังสือ จารึกอโศก (ธรรมจักรบนเศียรสี่สิงห์) รัฐศาสตร์แห่งธรรมาธิปไตย ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) มา ๗-๘ เล่ม และหนังสือ "กาลานุกรม" พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก ของท่าน พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) อีก ๕ เล่ม ผมกราบด้วยระลึกพระคุณยิ่งใหญ่ต่องานพระพุทธศาสนาของพระเดชพระคุณเจ้าพระ พรหมคุณาภรณ์ตรงนี้อีกครั้ง ก่อนจะบอกคุณอุบลว่าก่อนจะไปสหรัฐ ถ้าเป็นไปได้วานบุตรชายช่วยแวะมารับหนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้อย่างละเล่ม นำติดตัวไปให้ถึงสหรัฐอเมริกาด้วยเถิด เอาไปทิ้งไว้เป็นเชื้อหน่อพันธุ์ปัญญาที่สหรัฐนั่นแหละ คุณอุบล หรือท่านใดก็ตามได้สัมผัสงานทั้ง ๒ ชิ้นนี้ของพระเดชพระคุณท่านแล้วจะทราบได้เองว่า หาไม่ได้อีกแล้วในช่วงชีวิตของเรานี้ ที่จะมีงานเพื่อพระพุทธศาสนาเช่นนี้ปรากฏ ฉะนั้น ก่อนตาย...เราทำได้แค่ช่วยกันนำงานชิ้นนี้ไปเผยแผ่ให้กว้างเข้าไว้ ก็นับว่าได้ทำหน้าที่ "ข้ารองบาทพระพุทธองค์" สมกับที่เป็นพุทธบริษัทสมบูรณ์แล้ว! พูดแล้วก็นึกถึงท่านที่อยู่ญี่ปุ่นและแวะมาร่วมซ่อม-สร้างโบสถ์หลวงพ่อตามใจ เดือนก่อนโน้น อยากให้ได้หนังสือ ๒ เล่มนี้ไปปรากฏอยู่ในญี่ปุ่น เพื่อคนไทยได้อ่าน เพื่อความรู้ ความเข้าใจในความเป็นมา-เป็นไปของพระพุทธศาสนานับแต่อดีตกาลจริงๆ ถึงจะหนักเป็นกิโลฯ ก็ไม่เป็นไร ถ้าทราบข่าวแจ้ง Address มาให้ผม แล้วจะจัดส่งไปให้ด้วยความเต็มใจยิ่ง อ้าว...คุยไป-คุยมา ยาวเกินเนื้อที่กำหนดอีกแล้ว ท้ายนี้ก็ไม่มีอะไรจะคุย นอกจากอยากจะย้ำอีกซักคำว่า สวดมนต์ภาวนา และปฏิบัติตนตามคำสอนพระพุทธศาสนาเข้าไว้ "สิ่งที่จะเกิดข้างหน้า" นอกจากคลาดแคล้วยังจะเจริญก้าวหน้า "ธรรมรักษา" เหมือนกับที่ผ่านมานั่นแหละครับ.
  17. ไปอ่านเจอมาค่ะ เลยลองเก็บมาฝากค่ะ “เมจิกสไมล์” นวัตกรรมเพื่อฟันขาว...สดใส คุณ เป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่าที่อยากเปิดยิ้มได้อย่างเปิดเผย อวดฟันซี่สวย ขาว สะอาด สดใส- -คราวนี้คุณก็เป็นสาวมั่นที่มั่นใจได้เต็มที่แล้วล่ะ ด้วย เมจิกสไมล์ ผลิตภัณฑ์ เพื่อฟันขาวที่ถือเป็นสุดยอดนวัตกรรมครั้งแรกโดยการพิสูจน์และวิจัยโดยทีม ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม ที่มีการผสมผสานกันอย่างลงตัวของนวัตกรรมใหม่บลูไลท์เทคโนโลยีจากประเทศ ญี่ปุ่นกับเมจิกสไมล์เจลที่มีคุณสมบัติพิเศษช่วยให้ฟันขาวขึ้นอย่างง่ายดาย ลดขั้นตอนยุ่งยากโดยการแทรกซึมของแอ็คทีฟ ออกซิเจนมากกว่า 10 เท่า ช่วยทำให้ฟันขาวขึ้นจากภายในอย่างชัดเจน และอ่อนโยน โดยไม่ทำลายเคลือบฟัน และไม่ก่อให้เกิดอาการเสียวฟัน อีกทั้งยังช่วยขจัดคราบพลัคและหินปูนได้อีกด้วย และที่สำคัญเพื่อเป็นการช่วยลดขั้นตอนความยุ่งยากไม่ต้องเสียเวลาอีกต่อไป เสมือนยกห้องทันตกรรมมาไว้ที่บ้านนั่นเอง บรรยากาศวันเปิดตัวแนะนำ เมจิกสไมล์ นวัตกรรมเพื่อคนรุ่นใหม่ งาน นี้ ลดา เพ็ญสิทธิพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส แอนด์ พี แลบบอราทอรี่ จำกัด แม่งานใหญ่จัดกิจกรรมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมมีผู้มาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง นอกจากแหวนแหวน ปวริศา เพ็ญชาติ พรีเซ็นเตอร์ แล้ว ยังมี ชลรัศมี งาทวีสุข เป็นพิธีกรภายในงาน รวมทั้งสื่อมวลชนมาร่วมเป็นเกียรติและคนในวงการมาร่วมแสดงความยินดี ณ ห้องไวท์รูม โรงแรมแพนแปซิฟิก เรา ได้ทำการคิดค้นและวิจัยร่วมกับทีมผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม เพื่อให้เมจิกสไมล์เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการให้ ฟันขาวสดใส สะดวก รวดเร็ว แต่กังวลกับเรื่องค่าใช้จ่าย โดยเมจิกสไมล์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานเทคโนโลยีการฟอกฟันขาวจากร้านทันตกรรม (แสงบลูไลท์) และเจลฟอกสีฟันเอกสิทธิ์เฉพาะ เมื่อนำมาใช้ควบคู่กันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดขั้นตอนยุ่งยาก และเห็นผลชัดเจนภายในเวลา 14 วัน ซึ่งผู้บริโภคสามารถทำได้เองที่บ้าน โดยใช้เวลาแค่เพียงครั้งละ 10 - 20 นาที และยังสามารถทำซ้ำได้โดยซื้อเฉพาะเมจิกสไมล์เจลที่มีจำหน่ายแยกต่างหาก ทำให้สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ...เมจิกสไมล์ถือเป็น ผลิตภัณฑ์ที่กลุ่มดารา นางแบบใช้กันมานานแล้วและเป็นที่นิยมมากขึ้นโดยอาศัยการบอกต่อ เราจึงตั้งใจขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปสู่คนทำงานทั่วไปมากขึ้น รวมทั้งกลุ่มนักศึกษากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ โดยเน้นการสื่อสารและสร้างความเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้า หมาย โดยมีพรีเซ็นเตอร์คือแหวนแหวน-ปวริศา เพ็ญชาติ เซเลบและพิธีกรชื่อดัง เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่ดูแลตัวเองให้ฟันขาว สดใส มั่นใจอยู่เสมอลดา เพ็ญสิทธิพร กล่าว แหวน-ปวริศา เพ็ญชาติ พิธีกรสาวและเซเลบริตี้ชื่อดัง เผยเคล็ดลับฟันขาวสดใสว่า- - เมจิกสไมล์ เป็นอะไรที่ลงตัวที่สุดแล้วสำหรับแหวน เนื่องจากงานพิธีกร งานโชว์ตัวต่างๆ ทำให้แหวนต้องเดินทางบ่อยๆ แหวนไม่ค่อยมีเวลา อะไรก็ตามที่แหวนเลือกจะต้องสะดวก รวดเร็ว และเชื่อถือได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมจิกสไมล์ใช้แล้วเห็นผลได้อย่างชัดเจนว่าฟันขาว ขึ้นโดยไม่มีปัญหาเรื่องเสียวฟัน หรือเหงือกร่น อยากให้ลองค่ะ พรีเซ็นเตอร์สาวและเซเลบคนดังกล่าวทิ้งท้าย เภสัชกร ณัฐภัทร ดวงจินา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันคนไทยหันมาฟอกสีฟันกันมากขึ้น แต่ข้อมูลสำคัญที่ผู้บริโภคควรรับทราบคือข้อจำกัดของการฟอกสีฟัน คือ การฟอกสีฟันนั้นสีที่ขาวขึ้นจะขาวเฉพาะเนื้อฟันเท่านั้น ส่วนวัสดุเคลือบหรืออุดฟันจะไม่ขาวขึ้นตามสีเนื้อฟัน และการฟอกสีฟันจะสามารถคงทนได้นานประมาณหนึ่งปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบริโภคและการดูแลรักษาหลังฟอกสีฟัน หากผู้บริโภคดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือสูบบุหรี่มากก็จะทำให้สีฟันกลับมาเหลืองเร็วขึ้นกว่าปกติ ฉะนั้นเราควรต้องดูแลป้องกันและพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำลายฟันของเรา เป็นอย่างดีและสม่ำเสมอ และหากใครที่อยากมีฟันขาวสดใสทันใจ แบบเห็นผลทันตา ด้วยขั้นตอนที่สะดวกรวดเร็ว เหมือนแหวนแหวนล่ะก็ อย่ารอช้า รีบยกโทรศัพท์ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของ เมจิกสไมล์ เป็นการด่วนที่เมจิกสไมล์แคร์ไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 02 945 8511 รับรองได้ว่าทุกคำถามเรื่องฟันขาวสดใสมีคำตอบให้อย่างแน่นอน http://go.microsoft.com/fwlink/?LinkId=30857&clcid=0x409
  18. moddum

    การบริหารสมอง..

    ได้ความรู้มากเลยนะคะ ต้องกลับไปทบทวนและลองปฎิบัติบ้างแล้วค่ะ ก่อนที่อัลไซเมอร์จะมาหา ขอบคุณค่ะ
  19. moddum

    www.9forking.com ถวายพระพรออนไลน์

    เข้าไปที่เว็บดังกล่าวแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ คุณมดแดง
  20. รู้สึกว่า ...เราทำได้อย่างเดียว คือรอๆๆๆ และหวังว่ารัฐมนตรีคลังของเราและรัฐบาลนยุคนี้คงไม่หน่อมเแน้ม ให้พวกต่างชาติมาฉกฉวยผลประโยชน์จากประเทศของเราไป
  21. สัปดาห์ นี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาเป็น 29.955 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นช่วงเวลาที่ค่าเงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 13 ปีที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าเงินบาทไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแข็งค่าได้ เงินบาทตอนเมื่อปลายปี 2551 ที่รัฐบาลชุดนี้เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศอยู่ที่ประมาณ 34.98 ต่อเหรียญสหรัฐ แต่ เมื่อเวลาผ่านไปถึงสัปดาห์นี้ 2 ปี 10 เดือน เงินบาทก็มาอยู่ที่ 29.955 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็แปลว่านับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปแล้ว 14.37% แต่ในความเป็นจริงเงินบาทก็ไม่ได้แข็งค่าอยู่เพียงประเทศเดียว แต่เมื่อเทียบกับประเทศสำคัญ ในช่วงเวลา 2 ปี 10 เดือนเหมือนกัน ก็จะพบค่าเงินของอีกหลายประเทศสำคัญๆที่ทยอยแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงิน ดอลลาร์สหรัฐเช่นเดียวกัน ดังนี้ เงินวอน(เกาหลีใต้)แข็งค่าขึ้นประมาณ 17.94% เงินบาทแข็งค่าขึ้น 14.37 % เงินริงกิต(มาเลเซีย)แข็งค่าขึ้นประมาณ 12.75% เงินสิงคโปร์ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นประมาณ 11.38% เงินเยน(ญี่ปุ่น)แข็งค่าขึ้นประมาณ 9.79% เงินรูปีย์(อินเดีย)แข็งค่าขึ้นประมาณ 8.34% 2 ปี 10 เดือนที่ผ่านมาบางประเทศใช้วิธีฝืนค่าเงินตัวเองไล่ตามเกาะเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างเหนียวแน่น แต่เมื่อมีแรงกดดันก็ตัดสินใจให้มีการแข็งค่าเพียงเล็กน้อยเป็นพิธีแต่พองาม อันได้แก่ เงินหยวน (จีน)แข็งค่าขึ้นเพียงแค่ 2.32% ในขณะที่ฮ่องกงดอลลาร์เกาะติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐมาเกือบตลอดก็เปลี่ยนแปลง เล็กน้อยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์เหรียญสหรัฐประมาณ 0.07% มิพักต้องพูดถึงเวียดนามที่ใช้วิธีประกาศลดค่าเงินของตัวเองไปหลายระลอกแล้ว แม้แต่ยุโรปที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีนัก เงินยูโร ก็ยังแข็งค่าขึ้นประมาณ 2.96% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในรอบ 2 ปี 10 เดือนที่ผ่านมา ปัญหาหลักในเวลานี้ก็คือเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าดิ่งลงไม่ หยุด สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจที่เสมือนเป็นการรุกฆาตและหาทางออก ไม่ได้ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้บริโภคนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ทั้งขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาอย่างยาวนาน และแก้ไขปัญหาของตัวเองด้วยการออกพันธบัตรกู้เงินจากต่างประเทศทั่วโลกมา อย่างต่อเนื่อง ต้นปีที่ผ่านมาอัตราการว่างงานของสหรัฐอเมริกาพุ่งทะยานสูงขึ้นอยู่ทีประมาณ 9.7% ภาคเอกชนชะลอการลงทุน โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากย้ายฐานการผลิตไปในประเทศที่แรงงานถูกกว่าไม่ว่าจะ เป็น จีน อินเดีย เวียดนาม ทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาต้องประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศของตัวเอง ผลการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งหลังสุดของ สหรัฐอเมริกาที่เข้าใกล้ 0% ได้ทำให้นักลงทุนทั่วโลกที่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐ ต้องเทเงินเหรียญสหรัฐออกไปจากมือ เพราะด้านหนึ่งค่าเงินเหรียญสหรัฐก็อ่อนค่าไม่หยุด อีกด้านหนึ่งก็ได้รับผลอัตราดอกเบี้ยที่ไม่คุ้มค่า ปัจจุบันจีนมีทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดประมาณ 2.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ญี่ปุ่นตามมาเป็นอันดับที่ 2 ประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเงินพันธบัตรของสหรัฐอเมริกาเอาไว้จำนวนมาก ในขณะที่ประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นอันดับที่ 12 ประมาณ 175,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งยังมากกว่าสหรัฐอเมริกาที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงประมาณ 129,392 ล้านเหรียญสหรัฐ ลองจินตนาการดูว่าทุนสำรองของทุกประเทศทั่วโลกซึ่งมีอยู่รวม กันประมาณ 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ถือเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาจำนวนมหาศาล รัฐบาลทุกประเทศย่อมอยากจะเปลี่ยนไปเป็นเงินสกุลอื่นที่มีแนวโน้มค่าเงินที่ แข็งค่าขึ้น หรือไม่ก็มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ และแน่นอนว่าปรากฏการณ์ที่เงินสกุลยูโรได้อ่อนค่าใกล้เคียงกับเงิน เหรียญสหรัฐ ก็แสดงสัญญาณภาวะเศรษฐกิจย้ายฐานการลงทุนไปในเอเชียอย่างมหาศาล ในขณะที่ประเทศในยุโรปหลายประเทศก็กำลังเผชิญหน้ากับการแบกรับต้นทุนความ เป็นรัฐสวัสดิการในภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองด้วยความยากลำบาก นั่นเป็นสาเหตุที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปพยายามกดดันให้จีนต้องให้ค่า เงินหยวนแข็งค่าขึ้น เพื่อหวังจะให้เงินทุนไหลกลับมาที่สหรัฐอเมริกา และยุโรปอีกครั้ง แต่การพัฒนาของทุนของจีนที่กำลังเติบโตเป็นฟองสบู่ร้อนแรงแบบก้าว กระโดดอย่างต่อเนื่องได้ทำให้จีนไม่สามารถจะถอยการสร้างงานให้กับจำนวน ประชากรมหาศาลของชาวจีนได้ ดังนั้นสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงยืนหยัดที่จะใช้นโยบายค่าเงินหยวนให้อ่อนค่า ลงไปใกล้เคียงดอลลาร์สหรัฐต่อไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อนักลงทุน กองทุนต่างๆในโลก และรัฐบาลในหลายประเทศคิดปรับพอร์ตการลงทุนและการถือทรัพย์สินครั้งใหญ่ พร้อมๆกัน จึงเกิดปรากฏการณ์หลั่งไหลเข้ามาถือทรัพย์สินประเภทอื่นที่มีโอกาสให้ผลตอบ แทนมากกว่าการถือทรัพย์สินในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐที่กำลังด้อยค่าลงอย่าง ต่อเนื่อง รวมถึงทองคำและเงินสกุลต่างๆทั่วโลกที่เป็นระบบค่าเงินลอยตัวและมีแนวโน้ม ที่จะเก็งกำไรให้เงินสกุลนั้นแข็งค่าขึ้นได้ เงินกำลังไหลทะลักเข้ามาสู่เอเชียมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาถือทรัพย์สินในสกุลเงินอื่นๆที่ไม่ใช่ทั้งดอลลาร์สหรัฐ หรือเงินยูโร ด้วยเหตุนี้ค่าเงินของหลายประเทศจึงแข็งค่าขึ้น เพราะปริมาณเงินสกุลในหลายประเทศก็เป็นที่ต้องการมากขึ้นไม่เว้นแม้แต่เงิน บาทของไทย ที่ทยอยเข้ามาลงทุนมากในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น เมื่อพิจารณาดูแล้วก็ต้องถือว่าค่าเงินบาทของประเทศไทยไม่ได้แข็งค่า อยู่เพียงชาติเดียว แต่ปัญหามีอยู่ว่าเงินบาทของไทยค่อนข้างแข็งค่าเกินหน้าไปในระดับแนวหน้า เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เพราะประเทศไทยไม่เคยมีเป้าหมายทิศทางค่าเงินของประเทศควรจะกำหนดยุทธศาสตร์ ที่ชัดเจนกับเรื่องค่าเงินบาท จริงหรือไม่? ค่าเงินบาทแข็งค่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือทำให้นำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรถูกลง ประชาชนใช้น้ำมันถูกลงกว่าเพื่อนบ้าน หนี้ต่างประเทศมีมูลค่าน้อยลง แต่ข้อเสียก็คือทำให้การส่งออกสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศมีความยากลำบาก ขึ้นในเรื่องราคา แท้ที่จริงแล้วเงินบาทแข็งค่าเกินกว่าภูมิภาคไม่ได้กระทบตัวเลขการ ส่งออกในภาพรวมมากนัก เพราะสินค้าประเภทส่งออกที่มีสัดส่วนสำคัญเช่นรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ หรือแผงวงจรไฟฟ้า ล้วนแล้วแต่ใช้วัตถุดิบนำเข้าทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้นก็จะได้รับอานิสงฆ์จากการนำเข้าซึ่งเป็นต้น ทุนสำคัญถูกลงไปด้วย ส่วนที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าเพื่อนบ้านก็น่าจะ เป็นสินค้าส่งออกที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นสัดส่วนสำคัญมากกว่า ปัญหาคือที่รัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องไปกำหนดทิศทาง เพื่อตอบคำถามให้ชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรกับเงินบาทท่ามกลางกระแสไหลเชี่ยว กรากของเงินทั่วโลก ดังนี้ 1. ค่าเงินบาทเป็นเรื่องของแบงก์ชาติที่ต้องทำงานเป็นอิสระ หรือเป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องทำงานตัดสินใจร่วมกับแบงก์ชาติเพราะถือว่ามี ผลกระทบต่อทุกคนในประเทศที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ 2. ระบบการลอยค่าเงินบาทแบบมีการจัดการนั้น แท้ที่จริงแล้วประเทศไทยมีความสามารถบริหารจัดการได้โดยมีเป้าหมายของชาติ หรือไม่ และมีมาตรการที่สามารถต้านทานกระแสทุนเก็งกำไรค่าเงินที่กำลังไหลเปลี่ยนทิศ มาในภูมิภาคนี้ได้จริงหรือไม่ และกล้าทำหรือไม่? หากมีเป้าหมายของชาติแต่บริหารจัดการไม่ได้ ระบบลอยค่าเงินที่เป็นอยู่เหมาะสมกับประเทศไทยในภาวะนี้อยู่ต่อไปหรือไม่? 3. การหลั่งไหลของทุนเข้ามาในประเทศในระลอกนี้ ประเทศไทยยอมเห็น “เงินบาท”ถูกเก็งกำไรได้หรือไม่แค่ไหนอย่างไร รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยต้อนรับทุนแบบไร้ขอบเขต หรือควรต้อนรับทุนที่อยู่ในประเทศระยะยาวเป็นหลัก หรือยอมรับได้กับทุนเก็งกำไรค่าเงินระยะสั้นแบบตีหัวเข้าบ้านเพื่อทำความ เสียหายให้กับประเทศหรือไม่ ? 4. ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่มีสูงถึง 175,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.3 ล้านล้านบาท และบัญชีทุนสำรองเงินตราประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท รัฐบาลได้บริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้วจริงหรือไม่ ? 5. รัฐบาลได้สร้างกลไกเอื้ออำนวยให้เอกชนสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้เพียงพอ แล้วจริงหรือไม่? ทั้งระบบธนาคารและสถาบันการเงินในประเทศ และโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน และระบบภาษี ดีพอแล้วหรือไม่? เพราะถ้าปล่อยไปตามยถากรรมและยังไม่มีมาตรการใดๆเพิ่มเติม วันหนึ่งในอีกไม่นาน เราอาจเห็นค่าเงินบาทกลับไปแข็งค่าที่ 25 บาท/ดอลลาร์ เหมือนก่อนปี 2540 ก็ได้ ใครจะไปรู้ http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000141672
  22. ขออนุญาติเอามาวางไว้ที่นี่ เพราะเคยไปอ่านวันหลังๆ เข้าไม่ได้ค่ะ ทองคำยืน 1,300 ดอลลาร์สหรัฐแล้ว แนวโน้มยังสดใส ดูเหมือนว่า เหตุการณ์กำลังดำเนินไปอย่างที่เราคาดการณ์ไว้ ดัชนีดอลลาร์ฯร่วงจากระดับ 81.3 จุด เมื่อบทความล่าสุด 3 สัปดาห์ก่อน วันนี้อยู่ที่ 78 จุดแล้ว และทองคำก็เดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องเข้าเป้าหมายของเราเหนือ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐแล้วตามคาดเช่นกัน จากนี้ไป ราคาจะไปทางไหน ขึ้นมาพอหรือยัง จะมีการปรับตัวลงแรงๆเร็วๆนี้หรือไม่ นักลงทุนหลายท่านคงเริ่มกังวลใจ ผมเคยพูดเสมอ เรื่องปัจจัยพื้นฐานบอกทิศ ปัจจัยเทคนิคบอกระยะ ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน ทิศทางจึงยังต้องเป็นไปในทิศทางเดิม เวลานี้ ดูเหมือนประเทศใหญ่ๆกำลังแข่งกันลดค่าเงิน อัตราดอกเบี้ยก็ถูกกดแสนต่ำขนาดใกล้ 0% ในหลายประเทศ มีการอัดฉีดปริมาณเงินเข้ามาในระบบมหาศาล โดยเฉพาะในสหรัฐ ที่พร้อมในการเข็นมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องที่เรียกว่า Quantitative Easing รอบสอง และอาจต้องมีรอบต่อไป ทองคำ มีทิศทางหลักสวนทางกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกำลังถูกดึง ลง เฟดลดดอกเบี้ยต่ำติดดินมาเป็นปีๆ อัดฉีดสภาพคล่องไปแล้วในปริมาณมหาศาล น่าจะมากกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ แต่รายงานว่า เงินเฟ้อยังต่ำ แปลว่าอะไรดีครับ มีปริมาณเงินที่เฟดจะ ต้องอัดเข้าระบบอีกเท่าไหร่ ถึงพอจะบอกว่าเงินเฟ้อ รูปแบบประชาธิปไตยในสหรัฐ ที่มีกลุ่มผลประโยชน์เข้าไปครอบงำ เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ที่ทำให้การตัดสินนโยบาย มาตรการต่างๆ ต้องคำนึงถึงฐานเสียงเป็นหลัก โดยไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะเกิดขึ้น เดือนพฤศจิกายนนี้ กำลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น เศรษฐกิจก็ยังไม่ดีขึ้น นับตั้งแต่โอบามา เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ แม้จะมีการเข็นมาตรการต่างๆเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ถือเงินสดไม่ได้ ดอกเบี้ย หรือแทบจะไม่ได้ ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐเวลานี้ ก็ถือว่าเสี่ยง เฟดกระตุ้นไปเท่าไหร่ ปริมาณเงินจำนวนมาก ก็จะไหลออกไปลงในสินทรัพย์อื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่นตลาดหุ้นแห่งอื่น โดยเฉพาะในเอเชีย หรือแม้แต่ไทย ที่เห็นค่าเงินบ้านเราแข็งจนผู้ส่งออกร้องไม่ออกอยู่เวลานี้ โภคภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงทองคำ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย แม้ราคาจะขยับขึ้นมาแล้วอย่างต่อเนื่อง พื้นฐานดี ทีนี้มาดูเทคนิคหนุนกันหน่อยว่าราคาน่าจะไปได้ถึงไหน ถ้าจำกันได้ ผมเคยให้เป้าหมาย 1,340 ดอลลาร์สหรัฐที่วัดด้วย Invert Head & Shoulder วันนี้ ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้มากทีเดียว หลังจากราคาขึ้นมายืนเหนือ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐได้ ใครที่ติดตามดูราคาทองคำใกล้ชิดในช่วงนี้ จะเห็นว่าราคาขึ้นมาแทบจะไม่พัก นับตั้งแต่ราคากลับตัวขึ้นมาได้จาก 1,156 ดอลลาร์สหรัฐ เหมือนจะได้เวลาพักเต็มที่แล้ว แต่หากดูจาก chart ที่ผมวงไว้ น่าจะพออนุโลมได้ว่าคล้ายกันนะครับ ราคาพักตัวแล้ว และกำลังขยับขึ้นไปสร้างฐานใหม่มากกว่า ด่านสำคัญเห็นชัดๆคือ ก็ตรง 1,340 ดอลลาร์สหรัฐบวกลบนิดหน่อยนี่แหละ หลุดขึ้นไปได้ ราคาจะมีเป้าหมายปลายทางสูงทีเดียว วัดตาม fibonacci ในคลื่นใหญ่ไปได้ถึง 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ ดูราคาทางเทคนิค ราคาอาจใกล้พักตัวเพราะเจอด่านสำคัญ แต่ถ้าผ่านไปได้ ก็จะพุ่งไปได้อีกไกล เมื่อดูเทียบกับปัจจัยพื้นฐานที่หนุน ก็เชื่อว่า ราคาน่าจะผ่านแถวนี้ไปได้ครับ เพราะแนวโน้มนโยบายการเงินสหรัฐไม่มีทางกลับลำแล้วตอนนี้ ดังนั้นก็ต้องบอกว่า อย่างมาก ก็จะเห็นราคาพักตัวตามเทคนิค จากการที่มันเข้าใกล้ด่านสำคัญแถว 1,33x ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ไทยรัฐออนไลน์ โดย kumponys (at) thaigold.info
  23. สวัสดีค่ะ คุณกัมพล ( ที่นับถือค่ะ ) อยากถามมาหลายวันค่ะ แต่ยังไม่ได้มีโอกาส (ลืม)วันนี้คุณกัมพลเกริ่นมาก็ดีแล้ว อยากทราบเทคนิคส่วนตัว ในการเก็บย่านางที่ซื้อมาแล้วให้เขียวสด ไม่ดำ ทำอย่างไรคะ หรือควรจะคั้นทีเดียวให้หมดแล้วควรทานให้หมดภายในกี่วันดี (ทานคนเดียว)เลยมีปัญหา ครั้นจะไปหาซื้อบ่อยๆ ก็มีปัญหามีบ้าง ไม่มีบ้าง ครั้นจะไปเก็บของฟรี ก็ยังไปไม่ถูก ต้องรบกวนพี่เขาเก็บมาให้ มีคนนำต้นมาให้ ก็ยังไม่แตกดูแล้วน่าจะตาย แต่ตอมันก็ใหญ่นะคะ เขาให้มาก็รีบลงดิน แต่ดูแล้วไม่น่ารอด รอพี่เขาเอาต้นมาให้อยู่ ในระหว่างนี้ต้องซื้อทานไปก่อนค่ะ วันนี้ได้อ่านที่มีสมาชิกบางท่าน เรียกคุณกัมพลว่าปู่อีกแล้ว รู้สึกไม่สบายใจ คิดว่าคงไม่รู้จักคุณกัมพลเป็นแน่แท้ อ้าวแต่อ่านไปอ่านมา อ๋อ สมาชิกเก่านั่นเอง น่าจะรู้จัก ถ้าเรียกคุณกัมพลว่าปู่แล้ว กูรูที่เหลือก็คงต้องโดนเรียกปู่ไปหมด ยกเว้นบางท่านซึ่งก็คงมีไม่กี่ท่าน ดิฉันว่าการที่เราจะเรียกใครซักคน ควรจะให้เกียรติเขา ยิ่งคุณกัมพลแล้ว อยูในฐานะที่ต้องนับถือนะคะ หรือ คุณรู้จักกันเป็นการส่วนตัว ก็ต้องขอประทานโทษด้วยค่ะ ขนาดคุณลุงโฉลกดิฉันก็เห็นสมาชิกที่เข้าไปก็เรียกคุณลุงทั้งนั้น อ้อ.. ดิฉันหมายรวมถึงท่านอื่นที่เรียกคุณกัมพลแบบนี้ด้วยนะคะ ดิฉันว่าไม่สมควรเลย ต้องขอประทานโทษจริงๆ ที่ต้องเขียนขึ้นโพส เพราะรู้สึกอึดอัดมานาน
  24. moddum

    ขยับตัวเลขคลื่น Elliott wave ทองคำกันหน่อย

    ขอบคุณค่ะ ที่คุณกัมพล นำมาไว้ที่นี่ จะได้ย้อนกลับมาดูได้บ่อยๆ
  25. สวัสดี ค่ะ คุณกัมพล คุณลุงโฉลกได้พูดไว้ค่ะเรื่องนี้ ที่ราชภัฏว่า ในหัวข้ออบรมล่าสุด elliot wave อาจได้เห็น 25 บาทต่อดอลล่าร์ หลังจากเอากราฟมาดูตามที่ผู้เข้าร่วมอบรมขอให้คุณลุงวิเคราะห์ คุณกัมพลนี่เก่งจริงๆ นับถือ ส่วนที่คุณลุงมองว่าทองจะไปถึงเท่าไร ขอไม่กล่าวถึง รอดูกันต่อไป แต่รู้สึกคุณกัมพลคงมองใกล้เคียงแล้วล่ะค่ะ !01 !gd
×
×
  • สร้างใหม่...