ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

TOUNE

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    606
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย TOUNE

  1. ทำแรงเลยไม่ได้ครับ เดี๋ยวต่างชาติตกใจขายเยอะ หุ้นลงแรงและเร็ว จะไปกันใหญ่ (จะถูกคนแถวนี้ด่ารึเปล่านะ?) การเปลื่ยนแปลงอะไรที่มันเร็วเกินไปคนจะตั้งตัวไม่ทัน จะมีผลเสียมากกว่าผลดีครับ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีกว่า ถ้าค่าเงินหยุดแข็งค่า จะให้ดีได้ยินว่าแถว 32 บาทก็พอไหว แต่ตอนนี้เอาแค่ ยืนเหนือ 30 บาทได้ก็ดีมากแล้ว ถ้าผู้ส่งออกก็พอมีเวลาตั้งตัว ก็คิดว่าก็มีเวลาแก้ไขได้ไม่เสียหายมาก พวกนำเข้า ก็จะยังได้ประโยชน์ เพราะค่าเงินบาท 30 บาท/ดอล ก็ยังถือว่าแข็งมาก ถือว่าได้ประโยชน์กันทุกฝ่ายครับ
  2. หวังว่า bank ชาติจะลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก ซักอย่างน้อย .25% ในวันที่ 20 นี้จะมีการประชุม กนง ค่าเงินตอนนี้เป็นปัญหาน่ากังวลมาก อยากอธิบายให้เพื่อนเข้าใจนิดนึงครับ GDP บ้านเรา 70% มาจากการส่งออก ถ้าหากว่าค่าเงินแข็งค่าขึ้นอยากรวดเร็ว ปัจจุบันประมาณ 10% หมายความว่า กำไรจะหายไป คิดแบบง่าย 10% (ที่จริงจะมากกว่าแต่คิดแบบคร่าวๆ)เท่าทีดูกำไรสินค้าเกษตรได้กำไรไม่ถึง 10% หรอกครับ (โดยเฉพาะ สินค้าเกษตร และ commodity เน้นขายเอาปริมาณมากๆกำไรน้อยๆ)หมายถึง ธุรกิจพวกนี้ยิ่งขายยิ่งเข้าเนื้อ ยิ่งขายยิ่งขาดทุน บริษัทเล็กๆ เริ่มทิ้ง order กันแล้ว บริษัทใหญ่ๆจำต้องยอมขายขาดทุนรักษาลูกค้าไว้ไปก่อนหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในอนาคต สำหรับผม กำไรขาดทุน ของบริษัทเป็นแค่ยอดน้ำแข็ง แต่สิ่งที่ตามมานี่สิ ปัญหาใหญ่เลยละ เมื่อบริษัทพวกนี้ยิ่งขายยิ่งขาดทุน ใครจะอยากขายมากๆ ละครับ เค้าก็ต้องลด order ลง order ลด งานลด lay off พนักงานส่วนเกินออก คนตกงาน บริษัทไปกดราคาสินค้าจากเกษตรกร ปัญหาสังคม เศษรฐกิจแย่ วันนี้จะยังเห็นไม่ชัด เพราะ ถ้าเพื่อนๆ เข้าใจ ยกตัวอย่าง แรงงาน เป็น lagging indicator หมายถึงว่า ปัญหาค่าเงินตอนนี้จะไม่ส่งผล ต่อเศษฐกิจเราในทันทีแต่ผลกระทบลูกโซ่ของเงินแข็งวันนี้ อาจทำให้คนตกงานในอีก 1/2 ปีข้างหน้า อะไรที่มันมากไปเร็วไปก็ไม่ดีทั้งนั้น เงินต่างชาติไม่เข้ามาเลยก็ไม่ดี แต่ื เรื่องทุกอย่างมีความพอดีของมัน มากไปก็ไม่ดีน้อยไปก็ไม่ดี พอดีๆ ดีสุด ถามว่า เงินออก หุ้นก็ลงสิ ผมมีเงินตลาดหุ้น เงินออกก็ไม่ดีสำหรับผม? ที่จริงในระยะสั้นก็น่าจะเป็นแบบนั้น เค้าขายเอาเงินออก หุ้นก็ต้องลง ในระยะสั้น แต่อยากให้มองแบบนี้ ถ้า เศษฐกิจเราดี ไม่มีปัญหา ยังไงเค้าก็กลับมาอยู่ดี แต่ในทางตรงข้าม เงินต่างชาติไหลเข้ามากๆ วันนี้ทำให้หุ้นขึ้นก็จริง แต่เศษฐกิจเราแย่ลง ถึงตอนนั้นเค้าเอาเงินออกเมื่อเราไม่เหลืออะไรแล้ว ทิ้งซากปรักหักพังของเศษฐกิจเราไว้เบี้องหลัง เราจะชอบแบบไหน? ถ้าเปรียบ แบบแรกคือการกินอิ่ม แต่พอประมาณแต่มีกินนาน กับอีกแบบ กินวันเดียวจนจุก แต่พรุ่งนี้อด เราชอบแบบไหน? ที่จริงผมพอเข้าใจแบงค์ชาิติต้องมองหลายๆประเด็นพร้อมๆกัน เงินเฟ้อก็ส่วนนึง อีกอย่าง การเอาเงินไปเราไปสู้กับเงินทุนต่างชาติ ยังไงก็ไม่ทางสู้ได้ เหมือนเอาไม้ซี้ไปสู็้้้้จะไม่ซุง แต่ เราสามารถสร้างนโยบายให้ เงินต่างชาติเข้ายากขึ้นลดผลตอบแทนที่เค้าจะได้ลง เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลงทีละน้อย สลับกับการขึ้นภาษีหัก ณ ที่จ่ายเฉพาะเงินจากนอกประเทศไปเรื่อยๆ (ปัจจุบันเราประชาชนคนไทย เสียภาษีอัตราเดียวกะต่างชาติ เราควรเพิ่มให้เค้าจ่ายมากกว่าบ้าง)ถ้ายังไม่ได้ผล เพิ่มทีละน้อย จนเริ่มได้ผลก็หยุด เอาเงินเฉพาะที่เก็บภาษีได้เพิ่มจากเค้า มาซื้อดอลล่าร์เพิ่มเก็บไว้ อย่าเอาเงินงบประมาณชาติมาซื้อละเจ๊งแน่ ด้วยความเป็นห่วงครับ ปล มีหุ้นเต็มปอดครับ ราคาหุ้นไม่สำคัญสำหรับผม ผลประกอบการดี คือสิ่งที่พิจารณาเป็นอับดับต้นๆในการเลือกหุ้น
  3. ผมใช้ UOBKH ยูโอบีเคย์เฮียน ไม่มี ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ 50 บาท ค่าธรรมเนียมตามซื้อขายจริง .15% (ผ่าน web ซื้อขายเอง) ไม่มีแนะนำหุ้น ซื้อผ่านมาร์เสีย .25% น่าจะมีแนะนำ
  4. KK ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ไตรมาสที่ 3 งวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 30 กันยายน ปี 2553 2552 2553 2552 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 765,252 742,950 2,349,239 1,729,345 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 1.42 1.42 4.36 3.31 BSEC บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) ไตรมาสที่ 3 งวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 30 กันยายน ปี 2553 2552 2553 2552 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0 4,462 0 7,203 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0.0 0.0055 0.0 0.0088 หุ้นมีการซื้อขายกันทะหล่มทะลาย บีฟิท ไม่ได้กำไรเลยเหรอ? น่าแปลก
  5. GOVT:"กรณ์"มองบาทยังแข็งต่อ จากสหรัฐใช้นโยบายดอลล์อ่อน,พร้อมออกมาตรการเพิ่ม กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--รอยเตอร์ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง มองว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าได้อีก จากการที่สหรัฐยังคงใช้นโยบายเพิ่มปริมาณเงินในระบบ ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า เมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างๆ "เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าได้อีก เมื่อพิจารณาจากนโยบายของสหรัฐ ที่ จะผ่อนคลายมาตรการทางการเงิน โดยการเพิ่มปริมาณดอลลาร์ ซึ่งอีกทางหนึ่ง ก็คือ การทำให้ดอลลาร์อ่อน เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ" รมว.คลัง กล่าวแถลงข่าว เขา แสดงความเห็นดังกล่าว หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันนี้ เห็นชอบให้มีการจัดเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% จากดอกเบี้ย และส่วนต่างกำไร จาก การลงทุนในพันธบัตรของนักลงทุนต่างชาติ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค.53 การจัดเก็บภาษีดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการแก้ปัญหาการแข็งค่าของ เงินบาทในขณะนี้ นายกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมที่จะออกมาตรการเพิ่มเติม หากพบว่ามีการ เก็งกำไรมากเกินไป ขณะที่จะให้รัฐบาล และรัฐวิสาหกิจ เร่งนำเข้าสินค้าทุนจากต่างประเทศ ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปีนี้ รมว.คลัง กล่าวถึงการลงทุนในตลาดพันธบัตร ของนักลงทุนต่างชาติ ด้วยว่า สัดส่วนถือครองพันธบัตรรัฐบาล ของผู้มีถิ่นฐานอยู่นอกประเทศ (Non-Resident:NR) เมื่อสิ้นปีก่อน อยู่ที่ประมาณ 3% ของมูลค่าพันธบัตรคงค้างทั้งหมด จากนั้นได้เพิ่มขึ้น เป็น 4% และช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็น 10%--จบ-- (โดย กิติพงศ์ ไทยเจริญ รายงาน;สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--ฉก--)
  6. GOVT:นายกฯยืนยัน ไม่มีการกำหนดเป้าหมายเงินบาท, เชื่อบาทยังไม่อ่อนในระยะสั้น กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--รอยเตอร์ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้มีการกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน ไว้ที่ระดับใด ขณะที่การออกมาตรการต่างๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบ จากการ แข็งค่าของเงินบาท ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ และ ผู้ประกอบการ "ยืนยันอีกครั้งว่า รัฐบาลไม่มีแนวคิด ในเรื่องที่จะใช้ระบบการกำหนดเป้าหมาย อัตราแลกเปลี่ยน แต่จะพิจารณาเพื่อป้องกัน หรือบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม และผู้ส่งออก" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวกับผู้สื่อข่าว ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันนี้ ได้เห็นชอบมาตรการต่างๆ ในการ บรรเทาผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท หลังจากที่ในปีนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้ว ราว 11% เป็นอันดับสองในภูมิภาค รองจาก ค่าเงินเยนของญี่ปุ่น ล่าสุด บาท/ดอลลาร์ อยู่ที่ 29.98/30.03 หลังจากสัปดาห์ก่อน แข็งค่าผ่าน แนวต้านระดับ 30.00 บาทต่อดอลลาร์ ไปทำจุดสูงสุดใหม่ ในรอบ 13 ปี นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า มาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้ ไม่ได้แก้ปัญหาเงินบาท แข็งค่า แต่เป็นการบรรเทาผลกระทบจากค่าเงินบาท ซึ่งถ้าประเมินจากแนวโน้มเศรษฐกิจ ของไทยแล้ว เชื่อว่า ในะระยเวลาอันสั้น ค่าเงินบาทคงไม่อ่อนลงไปจากระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เขา เชื่อว่า มาตรการที่ออกมา จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) และทำให้การไหลเข้าของเงินทุน ชะลอลงได้บ้าง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนที่จะออกมาตรการส่งเสริมการนำเข้าเครื่องจักร และ เทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง ซึ่งคาดว่า จะได้ข้อสรุปภายใน 2 สัปดาห์--จบ-- (โดย ประชา หริรักษาพิทักษ์ รายงาน;สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--ฉก--)
  7. งบไตรมาศ 3 เริ่มจากกลุ่ม bank ทะยอยๆออกใน เดือนนี้ครับ TISCO บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ไตรมาสที่ 3 งวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 30 กันยายน ปี 2553 2552 2553 2552 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 730,633 512,679 2,205,784 1,468,794 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 1.0 0.71 3.03 1.9
  8. IMFโอเคเข้มตรวจสอบจุดอันตรายศก.ชาติรวย ..........................บรรดาประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เป็นฝ่ายชนะเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (9) ในการเรียกร้องให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หมั่นสำรวจตรวจตรานโยบายทางเศรษฐกิจของพวกมหาอำนาจร่ำรวย โดยที่ว่าต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้วที่ไอเอ็มเอฟจะละเลยไม่เข้มงวดกับพวกประเทศ สมาชิกรายใหญ่ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกา ในการนี้ ผู้ว่าการแบงก์ชาติของจีนเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในไอเอ็ม เอฟคราวนี้ และได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง โดยมีขุนคลังของไทย คือ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ออกโรงสนับสนุนด้วยการชี้ว่า ไอเอ็มเอฟไม่ใช่สถาบันที่ถูกออกแบบให้ดูแลแต่ประเทศกำลังพัฒนาเพียงโดดๆ อีกต่อไปแล้ว ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดขึ้นในเวทีการประชุมคณะกรรมการกำหนดทิศทาง (steering committee) ของไอเอ็มเอฟ ณ กรุงวอชิงตัน โดยที่บรรดาผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกยังพยายามตกลงกันเพื่อหาทางปลดชนวนระเบิด แห่งความตึงเครียดว่าด้วยศึกค่าเงินอีกด้วย ในเมื่อขณะนี้สหรัฐฯ กับยุโรป ตลอดจนญี่ปุ่น ต่างตกอยู่ในภาวะซบเซา ส่วนประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่รายใหญ่ๆ กลายเป็นเครื่องจักรตัวหลักในการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก สถานการณ์ต่างๆ จึงพลิกกลับตาลปัตร ดังนั้น ถ้อยคำที่ปรากฏในคำประกาศของคณะกรรมการกำหนดทิศทางไอเอ็มเอฟ จึงแสดงความตระหนักต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศรวยๆ ว่า “การตรวจตราเฝ้าระวังเข้มข้นมากขึ้นเพื่อจะหาให้พบปัญหาความอ่อนแอใน ประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าใหญ่โตทั้งหลาย จะเป็นสิ่งสำคัญในลำดับต้นๆ” คำประกาศดังกล่าวสะท้อนไปถึงสิ่งที่ประเทศกำลังพัฒนาชี้กันไว้มาก ว่าฐานะการเงินที่อ่อนแอและการเติบโตที่ชะงักงันในสหรัฐฯ เป็นสาเหตุพื้นฐานแห่งความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจโลก ในท่ามกลางสภาพการณ์ที่ว่าสหรัฐฯ มีนโยบายที่จะเติมเชื้อเข้าไปในปัญหาความอ่อนแอของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เงินตราสกุลต่างๆ ของหลายประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ประสบปัญหารุนแรง ในการนี้ นายเจ้าเสี่ยวฉวน ผู้ว่าการแบงก์ชาติของจีนเป็นผู้ที่โหมกระแสชี้ประเด็นดังกล่าวไว้เมื่อวัน เสาร์ที่ผ่านมา และความเห็นนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลังของไทย เปิดท่าทีสนับสนุนข้อเรียกร้องของจีน โดยกล่าวว่า “ไอเอ็มเอฟไม่ใช่สถาบันที่ถูกออกแบบให้ดูแลแต่ประเทศกำลังพัฒนาเพียง โดดๆ อีกต่อไปแล้ว บทบาทของไอเอ็มเอฟจำจะต้องดำเนินบนฐานที่กว้างขวางมากขึ้น และต้องตระหนักถึงความผิดพลาดภายในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งได้สร้างผลกระทบระดับโลก” ด้านนายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังแห่งสหรัฐฯ แก้เกี้ยวด้วยการชี้นิ้วไปกล่าวโทษใส่จีน ว่าเป็นต้นเหตุให้สหรัฐฯ ประสบปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมหาศาล และการที่ค่าเงินหยวนมีราคาต่ำกว่าความเป็นจริงนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องถูกตำหนิว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดความไม่สมดุล อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้นำด้านเศรษฐกิจของโลกยังไม่บรรลุข้อตกลงใดๆ เกี่ยวกับปัญหาค่าเงิน โดยคณะกรรมการกำหนดทิศทางเพียงแต่เรียกร้องให้ไอเอ็มเอฟทำการศึกษาเพิ่มมาก ขึ้นในเรื่องเหล่านี้ รวมทั้งการศึกษาถึงวิธีเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายในการบริหารจัดการกับการ ไหลเข้าออกของเงินทุน อนึ่ง ขุนคลังไกธ์เนอร์ยังฟาดงวงฟาดงานไปถึงประเด็นว่าด้วยการที่ประเทศกำลังพัฒนา ต้องการมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นในการลงคะแนนเสียงในไอเอ็มเอฟด้วย โดยไกธ์เนอร์กล่าวว่าถ้าตลาดเกิดใหม่ต้องการมีอิทธิพลเพิ่ม ก็จะต้องปล่อยมือจากการควบคุมสกุลเงิน ขณะที่ โดมินิก สเตราส์-คาห์น กรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ แสดงความเห็นในทำนองเดียวกัน แต่ด้วยการใช้ภาษาที่ต่างออกไปว่า คุณไม่อาจจะอยู่ ณ ศูนย์กลางแล้วเอาแต่ได้โดยไม่ยอมเสียสิ่งใด กระนั้น สเตราส์-คาห์นยังกล่าวแสดงความหวังว่า ภายในไม่กี่สัปดาห์นี้ น่าจะเกิดข้อตกลงขึ้นได้ในเรื่องการเพิ่มสัดส่วนคะแนนเสียงโหวตแก่ประเทศ กำลังพัฒนา ซึ่งก็คงเป็นในช่วงเดือนหน้าที่จะมีการประชุมสุดยอดกลุ่มจี-20 ที่กรุงโซล เกาหลีใต้ ที่มา http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9530000142543
  9. สอท.ฟันธง 20 อุตฯ ดาวรุ่งปีหน้า นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดผลสำรวจทิศทางภาวะการดำเนินธุรกิจในปี 54 ว่า อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 54 มี 20 กลุ่ม เช่น ยานยนต์, รองเท้า, เหล็ก, ชิ้นส่วนและอะไหล่, ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องปรับอากาศ, อาหาร, ยา, โรงกลั่นและปิโตรเลียม เป็นต้น เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีตลาดรองรับจำนวนมาก และผู้ประกอบการยังมีความสามารถในการต่อรองลูกค้าโดยเฉพาะเรื่องราคาที่ปรับขึ้นได้เพื่อชดเชยอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่า ทั้งนี้ยอมรับว่ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์มีความโดดเด่นมากโดยในปี 54 ค่ายรถยนต์ได้ตั้งเป้าการผลิตที่ 1.8 ล้านคันแล้ว ขณะที่ในปีนี้คาดว่าจะผลิตรถยนต์ได้ 1.67 ล้านคัน เนื่องจากได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงการพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าแรงของแต่ละจังหวัดได้ส่งเรื่องมายังคณะ กรรมการค่าจ้างกลาง (คณะกรรมการไตรภาคี) แล้วตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.53 หลังจากนี้คณะกรรมการไตรภาคีจะเร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค.นี้ โดยการพิจารณาจะปรับให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจมากที่สุด ซึ่งคาดว่าการปรับค่าแรงในครั้งนี้จะเป็นแบบก้าวกระโดด แต่จะสูงถึง 250 บาท หรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการชุดดังกล่าว โดยอัตราค่าแรงขั้นต่ำจะมีผลในวันที่ 1 ม.ค.54 โดย บ้านเมืองออนไลน์ เมื่อเวลา 10:58:00 วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2553
  10. ยังไม่ได้มีการประชุมกันอย่างจริงจังนะครับ เลยยังสรุปไม่ได้ว่า จะได้ทำไหมต้องรอคุณกรณ์กลับมาจากตปทก่อน และต้องรอดูท่าทีของ bank ชาติว่าจะยินยอมไหมด้วย แต่ผมมองว่า 3% เป็นวิธีการที่ดี เนื่องจากไม่รุนแรงเป็นอะไรที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ถ้า 3% ไม่ได้ผลสามารถค่อยๆเพิ่มได้จาก 3%เป็น5% เป็น 7 ในอนาคต ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ตูมเดียวกันสำรอง 30% ตอนนั้นหุ้นลงวูบเลย เนื่องจากค่อยๆเป็นค่อยๆไป น่าจะมีต่อเม็ดเงินลงทุนต่างชาติแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปเช่นกัน ผลคือน่าจะชะลอเม็ดเงินไหลเข้า ให้ค่าเงินผันผวนน้อยลงหรือหยุดแข็งค่า มากกว่าที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงในทันทีทันใด อีกอย่างรัฐมีรายได้เพิ่มจากการที่ต่างชาตินำเงินเข้ามา สามารถทำเม็ดเงินจำนวนนี้ ไปช่วยกิจการที่ได้ผลกระทบได้ด้วย ผลต่อตลาดหุ้นย่อมมีแนในทางลบ แตอย่าลืมว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ เป็นการเ็ก็งกำไรไม่ได้มาลงทุนวันนึงเค้าได้พอเค้าก็ต้องขายเอาเงินเค้า+กำไรออกไปอยู่ดี ถ้าเค้าจะเอาเหตุนี้มาเป็นเรื่องที่จะเอาเงินออกในเวลานี้ก็สุดแท้แต่เค้าตรงนี้เป็นเรื่องของจิตวิทยาคงคาดเดายาก แต่ผลกระทบจริงๆไม่น่าจะรุนแรงครับ ถ้าคิดว่าหุ้นจะตกก็รอครับอย่าพึ่งซื้อ ที่ผ่านมาเวลามีการปรับฐานใหญ่ๆที่กินเวลาเป็นเดือนหุ้นก็ลงแทบทั้งหมดทุกตัว ถึงเวลานั้นถึงเป็นโอกาสซื้อที่ดีของเรา อยากให้มองการลงของหุ้นเป็นโอกาสมากกว่าครับ เลือกหุ้นก็มองตัวที่ธุรกิจอยู่ในขาขึ้น +มีผลประกอบแข็งแกร่งในอดีต ไม่ขาดทุนเวลาธุรกิจเป็นขาลง จะบอกมากกว่านี้ได้ไหมนะ? ได้ยินว่ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง พวกเหล็กได้ประโยชน์จากค่าเงินดอลอ่อน (ทำให้ราคาcommodity เพิ่ม) พวกที่ตุนสต็อกไว้เยอะๆน่าจะได้ประโยชน์จากราคาสต๊อกที่เพิ่มขึ้น แต่อย่าลืมว่าไตรมาศ 3 เป็นไตรมาสที่แย่ของกลุ่มนี้ครับฝนเยอะการก่อสร้างจะมีน้อย พวก อิเล็กโทรนิค ไตรมาศ 3 เป็นไตรมาสที่ดีของเค้า แต่ค่าเงินก็มี็ผลต่อรายได้ลดลงครับ เลือกพวกที่ขายเป็นเงินบาทหรือพวกที่ทำประกันค่าเงินไว้แล้ว ก็จะมีผลกระทบตรงนี้น้อยกว่า พวกส่งออก ควรหลีกเลี่ยงไปก่อน พวกนำเข้าหรือพวกที่ขายเป็นเงินบาทน่าจะได้ผลดีต่อค่า้เงินดอลอ่อน (บนสมมุติฐานที่ว่าไว้ข้างบนที่ทำตัวเข้มไว้ึครับ)
  11. 'กรณ์'ไม่งัดยาแรงคุมทุนไหลเข้าปลดล็อกบาทแข็ง "กรณ์"เตรียมเสนอมาตรการแก้ปัญหาผลกระทบจากเงินบาทแข็งให้ ครม.พิจารณา 12 ต.ค. ยืนยันไม่ใช้มาตรการแรงเช่นกันสำรอง 30% ควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติเพื่อปลดล็อก"บาทแข็ง" ระบุเน้นผ่อนคลายหลักเกณฑ์ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ส่งออก เปิด เสรีเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ ธปท.เผยหากบาทแข็งค่าต่อ ช่วยลดแรงกดดันขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย “พรทิวา”ระบุค่าเงินแข็งทำให้ส่งออกเสียหายแล้วกว่า 1.5 แสนล้านบาท ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทวานนี้ (8 ต.ค.) ปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อย โดยเปิดตลาดที่ระดับ 29.95-29.96 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างวันเคลื่อนไหวแข็งค่าสุดที่ระดับ 29.94 บาท เหตุธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แทรกแซงค่าเงินส่งผลบาทอ่อนตัวลงที่ระดับ 30.04 -30.06 บาทในช่วงบ่าย การอ่อนค่าของเงินบาททำให้ผู้ส่งออกเข้ามาทำการเทขายดอลลาร์กันมาก เพราะไม่มั่นใจว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่ามากกว่านี้หรือไม่ สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวว่า รมว.คลังจะมีมาตรการดูแลค่าเงินบาททำให้มีแรงกดดันทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า ลงเล็กน้อย ทั้งนี้แนวโน้มค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้าจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 30-30.20 บาทต่อดอลลาร์ นายกรณ์ ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ CNBC ถึงมาตรการที่จะนำมาแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าว่า เป็นเรื่องยากที่ประเทศไทยจะกลับไปซ้ำรอยการใช้มาตรการสกัดกั้นเงินทุนนำ เข้าระยะสั้นเหมือนในปี 2549 เพราะในขณะนั้นตนเป็นผู้หนึ่งที่คัดค้านการใช้มาตรการสำรองเงินทุนระยะสั้น 30% เพราะเห็นว่าเป็นมาตรการเหวี่ยงแห ซึ่งไม่เหมาะสม และใช้เวลาระยะยาวมากเกินไป สำหรับมาตรการที่จะนำเสนอต่อ ครม.ในสัปดาห์หน้า จะเน้นการผ่อนคลายหลักเกณฑ์ต่างๆ ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ส่งออก รวมทั้งการนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ ขณะที่รัฐบาลจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ด้วยการใช้ประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาทในการนำเข้าสินค้าทุน ซึ่งจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าได้ด้วย จากการติดตามภาวะเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ ธปท. พบว่ามีเงินทุนบางส่วนที่ไหลเข้ามาเก็งกำไร แต่มีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้น ธปท.จึงไม่ได้ดำเนินการใดๆ นายกรณ์ มองว่า หากเงินทุนจากต่างประเทศไม่ได้ไหลเข้ามาเก็งกำไรมากก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของยุโรปว่า ไม่แตกต่างจากวิกฤติของเอเชียที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ แต่ภูมิภาคยุโรปมีเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าของเอเชียมาก ดังนั้น การแก้ปัญหาโดยใช้มาตรการรัดเข็มขัดอาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ และเห็นว่าควรจะใช้มาตรการแก้ปัญหาอย่างสมดุลมากกว่า "ค่าเงินบาทของไทยตั้งแต่ต้นปีก็แข็งค่าขึ้นถึง 9% เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่ทิศทางเดียวกับทุกประเทศในเอเชียอย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการแข็งค่าของเงินบาทเร็วและแรงกว่าประเทศอื่น จะเป็นรองก็แค่ประเทศมาเลเซียเท่านั้น โดยจะเห็นได้ว่าเงินทุนเริ่มไหลเข้ามามาก หลังจากการยุติการชุมนุมทางการเมือง เพราะนักลงทุนมั่นใจการเมืองและเศรษฐกิจของไทยมากขึ้น" ดร.อัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านบริหาร ธปท. กล่าวว่า หากค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ก็มีโอกาสที่ ธปท.จะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งถ้าไปดูว่าเงินเฟ้อสูงแค่ไหน เศรษฐกิจดีแค่ไหนนั่นก็คือทฤษฎี ก็ต้องไปดูว่าเงินเฟ้อมันไม่สูงจริง สำหรับดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบัน อยู่ที่ 1.75% โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 20 ต.ค.นี้ ทางด้าน ดร.สุภัค ศิวะรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า แนวโน้มค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าตามค่าเงินภูมิภาค เพราะความไม่มั่นใจในยูโรและสหรัฐ เพราะเศรษฐกิจไทยแกร่งเงินเข้ามาต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศสหรัฐและยุโรปยังมีปัญหาทำให้ค่าเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนค่า โดยมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธปท.ไม่ได้มีผลต่อการแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากประเทศไทยเป็นตลาดที่มีขนาดเล็ก แต่เปิดตัวมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศมาเลเซียและจีน จึงมีเงินไหลเข้ามาในตลาดพันธบัตรและหุ้นเพื่อเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน คลังเสนอแผนเข้า ครม.อังคารหน้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการดูแลเงินบาทว่า นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเสนอมาตรการช่วยเหลือต่อที่ประชุม ครม.วันอังคารที่ 12 ต.ค.นี้ โดยที่ผ่านมา ธปท.ได้เปิดโอกาสไม่ต้องแปลงจากเงินดอลลาร์มาเป็นเงินบาท รวมถึงการให้นำเงินออกได้ง่ายขึ้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้สามารถทำได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้มาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออก ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในข้อเสนอของที่ประชุม ครม.วันอังคารหน้าด้วย โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่เดือดร้อน โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และผู้ที่ไม่สามารถประกันความเสี่ยงค่าเงินนั้น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (ธสน.) และเอสเอ็มอีแบงก์ ต้องมีบทบาทช่วยเหลือ ส่วนมาตรการที่ ธปท.ดูแลเพื่อไม่ให้เกิดความผันผวนจะสวนทิศทางหรือไม่นั้น นายกฯ กล่าวว่า เรื่องสวนทิศทางคงไม่สามารถทำได้ แต่อะไรที่จะสามารถผ่อนแรงกดดันได้ เช่นที่กระทรวงการคลัง และ ธปท.ทำมาเป็นระยะ "พาณิชย์" ชี้บาทแข็งเสียหายกว่า 1.5 แสนล้าน นายฉัตรชัย ชูแก้ว ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ฝ่ายการ เมือง กล่าวว่า นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กังวลใจมากต่อปัญหาเงินบาทแข็งค่าและมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีความเสียหายจากค่าเงินไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนล้านบาท จึงได้มอบให้ตนเป็นผู้ติดตามสถานการณ์แก้ปัญหาค่าเงินบาทของ ธปท.และกระทรวงการคลัง ขณะนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กลุ่มเกษตร กลุ่มบริการ โรงแรม จิวเวลรี่ เฟอร์นิเจอร์ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะภาคเกษตรได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะสินค้าในตลาดโลกโค้ดราคาเป็นดอลลาร์ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ประเมินผลกระทบเป็น 2 กรณีๆ แรกหากคงราคาส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ตามเดิม จะส่งผลกลับมากดดันราคาสินค้าเกษตรภายในลดลง และกระทบต่อรายได้เกษตรกร และกรณีที่ 2 หากปรับราคาสินค้าขึ้นจะทำให้ความสามารถแข่งขันในต่างประเทศลดลง เพราะผู้ซื้อจะเลือกสินค้าต้นทุนต่ำกว่า ทำให้อาจเสียส่วนแบ่งตลาดได้ สถาอุตฯนัดถกบาทแข็งสัปดาห์หน้า นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในการเสวนาเรื่องทิศทางอุตสาหกรรมไทยปี 2554 วานนี้ (8 ต.ค.) ว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมปี 2554 แต่ละปัจจัยผันผวนเร็วมาก ซึ่งจากที่สอบถามผู้ประกอบการกังวลปัญหาเงินบาทแข็งค่ามากที่สุด รองลงมากังวลอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจโลกอาจไม่ฟื้นตัว เพราะหลายประเทศในยุโรปชะลอใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจทำให้เศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวกลับฟุบลง ทั้งนี้สัปดาห์หน้า ส.อ.ท.จะหารือร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ถึงแนวทางการปรับอัตราดอกเบี้ยของ กนง. วันที่ 20 ต.ค.นี้ โดยจะเชิญผู้แทนจาก ธปท. เข้าร่วมด้วย ซึ่ง ส.อ.ท.ต้องการเสนอความเห็นได้จากการหารือออกมาก่อนที่ กนง.จะพิจารณา โดยภาคเอกชนเห็นว่าเดิม กนง.เคยส่งสัญญาณจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อ แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป และมีเงินทุนไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทุนจำนวนมาก ทำให้เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง เอกชนหนุนแบงก์ชาติตรึงดอกเบี้ย "ภาคเอกชนเห็นด้วยหาก กนง.จะเปลี่ยนแนวทางปรับดอกเบี้ยให้สอดคล้องสถานการณ์ เพราะช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 7% ซึ่งเอกชนมีจุดยืนชัดเจนที่ไม่ต้องการให้เงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าภูมิภาค หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นก็ควรจะใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน หากภาครัฐยังปล่อยให้เงินทุนไหลเข้ามากต่อไปอาจกดดันเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ 28-29 บาทในปีหน้าได้ เพราะสหรัฐมีนโยบายทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและเศรษฐกิจยุโรปยังไม่ฟื้น ตัว" นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า เอกชนของมาเลเซียได้ประสานมาที่ ส.อ.ท.เพื่อขอหารือถึงแนวทางแก้ปัญหาค่าเงินของไทยและมาเลเซีย ซึ่งมาเลเซียต้องการรับทราบความเห็นของเอกชนไทยว่าจะมีแนวทางร่วมกันอย่าง ไรเพื่อป้องกันค่าเงินในภูมิภาคไม่ให้แข็งค่าต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมาค่าเงินมาเลเซียก็แข็งค่ามาก อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.ได้สำรวจความเห็นกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ถึงทิศทางดำเนินธุรกิจในปี 2554 พบว่า กลุ่มที่อุตสาหกรรมมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีมี 20 กลุ่ม เช่น ยานยนต์ รองเท้า เหล็ก ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ Neaw_NBC: 13.18กรณ์ยอมรับศึกษามาตรการภาษีดูแลค่าเงินบาท/ยันมั่นใจGDPปีนี้โต7%
  12. "คลัง"เล็งเก็บภาษีเงินนอก3%สกัดบาทแข็ง วันที่ 08 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:34:42 น. มติชนออนไลน์ "คลัง"เล็งเก็บภาษีเงินนอก3%สกัดบาทแข็ง ชงครม.12ตุลาฯนี้ "กรณ์"ใช้เวทีเวิลด์แบงก์ร้องมหาอำนาจเแก้ เล็งเก็บภาษีเงินนอก 3% สกัด"บาทแข็ง" คลังเตรียมชง ครม. 12 ตุลาฯนี้ เฉพาะเงินร้อนที่ไหลซื้อ"พันธบัตร-ตราสารหนี้"นายกฯรับต้องดูแลภาคส่งออก เพราะรายได้หดตัวลง "กรณ์"ใช้เวทีเวิลด์แบงก์ เรียกร้อง ปท.มหาอำนาจเแก้ปัญหาค่าเงิน กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศที่มี ลักษณะเก็งกำไรเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 12 ตุลาคม โดยจะเสนอให้มีการเก็บภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) ในอัตรา 3% สำหรับเงินลงทุนในตลาดพันธบัตร ตลาดตราสารหนี้ รวมทั้งเงินฝากในสถาบันการเงิน โดยแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ว่าข้อเสนอดังกล่าว นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้หารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สาเหตุที่ให้เก็บภาษีตลาดพันธบัตร ตราสารหนี้ เนื่องจากเป็นตลาดที่เงินทุนจากต่างประเทศนิยมเข้าลงทุนเก็งกำไรมากที่สุด เฉพาะปีนี้มีตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 1.4 แสนล้านบาท "การเก็บภาษีดังกล่าวจะเริ่มกับเงินทุนใหม่ที่จะเข้ามาซื้อพันธบัตร หรือตราสารหนี้ แต่จะไม่มีผลย้อนหลังกับเงินที่ลงทุนอยู่เดิม ยกเว้นว่าเมื่อเงินลงทุนเดิมครบกำหนดแล้ว ยังต้องการลงทุนต่อไปก็จะต้องเสียภาษีดังกล่าว" แหล่งข่าวระบุ ส่วนข้อเสนอให้จัดเก็บภาษีอัตรา 3% นั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า อัตราดังกล่าวจะทำให้เงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในพันธบัตรหรือ ตราสารหนี้ ไม่เหลือส่วนต่างดอกเบี้ย เนื่องจากปัจจุบัน พันธบัตรรัฐบาลไทย อายุ 2 ปี มีอัตราดอกเบี้ย 2% ขณะที่พันธบัตรสหรัฐอัตราดอกเบี้ยเกือบจะ 0% เงินจึงไหลเข้ามากินส่วนต่างดอกเบี้ย 2% ดังกล่าว การเก็บภาษีอัตรา 3% จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่เหลือผลตอบแทนเลย และต้องจ่ายให้ไทยเพิ่มอีก 1% ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นมาตรการที่ได้ผล สำหรับความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทวันเดียวกันนี้ นักค้าเงินจากธนาคารพาณิชย์รายงานว่า เงินบาทกลับมาปิดตลาดเหนือ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้อีกครั้ง หลังจากที่วันก่อนหน้าแข็งค่าไปปิดตลาดที่ 29.87-29.89 บาทต่อดอลลาร์ สาเหตุที่บาทอ่อนค่าลงเนื่องมาจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาดีเกินคาด ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ประกอบกับตลาดตื่นตัวในเรื่องมาตรการที่กระทรวงการคลังออกมาส่งสัญญาณ ทำให้มีการเทขายเงินบาทออกมาค่อนข้างมาก โดยเงินบาทปิดตลาดที่ 30.04-30.06 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะรายงานให้ที่ประชุม ครม.ทราบในวันที่ 12 ตุลาคม ว่าจะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างไรบ้าง รวมทั้งจะมีการเสนอ ครม.เกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกด้วย "ผมได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศไปแล้วว่า นายกรณ์จะนำมาตรการดังกล่าวไปชี้แจงทั้งในที่ประชุมธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ จี 20 ซึ่งจะทำให้เกิดการประสานงานในทางนโยบายระหว่างประเทศหลักๆ� นายอภิสิทธิ์กล่าว และว่า กำลังจับตาดูตัวเลขการส่งออกว่าได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทหรือไม่ โดยที่ผ่านมาการส่งออกในแง่ตัวเลขการขยายตัวไม่กระทบมาก แต่ที่กระทบคือรายได้ของผู้ส่งออกที่ต้องแก้ไข ด้านนายกรณ์ให้สัมภาษณ์ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่ากระทรวงการคลังและ ธปท.ได้ติดตามเรื่องค่าเงินอย่างใกล้ชิด และประเมินมาตรการต่างๆ ที่แต่ละประเทศนำออกมาใช้ตลอดเวลา หากมีความจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อปกป้องตัวเองต้องคำนึงถึงผลในระยะยาว "ถ้า ธปท.ต้องการความร่วมมือจากคลังในการดูค่าเงินบาทที่แข็งค่า กระทรวงการคลังก็พร้อมจะดำเนินการ" นายกรณ์ระบุ และว่า ที่ผ่านมา ธปท.ได้เข้าแทรกแซงเพื่อดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนเร็วเกินไป เห็นได้จากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่การเข้าแทรกแซงเป็นการทำให้การแข็งค่าขึ้นชะลอลงเท่านั้น ไม่สามารถสวนทิศทางให้ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนได้ ดังนั้น การออกมาตรการเพื่อเป็นกำแพงกีดกันการไหลเข้ามาของเงิน จะต้องระมัดระวัง ต้องมีความเหมาะสมและตรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะไทยยังมีความจำเป็นต้องพึ่งเงินลงทุนจากต่างประเทศ นายกรณ์กล่าวว่า ได้หารือกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. โดยไทยจะใช้เวทีการประชุมประจำปีของธนาคารโลก และไอเอ็มเอฟ ในวันที่ 8-9 ตุลาคมนี้ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เรียกร้องให้ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ทั้งสหรัฐ ยุโรป จีน และญี่ปุ่น หารือเพื่อหาข้อยุติแก้ปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน "ตอนนี้ปัญหาค่าเงินเป็นประเด็นร้อนของโลก หากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจไม่แก้ไขปัญหาร่วมกัน และเป็นไปอย่างที่เห็นคือ ประเทศญี่ปุ่นปกป้องค่าเงินของตัวเอง ประเทศจีนไม่ยอมยืดหยุ่นค่าเงินให้แข็งค่าตามเศรษฐกิจที่แท้จริง สหรัฐอเมริกาก็เดือดร้อนเพราะรู้สึกโดนเอาเปรียบ ส่งผลให้ประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่รวมทั้งไทย ได้รับผลกระทบจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ ทำให้ค่าเงินบาทของไทย และภูมิภาคแข็งค่ากว่าที่ควรเป็น" นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ปัจจัยที่มีผลต่อค่าเงินบาทให้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นไปอีกในช่วงปลายปีนั้น ต้องดูว่าตัวเลขการส่งออกของไทยในอีก 2 เดือนที่เหลือจะเป็นอย่างไร และตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐจะไปในทิศทางใดอีก หากการส่งออกขยายตัวได้ดีและเศรษฐกิจสหรัฐมีข่าวไม่ดีออกมา จะเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินบาทยิ่งแข็งค่าขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดเงินของประเทศไทยมีขนาดเล็กและเปิดมากกว่าประเทศอื่นเป็นส่วน หนึ่งให้เงินทุนไหลเข้ามามากซึ่งเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินแข็งค่าเร็ว "ตั้งแต่ต้นปีต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศค่อนข้างมาก ทั้งตลาดหลักทรัพย์ ตลาดพันธบัตรทำให้เงินบาทแข็งค่ามาก ทั้งนี้ ต้องจับตาดูช่วงเดือนมกราคม 2554 เพราะนักลงทุนต่างชาติจะมีการขายออกเพื่อทำกำไร ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ แต่หากมีปริมาณมากจะมีผลให้ค่าเงินผันผวนอีก แต่ในปีนี้ก็อาจเห็นค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ในช่วง 28-29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ" นายสุภัคกล่าว ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีความกังวลในปัญหาค่าเงินบาท จึงจะจัดสัมมนาเพื่อระดมความเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาคมผู้ส่งออก สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย รวมไปถึงนายโอฬาร ไชยประวัติ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ตน และอดีตรัฐมนตรีของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ก่อนที่จะเสนอทางออกไปยังรัฐบาล ที่พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษก ชทพ. แถลงว่า ได้รับข้อมูลว่าขณะนี้สินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าว ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งแล้ว ทำให้มูลค่าการส่งออกข้าวลดลง เมื่อแลกเงินดอลลาร์มาเป็นเงินบาท สิ่งที่ตามมาคือทำให้ราคาข้าวในประเทศมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเพิ่มปริมาณการส่งออกข้าวเพื่อชดเชยเม็ด เงินที่หายไปจากการแข็งค่าเงินบาทด้วย ทั้งนี้ พรรคอยากเรียกร้องไปยัง ธปท.โดยเฉพาะนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท.ต้องชี้แจงกรณีดังกล่าวให้ประชาชนและนักธุรกิจเกิดความมั่นใจจากการแข็ง ค่าของเงินบาทในขณะนี้
  13. *BOT:อัตราถัวเฉลี่ยดอลลาร์/บาทระหว่างธนาคารของธปท.วันนี้อยู่ที่ 29.990 บาท กรุงเทพ--7 ต.ค.--รอยเตอร์ อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยดอลลาร์/บาทระหว่างธนาคารของธนาคาร แห่งประเทศไทยวันนี้อยู่ที่ 29.990 บาท ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในช่วง 5 วันที่ผ่านมามีดังนี้: วันที่ อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ย (บาท) 6 ต.ค. 30.205 5 ต.ค. 30.163 4 ต.ค. 30.246 1 ต.ค. 30.401 30 ก.ย. 30.484 --จบ-- (รอยเตอร์ โดย กัลยาณี ชีวะพานิช)
  14. SET:ปัจจัยจับตาการลงทุนวันนี้ ดัชนีดาวโจนส์-ราคาน้ำมันขยับขึ้นเล็กน้อย กรุงเทพฯ--7 ต.ค.--รอยเตอร์ **ต่างประเทศ *ตลาดหุ้นสหรัฐปิดวานนี้ปรับตัวไร้ทิศทาง โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น ขณะที่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง ขณะที่หุ้นกลุ่ม เทคโนโลยีร่วงลง โดยได้รับผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ สำหรับ เซมิคอนดักเตอร์และการเก็บข้อมูล *ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนพ.ย.ปิดวานนี้ ขยับขึ้น 41 เซนต์ หรือ 0.5% มาที่ 83.23 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้รับแรงหนุน จากการรูดลงของดอลลาร์ และจากการที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน ของสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันเบนซินดิ่งลงอย่างรุนแรงเกินคาด *วานนี้ตลาดหุ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แตะจุดสูงสุดรอบหลายปี ขณะที่ แนวโน้มที่ธนาคารกลางรายใหญ่จะเพิ่มการซื้อสินทรัพย์ หนุนการไหลเข้าของ เงินทุนทั่วภูมิภาค *ดัชนีค่าระวางเรือ(Baltic Dry Index) ปิดเมื่อวานนี้ปรับขึ้น 70 จุด หรือ 2.72% มาที่ 2639 จุด *ADP Employer Services เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน ของสหรัฐลดลง 39,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 1 หมื่นตำแหน่ง ในเดือนส.ค. **เศรษฐกิจทั่วไป *บาท/ดอลลาร์เช้านี้อยู่ที่ 29.86/91 เดินหน้าทำสถิติแข็งค่าสุดใหม่รอบ 13 ปี หลังทะลุแนวต้านสำคัญที่ระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์มาตั้งแต่วานนี้ ตามสกุลเงินภูมิภาค ที่ยังได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนไหลเข้า *ธปท.ระบุว่าอัตราแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่มีผลต่อภาวะการส่งออก แต่ ปัจจัยที่สำคัญมากกว่า คือภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า พร้อมระบุว่า นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน ยังสอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ *ก.ล.ต. ระบุเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยจนถึงขณะนี้ ยังไม่ สูงนักเมื่อเทียบกับภูมิภาค โดยมองเป็นเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น *กระทรวงการคลัง อนุญาตให้ธนาคารต่างประเทศ จำนวน 3 ราย ออกพันธบัตร หรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในไทย วงเงินรวม 2.2 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ถึงวันที่ 31 มี.ค.54 *กระทรวงพลังงานมั่นใจ ราคาขายปลีกน้ำมันปีนี้ไม่ถึง 40 บาท/ลิตร เนื่องจาก ได้รับอานิสงส์ค่าเงินบาทที่แข็งค่า แม้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกยืนเหนือ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล (นสพ.ข่าวหุ้น) *รมว.พาณิชย์ เผยทูตพาณิชย์ไทย 76 แห่งทั่วโลก เป็นห่วงสถานการณ์เงินบาทที่ แข็งค่าขึ้น จะกระทบการส่งออกให้ลดลง โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจของตลาด หลัก ทั้งสหรัฐและอียู ยังทรงตัวต่อเนื่องไปจนถึงปี 54 ซึ่งสนับสนุนให้รัฐบาล เร่งแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า (นสพ.กรุงเทพธุรกิจ) *อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เผยเบื้องต้นปี 54 กระทรวงพาณิชย์ ต้องการ ผลักดันการส่งออกขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% มูลค่ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สูงสุด เป็นประวัติการณ์ จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 20% มูลค่ากว่า 1.83 แสนล้าน ดอลลาร์ (นสพ.กรุงเทพธุรกิจ) *บลจ.เอ็มเอฟซี มองค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง โดยสิ้นปีนี้น่าจะ อยู่ที่ระดับ 29.50 บาท/ดอลลาร์ และถ้ายังแข็งต่อ คาดว่าธปท.อาจจะต้อง มีมาตรการบางอย่างเพื่อดูแลค่าเงินบาทในระยะสั้น แต่ไม่น่าจะเป็นมาตรการ ที่รุนแรง (นสพ.กรุงเทพธุรกิจ) *ผู้อำนวยการสสว. เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ เดือนส.ค.อยู่ที่ 49.7 เพิ่มขึ้นจาก 49.2 ในเดือนก.ค. เป็นผลจากเศรษฐกิจ โลก และเศรษฐกิจไทยขยายตัวดีต่อเนื่อง (นสพ.โพสต์ทูเดย์) *อธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ เผยขณะนี้ได้จัดทำกรอบเจรจา FTA ไทย- อินเดีย ที่ครอบคลุมสินค้ากว่า 5 พันรายการเสร็จแล้ว และจะเสนอครม.เห็นชอบ ภายในเร็วๆนี้ หลังจากนั้นจะเสนอสภาฯพิจารณาก่อน 28 พ.ย. (นสพ.โพสต์ทูเดย์) *สถาบันไฟฟ้าและอิเล็คทรอนิกส์ เผยตัวเลขส่งออกสินค้าในเดือนส.ค.มีมูลค่า 4.92 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 27% จากงวดปีก่อน พร้อมทั้งคาดว่าทั้งปีนี้ การส่งออกจะขยายตัว 19% จากปีก่อน(นสพ.โพสต์ทูเดย์) **การเมือง *ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คาดเหตุระเบิดแมนชั่นย่านบางบัวทอง เมื่อเย็น วันอังคาร จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 รายนั้น เป็นระเบิดชนิดทีเอ็นที (TNT) และพบอุปกรณ์ประกอบระเบิดหลายรายการ ที่มีความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิด หลายจุดก่อนหน้านี้ *นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เชื่อว่า รัฐบาล ยังควบคุมสถานการณ์ได้ หลังเกิดเหตุระเบิดที่แมนชั่นย่านบางบัวทอง *"พล.อ.ประยุทธ์" ผบ.ทบ.คนใหม่ เผยไม่เคยคิดเรื่องปฏิวัติและจะทำหน้าที่ ให้ดีที่สุดตามกรอบของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ แต่เตือนอย่ากดดันทหาร และ ขอให้ทหารทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการป้องกันประเทศ และรักษาความมั่นคง (นสพ.กรุงเทพธุรกิจ) (โดย วิลาวัลย์ พงษ์พิทักษ์ เรียบเรียง--บร--) ((wilawan.pongpitak@thomsonreuters.com;โทร.0-2648-9730; Reuters Messaging:wilawan.pongpitak.thomsonreuters.com@reuters.net))
  15. SMT วิ่งได้ดีวันนี้ครับ PTL กลายเป็นหุ้นขึ้นเยอะสุดในปอด ไปเรียบร้อย +120% ใกล้เทศกาลงบออกของฝั่งอเมริกาและ กลุ่มแบงค์ของเราแล้วนะครับ หุ้นพื้นฐานดีๆ ใครยังไม่เก็บก็เลือกจองเลือก shop กันได้แล้วนะ
  16. ดาวโจนส์ปิดพุ่งเกือบ 200 จุด ขานรับภาคบริการสหรัฐฯขยายตัวเกินคาด Posted on Wednesday, October 06, 2010 สำนัก ข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นหลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคบริการเดือนก.ย.ขยายตัวที่ระดับ 53.2 จุด จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 51.5 จุด ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 52.0 จุด โดยภาคบริการคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของกิจกรรมเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าเมื่อภาคบริการขยายตัวก็จะทำให้ตัวเลขจ้าง งานในสหรัฐฯฟื้นตัวขึ้นด้วย รายงานของ ISM ยังระบุด้วยว่า ดัชนีการจ้างงานในภาคบริการเดือนก.ย.ขยายตัวที่ระดับ 50.2 จุด หลังจากดิ่งลงแตะระดับ 48.2 จุดในเดือนส.ค. ขณะที่ยอดสั่งซื้อใหม่ในภาคบริการขยายตัวที่ระดับ 54.9 จุดในเดือนก.ย. จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 52.4 จุด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากการที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคาร กลางญี่ปุ่นมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0-0.1% พร้อมกับจัดตั้งกองทุนวงเงิน 35 ล้านล้านเยน เพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาล ตราสารเชิงพาณิชย์ และหลักทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน รวมทั้งรับหลักทรัพย์เหล่านี้ไว้เป็นหลักประกัน โดย BOJ ให้คำมั่นสัญญาว่าจะยังคงใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเช่นนี้ไปจนกว่าราคา ผู้บริโภคจะมีเสถียรภาพ การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยและใช้มาตรการ ผ่อนคลายทางการเงินครั้งนี้นับเป็นการดำเนินการที่เหนือความคาดหมายของตลาด และทำให้นักลงทุนความเคลื่อนไหวของบีโอเจจะกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ตัดสินใจใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing:QE) ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ย.นี้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการส่งสัญญาณครั้งล่าสุดของนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งกล่าวปาฐกถาในที่ประชุมในเมืองโร้ดไอร์แลนด์ของสหรัฐฯเมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะได้ประโยชน์หากเฟดตัดสินใจเข้าซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้ ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) อีกครั้ง นักลงทุนจับตาดู การรายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชน รวมถึงบริษัท อัลโค อิงค์ ที่จะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ ส่วนความเคลื่อนไหวล่าสุดในแวดวงธุรกิจนั้น บริษัท กรูโป เทเลวิซา เตรียมเข้าซื้อกิจการบริษัท ยูนิวิชัน คอมมูนิเคชัน ของสหรัฐ มูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นเทเลวิซาทะยานขึ้น 9.8% ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นแรงที่สุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นใน S&P 500 เมื่อธนาคารขนาดใหญ่อย่าง JPMorgan Chase ออกมาบอกว่า ธนาคารอาจปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรของไตรมาส 3/53 ขณะเดียวกัน ก็มองว่าทั้งอุตสาหกรรมน่าจะทำผลงานได้ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เนื่องจากการขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยและรายได้สุทธิในส่วนของ ดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หุ้น American Express กลับปรับตัวลงสวนตลาด โดยราคาหุ้นร่วงลง 2% ต่อเนื่องจากการดิ่งลงกว่า 6% เมื่อวันก่อน หลังจากที่บริษัทตัดสินใจยืนกรานที่จะต่อสู้ในคดีป้องกันการผูกขาด ขณะที่คู่แข่ง อย่าง Visa และ MasterCard ยอมที่จะไกล่เกลี่ยเพื่อปิดคดี ซึ่งทั้งคู่ได้ตกลงในหลักการว่าจะไม่ให้มีการห้ามร้านค้าเสนอให้ลูกค้าชำระ เงินด้วยวิธีอื่น - Dow Jones ปิดที่ 10,944.72 จุด (+1.80%) - S&P 500 ปิดที่ 1,160.75 จุด (+2.09%) - Nasdaq ปิดที่ 2,399.83 จุด (+2.36%)
  17. ดูเหมือน2วันนี้ฝรั่งจะถูกย่อยหลอกตบทรัพย์ 2 วันก่อนเจอหลอกซื้อดอย เมื่อวานเจอหลอกขายหมู (ต้องรอดูวันนี้ถ้าขึ้น) ย่อยเดียวนี้ฝีมือพัตนา ย่อยรุ่น upgrade ระวังฝรั่งยั่ว ทุบต่อ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว แบบนี้ไอยอมม่ายด้าย
  18. หุ้นไทยพลิกกลับมาบวก 5 จุด ที่ระดับ 969.28 จุด หลังนายกฯ ยันไม่ออกนโยบายกำหนดค่าเงินบาท รวมทั้ง ธปท.ไม่ออกมาตรการคุมเงินไหลเข้า วันนี้ (5 ต.ค.) ปิดตลาดหลักทรัพย์ไทย ดัชนีปรับตัวผันผวนจากความกังวลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า จะออกมาตรการคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย เพื่อป้องกันค่าเงินบาทแข็งค่า โดยระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีลดลงต่ำสุดที่ 952.99 จุด อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายตลาดดัชนีพลิกกลับมาเป็นบวก หลังจากผู้บริหาร ธปท.ออกมายอมรับว่า ธปท.อยู่ระหว่างศึกษาการออกมาตรการคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายของแต่ละประเทศ ซึ่งยังไม่มีการออกมาตรการในขณะนี้ ขณะที่นายกรัฐมนตรี ก็ออกมาระบุว่า ไม่มีนโยบายกำหนดเป้าหมายค่าเงินบาท และเจ้าหน้าที่กำลังศึกษาในเรื่องนี้ เพื่อป้องกันค่าเงินบาทผันผวน ส่งผลให้ดัชนีปิดตลาดในระดับสูงสุดที่ 969.28 จุด บวก 5.06 จุด หรือ 0.52% โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย PTT ปิดที่ 297.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง PTTEP ปิดที่ 160.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง ITD ปิดที่ 4.64 บาท ลดลง 0.02 บาทSCC ปิดที่ 325.00 บาท บวก 1.00 บาท PTTCH ปิดที่ 134.50 บาท บวก 2.50 บาท ด้าน นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ถือว่าผันผวนมาก โดยมีปัจจัยจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นใกล้ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จึงทำให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) จะมีมาตรการออกมา แต่หลังจาก ธปท.ระบุว่า กำลังศึกษามาตรการดูแลทุนไหลเข้าและรอผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่พิจารณา ทำให้ตลาดคลายกังวลนักลงทุนจึงกลับเข้ามาเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามค่าเงินบาท รวมถึงมาตรการผ่อนคลายของสหรัฐฯที่จะอัดฉีดเงินเข้าระบบ ซึ่งหากเดินหน้าได้ในเดือนหน้าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงไม่แรง เพราะมาตรการดังกล่าวจะทำให้เงินไหลเข้าเอเชียและหุ้นไทยต่อ ส่วนการประกาศงบของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มองว่า มีน้ำหนักต่อการลงทุนน้อย เพราะปัจจัยที่มีน้ำหนักคือค่าเงินและมาตรการสหรัฐฯมากกว่า ส่วนแนวโน้มวันพรุ่งนี้ คาดว่า การปรับตัวขึ้นแรงของดัชนีวันนี้ อาจทำให้มีการทำกำไรออกมา โดยมองแนวรับที่ 965-963 จุด ส่วนแนวต้าน 973 จุด สำหรับหุ้น 5 อันดับแรก ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่ PTT ปิดที่ 297.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 2,870 ล้านบาท PTTEP ปิดที่ 160.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 2,534 ล้านบาทITD ปิดที่ 4.64 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ -0.43% มูลค่าการซื้อขาย 1,549 ล้านบาท SCC ปิดที่ 325.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ +0.31% มูลค่าการซื้อขาย 1,206 ล้านบาท PTTCH ปิดที่ 134.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 1.89% มูลค่าการซื้อขาย 1,168 ล้านบาท ข้อสังเกตุส่วนตัว อย่าเชื่ออะไรที่ออกมาจากปากรัฐบาลชุดนี้มากนัก เค้ามีชื่อเสียงเรื่องกลับคำพูดไปมา นักละ ไม่ว่าจะเป็นทั่นนายก หรือ คุณกอน หวย LOXLEY เป็นตัวอย่างอันดี
  19. BOT:ธปท.เผยกำลังศึกษามาตรการดูแลทุนไหลเข้า-ค่าบาท,กังวลเล็กน้อยหลังบาทแข็ง กรุงเทพฯ--5 ต.ค.--รอยเตอร์ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เผย กำลังศึกษามาตรการดูแลเงินทุนไหลเข้า และการแข็งค่าของเงินบาท แต่ยังต้องรอให้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ เป็นผู้พิจารณา "ก็ดูอยู่...กำลังศึกษา เนื่องจากเป็นรอยต่อของผู้ว่าฯใหม่ คงต้องให้เวลา การออกมาตรการเป็นเรื่องสำคัญ ต้องศึกษาเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียหลายด้าน ว่ามีใครได้ ประโยชน์ เสียประโยชน์" นางสาววงศ์วธู โพธิรัชต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน และบริหารเงินสำรอง ธปท. กล่าวกับผู้สื่อข่าว เขา กล่าวด้วยว่า ธปท.มีความกังวลเล็กน้อย กับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นขณะนี้ ขณะที่ย้ำว่าหากคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก จะไม่กระทบต่อกระแสเงินทุนไหลเข้ามากนัก บาท/ดอลลาร์ล่าสุดอยู่ที่ 30.19/23 โดยตั้งแต่ต้นปีนี้บาทแข็งค่าขึ้นมาแล้ว กว่า 10% และมาอยู่ในระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี ขณะที่วานนี้เงินบาทและตลาดหุ้น ไทย อ่อนตัวลง หลังเกิดความกังวลว่า เงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าทดสอบระดับ 30 บาท /ดอลลาร์ จะทำให้ ธปท.ออกมาตรการดูแลเพิ่มเติมหรือไม่--จบ-- (โดย บุญทิวา วิชกูล รายงาน; สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--บร--) ((satawasin.staporncharnchai@thomsonreuters.com;โทร.0-2648-9717; ReutersMessaging:satawasin.staporncharnchai.thomsonreuters.com@reuters.net)) ตกลงเอาไงแน่ จะดีความว่าดีหรือไม่ดีกันละเนี่ย ไม่ชัดเลย
  20. ดูอายุด้วยนะครับ ว่าหมดเมื่อไร พวกนี้อายุสั้น dw เล่นแล้วน่ากลัวกว่าหุ้นปั่นอีกนะผมว่า ขึ้นชื่อว่าหุ้นยังถือยาวได้ dw เมื่อไรหมดอายุ ก็ไม่ต่างจากกระดาษเปล่า ไม่มีราคาครับ เอาใจช่วยให้ออกได้แบบไม่เจ็บตัวครับ
  21. SET วันนี้ถ้าลงน้อยๆ ก็น่าลองของแหย่ๆดู แต่อย่าเยอะนะครับ ลงมากๆรอ อย่าไปยุ่งดีกว่าครับ เอาแนวต้านแรก 960 ป็นหลักครับ
  22. บิ๊ก STPI ปัดมีปันผลพิเศษ แต่ยันมีจ่ายปันผลตามนโยบาย ระบุขอดูความจำเป็นในการ รักษาความแข็งแกร่งของบริษัทในอนาคตก่อน นายอนุทิน ชาญวีรกูล ประธานกรรมการ บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) (STPI) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ถึงกรณีกระแสข่าวว่า บริษัทเตรียมจะจ่ายปันผล พิเศษให้กับผู้ถือหุ้นประมาณ 4.10 บาทว่า ไม่ได้เป็นไปตามข่าวที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้บริหารระดับสูง ของบริษัทยังไม่มีการเสนอเรื่องดังกล่าวมาให้รับทราบแต่อย่างใด โดยบริษัทฯยังคงมีนโยบาย การจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ30 ของกำไรสุทธิ และพิจารณาประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นอันดับ ต้น แต่ทั้งนี้มีความจำเป็นที่ต้องพิจารณาผลประโยชน์ของทุกฝ่าย รวมถึงรักษาความแข็ง แกร่งของบริษัทฯ เพื่อรองรับการดำเนินงานในอนาคตต่อไปด้วย 'ไม่เป็นไปตามข่าว ยังไม่มีนโยบายจ่ายปันผลอะไรพิเศษ เรามีนโยบายจ่ายปันผลอยู่ แล้ว แต่เท่าไหร่ เมื่อไหร่ ต้องดูอีกที ยังไม่ได้กำหนด ผู้บริหารยังไม่ได้เสนออะไรขึ้นมา เราต้องดู ประโยชน์ของทุกฝ่าย ของผู้ถือหุ้นก็มาเป็นอันดับต้นๆ แต่ก็ต้องดูว่าบริษัทฯของเราจะสามารถรอง รับงานในอนาคตได้รึเปล่าด้วย' นายอนุทิน กล่าว อนึ่ง มีกระแสข่าวจากวงการรับเหมาก่อสร้างว่า STPI ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จากการที่ได้ลงทุนภายใต้โครงการคณะกรรมการส่งเสริมการลงุทน หรือ BOI จำนวน 1.4 พัน ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวจะต้องจ่ายออกมาในรูปของเงินปันผลภายในปีนี้ ไม่เช่นนั้นเม็ดเงิน ดังกล่าวจะต้องถูกนำไปเสียภาษีทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหุ้นประโยชน์ อย่างไรก็ตาม นโยบายปันผลของบริษัท ระบุว่าจะจ่ายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของกำไร สุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังจากหักเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และเงินทุนสำรองอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวจะต้องขึ้นอยู่กับกระแสเงินสดของบริษัทฯ ด้วย (โดยมี เงื่อนไขเพิ่มเติม) รายงาน โดย ดลนภา บัญชรหัตถกิจ เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์ อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com บิ๊ก STPI ยอมรับปีนี้กำไรไม่เท่าปีก่อน เหตุเป็นไปตามวัฎจักรของงาน-ธุรกิจเฉพาะ แต่มั่น ใจปีหน้ากำไรพุ่งพรวด หลังเดินเครื่อง พลูโต 2 นายอนุทิน ชาญวีรกูล ประธานกรรมการ บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) (STPI) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ยอมรับว่า ผลการดำเนินงานโดยรวมในด้านของกำไร ในปีนี้อาจไม่เติบโตร้อนแรงเท่ากับปีก่อน ที่มีกำไรกว่า 2 พันล้านบาท เนื่องจากเป็นไปตามวัฎ จักรของธุรกิจ ที่มีเป็นลักษณะธุรกิจเฉพาะ และไม่ใช่งานที่มีความต่อเนื่องมากนัก ซึ่งหากมีงาน ขนาดใหญ่เกิดขึ้นก็จะส่งผลให้ผลงานในปีถัดมาดีขึ้นได้เช่นเดียวกัน โดยปัจจุบัน บริษัทฯมีงานใน มือแล้วกว่า 3-4 พันล้านบาท ดังนั้นแนวโน้มของผลกำไรในปี 2554 มีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตอย่างโดดเด่น ภายหลังจากที่บริษัทฯได้ลงนามสัญญาประมูลงานโครงการพลูโต 2 ซึ่งเป็นงานก่อสร้างโครง เหล็กส่งไปยังต่างประเทศ รวมถึงยังมีงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านการติดตั้งอุปกรณ์เครื่อง จักรอีกด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมงาน เพื่อเดินหน้าการผลิตในปี 2554 ตามแผน 'กำไรปีนี้อาจไม่ได้ดีเท่าปีก่อน ปีนี้เรารองานใหญ่ที่เราได้ แต่จะเริ่มปีหน้า ใน โครงการพลูโต 2 แต่ต้องเข้าใจว่างานของเราไม่ใช่งานที่ต่อเนื่อง แต่มาทีก็จะมาก้อนใหญ่ๆ เป็นแบบการมองกำไรล่วงหน้ามากกว่า เพราะธรรมชาติของงานเราไม่ได้เอื้อให้มีงานทุกวัน ปีนี้ เป็นปีที่เราจะต้องปิดบัญชีงานเก่า และเตรียมตัวงานใหม่ เพราะงั้นกำไรคงไม่มีทางเท่ากับปี ก่อน แต่จบทั้งปีเราก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด' รายงาน โดย ดลนภา บัญชรหัตถกิจ เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์ อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com
  23. ข่าวหุ้น online วันอังคารที่ 05 ตุลาคม 2010 STPI เตรียมจ่ายปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้น 4.10 บาท หลังกำไรจากบีโอไอ มูลค่า1.4 พันล้านบาทใกล้ครบอายุ งานนี้ถูกบีบต้องจ่ายงวดปี 53 ปรับราคาเพิ่มขั้นต่ำ 62 บาท ส่วนผลตอบแทนจากเงินปันผล 15%สูงสุดของตลาดหุ้น แหล่งข่าวจากวงการรับเหมาก่อสร้าง เปิดเผยว่า บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI ได้รับประโยชน์สิทธิพิเศษทางภาษีจากการที่บริษัทได้ลงทุน ภายใต้โครงการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จำนวน 1.4 พันล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวจะต้องจ่ายออกมาในรูปของเงินปันผล ไม่เช่นนั้นเม็ดเงินดังกล่าวจะต้องถูกนำไปเสียภาษีทั้งหมด “ทาง STPI มีกำไรจากBOI จำนวน 1.4 พันล้านบาท ซึ่งต้องจ่ายคืนออกมาในรูปของเงินปันผล ถ้าหากไม่ตีออกมาในรูปของเงินปันผล ก็จะถูกนำไปจ่ายเป็นภาษีแทน ซึ่งทำให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับประโยชน์ ส่วนการจ่ายปันผลครั้งนี้จะให้กับผู้ถือหุ้นภายในปี 2553 หรือคิดเป็นมูลค่า 4.10 บาทต่อหุ้นเป็นอย่างน้อย” แหล่งข่าวกล่าว นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS ประเมินว่า กำไรในส่วนที่ได้รับเว้น BOI ของ STPI นั้นเป็นจริง เพราะหากดูข้อมูลย้อนหลัง จะเห็นว่าเป็นกำไรที่เกิดจากการได้รับงาน Steel Frap (คือทำโครงเหล็กส่งไปยังโรงงานต่างประเทศตามคำสั่งลูกค้า) มูลค่าราว 2 หมื่นล้านบาทจากโครงการ Pluto LNG เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยกำไรจากโครงการนี้ราว 4 พันล้านบาท มีการแบ่งจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 2-3 งวด ซึ่งคาดว่าจะเหลืออีกราว 1,400-1,500 ล้านบาท ที่จะหมดอายุในราวไตรมาสแรกของปี 2554 และมูลค่าอีก 1 พันล้านบาท ที่จะหมดอายุราวไตรมาส 2/2554 “STPI น่าจะมีการจ่ายปันผลในก้อนแรกนี้ให้ทันงวดปี 2553 เพราะหากเลยระยะเวลาไปแล้วกำไรดังกล่าวจะถูกตีกลับเป็นภาษี หากคำนวณแล้วจะจ่ายปันผลเฉียด 5 บาท หรือคิดเป็น yield ประมาณ 13-15% ซึ่งถือว่าสูงสุดในตลาด” นายรณกฤต กล่าว อย่างไรก็ตาม กำไรจากสิทธิประโยชน์จากBOI ของ STPI ยังไม่นับรวมกำไรจากกิจการตามปกติ โดยคาดว่าในปีนี้จะมีกำไรสุทธิราว 2.1 พันล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการช่วงครึ่งแรกของปี 2553 จำนวน 1,879 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไร 5.77 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ ประเด็นการย้ายเข้ากลุ่มรับเหมาก่อสร้างนั้น ถือเป็นสิ่งที่ดี และแสดงให้เห็นว่าบริษัทเตรียมรับงานก่อสร้างเต็มตัว โดยเฉพาะงาน Pluto ก้อนใหม่ มีมูลค่าใกล้เคียงกัน ราว 1.5-2 หมื่นล้านบาท น่าจะเซ็นสัญญาเร็วๆ นี้ จากปัจจุบันที่มีงานในมือแล้ว 4 พันล้านบาท เป็นงานก่อสร้างโครงเหล็กส่งไปยังต่างประเทศ ซึ่งหากมองอย่างนี้เท่ากับ STPI จะมีรายได้ไม่น้อยกว่าปีละ 2 พันล้านบาทไปถึงปี 2555 การประเมินพื้นฐานของ STPI ในปี 2553 นี้ คาดว่าจะมีกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 6.20 บาท โดยประมาณ และยังให้ค่า P/E ในกลุ่มอสังหาฯ (ที่อยู่ในปัจจุบัน) เฉลี่ยที่ 8 เท่า จะได้มูลค่าพื้นฐาน 49 บาท แต่หากย้ายไปกลุ่มรับเหมาก่อสร้างในปี 2554 จะใช้ค่า P/E ที่สูงขึ้นราว 10-15 เท่า และขึ้นกับแนวโน้มผลการดำเนินงาน โดยเป้าหมายของราคาหุ้นน่าจะอยู่อย่างต่ำ 62 บาท นอกจากนี้การแจ้งย้ายเข้าไปยังกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เป็นการส่งสัญญาณต่อยอดธุรกิจก่อสร้างอย่างจริงจัง และยกระดับ PE ในการคำนวณมูลค่าหุ้นให้สูงขึ้น นอกจากนี้ราคาหุ้นที่ไหลลงมาจาก 47 บาท กลุ่มผู้ถือหุ้นมีการขายออกมากแล้ว และกำลังจะซื้อคืนเพื่อหวังรับเงินปันผลก้อนโต ใช้วิจารณญาณด้วยนะครับ จนกว่าจะออกจากปากผู้บริหารเอง ก็ยังเชื่อไม่ได้ 100% หุ้น STPI เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อวานขึ้น 2 บาท วันนี้เปิดบวกอีก 2 บาท
×
×
  • สร้างใหม่...