ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

chez

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    793
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย chez

  1. 3 x 8 = ????? เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย24เหรียญล่ะ!” เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก” คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ” เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?” คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?” เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)” ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย” เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้ ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่ จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่ ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?
  2. ขอโทษครับ...เอ่ยชื่อผิด...แต่ผมตั้งใจจะถามคุณแด้น่ะแหละ....ผมนึกว่าคุณแด้ใช้ จีแคปซะอีก....ฟังจากคุณแด้แล้ว ออสก็ดีนะ...แต่ซื้อขายขั้นต่ำนี่ 20 บาทใช่ป่ะ...จีทีดีกว่าตรงขั้นต่ำ 5 บาทนี่แหละ...

  3. ถ้าหากคุณไม่มีใคร ให้ลองยกมือขึ้นสูงๆ แล้วเอามือวางไว้บนหัว .... อืม อย่างนั้น ตอนนี้คุณคงรู้สึกเเล้วนะ ว่า ...คุณยังมีผม ยังไม่จบ.................อ่านต่อดิ .............อยู่ด้านล่าง ……………………… ถ้าหากคุณเหงา .... ให้เอามือจับ "พุง" แล้วคุณจะรู้ว่า ... คุณยังมีชั้น ที่นี้หายเหงายัง....... ฮา...........ฮ่า........ฮา ยังมีอีก ถ้า U เหงา ให้มองลงมาที่คีร์บอร์ด จะเห้น I อยู่ข้าง ๆ U เสมอ...
  4. มีพนักงานโทรหาผู้เสียหายรายหนึ่ง อ้างว่าเป็นพนักงานบริษััทโทรศัพท์แห่งหนึ่ง ให้ผู้เสียหายทำการปิดโทรศัพท์มือถือประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อที่จะทำการ update ข้อมูล ผู้เสียหายไม่ทันรอบคอบและสอบถามให้แน่ชัด จึงได้ทำการปิดโทรศัพท์มือถือ จากนั้นเป็นเวลาเกือบ 45 นาที ผู้เสียหายนึกแปลกใจว่าพนักงานคนดังกล่าว ไม่ได้แจ้งชื่อและรายละเอียดใดๆที่ชัดเจน จึงตัดสินใจเปิดเครื่อง เขาพบว่ามีคนในครอบครัวและคนอื่นๆโทรหาเขาหลายสาย เขาจึงรีบโทรหาพ่อกับแม่ และเขาก็ต้องตกใจที่พ่อแม่ถามเขาว่าปลอดภัยดีหรือไม่ พ่อแม่ของผู้เสียหายเล่าว่า มีคนโทรศัพท์มาหา และต้องการให้พวกเขาโอนเงินเพื่อช่วยลูกเขาที่กำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเขาได้ยินเสียงผู้เสีหายร้องขอความช่วยเหลือ และพ่อแม่ของผู้เสียหายรายนี้กำลังรอโทรศัพท์ เพื่อที่จะโอนเงินให้กลุ่มมิจฉาชีพรายนี้ แต่ผู้เสียหายได้โทรหาพ่อกับแม่ได้ทันเวลา อย่างไรก็ตามผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว และอยากให้เพื่อนๆทุกคนให้สอบถามรายละเอียดให้รอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร รวมทั้งระมัดระวังกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้ เพราะหากพลาดพลั้งหลงกลไปแล้ว ก็ยากที่จะได้เงินส่วนนั้นกลับคืนมา
  5. ผมสมัครซื้อขายกะ GT แล้วนะ......กะลังเข้าไปดูในเวป GT

    ดูแล้ว ราคาซื้อกะขายต่างกันตั้ง 80 บาทแน่ะ.....เมื่อก่อนคิดว่าต่างกัน 60

    แล้วของคุณนาตอนนี้ราคาซื้อกะขายต่างกันเท่าไรอ่ะ

  6. บาป ๑๔ ประการของมารดาบิดา ว.วชิรเมธี ๒๙ มกราคม ๒๕๕๒ กาฐมัณฑุ, เนปาล พ่อแม่บางคน (๑) ทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลก็คือเกิดภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา พ่อแม่บางคน (๒) ทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลก็คือพ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก ส่วนลูกกลายเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่ พ่อแม่บางคน (๓) ทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป ผลก็คือ ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่ว พ่อแม่บางคน (๔) ทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว ผลก็คือ ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา/และให้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งผลาญเงินเก่ง มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำ พ่อแม่บางคน (๕) ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลก็คือเมื่อโตขึ้นลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้ ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัว พ่อแม่บางคน (๖) ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลก็คือลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้างปัญหาให้สังคมอีกต่างหาก พ่อแม่บางคน (๗) ทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูกผลก็คือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรักและความอบอุ่นให้ใคร พ่อแม่บางคน (๘) ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ผลก็คือลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่น พ่อแม่บางคน (๙) ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผลก็คือ เมื่อโตขึ้น เขาจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด ไม่เห็นความจำเป็นว่า การเป็นลูกที่ดีนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร พ่อแม่บางคน (๑๐) ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้นเขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่ง”กลับถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่า” พ่อแม่บางคน (๑๑) ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง ผลก็คือ ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎี พ่อแม่บางคน (๑๒) ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือเขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์ พ่อแม่บางคน (๑๓) ทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลก็คือรอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิต พ่อแม่บางคน (๑๔) ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลก็คือเขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน
  7. คุณค่าแห่งการรู้คุณค่า หนุ่มน้อยเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการเรียนดีเยี่ยมไปสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการ ในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกไปแล้ว ผู้อำนวยการ ได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ ผู้อำนวยการเห็นข้อมูลในประวัติ ของเด็กหนุ่มคนนี้ว่ามีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกวิชาตลอดมา นับตั้งแต่อุดมศึกษาจน จบมหาวิทยาลัย ไม่ปรากฏว่าเขาทำคะแนนตกเลย ผู้อำนวยการเริ่มคำถามว่า“เธอเคยได้รับทุนการศึกษาอะไรหรือเปล่า” เด็กหนุ่มตอบว่า “ไม่เคยครับ” ผู้อำนวยการถามต่อว่า“คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหม” เด็กหนุ่มตอบว่า “คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับ เป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผม” ผู้อำนวยการถามต่อว่า“คุณแม่ของเธอทำงานที่ไหน” เด็กหนุ่มตอบว่า “คุณแม่ทำงานซักรีด” ผู้อำนวยการขอดูมือของเขา เด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ติให้ผู้อำนวยการดู ผู้อำนวยการถามต่อว่า“เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่า” เขาตอบว่า “ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับ” ผู้อำนวยการบอกว่า“ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ วันนี้เธอกลับไปที่บ้านช่วยล้างมือของคุณแม่ของเธอแล้วกลับมาพบฉันอีกทีพรุ่งนี้เช้า” ด้วยความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมาก เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขาจึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขา ฝ่ายแม่รู้สึกประหลาดใจระคนหวั่นใจ เธอส่งมือให้ลูก หนุ่มน้อยค่อยๆ ล้างมือให้แม่ แล้วน้ำตาไหลก็ออกมา เขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั้นช่างเหี่ยวย่นแ ละเต็มไปด้วยริ้วรอยขูดข่วน ซึ่งบางแผลพอโดนล้างน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนตัวสั่นระริก นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่า มือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวันเพื่อหารายได้มา ส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน รอยแผลเหล่านี้คือราคาที่แม่ต้องจ่ายไปเพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขา เพื่อผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขา และอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วย คืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกันอยู่นาน เช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการสังเกตเห็นน้ำตาในดวงตาของเขา จึงถามขึ้นว่า “ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเมื่อคืนที่บ้าน เธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไร” เด็กหนุ่มตอบว่า “ผมล้างมือให้แม่ครับ แล้วก็เลยช่วยแม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จ” ผู้อำนวยการบอกว่า“ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่า เธอรู้สึกยังไง” เด็กหนุ่มตอบ “ข้อที่หนึ่งผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณ ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วย ข้อที่สองจากการช่วยแม่ทำงานว่า ผมได้รู้ว่ามันลำบากยากเย็นยังไงกว่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง ข้อที่สามผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความผูกพันในครอบครัว” ผู้อำนวยการจึงบอกว่า “ นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันอยากได้คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ อยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบากของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่าง และอยากได้คนที่ไม่ได้ตั้งเงินเป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียวมาเป็นผู้จัดการให้ฉัน เป็นอันตกลงว่าฉันรับเธอไว้ทำงาน ” ในเวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกจ้างทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี เด็กที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยได้ รับทุกอย่างที่ต้องการ จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเองเป็นอันดับแรก เขาจะไม่สนใจความเหนื่อยยากของพ่อแม่ เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่า ใครๆ จะต้องเชื่อฟังเขา เมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไร และมักจะโทษคนอื่น คนลักษณะนี้เขาอาจจะทำงานได้ อาจจะประสบความสำเร็จช่วงหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้ว เขาจะไม่สำเหนียกคุณค่าของความสำเร็จ หากยังคงคร่ำครวญ เคียดขึ้ง และไม่มีวันรู้สึกเพียงพอ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ประเภทที่ปกป้องลูกแบบนี้ จงถามตัวเราว่า เรากำลังให้ความรักกับลูก หรือ กำลังทำลายเขากันแน่? เราให้ลูกๆ มีบ้านใหญ่ๆ อยู่ กินอาหารดีๆ เรียนเปียโน ดูทีวีจอใหญ่ แต่เวลาที่เราตัดหญ้า ลองให้ลูกได้ทำด้วย หลังอาหาร ให้เขาล้าง ถ้วยชามของตัวเองพร้อมๆ กับพี่ๆ น้องๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญญาจ้างคนรับใช้ แต่เพราะเราอยากจะให้ความรักกับพวกเขาอย่างถูกวิธี เราอยากให้เขาเข้าใจว่า ไม่ว่าพ่อแม่จะจนหรือจะรวย วันหนึ่งก็จะต้องผมขาวแก่เฒ่าลงไป เหมือนกับแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกของเราจะได้เรียนรู้ คือ รู้คุณค่าของความพยายาม ได้รู้จักว่า ความยากลำบากมันเป็นยังไง และได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น
  8. "สามเหลี่ยมชีวิต" วิธีรอดตายจากแผ่นดินไหว จากบทความของดัก คอบบ์ เรื่อง "สามเหลี่ยมชีวิต" เรียบเรียงสำหรับการสรุปให้คณะกรรมการด้านความปลอดภัย MAA ผมชื่อ ดัก คอบบ์ ผมเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัยและผู้จัดการด้านพิบัติภัยของทีมกู้ภัยนานาชาติแห่งสหรัฐฯ ซึ่ง เป็นทีมกู้ภัยที่มีประสบการณ์มากที่สุดในโลก ข้อมูลในบทความนี้จะช่วยชีวิตคนในกรณีแผ่นดินไหว ผมเคยคลานเข้าไปในตึกที่ถล่มมา 875 ตึก เคยทำงานกับหน่วยกู้ภัยจาก 60 ประเทศ ก่อตั้งหน่วยกู้ภัย ในหลายประเทศ และเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการอพยพผู้คนกรณีเกิดพิบัติภัยขององค์การ สหประชาชาติมา 2 ปี ผมได้ทำงานกับพิบัติภัยใหญ่ๆ ในโลกมาตั้งแต่ปี 1985 เมื่อปี 1996 เราได้ทำภาพยนต์ขึ้นมาเรื่องหนึ่งซึ่งได้พิสูจน์ว่าวิธีการรักษาชีวิตของผมถูกต้อง เราได้ ถล่มโรงเรียนและบ้านที่มีหุ่นมนุษย์ 20 ตัวอยู่ภายใน หุ่น 10 ตัว "มุดและหาที่กำบัง" และอีกสิบตัวใช้วิธีการรักษาชีวิตแบบ "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม หลังจากแผ่นดินไหวทดลอง เราคลานผ่านซากปรักหักพังและเข้าไปในตึกเพื่อถ่ายภาพและเก็บข้อมูลของผลที่ เกิด ในภาพยนต์แสดงให้เห็นว่าอัตราการอยู่รอด ของพวกที่มุดและหาที่กำบังคือศูนย์ และโอกาสรอด 100% สำหรับพวกที่ใช้วิธี "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม ภาพยนต์ชุดนี้ได้ผ่านสายตาของผู้ชมโทรทัศน์เป็น ล้านๆ คนในตุรกี และส่วนที่เหลือของยุโรป เคยออกอากาศทางโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และลาตินอเมริกา ตึกแห่งแรกที่ผมได้คลานเข้าไปคือโรงเรียนแห่ง หนึ่งในเมืองเม็กซิโกซิตี้ในแผ่นดินไหวปี 1985 เด็กทุก คนอยู่ใต้โต๊ะเรียน เด็กทุกคนถูกอัดแบนจนกระดูกแหลก พวกเขาอาจจะมีชีวิตรอดด้วยการนอนราบกับพื้น ตรงบริเวณทางเดินข้างๆ โต๊ะเรียนของตัวเอง ในเวลานั้น เด็กๆ ได้รับคำแนะนำให้หลบใต้อะไรบางอย่าง อธิบายอย่างง่ายๆ เมื่อตึกถล่ม น้ำหนัก ของเพดานที่ตกลงมาบนสิ่งของหรือเครื่องเรือนที่อยู่ภายในจะทับทำลายสิ่งของเหล่านั้น เหลือที่ว่างหรือ ช่องว่างข้างๆ มัน ที่ว่างเหล่านี้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า "สามเหลี่ยมชีวิต" สิ่งของชิ้นยิ่งใหญ่ ยิ่งแข็งแรง โอกาสถูกทับอัดยิ่งน้อย โอกาสที่สิ่งของถูกทับอัดยิ่งน้อย ช่องว่างก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น โอกาสที่คนที่อาศัยช่องว่างเหล่านั้นหลบภัยจะไม่เป็นอันตรายก็ยิ่งมาก ครั้งต่อไปที่คุณดูอาคารที่ถล่มในโทรทัศน์ ลองนับ "สามเหลี่ยม" ที่เกิดขึ้นที่คุณเห็นดู มันทีอยู่เต็มไปหมดทุกที่ เป็นรูปทรงที่เห็นได้มากที่สุดอยู่ทั่วไป สิบวิธีเพื่อความปลอดภัยยามแผ่นดินไหว 1) เกือบทุกคนที่ "มุดและหาที่กำบัง" เมื่ออาคารถล่มถูกทับอัดจนตาย คนที่เข้าไปอยู่ใต้สิ่งของ อาทิ โต๊ะหรือรถยนต์ถูกอัดทับ 2) แมว หมา และเด็กทารก โดยธรรมชาติมักจะขดตัวในท่าเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา คุณควรทำเช่น กันในกรณีแผ่นดินไหว มันเป็นสัญชาติญาณเพื่อความปลอดภัย/รักษาชีวิต คุณสามารถมีชีวิตรอดในช่อง ว่างที่เล็กกว่า ไปอยู่ข้างๆ สิ่งของ ข้างเก้าอี้โซฟา ข้างของหนักๆ ชิ้นใหญ่ๆ ที่จะบี้แบนไปบ้างแต่ยัง เหลือที่ว่างข้างๆ มันไว้ 3) อาคารไม้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ปลอดภัยที่สุดที่จะอยู่ภายในขณะแผ่นดินไหว ไม้มีความยืดหยุ่นและเคลื่อน ตัวตามแรงของแผ่นดินไหว ถ้าอาคารไม้จะถล่มจะเกิดช่องว่างขนาดใหญ่เพื่อช่วยชีวิต และอาคารไม้ ยังมีน้ำหนักทับทำลายที่เป็นอันตรายน้อยกว่า อาคารอิฐจะแตกพังเป็นก้อนอิฐมากมาย ก้อนอิฐเหล่านี้ เป็นสาเหตุของการบาดเจ็บ แต่จะทับอัดร่างกายน้อยกว่าแผ่นคอนกรีต 4) หากคุณกำลังนอนอยู่บนเตียงตอนกลางคืนและเกิดแผ่นดินไหว เพียงกลิ้งลงจากเตียง ช่องว่างที่ ปลอดภัยจะเกิดรอบๆ เตียง โรงแรมจะสามารถเพิ่มอัตราผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวได้ โดยเพียงติด ป้ายหลังประตูในทุกห้องพักบอกให้ผู้เข้าพักนอนราบกับพื้นข้างๆ ขาเตียงระหว่างแผ่นดินไหว 5) หากมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นและคุณไม่สามารถหนีออกมาง่ายๆ ทางประตูหรือหน้าต่าง ก็ให้นอนราบและ ขดตัวในท่าทารกในครรภ์ข้างๆ เก้าอี้โซฟาหรือเก้าอี้ตัวใหญ่ๆ 6) เกือบทุกคนที่อยู่ตรงช่องประตูตอนตึกถล่มไม่รอด เพราะอะไร? หากคุณยืนอยู่ตรงช่องประตูและวง กบประตูล้มไปข้างหน้าหรือข้างหลัง คุณจะโดนเพดานด้านบนตกลงมาทับ หากวงกบประตูล้มออกด้านข้าง คุณจะถูกตัดเป็นสองท่อนโดยช่องประตู ไม่ว่ากรณีไหน คุณไม่รอดทั้งนั้น! 7) อย่าใช้บันไดเด็ดขาด บันไดมี "ช่วงการเคลื่อนตัว" ที่แตกต่างไป (บันไดจะมีการแกว่งแยกจากตัวอาคาร) บันไดและส่วนที่เหลือของตัวอาคารจะชนกระแทกกันอย่างต่อเนื่อง จนเกิดปัญหากับโครงสร้างของบันได คนที่อยู่บนบันไดก่อนที่บันไดจะถล่มถูกตัดเป็นชิ้นโดยชั้น บันได--ถูกแยกส่วนอย่างน่าสยดสยอง ถึงอาคารจะไม่ถล่มก็ควรอยู่ห่างบันไดไว้ บันไดเป็นส่วนของ อาคารที่มีโอกาสถูกทำให้เสียหาย ถึงแม้แผ่นดินไหวจะไม่ได้ทำให้บันไดถล่ม มันอาจถล่มในเวลาต่อมา เมื่อรับน้ำหนักมากเกินไปจากคนที่กำลังหนี มันควรได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยเสมอ ถึงแม้ส่วนที่ เหลือของอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายก็ตาม 8) ไปอยู่ใกล้กำแพงด้านนอกของอาคารหรือออกจากอาคารถ้าเป็นไปได้ จะเป็นการดีกว่ามากที่จะอยู่ ใกล้ส่วนนอกของอาคารมากกว่าจะอยู่ที่ส่วนในของอาคาร คุณยิ่งอยู่ลึกเข้าไปหรือไกลจากบริเวณภาย นอกของอาคารมากเท่าไหร่ โอกาสที่ทางหนี้ของคุณจะถูกปิดกั้นยิ่งมีมาก 9) คนที่อยู่ภายในรถยนต์ถูกทับอัดเมื่อถนนด้านบนตกลงมาเพราะแผ่นดินไหวและทับรถ ของพวกเขา นี้เป็น สิ่งที่เกิดขึ้นกับแผ่นคอนกรีตระหว่างชั้นของถนนหลวงนิมิทซ์ ผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดจากแผ่นดินไหวที่ซาน ฟรานซิสโกอยู่ในรถของตัวเอง พวกเขาตายทั้งหมด พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดได้ง่ายๆ ด้วยการออกจากรถและนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างๆ รถตัวเอง คนที่ตายทุกคนอาจรอดได้ถ้าพวกเขาสามารถออกจากรถ และนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างรถตัวเอง รถที่ถูกทับอัดทุกคันมีช่องว่างสูง 3 ฟุตอยู่ข้างๆ ยกเว้นรถที่ถูกเสาคานตกทับกลางคันรถ 10) ผมค้นพบ--ขณะที่คลานเข้าไปในซากสำนักงานหนังสือพิมพ์และสำนักงานอื่นที่มีกระดาษจำนวน มาก--ว่ากระดาษไม่อัดตัว จะพบช่องว่างขนาดใหญ่รอบๆ กองกระดาษที่เรียงทับซ้อนกัน
  9. จะพยายามครับ......ให้ทานข้าวด้วยตัวเอง..ไม่ต้องป้อน

    น่าจะได้ผล.....เมื่อเย็นพาไปกินข้าวที่โรงเจ..ครั้งนี้นั่งตักแม่บ้าน...ตักกินเองใหญ่เลย...ครั้งก่อนๆไล่ป้อนซะเหนื่อยกว่าจะยอมกิน...ช่วงกินเจนี่ลูกๆของผมทานได้เยอะขึ้น...สงสัยว่ากินเจแล้วหิวง่าย...พอถึงเวลากินเลยกินใหญ่

  10. แอบไปด้อมๆมองๆ.....ไม่พูดไม่จา.....

  11. chez

    คุณนา......ครับ.....สบายดีป่ะคับ....

    แหม...พอทองถูกล่ะก็...ก้มหน้าก้มตาเก็บใหญ่เลยนะ

  12. ยิ้มจริงๆด้วย....ขอบคุณ.ป้าขิง......สำหรับอารมณ์ขันที่มีมาเสริฟให้พวกเราทูกกกกกก..วันเลย
  13. ขอเสนอมุมมองส่วนบุคคลจ้ะ
  14. ก็กินได้ดีขึ้นบ้างนิหน่อย....ผมดูแล้วเหมือนเป็นนิสัยว่าเขาต้องการจะดื้อมากกว่า บอกให้นอนก็จะนั่ง...พอบอกให้นั่ง..ก็จะนอน...อะไรทำนองนั้่น ผมก็มอบหน้าที่ป้อนข้าวให้กับแม่ของเอมอรป้อนไป..ก็ยอมกินมากกว่าที่ผมป้อนนะ เขามีวิธีหลอกล่อ...แต่ก็เหนื่อย...กว่าจะป้อนได้แต่ละมื้อ ขอบคุณที่เป็นห่วงจ้ะ...
  15. เป้าหมายอื่นๆที่เดาไว้.....ก็ทะลุหมดแระ...ยกเว้นอันนี้ เป้าหมาย double top ทำให้มีแนวรับอยู่ที่ 148x-149x จะมามั้ยน๊า
  16. หายไปซะนานเชียว......คิดถึงเช่นกันจ้า
  17. ผมเล่น Gold Future ไม่เป็นอ่ะครับ....ไม่รู้่เขาเล่นกันยังไง

    แต่ได้ยินมาว่าGF เนี่ย High risk - High return

    เสี่ยงน่าดูเลยไม่กล้าเล่นอ่ะ

  18. สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ ป้าๆ น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย.....ทุกกกกกคนเลย
  19. เห็นเพื่อนๆหลายคน....ปวดเฮ่ด....กับการลงมาปรับฐานของทองในรอบนี้ ก็เลยเอากราฟรายวันมาให้ดูกัน.... ในกราฟ 1 ช่องจะเท่ากับระยะเวลา 1 เดือน จะเห็นว่า....หลังจากลงมาปรับฐานเสร็จแล้ว..... ในเวลาอีกไม่นานเกินรอ...ทองก็จะกลับมาแซง...ไฮเดิมทุกครั้ง เพราะฉะนั้น..... จะซื้อทองเมื่อวาน....วันนี้...พรุ่งนี้.....หรือมะรืนนี้....แล้วก็ถือไว้ ยังไงก็กำไรครับ.....ขอบอก .....ไม่ต้องคิดมาก สมมติว่าจะลงไปอีก 200 เหรียญจากตอนนี้....ราคาก็ยังอยู่บนเส้นเทรนขาขึ้นสีชมพูอยู่เลย
  20. ภูมิใจเสนอ....แนวรับแบบเน้นๆ....เท่าที่ผมเห็นจากกราฟ D1 จ้ะ
×
×
  • สร้างใหม่...