Jump to content
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

Chantima

Patriarch
  • Content Count

    165
  • Joined

  • Last visited

Community Reputation

0 medium

About Chantima

  • Rank
    ขาใหญ่

Profile Information

  • เพศ
    หญิง
  • ที่อยู่
    กรุงเทพมหานคร
  1. การเป็นตะคริว เกิดจาก การหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็วและรุนแรงโดยไม่ตั้งใจ และกล้ามเนื้อนั้นไม่คลายตัวเองตามปกติ ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดชั่วคราว สาเหตุของการเป็นตะคริวบ่อย เกิดจากอะไรได้บ้าง? 1. ภาวะขาดน้ำ หากในแต่ละวันมีการดื่มน้ำไม่เพียงพอ ร่างกายจะขาดน้ำ ส่งผลให้เกลือแร่ของเลือด โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียมในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในกล้ามเนื้อ และถ้ากล้ามเนื้อเกิดความไม่สมดุล จะทำให้กล้ามเนื้อที่นิ้วเท้าและฝ่าเท้าเกิดการหดตัวจนเกิด อาการตะคริวที่เท้า ขึ้นมา 2. ไม่ค่อยออกกำลังกาย การไม่ออกกำลังกายนอกจากจะทำให้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เสี่ยงที่จะเป็นโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ยังส่งผลให้เป็นตะคริวที่เท้าได้อีกด้วย เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อและระบบประสาทเกิดความสมดุล ทำให้กล้ามเนื้อไม่หดตัว ลดโอกาสในการเป็นตะคริว 3. สวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ในแต่ละวันเราใช้เท้าในการก้าวเดินไปยังที่ต่าง ๆ หลายร้อยหลายพันก้าว การเลือกรองเท้าที่มีรูปแบบการดีไซน์ที่เหมาะสม จะช่วยในการกระจายน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม เช่น คับไป หรือหลวมไป จะส่งผลให้เป็นตะคริวได้ 4. อาการทางสุขภาพ ผู้ป่วยที่มีอาการทางสุขภาพบางประเภท อาจมีผลทำให้เกิด อาการตะคริวที่เท้า ได้ เช่น ผู้ป่วยด้วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคพาร์กินสัน หรือโรคเบาหวาน เพราะอาการทางสุขภาพดังกล่าวจะทำให้ระบบประสาทมีการเปลี่ยนแปลง อาจเกิดอาการกระตุก และทำให้เป็นตะคริว 5. อายุ อายุที่เพิ่มมากขึ้น ก็เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นตะคริวมากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นระบบประสาทและกล้ามเนื้อก็จะค่อย ๆ ลดประสิทธิภาพในการทำงานลง ปริมาณน้ำในกล้ามเนื้อก็น้อยลง จนอาจทำให้กล้ามเนื้อที่บริเวณเท้าและนิ้วเท้าเกิดการเกร็งตัว จนเป็น อาการตะคริวที่เท้า ในที่สุด 6. การตั้งครรภ์ แน่นอนว่าปัญหานี้พบได้เฉพาะเพศหญิง แต่แพทย์และผู้เชี่ยวชาญยังไม่มีการค้นพบถึงสามารถที่แท้จริงว่าทำไมผู้ที่ตั้งท้องจึงมี อาการตะคริวที่เท้า แต่สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะ · น้ำหนักตัวของทารกที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ · ภาวะขาดน้ำ · ภาวะขาดสารอาหาร เช่น โพแทสเซียม หรือแมกนีเซียม วิธีแก้ไขเมื่อตะคริวเกิดขึ้น · ยืดกล้ามเนื้อทันที เช่น หากเป็นที่น่อง → เหยียดขาตรงแล้วดึงปลายเท้าเข้าหาตัวช้าๆ · นวดเบาๆ บริเวณที่เป็นตะคริว · ประคบร้อน หรืออาบน้ำอุ่น เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อ · หากตะคริวบ่อยผิดปกติ หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น บวม ชา ควรปรึกษาแพทย์ หากคุณรู้ถึงสาเหตุของการเป็นตะคริวบ่อย เกิดจากอะไรบ้าง ก็จะช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงการเป็นตะคริวบ่อยได้แม้ตะคริวจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนเมื่อมีการใช้งานกล้ามเนื้ออย่างหนัก หรืออยู่ในท่าเดิมนาน ๆ แต่หากเรารู้วิธีรับมือและวิธีการป้องกันที่ถูกต้องก็จะลดโอกาสการเกิดตะคริว และการเจ็บกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงเมื่อเกิดตะคริวได้
  2. แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน คืออะไร แชมพูออแกนิค คือ แชมพูที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย เช่น พาราเบน ซัลเฟต ซิลิโคน หรือสารกันเสียสังเคราะห์อื่น ๆ ในขณะเดียวกัน คำว่า สูตรอ่อนโยน หมายถึงสูตรที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หรือหนังศีรษะที่ระคายเคืองได้ง่าย ไม่ทำให้เกิดอาการคัน แห้งลอก หรือแพ้ การรวมกันของสองคุณสมบัตินี้ ทำให้แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ทำความสะอาดผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมอบความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ใช้ ทำไมแชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน ถึงตอบโจทย์ในปัจจุบัน ในอดีต เราอาจไม่ใส่ใจมากนักว่าแชมพูที่เราใช้ทุกวันมีส่วนผสมอะไรบ้าง แต่ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักว่าผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง อาจเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หนังศีรษะเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้เส้นผมอ่อนแอและหลุดร่วงง่ายขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน เข้ามามีบทบาท เพราะแชมพูประเภทนี้เน้นใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือรบกวนสมดุลของหนังศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นสารสกัดจากว่านหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันทีทรี หรือดอกลาเวนเดอร์ ซึ่งล้วนมีคุณสมบัติในการบำรุงและฟื้นฟูหนังศีรษะอย่างอ่อนโยน ข้อดีของแชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน · ปลอดภัยสำหรับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีผิวแพ้ง่าย หรือแม้แต่เด็ก แชมพูออแกนิคสามารถใช้ได้อย่างสบายใจ · ช่วยลดการสะสมของสารเคมีบนหนังศีรษะ เพราะการใช้แชมพูทั่วไปในระยะยาว อาจทำให้เกิดการสะสมของซิลิโคนหรือสารตกค้างที่ทำให้ผมแห้งและขาดหลุดร่วงได้ · เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะแชมพูออแกนิคมักไม่มีสารเคมีที่เป็นพิษต่อธรรมชาติ และบรรจุภัณฑ์ก็มักรีไซเคิลได้ · ดูแลเส้นผมอย่างล้ำลึก ด้วยพลังของสารสกัดจากธรรมชาติที่ไม่เพียงแค่ทำความสะอาด แต่ยังบำรุงในเวลาเดียวกัน แชมพูสูตรอ่อนโยน ขจัดรังแค เหมาะกับใครบ้าง · เหมาะกับผู้ที่มีรังแคเรื้อรังที่ไม่หายขาดจากการใช้แชมพูทั่วไป · เหมาะกับผู้ที่มีอาการแพ้ง่าย มีผื่นและคันหนังศีรษะจากสารเคมี · เหมาะกับเด็ก และผู้สูงอายุที่มีหนังศีรษะบอบบาง · เหมาะกับผู้ที่ใส่ใจในผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน ไม่เพียงแค่ดูแลหนังศีรษะเพียงเท่านั้น แต่ยังใส่ใจสุขภาพโดยรวมและใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเป็นมิตรกับธรรมชาติ ใช้ได้ทุกเพศทุกวัย ช่วยขจัดปัญหาหนังศีรษะได้อย่างหมดจดและอ่อนโยนกับหนังศีรษะอย่างล้ำลึก
  3. แชมพูออแกนิค คืออะไร แชมพูออแกนิค คือ แชมพูที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย เช่น พาราเบน ซัลเฟต ซิลิโคน หรือสารกันเสียสังเคราะห์อื่น ๆ ในขณะเดียวกัน คำว่า แชมพูสูตรอ่อนโยน หมายถึงสูตรที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย หรือหนังศีรษะที่ระคายเคืองได้ง่าย ไม่ทำให้เกิดอาการคัน แห้งลอก หรือแพ้ การรวมกันของสองคุณสมบัตินี้ ทำให้แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ทำความสะอาดผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมอบความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ใช้ ข้อดีของแชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน 1. ปลอดภัยต่อหนังศีรษะ เพราะสารเคมีในแชมพูทั่วไป อาจก่อให้เกิดการสะสมและทำให้หนังศีรษะเกิดการระคายเคืองเมื่อใช้ในระยะยาว แต่แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยน เลือกใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้ คาโมมายล์ หรือน้ำมันอาร์แกน ที่ช่วยปลอบประโลมผิวและลดการอักเสบได้ดี 2. ลดโอกาสการเกิดรังแค หนังศีรษะที่สมดุลย่อมลดการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของรังแค แชมพูสูตรอ่อนโยนจึงช่วยบำรุงลึกถึงรากผม และทำให้สภาพผิวหนังดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3. เหมาะสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ด้วยคุณสมบัติที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ จึงสามารถใช้ได้ทั้งครอบครัว โดยเฉพาะเด็กเล็ก หรือผู้ที่มีปัญหาผิวหนังเรื้อรัง 4. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แชมพูออแกนิคมักผลิตในกระบวนการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น ไม่ทดลองกับสัตว์ และใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ ส่วนผสมในแชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยนแต่ละชนิดช่วยอะไรได้บ้าง · ว่านหางจระเข้ มีส่วนช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะและลดการระคายเคือง · น้ำมันอาร์แกน ช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูผมที่แห้งเสีย ให้กลับมาเงางามดูสุขภาพดี · ลาเวนเดอร์ มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและมีกลิ่นหอมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย · น้ำมันมะพร้าว ช่วยเพิ่มความนุ่มสลวย และลดการชี้ฟูของเส้นผม · ชาคาโมมายล์ ช่วยปลอบประโลมหนังศีรษะและลดอาการคัน ทำไมควรเปลี่ยนมาใช้แชมพูสูตรอ่อนโยน หลายคนอาจสงสัยว่าแชมพูทั่วไปก็ใช้ได้อยู่แล้ว แล้วทำไมต้องเปลี่ยน คำตอบคือแม้ในระยะสั้นแชมพูทั่วไปอาจดูเหมือนไม่มีผลเสีย แต่ในระยะยาวสารเคมีสะสมอาจทำให้หนังศีรษะอ่อนแอลง เกิดผมร่วง หรือแพ้สารบางชนิดได้โดยไม่รู้ตัว เลือกแชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยนอย่างไรให้เหมาะกับคุณ · ดูส่วนผสมอย่างละเอียด ควรหลีกเลี่ยง แอลกอฮอล์ ซิลิโคน พาราเบน ซัลเฟต เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองและลดการสะสมของสารเคมีบนหนังศีรษะ · เลือกสูตรที่เหมาะกับปัญหาของเส้นผมบนหนังศีรษะ เช่น หากมีปัญหารังแค ควรเลือกสูตรที่ลดรังแค · ควรซื้อขนาดทดลองมาใช้ก่อนเพื่อทดสอบอาการแพ้ · มองหาเครื่องหมายรับรอง เช่น USDA Organic หรือ Ecocert ที่ช่วยยืนยันว่าเป็นผลิตภัณฑ์ออแกนิคแท้ สรุป การเลือกใช้แชมพูออแกนิค สูตรอ่อนโยนในการดูแลเส้นผม คือทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับร่างกายและสุขภาพระยะยาว การหลีกเลี่ยงสารเคมีนอกจากจะช่วยลดการสะสมของสารเคมีในระยะยาวแล้ว ยังช่วยให้ลดการเสี่ยงที่จะเกิดการแพ้ ปลอดภัยสามารถถใช้สระผมได้ทุกวัน
  4. หลอดเลือดหัวใจตีบคืออะไร หัวใจของเราทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตลอดเวลา โดยมีหลอดเลือดหัวใจ เป็นเส้นทางหลักที่นำเลือดซึ่งอุดมด้วยออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง เมื่อหลอดเลือดเหล่านี้เกิดการตีบหรืออุดตันเนื่องจากคราบไขมันไปสะสมอยู่ที่ผนังหลอดเลือด การไหลเวียนของเลือดก็จะถูกจำกัด ส่งผลให้หัวใจขาดออกซิเจนและอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายได้ในที่สุด เรียกว่า หลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดหัวใจตีบ อาการเริ่มต้นที่ไม่ควรมองข้าม · เจ็บหน้าอก มีอาการเจ็บหน้าอกแบบแน่น ๆ หรือรู้สึกเหมือนมีของหนักกดทับ มักเกิดขึ้นตรงกลางอกหรือด้านซ้าย เจ็บอาจลามไปถึงไหล่ คอ หรือกราม และมักเกิดเมื่อออกแรงหรือเครียด · มักจะเหนื่อยง่าย รู้สึกเหนื่อยผิดปกติขณะออกแรง เช่น เดินขึ้นบันได หรือเดินระยะทางสั้น ๆ ก็หอบง่าย · หายใจลำบาก เมื่อหลอดเลือดตีบจนเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ หัวใจจะสูบฉีดเลือดได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดภาวะหายใจลำบากโดยเฉพาะเวลาออกแรง · ใจสั่น อ่อนแรง หน้ามืด ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกเหมือนจะเป็นลม โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายใช้งานหนักหรืออยู่ในที่อากาศร้อน · อาการหัวใจวาย ในกรณีที่หลอดเลือดอุดตันเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง เหงื่อออกมาก คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที สาเหตุของการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ · มีความดันโลหิตสูง · เป็นเบาหวาน · มีไขมันในเลือดสูง · น้ำหนักเกิน · ไม่ออกกำลังกาย · สูบบุหรี่ · มีภาวะเครียดสะสม วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ 1. ทานอาหารที่ย่อยง่ายและดีต่อสุขภาพ ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร 2. ควรลดการบริโภคอาหารที่มี น้ำตาล ไขมันอิ่มตัว และโซเดียม เพื่อลดการสะสมของไขมัน และลดการสะสมของโซเดียม 3. ออกกำลังกายอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายที่ไม่หนักเกินไป อย่างน้อยวันละ 30 นาที และควรออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน 4. ควรงดบุหรี่และหลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่ เพราะสารในบุหรี่เร่งการอักเสบในผนังหลอดเลือด 5. ควบคุมโรคประจำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเสมอ เพื่อให้ภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง 6. ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อหาสาเหตุของการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ หลอดเลือดหัวใจตีบเป็นหนึ่งในภัยเงียบที่ควรให้ความสำคัญ การรู้ทันอาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ควรดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่เนิน ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคอันตรายต่าง ๆ ในภายหลัง
  5. ผงชาเขียวคืออะไร มีที่มาจากไหน ผงชาเขียว หรือ ผงชาเขียวมัทฉะ มีที่มาเดียวกันจากใบชาที่นำไปผ่านกรรมวิธีในการตากแห้งและฆ่าเชื้อจนสะอาด จากนั้นก็นำมาบดให้ละเอียด รสชาติที่ได้จะมีความเข้มข้น สามารถนำไปชงเพิ่มกับนมอุ่น ๆ ได้หรือนำผงชาเขียวไปแปรรูปทำเบเกอรี่ก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผงชาเขียวหรือผงชาเขียวมัทฉะนี้มีที่มาจากประเทศญี่ปุ่น เพราะคนญี่ปุ่นชอบดื่มชาเขียวมัทฉะเป็นชีวิตจิตใจ จนมีพิธีชงชาเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน ประโยชน์ของผงชาเขียว ผงชาเขียวมีประโยชน์และสรรพคุณมากในหลายด้าน ดังนี้ · มีส่วนช่วยในการลดอาการปวดศีรษะ · ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย · แก้ร้อนใน · แก้หวัด · ช่วยให้สร่างเมาจากการดื่มสุรา · มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก · ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในร่างกาย · ป้องกันตับจากภาวะพิษทั้งหลาย · มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ · ช่วยแก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย และท้องบิดได้ · ช่วยแก้อาการกระหายน้ำและช่วยระบายความร้อนจากปอด โทษของผงชาเขียว เมื่อมีประโยชน์แล้วก็ต้องมีโทษด้วยเช่นกัน เมื่อทานมากเกินความจำเป็นจากประโยชน์ก็กลายเป็นโทษได้ มีหลายข้อ ดังนี้ · ผงชาเขียว มีคาเฟอีนเหมือนกับกาแฟและโกโก้ ทำให้เมื่อดื่มมากเกินไป 3 – 4 แก้วต่อวัน อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ท้องเสีย คลื่นไส้ได้ · คุณแม่ที่ต้องให้นมบุตรไม่ควรดื่มชาเขียวเกินวันละ 2 แก้ว เพราะอาจทำให้คาเฟอีนส่งผ่านไปยังน้ำนม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการเป็นอันตรายต่อเด็กได้ · การดื่มชาเขียวขณะตั้งครรภ์อาจทำให้เสี่ยงต่อการแท้งได้ · การดื่มชาเขียวในขณะที่ท้องว่างอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อตับ ไต และระบบทางเดินอาหารได้ ผงชาเขียวเหมาะกับใครบ้าง · คนรักสุขภาพ เพราะ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และโรคมะเร็งได้ และยังมีส่วนช่วยในการเผาผลาญ และขับสารพิษได้ · เหมาะกับวัยเรียนและวัยทำงาน เพราะมีคาเฟอีนทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และสารแอลธีอะนีนในกาแฟทำให้ช่วยมีสมาธิในการทำงานและอ่านหนังสือได้ · เหมาะกับผู้สูงอายุ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด · เหมาะสำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก · เหมาะสำหรับผู้ทำเบเกอรี่ หรือร้านคาเฟ่ เพราะ ผงชาเขียวเป็นตัวช่วยอย่างดีในการทำขนมและเครื่องดื่ม ใช้งานง่าย ใครบ้างที่ควรระมัดระวังในการดื่มชาเขียว · ผู้ตั้งครรภ์และคุณแม่ให้นมบุตร ไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้ว เพราะอาจส่งผลต่อเด็กได้ · ผู้ที่มีปัญหากระเพาะอาหาร เนื่องจากชาเขียวเป็นกรดอ่อนอาจทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ในบางคน · ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง หรือมีภาวะโลหิตจาง เพราะสารแทนนินในชาเขียวจะยับยั้ง การดูดซึมของธาตุเหล็ก ควรดื่มหลังจากมื้ออาหารไปแล้ว 1 ชั่วโมง · ผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับ ใจสั่น คลื่นไส้ได้ · ผู้ที่ใช้ยาบางประเภท เพราะชาเขียวอาจรบกวนการออกฤทธิ์ของยา เช่น ยาระงับประสาท ยาลดความดัน หรือยาละลายลิ่มเลือด สรุป ผงชาเขียว หรือ ผงชาเขียวมัทฉะ เป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์และเป็นมิตรกับทุกเพศทุกวัย แต่ไม่ควรดื่มมากกว่า 3 แก้วต่อวัน เพราะ อาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ควรดื่มอย่างเหมาะสมต่อวัน
  6. วิปครีมผงคืออะไร? ทำไมสายเบเกอรี่ควรรู้จัก วิปครีมผง (Whipping Cream Powder) คือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากครีมหรือไขมันพืชที่ถูกทำให้แห้ง เพื่อความสะดวกในการเก็บรักษาและขนส่ง โดยมีลักษณะเป็นผงสีขาวหรือสีครีมอ่อน เมื่อต้องการใช้ก็เพียงแค่เติมน้ำเย็น หรือนม แล้วตีด้วยเครื่องตี ก็จะได้วิปครีมเนื้อนุ่มฟู เหมือนครีมสด ใช้ตกแต่งขนมหรือใส่เครื่องดื่มได้อย่างง่ายดาย จุดเด่นของวิปครีมผง · เก็บได้นาน โดยไม่ต้องแช่เย็น ช่วยลดปัญหาหมดอายุเร็วแบบครีมสด · สะดวกในการใช้งาน แค่ผสมน้ำเย็นแล้วตี ไม่ต้องเตรียมวัตถุดิบหลายอย่าง · ตีขึ้นฟูได้ง่าย และมักคงรูปได้นาน เหมาะกับงานตกแต่งเค้กหรือของหวาน · ต้นทุนค่อนข้างประหยัด เมื่อเทียบกับวิปปิ้งครีมแบบเหลว วิธีใช้วิปครีมผง synova · ตวงวิปครีมผงตามอัตราส่วนที่ระบุในฉลาก (เช่น 100 กรัม) · เติมน้ำเย็นหรือนมเย็น (เช่น 150–200 มล.) · ตีด้วยเครื่องตีความเร็วสูง ประมาณ 4–6 นาที จนขึ้นฟูเป็นเนื้อครีม · ใช้ทันที หรือแช่เย็นเพื่อเพิ่มความอยู่ตัว เหมาะกับใคร? · ร้านเบเกอรี่ ที่ต้องการประหยัดพื้นที่แช่เย็น · คาเฟ่ ที่อยากตกแต่งเครื่องดื่มให้สวยงาม · มือใหม่ทำขนม ที่อยากเริ่มต้นง่าย ไม่ต้องกลัวครีมเสีย ข้อควรระวัง · เลือกยี่ห้อที่เชื่อถือได้ เพราะคุณภาพและรสชาติอาจแตกต่างกัน · บางยี่ห้ออาจใส่น้ำตาลมาแล้ว ควรตรวจสอบก่อนผสมกับเมนูอื่น ดังนั้นวิปครีมผง จึงกลายทางเลือกที่สะดวก คุ้มค่า และใช้งานง่าย เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และมือโปรในสายขนมและเครื่องดื่ม ให้คุณสร้างสรรค์เมนูได้หลากหลาย พร้อมเก็บรักษาได้นาน ไม่ต้องกังวลเรื่องการแช่เย็นหรือครีมเสียง่าย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.synova.biz/retail-products-for-express-delivery/whipping-cream-premix/288/TH
  7. ท้องลายหลังคลอด เป็นปัญหาที่คุณแม่หลายคนเผชิญหลังการตั้งครรภ์ โดยจะปรากฏเป็นเส้นสีแดง ม่วง หรือขาวบนผิวหนังบริเวณหน้าท้อง สะโพก ต้นขา หรือหน้าอก ซึ่งแม้จะไม่อันตรายต่อสุขภาพ แต่ส่งผลต่อความมั่นใจอย่างมาก สาเหตุของท้องลายหลังคลอด · การยืดขยายของผิวหนังอย่างรวดเร็ว ช่วงตั้งครรภ์ ผิวหนังบริเวณหน้าท้องขยายออกเพื่อรองรับทารก ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังฉีกขาด · ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและคอร์ติโซนเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อความยืดหยุ่นของผิว ทำให้เกิดรอยแตกได้ง่ายขึ้น · กรรมพันธุ์ หากแม่หรือพี่สาวเคยมีท้องลาย คุณก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นกัน · น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำหนักที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงสั้น ๆ ทำให้ผิวหนังไม่สามารถปรับตัวทัน วิธีป้องกันท้องลายตั้งแต่ระหว่างตั้งครรภ์ 1. บำรุงผิวด้วยครีมหรือออยล์เป็นประจำ ใช้ครีมหรือออยล์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่น เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอัลมอนด์ เชียร์บัตเตอร์ ครีมที่มีวิตามินอีหรือคอลลาเจน ทาบริเวณหน้าท้อง สะโพก ต้นขา และหน้าอก วันละ 2 ครั้ง (เช้า–เย็น) 2. ดื่มน้ำมากพอ วันละ 8–10 แก้ว เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้นจากภายใน ลดความเสี่ยงการแตกลาย 3. ควบคุมน้ำหนักอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการเพิ่มน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ปรึกษาคุณหมอเพื่อควบคุมน้ำหนักตามเกณฑ์ที่เหมาะสม 4. กินอาหารที่บำรุงผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อาหารที่มีวิตามินซี (ส้ม ฝรั่ง พริกหวาน),โปรตีน (ไข่ ปลา ถั่วเหลือง),ไขมันดี (อะโวคาโด ถั่ว เมล็ดแฟลกซ์) 5. หลีกเลี่ยงการเกา เมื่อผิวแห้งหรือคันระหว่างตั้งครรภ์ ควรทาครีมหรือใช้น้ำเย็นประคบแทนการเกา การเกาอาจทำให้ผิวฉีกขาดง่ายและเสี่ยงต่อการแตกลาย 6. ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น โยคะสำหรับคนท้อง หรือเดินช้า ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้น 7. สวมเสื้อผ้าที่พอดีตัว หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าคับแน่นบริเวณหน้าท้อง เพราะอาจเพิ่มแรงกดทับและรบกวนการไหลเวียนเลือด วิธีรักษาท้องลายหลังคลอด · ทาครีมลดรอยแตกลาย ใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เช่น ครีมที่มีวิตามินอี เรตินอล หรือกรดไฮยาลูรอนิก (แต่ต้องหลีกเลี่ยงในช่วงให้นมบุตรหากมีส่วนผสมที่ไม่ปลอดภัย) · การทำเลเซอร์ เช่น fractional laser หรือ fractional CO2 ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน · Microneedling (Derma Roller/Derma Pen) กระตุ้นการฟื้นฟูผิวด้วยการสร้างรอยเล็ก ๆ บนผิวหนัง เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน · ทรีตเมนต์อื่น ๆ เช่น Radiofrequency, PRP (Platelet-rich plasma), หรือคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ สรุป ท้องแตกลายเกิดจากการยืดขยายของผิวหนัง ร่วมกับปัจจัยฮอร์โมนและกรรมพันธุ์ การป้องกันควรเริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์ โดยเน้นบำรุงผิวและควบคุมน้ำหนัก การรักษาหลังคลอดทำได้หลายวิธี ทั้งใช้ครีม เลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ทางการแพทย์ หากท้องลายหลังคลอดรบกวนใจมาก ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดค่ะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.aestimaclinic.com/หน้าท้องแตกลายหลังคลอด-ตั้งครรภ์/
  8. Morpheus คืออะไร Morpheus คือ การใช้คลื่นพลังงานความถี่วิทยุร่วมกับเข็มไมโครนีดเดิล เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ชั้นผิวหนัง ช่วยให้ใบหน้ากระชับ เรียบเนียน ดูอ่อนวัย โดยไม่ต้องผ่าตัด Morpheus จะเห็นผลชัดเจนและยาวนานกว่าเครื่อง RF หรือเลเซอร์ทั่วไป Morpheus 8 คืออะไร Morpheus 8 คือ รุ่นยอดนิยมของเทคโนโลยี Morpheus ที่พัฒนาโดยบริษัท InMode จากสหรัฐอเมริกา โดยผสานเข็มไมโครนีดเดิลเข้ากับความถี่วิทยุอย่างลงตัว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนลึกถึงระดับไขมันใต้ชั้นผิว ซึ่งเป็นชั้นที่มีผลต่อความหย่อนคล้อยของผิว และ Morpheus 8 ยังสามารถปรับระดับความลึกได้หลายระดับ ทำให้สามารถใช้ได้กับทั้งใบหน้า ลำคอ หน้าท้อง แขน ขา และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย จุดเด่นของ Morpheus 8 · ลงลึกได้มากกว่านวัตกรรมคลื่นวิทยุทั่วไป · สามารถยกกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด · กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ · เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ · ปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา Morpheus เหมาะกับใครบ้าง · เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ · เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยลึก · เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด · เหมาะกับผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ต้องการฟื้นฟูให้เรียบเนียน · เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระชับผิวบริเวณลำคอ เหนียง หรือหน้าท้องหลังคลอด Morpheus ต่างจาก RF หรือเลเซอร์ทั่วไปอย่างไร เทคโนโลยี RF แบบดั้งเดิมจะส่งพลังงานลงลึกได้แค่ระดับผิวชั้นบนหรือกลาง แต่ Morpheus 8 สามารถลงลึกถึงชั้นไขมัน ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยในระยะยาว อีกทั้งยังควบคุมระดับความลึกและระดับพลังงานได้แม่นยำ ทำให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า สรุป Morpheus คือ เทคโนโลยีที่ช่วยกระชับผิวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้เข็มไมโครนีดเดิลและคลื่นวิทยุ เพื่อสร้างการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิวหนัง โดย Morpheus 8 คือ รุ่นที่ทำงานได้ดีและผลลัพธ์ล้ำลึกและมีความแม่นยำมากขึ้น
  9. อาการวัยทอง และวิธีแก้อาการวัยทอง วัยทอง (Menopause) คือช่วงที่ร่างกายของผู้หญิงเริ่มหยุดการผลิตฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) โดยมากมักเริ่มตั้งแต่อายุ 45 - 55 ปี ส่งผลให้เกิดอาการหลายอย่างทั้งด้านร่างกายและจิตใจ อาการวัยทองที่พบบ่อย · ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน · ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ก่อนจะหยุดไป · อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า · นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท · ช่องคลอดแห้ง มีอาการแสบหรือเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ · ผิวแห้ง ผมร่วง ความยืดหยุ่นของผิวลดลง · น้ำหนักขึ้นง่าย โดยเฉพาะรอบเอว · ปัสสาวะบ่อย หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ · ความจำลดลง หรือรู้สึกมึนงงง่าย วิธีแก้วัยทอง 1. ดูแลสุขภาพด้วยการปรับพฤติกรรม รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะ แคลเซียม และ วิตามินดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว โยคะ ว่ายน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ฝึกสมาธิ 2. การใช้ฮอร์โมนทดแทน (HRT) แพทย์อาจแนะนำการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน/โปรเจสเตอโรน ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจมีผลข้างเคียง 3. อาหารเสริมจากธรรมชาติ ถั่วเหลือง (มีไฟโตเอสโตรเจน), น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส, แบล็คโคฮอช เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย มีงานวิจัยรองรับ 4. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์เฉพาะทาง หากมีอาการรุนแรง เช่น ซึมเศร้าหนัก เจ็บช่องคลอด หรือนอนไม่หลับเรื้อรัง ควรพบแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำในการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเองเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อาการวัยทอง อย่าปล่อยให้ปัญหาลุกลาม การดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้ผ่านช่วงวัยทองไปอย่างสมดุลและมีความสุขได้ค่ะ
  10. "ราชพฤกษ์" ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อถนนเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นชื่อของทำเลศักยภาพที่หลายคนหมายตาไว้สำหรับการอยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว คนทำงาน และผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยใกล้เมืองแต่ไม่พลุกพล่านเกินไป ความโดดเด่นของทำเลบ้านราชพฤกษ์ · บรรยากาศเงียบสงบ ทำเลที่ตั้งของบ้าน ราชพฤกษ์อยู่ใกล้กับกรุงเทพ แต่กลับมีบรรยากาศที่เงียบสงบ ปราศจากความวุ่นวาย และให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้พักอาศัยได้ ทำให้บ้าน ราชพฤกษ์นั้นเหมาะกับผู้ที่ต้องการพักอาศัยในทำเลที่เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย · เดินทางสะดวกสบาย เชื่อมต่อทุกการเดินทาง บ้าน ราชพฤกษ์เป็นย่านที่อยู่ใกล้กับตัวเมือง ทำให้สามารถเดินทางได้สะดวกสบาย ด้วยรถไฟฟ้าสาธารณะ MRT หรือรถยนต์ส่วนตัวที่สามารถเดินทางด้วยถนนเส้นหลักที่เชื่อมต่อกับถนนหลายสายสำคัญ เช่น ถนนพระราม5 ถนนนครอินทร์ และถนนรัตนาธิเบศร์ นอกจากนี้ยังมีทางด่วนพิเศษศรีรัชที่ช่วยให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเดินทางไปทำงานในใจกลางเมืองหรือออกไปเที่ยวต่างจังหวัด · ทางเลือกหลากหลายในการช้อปปิ้ง บ้าน ราชพฤกษ์นั้นเต็มไปด้วยแหล่งอำนวยความสะดวก อย่างห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต, เซ็นทรัลพลาซา รัตนาธิเบศร์, อิเกีย บางใหญ่, เดอะ วอล์ค ราชพฤกษ์, เดอะ คริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์ และชิค รีพับบลิค เป็นต้น แนวโน้มอนาคตของย่านราชพฤกษ์ การเติบโตของโครงข่ายคมนาคม: ถนนตัดใหม่และรถไฟฟ้าขยายเส้นทางช่วยลดเวลาการเดินทาง พื้นที่ยังพัฒนาได้อีกมาก: มีที่ดินเปล่าและพื้นที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง ความต้องการอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานและครอบครัวรุ่นใหม่ที่มองหาความสมดุลระหว่างการเดินทางและคุณภาพชีวิต สรุป บ้าน ราชพฤกษ์ เป็นบ้านที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานในเมือง ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังใจกลางเมืองสาทร – สีลมได้อย่างง่ายดาย เป็นทำเลที่มีศักยภาพสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการใช้ชีวิตและการเติบโตในอนาคต สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.lalinproperty.com/properties/lanceo-crib-rattanathibet/
  11. ชาเขียวไม่ใช่แค่เครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น หรือแค่รสชาติที่เข้ากับขนมหวานสมัยใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน และส่วนใหญ่นิยมนำชาเขียวมาทำเป็นผง เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปใช้งานและเก็บรักษาอีกทั้งยังมีหลายประเภทให้ได้เลือก โดยแต่ละประเภทมีกระบวนการผลิต คุณภาพ วัตถุประสงค์การใช้งาน และแหล่งที่มา แตกต่างกันดังนี้ 1. มัทฉะ (Matcha / 抹茶) ลักษณะ · ผงชาเขียวเนื้อละเอียด สีเขียวสด ทำจากใบชาเกรดพรีเมียมที่ปลูกในร่มเพื่อลดแสงแดด ทำให้ใบชามีกรดอะมิโนสูง โดยเฉพาะ L-Theanine กระบวนการผลิต · เก็บใบชาอ่อน → นึ่งหยุดการหมัก → ตากแห้ง → เอาเส้นใบออก → บดด้วยโม่หินจนละเอียด *ทันทีหลังเก็บ จะนำใบชาไป นึ่ง เพียงไม่กี่วินาทีเพื่อหยุดการหมัก การนึ่งช่วยรักษาสีเขียวสด กลิ่นหอม และรสชาติชาไว้* เกรดมัทฉะมีหลายระดับ · Ceremonial Grade (เกรดพิธีชงชา) คุณภาพสูงสุด รสชาติกลมกล่อม ไม่ขม สีเขียวสดใส ใช้ดื่มโดยตรง · Premium Grade ใกล้เคียงกับ ceremonial แต่ราคาถูกลงเล็กน้อย ใช้ดื่มหรือผสมในเครื่องดื่ม · Culinary Grade (เกรดทำอาหาร) สีและรสชาติจะเข้มขึ้น ขมเล็กน้อย ใช้ในเบเกอรี่ ไอศกรีม ลาเต้ ฯลฯ 2. ชาเขียวเซนฉะ (Sencha / 煎茶) ลักษณะ · ใบชาธรรมดาที่ตากแสงแดด ปลูกในที่โล่ง สีจะไม่เขียวจัดเท่ามัทฉะ มีรสชาติเข้มข้น หอมสดชื่น กระบวนการผลิต · คล้ายมัทฉะ แต่บดไม่ละเอียด หรือบางครั้งใช้เป็นใบแห้งไม่บดเลย การใช้งาน · ใช้ชงดื่มทั่วไป หรือบดใช้เป็นผงในอาหารได้บ้าง แต่ไม่ละเอียดและรสชาติจะไม่ละมุนเท่ามัทฉะ 3. โฮจิฉะ (Hojicha / 焙じ茶) ลักษณะ · ชาเขียวที่นำไปคั่วด้วยไฟ ทำให้สีเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเข้ม มีกลิ่นหอมเหมือนคั่วถ่าน รสชาติอ่อนนุ่ม ไม่มีคาเฟอีนมาก การใช้งาน · มักใช้ทำเครื่องดื่ม กลิ่นหอมเฉพาะตัว หรือทำขนม กลิ่นจะคล้ายคาราเมลหรือกาแฟอ่อน ๆ 4. เกียวคุโระ (Gyokuro / 玉露) ลักษณะ · ชาเกรดสูงสุดอีกประเภทหนึ่ง ปลูกในร่มเหมือนมัทฉะ แต่ไม่บดเป็นผง ใช้ใบชงร้อน รสชาติหวานนุ่ม สีเขียวเข้ม การใช้งาน · ชงดื่มเฉพาะสายชาที่ชอบรสชาติซับซ้อน กลิ่นหอมหวานจากกรดอะมิโนสูง 5. ชาคุคิฉะ (Kukicha / 茎茶) ลักษณะ · ทำจากก้านชาแทนใบชา บางครั้งเรียกว่า "Twig Tea" กลิ่นจะเบากว่า และคาเฟอีนน้อยกว่าชาทั่วไป การใช้งาน · นิยมใช้ชงดื่ม มีรสชาติอ่อน กลมกล่อม เป็นทางเลือกสำหรับคนไม่อยากดื่มคาเฟอีนเยอะ 6. ชาคอมบุ (Konbucha / 昆布茶) (ไม่ใช่ Kombucha ที่เป็นชาหมัก) ลักษณะ · ทำจากสาหร่ายคอมบุบดผสมชา มีกลิ่นเค็ม ๆ นิยมในญี่ปุ่น มักชงดื่มเป็นซุปอ่อน ๆ สรุป การเลือกผงชาเขียวที่เหมาะสม ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับราคา แต่ขึ้นอยู่กับ “วัตถุประสงค์ในการใช้” และ “คุณภาพของชา” ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่หลัก ๆ เกรดของผงชาเขียว,วัตถุประสงค์การใช้งาน,สี – กลิ่น – ความละเอียด อย่างเช่น ถ้าจะดื่ม – ใช้มัทฉะพรีเมียม,ถ้าจะทำขนม – ใช้มัทฉะเกรดทำอาหาร,ถ้าอยากได้กลิ่นคั่ว – เลือกโฮจิฉะ และถ้าอยากดื่มเบา ๆ – เลือกคุคิฉะหรือเซนฉะ เป็นต้น สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของผงชาเขียวได้ที่ : https://www.synova.biz/retail-products-for-express-delivery/premium-matcha-latte-premix/113/TH
  12. อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ (Urinary Incontinence) เป็นภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ตามต้องการ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุและมีวิธีป้องกันและรักษาที่แตกต่างกันไปตามสาเหตุของอาการนั้น ๆ โดยสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ดังนี้ สาเหตุของอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การอ่อนแอของกล้ามเนื้อกระดูกเชิงกราน · เมื่อกล้ามเนื้อที่รองรับกระเพาะปัสสาวะและทางเดินปัสสาวะอ่อนแอลง ซึ่งอาจเกิดจากการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร หรือการเสื่อมสภาพตามวัย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน · โดยเฉพาะในสตรีในวัยหมดประจำเดือนที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณระบบทางเดินปัสสาวะอ่อนแอลง ภาวะทางการแพทย์อื่น ๆ · โรคเบาหวาน · ภาวะเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือความบาดเจ็บที่มีผลกระทบต่อเส้นประสาท · การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ · ผลข้างเคียงจากการใช้ยา ปัจจัยเสี่ยงด้านไลฟ์สไตล์ · น้ำหนักตัวเกินหรืออ้วน ซึ่งเพิ่มแรงกดทับต่อระบบทางเดินปัสสาวะ วิธีรักษาอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ · การออกกำลังกายอุ้งเชิงกราน (Kegel Exercise) – วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการฝึกกล้ามเนื้อรอบกระเพาะปัสสาวะ · การปรับพฤติกรรม – ฝึกเข้าห้องน้ำเป็นเวลา หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น · การใช้ยา – เช่น ยาควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ หรือยาฮอร์โมน (สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน) · การใช้เครื่องมือช่วย – เช่น อุปกรณ์พยุงช่องคลอดในผู้หญิง หรือแผ่นซับปัสสาวะ · การทำกายภาพบำบัด – ใช้คลื่นไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน · การผ่าตัด – ในกรณีที่อาการรุนแรง เช่น การผ่าตัดยกกระเพาะปัสสาวะหรือการใส่สายรัดบริเวณท่อปัสสาวะ สรุป อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่สามารถป้องกันและรักษาได้ โดยเริ่มจากการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ปรับพฤติกรรม และหากอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
  13. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่เกิดจากการสะสมของไขมันและคราบหินปูนในผนังหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจวายได้ ความอันตรายของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ · ภาวะหัวใจขาดเลือด : หัวใจได้รับเลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก · หัวใจวาย (Heart Attack) : หากหลอดเลือดอุดตันอย่างสมบูรณ์ อาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต · หัวใจเต้นผิดจังหวะ : ส่งผลให้หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว · ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure): หัวใจทำงานไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย บวมที่ขาและเท้า อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ · เจ็บหน้าอก (Angina) – อาจรู้สึกแน่นหรือปวดบริเวณกลางหน้าอก ลามไปที่แขน คอ หรือกราม · เหนื่อยง่าย – โดยเฉพาะเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง · หายใจลำบาก – รู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง · เวียนหัว หรือหน้ามืด – อาจเกิดจากภาวะหัวใจสูบฉีดเลือดไม่เพียงพอ · เหงื่อออกมากผิดปกติ – แม้ไม่ได้ออกแรงมาก · คลื่นไส้ หรืออาเจียน – พบได้ในบางกรณี โดยเฉพาะในผู้หญิง วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ควบคุมอาหาร : ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ เช่น ของทอด อาหารแปรรูป ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ควบคุมน้ำหนัก : ลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้ เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ : บุหรี่ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งตัวเร็วขึ้น ควบคุมความดันโลหิต : หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด : โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน จัดการความเครียด : ใช้วิธีผ่อนคลาย เช่น โยคะ หรือการทำสมาธิ ดื่มน้ำให้เพียงพอ : ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น วิธีรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ · การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต – ปรับปรุงการกิน ออกกำลังกาย และควบคุมความเครียด · การใช้ยา – เช่น ยาลดไขมัน ยาลดความดัน ยาต้านเกล็ดเลือด (Aspirin) และยาไนโตรกลีเซอรีน (ช่วยขยายหลอดเลือด) · การทำบอลลูนขยายหลอดเลือด (Angioplasty) – ใช้สายสวนเข้าไปขยายหลอดเลือดที่ตีบ · การใส่ขดลวด (Stent) – เพื่อช่วยเปิดหลอดเลือดให้กว้างขึ้น · การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือด (Bypass Surgery) – ใช้หลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกายมาเชื่อมแทนหลอดเลือดที่ตีบ สรุป โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคร้ายแรงที่สามารถป้องกันได้หากดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว
  14. Empower RF เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ คลื่นความถี่วิทยุ (RF: Radio Frequency) เพื่อช่วยในด้านความงามและสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่องของ การกระชับผิว การฟื้นฟูช่องคลอด และการกระตุ้นคอลลาเจน ซึ่งมีความสำคัญในหลายด้าน เช่น 1. ฟื้นฟูและกระชับผิว (Skin Rejuvenation & Tightening) · ช่วยกระตุ้น การสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเต่งตึงและเรียบเนียนขึ้น · ลดเลือน ริ้วรอย จุดด่างดำ และรอยแผลเป็น · ช่วยให้ผิวดู กระจ่างใสและสุขภาพดี 2. การกระชับสัดส่วนและลดเซลลูไลท์ (Body Contouring & Cellulite Reduction) · ช่วย สลายไขมัน บางส่วนในร่างกาย เช่น บริเวณหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา · กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ ผิวดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น · ช่วยลด รอยแตกลายและผิวเปลือกส้ม 3. การฟื้นฟูสุขภาพของผู้หญิง (Feminine Wellness & Vaginal Rejuvenation) · ใช้สำหรับ การฟื้นฟูช่องคลอด ช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยหลังคลอดหรืออายุที่เพิ่มขึ้น · ช่วยเพิ่ม ความชุ่มชื้น และลดอาการแห้งของช่องคลอด · มีส่วนช่วยในการ แก้ปัญหาปัสสาวะเล็ด 4. การฟื้นฟูระบบไหลเวียนโลหิตและฟังก์ชันกล้ามเนื้อ (Blood Circulation & Muscle Function) · ช่วย กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เซลล์ได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น · มีส่วนช่วยในการ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อและเสริมสร้างความแข็งแรง · ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ 5. เทคโนโลยีที่ปลอดภัยและเห็นผลได้จริง · ใช้พลังงาน RF ที่ไม่รุนแรงและไม่ต้องผ่าตัด · เห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และมีประสิทธิภาพสูงเมื่อทำต่อเนื่อง · ใช้ได้กับทุกสภาพผิวและมีระยะเวลาพักฟื้นสั้น สรุป Empower RF เป็นนวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาหลายด้าน ทั้งเรื่องผิวพรรณ ความงาม และสุขภาพของผู้หญิง โดยเฉพาะการฟื้นฟูช่องคลอดและการกระชับผิว สามารถใช้เป็นทางเลือกแทนการศัลยกรรมหรือการรักษาแบบอื่น ๆ ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.aestimaclinic.com/v-tone/
  15. อาการคันหนังศีรษะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและอาจเกิดจากหลายสาเหตุ การรู้จักสาเหตุและวิธีดูแลที่เหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการคันและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำได้ สาเหตุของอาการคันหนังศีรษะ 1. หนังศีรษะแห้ง – เกิดจากการขาดความชุ่มชื้น ทำให้หนังศีรษะลอกเป็นขุยและคัน 2. รังแค (Seborrheic Dermatitis) – หนังศีรษะลอกเป็นขุยขาวหรือเหลือง และอาจมีอาการแดงหรือคัน 3. เชื้อรา (Malassezia) – เป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนหนังศีรษะ หากเติบโตมากเกินไปอาจทำให้เกิดรังแคและอาการคัน 4. โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) – เป็นโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติที่ทำให้เกิดแผ่นสะเก็ดสีเงินบนหนังศีรษะ 5. ผิวหนังอักเสบจากการแพ้ (Contact Dermatitis) – เกิดจากการแพ้แชมพู ยาย้อมผม หรือสารเคมีต่าง ๆ 6. หมัด เหา หรือปรสิตอื่น ๆ – หากมีอาการคันมากโดยเฉพาะบริเวณท้ายทอยและหลังหู อาจเกิดจากเหา 7. หนังศีรษะมันเกินไป – การสะสมของน้ำมันและสิ่งสกปรกอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและคัน 8. โรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือโรคเชื้อราบนหนังศีรษะ เทคนิคการเลือกใช้แชมพูให้เหมาะสมกับหนังศีรษะ การเลือกแชมพูแก้คันหนังศีรษะที่เหมาะสมสามารถช่วยบรรเทาอาการคันได้ โดยเลือกตามสาเหตุของอาการดังนี้ · สำหรับหนังศีรษะแห้ง – ใช้แชมพูสูตรอ่อนโยน ปราศจากซัลเฟต และมีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอาร์แกน หรือว่านหางจระเข้ · สำหรับรังแคและเชื้อรา – ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อรา เช่น Ketoconazole, Zinc Pyrithione, Selenium Sulfide หรือ Tea Tree Oil · สำหรับอาการแพ้และผิวหนังอักเสบ – ใช้แชมพูสูตร Hypoallergenic หรือแชมพูเด็กที่ไม่มีสารระคายเคือง · สำหรับหนังศีรษะมัน – ใช้แชมพูที่ช่วยควบคุมความมัน เช่นที่มี Salicylic Acid หรือ Clay เพื่อดูดซับน้ำมันส่วนเกิน · สำหรับโรคสะเก็ดเงิน – ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของ Coal Tar หรือ Salicylic Acid เพื่อช่วยลดการหลุดลอกของสะเก็ด การป้องกันอาการคันหนังศีรษะ 1. เลือกแชมพูให้เหมาะสมกับสภาพหนังศีรษะ 2. ล้างผมให้สะอาดหลังใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ เพื่อป้องกันสารตกค้าง 3. หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนสูง เช่น ไดร์เป่าผมที่ร้อนเกินไป 4. ไม่สระผมบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้หนังศีรษะแห้ง 5. รับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 และวิตามินบี ช่วยให้หนังศีรษะแข็งแรง 6. เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อย ๆ ป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย โดยวิธีที่ง่ายที่สุดในการรักษาอาการคันของหนังศีรษะนั้น คงหนี้ไม่พ้น การเลือกใช้แชมพูแก้คันหนังศีรษะ ซึ่งปัจจุบันมีแชมพูสูตรต่าง ๆ มากมายทั้ง แชมพูยาขจัดรังแค แชมพูที่มีส่วนผสมของสารไพรอคโทนโอลามีนและคลิมบาโซล หรือแชมพูสูตรธรรมชาติ ของแบรนด์ พิพเพอร์ สแดนดาร์ด ที่ปราศจากสารเคมีอันตรายและสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย
×
×
  • Create New...