![](https://www.thaigold.info/Board/uploads/set_resources_1/84c1e40ea0e759e3f1505eb1788ddf3c_pattern.png)
Chantima
ขาใหญ่-
จำนวนเนื้อหา
128 -
เข้าร่วม
-
เข้ามาล่าสุด
คะแนนนิยม
0 ปานกลางเกี่ยวกับ Chantima
![](https://www.thaigold.info/Board/uploads/monthly_2017_12/cow1.png.e607861981b1282a72260c303a856656.png)
-
คะแนนนิยม
ขาใหญ่
Profile Information
-
เพศ
หญิง
-
ที่อยู่
กรุงเทพมหานคร
-
ภาพลักษณ์ภายนอกเป็นอะไรที่สาวๆ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องเส้นผม การมีผมที่สวย นุ่ม ไม่แห้งเสียชี้ฟู เป็นอะไรที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับสาวๆ ได้เยอะมาก ดูมีเสน่ห์และน่ามอง ดังนั้นหากมีปัญหาผมแห้งเสียอาจทำให้ขาดความมั่นใจได้ ซึ่งปัญหาผมแห้งเสียเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการขาดความชุ่มชื้น การได้รับการบำรุงไม่เพียงพอหรือไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ ทำให้ผมไม่มีน้ำหนัก ชี้ฟู เปราะ และขาดง่าย บางครั้งอาจจะเกิดจากการดูแลเส้นผมไม่ถูกวิธี สภาพอากาศ อายุ และโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคไทรอยด์,โรคภูมิแพ้,โรคผิวหนังบนหนังศีรษะ,โรคลูปัส และโรคโลหิตจาง เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะมันก็มีหลายวิธีด้วยกันที่จะช่วยให้เรามีผมที่สวยไม่แห้งเสีย แตกปลายได้ อย่างเช่น การใช้ครีมนวดผมแห้งเสีย เป็นต้น ที่ทำได้ง่ายและเห็นผลลัพธ์เร็ว โดยการเลือกครีมนวดผมสำหรับผมแห้งเสียที่ดีควรเลือกดังนี้ การเลือกครีมนวดผมที่เหมาะสมสำหรับผมเสียจำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัย เพื่อช่วยฟื้นฟูและบำรุงเส้นผมให้กลับมามีสุขภาพดี แนะนำควรเลือกให้เหมาะสมดังนี้ 1.ตรวจสอบปัญหาเส้นผมของคุณ ก่อนอื่นคุณควรระบุปัญหาของเส้นผมว่ามีลักษณะอย่างไร เช่น แห้งและเสียจากการทำสี, แห้งเสียจากการใช้ความร้อน, หรือเสียจากการขาดการดูแลเบื้องต้น 2.เลือกส่วนผสมที่เหมาะสม ควรเลือกครีมนวดผมที่มีส่วนผสมสำคัญ ๆ ดังนี้ · โปรตีน (เช่น เคราตินหรือโปรตีนจากพืช) ช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างโครงสร้างเส้นผม · น้ำมันธรรมชาติ (เช่น น้ำมันอาร์แกน, น้ำมันมะกอก) ให้ความชุ่มชื้นและล็อกเส้นผมให้มีน้ำหนัก · วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามิน E และ B5 ซึ่งช่วยให้ผมมีสุขภาพดี 3. หลีกเลี่ยงสารเคมีที่รุนแรง ควรหลีกเลี่ยงครีมนวดผมที่มีสารเคมีรุนแรง เช่น ซัลเฟต และแอลกอฮอล์ที่สูง เพราะมันทำให้เส้นผมเสียหายมากขึ้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นออร์แกนิค อย่างผลิตภัณฑ์ของ พิพเพอร์ สแตนดาร์ด ที่จัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนมากๆ เน้นสารสกัดที่ได้จากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ จึงมั่นใจว่า อ่อนโยน และปลอดภัยแน่นอน 4. เลือกผลิตภัณฑ์เฉพาะกิจ หากผมของคุณแห้งและเสียมาก อาจต้องการครีมนวดผมที่มีคุณสมบัติเข้มข้นขึ้นเพื่อการบำรุงที่ลึกกว่า 5. ทดสอบผลิตภัณฑ์ ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างสม่ำเสมอ ควรทดลองใช้เล็กน้อยบนผมหรือผิวหนังบริเวณที่ซ่อนเร้น เพื่อตรวจสอบว่ามีการแพ้หรือไม่ นอกจากการเลือกใช้ครีมนวดผมแห้งเสียแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือต้องดูแลเส้นผมให้ถูกวิธี โดยเริ่มจากห้ามสระผมบ่อย ไม่ใช้แชมพู ครีมนวดผม และผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีส่วนประกอบของสารเคมีฤทธิ์รุนแรง ห้ามใช้ความร้อนในการเป่าผม พยายามอย่าใช้เครื่องหนีบผม และเครื่องม้วนผมไฟฟ้าบ่อย รวมทั้งการทำสี การยืด หรือการดัดผมที่ใช้สารเคมีด้วย เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำลายเส้นผมและทำให้เส้นผมแห้งเสียได้ค่ะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.pipperstandard.com/category/shampoo-and-conditioner
-
ปัญหาผมร่วง ผมบาง อีกหนึ่งปัญหากวนใจที่สาวๆ กังวล เพราะอาจทำให้ไม่มั่นใจในการเข้าสังคมจนเกิดเป็นผลกระทบทางจิตใจเลยทีเดียว โดยปกติผมจะร่วงประมาณวันละ 50-100 เส้นถือว่าปกติ แต่หากมากเกินกว่านั้นจะเริ่มน่ากังวล ก่อนที่จะสายเกินแก้! มาดูสาเหตุและวิธีป้องกัน รักษาอาการผมร่วงกัน ผมร่วงเกิดจากอะไร ปัญหาผมร่วงเกิดขึ้นได้จากปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน การใช้ยา วิตามินบางชนิดมากเกินปริมาณที่เหมาะสม หรืออาจเกิดได้จากพันธุกรรม ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ การแพ้แชมพูสระผม การมีเชื้อราบนหนังศีรษะ การขาดสารอาหารอย่างธาตุเหล็ก โปรตีน หรือแม้แต่ความเครียดเอง ก็เป็นสาเหตุได้เช่นกัน เคล็ดไม่ลับ ป้องกันผมร่วง มีหลากหลายวิธี ที่ช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าว ทั้งการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงเส้นผม อย่าง โปรตีน ไบโอติน ธาตุเหล็ก ผักใบเขียว ธัญพืช ผลไม้ที่มีวิตามินซี เป็นต้น ไม่มัดผมแน่นเกินไป ไม่สระผมด้วยน้ำร้อนจัด ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เพราะความเครียดอาจส่งผลต่อสุขภาพผมได้ หากมีการร่วงของผมมากเกินไปจนผิดปกติควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชียวชาญ การเลือกใช้แชมพูเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะการเลือกแชมพูลดผมร่วง ที่มีส่วนผสมจาก Sunflower Oil อ่อนโยนต่อเส้นผม เหมาะกับทุกคน แม้แต่ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายก็สามารถใช้ได้ ควรเลือกแชมพูที่ผ่านการตรวจสอบรับรองจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ เหมาะกับสภาพเส้นผมของคุณ อีกหนึ่งแชมพูที่อยากแนะนำคือ แชมพูพิพเพอร์ สแตนดาร์ด แชมพูลดผมร่วงจากธรรมชาติ ที่อ่อนโยนสำหรับทุกสภาพเส้นผม เพื่อผมสุขภาพดีตั้งแต่การใช้ครั้งแรก วิธีการใช้แชมพูสระผมลดผมร่วง ก่อนสระผมให้หวีผมก่อนเพื่อไม่ให้ผมพันกัน ล้างผมด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ เทแชมพูลดผมร่วงรังแค ลงบนฝ่ามือในปริมาณที่เหมาะสม ชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะขณะที่เปียก ไล่จากโคนเส้นผมจนถึงปลายผม เพื่อขจัดสิ่งสกปรก จากนั้นนวดเบาๆ จนเกิดฟอง ล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนู จุดเด่นของ PiPPER Standard Natural Shampoo มีส่วนผสมสำคัญจากธรรมชาติที่ช่วยทำความสะอาดและบำรุงสุขภาพผม ทั้ง Bromelain เอนไซม์จากธรรมชาติที่ช่วยให้หนังศีรษะลดความมันและลดการอักเสบ Sunflower Seed Oil หรือ น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันที่มีวิตามินอีช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรงและชุ่มชื้น หากใช้แชมพูลดปัญหาผมร่วงควบคู่กับครีมนวดผมสูตรธรรมชาติ PiPPER Standard Natural Conditioner (Refreshing Scent) จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการบำรุงเส้นผม อีกทั้งยังปราศจากสารอันตรายอย่างพาราเบน แอลกอฮอล์ และซิลิโคน รับประกันว่าเตรียมบอกลาปัญหาผมร่วงผมบางได้เลย
-
ว่าด้วยบารมีขององค์หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ (พระสุนทรธรรมากร) พระสายวิปัสสนากรรมฐาน ผู้เป็นเกจิชื่อดังแห่งเมืองนครพนม ผู้มีปฏิปทาอันน่าศรัทธาเลื่อมใส มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วทั้งไทยลาว จนได้สมญานามว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำโขง” ท่านมีความผูกพันกับพญานาคมาตั้งแต่อดีตชาติ และได้เกิดนิมิตเห็นพญานาคสองตน ตนหนึ่งคือพญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็นกษัตริย์พญานาคฝั่งไทย อีกตนหนึ่งคือพญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) เป็นกษัตริย์พญานาคฝั่งลาว ได้ขึ้นมาฟังธรรม ณ รอยพระพุทธบาทเวินปลา ซึ่งเป็นวัดที่มีรอยพระพุทธบาท ประทับไว้บนก้อนหิน กลางลำน้ำโขง จะปรากฏในช่วงหน้าแล้ง ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ จึงได้มีดำริให้นายช่างออกแบบและจัดสร้างพญานาคเกี้ยว ที่มีรูปลักษณ์ของพญาศรีสุทโธนาคราช พันเกลียวเกี่ยวรัดกับ พญาศรีสัตตนาคราช เพื่อเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ ระหว่าง ไทย ลาว สื่อถึงความรัก ความเมตตา ที่แผ่ให้แก่ผู้ศรัทธาเสื่อมใส กษัตริย์แห่งพญานาคทั้งสอง ชอบมาจำศีล บำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม คอยดูแลปกปักษ์รักษาผู้คนในแถบลุ่มน้ำโขงและดูแลองค์พระธาตุ ก่อนหลวงปู่จะละสังขารในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ พระเทพมงคลเมธี วัดมหาธาตุ จังหวัดนครพนม ได้จัดสร้างพญานาคเกี้ยวขี้นอีกครั้ง เป็นรุ่นที่ 2 โดยได้ทำการขออนุญาตจากหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ ไว้ก่อนที่ท่านจะละสังขาร และได้ใช้พิมพ์เดิมกับการจัดสร้างครั้งแรก โดยจัดสร้างขึ้น 2 ขนาด เป็นพิมพ์นิยมและพิมพ์เล็ก เพื่อระลึกถึงบูรพาจารย์ และบูรณะพระอุโบสถวัดมหาธาตุ จังหวัดนครพนม “พญานาคเกี้ยว...ตัวแทนแห่งความรัก สัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรือง” ลุ้นรับ พญานาคเกี้ยว รุ่น 2 พิมพ์เล็ก ของรางวัล จากกิจกรรม “มูแลนด์แดนอีสาน” ติดตามรายละเอียด : https://bit.ly/3LCS4SN #มูแลนด์แดนอีสาน #พญานาคเกี้ยว #หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ #พญานาคา #หลงรักแผ่นดินถิ่นอีสาน #เที่ยวอีสาน #ททท #AmazingThailand #TAT #อุดรธานี #หนองคาย #บึงกาฬ #นครพนม #มุกดาหาร
-
เด็กสมาธิสั้น คือภาวะทางสมองที่มีลักษณะไม่สามารถรักษาสมาธิได้นาน มีพฤติกรรมซุกซนผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน อยู่ไม่นิ่ง อาการเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนอายุ 7 ขวบ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม ซึ่งวิธีเช็คอาการเด็กว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่สามารถทำได้ดังนี้ วิธีเช็คอาการเด็กว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ · การสังเกตพฤติกรรมที่บ้านและโรงเรียน: ผู้ปกครองและครูควรจดบันทึกพฤติกรรมของเด็กที่สังเกตได้ โดยเฉพาะอาการที่แสดงถึงการขาดสมาธิ, การกระทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง และความซุกซนที่มากเกินไป · การตรวจสอบประวัติทางการแพทย์และพัฒนาการ: ประวัติของเด็กที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตและพัฒนาการสามารถให้ข้อมูลสำคัญในการประเมิน · การใช้แบบประเมิน: มีแบบประเมินมาตรฐานหลายอย่างที่ใช้ในการประเมินอาการของ ADHD โดยแบบประเมินเหล่านี้จะถามถึงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมาธิ, ความซุกซน, และความกระตือรือร้น · การประเมินจากแพทย์หรือจิตแพทย์: แพทย์หรือจิตแพทย์สามารถใช้ข้อมูลจากการสังเกตและแบบประเมินเพื่อวินิจฉัย รวมถึงอาจแนะนำการทำการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อแยกแยะภาวะอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกัน · การพิจารณาอาการตามเกณฑ์การวินิจฉัย: การวินิจฉัย ADHD จำเป็นต้องพิจารณาว่าอาการเหล่านี้มีผลกระทบต่อการศึกษา, การทำงาน, หรือการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวันของเด็กหรือไม่ และต้องมีการแสดงอาการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน การรักษาอาการเด็กสมาธิสั้น 1. การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้รักษา ADHD มีหลายประเภท โดยส่วนใหญ่เป็นยากระตุ้นสมอง เช่น เมทิลฟีนิเดต และแอมเฟตามีน ยาเหล่านี้ช่วยเพิ่มระดับสารเคมีในสมองที่มีบทบาทต่อการควบคุมความสนใจและการกระตุ้น นอกจากนี้ยังมียาประเภทไม่กระตุ้น เช่น อะโทมอกเซทีน ซึ่งเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองหรือมีผลข้างเคียงจากยากระตุ้น 2. การปรับพฤติกรรมและการบำบัด การบำบัดพฤติกรรมเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคเด็กสมาธิสั้น ที่ไม่ใช่ยา รวมถึงการบำบัดพฤติกรรมโดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้ทักษะในการจัดการกับอารมณ์และการกระทำของตนเอง 3. การสนับสนุนทางการศึกษา โรงเรียนและครูมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น โดยการปรับสภาพแวดล้อมทางการเรียนและวิธีการสอน เช่น การให้เวลาเพิ่มในการทำข้อสอบ การมีที่นั่งที่ช่วยให้สามารถโฟกัสได้ดีขึ้น และการใช้เครื่องมือช่วยเหลือทางการเรียน 4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว ด้วยการสร้างกฎที่เข้าใจง่ายและสอดคล้องกันในบ้าน เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจขอบเขตและความคาดหวังที่ชัดเจน และควรมีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กต้องมีส่วนร่วมและจดจ่อ เช่น กิจกรรมที่มีการโต้ตอบหรือใช้เวลาน้อยในการทำสำเร็จ เป็นต้นค่ะ หากผู้ปกครองเกิดความสงสัยว่าเด็กมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการทันที ปัจจุบันมีหลายโรงพยาบาลมากที่มีแผนกสำหรับรักษาเด็กสมาธิสั้น โดยเฉพาะอย่างเช่น รพ.นนทเวช เป็นต้น ทั้งนี้ในการรักษาเด็กสมาธิสั้นแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน และต้องมีการปรับเปลี่ยนตามความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละคน การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการรักษาโรคนี้ต้องใช้เวลา และอาศัยความร่วมมือทั้งจากตัวเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครอง และคุณครูผู้สอน ซึ่งต้องใช้หลายศาสตร์ร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อตัวเด็กเองค่ะ
-
เด็กสมาธิสั้น คือภาวะทางสมองที่มีลักษณะไม่สามารถรักษาสมาธิได้นาน มีพฤติกรรมซุกซนผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน อยู่ไม่นิ่ง อาการเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนอายุ 7 ขวบ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม ซึ่งวิธีเช็คอาการเด็กว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่สามารถทำได้ดังนี้ วิธีเช็คอาการเด็กว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ · การสังเกตพฤติกรรมที่บ้านและโรงเรียน: ผู้ปกครองและครูควรจดบันทึกพฤติกรรมของเด็กที่สังเกตได้ โดยเฉพาะอาการที่แสดงถึงการขาดสมาธิ, การกระทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง และความซุกซนที่มากเกินไป · การตรวจสอบประวัติทางการแพทย์และพัฒนาการ: ประวัติของเด็กที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตและพัฒนาการสามารถให้ข้อมูลสำคัญในการประเมิน · การใช้แบบประเมิน: มีแบบประเมินมาตรฐานหลายอย่างที่ใช้ในการประเมินอาการของ ADHD โดยแบบประเมินเหล่านี้จะถามถึงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมาธิ, ความซุกซน, และความกระตือรือร้น · การประเมินจากแพทย์หรือจิตแพทย์: แพทย์หรือจิตแพทย์สามารถใช้ข้อมูลจากการสังเกตและแบบประเมินเพื่อวินิจฉัย รวมถึงอาจแนะนำการทำการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อแยกแยะภาวะอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกัน · การพิจารณาอาการตามเกณฑ์การวินิจฉัย: การวินิจฉัย ADHD จำเป็นต้องพิจารณาว่าอาการเหล่านี้มีผลกระทบต่อการศึกษา, การทำงาน, หรือการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวันของเด็กหรือไม่ และต้องมีการแสดงอาการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน การรักษาอาการเด็กสมาธิสั้น 1. การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้รักษา ADHD มีหลายประเภท โดยส่วนใหญ่เป็นยากระตุ้นสมอง เช่น เมทิลฟีนิเดต และแอมเฟตามีน ยาเหล่านี้ช่วยเพิ่มระดับสารเคมีในสมองที่มีบทบาทต่อการควบคุมความสนใจและการกระตุ้น นอกจากนี้ยังมียาประเภทไม่กระตุ้น เช่น อะโทมอกเซทีน ซึ่งเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองหรือมีผลข้างเคียงจากยากระตุ้น 2. การปรับพฤติกรรมและการบำบัด การบำบัดพฤติกรรมเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคเด็กสมาธิสั้น ที่ไม่ใช่ยา รวมถึงการบำบัดพฤติกรรมโดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้ทักษะในการจัดการกับอารมณ์และการกระทำของตนเอง 3. การสนับสนุนทางการศึกษา โรงเรียนและครูมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น โดยการปรับสภาพแวดล้อมทางการเรียนและวิธีการสอน เช่น การให้เวลาเพิ่มในการทำข้อสอบ การมีที่นั่งที่ช่วยให้สามารถโฟกัสได้ดีขึ้น และการใช้เครื่องมือช่วยเหลือทางการเรียน 4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว ด้วยการสร้างกฎที่เข้าใจง่ายและสอดคล้องกันในบ้าน เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจขอบเขตและความคาดหวังที่ชัดเจน และควรมีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กต้องมีส่วนร่วมและจดจ่อ เช่น กิจกรรมที่มีการโต้ตอบหรือใช้เวลาน้อยในการทำสำเร็จ เป็นต้นค่ะ หากผู้ปกครองเกิดความสงสัยว่าเด็กมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการทันที ปัจจุบันมีหลายโรงพยาบาลมากที่มีแผนกสำหรับรักษาเด็กสมาธิสั้น โดยเฉพาะอย่างเช่น รพ.นนทเวช เป็นต้น ทั้งนี้ในการรักษาเด็กสมาธิสั้นแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน และต้องมีการปรับเปลี่ยนตามความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละคน การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการรักษาโรคนี้ต้องใช้เวลา และอาศัยความร่วมมือทั้งจากตัวเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครอง และคุณครูผู้สอน ซึ่งต้องใช้หลายศาสตร์ร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อตัวเด็กเองค่ะ
-
เด็กสมาธิสั้น คือภาวะทางสมองที่มีลักษณะไม่สามารถรักษาสมาธิได้นาน มีพฤติกรรมซุกซนผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน อยู่ไม่นิ่ง อาการเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนอายุ 7 ขวบ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม ซึ่งวิธีเช็คอาการเด็กว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่สามารถทำได้ดังนี้ วิธีเช็คอาการเด็กว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ · การสังเกตพฤติกรรมที่บ้านและโรงเรียน: ผู้ปกครองและครูควรจดบันทึกพฤติกรรมของเด็กที่สังเกตได้ โดยเฉพาะอาการที่แสดงถึงการขาดสมาธิ, การกระทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง และความซุกซนที่มากเกินไป · การตรวจสอบประวัติทางการแพทย์และพัฒนาการ: ประวัติของเด็กที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตและพัฒนาการสามารถให้ข้อมูลสำคัญในการประเมิน · การใช้แบบประเมิน: มีแบบประเมินมาตรฐานหลายอย่างที่ใช้ในการประเมินอาการของ ADHD โดยแบบประเมินเหล่านี้จะถามถึงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมาธิ, ความซุกซน, และความกระตือรือร้น · การประเมินจากแพทย์หรือจิตแพทย์: แพทย์หรือจิตแพทย์สามารถใช้ข้อมูลจากการสังเกตและแบบประเมินเพื่อวินิจฉัย รวมถึงอาจแนะนำการทำการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อแยกแยะภาวะอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกัน · การพิจารณาอาการตามเกณฑ์การวินิจฉัย: การวินิจฉัย ADHD จำเป็นต้องพิจารณาว่าอาการเหล่านี้มีผลกระทบต่อการศึกษา, การทำงาน, หรือการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวันของเด็กหรือไม่ และต้องมีการแสดงอาการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน การรักษาอาการเด็กสมาธิสั้น 1. การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้รักษา ADHD มีหลายประเภท โดยส่วนใหญ่เป็นยากระตุ้นสมอง เช่น เมทิลฟีนิเดต และแอมเฟตามีน ยาเหล่านี้ช่วยเพิ่มระดับสารเคมีในสมองที่มีบทบาทต่อการควบคุมความสนใจและการกระตุ้น นอกจากนี้ยังมียาประเภทไม่กระตุ้น เช่น อะโทมอกเซทีน ซึ่งเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองหรือมีผลข้างเคียงจากยากระตุ้น 2. การปรับพฤติกรรมและการบำบัด การบำบัดพฤติกรรมเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคเด็กสมาธิสั้น ที่ไม่ใช่ยา รวมถึงการบำบัดพฤติกรรมโดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้ทักษะในการจัดการกับอารมณ์และการกระทำของตนเอง 3. การสนับสนุนทางการศึกษา โรงเรียนและครูมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น โดยการปรับสภาพแวดล้อมทางการเรียนและวิธีการสอน เช่น การให้เวลาเพิ่มในการทำข้อสอบ การมีที่นั่งที่ช่วยให้สามารถโฟกัสได้ดีขึ้น และการใช้เครื่องมือช่วยเหลือทางการเรียน 4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว ด้วยการสร้างกฎที่เข้าใจง่ายและสอดคล้องกันในบ้าน เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจขอบเขตและความคาดหวังที่ชัดเจน และควรมีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กต้องมีส่วนร่วมและจดจ่อ เช่น กิจกรรมที่มีการโต้ตอบหรือใช้เวลาน้อยในการทำสำเร็จ เป็นต้นค่ะ หากผู้ปกครองเกิดความสงสัยว่าเด็กมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการทันที ปัจจุบันมีหลายโรงพยาบาลมากที่มีแผนกสำหรับรักษาเด็กสมาธิสั้น โดยเฉพาะอย่างเช่น รพ.นนทเวช เป็นต้น ทั้งนี้ในการรักษาเด็กสมาธิสั้นแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน และต้องมีการปรับเปลี่ยนตามความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละคน การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการรักษาโรคนี้ต้องใช้เวลา และอาศัยความร่วมมือทั้งจากตัวเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครอง และคุณครูผู้สอน ซึ่งต้องใช้หลายศาสตร์ร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อตัวเด็กเองค่ะ
-
จังหวัดฉะเชิงเทรา พื้นที่ภาคตะวันออก เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย เป็นทำเลที่น่าจับตามอง มีนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์เข้ามาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น โครงการบ้าน ฉะเชิงเทรา ของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ , ddproperty และโครงการอื่นๆ อีกมากมาย เนื่องจากจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นจังหวัดที่มีที่ตั้งใกล้กับกรุงเทพฯ ทำให้เดินทางได้สะดวก ประกอบกับการมีระบบขนส่งสาธารณะที่ดี อีกทั้งยังมีสนามบิน ทางด่วน และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย จึงไม่แปลกที่ใครหลายๆ คนอยากที่จะมาอยู่อาศัยที่จังหวัดฉะเชิงเทราแห่งนี้กัน แหละหากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความสนใจจะซื้อบ้านที่ต่างจังหวัดแต่ยังอยากได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางอยู่ละก็ อย่าลืมเก็บเอาจังหวัดฉะเชิงเทราไว้พิจารณาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกด้วยนะคะ ซึ่งการจะซื้อบ้านสักหลังนั้นจำเป็นอย่างมากที่เราจะต้องรู้ถึงรายละเอียดในเรื่องต่างๆ ให้ได้มากที่สุดก่อนซื้อ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้อยู่อาศัยเองค่ะ ซึ่งสิ่งที่ควรนำมาพิจารณาเบื้องต้นเลยมีดังนี้ · พิจารณาจากความต้องการและงบประมาณที่มี ก่อนอื่นคุณควรตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับประเภทของบ้านที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮาส์, หรือคอนโด และกำหนดงบประมาณที่คุณสามารถจ่ายได้ คำนึงถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ภาษี, ค่าธรรมเนียมการโอน, และค่าบำรุงรักษา · สำรวจพื้นที่และทำเลที่ตั้ง เลือกพื้นที่ที่ต้องการจะอยู่อาศัยโดยคำนึงถึงการเข้าถึงสถานที่สำคัญ เช่น โรงเรียนโรงพยาบาล, แหล่งช้อปปิ้ง, และแหล่งงาน พิจารณาสภาพแวดล้อมรอบข้าง เช่น ระดับความปลอดภัยและระบบคมนาคม · เยี่ยมชมและตรวจสอบบ้านหลายๆ แห่ง ควรเยี่ยมชมบ้านหลายแห่งเพื่อเปรียบเทียบสภาพและราคา ตรวจสอบสภาพของบ้านให้ละเอียด รวมถึงระบบไฟฟ้า, ประปา, และโครงสร้างพื้นฐานของบ้าน · ตรวจสอบเอกสารที่ดินและสิทธิการเป็นเจ้าของ ตรวจสอบเอกสารที่ดินว่ามีการจดทะเบียนถูกต้องและไม่มีข้อพิพาทใดๆ ควรใช้บริการทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบเอกสารและทำความเข้าใจเงื่อนไขการซื้อขาย · เจรจาและตกลงราคา หลังจากเลือกบ้านที่ต้องการแล้ว คุณควรเจรจาราคากับผู้ขาย พยายามต่อรองเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุดตามงบประมาณและคุ้มค่ากับสภาพบ้าน · ขั้นตอนการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ หลังจากตกลงราคาและเงื่อนไขได้แล้ว คุณควรทำการซื้อขายที่สำนักงานที่ดินเพื่อโอนกรรมสิทธิ์และจดทะเบียนอย่างถูกต้อง · ตรวจรับบ้านและการย้ายเข้าอยู่ ก่อนย้ายเข้าอยู่ ควรทำการตรวจรับบ้านอีกครั้ง ตรวจสอบว่าทุกอย่างอยู่ในสภาพที่คุณพอใจ และไม่มีปัญหาที่ต้องแก้ไข แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในการตัดสินใจซื้อบ้าน ฉะเชิงเทรา เพื่อการอยู่อาศัยจำเป็นต้องดำเนินการในทุกๆ เรื่องอย่างรอบคอบ รวมถึงต้องพิจารณาถึงความจำเป็นอีกหลายๆ ด้าน เพื่อให้แน่ใจว่าบ้านที่คุณเลือกนั้นจะตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณและครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดค่ะ
-
ผิวแห้ง เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น สภาพอากาศ,การอาบน้ำร้อน,อายุและฮอร์โมน รวมถึงการดื่มน้ำน้อย ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่เราเอ่ยมานี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ผิวแห้งเสียง่ายขึ้น ดังนั้นจึงต้องเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวด้วยการใช้ครีมอาบน้ำผิวชุ่มชื่น และทาครีม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวนุ่มและชุ่มชื้นหลังการอาบน้ำได้ดี โดยส่วนผสมที่ควรมีในครีมอาบน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น อย่างเช่น น้ำมันจากธรรมชาติ, เชียบัตเตอร์, วิตามินบีและอี จากโจโจ้บาออยล์ และอื่นๆ ที่ช่วยให้ผิวเก็บความชื้นได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังอาจมีส่วนผสมของสารสกัดจากพืชที่มีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมผิวและเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงอีกด้วย หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวขาดความชุ่มชื่น แต่ไม่รู้ว่าควรที่จะต้องเลือกครีมอาบน้ำแบบไหนถึงจะดีต่อผิวของคุณมากที่สุดละก็ตามเรามาทางนี้ได้เลยค่ะ เดี๋ยวเราจะแนะนำให้เองดังนี้ การเลือกครีมอาบน้ำให้เหมาะสมกับผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื่น · ส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มการบำรุงให้ผิวชุ่มชื่น ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการบำรุงและเพิ่มความชุ่มชื่น ควรมีส่วนผสมที่เพิ่มความชุ่มชื่น ดังนี้ กลีเซอรีน, ไฮยาลูโรนิค แอซิด, เชียบัตเตอร์, น้ำมันโจโจบา และวิตามินอี ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนช่วยเสริมสร้าง และซ่อมแซมผิวพรรณให้มีสุขภาพดีได้ค่ะ · ปราศจากสารระคายเคือง หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง เช่น กลุ่มสารซัลเฟต (เช่น Sodium Lauryl Sulfate) ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้ สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวแห้งมาก ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอมและสีสังเคราะห์ · ความเข้มข้นของครีม ครีมอาบน้ำที่มีความเข้มข้นสูงมักจะให้ความชุ่มชื้นที่ดีกว่าเจลอาบน้ำธรรมดา โดยมีน้ำมันและมอยส์เจอร์ไรเซอร์มากขึ้นเพื่อช่วยให้ผิวนุ่มและชุ่มชื่นยาวนานหลังจากอาบน้ำ · การทดสอบผลิตภัณฑ์ หากคุณไม่แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ใดเหมาะกับผิวของคุณ การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองก่อนถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีเลยค่ะ แหละอีกอย่างที่จะช่วยคุณได้คือกการอ่านรีวิวจากผู้ใช้งานจริงคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์ใช้โดยตรงว่าเป็นอย่างไรบ้างก็ช่วยได้เหมือนกันนะคะ · มีคุณสมบัติพิเศษ บางครีมอาบน้ำมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ, สารสกัดจากพืชที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ หรือส่วนผสมที่ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและกระชับผิว ทั้งนี้ในการป้องกันผิวไม่ให้ขาดความชุ่มชื่นนอกจากการเลือกใช้ครีมอาบน้ำผิวชุ่มชื่นแล้ว ก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ทำให้ผิวแห้งง่ายด้วย อย่างเช่น การอาบน้ำ ควรอาบน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่อาบน้ำร้อน หรือแช่น้ำนานๆ เลือกใช้สบู่เหลวที่มีค่า pH อยู่ที่ประมาณ 4.7 – 5.75 ซึ่งเป็นค่าสภาพผิวโดยธรรมชาติของมนุษย์จะมีความเป็นกรดอ่อน ๆ และควรเลือกครีมอาบน้ำที่ไม่ใส่น้ำหอม ไม่มีฟอง ไม่มีสารลดแรงตึงผิว จะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื่นได้นาน เช่น ครีมอาบน้ำของ พิพเพอร์ สแตนดาร์ด ที่มี โปรมีเลน แอคทีฟ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างอ่อนด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติของสับปะรด ทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก โดยไม่ทำร้ายผิว,โจโจ้บาล์ม ออย อุดมด้วย วิตามิน อี เข้าฟื้นบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม น่าสัมผัส ช่วยต้านอนุมูลอิสระให้ผิวไม่แก่ก่อนวัย และออร์แกนิค อโรเวล่า ที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื่น เนียนนุ่ม ดูอิ่มน้ำ แบบผิวสวยสุขภาพดี แหละถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกก็ควรที่จะต้องทาครีมบำรุงผิวหลังอาบน้ำ เช้า-เย็น ด้วย โดยทาหลังเช็ดตัวหมาด ๆ ทันที และควรที่จะต้องดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ 6 - 8 แก้วต่อวัน และควรเลือกทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 สูง เช่น ปลาทู ปลาแซลมอน ผักโขม ถั่วเหลือง และวิตามินเอ ซี อี ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่นมากขึ้นค่ะ
-
Morpheus8 เป็นเทคโนโลยีการยกกระชับผิว โดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุ RF (Radio frequency) ที่สามารถปล่อยพลังงานยกกระชับผิวให้กลับมาตึงกระชับ ลดริ้วรอยและผิวที่หย่อนคล้อย ได้โดยไม่ต้องผ่าตัด (Non - Surgical Lifting ) ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งรอยแผล และยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อผิว สามารถเข้าสู่ผิวได้ลึก เครื่อง Morpheus8 ทำงานยังไง เครื่อง Morpheus8 จะเป็นการปล่อยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุชนิดสองขั้วผ่านทางเข็มเล็ก ๆ จากหัวทิป สามารถปรับระดับความลึกของพลังงานที่ต้องการปล่อยได้ โดยคลื่นความถี่วิทยุที่ลงสู่ชั้นใต้ผิวแล้วจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนและทำให้ส่วนของโครงสร้างผิวเกิดการสร้างและจัดเรียงระเบียบใหม่ ในส่วนของชั้นไขมันเมื่อเจอกับพลังงานความร้อนก็จะเกิดการสลาย ทำให้ความหนาของชั้นไขมันลดลง แต่ในชั้นผิวหนังแท้จะแข็งแรงและหนาขึ้น เมื่อมองจากภายนอกจึงทำให้ผิวดูกระชับ เรียบเนียน ดูเฟิร์มขึ้น Morpheus8 มีข้อดียังไงบ้างในการรักษาดูแลผิวและความงาม 1. ปรับปรุงคุณภาพผิว Morpheus8 ช่วยลดริ้วรอยและรอยย่น, รอยแตกลาย, รอยแผลเป็นจากสิว บนผิวหนัง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น 2. กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน การรักษาด้วยความถี่วิทยุและไมโครนีดลิ่งสามารถกระตุ้นชั้นผิวให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสารประกอบหลักที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและความเรียบเนียน 3. ความปลอดภัยสูง การรักษาด้วย Morpheus8 ถือว่ามีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัด 4. ฟื้นตัวเร็ว เนื่องจากเป็นการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้เร็วขึ้น เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดหรือการรักษาที่รุนแรงกว่า 5. รักษาได้หลายบริเวณ Morpheus8 สามารถใช้รักษาในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย เช่น ใบหน้า, คอ, หน้าอก, แขน และส่วนอื่นๆ ที่ต้องการการปรับปรุงผิว 6. อุปกรณ์ Morpheus8 สามารถปรับการตั้งค่าได้หลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น Morpheus 8 เหมาะกับใครบ้าง · ผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย · รักษาแผลเป็น และผิวที่ไม่เรียบเนียน · ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ซึ่งการทำยกกระชับผิวหน้าด้วยโปรแกรม Morpheus 8 เป็นการแก้ไขปัญหาผิวได้หลายระดับตั้งแต่ชั้นหนังแท้ถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น กระชับ เรียบเนียน พร้อมกับดูเฟิร์มขึ้น แต่อาจจะต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายในการทำหัตถการ Morpheus 8 ที่ค่อนข้างสูง โดยราคาที่ทำอาจจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 90,000 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละคลินิก โดยที่เอสติมา การโปรแกรม Morpheus Pro ราคาเริมต้นจะอยู่ที่ 29,000 บาท ซึ่งเป็นราคาโปรพิเศษ ยิงทั่วหน้า และยังแถมฟรี GROWTH FACTORS ให้อีกด้วย หากท่านใดสนใจสามารถไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.aestimaclinic.com/morpheus8/
-
โรคสมาธิสั้น (ADHD – Attention Deficit Hyperactivity Disorder) คือ ภาวะผิดปกติทางจิตเวชที่ส่งผลให้เด็กสมาธิสั้นกว่าปกติ ขาดการควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้มีอาการซุกซน วอกแวกง่าย ไม่อยู่นิ่ง หงุดหงิดง่าย เวลาที่พูดด้วยจะไม่ตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียดไม่ค่อยได้ ขาดความรับผิดชอบ พบได้ค่อนข้างบ่อยในเด็กที่มีช่วงอายุระหว่าง 3 – 7 ปี โดยสาเหตุการเกิดโรคสมาธิสั้น มาจากหลายปัจจัย อย่างปัจจัยทางพันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคสมาธิสั้น เด็กจะมีโอกาสเป็นมากขึ้น 4-5 เท่า รวมถึงปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น มีภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ เช่น คลอดก่อนกำหนด ได้รับสารตะกั่ว ควันบุหรี่ สุรา รวมถึงการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม เช่น ให้เด็กดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมเป็นเวลานาน แม้อาจไม่ใช่สาเหตุหลักโดยตรง แต่มีส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กมีอาการสมาธิสั้นมากขึ้นได้ การรักษาเด็กที่มีสมาธิสั้นหรือ ADHD 1. การบำบัดทางพฤติกรรม การบำบัดนี้มุ่งเน้นที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผ่านการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การตั้งเป้าหมาย, การใช้ระบบรางวัล, การสอนทักษะการจัดการกับอารมณ์ และการฝึกทักษะการจัดการกับเวลา 2. การใช้ยา ยาบางชนิดสามารถช่วยในการจัดการกับอาการของ ADHD โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่เรียกว่า "stimulants" (เช่น เมทิลเฟนิเดต) ซึ่งช่วยในการเพิ่ม และปรับปรุงการสนใจ ความสม่ำเสมอของพฤติกรรม และการควบคุมอารมณ์ บางครั้งอาจใช้ยาประเภทอื่นเช่นยาต้านซึมเศร้า 3. การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อลดการรบกวน และเพิ่มการสนับสนุนจากครอบครัว โรงเรียนสามารถช่วยเสริมสร้างความสามารถในการจัดการกับ ADHD ได้ เช่น การจัดตารางการเรียนการสอนให้มีโครงสร้างและเสถียรภาพมากขึ้น การมีกิจกรรมที่กระตุ้นการเรียนรู้ผ่านการทำมือหรือการเคลื่อนไหว 4. การฝึกสมาธิและการฝึกสติ กิจกรรมเช่น โยคะ, การทำสมาธิ, หรือการฝึกสติอาจช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจ่อและลดความกระวนกระวายได้ 5. การศึกษาพิเศษและการสนับสนุนทางการเรียน การได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาพิเศษ หรือการมีแผนการเรียนการสอนที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของเด็กๆ ที่เป็น ADHD อาจมีประโยชน์มาก เด็กสมาธิสั้น จำเป็นต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือจากครอบครัวเป็นพิเศษ ครอบครัวต้องเข้าใจ ดังนั้นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหานี้ คือ พ่อแม่ควรใช้ความพยามยามในการทำความเข้าใจกับเด็กที่มีอาการสมาธิสั้นให้มากๆ หรือถ้าผู้ปกครองท่านไหนยังเริ่มจับจุดไม่ถูกว่าควรที่จะต้องทำยังไงก่อนดี แนะนำให้พาเด็กไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเพื่อที่แพทย์จะได้ประเมินอาการ และบอกวิธีในการปฏิบัติตนกับเด็กได้อย่างถูกต้อง บางโรงพยาบาลมีให้ปรึกษากับแพทย์ทางออนไลน์ได้ด้วย อย่างโรงพยาบาล นนทเวช เพื่อลดผลกระทบจากการดูแล และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ ส่งเสริมจุดเด่น ทำให้เด็กสามารถประสบความสำเร็จและปรับตัวอยู่ร่วมกับสังคมอย่างปกติได้ค่ะ
-
โรคสมาธิสั้น (ADHD – Attention Deficit Hyperactivity Disorder) คือ ภาวะผิดปกติทางจิตเวชที่ส่งผลให้เด็กสมาธิสั้นกว่าปกติ ขาดการควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้มีอาการซุกซน วอกแวกง่าย ไม่อยู่นิ่ง หงุดหงิดง่าย เวลาที่พูดด้วยจะไม่ตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียดไม่ค่อยได้ ขาดความรับผิดชอบ พบได้ค่อนข้างบ่อยในเด็กที่มีช่วงอายุระหว่าง 3 – 7 ปี โดยสาเหตุการเกิดโรคสมาธิสั้น มาจากหลายปัจจัย อย่างปัจจัยทางพันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคสมาธิสั้น เด็กจะมีโอกาสเป็นมากขึ้น 4-5 เท่า รวมถึงปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น มีภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ เช่น คลอดก่อนกำหนด ได้รับสารตะกั่ว ควันบุหรี่ สุรา รวมถึงการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม เช่น ให้เด็กดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมเป็นเวลานาน แม้อาจไม่ใช่สาเหตุหลักโดยตรง แต่มีส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กมีอาการสมาธิสั้นมากขึ้นได้ การรักษาเด็กที่มีสมาธิสั้นหรือ ADHD 1. การบำบัดทางพฤติกรรม การบำบัดนี้มุ่งเน้นที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผ่านการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การตั้งเป้าหมาย, การใช้ระบบรางวัล, การสอนทักษะการจัดการกับอารมณ์ และการฝึกทักษะการจัดการกับเวลา 2. การใช้ยา ยาบางชนิดสามารถช่วยในการจัดการกับอาการของ ADHD โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่เรียกว่า "stimulants" (เช่น เมทิลเฟนิเดต) ซึ่งช่วยในการเพิ่ม และปรับปรุงการสนใจ ความสม่ำเสมอของพฤติกรรม และการควบคุมอารมณ์ บางครั้งอาจใช้ยาประเภทอื่นเช่นยาต้านซึมเศร้า 3. การปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อลดการรบกวน และเพิ่มการสนับสนุนจากครอบครัว โรงเรียนสามารถช่วยเสริมสร้างความสามารถในการจัดการกับ ADHD ได้ เช่น การจัดตารางการเรียนการสอนให้มีโครงสร้างและเสถียรภาพมากขึ้น การมีกิจกรรมที่กระตุ้นการเรียนรู้ผ่านการทำมือหรือการเคลื่อนไหว 4. การฝึกสมาธิและการฝึกสติ กิจกรรมเช่น โยคะ, การทำสมาธิ, หรือการฝึกสติอาจช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจ่อและลดความกระวนกระวายได้ 5. การศึกษาพิเศษและการสนับสนุนทางการเรียน การได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาพิเศษ หรือการมีแผนการเรียนการสอนที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของเด็กๆ ที่เป็น ADHD อาจมีประโยชน์มาก เด็กสมาธิสั้น จำเป็นต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือจากครอบครัวเป็นพิเศษ ครอบครัวต้องเข้าใจ ดังนั้นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหานี้ คือ พ่อแม่ควรใช้ความพยามยามในการทำความเข้าใจกับเด็กที่มีอาการสมาธิสั้นให้มากๆ หรือถ้าผู้ปกครองท่านไหนยังเริ่มจับจุดไม่ถูกว่าควรที่จะต้องทำยังไงก่อนดี แนะนำให้พาเด็กไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเพื่อที่แพทย์จะได้ประเมินอาการ และบอกวิธีในการปฏิบัติตนกับเด็กได้อย่างถูกต้อง บางโรงพยาบาลมีให้ปรึกษากับแพทย์ทางออนไลน์ได้ด้วย อย่างโรงพยาบาล นนทเวช เพื่อลดผลกระทบจากการดูแล และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ ส่งเสริมจุดเด่น ทำให้เด็กสามารถประสบความสำเร็จและปรับตัวอยู่ร่วมกับสังคมอย่างปกติได้ค่ะ
-
รวมทุกเรื่องที่น่าสนใจของร้านขายยากรุงเทพ คลังยามีนบุรี
กระทู้ ได้โพสต์ Chantima ใน โฆษณา-ประชาสัมพันธ์
ร้านขายยาเป็นสถานที่มีความสำคัญมากในการจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยาที่ต้องใช้สั่งโดยแพทย์หรือยาที่ขายตามท้องตลาด ปัจจุบันรูปแบบการซื้อของผู้บริโภค ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะมากแต่ก่อนต้องมาซื้อยา ซื้ออุปกรณ์ที่หน้าร้าน มาเห็นของก่อนถึงจะกล้าซื้อ ผิดกลับตอนนี้ที่นิยมซื้อกันทางออนไลน์ไม่จำเป็นต้องเห็นของจริง ขอเพียงมีการรับประกันสินค้าและความน่าเชื่อถือของร้านผู้บริโภคก็สามารถตัดสินใจได้แล้ว โดยเฉพาะร้านขายยากรุงเทพ ที่จำนวนซื้อของทางออนไลน์จะสูงมาก เพราะในกรุงเทพเวลาจะไปไหนมาไหนที ค่อนข้างลำบาก รถติดบ้าง ไม่มีที่จอดรถบ้าง และปัญญาอื่นๆ อีกมากมาย จึงทำให้ร้านขายยาในกรุงเทพ หันมาเปิดช่องทางการขายที่เป็นออนไลน์กันมากขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค โดยร้านขายยาที่จะได้รับความนิยมหลักๆ ก็จะมีไม่กี่ร้าน หนึ่งในนั้นคือร้านขายยาของ คลังยามีนบุรี ที่มีทั้งคุณภาพ และความน่าเชื่อถือ มีเภสัชกร คอยให้คำปรึกษา และแนะนำสินค้าแต่ละตัวอย่างละเอียด ที่สำคัญคือมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกครบครันในการนำมาดูแลสุขภาพมากกว่า 3000 รายการ โดยสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ดังนี้ ผลิตภัณฑ์ของคลังยามีนบุรี • ยาทางการแพทย์ ยารักษาโรคทั่วไป ยาสามัญประจำบ้าน ยาเฉพาะทาง ในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถจำหน่ายได้ในร้านยา • อุปกรณ์ทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการประกอบวิชาชีพของแพทย์ พยาบาล เทคนิคการแพทย์ นักกายภาพบำบัด • ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ อย่าง อาหารเสริมบำรุงสุขภาพ ทานเสริมมื้ออาหารหลัก เช่น วิตามิน ยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ต่าง ๆ • เวชสำอางค์ เวชสำอางค์และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวต่างๆ เพื่อฟื้นฟูรักษาอาการผิดปกติ เช่น ริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ สิ่งสำคัญที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกซื้อของจากร้านขายยา 1. ควรตรวจสอบข้อมูลของร้านที่จัดจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ และยาให้ดี ตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ขายได้รับใบอนุญาต และได้รับอนุญาตให้จำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์และยา ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการปลอมแปลงสินค้าได้ 2. ตรวจสอบการอนุมัติ ควรตรวจสอบว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้รับการอนุมัติจาก FDA หรือการรับรองที่เกี่ยวข้องอื่นๆ หรือไม่ เพื่อยืนยันว่าอุปกรณ์เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 3. ตรวจสอบวันหมดอายุ ตรวจสอบวันหมดอายุของยาเสมอ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ไม่ใกล้หรือเลยวันหมดอายุ 4. ดูซีลและความสมบูรณ์ของบรรจุภัณฑ์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ายาบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิท ไม่ถูกดัดแปลง และไม่มีความเสียหายใดๆ บนบรรจุภัณฑ์ เพราะหากบรรจุภัณฑ์มีความเสียหายอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของยาได้ 5. ปรึกษาเภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ ก่อนซื้อยาหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ใดๆ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ พวกเขาสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและจำเป็นสำหรับอาการเฉพาะของคุณได้ 6. ควรทำความเข้าใจกับอุปกรณ์ต่างๆ ให้ดี สำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ควรทำความเข้าใจถึงวิธีการใช้งานของอุปกรณ์ การดูแลและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ให้ถูกต้อง หรืออาจจะถามกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อยืดอายุอุปกรณ์ให้ใช้งานได้นานขึ้น 7. อ่านฉลากและคำแนะนำอย่างละเอียด อ่านฉลากและคำแนะนำการใช้ยาอย่างละเอียดก่อนใช้งานเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ 8. หาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับยาหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ อ่านบทวิจารณ์และตรวจสอบคะแนนเพื่อดูประสบการณ์ของผู้ใช้รายอื่น 9. พิจารณาจากแหล่งที่จะซื้อ ซื้อยาจากร้านขายยาที่มีชื่อเสียงและอุปกรณ์ทางการแพทย์จากซัพพลายเออร์ที่มีชื่อเสียง หลีกเลี่ยงการซื้อจากตลาดออนไลน์ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ แหละที่สำคัญร้านขายยากรุงเทพ คลังยามีนบุรี จำหน่ายทั้งราคาส่งและราคาปลีก มีจำหน่ายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพครบครัน ไม่ว่าจะเป็น วิตามินหรืออาหารเสริมต่างๆ มากมาย อุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ เวชสำอางค์ พร้อมมีเภสัชกรคอยให้คำแนะนำ สินค้ามีคุณภาพในราคาย่อมเยาว์ แถมมีโปรโมชั่นพิเศษสุดคุ้มมากมาย ให้ได้เลือกซื้อตามความต้องการ สินค้าทุกตัวปลอดภัย มี อ.ย รับรอง สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาส่งแบบไม่มีขั้นต่ำเลยค่ะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมร้านขายยากรุงเทพได้ที่ : https://www.klungyaminburi.com/ -
คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีมากที่สุดในร่างกาย เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ เอ็นต่างๆ ถึงร้อยละ 75 โดยทำหน้าที่เป็นตัวประสานเซลล์และเนื้อเยื่อคอลลาเจนเสริมสร้างกระดูกสามารถสร้างขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ ใยคอลลาเจนนอกจากจะช่วยสร้างความแข็งแรงของผิวหนังแล้ว ยังสามารถช่วยรักษาความยืดหยุ่น ทำให้ผิวดูกระชับและมีความนุ่มนวล นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการสร้างเส้นใยของเลือด ฟัน และเล็บ อีกด้วย คอลลาเจนที่มีอยู่ในร่างกาย และพบได้บ่อยมีอยู่ 3 ชนิด · คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I) เป็นคอลลาเจนที่มีปริมาณมากที่สุด สามารถพบได้มากกว่าร้อยละ 90 ในร่างกาย ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ช่วยไม่ให้เนื้อเยื่อฉีกขาด พบได้ในบริเวณผิวหนัง เส้นผม กระดูก เนื้อเยื่อ และผนังหลอดเลือด · คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II) หรือเรียกอีกอย่างนึงว่าคอลลาเจนสำหรับกระดูก เพราะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ให้มีจำนวนมากขึ้น จึงสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกบริเวณข้อต่อได้ มักมีความยืดหยุ่นมากกว่าชนิดที่ 1 พบได้ในบริเวณกระดูกอ่อนหรือข้อต่อ เช่น ส่วนประกอบของหู จมูก หลอดลม และกระดูกซี่โครง · คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Collagen Type III) พบได้ในบริเวณเดียวกันกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 มีบทบาทสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ ลดอาการบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อ พบได้ในบริเวณผิวหนัง, กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด คอลลาเจนมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกดังนี้ 1. สร้างโครงสร้างของกระดูก คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อเยื่อกระดูก ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่แร่ธาตุอื่นๆ เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส สามารถเกาะติดและสร้างมวลกระดูกที่แข็งแรงได้ คอลลาเจนจึงช่วยให้กระดูกมีความยืดหยุ่นและทนทานต่อแรงกระแทก 2. ช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกใหม่ คอลลาเจนส่งเสริมกระบวนการสร้างกระดูก โดยกระตุ้นเซลล์ที่เรียกว่า osteoblasts ซึ่งเป็นเซลล์ที่ผลิตกระดูกใหม่ การที่ร่างกายมีคอลลาเจนไม่เพียงพออาจส่งผลทำให้กระดูกเติบโตได้ไม่เต็มที่ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไม่มีประสิทธิภาพได้ 3. ช่วยลดการสูญเสียกระดูก คอลลาเจนยังช่วยลดการทำงานของเซลล์ที่เรียกว่า osteoclasts ซึ่งมีหน้าที่ในการย่อยสลายกระดูก ลดการทำงานของ osteoclasts ลดการสูญเสียมวลกระดูกและช่วยให้กระดูกแข็งแรงยิ่งขึ้น 4. บำรุงกระดูก คอลลาเจนมีส่วนช่วยในการบำรุงเนื้อเยื่อรอบๆ กระดูก เช่น เอ็น ซึ่งมีความสำคัญในการเชื่อมโยงกระดูกกับกล้ามเนื้อและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย การมีคอลลาเจนเพียงพอจะช่วยให้เนื้อเยื่อเหล่านี้แข็งแรงและรองรับกระดูกได้ดี นอกจากคอลลาเจนเสริมสร้างกระดูกแล้ว ยังส่งผลดีต่อร่างกายในด้านอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สุขภาพผิวหนังที่คอลลาเจนจะไปช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง ลดการเกิดริ้วรอยและอาการแห้งกร้าน ทำให้ผิวหนังดูอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดี,สุขภาพข้อต่อ ที่จะมีความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของข้อต่อ ลดการเสียดสีระหว่างกระดูก ช่วยลดอาการปวด และอักเสบของข้อต่อได้, สุขภาพเส้นผมและเล็บ ทำให้เส้นผมและเล็บแข็งแรงขึ้นไม่เปราะหักง่าย,ระบบทางเดินอาหารดีขึ้นช่วยให้ผนังลำไส้แข็งแรง และยังช่วยซ่อมแซม ฟื้นฟูเนื้อเยื่อให้ดีขึ้นได้อีกด้วยค่ะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.cal-t.com/ผลิตภัณฑ์แคล-ที/คอลลาเจนเสริมสร้างกระดูก/
-
ร้านจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ คลังยามีนบุรี จัดว่าเป็นสถานที่สำคัญที่มีการจำหน่าย และนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ และเครื่องมือแพทย์มากมาย มีทั้งสำหรับโรงพยาบาล คลินิก และสำหรับการดูแลผู้ป่วย ที่ถือว่าแทบจะครบครันที่สุดเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังคัดสรรมาเฉพาะแบรนด์ชั้นนำที่ได้รับการยอมรับและรับรองเรื่องความปลอดภัยที่สูงมาก อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำในการเลือกซื้อ และอธิบายวิธีการใช้งานเครื่องมือแพทย์อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถใช้งานได้ตรงจุดประสงค์และปลอดภัย โดยร้านขายอุปกรณ์การแพทย์ จะแบ่งอุปกรณ์การแพทย์เป็น 3 กลุ่มหลักๆ ดังนี้ อุปกรณ์การแพทย์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. อุปกรณ์การแพทย์สำหรับบ้าน อุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้กับผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ที่บ้านหรือสถานที่อื่นๆ ที่ผู้ป่วยหรือบุคคลทั่วไปสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเป็นบุคลากรการแพทย์ เช่น ผู้ป่วย สมาชิกในครอบครัว เช่น เครื่องวัดออกซิเจน เครื่องวัดความดัน เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อ เครื่องช่วยฟัง วีลแชร์ 2. อุปกรณ์การแพทย์สำหรับคลินิก อุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้อยู่ในคลินิก เป็นเครื่องมือสำหรับประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และครอบคลุมทุกจุดประสงค์ของการใช้งานเครื่องมือแพทย์ แต่จะไม่ใช่เครื่องมือขั้นสูงสำหรับการรักษา เช่น เครื่องมือห้องผ่าตัด เครื่องกระตุ้นหัวใจ เป็นต้น 3. อุปกรณ์การแพทย์สำหรับโรงพยาบาล ประกอบไปด้วยอุปกรณ์การแพทย์และเครื่องมือแพทย์ทุกจุดประสงค์ ได้แก่ เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อการวินิจฉัย เครื่องมือแพทย์เพื่อการรักษา เครื่องมือแพทย์เพื่อการดำรงชีวิต และเครื่องมือการแพทย์ทางพยาธิ โดยมีตั้งแต่เครื่องมือแพทย์ทั่วไปจนถึงอุปกรณ์และเครื่องมือขั้นสูง ปัจจุบันการซื้ออุปกรณ์การแพทย์นั้นสามารถทำได้ง่ายมาก เพราะมีร้านขายอุปกรณ์การแพทย์หลายร้านหันมาเปิดขายทางออนไลน์กันมากขึ้นทำให้ง่ายต่อการเข้าถึง และสะดวกต่อการสั่งซื้อ ประหยัดเวลาในการไปซื้อ อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำเพิ่มเติมทำให้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จะซื้อได้อย่างถูกต้อง ช่วยให้ตัดสินใจเลือกซื้อได้ถูกต้อง และง่ายขึ้นในการซื้อไปใช้งานค่ะ ดูข้อมูลร้านขายอุปกรณ์การแพทย์เพิ่มเติมได้ที่ : https://www.klungyaminburi.com/ร้านขายอุปกรณ์การแพทย์-เวชภัณฑ์/
-
ท้องแตกลายสีแดง เกิดจากการยืดหดตัวของร่างกายที่เร็วเกินไป มีลักษณะนูนบาง มีสีแดง สีม่วง ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม สามารถรักษาให้หายได้ง่ายกว่ารอยแตกสีขาว เป็นปัญหาที่มักเจอได้บ่อยกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกับคนที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เช่น การเพิ่มหรือลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว เพราะการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวที่รวดเร็วทำให้ผิวหนังยืดขยายหรือหดตัวเร็วจนทิ้งร่องรอยการแตกลายไว้ ทำให้ผิวดูไม่สวยงาม และไม่น่ามอง เพราะแบบนี้จึงกลายเป็นปัญหาระดับชาติสำหรับสาวๆ หลายๆ คน โดยเฉพาะกับสาวที่ชื่นชอบในการแต่งตัว ที่บางคนอาจจะขาดความมั่นใจในการใส่เสื้อตัวเล็ก ตัวน้อย ไม่ได้ ดังนั้นการดูแลรักษาและป้องกันไม่ให้หน้าท้องแตกลายสีแดงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สาวๆ ให้ความสนใจ ซึ่งในการดูแลผิวหน้าท้องไม่ให้แตกลายนั้นมีหลายวิธีมาก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าคลินิกที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยให้รอยผิวแตกลายของคุณดูจางลงจนแทบไม่เห็น ซึ่งถ้าใครไม่อยากมีผิวที่แตกลายเรามีวิธีในการดูแลตนเองไม่ให้ผิวแตกลายเอามาฝากตามนี้เลยค่ะ การป้องกันท้องแตกลายสีแดงด้วยการดูแลผิวหนังและร่างกายให้เหมาะสมดังนี้ 1. การรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง ใช้ครีมบำรุงผิวหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณที่เสี่ยงต่อการแตกลาย เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นขา และหน้าอก 2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำช่วยรักษาความยืดหยุ่นของผิวหนังและลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแตกลาย 3. ทานอาหารที่มีประโยชน์มีสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และสังกะสี ที่ช่วยเสริมสร้างผิวหนังให้แข็งแรง 4. ควบคุมน้ำหนัก ด้วยการพยายามรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ และหลีกเลี่ยงการเพิ่มหรือลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว 5. ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและรักษาความยืดหยุ่นของผิวหนัง 6. ใช้ครีมกันแดด ปกป้องผิวหนังจากการทำลายของแสงแดดซึ่งอาจทำให้ผิวแห้ง และเสี่ยงต่อการแตกลายมากขึ้น 7. หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน การใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานอาจทำให้ผิวหนังบางและเสี่ยงต่อการแตกง่าย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา ทั้งนี้วิธีด้านบนที่เราได้แนะนำมาเป็นการป้องกันสำหรับคนที่ผิวยังไม่แตกลาย แต่หากคุณท้องแตกลายสีแดง หรือผิวแตกลายไปแล้วแนะนำให้เข้าคลินิกเลยค่ะ เพราะการดูแลแบบธรรมดาช่วยให้รอยแตกลายจางลงนั้นจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ถ้าคุณอยากเห็นผลรับที่รวดเร็วทันใจแนะนำต้องเข้าคลินิกค่ะ เพราะที่คลินิกมีเครื่องไม้ เครื่องมือ ที่พร้อมจะรักษารอยแตกลายของเราให้กลับมามีผิวที่เรียบเนียนสวยใสขึ้นอีกครั้งได้ค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนเลือกใช้บริการคลินิกไหนอย่าลืมดูรายละเอียดการรักษาต่างๆ ให้เรียบร้อย โดยหนึ่งในคลินิกที่มีชื่อเสียง และขึ้นชื่อในเรื่องนี้ที่เราอยากบอกต่อคือ คลินิก ของ เอสติมา เลยค่ะ บอกรายละเอียดชัดเจนมากว่าควรต้องทำแบบไหน หรือต้องแก้ไขยังไง รวมถึงเครื่องไม้ เครื่องมือก็ทันสมัยพร้อมต่อการใช้งานสุดๆ นอกจากนี้ยังติดต่อได้ง่าย มีหลายช่องทางให้ติดต่อ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้เลยค่ะว่าปัญหาของคุณจะได้รับการแก้ไขแน่นอน