Chantima
Patriarch-
Content Count
138 -
Joined
-
Last visited
Community Reputation
0 mediumAbout Chantima
-
Rank
ขาใหญ่
Profile Information
-
เพศ
หญิง
-
ที่อยู่
กรุงเทพมหานคร
-
โปรแกรม morpheus คือ นวัตกรรมที่ช่วยยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย แกัปัญหาผิวเหี่ยวย่นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้คลื่นพลังงานวิทยุ (Radio Frequency) ที่ส่งผ่านหัวเข็มขนาดเล็กซึ่งจะเข้าไปกระตุ้นให้เนื้อเยื่อเกิดการหดตัว เส้นใยคอลลาเจนใต้ชั้นผิว จัดเรียงตัวใหม่ ทำให้ผิวที่เคยหย่อนคล้อยกลับมากระชับเต่งตึงมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในด้านการดูแลผิว อย่าง Morpheus8 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานความถี่วิทยุ (RF Microneedling) เพื่อทำการรักษาผิว วิธีการทำงานของ Morpheus8 Morpheus8 ทำงานโดยการส่งพลังงานความถี่วิทยุผ่านเข็มขนาดเล็กที่ฝังเข้าไปในชั้นผิวหนัง ความร้อนจากความถี่วิทยุจะช่วยในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินซึ่งเป็นโปรตีนหลักในการรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิว วิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างถาวร และสามารถเห็นได้ชัดเจนหลังจากผ่านการรักษาหลายครั้ง ข้อดีของ Morpheus8 ลดริ้วรอยและรอยย่น ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น รักษาแผลเป็นและรอยดำจากสิว ปรับปรุงสภาพผิวที่มีรอยเป็นหรือรอยดำจากการอักเสบ กระชับผิวหน้าและผิวกาย เหมาะสำหรับการทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยดูกระชับขึ้น ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงน้อย ด้วยการควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำ Morpheus8 ลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียง เช่น การหมองคล้ำของผิว การดูแลหลังการรักษาด้วย Morpheus8 ผู้ป่วยอาจพบอาการบวมเล็กน้อยหรือระคายเคืองซึ่งจะหายไปภายในไม่กี่วัน ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรงและใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงเพื่อปกป้องผิว นอกจากนี้ยังควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยนตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการฟื้นฟูผิวค่ะ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.aestimaclinic.com/morpheus8/
-
ไซรัปผลไม้ เป็นส่วนผสมที่มีความหวานซึ่งทำมาจากน้ำตาลและผลไม้ตามธรรมชาติ มันมักจะผ่านกระบวนการต้มเพื่อให้ผลไม้ปล่อยรสชาติและสีออกมา และตัวน้ำตาลทำหน้าที่เป็นสารกันบูดที่ช่วยรักษาน้ำไซรัปผลไม้ให้สามารถเก็บได้นานขึ้น น้ำไซรัปผลไม้ถูกนิยมนำมาใช้ในการประกอบในการทำของหวาน เช่น เครื่องดื่ม,ไอศกรีม และแยม เป็นต้น ซึ่งการทำน้ำไซรัปผลไม้นั้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ วิธีทำไซรัปผลไม้ ส่วนผสม - ผลไม้ตามชอบ (เช่น สตรอเบอร์รี่, แบล็กเบอร์รี่, มะนาว, แอปเปิ้ล) - น้ำตาลหรือน้ำผึ้ง (สำหรับความหวาน) - น้ำสะอาด วิธีการทำ 1. เตรียมผลไม้ ล้างผลไม้ให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หรือบดให้แหลกตามต้องการ 2. ผสมน้ำตาลกับน้ำ ในหม้อ ใส่น้ำตาลหรือน้ำผึ้งลงในน้ำ ใช้สัดส่วนประมาณ 1 ถึง 1 (1 ส่วนน้ำตาลต่อ 1 ส่วนน้ำ) หรือสามารถปรับตามความชอบได้ 3. ต้มน้ำตาลกับน้ำ นำหม้อที่มีน้ำตาลและน้ำไปตั้งไฟ ต้มจนน้ำตาลละลายหมด 4. เพิ่มผลไม้ เมื่อน้ำตาลละลายหมดแล้ว ใส่ผลไม้ที่เตรียมไว้ลงในหม้อ แล้วปรุงต่อเนื่องประมาณ 10-20 นาที หรือจนกว่าผลไม้จะนุ่มและน้ำไซรัปมีสีและรสชาติที่ต้องการ 5. กรองไซรัป ใช้ตะแกรงหรือผ้าขาวบางกรองไซรัปเพื่อแยกเศษผลไม้ออก จะได้ไซรัปที่เนียนและสะอาด 6. เย็นและเก็บรักษา ให้ไซรัปเย็นลงก่อนแล้วเทใส่ขวดหรือภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด จัดเก็บในตู้เย็น เมื่อเย็นแล้วจะสามารถเก็บได้นานหลายสัปดาห์ คำแนะนำ - สามารถปรับปรุงรสชาติด้วยการเติมสมุนไพรหรือเครื่องเทศ เช่น วานิลลา, อบเชย หรือใบมินต์ - ใช้ไซรัปผลไม้เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับน้ำผลไม้, ชา, ค็อกเทล, หรือในสูตรอาหารที่ต้องการความหวานที่มีกลิ่นหอมของผลไม้ ทั้งนี้ในการทำไซรัปผลไม้เองที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมปริมาณน้ำตาล และชนิดของผลไม้ที่ใช้ได้ ทำให้ได้ไซรัปที่ตรงตามความชอบและความต้องการของคุณเองได้ค่ะ แต่ถ้าหากคุณไม่ว่าง หรือไม่มีเวลาที่จะทำไซรัปผลไม้ แบบหวานน้อยสุขภาพ คุณก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะคะ เพราะคุณสามารถหาซื้อได้ตามร้านทั่วไปเลยค่ะ แถมยังมีหลายสูตรให้คุณได้เลือกไม่ว่าจะเป็นหวานน้อย หวานมากก็มีทั้งหมด รับรองว่าตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณแน่นอนค่ะ
-
ตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยถือเป็นตลาดที่ต่างประเทศเข้ามาลงทุนกันเยอะมาก เพราะด้วยความนิยมใช้เครื่องสำอางในไทย มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี ล่าสุดโรงงานผลิตเครื่องสำอาง COSMAX จากเกาหลี ก็มาเปิดที่ไทย โดยมี คุณ มินกู คัง เป็นกรรมการบริหาร คอสแมค ในประเทศไทย และได้กล่าวว่า ตลอดกว่า 6 ปีที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย บริษัทฯ แม่ในเกาหลีใต้ เห็นถึงความสำเร็จที่ผ่านมา ในปีนี้ จึงตัดสินใจลงทุนขยายโรงงานผลิตเครื่องสำอางแห่งใหม่ ด้วยเม็ดเงินลงทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิมเป็น 2 เท่า และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ภายในไตรมาส 2 ของปี 2569 อีกทั้ง จะมีการนำนวัตกรรม และเทคนิคใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในโรงงานแห่งนี้ด้วย เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางในไทย ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ส่วนลูกค้าของบริษัทเอง ก็ไม่ได้มีแค่นักธุรกิจคนไทยเท่านั้น ยังมีนักธุรกิจจากลาว และเมียนมา ที่เข้ามาสั่งผลิตเครื่องสำอางที่โรงงานในไทย ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ COSMAX เป็นโรงงานผลิตเครื่องสำอางจากเกาหลีใต้ ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 30 ปี มีลูกค้าที่เป็นบริษัทความงามมากกว่า 600 บริษัทที่จดทะเบียนอยู่บนเว็บไซต์ นอกจากโรงงานที่เกาหลีใต้ บริษัทฯ ยังมีการลงทุนตั้งฐานการผลิตเครื่องสำอางที่ประเทศอื่น ๆ อีกด้วย เช่น จีน, ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการลงทุนตั้งโรงงาน 2 แห่งคือ ที่ ไทย และ อินโดนีเซีย นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจเพิ่มเติม ทั้งที่ญี่ปุ่น และอเมริกา เพราะ ตลาดมีแนวโน้มเติบโตสูง รวมถึง ยุโรป ก็เติบโตดีเช่นกัน นั่นเป็นเพราะผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเกาหลี หรือ เค บิวตี้ (K-Beauty) ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งผู้บริหาร จาก COSMAX เล่าอีกว่า ความนิยมที่เพิ่มขึ้น เกิดจากปัจจัยหลายเรื่อง เรื่องแรก คือ การพัฒนาด้านนวัตกรรม เนื่องมาจากการที่ ผู้หญิงเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก ทำให้ผู้ผลิตเครื่องสำอางต่างมีการแข่งขันด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อนำมาตอบสนองผู้บริโภคอยู่เสมอ
-
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่คือการมีปัสสาวะเล็ดออกมานอกร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเราสามารถแบ่งภาวะนี้ได้เป็นหลายประเภท เมื่อมีภาวะนี้ ผู้ป่วยจะปัสสาวะออกมาโดยควบคุมไม่ได้ ส่วนมากผู้ที่กลั้นปัสสาวะไม่อยู่จะปัสสาวะประมาณ 8 ครั้งต่อวันหรือมากกว่านั้น รวมถึงปัสสาวะในเวลากลางคืนอีกหลายครั้ง ซึ่งการที่กลั้นปัสสาวะไม่ได้นั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุดังนี้ สาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ 1. ปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน (Stress Incontinence) - เกิดจากการสูญเสียการทำงานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เช่น จากการคลอดบุตร, การผ่าตัด, หรืออายุที่มากขึ้น ทำให้ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ในเวลาที่มีแรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น เช่น ไอ, จาม, หัวเราะ หรือออกแรงยกของหนัก 2. ปัสสาวะเล็ดจากการกระตุ้น (Urge Incontinence) เกิดจากการทำงานผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะที่ส่งสัญญาณให้รู้สึกปวดปัสสาวะทันทีแม้กระเพาะจะยังไม่เต็ม สาเหตุอาจมาจาก - ความผิดปกติของระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน, โรคเส้นประสาทเสื่อม หรือโรคหลอดเลือดสมอง - การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ - ปัจจัยทางจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล 3. ปัสสาวะเล็ดจากการล้น (Overflow Incontinence) เกิดจากกระเพาะปัสสาวะที่ไม่สามารถบีบตัวได้เต็มที่ ทำให้ปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะจนล้นออกมา มักพบในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น - โรคเบาหวานที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะ - ต่อมลูกหมากโตในผู้ชาย - การอุดตันในทางเดินปัสสาวะ 4. ปัสสาวะเล็ดแบบผสม (Mixed Incontinence) - เป็นการเกิดร่วมกันระหว่างปัสสาวะเล็ดจากแรงดันและปัสสาวะเล็ดจากการกระตุ้น ซึ่งมักพบในผู้หญิงวัยกลางคนและผู้สูงอายุ 5. ปัสสาวะเล็ดจากการไม่สามารถควบคุมได้ (Functional Incontinence) - เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การไม่สามารถเดินไปเข้าห้องน้ำได้ทันเวลาเนื่องจากโรคข้อเสื่อม, ปัญหาการเคลื่อนไหว หรือการใช้งานห้องน้ำที่ไม่สะดวก 6. ปัจจัยอื่น ๆ - การตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและแรงกดดันจากมดลูกที่ขยายตัว - วัยหมดประจำเดือน การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน - การใช้ยา ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง อาจมีผลข้างเคียงทำให้ปัสสาวะเล็ดได้ - การดื่มเครื่องดื่มที่กระตุ้นการขับปัสสาวะ เช่น คาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ในทางป้องกันไม่ให้เป็นโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สามารถทำได้โดยเริ่มจากการดูแลสุขภาพ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และระบบทางเดินปัสสาวะ อย่างเช่น การออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ด้วยการ Kegel exercise หรือการฝึกขมิบ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน, ควบคุมน้ำหนัก การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมช่วยลดแรงดันในช่องท้องและกระเพาะปัสสาวะ ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ด้วยนะคะ เพราะการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการไอเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอและเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะปัสสาวะเล็ดได้ ปัจจุบันโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้สามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งที่ Aestima Clinic ก็มีโปรแกรมสำหรับในการรักษาโรคนี้โดยเฉพาะด้วยค่ะ
-
ครีมอาบน้ำสูตรธรรมชาติ กลิ่นรีเฟรชชิ่ง ครีมอาบน้ำไม่เพียงแต่ช่วยให้ผิวสะอาด แต่ยังมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวให้ชุ่มชื่นและมีสุขภาพดีอีกด้วย ด้วยคุณสมบัติที่อ่อนโยนและส่วนผสมที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ เราจะพูดถึงประโยชน์ของครีมอาบน้ำและสิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ จุดเด่น ของผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ สูตรธรรมชาติ พิพเพอร์ สแตนดาร์ด ช่วยให้ ผิวสะอาดอย่างอ่อนโยน ชุ่มชื่น น่าสัมผัส ด้วยโบรมีเลนแอคทีฟ อุดมด้วยวิตามินอี จากโจโจ้บาออยล์ ช่วยฟื้นฟูผิวให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น น่าสัมผัส อ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว แม้ผิวแพ้ง่าย ผ่านการทดสอบการระคายเคืองผิว จากแพทย์ผิวหนังชั้นนำ ปราศจากซัลเฟต พาราเบน แอลกอฮอล์ สี และสารก่อภูมิแพ้ ส่วนผสม ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ โบรมีเลน แอคทีฟ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างอ่อนโยนด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติของสับปะรด ทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก โดยไม่ทำร้ายผิว โจโจ้บา ออยล์ อุดมด้วย วิตามิน อี เข้าฟื้นบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม น่าสัมผัส ช่วยต้านอนุมูลอิสระให้ผิวไม่แก่ก่อนวัย ออร์แกนิค อโลเวร่า เข้าฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื่น เนียนนุ่ม ดูอิ่มน้ำ แบบผิวสวยสุขภาพดี วิธีใช้ ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ ชโลมผิวให้ทั่วด้วยน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนเพราะอาจจะทำให้ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น บีบพิพเพอร์ สแตนดาร์ด เนเชอรัล บอดี้วอช กลิ่นรีเฟรชชิ่ง ในปริมาณที่พอเหมาะลงบนฝ่ามือ/ฟองน้ำ ถูครีมอาบน้ำบนฝ่ามือ/ฟองน้ำขณะเปียกจนเกิดฟองเพื่อทำความสะอาดผิว ลูบไล้ครีมอาบน้ำให้ทั่วผิวกายบริเวณที่ต้องการทำความสะอาด แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด การเลือกใช้ครีมอาบน้ำที่เหมาะสมกับผิวไม่เพียงแต่ช่วยให้ผิวของคุณสะอาดและสุขภาพดี แต่ยังเป็นการลงทุนในการดูแลผิวระยะยาวอีกด้วย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายบนตลาดในปัจจุบัน ครีมอาบน้ำ พิพเพอร์ สแตนดาร์ด ออร์แกนิค ธรรมชาติ กลิ่นรีเฟรชชิ่ง เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายและผู้ที่ต้องการมีผิวสวยและสุขภาพดี
-
โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อเข่า ทั้งรูปร่าง โครงสร้าง การทำงานของกระดูกข้อต่อ และกระดูกบริเวณใกล้ข้อมีการสึกหรอ และเสื่อมลงตามอายุ เมื่อไม่มีผิวกระดูกอ่อนมาห่อหุ้ม เนื้อกระดูกจึงมีการชนกันขณะรับน้ำหนัก จึงทำให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึดติด โดยจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ หัวเข่าก็จะผิดรูป และไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ถึงแม้ผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงที่สูงกว่าแต่ผู้มีอายุน้อยก็มีสิทธิและโอกาสเป็นข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยได้เหมือนกันหากดูแลตนเองไม่ดี ดังนั้นทางที่ดีคือหาทางป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า โดยวิธีป้องกันสามารถทำได้หลายวิธีหนึ่งในนั้นคือการเลือกทานอาหาร หรืออาหารเสริมที่เป็นแคลเซียมบำรุงข้อเข่า โดยอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยทำให้กระดูกและข้อแข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูกได้อีกด้วยค่ะ สารอาหารที่สำคัญในการบำรุงข้อเข่า 1. แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูก 2. วิตามิน D ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและส่งเสริมสุขภาพกระดูก 3. วิตามิน C สำคัญสำหรับการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระดูกและกระดูกอ่อน 4. โอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบในข้อ 5. กลูโคซามีน และคอนดรอยติน เป็นสารอาหารเสริมที่มีคนใช้เพื่อบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อมและบำรุงข้อต่อ การเลือกรับประทานแคลเซียม - แหล่งที่มาของแคลเซียม นมและผลิตภัณฑ์จากนม, ผักใบเขียว เช่น คะน้า บร็อคโคลี และอาหารที่เสริมแคลเซียม เช่น น้ำผลไม้ และธัญพืช - การเสริมแคลเซียม ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้แคลเซียมเสริม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกประเภทและปริมาณที่เหมาะสม ปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้ได้รับแต่ละวันขึ้นอยู่กับอายุและเพศ · เด็กและวัยรุ่น ควรได้รับระหว่าง 700 ถึง 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน · ผู้ใหญ่ ประทานประมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน และผู้หญิงที่อายุ 50 ปีขึ้นไป และผู้ชายที่อายุมากกว่า 70 ปีควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน · ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตร จะมีความต้องการแคลเซียมเพิ่มขึ้น ควรปรึกษาจากแพทย์ผู้เขี่ยวชาญเกี่ยวกับปริมาณที่ควรได้รับแคลเซียมที่เหมาะสม ทั้งนี้ในการดูแลสุขภาพข้อเข่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรับประทานแคลเซียมบำรุงข้อเข่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการรักษาน้ำหนักให้เหมาะสม, การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อ และควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็ว นอกเหนือจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้วอย่าลืมที่จะต้องดูปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับในแต่ละวันตามช่วงอายุด้วย เพราะหากทานมากเกินไป หรือร่างกายได้รับมากเกินความจำเป็นอาจจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้ เช่น การเกิดนิ่วในไต และส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและกล้ามเนื้อได้ค่ะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.cal-t.com/ผลิตภัณฑ์แคล-ที/แคลเซียมบำรุงข้อเข่า/ #แคลเซียมบำรุงข้อเข่า
-
การถ่ายรูปให้สวยนั้น นอกจากกล้องถ่ายรูป หรือกล้องมือถือดีๆ ซักเครื่องแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือสถานที่ถ่ายรูป หลายคนที่ชอบถ่ายรูปอาจจะนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยว สวนสาธารณะ แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศใหม่ หรือการถ่ายรูปที่จริงจังขึ้น อย่างเช่น ถ่ายรูปสินค้า ถ่ายแบบ photo set ถ่าย pre wedding รวมถึงการถ่าย cosplay ควรเลือกไปที่สตูดิโอถ่ายรูป จะดีกว่า เพราะที่สตูถ่ายรูปมีความพร้อมในหลายๆ ด้านทำให้เราสามารถถ่ายรูปออกมาได้สวยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฉาก อุปกรณ์เพิ่มความสว่าง บรรยากาศ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เราสามารถควบคุมเองได้ทั้งหมดว่าต้องการแบบไหน ทำให้ได้ภาพที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเลือกสตูดิโอถ่ายรูปให้เหมาะสมด้วย ซึ่งการเลือกสตูดิโอสำหรับถ่ายรูปให้ได้ดีนั้นควรเลือกดังนี้ สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกสตูดิโอถ่ายรูปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ตอบโจทย์และมีคุณภาพ 1. ประเภทของการถ่ายภาพ: กำหนดประเภทของภาพที่คุณต้องการถ่าย เช่น ภาพบุคคล, ภาพแฟชั่น, ภาพสินค้า, หรือภาพงานแต่งงาน แล้วเลือกสตูดิโอที่มีความเชี่ยวชาญ และอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับประเภทงานนั้นๆ 2. อุปกรณ์และแสง: สำรวจสตูดิโอที่มีอุปกรณ์การถ่ายภาพครบครันและทันสมัย ตรวจสอบระบบแสงภายในสตูดิโอว่ามีความหลากหลาย และเพียงพอต่อความต้องการของคุณหรือไม่ 3. พื้นที่และการออกแบบ: ควรมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการตั้งฉาก และเคลื่อนไหวให้สะดวก นอกจากนี้ ควรมีห้องแต่งตัว, ห้องพักผ่อน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ 4. ฉากหลังและพร็อพ: หากคุณต้องการฉากหลังและพร็อพเฉพาะ ควรเลือกสตูดิโอที่มีทางเลือกหลากหลายและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ 5. รีวิวและผลงาน: ตรวจสอบรีวิวและผลงานก่อนหน้าของสตูดิโอนั้นๆ ผ่านเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย เพื่อประเมินคุณภาพและสไตล์ของการถ่ายภาพ 6. ราคาและแพ็กเกจ: เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจที่แตกต่างกัน โดยพิจารณาถึงอัตราค่าเช่า, เวลาที่ใช้ในสตูดิโอ และบริการเพิ่มเติมที่มีให้ 7. การเข้าถึงและสถานที่ตั้ง: สถานที่ควรเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องในการถ่ายภาพ 8. นโยบายการจองและยกเลิก: ทำความเข้าใจกับนโยบายการจองและการยกเลิก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง นอกจากนี้การที่เลือกเช่าสตูดิโอถ่ายรูปสามารถช่วยประหยัดทั้งเงิน และเวลาได้มากกว่าการไปลงตามสถานที่ เพราะเราสามารถเซ็ตฉากได้ ถ่ายกับฉากที่หลากหลายในที่เดียว ถ่ายกับช่างภาพมืออาชีพที่มีประสบการณ์ ไม่ต้องรอเวลาสำหรับแสงในทิศทางหรือความเข้มของแสงต่างๆ เพราะสามารถจัดในสตูดิโอได้ทันที และที่สำคัญไม่ต้องเสี่ยงกับสภาพอากาศเช่น ฝนตก ทำให้ไม่สามารถถ่ายรูปได้ แต่ถ้าเลือกมาที่สตูดิโอถ่ายรูปต่อให้ฝนตก แดดไม่ออก ก็สามารถถ่ายงานได้อย่างไม่มีปัญหา รับประกันว่าได้ถ่ายงานตามที่วางไว้แน่นอนค่ะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://velaent.com/vela-studio/สตูดิโอถ่ายภาพ/
-
COSMAX หนึ่งในโรงงานเครื่องสำอาง เกาหลี ที่พร้อมทุ่ม 1000 ล้านบาท เพื่อมาบุกตลาดเจาะกลุ่มนักธุรกิจเมคอัพยุคใหม่ในไทย ทั้งนี้ COSMAX จัดว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางสไตล์เกาหลีชั้นนำ พร้อมที่จะสร้างความแตกต่างด้านความสวยงามด้วยผลิตภัณฑ์หลากหลาย ซึ่งทำการพัฒนาสูตร โดยใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมไปถึงส่วนผสมที่แตกต่างที่มีการคิดค้นขึ้น ทำให้สามารถครองส่วนแบ่งสูตรผลิตภัณฑ์ความงามจากบริษัทฯ บิวตี้ทั่วโลกมากกว่า 75% อีกทั้ง COSMAX มีบริการทุกอย่างครบวงจร ครอบคลุมการพัฒนาแบรนด์ การผลิต และการจัดส่งผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป โดยให้การสนับสนุนที่ครอบคลุมตลอดทุกขั้นตอนของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการวิจัย การพัฒนา และการควบคุมคุณภาพ บริษัทให้ความสำคัญกับความรวดเร็วและความยืดหยุ่นในการผลิต โดยมุ่งมั่นที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมความงามระดับโลก ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมีหลากหลายประเภท เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บริษัทมีชื่อเสียงเป็นพิเศษในด้านการผลิตเครื่องสำอางหลากหลายประเภท เช่น ลิปสติก รองพื้น ครีมบำรุงผิว และอื่นๆ โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามมาตรฐานมีคุณภาพสูง นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทฯ เครื่องสำอางเกาหลี ODM บริษัทฯแรก ที่สามารถทำธุรกิจผลิตเครื่องสำอางภายใต้กฏหมายการผลิตของประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ เนื่องจากบริษัทฯ มีฐานการผลิตกระจายอยู่ประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฐานการผลิตที่ประเทศเกาหลี จีน ไทย ไปจนถึงอเมริกา ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ อีกทั่วโลก จึงทำให้บริษัทฯ มีใบรับรองที่รองรับการผลิตในหลายประเทศ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.thansettakij.com/business/marketing/601387
-
มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) เป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยอันดับ 1 ของผู้หญิงไทย จะเกิดขึ้นในเนื้อเยื่อของเต้านม มะเร็งเต้านมสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะของเซลล์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นในท่อน้ำนมหรือในกลีบของเต้านม ทั้งนี้การตรวจมะเร็งเต้านมพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และได้ทำการรักษาในทันที ก็จะมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูง อาการของมะเร็งเต้านม · มีก้อนหรือเนื้องอกที่สามารถสัมผัสได้ที่เต้านมหรือใต้รักแร้ · มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด หรือผิวของเต้านม · มีอาการเจ็บปวดที่เต้านม · มีน้ำเหลืองหรือของเหลวผิดปกติออกจากหัวนม · หัวนมยุบลงหรือมีลักษณะผิดปกติ ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งเต้านม · อายุ ผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้นมีความเสี่ยงสูงขึ้น · พันธุกรรม หากมีประวัติครอบครัวที่เป็นมะเร็งเต้านม ความเสี่ยงจะสูงขึ้น · ฮอร์โมน การได้รับฮอร์โมนเพศหญิงหรือฮอร์โมนทดแทนในระยะยาว · ประวัติส่วนตัว หากเคยมีมะเร็งเต้านมข้างหนึ่งมาก่อน ความเสี่ยงจะสูงขึ้นสำหรับเต้านมอีกข้าง การรักษามะเร็งเต้านมมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะถูกเลือกใช้อย่างเหมาะสมตามระยะของมะเร็ง ชนิดของมะเร็ง สุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย และปัจจัยอื่น ๆ การรักษาอาจประกอบด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ 1. วิธีผ่าตัด การผ่าตัดเป็นวิธีการหลักในการรักษามะเร็งเต้านม ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท · การผ่าตัดแบบเก็บเต้านม เป็นการผ่าตัดเอาเฉพาะเนื้องอกและเนื้อเยื่อรอบๆ ออก เพื่อเก็บรักษาเต้านม · การผ่าตัดเต้านมทั้งหมด เป็นการผ่าตัดเอาเต้านมทั้งหมดออก อาจรวมถึงการเอาต่อมน้ำเหลืองออกด้วยในบางกรณี · การผ่าตัดต่อมน้ำเหลือง การเอาต่อมน้ำเหลืองออกเพื่อตรวจหาว่ามีการแพร่กระจายของมะเร็งหรือไม่ 2. วิธีรักษาด้วยเคมีบำบัด การใช้ยาต้านมะเร็งเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง ยาเคมีบำบัดสามารถรับประทานเป็นยาหรือให้ทางหลอดเลือด การรักษานี้มักจะใช้ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย หรือในกรณีที่ต้องการลดขนาดเนื้องอกก่อนการผ่าตัด 3. วิธีรักษาด้วยรังสีบำบัด (Radiation Therapy) การใช้รังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง มักใช้ร่วมกับการผ่าตัด โดยเฉพาะหลังจากการผ่าตัดแบบเก็บเต้านม เพื่อลดโอกาสที่มะเร็งจะกลับมา 4. วิธีรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด (Hormone Therapy) ใช้ในการรักษามะเร็งเต้านมที่มีการตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศหญิง เช่น มะเร็งที่มีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน (ER-positive) การรักษานี้มักใช้ในการป้องกันการกลับมาของมะเร็งหลังจากการผ่าตัดหรือเคมีบำบัด 5. วิธีรักษาด้วยยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) ยามุ่งเป้าจะทำงานโดยการโจมตีเฉพาะเซลล์มะเร็งโดยไม่ทำลายเซลล์ปกติ ยามุ่งเป้า เช่น trastuzumab (Herceptin) มักใช้ในกรณีที่มะเร็งมีการแสดงออกของโปรตีน HER2 ซึ่งทำให้มะเร็งเติบโตอย่างรวดเร็ว 6. วิธีรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ภูมิคุ้มกันบำบัด คือการใช้ยาเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้โจมตีเซลล์มะเร็ง ยาชนิดนี้มักจะใช้ในกรณีที่มะเร็งเต้านมมีลักษณะเฉพาะที่สามารถตอบสนองต่อการรักษาประเภทนี้ 7. การรักษาด้วยการบำบัดเสริม (Adjuvant Therapy) หลังจากการรักษาหลัก ผู้ป่วยอาจได้รับการรักษาเสริม เช่น การให้ยาเคมีบำบัด ฮอร์โมนบำบัด หรือรังสีบำบัด เพื่อป้องกันการกลับมาของมะเร็ง หลังจากการตรวจมะเร็งเต้านม และได้ทำการรักษาแล้วการฟื้นฟูสภาพหลังการรักษาก็เป็นเรื่องสำคัญ ผู้ป่วยควรได้รับการฟื้นฟูทั้งสภาพร่างกาย และจิตใจ รวมถึงได้รับการสนับสนุนต่างๆ จากคนใกล้ตัวให้มีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้ายได้ และการตรวจติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาการกลับมาของมะเร็ง ในการรักษาต้องพิจารณาอย่างละเอียดและควรได้รับคำแนะนำจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ
-
แชมพูสูตรอ่อนโยน ดีอย่างไร สำหรับใครที่มีอาการแพ้ง่าย มีปัญหาหนังศีรษะบอบบางที่สามารถระคายเคืองง่าย เรามีทางแก้ด้วยการเปลี่ยนแชมพูที่ใช้เป็นแชมพูสูตรอ่อนโยนที่ปราศจาก ซิลิโคน พาราเบน แอลกอฮอร์ เพื่อความอ่อนโยนต่อเส้นผมเราก็ย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดมาใช้เสมอ แชมพูสูตรอ่อนโยนต่อหนังศรีษะมักถูกออกแบบมาสำหรับผู้ที่มีหนังศีรษะบอบบาง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการระคายเคืองง่าย โดยมีคุณสมบัติเฉพาะดังนี้ 1. ไม่มีสารก่อระคายเคือง มักไม่มีสารซัลเฟต พาราเบน และสารเคมีที่แรงเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือคันศีรษะ เป็นแชมพูสูตรที่สามารถสระได้ทุกวัน 2. มีส่วนผสมที่ช่วยบำรุง อาจมีสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น อโลเวรา แคมอมายล์ หรือน้ำมันจากพืช ซึ่งช่วยบำรุงหนังศีรษะและเส้นผม 3. มี pH ที่สมดุล ปรับสมดุล pH ให้เหมาะสมกับหนังศีรษะ อ่อนโยนต่อหนังศีรษะ ช่วยให้หนังศีรษะมีสุขภาพดีและลดปัญหาการระคายเคืองต่อหนังศีรษะและผิวหนัง รวมทั้งไม่เป็นสิวที่หลังอีกด้วย 4. ความอ่อนโยน ไม่ทำให้เส้นผมแห้งกร้าน หรือเสียหายจากการล้างบ่อย แชมพูสูตรอ่อนโยน เหมาะกับใคร แชมพูสูตรอ่อนโยนเหมาะสำหรับผู้ที่มีความต้องการด้านการดูแลผมและหนังศีรษะที่เฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะกลุ่ม ผู้ที่มีผิวหนังศีรษะแพ้ง่ายหรือมีสุขภาพผิวที่บอบบาง ผู้ที่มีหนังศีรษะระคายเคืองง่ายหรือมีอาการคันบ่อย ๆ ควรเลือกใช้แชมพูที่มีสูตรอ่อนโยน เพื่อลดโอกาสในการเกิดการระคายเคืองหรือการแพ้ต่อสารเคมีที่รุนแรง รวมถึง ผู้ที่มีสภาพผิวหนังประเภทแพ้ง่าย สำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้สารเคมีต่างๆ ในผลิตภัณฑ์ดูแลผม แชมพูสูตรอ่อนโยนที่ไม่มีซัลเฟตและพาราเบนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด การใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าการดูแลผมและหนังศีรษะของคุณเป็นไปอย่างปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากสารเคมีรุนแรง แชมพูสูตรอ่อนโยน ทางเลือกที่ดีสำหรับทุกสภาพผม การเลือกแชมพูที่เหมาะสมกับสภาพผมและหนังศีรษะเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่ปัญหาผมเสียและหนังศีรษะที่แพ้ง่าย แชมพูสูตรอ่อนโยนจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีผมและหนังศีรษะบอบบาง ส่วนประกอบที่อ่อนโยนต่อผิวหนัง แชมพูสูตรอ่อนโยนมักจะปราศจากสารเคมีรุนแรง เช่น ซัลเฟตและพาราเบน ซึ่งเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ง่าย แชมพูชนิดนี้จะใช้สารทำความสะอาดที่อ่อนโยน ซึ่งช่วยทำความสะอาดหนังศีรษะและผมโดยไม่ทำลายชั้นป้องกันธรรมชาติ คุณสมบัติทั้งหมดนี้ มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เนเชอรัล แชมพู Pipper standard สูตรอ่อนโยนบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะด้วยวิตามินอี จากดอกทานตะวัน อ่อนโยนเหมาะกับทุกสภาพผม แม้ผิวแพ้ง่าย ผ่านการทดสอบการระคายเคืองผิว จากแพทย์ผิวหนังชั้นนำ
-
ภาพลักษณ์ภายนอกเป็นอะไรที่สาวๆ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องเส้นผม การมีผมที่สวย นุ่ม ไม่แห้งเสียชี้ฟู เป็นอะไรที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับสาวๆ ได้เยอะมาก ดูมีเสน่ห์และน่ามอง ดังนั้นหากมีปัญหาผมแห้งเสียอาจทำให้ขาดความมั่นใจได้ ซึ่งปัญหาผมแห้งเสียเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการขาดความชุ่มชื้น การได้รับการบำรุงไม่เพียงพอหรือไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ ทำให้ผมไม่มีน้ำหนัก ชี้ฟู เปราะ และขาดง่าย บางครั้งอาจจะเกิดจากการดูแลเส้นผมไม่ถูกวิธี สภาพอากาศ อายุ และโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคไทรอยด์,โรคภูมิแพ้,โรคผิวหนังบนหนังศีรษะ,โรคลูปัส และโรคโลหิตจาง เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะมันก็มีหลายวิธีด้วยกันที่จะช่วยให้เรามีผมที่สวยไม่แห้งเสีย แตกปลายได้ อย่างเช่น การใช้ครีมนวดผมแห้งเสีย เป็นต้น ที่ทำได้ง่ายและเห็นผลลัพธ์เร็ว โดยการเลือกครีมนวดผมสำหรับผมแห้งเสียที่ดีควรเลือกดังนี้ การเลือกครีมนวดผมที่เหมาะสมสำหรับผมเสียจำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัย เพื่อช่วยฟื้นฟูและบำรุงเส้นผมให้กลับมามีสุขภาพดี แนะนำควรเลือกให้เหมาะสมดังนี้ 1.ตรวจสอบปัญหาเส้นผมของคุณ ก่อนอื่นคุณควรระบุปัญหาของเส้นผมว่ามีลักษณะอย่างไร เช่น แห้งและเสียจากการทำสี, แห้งเสียจากการใช้ความร้อน, หรือเสียจากการขาดการดูแลเบื้องต้น 2.เลือกส่วนผสมที่เหมาะสม ควรเลือกครีมนวดผมที่มีส่วนผสมสำคัญ ๆ ดังนี้ · โปรตีน (เช่น เคราตินหรือโปรตีนจากพืช) ช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างโครงสร้างเส้นผม · น้ำมันธรรมชาติ (เช่น น้ำมันอาร์แกน, น้ำมันมะกอก) ให้ความชุ่มชื้นและล็อกเส้นผมให้มีน้ำหนัก · วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามิน E และ B5 ซึ่งช่วยให้ผมมีสุขภาพดี 3. หลีกเลี่ยงสารเคมีที่รุนแรง ควรหลีกเลี่ยงครีมนวดผมที่มีสารเคมีรุนแรง เช่น ซัลเฟต และแอลกอฮอล์ที่สูง เพราะมันทำให้เส้นผมเสียหายมากขึ้น ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นออร์แกนิค อย่างผลิตภัณฑ์ของ พิพเพอร์ สแตนดาร์ด ที่จัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนมากๆ เน้นสารสกัดที่ได้จากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ จึงมั่นใจว่า อ่อนโยน และปลอดภัยแน่นอน 4. เลือกผลิตภัณฑ์เฉพาะกิจ หากผมของคุณแห้งและเสียมาก อาจต้องการครีมนวดผมที่มีคุณสมบัติเข้มข้นขึ้นเพื่อการบำรุงที่ลึกกว่า 5. ทดสอบผลิตภัณฑ์ ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างสม่ำเสมอ ควรทดลองใช้เล็กน้อยบนผมหรือผิวหนังบริเวณที่ซ่อนเร้น เพื่อตรวจสอบว่ามีการแพ้หรือไม่ นอกจากการเลือกใช้ครีมนวดผมแห้งเสียแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือต้องดูแลเส้นผมให้ถูกวิธี โดยเริ่มจากห้ามสระผมบ่อย ไม่ใช้แชมพู ครีมนวดผม และผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีส่วนประกอบของสารเคมีฤทธิ์รุนแรง ห้ามใช้ความร้อนในการเป่าผม พยายามอย่าใช้เครื่องหนีบผม และเครื่องม้วนผมไฟฟ้าบ่อย รวมทั้งการทำสี การยืด หรือการดัดผมที่ใช้สารเคมีด้วย เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำลายเส้นผมและทำให้เส้นผมแห้งเสียได้ค่ะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.pipperstandard.com/category/shampoo-and-conditioner
-
ปัญหาผมร่วง ผมบาง อีกหนึ่งปัญหากวนใจที่สาวๆ กังวล เพราะอาจทำให้ไม่มั่นใจในการเข้าสังคมจนเกิดเป็นผลกระทบทางจิตใจเลยทีเดียว โดยปกติผมจะร่วงประมาณวันละ 50-100 เส้นถือว่าปกติ แต่หากมากเกินกว่านั้นจะเริ่มน่ากังวล ก่อนที่จะสายเกินแก้! มาดูสาเหตุและวิธีป้องกัน รักษาอาการผมร่วงกัน ผมร่วงเกิดจากอะไร ปัญหาผมร่วงเกิดขึ้นได้จากปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน การใช้ยา วิตามินบางชนิดมากเกินปริมาณที่เหมาะสม หรืออาจเกิดได้จากพันธุกรรม ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ การแพ้แชมพูสระผม การมีเชื้อราบนหนังศีรษะ การขาดสารอาหารอย่างธาตุเหล็ก โปรตีน หรือแม้แต่ความเครียดเอง ก็เป็นสาเหตุได้เช่นกัน เคล็ดไม่ลับ ป้องกันผมร่วง มีหลากหลายวิธี ที่ช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าว ทั้งการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงเส้นผม อย่าง โปรตีน ไบโอติน ธาตุเหล็ก ผักใบเขียว ธัญพืช ผลไม้ที่มีวิตามินซี เป็นต้น ไม่มัดผมแน่นเกินไป ไม่สระผมด้วยน้ำร้อนจัด ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เพราะความเครียดอาจส่งผลต่อสุขภาพผมได้ หากมีการร่วงของผมมากเกินไปจนผิดปกติควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชียวชาญ การเลือกใช้แชมพูเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะการเลือกแชมพูลดผมร่วง ที่มีส่วนผสมจาก Sunflower Oil อ่อนโยนต่อเส้นผม เหมาะกับทุกคน แม้แต่ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายก็สามารถใช้ได้ ควรเลือกแชมพูที่ผ่านการตรวจสอบรับรองจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ เหมาะกับสภาพเส้นผมของคุณ อีกหนึ่งแชมพูที่อยากแนะนำคือ แชมพูพิพเพอร์ สแตนดาร์ด แชมพูลดผมร่วงจากธรรมชาติ ที่อ่อนโยนสำหรับทุกสภาพเส้นผม เพื่อผมสุขภาพดีตั้งแต่การใช้ครั้งแรก วิธีการใช้แชมพูสระผมลดผมร่วง ก่อนสระผมให้หวีผมก่อนเพื่อไม่ให้ผมพันกัน ล้างผมด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ เทแชมพูลดผมร่วงรังแค ลงบนฝ่ามือในปริมาณที่เหมาะสม ชโลมให้ทั่วเส้นผมและหนังศีรษะขณะที่เปียก ไล่จากโคนเส้นผมจนถึงปลายผม เพื่อขจัดสิ่งสกปรก จากนั้นนวดเบาๆ จนเกิดฟอง ล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนู จุดเด่นของ PiPPER Standard Natural Shampoo มีส่วนผสมสำคัญจากธรรมชาติที่ช่วยทำความสะอาดและบำรุงสุขภาพผม ทั้ง Bromelain เอนไซม์จากธรรมชาติที่ช่วยให้หนังศีรษะลดความมันและลดการอักเสบ Sunflower Seed Oil หรือ น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันที่มีวิตามินอีช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรงและชุ่มชื้น หากใช้แชมพูลดปัญหาผมร่วงควบคู่กับครีมนวดผมสูตรธรรมชาติ PiPPER Standard Natural Conditioner (Refreshing Scent) จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการบำรุงเส้นผม อีกทั้งยังปราศจากสารอันตรายอย่างพาราเบน แอลกอฮอล์ และซิลิโคน รับประกันว่าเตรียมบอกลาปัญหาผมร่วงผมบางได้เลย
-
ว่าด้วยบารมีขององค์หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ (พระสุนทรธรรมากร) พระสายวิปัสสนากรรมฐาน ผู้เป็นเกจิชื่อดังแห่งเมืองนครพนม ผู้มีปฏิปทาอันน่าศรัทธาเลื่อมใส มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วทั้งไทยลาว จนได้สมญานามว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำโขง” ท่านมีความผูกพันกับพญานาคมาตั้งแต่อดีตชาติ และได้เกิดนิมิตเห็นพญานาคสองตน ตนหนึ่งคือพญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็นกษัตริย์พญานาคฝั่งไทย อีกตนหนึ่งคือพญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) เป็นกษัตริย์พญานาคฝั่งลาว ได้ขึ้นมาฟังธรรม ณ รอยพระพุทธบาทเวินปลา ซึ่งเป็นวัดที่มีรอยพระพุทธบาท ประทับไว้บนก้อนหิน กลางลำน้ำโขง จะปรากฏในช่วงหน้าแล้ง ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ จึงได้มีดำริให้นายช่างออกแบบและจัดสร้างพญานาคเกี้ยว ที่มีรูปลักษณ์ของพญาศรีสุทโธนาคราช พันเกลียวเกี่ยวรัดกับ พญาศรีสัตตนาคราช เพื่อเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ ระหว่าง ไทย ลาว สื่อถึงความรัก ความเมตตา ที่แผ่ให้แก่ผู้ศรัทธาเสื่อมใส กษัตริย์แห่งพญานาคทั้งสอง ชอบมาจำศีล บำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม คอยดูแลปกปักษ์รักษาผู้คนในแถบลุ่มน้ำโขงและดูแลองค์พระธาตุ ก่อนหลวงปู่จะละสังขารในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ พระเทพมงคลเมธี วัดมหาธาตุ จังหวัดนครพนม ได้จัดสร้างพญานาคเกี้ยวขี้นอีกครั้ง เป็นรุ่นที่ 2 โดยได้ทำการขออนุญาตจากหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ ไว้ก่อนที่ท่านจะละสังขาร และได้ใช้พิมพ์เดิมกับการจัดสร้างครั้งแรก โดยจัดสร้างขึ้น 2 ขนาด เป็นพิมพ์นิยมและพิมพ์เล็ก เพื่อระลึกถึงบูรพาจารย์ และบูรณะพระอุโบสถวัดมหาธาตุ จังหวัดนครพนม “พญานาคเกี้ยว...ตัวแทนแห่งความรัก สัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรือง” ลุ้นรับ พญานาคเกี้ยว รุ่น 2 พิมพ์เล็ก ของรางวัล จากกิจกรรม “มูแลนด์แดนอีสาน” ติดตามรายละเอียด : https://bit.ly/3LCS4SN #มูแลนด์แดนอีสาน #พญานาคเกี้ยว #หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ #พญานาคา #หลงรักแผ่นดินถิ่นอีสาน #เที่ยวอีสาน #ททท #AmazingThailand #TAT #อุดรธานี #หนองคาย #บึงกาฬ #นครพนม #มุกดาหาร
-
เด็กสมาธิสั้น คือภาวะทางสมองที่มีลักษณะไม่สามารถรักษาสมาธิได้นาน มีพฤติกรรมซุกซนผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน อยู่ไม่นิ่ง อาการเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนอายุ 7 ขวบ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม ซึ่งวิธีเช็คอาการเด็กว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่สามารถทำได้ดังนี้ วิธีเช็คอาการเด็กว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ · การสังเกตพฤติกรรมที่บ้านและโรงเรียน: ผู้ปกครองและครูควรจดบันทึกพฤติกรรมของเด็กที่สังเกตได้ โดยเฉพาะอาการที่แสดงถึงการขาดสมาธิ, การกระทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง และความซุกซนที่มากเกินไป · การตรวจสอบประวัติทางการแพทย์และพัฒนาการ: ประวัติของเด็กที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตและพัฒนาการสามารถให้ข้อมูลสำคัญในการประเมิน · การใช้แบบประเมิน: มีแบบประเมินมาตรฐานหลายอย่างที่ใช้ในการประเมินอาการของ ADHD โดยแบบประเมินเหล่านี้จะถามถึงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมาธิ, ความซุกซน, และความกระตือรือร้น · การประเมินจากแพทย์หรือจิตแพทย์: แพทย์หรือจิตแพทย์สามารถใช้ข้อมูลจากการสังเกตและแบบประเมินเพื่อวินิจฉัย รวมถึงอาจแนะนำการทำการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อแยกแยะภาวะอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกัน · การพิจารณาอาการตามเกณฑ์การวินิจฉัย: การวินิจฉัย ADHD จำเป็นต้องพิจารณาว่าอาการเหล่านี้มีผลกระทบต่อการศึกษา, การทำงาน, หรือการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวันของเด็กหรือไม่ และต้องมีการแสดงอาการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน การรักษาอาการเด็กสมาธิสั้น 1. การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้รักษา ADHD มีหลายประเภท โดยส่วนใหญ่เป็นยากระตุ้นสมอง เช่น เมทิลฟีนิเดต และแอมเฟตามีน ยาเหล่านี้ช่วยเพิ่มระดับสารเคมีในสมองที่มีบทบาทต่อการควบคุมความสนใจและการกระตุ้น นอกจากนี้ยังมียาประเภทไม่กระตุ้น เช่น อะโทมอกเซทีน ซึ่งเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองหรือมีผลข้างเคียงจากยากระตุ้น 2. การปรับพฤติกรรมและการบำบัด การบำบัดพฤติกรรมเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคเด็กสมาธิสั้น ที่ไม่ใช่ยา รวมถึงการบำบัดพฤติกรรมโดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้ทักษะในการจัดการกับอารมณ์และการกระทำของตนเอง 3. การสนับสนุนทางการศึกษา โรงเรียนและครูมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น โดยการปรับสภาพแวดล้อมทางการเรียนและวิธีการสอน เช่น การให้เวลาเพิ่มในการทำข้อสอบ การมีที่นั่งที่ช่วยให้สามารถโฟกัสได้ดีขึ้น และการใช้เครื่องมือช่วยเหลือทางการเรียน 4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว ด้วยการสร้างกฎที่เข้าใจง่ายและสอดคล้องกันในบ้าน เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจขอบเขตและความคาดหวังที่ชัดเจน และควรมีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กต้องมีส่วนร่วมและจดจ่อ เช่น กิจกรรมที่มีการโต้ตอบหรือใช้เวลาน้อยในการทำสำเร็จ เป็นต้นค่ะ หากผู้ปกครองเกิดความสงสัยว่าเด็กมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการทันที ปัจจุบันมีหลายโรงพยาบาลมากที่มีแผนกสำหรับรักษาเด็กสมาธิสั้น โดยเฉพาะอย่างเช่น รพ.นนทเวช เป็นต้น ทั้งนี้ในการรักษาเด็กสมาธิสั้นแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน และต้องมีการปรับเปลี่ยนตามความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละคน การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการรักษาโรคนี้ต้องใช้เวลา และอาศัยความร่วมมือทั้งจากตัวเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครอง และคุณครูผู้สอน ซึ่งต้องใช้หลายศาสตร์ร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อตัวเด็กเองค่ะ
-
เด็กสมาธิสั้น คือภาวะทางสมองที่มีลักษณะไม่สามารถรักษาสมาธิได้นาน มีพฤติกรรมซุกซนผิดปกติ หรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน อยู่ไม่นิ่ง อาการเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนอายุ 7 ขวบ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม ซึ่งวิธีเช็คอาการเด็กว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่สามารถทำได้ดังนี้ วิธีเช็คอาการเด็กว่าเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ · การสังเกตพฤติกรรมที่บ้านและโรงเรียน: ผู้ปกครองและครูควรจดบันทึกพฤติกรรมของเด็กที่สังเกตได้ โดยเฉพาะอาการที่แสดงถึงการขาดสมาธิ, การกระทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง และความซุกซนที่มากเกินไป · การตรวจสอบประวัติทางการแพทย์และพัฒนาการ: ประวัติของเด็กที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตและพัฒนาการสามารถให้ข้อมูลสำคัญในการประเมิน · การใช้แบบประเมิน: มีแบบประเมินมาตรฐานหลายอย่างที่ใช้ในการประเมินอาการของ ADHD โดยแบบประเมินเหล่านี้จะถามถึงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมาธิ, ความซุกซน, และความกระตือรือร้น · การประเมินจากแพทย์หรือจิตแพทย์: แพทย์หรือจิตแพทย์สามารถใช้ข้อมูลจากการสังเกตและแบบประเมินเพื่อวินิจฉัย รวมถึงอาจแนะนำการทำการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อแยกแยะภาวะอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกัน · การพิจารณาอาการตามเกณฑ์การวินิจฉัย: การวินิจฉัย ADHD จำเป็นต้องพิจารณาว่าอาการเหล่านี้มีผลกระทบต่อการศึกษา, การทำงาน, หรือการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวันของเด็กหรือไม่ และต้องมีการแสดงอาการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน การรักษาอาการเด็กสมาธิสั้น 1. การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้รักษา ADHD มีหลายประเภท โดยส่วนใหญ่เป็นยากระตุ้นสมอง เช่น เมทิลฟีนิเดต และแอมเฟตามีน ยาเหล่านี้ช่วยเพิ่มระดับสารเคมีในสมองที่มีบทบาทต่อการควบคุมความสนใจและการกระตุ้น นอกจากนี้ยังมียาประเภทไม่กระตุ้น เช่น อะโทมอกเซทีน ซึ่งเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองหรือมีผลข้างเคียงจากยากระตุ้น 2. การปรับพฤติกรรมและการบำบัด การบำบัดพฤติกรรมเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคเด็กสมาธิสั้น ที่ไม่ใช่ยา รวมถึงการบำบัดพฤติกรรมโดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้ทักษะในการจัดการกับอารมณ์และการกระทำของตนเอง 3. การสนับสนุนทางการศึกษา โรงเรียนและครูมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น โดยการปรับสภาพแวดล้อมทางการเรียนและวิธีการสอน เช่น การให้เวลาเพิ่มในการทำข้อสอบ การมีที่นั่งที่ช่วยให้สามารถโฟกัสได้ดีขึ้น และการใช้เครื่องมือช่วยเหลือทางการเรียน 4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว ด้วยการสร้างกฎที่เข้าใจง่ายและสอดคล้องกันในบ้าน เพื่อช่วยให้เด็กเข้าใจขอบเขตและความคาดหวังที่ชัดเจน และควรมีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กต้องมีส่วนร่วมและจดจ่อ เช่น กิจกรรมที่มีการโต้ตอบหรือใช้เวลาน้อยในการทำสำเร็จ เป็นต้นค่ะ หากผู้ปกครองเกิดความสงสัยว่าเด็กมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการทันที ปัจจุบันมีหลายโรงพยาบาลมากที่มีแผนกสำหรับรักษาเด็กสมาธิสั้น โดยเฉพาะอย่างเช่น รพ.นนทเวช เป็นต้น ทั้งนี้ในการรักษาเด็กสมาธิสั้นแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน และต้องมีการปรับเปลี่ยนตามความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละคน การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการรักษาโรคนี้ต้องใช้เวลา และอาศัยความร่วมมือทั้งจากตัวเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครอง และคุณครูผู้สอน ซึ่งต้องใช้หลายศาสตร์ร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อตัวเด็กเองค่ะ