Jump to content
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

Chantima

Patriarch
  • Content Count

    146
  • Joined

  • Last visited

Community Reputation

0 medium

About Chantima

  • Rank
    ขาใหญ่

Profile Information

  • เพศ
    หญิง
  • ที่อยู่
    กรุงเทพมหานคร
  1. น้ำยาล้างจาน สำหรับสัตว์เลี้ยง ปกป้องสัตว์เลี้ยงแสนรักจากสารเคมีอันตราย การเลือกใช้น้ำยาล้างจานออร์แกนิคเป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลสุขภาพของสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก เพราะช่วยลดความเสี่ยงจากการสัมผัสสารเคมีที่เป็นอันตราย น้ำยาล้างจาน สำหรับสัตว์เลี้ยง มีประโยชน์อย่างไร การเลียภาชนะใส่อาหารเป็นพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงที่เกิดจากสัญชาตญาณในการทำความสะอาด แต่สารเคมีตกค้างจากน้ำยาล้างจานทั่วไปอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของพวกมันได้ สารเคมีเหล่านี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังหรือเยื่อบุในช่องปากของสัตว์เลี้ยง เมื่อสัตว์เลี้ยงเลียภาชนะที่มีสารเคมีเหล่านี้อยู่เป็นประจำ สารพิษจะค่อย ๆ สะสมในร่างกาย และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ปัญหาทางเดินอาหาร ปัญหาผิวหนัง ปัญหาทางเดินหายใจ และปัญหาเกี่ยวกับไตหรือตับ การเลียภาชนะที่มีสารเคมีตกค้างเป็นประจำ อาจทำให้สัตว์เลี้ยงได้รับสารพิษสะสมเข้าสู่ร่างกายจนกลายเป็นอาการป่วยในที่สุด ดังนั้น การเลือกใช้น้ำยาล้างจานสำหรับสัตว์เลี้ยงจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารเคมีอันตราย ไม่ทำให้ระคายเคือง อ่อนโยนต่อผิวและย่อยสลายได้ง่าย เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม วิธีทำความสะอาดภาชนะด้วยน้ำยาล้างจานออร์แกนิค เพื่อให้ภาชนะของสัตว์เลี้ยงสะอาดหมดจด ขั้นตอนแรกเทเศษอาหารออกให้หมด จากนั้นใช้กระดาษทิชชู่เช็ดคราบอาหารที่ติดบนภาชนะ ล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วจึงใช้น้ำยาล้างจานออร์แกนิค “พิพเพอร์ สแตนดาร์ด” ล้าง ทำความสะอาดคราบไขมันและสิ่งสกปรก หลังจากนั้น ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง คว่ำภาชนะให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค น้ำยาล้างจานพิพเพอร์ สแตนดาร์ด สามารถทำความสะอาดคราบไขมันและสิ่งสกปรกได้อย่าง มีประสิทธิภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อมือและเล็บ ไม่ทิ้งสารเคมีอันตรายตกค้าง จุดเด่นของน้ำยาล้างจาน “พิพเพอร์ สแตนดาร์ด” น้ำยาล้างจานออร์แกนิค พิพเพอร์ สแตนดาร์ด กลิ่นซิตรัสและกลิ่นสเปียร์มินต์ ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ช่วยขจัดคราบมันและสิ่งสกปรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผลิตจากสารทำความสะอาดจากน้ำหมักสับปะรดและพืชหลากหลายชนิด อ่อนโยนต่อผิวมือ ไม่ทำให้มือแห้งกร้าน ปราศจากสารเคมีอันตราย เช่น SLES, แอลกอฮอล์, พาราเบน และผ่านการทดสอบการระคายเคืองและปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยจากทรูเทสต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถย่อยสลายได้เองในธรรมชาติ
  2. ตะคริว เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างฉับพลันโดยที่เราไม่สามารถบังคับได้ ตะคริวจะมีลักษณะเป็นก้อนแข็งและทำให้รู้สึกปวดหรือเจ็บกล้ามเนื้อมัดที่เกิดการหดเกร็ง ซึ่งมักจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งหรือเพียงชั่วครู่เท่านั้น พอทิ้งไว้สักพักอาการก็จะดีขึ้นได้ รวมสาเหตุที่ทำให้เกิดเป็นตะคริวบ่อย ขาดเกลือแร่ และดื่มน้ำไม่เพียงพอ การขาดน้ำหรือเกลือแร่ เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียม อาจทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งได้ง่ายขึ้น การดื่มน้ำไม่เพียงพอหรือเสียเหงื่อมากเกินไประหว่างออกกำลังกายสามารถทำให้ระดับเกลือแร่ในร่างกายลดลง ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ การใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป การออกกำลังกายหนัก หรือใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไปโดยไม่มีการพักผ่อนเพียงพอ สามารถกระตุ้นให้เกิดตะคริวได้ กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานหนักจะเกิดความเมื่อยล้าและหดเกร็งได้ง่าย โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้มีการวอร์มอัพหรือคูลดาวน์ การไหลเวียนของเลือดไม่ดี หรือมีปัญหา การนั่งหรือยืนในท่าเดิมนาน จนทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี จนส่งผลให้เกิดเป็นตะคริว การที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่ ทำให้กล้ามเนื้อขาดออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อจะสูญเสียความยืดหยุ่น และมีโอกาสเกิดตะคริวได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทและระบบไหลเวียนเลือด นอกจากนี้ การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อยังทำให้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง ภาวะทางสุขภาพ โรคบางชนิด เช่น เบาหวาน หรือโรคเกี่ยวกับระบบประสาท อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดตะคริว ภาวะเหล่านี้สามารถส่งผลต่อระบบประสาทหรือระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ การรักษาอาการเป็นตะคริว แพทย์อาจจ่ายยาให้รับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่ไม่มียารับประทานหรือยาฉีดใด ๆ ที่ช่วยให้หายเป็นตะคริวได้ทันที การออกกำลังแบบยืดเหยียดช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นตะคริวได้ การเป็นตะคริวบ่อยนั้นแม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ก็สร้างความลำบากให้กับผู้ที่เป็นไม่น้อย ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงสาเหตุ วิธีป้องกัน เป็นตะคริวบ่อย ต้องกินอะไรถึงจะลดการเป็นตะคริว และวิธีรักษาจะช่วยให้คุณจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. สำหรับคนทำธุรกิจออนไลน์ในยุคนี้ต้องรู้จักโฆษณา Google Ads หรือ Google Adwords กันอย่างแน่นอน เพราะแพลตฟอร์มนี้ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มโฆษณาที่สามารถเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้จริง การันตีด้วยผลสำรวจ 80% ของธุรกิจทั่วโลกที่ให้ความไว้วางใจแคมเปญโฆษณาของ Google Ads ปัจจุบันมีการเปิดคอร์ส google ads สอนทำการตลาดเยอะมากให้ได้เลือกเรียน โดยคอร์สที่น่าสนใจหลักๆ มีดังนี้ คอร์สเรียน Google Ads ที่น่าสนใจในปัจจุบัน 1.คอร์สเรียน google ads สอนทำ Google AdWords เข้มข้น 2 วัน จัดโดย Team Digital เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการที่ครอบคลุมการโฆษณา Google Ads ทั้ง Search Ads, Display Network และ Video Ads เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ 2. Ultimate Google Ads Training 2020: Profit with Pay Per Click คอร์สออนไลน์บน Udemy สอนโดย Issac Rudansky ผู้เชี่ยวชาญด้าน Google Ads เนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่พื้นฐานจนถึงขั้นสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้การทำโฆษณา Google Ads อย่างละเอียด 3. Google Ads Certification Course คอร์สออนไลน์จาก Content Shifu ที่ร่วมออกแบบเนื้อหากับผู้เชี่ยวชาญ สอนครบทุกด้านของ Google Ads ตั้งแต่วิธีคิด การลงมือทำ การวัดผล และการปรับปรุงผล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ 4.คอร์สเรียน google ads สอนตั้งแต่พื้นฐานจนทำเองเป็น จัดโดย Digi Era เน้นการสอนตั้งแต่การวางแผนคำค้นหาไปจนถึงการพัฒนาแคมเปญและการวัดผลของโฆษณา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้การใช้เครื่องมืออย่างมืออาชีพ 5.การฝึกอบรม Google Ads ฟรีกับ Google Skillshop สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ด้วยตนเอง Google มีแพลตฟอร์มฝึกอบรมออนไลน์ฟรีที่ชื่อว่า Skillshop ซึ่งมีหลักสูตรเกี่ยวกับ Google Ads ที่ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญของ Google เอง ทั้งนี้คอร์ส google ads สอนโดย Team Digital จัดว่าเป็นคอร์สที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง เพราะมีเนื้อหาที่ครอบคลุม และตอบโจทย์ได้หลายๆ อย่างสำหรับผู้เรียนที่ต้องการนำไปใช้งานจริงในการทำธุรกิจ ที่จะช่วยส่งเสริมการขายสินค้าหรือบริการให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
  4. Power BI คืออะไร? Power BI คือ หนึ่งในเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูล (Business Intelligence Tool : BI Tool) และการทำ Data Visualization ที่ทรงพลังและใช้งานง่าย พัฒนาโดย Microsoft เพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถนำข้อมูลที่มีมาแปลงเป็นภาพ หรือสร้างเป็นแดชบอร์ดที่ปรับแต่งได้ สวยงาม และเข้าใจได้ง่าย โดยสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น Excel, SQL Server หรือบริการคลาวด์ต่าง ๆ ที่ทำให้สามารถสร้างกราฟ หรือแผนภูมิในแบบต่าง ๆ รวมไปถึงใช้งานร่วมกันกับคนอื่น ๆ ได้อีกด้วย โดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานมาก่อน เพราะสามารถใช้เพียงแค่ Drag & Drop โดย Power BI สามารถใช้วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เบื้องต้นทำ ไปจนถึงการสร้าง Dashboard (Data Visualization) ปัจจุบันมีหลายบริษัทเริ่มมีการนำเครื่องมือ Power BI เข้ามาใช้ในองค์กรกันมากขึ้น ดังนั้นจึงมีคอร์สเรียน power bi เบื้องต้นให้ได้เรียนเยอะ คอร์สเรียน Power BI สำหรับผู้เริ่มต้น Power BI Essentials ออกแบบเนื้อหามาสำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้ BI Tool มาก่อน ให้สามารถทำ Data Visualization และสร้างแดชบอร์ดแรกของตัวเองได้ เพื่อเอาไปประยุกต์ใช้ในงานต่อไป ดังนี้ 1.คำสั่งต่าง ๆ ของการใช้งานโปรแกรม Power BI เบื้องต้น และการเชื่อมต่อข้อมูลจากฐานข้อมูลต่าง ๆ เข้ากับ Power BI 2.เตรียมข้อมูลให้พร้อมต่อการนำไปวิเคราะห์ และแสดงผล โดยเรียนรู้การใช้ Power Query เพื่อเตรียมข้อมูล (Data Preparation) , ทำความสะอาด (Data Cleansing), แปลงรูปแบบข้อมูล (Data Transformation) รวมไปถึงการรวบรวม และจัดการข้อมูลด้วยวิธีการอื่น ๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมสำหรับการวิเคราะห์ 3.สร้าง Visualization และ Interactive Dashboard ด้วย Power BI โดยลงมือสร้างกราฟ (Visualization) แบบต่าง ๆ ด้วย Power BI Desktop พร้อมร้อยเรียงเป็น Interactive Dashboard เพื่อนำเสนอ Insight ให้กับธุรกิจ 4.เรียนรู้แนวทางการเลือกใช้กราฟให้ตรงกับวัตถุประสงค์ และแนวคิดในการนำ Dashboard ไปใช้ในเชิงธุรกิจ 5. ฝึกการสร้าง Data Model เพื่อที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างตารางข้อมูล ประโยชน์จากการใช้ Power BI ในด้านธุรกิจ 1.นำไปใช้งานได้ง่าย ง่ายต่อการเริ่มต้นใช้งานสามารถแปลงข้อมูลจาก Raw Data เป็น Insight Data ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การใช้งานไม่ซับซ้อน และยังมีบริการอีกมากมายที่สามารถเชื่อมต่อกับ Dashboard ได้ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Dynamics, Salesforce, Google Analytics, Adobe Analytics และอื่นๆ 2.สร้างและแจกจ่ายรายงานอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถอัปโหลดรายงานที่สร้างขึ้นมาใหม่ ไปยังบริการของ Power BI ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว อีกทั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข และมีการ Refresh ชุดข้อมูล รายงานก็จะสามารถ Refresh ได้โดยอัตโนมัติเช่นกัน 3. แสดงข้อมูลแบบ Real-Time ไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลของรายงานจะเก่าและไม่ถูกต้อง เพราะข้อมูลจะถูกอัปเดตแบบเรียลไทม์ โดยชุดข้อมูลที่เชื่อมต่อนั้น จะถูกส่งออกและถูกอัปเดตไปยังบริการต่างๆ ทำให้ธุรกิจสามารถวัดผลและทำการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว 4. รองรับแหล่งข้อมูลได้หลากหลาย เนื่องจากธุรกิจแต่ละประเภทอาจไม่ได้มีเพียงแหล่งข้อมูลเดียว ด้วย Power BI คุณจะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลได้หลากหลายประเภทจากแหล่งต่างๆ ทั้งระบบภายในและภายนอก เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลได้ในคราวเดียว 5. Power BI กับ AI ด้วยฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Quick Insights จะช่วยจำลองแนวโน้มของข้อมูล โดยการวิเคราะห์ข้อมูล และจะแสดงผลออกมาในรูปแบบกราฟ ซึ่งถ้าหากต้องการเข้าถึงฟีเจอร์การรับรู้รูปภาพ (Image Recognition) และวิเคราะห์ลักษณะข้อความ (Text Analytics) สามารถทำได้โดยเชื่อมต่อกับ Azure Machine Learning ซึ่งฟังก์ชั่นนี้จะสร้างโมเดลสำหรับการเรียนรู้ โดยใช้ความสามารถของ AI มาช่วยในการจดจำข้อมูลต่างๆ 6. ข้อมูลเยอะก็ไม่เป็นปัญหา การวิเคราะห์ชุดข้อมูลบน Microsoft Excel อาจซับซ้อนและใช้เวลามาก เนื่องจากต้องวิเคราะห์ข้อมูลมากกว่าล้านแถว ดังนั้นจึงขอแนะนำ “Large Datasets” ซึ่งฟีเจอร์นี้ จะบีบอัดข้อมูล ทำให้สามารถหา Insights Data จากชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้ดีขึ้น กล่าวคือ เราสามารถวิเคราะห์ชุดข้อมูลจากหลายสิบล้านแถวได้นั่นเอง 7. ‘Get Data’ Feature “Get Data feature “ เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ของ Power BI ที่น่าสนใจและใช้งานได้จริง เนื่องจากช่วยให้สามารถเลือกสิ่งที่ต้องการจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น Excel , Power BI datasets , SQL Server , Azure เป็นต้น ทั้งแบบมีโครงสร้างหรือไม่มีโครงสร้าง นอกจากนี้ยังอาจเป็นแหล่งข้อมูลที่อยู่บน On-site หรือ Cloud-based ก็ได้ 8. Dashboards and Visualization Options “Dashboards” เป็นพื้นฐานของ Power BI อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่รวบรวม “Visualization” หรือ หน้ารายงานต่างๆ ที่เราสามารถออกแบบได้ตามใจชอบ รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้ง่ายต่อการเข้าใจและเห็นภาพรวมภายในหน้าเดียว และยังสามารถแชร์ไปยังผู้ใช้งานคนอื่นๆ ภายในองค์กรได้อีกด้วย ซึ่งเหมาะกับธุรกิจเป็นอย่างมากเนื่องจากมีความสะดวกสบายในการใช้งานและง่ายต่อการช่วยตัดสินใจ 9. มีกราฟให้เลือกหลากหลายรูปแบบ อย่างที่ทราบกันว่า Power BI จะนำเสนอ Visualizations ที่น่าสนใจหลากหลายรูปแบบ โดยการนำเสนอข้อมูลธุรกิจในรูปแบบของรูปภาพ เป็นหัวใจหลักของ Power BI ซึ่ง “ Visualizations Feature “ นี้เอง ทำให้สามารถสร้างรายงานและแดชบอร์ดที่มีแผนภูมิที่ซับซ้อนหรือตรงไปตรงมาได้ อีกทั้งยังมีตัวเลือกในการสร้าง Visualizations อีกมากมายให้ได้เลือกใช้ตามความเหมาะสมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Line chart, Area chart, Scatter chart, Donut chart, Ribbon chart, Stacked bar chart, Map, Filled map, Clustered bar chart และ Gauge chart เป็นต้น สรุป จะเห็นได้ว่า Power BI มีประโยชน์หลายอย่างมากที่จะช่วยตอบโจทย์ทางด้านธุรกิจ อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่รอให้คุณได้ลองใช้งาน ซึ่งคุณสามารถลงคอร์สเรียน power bi ต่างๆ เพื่อนำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้กับธุรกิจ หรือองค์กร ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ยังมี Power BI Desktop ให้ทดลองใช้ฟรีอีกด้วย (แต่ใช้ได้แค่บางฟีเจอร์นะคะ)
  5. Google Ads คืออะไร ? Google Ads คือ การทำโฆษณาผ่านเครือข่าย Google โดยอาศัยจุดแข็งของ Google ที่มีผู้เข้าใช้งานในหลักล้านคนต่อวัน ซึ่งรูปแบบโฆษณาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Google Search สำหรับการทำการตลาดออนไลน์ Google Ads ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นช่องทางสำคัญที่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายมักจะใช้ค้นหาสินค้าหรือบริการที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นการทำช่องการตลาดบน Google จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญ การยิง Google Ads ให้ประหยัดต้นทุน และได้ผลลัพธ์ที่ดี การทำโฆษณาผ่านการทำ Google Ads จริงๆ แล้วไม่ยากอย่างที่คิด ซึ่งวันนี้เราจะมาสอนยิง google ads แบบเบื้องต้นให้ประหยัดต้นทุน และได้ผลลัพธ์ที่ดีเอามาฝากให้กับผู้ที่สนใจด้วยดังต่อไปนี้ 1. กำหนดงบประมาณเท่าที่จ่ายได้ ก่อนที่เราจะเริ่มต้นสร้างแคมเปญ ต้องสำรวจตัวเองดูก่อนว่า คุณสามารถตั้งงบประมาณขั้นต่ำต่อวันได้มากเท่าไหร่ เอาตามที่สามารถจ่ายได้ อาจจะลองคิดเป็นเดือนก่อน แล้วหารด้วยจำนวนวันก็ได้ เช่น กำหนดงบต่อเดือนไว้ที่ 6,000 ก็จะตกอยู่ที่ วันละ 200 บาท เป็นต้น เมื่อคุณตั้งงบประมาณเรียบร้อยแล้ว เอามาให้ กูเกิล แอด ประเมินว่างบประมาณที่คุณตั้งเอาไว้ จะได้ผลลัพธ์จากการทำโฆษณาเป็นอย่างไรบ้าง หากยังไม่พอใจคุณอาจเพิ่มงบเข้าไปอีกเพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้นได้ โดยวิธีประเมินนั้นอาจจะใช้เครื่องมือ Keyword Planner เป็นต้น 2. เลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะ หรือให้เจาะจงมากขึ้น การทำโฆษณา Google Ads เราจะเลือก Keyword ที่ตรงกับธุรกิจ และเป็นคำที่มีจำนวนการค้นหาสูง หลายๆ คำ เพื่อดึงลูกค้าเข้าเว็บไซต์ให้มากที่สุด นั่นคือแคมเปญแบบปกติทั่วไป แต่สำหรับแคมเปญที่ใช้งบน้อย การเลือก คีย์เวิร์ดอาจแตกต่างจากแคมเปญโฆษณาทั่วไป เพราะมีงบประมาณที่จำกัดการใช้ คีย์เวิร์ด มากๆ จะทำให้เราเสียเงินไปอย่างรวดเร็ว หากคุณต้องการทำโฆษณางบน้อยๆ ให้มีประสิทธิภาพ คุณต้องเลือกใช้ คีย์เวิร์ด ที่คุ้มค่ากับธุรกิจของคุณให้มากที่สุด โดยการหา คีย์เวิร์ด ให้คุณไปที่ Keyword Planner แล้วเลือก Discover new keywords จากนั้นให้คุณใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณลงไป แล้ว GET RESULTS เมื่อเข้ามาคุณจะเห็น Keyword ที่ Google แนะนำมาให้ พร้อมบอกจำนวนการค้นหาเฉลี่ยในแต่ละเดือน การแข่งขัน และราคาคลิกของแต่ละ Keyword 3. สร้าง Ad Group สำหรับ 1 Keyword เมื่อคุณได้ Keyword ที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการสร้าง Ad Grop สำหรับ 1 Keyword ของเรา การใส่ Keyword ใน Ad Group นี้จะโฟกัสไปที่การใช้ Keyword เพียง 1 คำ เท่านั้น พร้อมกำหนดรูปแบบการทำงานของ Keyword ทั้งนี้การทำ 1 Ad Group 1 Keyword นั้นจะช่วยให้เขียนคำโฆษณาได้ง่ายขึ้น และถ้าจะให้ดีควรใส่ Keyword ลงไปด้วย เพื่อเพิ่ม Quality Score ให้กับเว็บ การที่เว็บมี Quality Score สูงจะส่งผลให้โฆษณาของเราอยู่ในอันดับที่ดี และยังช่วยทำให้ค่าคลิกของเราให้ถูกลงด้วย 4. ใช้การเสนอราคาแบบ ECPC (Enhanced Cost Per Click) ECPC เป็นวิธีการเสนอราคาที่จะปรับราคาให้สูงขึ้นเมื่อเจอกับคลิกที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดเป็น Conversion คือการดำเนินการเฉพาะที่คุณต้องการให้ผู้ใช้ทำหลังจากที่พวกเขาคลิกโฆษณาของคุณ เป็นการบริหารเงินของเราให้เหมาะสมที่สุด และจะปรับลดราคาลงเมื่อเจอคลิกที่มีโอกาสซื้อน้อย หรือเจอกับคู่แข่งที่มีทุนสูง 5.สร้างหน้าเพจเพื่อรองรับสำหรับการโฆษณาโดยเฉพาะ สิ่งสำคัญที่จะทำให้โฆษณา สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้ก็คือ Landing Page ต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า สาเหตุที่ให้การทำ โฆษณา Google Ads ไม่ได้ผลนั้น ส่วนใหญ่มาจาก anding Page (หน้าเพจ) ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ตอบโจทย์ คลิกเข้ามาแล้วไม่เจอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ให้คุณลองมองในมุมของลูกค้าดูว่า เมื่อคุณเสิร์ชหาสินค้าบน Google แล้วคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์นี้ คุณต้องการเห็นอะไร? ต้องการเข้ามาดูสินค้าอื่นๆ หรือ ต้องการเข้ามาดูสินค้าที่คุณต้องการ พร้อมข้อมูลที่ช่วยประกอบการตัดสินใจ สรุป ทั้งนี้ Google Ads จัดว่าเป็นอีกหนึ่งในช่องทางการทำการตลาดออนไลน์ที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยไปกว่าการทำการตลาดด้วย Ads Facebook, Tiktok Ads และ Instagram Ads ซึ่งการทำโฆษณาผ่าน Google Ads นั้นจะเป็นการซื้อพื้นที่โฆษณาของ Google ที่สามารถช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตามความต้องการและ Google ยังเป็น Search Engine ที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุดอีกด้วย ดังนั้นในการทำโฆษณาผ่าน Google Ads จึงเป็นหนึ่งในช่องทางที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณมีโอกาสเติบโตและสามารถเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียน การสอนยิง google ads ให้ดีๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อธุรกิจของคุณเอง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.teamdigital.co/คอร์สเรียน-google-ads/
  6. ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวิปครีมมีความสำคัญอย่างมากในการทำขนมหวาน เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้ขนมของเรามีน่าตาน่าทานแล้ว ยังช่วยให้รสชาติของขนมอร่อยขึ้นอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันมีวิปครีมสำเร็จรูปมากมายให้ได้เลือกใช้ในการนำมาทำขนม มีทั้ง วิปครีมสด และวิปครีมผง ซึ่งข้อดีของวิปครีมสด คือเวลาที่ถูกตีจนฟูจะมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มและละมุนมากกว่า ส่วนวิปครีมผง มีข้อดี คือ มีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานกว่าวิปครีมสด และไม่จำเป็นต้องเก็บในตู้เย็น ซึ่งวิปครีมที่วางขายส่วนใหญ่จะมีรสชาติให้เลือก 2 รส คือรสจืด และรสหวาน ซึ่งถ้ามีวิปครีมสำเร็จรูปแล้วขั้นตอนต่อไปก็ง่ายนิดเดียวเพียงใช้อุปกรณ์ และส่วนผสมไม่กี่อย่างก็สามารถตีวิปครีมได้แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในการตีวิปครีมสด กับวิปครีมผงอาจมีขั้นตอนแตกต่างกันไปดังนี้ ขั้นตอนการตีวิปครีมผง 1. เตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์ - หาซื้อผงวิปครีมจากร้านค้า ตรวจสอบบนบรรจุภัณฑ์สำหรับอัตราส่วนที่แนะนำในการผสมกับน้ำหรือนม - ใช้น้ำหรือนมที่แช่เย็นสำหรับการผสม น้ำหรือนมที่เย็นจะช่วยให้ตีวิปครีมได้ดีขึ้น 2. การผสมวัตถุดิบ - ตามอัตราส่วนที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์ (โดยทั่วไปอาจเป็นผงวิปครีม 1 ส่วนต่อน้ำหรือนม 4 ส่วน) เทผงวิปครีมลงในชามตี - เพิ่มน้ำหรือนมเย็นลงไปและใช้ตะกร้อมือหรือเครื่องตีไฟฟ้าผสมให้เข้ากันเบื้องต้นก่อนตีจริง 3. การตีวิปครีม - ใช้เครื่องตีไฟฟ้าตีที่ความเร็วปานกลางถึงสูง ตีผสมจนวิปครีมเริ่มจับตัวและเป็นฟอง - ตีต่อไปจนกว่าวิปครีมจะมีความหนาแน่นและรูปทรงตามที่ต้องการ โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที 4. ตรวจสอบความแน่นของวิปครีม - ตรวจสอบความเข้มข้นของวิปครีม ควรมีลักษณะเนียนและหนา สามารถตั้งยอดได้เมื่อยกตะกร้อขึ้น 5. การใช้งานหรือเก็บรักษา - ใช้วิปครีมทันทีหลังจากตีเสร็จสำหรับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด - ถ้ามีเหลือ สามารถเก็บวิปครีมในตู้เย็นได้ภายในเวลาที่แนะนำบนบรรจุภัณฑ์ ขั้นตอนการตีวิปครีมสด 1. เตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์ - ใช้วิปครีมที่มีไขมันไม่ต่ำกว่า 35% เพื่อให้ง่ายต่อการตีให้ขึ้นฟู - แช่วิปครีมในตู้เย็นจนเย็นสนิทก่อนใช้ วิปครีมเย็นจะตีขึ้นฟูได้ดีกว่า - เย็นภาชนะและเครื่องมือที่ใช้ในการตี (เช่น ชามและเครื่องตีไฟฟ้า) โดยใส่ในตู้เย็นหรือแช่ในน้ำแข็งก่อนใช้ 2. การตีวิปครีมสด - ใส่วิปครีมลงในชามที่เย็นจัด สามารถเติมน้ำตาลไอซิ่งหรือวานิลลาตามชอบเพื่อเพิ่มรสชาติ - ใช้เครื่องตีไฟฟ้าตีที่ความเร็วต่ำก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้วิปครีมกระเด็น - ตีจนวิปครีมเริ่มจับตัวเป็นฟองและเริ่มขึ้นฟู เมื่อเริ่มมีลักษณะเป็นยอด ตีต่อไปจนถึงขั้นที่ต้องการ 3. ตรวจสอบการขึ้นฟูของเนื้อวิปครีม - เนื้อวิปครีมที่ดีจะต้องตั้งยอดได้ 4. การใช้งาน และเก็บรักษา - ควรใช้วิปครีมทันทีหลังจากตีเสร็จ เพราะจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด - หากต้องการเก็บวิปครีมไว้ใช้ภายหลัง ควรเก็บในตู้เย็นและควรใช้ภายใน 24 ชั่วโมง หากเก็บไว้นานกว่านี้อาจจะเกิดการแยกตัวได้ ทั้งนี้การตีวิปครีมผง และวิปครีมสดต้องจับจังหวะให้ดี เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่หนานุ่มและหวานมันตามที่ต้องการ ใช้ความระมัดระวังไม่ให้ตีนานเกินไปจนเป็นเนย การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ระมัดระวังและใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้วิปครีมที่มีคุณภาพในการนำไปใช้งาน
  7. โรคหัวใจ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มีคนเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ ในประเทศไทย เนื่องจากการใช้ชีวิต และพฤติกรรมของคนในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไป ทั้งการรับประทานอาหาร และการไม่ได้ดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดีพอ บางคนกว่าจะรู้ว่าตนเองเป็นโรคหัวใจ อาการก็อาจจะลุกลามจนมีอาการหนักมากขึ้นแล้ว นอกจากนี้อาการของโรคหัวใจบางอย่างอาจจะคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ อีกหลายโรค ดังนั้นเราจึงควรรู้ และศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหัวใจให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้หาทางป้องกันเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยสิ่งที่ควรต้องรู้หลักๆ ก็จะมีพวกเรื่องของอาการของโรคหัวใจ, สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคหัวใจไปจนถึงวิธีที่ใช้ในการรักษาโรคหัวใจ เป็นต้น โรคหัวใจสามารถเกิดจากหลายสาเหตุและปัจจัยได้แก่ 1. โรคหลอดเลือดหัวใจ เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ซึ่งมักเกิดจากการสะสมของไขมันหรือคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด การสะสมเหล่านี้อาจนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดที่หยุดการไหลเวียนของเลือดไปยังหัวใจและเป็นสาเหตุของการเกิดอาการหัวใจวาย 2. ความดันโลหิตสูง การมีความดันโลหิตที่สูงอย่างต่อเนื่องทำให้หัวใจต้องทำงานหนักกว่าปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อหัวใจในระยะยาว 3. การสูบบุหรี่ สารเคมีในบุหรี่สามารถทำลายหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ 4. โรคเบาหวาน หากไม่ได้รับการควบคุมอาจทำให้เกิดการเสียหายต่อหลอดเลือดและเส้นประสาท ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ 5. อาหารที่มีไขมันสูง คอเลสเตอรอลสูง และเกลือสูงสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ 6. การออกกำลังกาย การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถนำไปสู่ความดันโลหิตสูง น้ำหนักเกิน และอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ การรักษาและป้องกันโรคหัวใจสามารถทำได้โดยการควบคุมความดันโลหิต การลดน้ำหนัก การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหากเป็นเบาหวาน อาการของโรคหัวใจ · เจ็บหน้าอก (Angina) มักเป็นอาการที่รู้สึกเหมือนมีอะไรกดทับหรือความรู้สึกแน่น อาจแผ่ไปที่แขน คอ กราม หรือหลัง · หายใจถี่หรือหายใจลำบาก การหายใจที่ลำบากเมื่อทำกิจกรรมหรือแม้กระทั่งขณะพักผ่อน · อาการบวมน้ำ โดยเฉพาะที่ขา ข้อเท้า หรือเท้า เกิดจากการสะสมของเหลวในเนื้อเยื่อเนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ · ความเหนื่อยล้า รู้สึกเหนื่อยง่ายอย่างผิดปกติ แม้กระทั่งจากกิจกรรมที่ไม่หนัก · เวียนศีรษะหรือหน้ามืด เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปยังสมองได้เพียงพอ · หัวใจเต้นผิดปกติ (Arrhythmias) รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง ไม่สม่ำเสมอ หรือเต้นเร็ว · อาการเหนื่อยหอบเมื่อนอนราบ การรู้สึกหายใจไม่อิ่มเมื่อนอนราบ อาจต้องใช้หมอนหลายใบเพื่อช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น การรักษาโรคหัวใจ 1. การใช้ยาในการรักษาโรคหัวใจ ยาขยายหลอดเลือด ช่วยลดความดันโลหิตและปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด ยาลดคอเลสเตอรอล ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เพื่อป้องกันการสะสมของแผ่นไขมันในหลอดเลือด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดภายในหลอดเลือด ยาแก้เจ็บหน้าอก (Nitroglycerin) ช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกที่เกิดจากโรคหัวใจ ยาปรับปรุงการทำงานของหัวใจ เช่น ACE inhibitors หรือ beta blockers 2. การผ่าตัดหรือหัตถการ บางกรณีอาจต้องใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อแก้ไขหรือบรรเทาภาวะที่เกิดจากโรคหัวใจ การติดตั้ง Stent เพื่อเปิดหลอดเลือดที่ตีบหรืออุดตัน การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ เพื่อสร้างเส้นทางใหม่ให้กับการไหลเวียนของเลือดรอบ ๆ บริเวณที่อุดตัน การแทนที่หรือซ่อมแซมวาล์วหัวใจ ในกรณีที่วาล์วหัวใจไม่ทำงานอย่างถูกต้อง 3. การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต การแก้ไขพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมและป้องกันโรคหัวใจ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เน้นผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไขมันดีต่อสุขภาพ การเลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มสุรา สารเคมีในบุหรี่และแอลกอฮอล์สามารถทำลายหัวใจและหลอดเลือด การควบคุมน้ำหนัก การลดน้ำหนักส่วนเกินช่วยลดภาระต่อหัวใจ ทั้งนี้ในการรักษาโรคหัวใจจะรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ และรักษาตามอาการที่ผู้ป่วยเป็นในขณะนั้น เช่น การทำหัตถการสวนหัวใจ การผ่าตัดหัวใจ ร่วมกับการใช้ยารักษา รวมถึงการให้คำแนะนำในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ ความเครียด และเพิ่มการออกกำลังกาย การปรับพฤติกรรมการบริโภคโดยแนะนำให้ลดอาหารเค็ม อาหารหวาน และอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งการทำตามสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนช่วยให้สุขภาพของหัวใจแข็งแรงมากขึ้นได้ค่ะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.nonthavej.co.th/โรคหัวใจเกิดจากอะไร-สาเหตุ-อาการ-การวินิจฉัยและแนวทางการรักษา.php
  8. การเปิดโลกแห่งความงามจากประเทศเกาหลี กับงานโอเพ่นเฮ้าส์สุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกในไทย “COSMAX INNOVATION DAY 2024” โดย COSMAX โรงงานผลิตเครื่องสำอาง อันดับหนึ่งของเกาหลี ที่ได้รับการไว้วางใจให้ผลิตสินค้าไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง (เมคอัพ และสกินแคร์) จากบริษัทฯ ความงามทั่วโลก ที่มาเผยนวัตกรรม ความงามสุดล้ำจากเกาหลีสู่สายตาคนไทย พร้อมโชว์ความพร้อมเรื่องการผลิต และเทคโนโลยีรวมไปถึงศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ครอบคลุม cosmax ผลิตเครื่องสําอางเกาหลี หรือผลิตภัณฑ์ความงามในตลาดทุกประเภทสินค้า ด้วยบริการครบวงจร แบบ One Stop Service ไม่ว่าจะเป็น การผลิต แบบ OEM ODM และ OBM ที่ครบจบในงานเดียว ไฮไลต์ของงาน นอกเหนือจากการบอกเล่าเรื่องราวเส้นทางของแบรนด์ cosmax ผลิตเครื่องสําอางเกาหลี และโชว์นวัตกรรมความงามในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจแล้ว ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอมจากเกาหลีบินตรงมาอัปเดตเทรนด์น้ำหอมก่อนใคร นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตเทรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ การเลือกใช้ส่วนผสม นวัตกรรมต่างๆ รวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัย โดยตัวอย่างเทรนด์ความงามสุดฮอต ที่นักลงทุนและนักธุรกิจที่สนใจเกี่ยวกับเครื่องสำอางไม่ควรพลาด อาทิ โทนเนอร์แพด เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งการปฏิวัติวงการบิวตี้ของเกาหลีเลยก็ว่าได้ กับการปล่อยผลิตภัณฑ์ โทนเนอร์ แพด ที่จับโทนเนอร์ มาบรรจุพร้อมวัสดุสำหรับเช็ดเพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน และได้พัฒนา เรื่อยมา จนกระทั่งโทนเนอร์แพด ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทั้งในเกาหลี และทั่วโลก เพราะโทนเนอร์แพด ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มความสะอาดของผิวหน้า แต่ยังสามารถใช้เป็นการบำรุงเฉพาะจุดแบบเร่งด่วน เสมือนมาสก์บำรุง เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื่น จนทำให้การเติบโตต่อปีของโทนเนอร์แพด สูงถึง 38.4% ในปี 2023, Q2 ในตลาดเครื่องสำอางเกาหลี ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในหมวดหมู่สินค้าประเภท Facial Pack (แพ๊คบำรุงผิวหน้า) COSMAX จึงเลือกนำเสนอโทนเนอร์ แพด ที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อเพิ่มประสบการณ์การในการใช้งานด้วยแผ่นแพด ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเจลลี นุ่มเด้ง เกาะติดผิวหน้าได้ดี พร้อมการบำรุงขั้นสุด ด้วยการส่งต่อสารบำรุงเข้าผิวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งต่างเหล่านี้ล้วนเป็นแค่ตัวอย่างเทรนด์ความสวยความงามที่น่าสนใจบางส่วนจากงาน “COSMAX INNOVATION DAY 2024” เท่านั้น หากสาวๆ คนไหนอยากลองผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จาก cosmax ผลิตเครื่องสําอางเกาหลีที่มีนวัตกรรมสุดล้ำที่ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง บอกเลยว่าไม่ควรพลาดเลยจริงๆ กับ COSMAX ผู้นำเบอร์หนึ่งของโรงงานผลิตเครื่องสำอางเกาหลีในไทย พร้อมอัปเดตเทรนด์ความงาม หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://happeningbkk.com/post/10770
  9. โปรแกรม morpheus คือ นวัตกรรมที่ช่วยยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย แกัปัญหาผิวเหี่ยวย่นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้คลื่นพลังงานวิทยุ (Radio Frequency) ที่ส่งผ่านหัวเข็มขนาดเล็กซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นให้เนื้อเยื่อเกิดการหดตัว เส้นใยคอลลาเจนใต้ชั้นผิว จัดเรียงตัวใหม่ ทำให้ผิวที่เคยหย่อนคล้อยกลับมากระชับเต่งตึงมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในด้านการดูแลผิว อย่าง Morpheus8 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานความถี่วิทยุ (RF Microneedling) เพื่อทำการรักษาผิว วิธีการทำงานของ Morpheus8 Morpheus8 ทำงานโดยการส่งพลังงานความถี่วิทยุผ่านเข็มขนาดเล็กที่ฝังเข้าไปในชั้นผิวหนัง ความร้อนจากความถี่วิทยุจะช่วยในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินซึ่งเป็นโปรตีนหลักในการรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิว วิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างถาวร และสามารถเห็นได้ชัดเจนหลังจากผ่านการรักษาหลายครั้ง ข้อดีของ Morpheus8 ลดริ้วรอยและรอยย่น ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น รักษาแผลเป็นและรอยดำจากสิว ปรับปรุงสภาพผิวที่มีรอยเป็นหรือรอยดำจากการอักเสบ กระชับผิวหน้าและผิวกาย เหมาะสำหรับการทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยดูกระชับขึ้น ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงน้อย ด้วยการควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำ Morpheus8 ลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียง เช่น การหมองคล้ำของผิว การดูแลหลังการรักษาด้วย Morpheus8 ผู้ป่วยอาจพบอาการบวมเล็กน้อยหรือระคายเคืองซึ่งจะหายไปภายในไม่กี่วัน ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงและใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงเพื่อปกป้องผิว นอกจากนี้ยังควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยนตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการฟื้นฟูผิวค่ะ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.aestimaclinic.com/morpheus8/
  10. ไซรัปผลไม้ เป็นส่วนผสมที่มีความหวานซึ่งทำมาจากน้ำตาลและผลไม้ตามธรรมชาติ มันมักจะผ่านกระบวนการต้มเพื่อให้ผลไม้ปล่อยรสชาติและสีออกมา และตัวน้ำตาลทำหน้าที่เป็นสารกันบูดที่ช่วยรักษาน้ำไซรัปผลไม้ให้สามารถเก็บได้นานขึ้น น้ำไซรัปผลไม้ถูกนิยมนำมาใช้ในการประกอบในการทำของหวาน เช่น เครื่องดื่ม,ไอศกรีม และแยม เป็นต้น ซึ่งการทำน้ำไซรัปผลไม้นั้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ วิธีทำไซรัปผลไม้ ส่วนผสม - ผลไม้ตามชอบ (เช่น สตรอเบอร์รี่, แบล็กเบอร์รี่, มะนาว, แอปเปิ้ล) - น้ำตาลหรือน้ำผึ้ง (สำหรับความหวาน) - น้ำสะอาด วิธีการทำ 1. เตรียมผลไม้ ล้างผลไม้ให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หรือบดให้แหลกตามต้องการ 2. ผสมน้ำตาลกับน้ำ ในหม้อ ใส่น้ำตาลหรือน้ำผึ้งลงในน้ำ ใช้สัดส่วนประมาณ 1 ถึง 1 (1 ส่วนน้ำตาลต่อ 1 ส่วนน้ำ) หรือสามารถปรับตามความชอบได้ 3. ต้มน้ำตาลกับน้ำ นำหม้อที่มีน้ำตาลและน้ำไปตั้งไฟ ต้มจนน้ำตาลละลายหมด 4. เพิ่มผลไม้ เมื่อน้ำตาลละลายหมดแล้ว ใส่ผลไม้ที่เตรียมไว้ลงในหม้อ แล้วปรุงต่อเนื่องประมาณ 10-20 นาที หรือจนกว่าผลไม้จะนุ่มและน้ำไซรัปมีสีและรสชาติที่ต้องการ 5. กรองไซรัป ใช้ตะแกรงหรือผ้าขาวบางกรองไซรัปเพื่อแยกเศษผลไม้ออก จะได้ไซรัปที่เนียนและสะอาด 6. เย็นและเก็บรักษา ให้ไซรัปเย็นลงก่อนแล้วเทใส่ขวดหรือภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด จัดเก็บในตู้เย็น เมื่อเย็นแล้วจะสามารถเก็บได้นานหลายสัปดาห์ คำแนะนำ - สามารถปรับปรุงรสชาติด้วยการเติมสมุนไพรหรือเครื่องเทศ เช่น วานิลลา, อบเชย หรือใบมินต์ - ใช้ไซรัปผลไม้เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับน้ำผลไม้, ชา, ค็อกเทล, หรือในสูตรอาหารที่ต้องการความหวานที่มีกลิ่นหอมของผลไม้ ทั้งนี้ในการทำไซรัปผลไม้เองที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมปริมาณน้ำตาล และชนิดของผลไม้ที่ใช้ได้ ทำให้ได้ไซรัปที่ตรงตามความชอบและความต้องการของคุณเองได้ค่ะ แต่ถ้าหากคุณไม่ว่าง หรือไม่มีเวลาที่จะทำไซรัปผลไม้ แบบหวานน้อยสุขภาพ คุณก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะคะ เพราะคุณสามารถหาซื้อได้ตามร้านทั่วไปเลยค่ะ แถมยังมีหลายสูตรให้คุณได้เลือกไม่ว่าจะเป็นหวานน้อย หวานมากก็มีทั้งหมด รับรองว่าตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณแน่นอนค่ะ
  11. ตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยถือเป็นตลาดที่ต่างประเทศเข้ามาลงทุนกันเยอะมาก เพราะด้วยความนิยมใช้เครื่องสำอางในไทย มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี ล่าสุดโรงงานผลิตเครื่องสำอาง COSMAX จากเกาหลี ก็มาเปิดที่ไทย โดยมี คุณ มินกู คัง เป็นกรรมการบริหาร คอสแมค ในประเทศไทย และได้กล่าวว่า ตลอดกว่า 6 ปีที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย บริษัทฯ แม่ในเกาหลีใต้ เห็นถึงความสำเร็จที่ผ่านมา ในปีนี้ จึงตัดสินใจลงทุนขยายโรงงานผลิตเครื่องสำอางแห่งใหม่ ด้วยเม็ดเงินลงทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิมเป็น 2 เท่า และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ภายในไตรมาส 2 ของปี 2569 อีกทั้ง จะมีการนำนวัตกรรม และเทคนิคใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในโรงงานแห่งนี้ด้วย เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางในไทย ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ส่วนลูกค้าของบริษัทเอง ก็ไม่ได้มีแค่นักธุรกิจคนไทยเท่านั้น ยังมีนักธุรกิจจากลาว และเมียนมา ที่เข้ามาสั่งผลิตเครื่องสำอางที่โรงงานในไทย ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ COSMAX เป็นโรงงานผลิตเครื่องสำอางจากเกาหลีใต้ ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 30 ปี มีลูกค้าที่เป็นบริษัทความงามมากกว่า 600 บริษัทที่จดทะเบียนอยู่บนเว็บไซต์ นอกจากโรงงานที่เกาหลีใต้ บริษัทฯ ยังมีการลงทุนตั้งฐานการผลิตเครื่องสำอางที่ประเทศอื่น ๆ อีกด้วย เช่น จีน, ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการลงทุนตั้งโรงงาน 2 แห่งคือ ที่ ไทย และ อินโดนีเซีย นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจเพิ่มเติม ทั้งที่ญี่ปุ่น และอเมริกา เพราะ ตลาดมีแนวโน้มเติบโตสูง รวมถึง ยุโรป ก็เติบโตดีเช่นกัน นั่นเป็นเพราะผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเกาหลี หรือ เค บิวตี้ (K-Beauty) ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งผู้บริหาร จาก COSMAX เล่าอีกว่า ความนิยมที่เพิ่มขึ้น เกิดจากปัจจัยหลายเรื่อง เรื่องแรก คือ การพัฒนาด้านนวัตกรรม เนื่องมาจากการที่ ผู้หญิงเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก ทำให้ผู้ผลิตเครื่องสำอางต่างมีการแข่งขันด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อนำมาตอบสนองผู้บริโภคอยู่เสมอ
  12. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่คือการมีปัสสาวะเล็ดออกมานอกร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเราสามารถแบ่งภาวะนี้ได้เป็นหลายประเภท เมื่อมีภาวะนี้ ผู้ป่วยจะปัสสาวะออกมาโดยควบคุมไม่ได้ ส่วนมากผู้ที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่จะปัสสาวะประมาณ 8 ครั้งต่อวันหรือมากกว่านั้น รวมถึงปัสสาวะในเวลากลางคืนอีกหลายครั้ง ซึ่งการที่กลั้นปัสสาวะไม่ได้นั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุดังนี้ สาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ 1. ปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน (Stress Incontinence) - เกิดจากการสูญเสียการทำงานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เช่น จากการคลอดบุตร, การผ่าตัด, หรืออายุที่มากขึ้น ทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ในเวลาที่มีแรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น เช่น ไอ, จาม, หัวเราะ หรือออกแรงยกของหนัก 2. ปัสสาวะเล็ดจากการกระตุ้น (Urge Incontinence) เกิดจากการทำงานผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะที่ส่งสัญญาณให้รู้สึกปวดปัสสาวะทันทีแม้กระเพาะจะยังไม่เต็ม สาเหตุอาจมาจาก - ความผิดปกติของระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน, โรคเส้นประสาทเสื่อม หรือโรคหลอดเลือดสมอง - การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ - ปัจจัยทางจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล 3. ปัสสาวะเล็ดจากการล้น (Overflow Incontinence) เกิดจากกระเพาะปัสสาวะที่ไม่สามารถบีบตัวได้เต็มที่ ทำให้ปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะจนล้นออกมา มักพบในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น - โรคเบาหวานที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะ - ต่อมลูกหมากโตในผู้ชาย - การอุดตันในทางเดินปัสสาวะ 4. ปัสสาวะเล็ดแบบผสม (Mixed Incontinence) - เป็นการเกิดร่วมกันระหว่างปัสสาวะเล็ดจากแรงดันและปัสสาวะเล็ดจากการกระตุ้น ซึ่งมักพบในผู้หญิงวัยกลางคนและผู้สูงอายุ 5. ปัสสาวะเล็ดจากการไม่สามารถควบคุมได้ (Functional Incontinence) - เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การไม่สามารถเดินไปเข้าห้องน้ำได้ทันเวลาเนื่องจากโรคข้อเสื่อม, ปัญหาการเคลื่อนไหว หรือการใช้งานห้องน้ำที่ไม่สะดวก 6. ปัจจัยอื่น ๆ - การตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและแรงกดดันจากมดลูกที่ขยายตัว - วัยหมดประจำเดือน การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน - การใช้ยา ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง อาจมีผลข้างเคียงทำให้ปัสสาวะเล็ดได้ - การดื่มเครื่องดื่มที่กระตุ้นการขับปัสสาวะ เช่น คาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ในทางป้องกันไม่ให้เป็นโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สามารถทำได้โดยเริ่มจากการดูแลสุขภาพ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และระบบทางเดินปัสสาวะ อย่างเช่น การออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ด้วยการ Kegel exercise หรือการฝึกขมิบ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน, ควบคุมน้ำหนัก การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมช่วยลดแรงดันในช่องท้องและกระเพาะปัสสาวะ ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ด้วยนะคะ เพราะการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการไอเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอและเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะปัสสาวะเล็ดได้ ปัจจุบันโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้สามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งที่ Aestima Clinic ก็มีโปรแกรมสำหรับในการรักษาโรคนี้โดยเฉพาะด้วยค่ะ
  13. ครีมอาบน้ำสูตรธรรมชาติ กลิ่นรีเฟรชชิ่ง ครีมอาบน้ำไม่เพียงแต่ช่วยให้ผิวสะอาด แต่ยังมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวให้ชุ่มชื่นและมีสุขภาพดีอีกด้วย ด้วยคุณสมบัติที่อ่อนโยนและส่วนผสมที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ เราจะพูดถึงประโยชน์ของครีมอาบน้ำและสิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ จุดเด่น ของผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ สูตรธรรมชาติ พิพเพอร์ สแตนดาร์ด ช่วยให้ ผิวสะอาดอย่างอ่อนโยน ชุ่มชื่น น่าสัมผัส ด้วยโบรมีเลนแอคทีฟ อุดมด้วยวิตามินอี จากโจโจ้บาออยล์ ช่วยฟื้นฟูผิวให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น น่าสัมผัส อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว แม้ผิวแพ้ง่าย ผ่านการทดสอบการระคายเคืองผิว จากแพทย์ผิวหนังชั้นนำ ปราศจากซัลเฟต พาราเบน แอลกอฮอล์ สี และสารก่อภูมิแพ้ ส่วนผสม ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ โบรมีเลน แอคทีฟ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างอ่อนโยนด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติของสับปะรด ทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก โดยไม่ทำร้ายผิว โจโจ้บา ออยล์ อุดมด้วย วิตามิน อี เข้าฟื้นบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม น่าสัมผัส ช่วยต้านอนุมูลอิสระให้ผิวไม่แก่ก่อนวัย ออร์แกนิค อโลเวร่า เข้าฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื่น เนียนนุ่ม ดูอิ่มน้ำ แบบผิวสวยสุขภาพดี วิธีใช้ ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ ชโลมผิวให้ทั่วด้วยน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนเพราะอาจจะทำให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น บีบพิพเพอร์ สแตนดาร์ด เนเชอรัล บอดี้วอช กลิ่นรีเฟรชชิ่ง ในปริมาณที่พอเหมาะลงบนฝ่ามือ/ฟองน้ำ ถูครีมอาบน้ำบนฝ่ามือ/ฟองน้ำขณะเปียกจนเกิดฟองเพื่อทำความสะอาดผิว ลูบไล้ครีมอาบน้ำให้ทั่วผิวกายบริเวณที่ต้องการทำความสะอาด แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด การเลือกใช้ครีมอาบน้ำที่เหมาะสมกับผิวไม่เพียงแต่ช่วยให้ผิวของคุณสะอาดและสุขภาพดี แต่ยังเป็นการลงทุนในการดูแลผิวระยะยาวอีกด้วย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายบนตลาดในปัจจุบัน ครีมอาบน้ำ พิพเพอร์ สแตนดาร์ด ออร์แกนิค ธรรมชาติ กลิ่นรีเฟรชชิ่ง เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายและผู้ที่ต้องการมีผิวสวยและสุขภาพดี
  14. โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อเข่า ทั้งรูปร่าง โครงสร้าง การทำงานของกระดูกข้อต่อ และกระดูกบริเวณใกล้ข้อมีการสึกหรอ และเสื่อมลงตามอายุ เมื่อไม่มีผิวกระดูกอ่อนมาห่อหุ้ม เนื้อกระดูกจึงมีการชนกันขณะรับน้ำหนัก จึงทำให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึดติด โดยจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ หัวเข่าก็จะผิดรูป และไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ถึงแม้ผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงที่สูงกว่าแต่ผู้มีอายุน้อยก็มีสิทธิและโอกาสเป็นข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยได้เหมือนกันหากดูแลตนเองไม่ดี ดังนั้นทางที่ดีคือหาทางป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า โดยวิธีป้องกันสามารถทำได้หลายวิธีหนึ่งในนั้นคือการเลือกทานอาหาร หรืออาหารเสริมที่เป็นแคลเซียมบำรุงข้อเข่า โดยอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยทำให้กระดูกและข้อแข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูกได้อีกด้วยค่ะ สารอาหารที่สำคัญในการบำรุงข้อเข่า 1. แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูก 2. วิตามิน D ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและส่งเสริมสุขภาพกระดูก 3. วิตามิน C สำคัญสำหรับการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระดูกและกระดูกอ่อน 4. โอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบในข้อ 5. กลูโคซามีน และคอนดรอยติน เป็นสารอาหารเสริมที่มีคนใช้เพื่อบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อมและบำรุงข้อต่อ การเลือกรับประทานแคลเซียม - แหล่งที่มาของแคลเซียม นมและผลิตภัณฑ์จากนม, ผักใบเขียว เช่น คะน้า บร็อคโคลี และอาหารที่เสริมแคลเซียม เช่น น้ำผลไม้ และธัญพืช - การเสริมแคลเซียม ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้แคลเซียมเสริม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกประเภทและปริมาณที่เหมาะสม ปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้ได้รับแต่ละวันขึ้นอยู่กับอายุและเพศ · เด็กและวัยรุ่น ควรได้รับระหว่าง 700 ถึง 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน · ผู้ใหญ่ ประทานประมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้หญิงที่อายุ 50 ปีขึ้นไป และผู้ชายที่อายุมากกว่า 70 ปีควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน · ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร จะมีความต้องการแคลเซียมเพิ่มขึ้น ควรปรึกษาจากแพทย์ผู้เขี่ยวชาญเกี่ยวกับปริมาณที่ควรได้รับแคลเซียมที่เหมาะสม ทั้งนี้ในการดูแลสุขภาพข้อเข่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรับประทานแคลเซียมบำรุงข้อเข่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการรักษาน้ำหนักให้เหมาะสม, การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อ และควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็ว นอกเหนือจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้วอย่าลืมที่จะต้องดูปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับในแต่ละวันตามช่วงอายุด้วย เพราะหากทานมากเกินไป หรือร่างกายได้รับมากเกินความจำเป็นอาจจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้ เช่น การเกิดนิ่วในไต และส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและกล้ามเนื้อได้ค่ะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.cal-t.com/ผลิตภัณฑ์แคล-ที/แคลเซียมบำรุงข้อเข่า/ #แคลเซียมบำรุงข้อเข่า
  15. การถ่ายรูปให้สวยนั้น นอกจากกล้องถ่ายรูป หรือกล้องมือถือดีๆ ซักเครื่องแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือสถานที่ถ่ายรูป หลายคนที่ชอบถ่ายรูปอาจจะนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยว สวนสาธารณะ แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศใหม่ หรือการถ่ายรูปที่จริงจังขึ้น อย่างเช่น ถ่ายรูปสินค้า ถ่ายแบบ photo set ถ่าย pre wedding รวมถึงการถ่าย cosplay ควรเลือกไปที่สตูดิโอถ่ายรูป จะดีกว่า เพราะที่สตูถ่ายรูปมีความพร้อมในหลายๆ ด้านทำให้เราสามารถถ่ายรูปออกมาได้สวยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฉาก อุปกรณ์เพิ่มความสว่าง บรรยากาศ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เราสามารถควบคุมเองได้ทั้งหมดว่าต้องการแบบไหน ทำให้ได้ภาพที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเลือกสตูดิโอถ่ายรูปให้เหมาะสมด้วย ซึ่งการเลือกสตูดิโอสำหรับถ่ายรูปให้ได้ดีนั้นควรเลือกดังนี้ สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกสตูดิโอถ่ายรูปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ตอบโจทย์และมีคุณภาพ 1. ประเภทของการถ่ายภาพ: กำหนดประเภทของภาพที่คุณต้องการถ่าย เช่น ภาพบุคคล, ภาพแฟชั่น, ภาพสินค้า, หรือภาพงานแต่งงาน แล้วเลือกสตูดิโอที่มีความเชี่ยวชาญ และอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับประเภทงานนั้นๆ 2. อุปกรณ์และแสง: สำรวจสตูดิโอที่มีอุปกรณ์การถ่ายภาพครบครันและทันสมัย ตรวจสอบระบบแสงภายในสตูดิโอว่ามีความหลากหลาย และเพียงพอต่อความต้องการของคุณหรือไม่ 3. พื้นที่และการออกแบบ: ควรมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการตั้งฉาก และเคลื่อนไหวให้สะดวก นอกจากนี้ ควรมีห้องแต่งตัว, ห้องพักผ่อน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ 4. ฉากหลังและพร็อพ: หากคุณต้องการฉากหลังและพร็อพเฉพาะ ควรเลือกสตูดิโอที่มีทางเลือกหลากหลายและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ 5. รีวิวและผลงาน: ตรวจสอบรีวิวและผลงานก่อนหน้าของสตูดิโอนั้นๆ ผ่านเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย เพื่อประเมินคุณภาพและสไตล์ของการถ่ายภาพ 6. ราคาและแพ็กเกจ: เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจที่แตกต่างกัน โดยพิจารณาถึงอัตราค่าเช่า, เวลาที่ใช้ในสตูดิโอ และบริการเพิ่มเติมที่มีให้ 7. การเข้าถึงและสถานที่ตั้ง: สถานที่ควรเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องในการถ่ายภาพ 8. นโยบายการจองและยกเลิก: ทำความเข้าใจกับนโยบายการจองและการยกเลิก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง นอกจากนี้การที่เลือกเช่าสตูดิโอถ่ายรูปสามารถช่วยประหยัดทั้งเงิน และเวลาได้มากกว่าการไปลงตามสถานที่ เพราะเราสามารถเซ็ตฉากได้ ถ่ายกับฉากที่หลากหลายในที่เดียว ถ่ายกับช่างภาพมืออาชีพที่มีประสบการณ์ ไม่ต้องรอเวลาสำหรับแสงในทิศทางหรือความเข้มของแสงต่างๆ เพราะสามารถจัดในสตูดิโอได้ทันที และที่สำคัญไม่ต้องเสี่ยงกับสภาพอากาศเช่น ฝนตก ทำให้ไม่สามารถถ่ายรูปได้ แต่ถ้าเลือกมาที่สตูดิโอถ่ายรูปต่อให้ฝนตก แดดไม่ออก ก็สามารถถ่ายงานได้อย่างไม่มีปัญหา รับประกันว่าได้ถ่ายงานตามที่วางไว้แน่นอนค่ะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://velaent.com/vela-studio/สตูดิโอถ่ายภาพ/
×
×
  • Create New...