Jump to content
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

Chantima

Patriarch
  • Content Count

    169
  • Joined

  • Last visited

Community Reputation

0 medium

About Chantima

  • Rank
    ขาใหญ่

Profile Information

  • เพศ
    หญิง
  • ที่อยู่
    กรุงเทพมหานคร
  1. ดับกลิ่นฉี่แมวอย่างได้ผล คืนความสดชื่นให้บ้านแบบยั่งยืน แมวถือเป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้าน ที่สร้างความสุขให้หลายๆ คน แต่กลิ่นฉี่แมวกลับเป็นปัญหาที่เหล่าทาสแทบทุกคนต้องเผชิญ กลิ่นแรง ฝังแน่น และเป็นงานยากแม้จะถูซ้ำหลายรอบ โดยเราจะพาคุณเข้าใจต้นเหตุ พร้อมแนะนำ วิธีดับกลิ่นฉี่แมวแบบปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง และแนะนำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติ ที่ช่วยคืนความสดชื่นให้บ้าน สะอาดแบบอย่างยั่งยืน สาเหตุของกลิ่นฉี่แมว มีแล้ว หายยาก กลิ่นฉี่แมว นั้นเกิดจากส่วนประกอบอย่าง ยูเรีย กรดยูริก และ แอมโมเนีย เมื่อฉี่แห้ง สารเหล่านี้จะระเหยกลายเป็นกลิ่นแรงและฝังในพื้นหรือเฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะพื้นไม้หรือผ้า หรือแม้กระทั่งกระบะทรายแมว เองก็ตาม ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักถูกดูดซับกลิ่นฉี่ไว้ตามวัสดุต่างๆเยอะมาก หากไม่ได้ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี กลิ่นจะยังคงอยู่วนเวียนแม้ผ่านไปหลายวัน ทำไมกลิ่นฉี่แมวถึงแรงกว่าฉี่สัตว์อื่น? กลิ่นฉี่แมวแรงกว่าฉี่สุนัขหรือสัตว์อื่น เพราะแมวเป็นสัตว์กินเนื้อโดยตรง ร่างกายจึงมีการเผาผลาญโปรตีนสูง ทำให้ของเสียที่ขับออกมามีความเข้มข้นของกรดยูเรียมากกว่า อีกทั้งแมวบางตัว โดยเฉพาะแมวเพศผู้ที่ยังไม่ได้ทำหมัน จะมีฮอร์โมนเพศในฉี่ ซึ่งส่งกลิ่นแรงเป็นพิเศษเพื่อใช้ในการแสดงอาณาเขต แมวมีพฤติกรรมจดจำกลิ่นของตัวเองได้ดีมาก หากเคยฉี่ผิดที่แล้วไม่ล้างกลิ่นให้หมด มันจะกลับมาฉี่ซ้ำในจุดเดิม อีกทั้งแมวบางตัวจะหลีกเลี่ยงกระบะทรายที่สกปรกหรืออับชื้น ทำให้ไปขับถ่ายในมุมอื่นของบ้านแทน เช่น พรม ผ้าม่าน หรือโซฟา วิธีดับกลิ่นฉี่แมวแบบธรรมชาติ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติช่วยลดการระคายเคืองและปลอดภัยกับสัตว์เลี้ยง เช่น น้ำส้มสายชู ช่วยสลายแอมโมเนียและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) ช่วยดูดซับกลิ่นและลดกรดในฉี่ เปลือกส้มหรือมะนาว ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมธรรมชาติและทำให้แมวไม่อยากกลับมาฉี่ซ้ำ ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิวอเนกประสงค์สำหรับสัตว์เลี้ยง หากคุณต้องการตัวช่วยเพื่อดับกลิ่นฉี่แมวที่สะดวกและปลอดภัยกว่า การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติถือเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เช่น น้ำยาทำความสะอาดพื้นผิวอเนกประสงค์สำหรับสัตว์เลี้ยง พิพเพอร์ สแตนดาร์ด ส่วนประกอบ: Water, ethanol, pineapple fermented fruit, alkyl polyglycoside, potassium lauroyl glycinate, sodium carbonate, citric acid, lactic acid, emulsifier, fragrance, food preservative, organic aloe vera. วิธีการใช้งาน ฉีดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิวอเนกประสงค์ลงบนพื้นผิวที่ต้องการ ใช้ผ้าเช็ดออกได้ทันที ไม่ต้องเช็ดน้ำซ้ำ หากคราบหนัก ให้ฉีดผลิตภัณฑ์ทิ้งไว้ 5–10 นาที แล้วเช็ดออกโดยไม่ต้องใช้น้ำซ้ำ ขนาดบรรจุ 400 มิลลิลิตร ราคาปกติ 199 บาท ส่วนผสมหลักที่ช่วยขจัดกลิ่นฉี่แมวอย่างได้ผล เทคโนโลยีทำความสะอาดจากน้ำหมักสับปะรด (Pineapple Fermented Fruit) ออร์แกนิค อโลเวร่า (Organic Aloe Vera) กรดซิตริก (Citric Acid) และกรดแลคติก (Lactic Acid) เทคโนโลยีลดกลิ่น Ultra Fresh for Pet Friendly เทคโนโลยีลดกลิ่นสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ช่วยกำจัดกลิ่นฉี่และกลิ่นสาบของสัตว์เลี้ยงทันที ปลอดภัย และมีกลิ่นหอมที่สัตว์เลี้ยงชอบ สรุป การดับกลิ่นฉี่แมวอย่างยั่งยืนเริ่มจากการเข้าใจสาเหตุ เลือกใช้วิธีธรรมชาติ และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ ปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง เช่น น้ำยาทำความสะอาดจากน้ำหมักสับปะรดและอโลเวร่า ที่ช่วยให้พื้นสะอาด ดับกลิ่นได้ทันที และไม่ทิ้งสารเคมีอันตรายตกค้าง เมื่อใช้ร่วมกับการดูแลกระบะทรายและระบายอากาศอย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถคืนความหอมสดชื่นให้บ้านได้อย่างที่ต้องการ
  2. ภาษาจีนเป็นหนึ่งในภาษาที่คนทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมากในยุคนี้ ไม่ว่าจะเพื่อใช้ทำงาน ติดต่อธุรกิจ ท่องเที่ยว หรือแม้แต่เพิ่มทักษะส่วนตัวให้ดูโปรขึ้น ซึ่งการเรียน การสอนภาษาจีนในปัจจุบันก็เป็นอะไรมี่เข้าถึงได้ง่ายมาก โดยเฉพาะการเรียนแบบออนไลน์ ที่เข้าถึงได้ง่าย มีรับสอนภาษาจีนตัวต่อตัว และรับสอนเป็นกลุ่ม ที่ผู้เรียนสามารถเลือกได้ว่าต้องการแบบไหน หากเลือกเรียนรับสอนจีน ตัวต่อตัว จะดีกว่าตรงแบบกลุ่มตรงที่จะเรียนรู้ได้เร็วกว่า เพราะเน้นเฉพาะเรา สามารถเลือกและปรับเนื้อหาที่ต้องการเรียนได้ ที่สำคัญสามารถจัดตารางเรียนตามเวลาว่างของเราได้เลยไม่ต้องปรับให้ตรงกับคนอื่น ทั้งนี้การเริ่มเรียนภาษาจีนจากศูนย์ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด โดยเฉพาะถ้าได้เรียนแบบตัวต่อตัวกับครูที่เข้าใจผู้เรียนและรู้จุดอ่อนของเรา บทความนี้จะพาไปดูว่า การเริ่มเรียนภาษาจีนตั้งแต่ศูนย์ควรเริ่มยังไง การเรียนตัวต่อตัวมีข้อดีอะไร และควรเลือกเรียนแบบไหนให้เหมาะกับเรากัน ว่าแล้วก็ตามมาดูกันเลยค่ะ เริ่มเรียนภาษาจีนจากศูนย์ ควรเริ่มยังไงดี? · ทำความเข้าใจกับพินอิน (Pinyin) ก่อน พินอินคือระบบเขียนเสียงของภาษาจีนด้วยตัวอักษรโรมัน เช่น “nǐ hǎo” ที่แปลว่า “สวัสดี” พินอินจะช่วยให้เราออกเสียงถูกตั้งแต่แรก เพราะภาษาจีนมีเสียงวรรณยุกต์ (โทนเสียง) ทั้งหมด 4 โทน เช่น เสียงสูง เสียงตก เสียงขึ้น ฯลฯ ครูตัวต่อตัวจะช่วยฟังเสียงเราแบบละเอียด และแก้จุดที่ออกเสียงผิดได้ทันที ซึ่งเป็นข้อดีมาก เพราะถ้าออกเสียงผิดตั้งแต่แรก แล้วฝังในความเคยชิน การแก้ภายหลังจะยากขึ้น · เรียนรู้คำศัพท์พื้นฐานจากชีวิตประจำวัน แทนที่จะเริ่มจากศัพท์ยากๆ การเริ่มจากคำที่ใช้บ่อย เช่น ทักทาย (你好 nǐ hǎo), ขอบคุณ (谢谢 xièxie), ตัวเลข, วันเวลา หรืออาหาร จะช่วยให้เรารู้สึกว่าเอามาใช้ได้จริง ครูที่รับสอนภาษาจีนตัวต่อตัวมักจะออกแบบบทเรียนให้ตรงกับสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ เช่น ถ้าชอบท่องเที่ยว ครูอาจสอนศัพท์เกี่ยวกับการเดินทาง ร้านอาหาร หรือการถามทางในจีน ทำไมเรียนภาษาจีนตัวต่อตัวถึงได้ผลกว่าเรียนในกลุ่ม การเรียนภาษาจีนตัวต่อตัวถือเป็นทางลัดสำหรับคนที่อยากเก่งเร็ว เพราะไม่ต้องรอเพื่อน ไม่ต้องอายเวลาพูดผิด และครูสามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะกับเราได้แบบ 100% ปรับเนื้อหาตามเป้าหมายของแต่ละคนได้ บางคนเรียนภาษาจีนเพื่อสอบ HSK บางคนเรียนเพื่อใช้ในงานขาย หรือบางคนแค่อยากพูดได้ตอนท่องเที่ยว ครูตัวต่อตัวจะช่วยออกแบบหลักสูตรให้ตรงจุด เช่น · ถ้าเรียนเพื่อสอบ HSK → จะเน้นแกรมม่า คำศัพท์ และแบบฝึกหัดแนวข้อสอบ · ถ้าเรียนเพื่อสื่อสาร → จะเน้นการฟัง - พูดในสถานการณ์จริง · ถ้าเรียนเพื่องาน → จะเพิ่มคำศัพท์ธุรกิจ เช่น “ใบเสนอราคา” (报价单 bàojiàdān) หรือ “สัญญา” (合同 hétong) การเรียนแบบนี้ช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่าทุกคำที่เรียนมีประโยชน์ ไม่ใช่แค่ท่องจำ ครูสามารถจับจุดอ่อนและแก้ไขได้ตรงจุด เวลาที่เราเรียนในกลุ่มใหญ่ ครูอาจไม่มีเวลาฟังเสียงของนักเรียนทุกคน แต่ในคอร์สตัวต่อตัว ครูจะสังเกตได้เลยว่าเราออกเสียงตรงไหม สะกดถูกหรือเปล่า หรือสับสนเรื่องไวยากรณ์ตรงไหน แล้วจะช่วยแก้ทันที เช่น ถ้าออกเสียง “zh” กับ “ch” ผิด ครูจะฝึกซ้ำเฉพาะส่วนนั้นจนเราพูดได้ชัด ซึ่งเป็นสิ่งที่คอร์สกลุ่มทำได้ยาก · เคล็ดลับเริ่มเรียนภาษาจีนให้เก่งเร็ว แม้ไม่มีพื้นฐาน · ภาษาจีนไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่ต้องเรียนอย่างมีระบบและใช้วิธีที่เหมาะกับตัวเอง โดยเฉพาะถ้าได้เรียนกับครูที่เข้าใจผู้เริ่มต้น ตั้งเป้าหมายชัดเจน แล้วเรียนอย่างต่อเนื่อง ก่อนเริ่มเรียน ให้ถามตัวเองก่อนว่า “อยากเรียนภาษาจีนไปเพื่ออะไร?” เพราะเป้าหมายจะกำหนดวิธีเรียน เช่น · ถ้าอยากสื่อสารกับเพื่อนจีน → เน้นฝึกพูดบ่อยๆ · ถ้าอยากทำงานกับบริษัทจีน → ต้องเน้นศัพท์ธุรกิจ · ถ้าอยากสอบ HSK → ต้องอ่าน – เขียนได้ด้วย เมื่อรู้เป้าหมายแล้ว ค่อยแบ่งเวลาเรียนสม่ำเสมอ เช่น วันละ 30 นาที หรือสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง การเรียนต่อเนื่องแม้ระยะสั้น ดีกว่าการอ่านหนักๆ ทีเดียวแล้วหยุดไป ฝึกใช้จริงในชีวิตประจำวัน ภาษาจะอยู่กับเราได้ ต้อง “ใช้จริง” เท่านั้น ลองเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น · พูดคำภาษาจีนกับตัวเองหน้ากระจก · เขียนโพสต์สั้นๆ เป็นภาษาจีนลงโซเชียล · ดูซีรีส์จีนพร้อมซับ แล้วจดคำที่ไม่รู้ไว้ทบทวน · ถ้ามีครูตัวต่อตัว เขายังสามารถช่วยวิเคราะห์ประโยคที่เราใช้ ว่าถูกต้องไหม และแนะนำคำที่เป็นธรรมชาติกว่าได้ด้วย การเริ่มเรียนภาษาจีนจากศูนย์อาจดูท้าทาย แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องสนุกมาก โดยเฉพาะเมื่อมีครูรับสอนภาษาจีนตัวต่อตัวคอยดูแลอย่างใกล้ชิด การเรียนแบบตัวต่อตัวช่วยให้เราเข้าใจเร็วขึ้น กล้าพูดมากขึ้น และได้ใช้ภาษาในแบบที่เหมาะกับตัวเองที่สุดภาษาจีนเป็นมากกว่าทักษะ - มันคือ “โอกาสใหม่” ที่จะเปิดโลกเรา ไม่ว่าจะเพื่อการทำงาน ท่องเที่ยว หรือการเติบโตส่วนตัวเริ่มวันนี้ แม้ไม่มีพื้นฐานเลย ก็สามารถกลายเป็นคนที่พูดภาษาจีนได้อย่างมั่นใจได้
  3. แชมพูลดผมมัน ผมร่วงเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ออกแบบมาเพื่อลดความมันส่วนเกินบนหนังศีรษะ โดยมีคุณสมบัติหลักในการทำความสะอาดอย่างล้ำลึก ควบคุมความมัน และช่วยรักษาสมดุลของหนังศีรษะไม่ให้แห้ง ทำให้เส้นผมรู้สึกเบาสบาย ไม่ลีบแบน ดูมีชีวิตชีวา และมั่นใจมากขึ้น วิธีการเลือกแชมพูสำหรับผมมัน มีรังแค การเลือกแชมพูลดผมมัน รังแคต้องเน้นทั้ง “การควบคุมความมัน” และ “ลดการสะสมของเชื้อราบนหนังศีรษะ” เพราะสองปัญหานี้มักเกิดคู่กัน ดังนั้นจำเป็นต้องเลือกแชมพูที่มีส่วนผสมดังต่อไปนี้ 1. เลือกแชมพูสูตรควบคุมความมัน (Oil Control / Clarifying) · ต้องมีส่วนผสมของ Oil Control, Clarifying เหมาะสำหรับหนังศีรษะมัน · เลือกที่มีส่วนผสมของ Zinc PCA, Tea Tree Oil, หรือ Salicylic Acid จะช่วยลดความมันส่วนเกิน · หลีกเลี่ยงแชมพูที่มีซิลิโคน หรือสารเคลือบผมเยอะ เพราะจะทำให้รูขุมขนอุดตันและมันไวขึ้น 2. เลือกแชมพูสูตรขจัดรังแค (Anti-Dandruff) ส่วนผสมสำคัญ · Pyrithione Zinc (ZPT) - ช่วยลดเชื้อราบนหนังศีรษะ · Ketoconazole - ยับยั้งเชื้อ Malassezia สาเหตุของรังแค · Coal Tar หรือ Selenium Sulfide - ลดการลอกของผิวหนังศีรษะ แนะนำให้ใช้สลับกับแชมพูสูตรอ่อนโยน เพื่อไม่ให้หนังศีรษะแห้งเกินไป 3. เลือกสูตรที่ช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื้น · ถึงจะผมมัน แต่หนังศีรษะก็ยังต้องการความชุ่มชื้น · มองหาส่วนผสมอย่าง Aloe Vera, Green Tea, หรือ Panthenol (Vitamin B5) ที่ช่วยปลอบประโลมหนังศีรษะ · หลีกเลี่ยงการสระด้วยน้ำร้อนจัด เพราะจะยิ่งกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น 4. ทดลองใช้แชมพูทีละสูตร · อย่าเปลี่ยนแชมพูบ่อย เพราะหนังศีรษะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ในการปรับตัว · หากใช้แล้วผมยังมันเร็ว หรือรังแคยังเยอะ อาจต้องเปลี่ยนเป็นสูตรที่มีตัวยาแรงขึ้นเล็กน้อย 5. เสริมด้วยการดูแลหลังสระ · ล้างแชมพูออกให้สะอาดทุกครั้ง เพราะคราบตกค้างทำให้เกิดรังแคได้ · หลีกเลี่ยงการใช้ครีมนวดโดนโคนผม · ใช้โทนเนอร์หรือสเปรย์ดูแลหนังศีรษะสูตรลดความมัน จะช่วยให้สมดุลดีขึ้น วิธีดูแลผมมัน ผมร่วงให้ดีจากภายในสู่ภายนอก การดูแลสุขภาพผมให้แข็งแรงไม่ใช่แค่การเลือกแชมพูให้ถูกต้องอย่างเดียว แต่ต้องดูแลสุขภาพจากภายในด้วย โดยเริ่มต้นง่ายๆ จากการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ที่จะช่วยทำให้เส้นผมของคุณมีแข็งแรง · เลือกทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่ ปลา ถั่ว และเต้าหู้ เพื่อช่วยสร้างเคราติน · ทานอาหารเสริมพวก สังกะสี เหล็ก และวิตามินบี เพื่อกระตุ้นการงอกของเส้นผม · ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของหนังศีรษะ · หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัด หรือของทอด เพราะจะกระตุ้นต่อมไขมัน ทำให้ผมมันและหลุดร่วงง่ายขึ้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่จะช่วยให้ลดผมมัน ผมร่วง · ไม่จับผมบ่อยเกินไป เพราะมือเรามีน้ำมันและสิ่งสกปรก · ควรเปลี่ยนปลอกหมอนและหวีเป็นประจำ เพื่อไม่ให้แบคทีเรียสะสม · หลีกเลี่ยงการมัดผมแน่นเกินไป เพราะทำให้รากผมอ่อนและหลุดง่าย · พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการนอนดึกและเครียดทำให้ฮอร์โมนเสียสมดุล ส่งผลให้ผมมันและร่วงมากขึ้น ปัญหา ผมมัน ผมร่วง และมีรังแค นั้นจริง ๆ แล้วมักเกี่ยวเนื่องกัน เพราะเมื่อหนังศีรษะผลิตน้ำมันมากเกินไป จะเกิดการอุดตันของรูขุมขน ทำให้รากผมอ่อนแอและหลุดร่วงง่าย ขณะเดียวกันความมันส่วนเกินยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราที่ก่อให้เกิดรังแคอีกด้วย วิธีง่ายๆ ในการแก้ปัญหาคือต้องการเลือกใช้แชมพูลดผมมัน ผมร่วงให้ถูกกับสภาพหนังศีรษะ ถ้าเป็นคนผมมันควรเลือกแชมพูสูตร ควบคุมความมัน ที่มีส่วนผสมช่วยลดการสะสมของไขมัน ส่วนคนที่มีรังแคควรมองหาแชมพูลดผมมัน รังแค ที่มี Ketoconazole หรือ Pyrithione Zinc เพื่อจัดการเชื้อราบนหนังศีรษะโดยเฉพาะนอกจากนี้ ควรสระผมด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง ล้างแชมพูให้สะอาด และหลีกเลี่ยงครีมนวดโดนโคนผม เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดความมัน ลดรังแค และให้รากผมแข็งแรงได้แล้วค่ะ
  4. การเริ่มต้นเรียนภาษาจีนสำหรับมือใหม่อาจดูเป็นเรื่องยากในตอนแรก เพราะภาษาจีนมีตัวอักษรและการออกเสียงที่แตกต่างจากภาษาไทยมาก แต่ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะถ้าคุณเริ่มต้นจากพื้นฐานที่ถูกต้อง ใช้วิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสม ก็สามารถช่วยให้คุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาจีนง่ายขึ้นได้ โดยเฉพาะการเรียนรู้ผ่านการสอนภาษาจีน ออนไลน์ ที่เข้าถึงได้ง่าย เพียงแค่คุณมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตก็สามารถเรียนออนไลน์ได้แล้ว ซึ่งการเรียนแบบออนไลน์มีข้อดีหลายอย่างดังนี้ สะดวกและประหยัดเวลา · เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ทำให้การเรียนเป็นไปตามความสะดวกและความต้องการของแต่ละบุคคล · ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปเรียน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่นๆ · รูปแบบการเรียนที่หลากหลาย มีทั้งคลาสเรียนสดตัวต่อตัวกับเหล่าซือ หรือการเรียนแบบกลุ่มเล็ก และมีสื่อการเรียนรู้อื่นๆ เช่น วิดีโอสอนภาษาจีน ออนไลน์สั้นๆ ที่ให้ทั้งความรู้และความสนุกสนาน ได้เรียนรู้และนำไปพัฒนาตนเอง · เสริมทักษะทางด้านภาษา ช่วยพัฒนาทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ · เพิ่มคุณสมบัติในการสมัครงาน ภาษาจีนเป็นทักษะพิเศษที่ทำให้มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดงาน และเปิดโอกาสในการทำงานกับบริษัทในประเทศจีน · สร้างระเบียบวินัย การเรียนออนไลน์ต้องอาศัยความขยันและมีระเบียบวินัย ซึ่งช่วยพัฒนาตนเองให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น · การเรียนรู้ที่ใกล้ตัวและนำไปใช้ได้จริง หลักสูตรสอนภาษาจีนทาง Online มักเน้นเนื้อหาที่ใกล้ตัวผู้เรียน ทำให้สามารถนำไปใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันและสถานการณ์จริงได้ทันที เปิดโอกาสและการขยายโลกทัศน์ · เปิดโอกาสทางธุรกิจ ภาษาจีนเป็นภาษาที่คนใช้มากที่สุดในโลกและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจระดับโลก การรู้ภาษาจีนจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจและการค้าได้ · เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น ได้เรียนรู้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และผู้คนใหม่ๆ ที่หลากหลาย ซึ่งช่วยให้มีมุมมองที่กว้างขึ้น · ส่งเสริมการเดินทาง สามารถเดินทางไปยังประเทศที่ใช้ภาษาจีนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ภาษาจีนเป็นภาษาที่มีโอกาสเปิดโลกนำไปสู่การทำงานที่กว้างขึ้น เพราะประเทศจีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และคนไทยจำนวนมากก็มีปฏิสัมพันธ์ทางธุรกิจกับจีนด้วย การมีทักษะภาษาจีนช่วยเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ที่จะทำให้เรารับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะแบบพูดคุยสื่อสารกับเพื่อนชาวจีน หรือทำงานในองค์กรที่มีพันธมิตรทางธุรกิจเป็นจีน ได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
  5. การเป็นตะคริว เกิดจาก การหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็วและรุนแรงโดยไม่ตั้งใจ และกล้ามเนื้อนั้นไม่คลายตัวเองตามปกติ ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดชั่วคราว สาเหตุของการเป็นตะคริวบ่อย เกิดจากอะไรได้บ้าง? 1. ภาวะขาดน้ำ หากในแต่ละวันมีการดื่มน้ำไม่เพียงพอ ร่างกายจะขาดน้ำ ส่งผลให้เกลือแร่ของเลือด โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียมในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในกล้ามเนื้อ และถ้ากล้ามเนื้อเกิดความไม่สมดุล จะทำให้กล้ามเนื้อที่นิ้วเท้าและฝ่าเท้าเกิดการหดตัวจนเกิด อาการตะคริวที่เท้า ขึ้นมา 2. ไม่ค่อยออกกำลังกาย การไม่ออกกำลังกายนอกจากจะทำให้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เสี่ยงที่จะเป็นโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ยังส่งผลให้เป็นตะคริวที่เท้าได้อีกด้วย เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อและระบบประสาทเกิดความสมดุล ทำให้กล้ามเนื้อไม่หดตัว ลดโอกาสในการเป็นตะคริว 3. สวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ในแต่ละวันเราใช้เท้าในการก้าวเดินไปยังที่ต่าง ๆ หลายร้อยหลายพันก้าว การเลือกรองเท้าที่มีรูปแบบการดีไซน์ที่เหมาะสม จะช่วยในการกระจายน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม เช่น คับไป หรือหลวมไป จะส่งผลให้เป็นตะคริวได้ 4. อาการทางสุขภาพ ผู้ป่วยที่มีอาการทางสุขภาพบางประเภท อาจมีผลทำให้เกิด อาการตะคริวที่เท้า ได้ เช่น ผู้ป่วยด้วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคพาร์กินสัน หรือโรคเบาหวาน เพราะอาการทางสุขภาพดังกล่าวจะทำให้ระบบประสาทมีการเปลี่ยนแปลง อาจเกิดอาการกระตุก และทำให้เป็นตะคริว 5. อายุ อายุที่เพิ่มมากขึ้น ก็เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นตะคริวมากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นระบบประสาทและกล้ามเนื้อก็จะค่อย ๆ ลดประสิทธิภาพในการทำงานลง ปริมาณน้ำในกล้ามเนื้อก็น้อยลง จนอาจทำให้กล้ามเนื้อที่บริเวณเท้าและนิ้วเท้าเกิดการเกร็งตัว จนเป็น อาการตะคริวที่เท้า ในที่สุด 6. การตั้งครรภ์ แน่นอนว่าปัญหานี้พบได้เฉพาะเพศหญิง แต่แพทย์และผู้เชี่ยวชาญยังไม่มีการค้นพบถึงสามารถที่แท้จริงว่าทำไมผู้ที่ตั้งท้องจึงมี อาการตะคริวที่เท้า แต่สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะ · น้ำหนักตัวของทารกที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ · ภาวะขาดน้ำ · ภาวะขาดสารอาหาร เช่น โพแทสเซียม หรือแมกนีเซียม วิธีแก้ไขเมื่อตะคริวเกิดขึ้น · ยืดกล้ามเนื้อทันที เช่น หากเป็นที่น่อง → เหยียดขาตรงแล้วดึงปลายเท้าเข้าหาตัวช้าๆ · นวดเบาๆ บริเวณที่เป็นตะคริว · ประคบร้อน หรืออาบน้ำอุ่น เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อ · หากตะคริวบ่อยผิดปกติ หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น บวม ชา ควรปรึกษาแพทย์ หากคุณรู้ถึงสาเหตุของการเป็นตะคริวบ่อย เกิดจากอะไรบ้าง ก็จะช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงการเป็นตะคริวบ่อยได้แม้ตะคริวจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนเมื่อมีการใช้งานกล้ามเนื้ออย่างหนัก หรืออยู่ในท่าเดิมนาน ๆ แต่หากเรารู้วิธีรับมือและวิธีการป้องกันที่ถูกต้องก็จะลดโอกาสการเกิดตะคริว และการเจ็บกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงเมื่อเกิดตะคริวได้
  6. แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน คืออะไร แชมพูออแกนิค คือ แชมพูที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย เช่น พาราเบน ซัลเฟต ซิลิโคน หรือสารกันเสียสังเคราะห์อื่น ๆ ในขณะเดียวกัน คำว่า สูตรอ่อนโยน หมายถึงสูตรที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หรือหนังศีรษะที่ระคายเคืองได้ง่าย ไม่ทำให้เกิดอาการคัน แห้งลอก หรือแพ้ การรวมกันของสองคุณสมบัตินี้ ทำให้แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ทำความสะอาดผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมอบความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ใช้ ทำไมแชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน ถึงตอบโจทย์ในปัจจุบัน ในอดีต เราอาจไม่ใส่ใจมากนักว่าแชมพูที่เราใช้ทุกวันมีส่วนผสมอะไรบ้าง แต่ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักว่าผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง อาจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หนังศีรษะเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้เส้นผมอ่อนแอและหลุดร่วงง่ายขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน เข้ามามีบทบาท เพราะแชมพูประเภทนี้เน้นใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือรบกวนสมดุลของหนังศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นสารสกัดจากว่านหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันทีทรี หรือดอกลาเวนเดอร์ ซึ่งล้วนมีคุณสมบัติในการบำรุงและฟื้นฟูหนังศีรษะอย่างอ่อนโยน ข้อดีของแชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน · ปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีผิวแพ้ง่าย หรือแม้แต่เด็ก แชมพูออแกนิคสามารถใช้ได้อย่างสบายใจ · ช่วยลดการสะสมของสารเคมีบนหนังศีรษะ เพราะการใช้แชมพูทั่วไปในระยะยาว อาจทำให้เกิดการสะสมของซิลิโคนหรือสารตกค้างที่ทำให้ผมแห้งและขาดหลุดร่วงได้ · เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะแชมพูออแกนิคมักไม่มีสารเคมีที่เป็นพิษต่อธรรมชาติ และบรรจุภัณฑ์ก็มักรีไซเคิลได้ · ดูแลเส้นผมอย่างล้ำลึก ด้วยพลังของสารสกัดจากธรรมชาติที่ไม่เพียงแค่ทำความสะอาด แต่ยังบำรุงในเวลาเดียวกัน แชมพูสูตรอ่อนโยน ขจัดรังแค เหมาะกับใครบ้าง · เหมาะกับผู้ที่มีรังแคเรื้อรังที่ไม่หายขาดจากการใช้แชมพูทั่วไป · เหมาะกับผู้ที่มีอาการแพ้ง่าย มีผื่นและคันหนังศีรษะจากสารเคมี · เหมาะกับเด็ก และผู้สูงอายุที่มีหนังศีรษะบอบบาง · เหมาะกับผู้ที่ใส่ใจในผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน ไม่เพียงแค่ดูแลหนังศีรษะเพียงเท่านั้น แต่ยังใส่ใจสุขภาพโดยรวมและใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเป็นมิตรกับธรรมชาติ ใช้ได้ทุกเพศทุกวัย ช่วยขจัดปัญหาหนังศีรษะได้อย่างหมดจดและอ่อนโยนกับหนังศีรษะอย่างล้ำลึก
  7. แชมพูออแกนิค คืออะไร แชมพูออแกนิค คือ แชมพูที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย เช่น พาราเบน ซัลเฟต ซิลิโคน หรือสารกันเสียสังเคราะห์อื่น ๆ ในขณะเดียวกัน คำว่า แชมพูสูตรอ่อนโยน หมายถึงสูตรที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หรือหนังศีรษะที่ระคายเคืองได้ง่าย ไม่ทำให้เกิดอาการคัน แห้งลอก หรือแพ้ การรวมกันของสองคุณสมบัตินี้ ทำให้แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ทำความสะอาดผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมอบความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ใช้ ข้อดีของแชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน 1. ปลอดภัยต่อหนังศีรษะ เพราะสารเคมีในแชมพูทั่วไป อาจก่อให้เกิดการสะสมและทำให้หนังศีรษะเกิดการระคายเคืองเมื่อใช้ในระยะยาว แต่แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน เลือกใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้ คาโมมายล์ หรือน้ำมันอาร์แกน ที่ช่วยปลอบประโลมผิวและลดการอักเสบได้ดี 2. ลดโอกาสการเกิดรังแค หนังศีรษะที่สมดุลย่อมลดการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของรังแค แชมพูสูตรอ่อนโยนจึงช่วยบำรุงลึกถึงรากผม และทำให้สภาพผิวหนังดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3. เหมาะสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ด้วยคุณสมบัติที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ จึงสามารถใช้ได้ทั้งครอบครัว โดยเฉพาะเด็กเล็ก หรือผู้ที่มีปัญหาผิวหนังเรื้อรัง 4. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แชมพูออแกนิคมักผลิตในกระบวนการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น ไม่ทดลองกับสัตว์ และใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ ส่วนผสมในแชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยนแต่ละชนิดช่วยอะไรได้บ้าง · ว่านหางจระเข้ มีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะและลดการระคายเคือง · น้ำมันอาร์แกน ช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูผมที่แห้งเสีย ให้กลับมาเงางามดูสุขภาพดี · ลาเวนเดอร์ มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและมีกลิ่นหอมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย · น้ำมันมะพร้าว ช่วยเพิ่มความนุ่มสลวย และลดการชี้ฟูของเส้นผม · ชาคาโมมายล์ ช่วยปลอบประโลมหนังศีรษะและลดอาการคัน ทำไมควรเปลี่ยนมาใช้แชมพูสูตรอ่อนโยน หลายคนอาจสงสัยว่าแชมพูทั่วไปก็ใช้ได้อยู่แล้ว แล้วทำไมต้องเปลี่ยน คำตอบคือแม้ในระยะสั้นแชมพูทั่วไปอาจดูเหมือนไม่มีผลเสีย แต่ในระยะยาวสารเคมีสะสมอาจทำให้หนังศีรษะอ่อนแอลง เกิดผมร่วง หรือแพ้สารบางชนิดได้โดยไม่รู้ตัว เลือกแชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยนอย่างไรให้เหมาะกับคุณ · ดูส่วนผสมอย่างละเอียด ควรหลีกเลี่ยง แอลกอฮอล์ ซิลิโคน พาราเบน ซัลเฟต เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองและลดการสะสมของสารเคมีบนหนังศีรษะ · เลือกสูตรที่เหมาะกับปัญหาของเส้นผมบนหนังศีรษะ เช่น หากมีปัญหารังแค ควรเลือกสูตรที่ลดรังแค · ควรซื้อขนาดทดลองมาใช้ก่อนเพื่อทดสอบอาการแพ้ · มองหาเครื่องหมายรับรอง เช่น USDA Organic หรือ Ecocert ที่ช่วยยืนยันว่าเป็นผลิตภัณฑ์ออแกนิคแท้ สรุป การเลือกใช้แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยนในการดูแลเส้นผม คือทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับร่างกายและสุขภาพระยะยาว การหลีกเลี่ยงสารเคมีนอกจากจะช่วยลดการสะสมของสารเคมีในระยะยาวแล้ว ยังช่วยให้ลดการเสี่ยงที่จะเกิดการแพ้ ปลอดภัยสามารถถใช้สระผมได้ทุกวัน
  8. หลอดเลือดหัวใจตีบคืออะไร หัวใจของเราทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตลอดเวลา โดยมีหลอดเลือดหัวใจ เป็นเส้นทางหลักที่นำเลือดซึ่งอุดมด้วยออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง เมื่อหลอดเลือดเหล่านี้เกิดการตีบหรืออุดตันเนื่องจากคราบไขมันไปสะสมอยู่ที่ผนังหลอดเลือด การไหลเวียนของเลือดก็จะถูกจำกัด ส่งผลให้หัวใจขาดออกซิเจนและอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายได้ในที่สุด เรียกว่า หลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดหัวใจตีบ อาการเริ่มต้นที่ไม่ควรมองข้าม · เจ็บหน้าอก มีอาการเจ็บหน้าอกแบบแน่น ๆ หรือรู้สึกเหมือนมีของหนักกดทับ มักเกิดขึ้นตรงกลางอกหรือด้านซ้าย เจ็บอาจลามไปถึงไหล่ คอ หรือกราม และมักเกิดเมื่อออกแรงหรือเครียด · มักจะเหนื่อยง่าย รู้สึกเหนื่อยผิดปกติขณะออกแรง เช่น เดินขึ้นบันได หรือเดินระยะทางสั้น ๆ ก็หอบง่าย · หายใจลำบาก เมื่อหลอดเลือดตีบจนเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ หัวใจจะสูบฉีดเลือดได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดภาวะหายใจลำบากโดยเฉพาะเวลาออกแรง · ใจสั่น อ่อนแรง หน้ามืด ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกเหมือนจะเป็นลม โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายใช้งานหนักหรืออยู่ในที่อากาศร้อน · อาการหัวใจวาย ในกรณีที่หลอดเลือดอุดตันเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง เหงื่อออกมาก คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที สาเหตุของการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ · มีความดันโลหิตสูง · เป็นเบาหวาน · มีไขมันในเลือดสูง · น้ำหนักเกิน · ไม่ออกกำลังกาย · สูบบุหรี่ · มีภาวะเครียดสะสม วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ 1. ทานอาหารที่ย่อยง่ายและดีต่อสุขภาพ ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร 2. ควรลดการบริโภคอาหารที่มี น้ำตาล ไขมันอิ่มตัว และโซเดียม เพื่อลดการสะสมของไขมัน และลดการสะสมของโซเดียม 3. ออกกำลังกายอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไป อย่างน้อยวันละ 30 นาที และควรออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน 4. ควรงดบุหรี่และหลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่ เพราะสารในบุหรี่เร่งการอักเสบในผนังหลอดเลือด 5. ควบคุมโรคประจำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเสมอ เพื่อให้ภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง 6. ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อหาสาเหตุของการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ หลอดเลือดหัวใจตีบเป็นหนึ่งในภัยเงียบที่ควรให้ความสำคัญ การรู้ทันอาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ควรดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่เนิน ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคอันตรายต่าง ๆ ในภายหลัง
  9. ผงชาเขียวคืออะไร มีที่มาจากไหน ผงชาเขียว หรือ ผงชาเขียวมัทฉะ มีที่มาเดียวกันจากใบชาที่นำไปผ่านกรรมวิธีในการตากแห้งและฆ่าเชื้อจนสะอาด จากนั้นก็นำมาบดให้ละเอียด รสชาติที่ได้จะมีความเข้มข้น สามารถนำไปชงเพิ่มกับนมอุ่น ๆ ได้หรือนำผงชาเขียวไปแปรรูปทำเบเกอรี่ก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผงชาเขียวหรือผงชาเขียวมัทฉะนี้มีที่มาจากประเทศญี่ปุ่น เพราะคนญี่ปุ่นชอบดื่มชาเขียวมัทฉะเป็นชีวิตจิตใจ จนมีพิธีชงชาเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน ประโยชน์ของผงชาเขียว ผงชาเขียวมีประโยชน์และสรรพคุณมากในหลายด้าน ดังนี้ · มีส่วนช่วยในการลดอาการปวดศีรษะ · ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย · แก้ร้อนใน · แก้หวัด · ช่วยให้สร่างเมาจากการดื่มสุรา · มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก · ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในร่างกาย · ป้องกันตับจากภาวะพิษทั้งหลาย · มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ · ช่วยแก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย และท้องบิดได้ · ช่วยแก้อาการกระหายน้ำและช่วยระบายความร้อนจากปอด โทษของผงชาเขียว เมื่อมีประโยชน์แล้วก็ต้องมีโทษด้วยเช่นกัน เมื่อทานมากเกินความจำเป็นจากประโยชน์ก็กลายเป็นโทษได้ มีหลายข้อ ดังนี้ · ผงชาเขียว มีคาเฟอีนเหมือนกับกาแฟและโกโก้ ทำให้เมื่อดื่มมากเกินไป 3 – 4 แก้วต่อวัน อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ท้องเสีย คลื่นไส้ได้ · คุณแม่ที่ต้องให้นมบุตรไม่ควรดื่มชาเขียวเกินวันละ 2 แก้ว เพราะอาจทำให้คาเฟอีนส่งผ่านไปยังน้ำนม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการเป็นอันตรายต่อเด็กได้ · การดื่มชาเขียวขณะตั้งครรภ์อาจทำให้เสี่ยงต่อการแท้งได้ · การดื่มชาเขียวในขณะที่ท้องว่างอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อตับ ไต และระบบทางเดินอาหารได้ ผงชาเขียวเหมาะกับใครบ้าง · คนรักสุขภาพ เพราะ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และโรคมะเร็งได้ และยังมีส่วนช่วยในการเผาผลาญ และขับสารพิษได้ · เหมาะกับวัยเรียนและวัยทำงาน เพราะมีคาเฟอีนทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และสารแอลธีอะนีนในกาแฟทำให้ช่วยมีสมาธิในการทำงานและอ่านหนังสือได้ · เหมาะกับผู้สูงอายุ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด · เหมาะสำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก · เหมาะสำหรับผู้ทำเบเกอรี่ หรือร้านคาเฟ่ เพราะ ผงชาเขียวเป็นตัวช่วยอย่างดีในการทำขนมและเครื่องดื่ม ใช้งานง่าย ใครบ้างที่ควรระมัดระวังในการดื่มชาเขียว · ผู้ตั้งครรภ์และคุณแม่ให้นมบุตร ไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้ว เพราะอาจส่งผลต่อเด็กได้ · ผู้ที่มีปัญหากระเพาะอาหาร เนื่องจากชาเขียวเป็นกรดอ่อนอาจทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ในบางคน · ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง หรือมีภาวะโลหิตจาง เพราะสารแทนนินในชาเขียวจะยับยั้ง การดูดซึมของธาตุเหล็ก ควรดื่มหลังจากมื้ออาหารไปแล้ว 1 ชั่วโมง · ผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับ ใจสั่น คลื่นไส้ได้ · ผู้ที่ใช้ยาบางประเภท เพราะชาเขียวอาจรบกวนการออกฤทธิ์ของยา เช่น ยาระงับประสาท ยาลดความดัน หรือยาละลายลิ่มเลือด สรุป ผงชาเขียว หรือ ผงชาเขียวมัทฉะ เป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์และเป็นมิตรกับทุกเพศทุกวัย แต่ไม่ควรดื่มมากกว่า 3 แก้วต่อวัน เพราะ อาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ควรดื่มอย่างเหมาะสมต่อวัน
  10. วิปครีมผงคืออะไร? ทำไมสายเบเกอรี่ควรรู้จัก วิปครีมผง (Whipping Cream Powder) คือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากครีมหรือไขมันพืชที่ถูกทำให้แห้ง เพื่อความสะดวกในการเก็บรักษาและขนส่ง โดยมีลักษณะเป็นผงสีขาวหรือสีครีมอ่อน เมื่อต้องการใช้ก็เพียงแค่เติมน้ำเย็น หรือนม แล้วตีด้วยเครื่องตี ก็จะได้วิปครีมเนื้อนุ่มฟู เหมือนครีมสด ใช้ตกแต่งขนมหรือใส่เครื่องดื่มได้อย่างง่ายดาย จุดเด่นของวิปครีมผง · เก็บได้นาน โดยไม่ต้องแช่เย็น ช่วยลดปัญหาหมดอายุเร็วแบบครีมสด · สะดวกในการใช้งาน แค่ผสมน้ำเย็นแล้วตี ไม่ต้องเตรียมวัตถุดิบหลายอย่าง · ตีขึ้นฟูได้ง่าย และมักคงรูปได้นาน เหมาะกับงานตกแต่งเค้กหรือของหวาน · ต้นทุนค่อนข้างประหยัด เมื่อเทียบกับวิปปิ้งครีมแบบเหลว วิธีใช้วิปครีมผง synova · ตวงวิปครีมผงตามอัตราส่วนที่ระบุในฉลาก (เช่น 100 กรัม) · เติมน้ำเย็นหรือนมเย็น (เช่น 150–200 มล.) · ตีด้วยเครื่องตีความเร็วสูง ประมาณ 4–6 นาที จนขึ้นฟูเป็นเนื้อครีม · ใช้ทันที หรือแช่เย็นเพื่อเพิ่มความอยู่ตัว เหมาะกับใคร? · ร้านเบเกอรี่ ที่ต้องการประหยัดพื้นที่แช่เย็น · คาเฟ่ ที่อยากตกแต่งเครื่องดื่มให้สวยงาม · มือใหม่ทำขนม ที่อยากเริ่มต้นง่าย ไม่ต้องกลัวครีมเสีย ข้อควรระวัง · เลือกยี่ห้อที่เชื่อถือได้ เพราะคุณภาพและรสชาติอาจแตกต่างกัน · บางยี่ห้ออาจใส่น้ำตาลมาแล้ว ควรตรวจสอบก่อนผสมกับเมนูอื่น ดังนั้นวิปครีมผง จึงกลายทางเลือกที่สะดวก คุ้มค่า และใช้งานง่าย เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และมือโปรในสายขนมและเครื่องดื่ม ให้คุณสร้างสรรค์เมนูได้หลากหลาย พร้อมเก็บรักษาได้นาน ไม่ต้องกังวลเรื่องการแช่เย็นหรือครีมเสียง่าย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.synova.biz/retail-products-for-express-delivery/whipping-cream-premix/288/TH
  11. ท้องลายหลังคลอด เป็นปัญหาที่คุณแม่หลายคนเผชิญหลังการตั้งครรภ์ โดยจะปรากฏเป็นเส้นสีแดง ม่วง หรือขาวบนผิวหนังบริเวณหน้าท้อง สะโพก ต้นขา หรือหน้าอก ซึ่งแม้จะไม่อันตรายต่อสุขภาพ แต่ส่งผลต่อความมั่นใจอย่างมาก สาเหตุของท้องลายหลังคลอด · การยืดขยายของผิวหนังอย่างรวดเร็ว ช่วงตั้งครรภ์ ผิวหนังบริเวณหน้าท้องขยายออกเพื่อรองรับทารก ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังฉีกขาด · ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและคอร์ติโซนเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อความยืดหยุ่นของผิว ทำให้เกิดรอยแตกได้ง่ายขึ้น · กรรมพันธุ์ หากแม่หรือพี่สาวเคยมีท้องลาย คุณก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นกัน · น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำหนักที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงสั้น ๆ ทำให้ผิวหนังไม่สามารถปรับตัวทัน วิธีป้องกันท้องลายตั้งแต่ระหว่างตั้งครรภ์ 1. บำรุงผิวด้วยครีมหรือออยล์เป็นประจำ ใช้ครีมหรือออยล์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่น เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอัลมอนด์ เชียร์บัตเตอร์ ครีมที่มีวิตามินอีหรือคอลลาเจน ทาบริเวณหน้าท้อง สะโพก ต้นขา และหน้าอก วันละ 2 ครั้ง (เช้า–เย็น) 2. ดื่มน้ำมากพอ วันละ 8–10 แก้ว เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้นจากภายใน ลดความเสี่ยงการแตกลาย 3. ควบคุมน้ำหนักอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการเพิ่มน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ปรึกษาคุณหมอเพื่อควบคุมน้ำหนักตามเกณฑ์ที่เหมาะสม 4. กินอาหารที่บำรุงผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อาหารที่มีวิตามินซี (ส้ม ฝรั่ง พริกหวาน),โปรตีน (ไข่ ปลา ถั่วเหลือง),ไขมันดี (อะโวคาโด ถั่ว เมล็ดแฟลกซ์) 5. หลีกเลี่ยงการเกา เมื่อผิวแห้งหรือคันระหว่างตั้งครรภ์ ควรทาครีมหรือใช้น้ำเย็นประคบแทนการเกา การเกาอาจทำให้ผิวฉีกขาดง่ายและเสี่ยงต่อการแตกลาย 6. ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น โยคะสำหรับคนท้อง หรือเดินช้า ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้น 7. สวมเสื้อผ้าที่พอดีตัว หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าคับแน่นบริเวณหน้าท้อง เพราะอาจเพิ่มแรงกดทับและรบกวนการไหลเวียนเลือด วิธีรักษาท้องลายหลังคลอด · ทาครีมลดรอยแตกลาย ใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เช่น ครีมที่มีวิตามินอี เรตินอล หรือกรดไฮยาลูรอนิก (แต่ต้องหลีกเลี่ยงในช่วงให้นมบุตรหากมีส่วนผสมที่ไม่ปลอดภัย) · การทำเลเซอร์ เช่น fractional laser หรือ fractional CO2 ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน · Microneedling (Derma Roller/Derma Pen) กระตุ้นการฟื้นฟูผิวด้วยการสร้างรอยเล็ก ๆ บนผิวหนัง เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน · ทรีตเมนต์อื่น ๆ เช่น Radiofrequency, PRP (Platelet-rich plasma), หรือคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ สรุป ท้องแตกลายเกิดจากการยืดขยายของผิวหนัง ร่วมกับปัจจัยฮอร์โมนและกรรมพันธุ์ การป้องกันควรเริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์ โดยเน้นบำรุงผิวและควบคุมน้ำหนัก การรักษาหลังคลอดทำได้หลายวิธี ทั้งใช้ครีม เลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ทางการแพทย์ หากท้องลายหลังคลอดรบกวนใจมาก ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดค่ะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.aestimaclinic.com/หน้าท้องแตกลายหลังคลอด-ตั้งครรภ์/
  12. Morpheus คืออะไร Morpheus คือ การใช้คลื่นพลังงานความถี่วิทยุร่วมกับเข็มไมโครนีดเดิล เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิวหนัง ช่วยให้ใบหน้ากระชับ เรียบเนียน ดูอ่อนวัย โดยไม่ต้องผ่าตัด Morpheus จะเห็นผลชัดเจนและยาวนานกว่าเครื่อง RF หรือเลเซอร์ทั่วไป Morpheus 8 คืออะไร Morpheus 8 คือ รุ่นยอดนิยมของเทคโนโลยี Morpheus ที่พัฒนาโดยบริษัท InMode จากสหรัฐอเมริกา โดยผสานเข็มไมโครนีดเดิลเข้ากับความถี่วิทยุอย่างลงตัว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนลึกถึงระดับไขมันใต้ชั้นผิว ซึ่งเป็นชั้นที่มีผลต่อความหย่อนคล้อยของผิว และ Morpheus 8 ยังสามารถปรับระดับความลึกได้หลายระดับ ทำให้สามารถใช้ได้กับทั้งใบหน้า ลำคอ หน้าท้อง แขน ขา และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย จุดเด่นของ Morpheus 8 · ลงลึกได้มากกว่านวัตกรรมคลื่นวิทยุทั่วไป · สามารถยกกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด · กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ · เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ · ปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา Morpheus เหมาะกับใครบ้าง · เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ · เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยลึก · เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด · เหมาะกับผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ต้องการฟื้นฟูให้เรียบเนียน · เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับผิวบริเวณลำคอ เหนียง หรือหน้าท้องหลังคลอด Morpheus ต่างจาก RF หรือเลเซอร์ทั่วไปอย่างไร เทคโนโลยี RF แบบดั้งเดิมจะส่งพลังงานลงลึกได้แค่ระดับผิวชั้นบนหรือกลาง แต่ Morpheus 8 สามารถลงลึกถึงชั้นไขมัน ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยในระยะยาว อีกทั้งยังควบคุมระดับความลึกและระดับพลังงานได้แม่นยำ ทำให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า สรุป Morpheus คือ เทคโนโลยีที่ช่วยกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้เข็มไมโครนีดเดิลและคลื่นวิทยุ เพื่อสร้างการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิวหนัง โดย Morpheus 8 คือ รุ่นที่ทำงานได้ดีและผลลัพธ์ล้ำลึกและมีความแม่นยำมากขึ้น
  13. อาการวัยทอง และวิธีแก้อาการวัยทอง วัยทอง (Menopause) คือช่วงที่ร่างกายของผู้หญิงเริ่มหยุดการผลิตฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) โดยมากมักเริ่มตั้งแต่อายุ 45 - 55 ปี ส่งผลให้เกิดอาการหลายอย่างทั้งด้านร่างกายและจิตใจ อาการวัยทองที่พบบ่อย · ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน · ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ก่อนจะหยุดไป · อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า · นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท · ช่องคลอดแห้ง มีอาการแสบหรือเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ · ผิวแห้ง ผมร่วง ความยืดหยุ่นของผิวลดลง · น้ำหนักขึ้นง่าย โดยเฉพาะรอบเอว · ปัสสาวะบ่อย หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ · ความจำลดลง หรือรู้สึกมึนงงง่าย วิธีแก้วัยทอง 1. ดูแลสุขภาพด้วยการปรับพฤติกรรม รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะ แคลเซียม และ วิตามินดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว โยคะ ว่ายน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ฝึกสมาธิ 2. การใช้ฮอร์โมนทดแทน (HRT) แพทย์อาจแนะนำการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน/โปรเจสเตอโรน ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจมีผลข้างเคียง 3. อาหารเสริมจากธรรมชาติ ถั่วเหลือง (มีไฟโตเอสโตรเจน), น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส, แบล็คโคฮอช เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย มีงานวิจัยรองรับ 4. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์เฉพาะทาง หากมีอาการรุนแรง เช่น ซึมเศร้าหนัก เจ็บช่องคลอด หรือนอนไม่หลับเรื้อรัง ควรพบแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำในการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเองเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อาการวัยทอง อย่าปล่อยให้ปัญหาลุกลาม การดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้ผ่านช่วงวัยทองไปอย่างสมดุลและมีความสุขได้ค่ะ
  14. "ราชพฤกษ์" ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อถนนเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นชื่อของทำเลศักยภาพที่หลายคนหมายตาไว้สำหรับการอยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว คนทำงาน และผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยใกล้เมืองแต่ไม่พลุกพล่านเกินไป ความโดดเด่นของทำเลบ้านราชพฤกษ์ · บรรยากาศเงียบสงบ ทำเลที่ตั้งของบ้าน ราชพฤกษ์อยู่ใกล้กับกรุงเทพ แต่กลับมีบรรยากาศที่เงียบสงบ ปราศจากความวุ่นวาย และให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้พักอาศัยได้ ทำให้บ้าน ราชพฤกษ์นั้นเหมาะกับผู้ที่ต้องการพักอาศัยในทำเลที่เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย · เดินทางสะดวกสบาย เชื่อมต่อทุกการเดินทาง บ้าน ราชพฤกษ์เป็นย่านที่อยู่ใกล้กับตัวเมือง ทำให้สามารถเดินทางได้สะดวกสบาย ด้วยรถไฟฟ้าสาธารณะ MRT หรือรถยนต์ส่วนตัวที่สามารถเดินทางด้วยถนนเส้นหลักที่เชื่อมต่อกับถนนหลายสายสำคัญ เช่น ถนนพระราม5 ถนนนครอินทร์ และถนนรัตนาธิเบศร์ นอกจากนี้ยังมีทางด่วนพิเศษศรีรัชที่ช่วยให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเดินทางไปทำงานในใจกลางเมืองหรือออกไปเที่ยวต่างจังหวัด · ทางเลือกหลากหลายในการช้อปปิ้ง บ้าน ราชพฤกษ์นั้นเต็มไปด้วยแหล่งอำนวยความสะดวก อย่างห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต, เซ็นทรัลพลาซา รัตนาธิเบศร์, อิเกีย บางใหญ่, เดอะ วอล์ค ราชพฤกษ์, เดอะ คริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์ และชิค รีพับบลิค เป็นต้น แนวโน้มอนาคตของย่านราชพฤกษ์ การเติบโตของโครงข่ายคมนาคม: ถนนตัดใหม่และรถไฟฟ้าขยายเส้นทางช่วยลดเวลาการเดินทาง พื้นที่ยังพัฒนาได้อีกมาก: มีที่ดินเปล่าและพื้นที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง ความต้องการอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานและครอบครัวรุ่นใหม่ที่มองหาความสมดุลระหว่างการเดินทางและคุณภาพชีวิต สรุป บ้าน ราชพฤกษ์ เป็นบ้านที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานในเมือง ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังใจกลางเมืองสาทร – สีลมได้อย่างง่ายดาย เป็นทำเลที่มีศักยภาพสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการใช้ชีวิตและการเติบโตในอนาคต สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.lalinproperty.com/properties/lanceo-crib-rattanathibet/
  15. ชาเขียวไม่ใช่แค่เครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น หรือแค่รสชาติที่เข้ากับขนมหวานสมัยใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน และส่วนใหญ่นิยมนำชาเขียวมาทำเป็นผง เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปใช้งานและเก็บรักษาอีกทั้งยังมีหลายประเภทให้ได้เลือก โดยแต่ละประเภทมีกระบวนการผลิต คุณภาพ วัตถุประสงค์การใช้งาน และแหล่งที่มา แตกต่างกันดังนี้ 1. มัทฉะ (Matcha / 抹茶) ลักษณะ · ผงชาเขียวเนื้อละเอียด สีเขียวสด ทำจากใบชาเกรดพรีเมียมที่ปลูกในร่มเพื่อลดแสงแดด ทำให้ใบชามีกรดอะมิโนสูง โดยเฉพาะ L-Theanine กระบวนการผลิต · เก็บใบชาอ่อน → นึ่งหยุดการหมัก → ตากแห้ง → เอาเส้นใบออก → บดด้วยโม่หินจนละเอียด *ทันทีหลังเก็บ จะนำใบชาไป นึ่ง เพียงไม่กี่วินาทีเพื่อหยุดการหมัก การนึ่งช่วยรักษาสีเขียวสด กลิ่นหอม และรสชาติชาไว้* เกรดมัทฉะมีหลายระดับ · Ceremonial Grade (เกรดพิธีชงชา) คุณภาพสูงสุด รสชาติกลมกล่อม ไม่ขม สีเขียวสดใส ใช้ดื่มโดยตรง · Premium Grade ใกล้เคียงกับ ceremonial แต่ราคาถูกลงเล็กน้อย ใช้ดื่มหรือผสมในเครื่องดื่ม · Culinary Grade (เกรดทำอาหาร) สีและรสชาติจะเข้มขึ้น ขมเล็กน้อย ใช้ในเบเกอรี่ ไอศกรีม ลาเต้ ฯลฯ 2. ชาเขียวเซนฉะ (Sencha / 煎茶) ลักษณะ · ใบชาธรรมดาที่ตากแสงแดด ปลูกในที่โล่ง สีจะไม่เขียวจัดเท่ามัทฉะ มีรสชาติเข้มข้น หอมสดชื่น กระบวนการผลิต · คล้ายมัทฉะ แต่บดไม่ละเอียด หรือบางครั้งใช้เป็นใบแห้งไม่บดเลย การใช้งาน · ใช้ชงดื่มทั่วไป หรือบดใช้เป็นผงในอาหารได้บ้าง แต่ไม่ละเอียดและรสชาติจะไม่ละมุนเท่ามัทฉะ 3. โฮจิฉะ (Hojicha / 焙じ茶) ลักษณะ · ชาเขียวที่นำไปคั่วด้วยไฟ ทำให้สีเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเข้ม มีกลิ่นหอมเหมือนคั่วถ่าน รสชาติอ่อนนุ่ม ไม่มีคาเฟอีนมาก การใช้งาน · มักใช้ทำเครื่องดื่ม กลิ่นหอมเฉพาะตัว หรือทำขนม กลิ่นจะคล้ายคาราเมลหรือกาแฟอ่อน ๆ 4. เกียวคุโระ (Gyokuro / 玉露) ลักษณะ · ชาเกรดสูงสุดอีกประเภทหนึ่ง ปลูกในร่มเหมือนมัทฉะ แต่ไม่บดเป็นผง ใช้ใบชงร้อน รสชาติหวานนุ่ม สีเขียวเข้ม การใช้งาน · ชงดื่มเฉพาะสายชาที่ชอบรสชาติซับซ้อน กลิ่นหอมหวานจากกรดอะมิโนสูง 5. ชาคุคิฉะ (Kukicha / 茎茶) ลักษณะ · ทำจากก้านชาแทนใบชา บางครั้งเรียกว่า "Twig Tea" กลิ่นจะเบากว่า และคาเฟอีนน้อยกว่าชาทั่วไป การใช้งาน · นิยมใช้ชงดื่ม มีรสชาติอ่อน กลมกล่อม เป็นทางเลือกสำหรับคนไม่อยากดื่มคาเฟอีนเยอะ 6. ชาคอมบุ (Konbucha / 昆布茶) (ไม่ใช่ Kombucha ที่เป็นชาหมัก) ลักษณะ · ทำจากสาหร่ายคอมบุบดผสมชา มีกลิ่นเค็ม ๆ นิยมในญี่ปุ่น มักชงดื่มเป็นซุปอ่อน ๆ สรุป การเลือกผงชาเขียวที่เหมาะสม ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับราคา แต่ขึ้นอยู่กับ “วัตถุประสงค์ในการใช้” และ “คุณภาพของชา” ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่หลัก ๆ เกรดของผงชาเขียว,วัตถุประสงค์การใช้งาน,สี – กลิ่น – ความละเอียด อย่างเช่น ถ้าจะดื่ม – ใช้มัทฉะพรีเมียม,ถ้าจะทำขนม – ใช้มัทฉะเกรดทำอาหาร,ถ้าอยากได้กลิ่นคั่ว – เลือกโฮจิฉะ และถ้าอยากดื่มเบา ๆ – เลือกคุคิฉะหรือเซนฉะ เป็นต้น สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของผงชาเขียวได้ที่ : https://www.synova.biz/retail-products-for-express-delivery/premium-matcha-latte-premix/113/TH
×
×
  • Create New...