ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

อรุณสวัสดิ์คะ อาจารย์ทองใหม่ตื่นเช้าจังนะคะ ตื่นมาทำอะไรบ้างหรอคะอาจารย์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะพี่ทองใหม่ บวก1 ให้แล้วนะคะ

อยากดูกราฟตาแป๊ะจังเลยค่ะ :wub:

 

เล่นแท่งแต่ตอนนี้ไม่มีของเลยค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะพี่ทองใหม่ บวก1 ให้แล้วนะคะ

อยากดูกราฟตาแป๊ะจังเลยค่ะ :wub:

 

เล่นแท่งแต่ตอนนี้ไม่มีของเลยค่ะ

ขอบคุณครับ วันนี้วันพุธ ตาแป๊ะเขาปิดไม่ให้ดูครับ เอาไว้สายดูตาแป๊ะ2นะครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หยิบเงินหยิบทอง :บล.กิมเอ็ง

วันพุธที่ 04 สิงหาคม 2010 เวลา 09:12 น. บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

User Rating: / 0

แย่ดีที่สุด

หยิบเงินหยิบทอง :บล.กิมเอ็ง

 

กลยุทธ์วันนี้ 870 Again

ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังมีความพยายามขึ้นไปทดสอบ 870 จุดเป็นวันที่ 2 แต่ปรับตัวลงจากแรงขายทำกำไร บวกกับตลาดหุ้นยุโรปช่วงบ่ายเกิดแรงขายทำกำไรด้วยเช่นกัน แต่การอ่อนตัวลงของ SET INDEX กลายเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยมากขึ้น และวานนี้เป็นการซื้อสุทธิทั้ง 3 ตลาดพร้อมกันต่อเนื่องเป็นวันที่ 2

 

 

 

สำหรับ SET INDEX วันนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหว Sideways-to-Sideways-Up ขึ้นไปทดสอบบริเวณ 870 จุดอีกครั้ง ถึงแม้ว่าบรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียจะเป็นกลาง บวกกับ DJIA เกิดแรงขายทำกำไรคืนวานนี้ก็ตาม แต่ด้วยสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นอยู่ในระบบการเงินโลก ดังจะเห็นได้จาก LIBOR3M – HIBOR3M และ Ted Spread ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นการสะท้อนถึงการทำ US Dollar Carry Trade ซึ่งเป้าหมายของตลาดในเอเชีย ทั้งตลาดเงินและตลาดทุนที่มีประเด็นบวกด้านเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุน เพื่อให้ได้กำไรจากส่วนต่างราคา และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินสกุลท้องถิ่นมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ

 

 

 

นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยเป็นเพียงตลาดหุ้นเดียวในเอเชียเกิดใหม่ที่นักลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิ 8,537 ล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปีถึงวานนี้ ย่อมทำให้การกลับมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ไม่น่าจะหยุดได้ในช่วงสั้น

 

 

 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng เสนอ “ถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ” และ “ทยอยสะสม AP - CPALL”

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้นักลงทุน “ถือสถานะ Long ใน S50U10 ข้ามวัน” เพื่อรอปิดทำกำไรบริเวณ 595 +/- Stop Loss: S50U10 < 570 จุด ปิด Long และ เปิด Short

Portfolio Hold: CPF/ TASCO / MCOT/ BBL/ PTT/PTTEP/ BANPU/ TPC/ MINT/ THAI/ AOT/ KCE/ MAJOR/ ADVANC/ BTS/ TVO

Accumulative Buy: AP / CPALL

Technical View แนวรับ 860 จุด, 830 จุด และ 820-822 จุด ส่วนแนวต้าน 863-865 จุด และ 886-888 จุด ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อขายตามแนวโน้ม หากยังไม่มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทิศทาง

 

 

-Strategy Today

 

บรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียและยุโรปที่เป็นกลาง เพราะขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุนการลงทุน แม้ว่า DJIA จะปิดบวกเกือบ 2% คืนวันก่อนหน้าก็ตาม อีกทั้ง SET INDEX ขึ้นไปทดสอบ 870 จุด แต่ยังไม่ผ่านแนวต้านดังกล่าว และเกิดแรงขายทำกำไรกลุ่ม ICT – กลุ่มธนาคาร กดดันให้ SET INDEX ปิดตลาด 864.48 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 1.30 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า เป็น 32,461 ล้านบาท

 

 

กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดวานนี้ได้แก่ กลุ่ม Professional +11.41%, กลุ่มยานยนต์ +1.65%, และกลุ่มท่องเที่ยว +1.53% ขณะที่กลุ่มหลักอย่างกลุ่มธนาคารปรับฐานลงเล็กน้อย 0.03% และกลุ่มพลังงานเป็นวันที่ 2 อีก +0.56%

 

 

 

KimEng ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ SET INDEX ในระยะกลาง แม้ว่าวันนี้บรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียจะเป็นกลาง ขาดปัจจัยบวกใหม่ แต่เชื่อว่า SET INDEX จะสามารถไต่ระดับขึ้นทดสอบ 870 จุดอีกครั้ง และน่าจะมีแรงส่งที่มากเพียงพอต่อการกลับมายืนเหนือ 870 จุดได้เช่นกัน แม้ว่า DJIA คืนวานจะเกิดแรงขายทำกำไรตามตลาดหุ้นยุโรปก็ตาม เนื่องจาก

 

 

 

1.สภาพคล่องทางการเงินที่ล้นในระบบการเงิน บวกกับการทำ US Dollar Carry Trade: เพราะหากประเมินจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายแบบสุดโต่งมาตั้งแต่ปลายปี 2551 ที่ผ่านมา อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยหลักในตลาดเงินโลกอย่าง LIBOR3M/ HIBOR3M / TED Spread ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจกลายเป็นจุดสร้างโอกาสของการทำ US Dollar Carry Trade เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนผ่านสินทรัพย์เสี่ยงที่น่าสนใจ

 

 

 

2.เศรษฐกิจเอเชียที่เติบโตแข็งแกร่ง ฐานะการเงินการคลังที่มีวินัย ย่อมกลายเป็นเป้าหมายของการเก็งกำไร: ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณการเติบโตในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง บวกกับฐานะการเงินและการคลังที่มีวินัย ย่อมทำให้ทิศทางค่าเงินสกุลท้องถิ่นแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเอเชีย น่าจะยังเห็นการเติบโตโดดเด่น ย่อมกลายเป็นจุดที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุน ดังจะเห็นได้จากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสะสมตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่อย่างโดดเด่นในหลายตลาด ไม่ว่าจะเป็น TAIEX – KOSPI เป็นต้น

 

 

 

3.แต่นักลงทุนต่างชาติกลับขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี: ตามที่ Bloomberg รายงานสถานะสุทธิของนักลงทุนต่างชาติใน 7 ตลาด ได้แก่ ญี่ปุ่น, อินเดีย, ไต้หวัน, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม และไทย จะพบว่า SET INDEX เป็นเพียงตลาดเดียวที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 8,537 ล้านบาทนับตั้งแต่ต้นปีถึงวานนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆ เป็นการซื้อสุทธิทั้งสิ้น ดังนั้นการกลับมาซื้อสุทธิตลอด 7 วันที่ผ่านมา 9,812 ล้านบาท เชื่อว่าจะยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ สำหรับกระแสเงินทุนต่างชาติต่อตลาดหุ้นไทย

 

 

 

4.เมื่อราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX กลับมาเป็นขาขึ้น ย่อมเอื้อต่อกลุ่มพลังงาน: แม้ว่าตลาดจะยังกังวลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพลังงาน อาจหดตัวลง yoy และ/หรือ qoq ทำให้การลงทุนเป็นไปอย่างระมัดระวัง แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อตลาดมีมุมมองในเชิงอนุรักษ์นิยมก่อนหน้าแล้ว โอกาสเกิด Positive Surprise เหมือนกับกรณีของ PTTEP และทำให้ราคาหุ้นทะลุ 150 บาทขึ้นมาได้ เมื่อปัจจัยแวดล้อมเอื้อต่อการลงทุนในกลุ่มพลังงาน และหากผลการดำเนินงานออกมาดีกว่าคาด ย่อมกลายเป็นจุดบวกต่อกลุ่มพลังงาน และ SET INDEX โดยรวมเช่นกัน

 

 

 

ดังนั้นในภาพรวมของกลยุทธ์การลงทุน KimEng เสนอให้นักลงทุน “ถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ” เพื่อรอจังหวะขายทำกำไรในด้านบนอีกครั้ง พร้อมกับแนะนำให้ นักลงทุนมองหาโอกาสของการทยอยสะสมหุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงาน 2Q53 ที่เติบโตโดดเด่น และมีแนวโน้ม 2H53 ที่ยังเป็นบวกต่อเนื่องได้เช่นกัน เป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรในช่วงสั้น

 

 

 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำให้นักลงทุน “ทยอยสะสม” หุ้นต่อไปนี้

1.AP : ราคาปิด 6.35 บาท เทียบกับราคาเหมาะสม 7.20 บาท

a.ราคาหุ้นที่ทรงตัวบริเวณ 6.10-6.20 บาท เชื่อว่าน่าจะสะท้อนถึงยอด Presales ใน 2Q53 ที่ชะลอตัวลง 27% yoy และ 6% qoq เป็น 2.68 พันล้านบาทไปแล้ว เนื่องจากยอดจองคอนโดมิเนียมชะลอตัวลงและไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ เพราะความวุ่นวายทางการเมืองในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา

b.แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2Q53 คาดว่าจะหดตัวลง 63% qoq และ 90% yoy เป็น 130 ล้านบาท จากยอดโอนที่ลดลง และบริษัทต้องกลับมาจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะอีกครั้ง ซึ่งราคาหุ้น น่าจะสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวไปแล้วเช่นกันกัน

c.คาดว่ายอด presales ของ AP จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในครึ่งปีหลัง จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและโครงการเปิดใหม่มากถึง 13 โครงการ มูลค่ารวม 2.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 10 โครงการ มูลค่ารวม 1.24 หมื่นล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่ารวม 9.60 พันล้านบาท จากที่เปิดเพียง 5 โครงการในครึ่งปีแรก มูลค่ารวม 8.35 พันล้านบาท

d.คอนโดมิเนียมยกมาโอนใน 2Q-4Q/53 ค่อนข้างน้อย ประมาณ 1.5 พันล้านบาท โดยหลักๆ มาจากโครงการ Rhythm รัชดา ซึ่งคาดว่าจะโอนใน 4Q53 ประมาณ 1.0 พันล้านบาท ด้วยเหตุนี้ เราจึงคาดว่าผลประกอบการจะชะลอตัวใน 2Q-3Q53 และฟื้นตัวแข็งแกร่งอีกครั้งใน 4Q53 หลังหักยอดรับรู้รายได้ใน 2Q53 คาดว่า Backlog ของ AP จะเท่ากับ 1.42 หมื่นล้านบาท จากยอด Backlog ทั้งหมด

 

 

2.CPALL: ราคาปิดวานนี้ 32.00 บาท ราคาเหมาะสม 32.50 บาท

a.ด้วยมุมมองเชิงบวกต่อภาคการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าจะเกิดปัญหาการเมืองในเดือนพ.ค.ก็ตาม

b.KELIVE ประเมินกำไรใน 2Q53 ไว้ที่ 1,468 ล้านบาท ลดลง 12% qoq เนื่องจากเป็นฤดูกาล และการเปิดเทอม แต่จะยังเติบโต 19% yoy เพราะ ยอดขายต่อสาขา (Same-store sales) เติบโต 8% และมีจำนวนสาขาร้านเซเว่นฯ เพิ่มขึ้น 500 สาขาในช่วงระยะเวลา 1 ปี (คาดว่าเปิดสาขา 110 แห่งใน 2Q53) ผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในเดือนพฤษภาคมอยู่ในวงจำกัด

c.กำไร 2H53 มีแนวโน้มชะลอตัวลง qoq เนื่องจากผลกระทบจากฤดูกาล แต่คาดว่ากำไรจะเติบโตเมื่อเทียบ yoy จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิมจากการฟื้นตัวของค่าใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคและการขยายสาขาต่อเนื่อง

d.กำไรในปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 22% เป็น 6,071 ล้านบาท (1.35 บาท/หุ้น) จากคาดการณ์การเติบโตของยอดขายต่อสาขา 9% และจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น 450 สาขา อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะปรับตัวขึ้นจาก 26.4% ในปี 2552 มาเป็น 26.7% เนื่องจากการทยอยเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าประเภทอาหารโดยเฉพาะสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงไม่ว่าจะเป็น อาหารแช่แข็ง อาหารแช่เย็น เบเกอรี่ และ เครื่องดื่มประเภท Ready-to-drink ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว นอกจากนั้น CPALL จะมีการเปิดสาขา 450 สาขา/ปี ทำให้สาขาเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 สาขาในอีก 5 ปีข้างหน้าตามเป้าหมายของบริษัท

e.การประเมินที่เป็นไปแบบอนุรักษ์นิยม ย่อมทำให้โอกาสที่ผลการดำเนินงานออกมาดีกว่าคาด มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน ทั้งนี้ CPALL จะประกาศวันที่ 10 ส.ค.

 

 

 

What will DJIA move tonight? คืนนี้มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนี ISM ภาคบริการเดือนก.ค. ตลาดคาด 53.5 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้า 53.8 จุด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดซื้อขายดอลลาร์/เยน:ดอลล์ร่วงต่ำสุดรอบ 8 เดือนเทียบเยนเช้านี้ (04-08-53)

 

04 ส.ค. 2553

 

 

ตลาดซื้อขายดอลลาร์/เยน:ดอลล์ร่วงต่ำสุดรอบ 8 เดือนเทียบเยนเช้านี้

 

 

ดอลลาร์ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือนเมื่อเทียบกับเยนเช้านี้

โดยร่วงลงต่อจากเมื่อวาน หลังจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ

และข่าวการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลงอีกนั้น

ได้ถ่วงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลดลง

ดอลลาร์ร่วงต่ำถึง 85.61 เยนในการซื้อขายผ่านระบบ EBS ซึ่งเป็น

ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนพ.ย.

การร่วงลงต่ำกว่าระดับ 84.82 เยนซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของเดือนพ.ย.

จะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี

 

แหล่งที่มา (รอยเตอร์ โดย กัลยาณี ชีวะพานิช แปลและเรียบเรียง)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดทองเอเชีย:ราคาทองดีดตัวขึ้นต่อเหนือ 1,190 ดอลล์เช้านี้ (04-08-53)

 

04 ส.ค. 2553

 

 

ตลาดทองเอเชีย:ราคาทองดีดตัวขึ้นต่อเหนือ 1,190 ดอลล์เช้านี้

 

 

ราคาทองปรับตัวขึ้นต่อเนื่องแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ในเช้าวันนี้

ขณะที่นักลงทุนบางส่วนหันมาลงทุนในหุ้น หลังข้อมูลที่ย่ำแย่ของสหรัฐทำให้เกิดความ

วิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก

ณ เวลา 09.22 น.ตามเวลาไทย ราคาทองสปอตมีการซื้อขายที่ระดับ

1,193.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ดีดต้วขึ้น 8.15 ดอลลาร์จากระดับปิดในตลาดสปอต

นิวยอร์คเมื่อวานนี้

ราคาทองแท่งยังคงร่วงลงราว 6% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่

1,264.90 ดอลลาร์ที่ทำไว้ในเดือนมิ.ย.

สัญญาทองล่วงหน้าส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาด COMEX บวกขึ้น 5.3 ดอลลาร์

สู่ระดับ 1,192.8 ดอลลาร์/ออนซ์

กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก

เปิดเผยว่าทางกองทุนได้ถือครองทองคำทรงตัวที่ 1,282.279 ตัน ณ วันที่ 3 ส.ค.

ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากวันที่ 28 ก.ค.

โดยกองทุนได้ถือครองทองคำสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1,320.436 ตัน

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.

ทางการจีนจะอนุญาตให้ธนาคารภายในประเทศจำนวนมากขึ้นสามารถ

ส่งออกและนำเข้าทองได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการในการกระตุ้นการซื้อขาย

ที่มีสภาพคล่องมากขึ้น และช่วยรองรับความต้องการทองคำจากภาคเอกชนของจีน

คำสั่งซื้อจากกลุ่มผู้ผลิตอัญมณีและนักลงทุนในจีนได้หนุนค่าพรีเมียมทองแท่ง

สู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีวานนี้ ขณะที่ดีลเลอร์ในอินเดียมียอดขายทองอย่าง

คึกคักก่อนช่วงเทศกาล

 

แหล่งที่มา(รอยเตอร์ โดย พันธุ์ทิพย์ คำเพิ่มพูล แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำ ประจำวันที่ 4 ส.ค.53

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- พุธที่ 4 สิงหาคม 2553 10:30:45 น.

กรุงเทพฯ--4 ส.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์

คำแนะนำการลงทุน Gold Futures

DAY TRADER

GFM10 ซื้อในช่วงราคา 18100 — 18120 ขายในช่วงราคา 18220 - 18250

GFQ10 ซื้อในช่วงราคา 18190 - 18210 ขายในช่วงราคา 18320 — 18350

SWING TRADER

ทิศทางราคาทองคำกลับเป็นแนวโน้มSIDEWAY UPโดยมีแนวรับและแนวต้านที่ 1190เหรียญและ1198เหรียญ คำแนะนำนักลงทุนรายวันให้เก็งกำไรในภาวะขาขึ้นคำแนะนำนักลงทุนรายสัปดาห์แนะนำหาจังหวะเข้าซื้อ

 

GFQ10 รอเข้าซื้อที่ระดับ 18230รอขายที่ระดับ 18400

ปัจจัยสำคัญ

สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนมิ.ย.ร่วงลง 2.6% มาอยู่ที่ระดับ 75.7 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2544 จากเดือนพ.ค.ที่ระดับ 77.7 จุด และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4% เนื่องจากนโยบายการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหมดอายุลง ซึ่งส่งผลให้ดีมานด์การทำสัญญาในกลุ่มผู้ซื้อลดลงไปด้วย

 

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนมิ.ย.ทรงตัว หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% ขณะที่อัตราการออมส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.4% ของรายได้หลังหักภาษี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี ซึ่งตัวเลขการใช้จ่ายที่ชะลอตัวลงในขณะที่อัตราการออมพุ่งขึ้นเช่นนี้ ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างล่าช้า

 

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาคบริการและดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจเดือนก.ค.

 

กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เข้าถือครองทองคำ 1,282.279 ตัน ในช่วงเวลาที่สิ้นสุด ณ วันที่ 3ส.ค. เท่าเดิมจากระดับของวันที่ 28 ก.ค.

 

MORNING RECAP : ราคาทองคำต่างประเทศเปิดที่ระดับ 1,183 $ ส่วน Gold Future Q10 เปิดที่ 18,150 สมาคมค้าทองแท่งเปิดที่ 18,100 ปรับขึ้น 50 บาทจากวันทำการก่อน ตลาดทองคำอยู่ในทิศทางขาลง ในช่วงเช้าราคาทองคำแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,179 - 1,184 $ สำหรับช่วงบ่าย ราคาทองคำแกว่งตัว Side way ปิดตลาด Gold Future Q10 ปิดตลาดที่ 18,140 ในขณะที่ราคาทองคำแท่งของสมาคมค้าทองคำแท่ง ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเช้า ปิดตลาดอยู่ที่ 18,100 นักลงทุนซื้อขายทำกำไรอย่างหนาแน่น เนื่องจาก Gold Spot รีบาว์กลับหลังจากร่วงลงมาจากอาทิตย์ที่แล้ว

 

NIGHT RECAP : ราคาทองคำเปิดตลาดในประเทศไทยที่ระดับ 1184 เหรียญ โดยราคาเคลื่อนตัวอยู่ระหว่าง 1180 - 1186 เหรียญ ก่อนกลับมาปิดตลาดที่ 1184 เหรียญ ในเวลาประเทศไทย ต่อมาในตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก ราคาทองคำมีการเคลื่อนตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1191 เหรียญ และมาปิดตลาดที่ 1187 เหรียญ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะการว่างงานในสหรัฐฯกดดันผู้บริโภคไม่กล้าใช้จ่าย

 

Posted on Wednesday, August 04, 2010

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (อังคารที่ 3 ส.ค. 53)

• รายได้ส่วนบุคคล (มิ.ย.) ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า

• รายจ่ายส่วนบุคคล (มิ.ย.) ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า

• ยอดสั่งซื้อสินค้าโรงงาน (มิ.ย.) ลดลง 1.2% จากเดือนก่อนหน้า

• ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (มิ.ย.) ลดลง 2.6% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 75.7 จุด

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พุธที่ 4 ส.ค. 53)

• ตัวเลขการจ้างงาน (ก.ค.) โดย ADP Employer Services

• ดัชนีภาคบริการ (มิ.ย.) โดย ISM

• ตัวเลขน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA

 

 

ตลาดแรงงานกดดันการใช้จ่ายผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนมิ.ย.

 

ภาวะการตกงานในสหรัฐฯ ทำให้ตัวเลขการใช้จ่ายบริโภคของประเทศ รวมถึงรายได้ส่วนบุคคล ออกมาสร้างความน่าผิดหวังในเดือนมิถุนายน ทั้ง ๆ ที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เพิ่งจะพูดให้กำลังใจไปเมื่อวันก่อนว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคอาจจะเงยหัวขึ้นตามค่าจ้างแรงงาน

 

กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยถึงยอดการใช้จ่ายบริโภค ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจ ออกมาไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากที่เคยขยับขึ้นมา 0.1% ในเดือนก่อนหน้า

 

ขณะเดียวกัน ตัวเลขรายได้ก็แสดงถึงอาการหยุดชะงักเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว ผิดไปจากอัตราการออมที่เดินหน้าทำสถิติสูงสุดในรอบปีไปเรียบร้อยแล้ว

 

นักเศรษฐศาสตร์ของ Moody’s บอกว่า ผู้บริโภคยังมีท่าทีรีๆ รอๆ และไม่กล้าที่จะจับจ่าย จนทำให้มีความเป็นไปได้ว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจจะได้เห็นเม็ดเงินดังกล่าวปรับตัวลงในที่สุด

 

รายงานผู้บริโภคที่ออกมายังแสดงถึงเครื่องชี้ภาวะเงินเฟ้อที่อ่อนแรงลง เมื่อระดับราคาที่ผูกติดกับการใช้จ่ายผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพียง 1.4% หากเทียบกับเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ขณะที่ตัวเลขย้อนหลัง 12 เดือนจนถึงเดือนพฤษภาคม มีอัตราการเพิ่ม 2.1%

 

สำหรับเครื่องชี้ภาวะราคาที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน ที่เฟดใช้เป็นตัวประกอบการตัดสินใจนโยบายการเงิน ก็ออกมาไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนล่าสุด ซึ่งผิดไปจากที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าตัวเลขจะออกมาเพิ่มขึ้น 0.1%

 

 

สิ่งแวดล้อมสหรัฐชี้เหตุน้ำมันรั่วถือเป็นหายนะที่ร้ายแรงที่สุด

 

สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ เปิดเผยในรายงานการประเมินเหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งล่าสุดว่า เหตุการณ์น้ำมันรั่วจากบ่อมาคอนโดของบริษัท บีพี กลายเป็นอุบัติเหตุที่ส่งผลให้เกิดหายนะด้านการรั่วไหลของน้ำมันนอกชายฝั่งครั้งใหญ่ที่สุดในโลก

 

เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้น้ำมันดิบไหลงสู่เม็กซิโกแล้ว 4.1 ล้านบาร์เรลในช่วงก่อนที่ทางบริษัทจะดำเนินการปิดบ่อน้ำมัน

 

จากสถิติของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ ระบุว่า น้ำมันดิบที่รั่วไหลจากบ่อมาคอนโดของบีพีมีปริมาณมากกว่า ปริมาณน้ำมัน 3.3 ล้านบาร์เรลที่สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งสวิตเซอร์แลนด์เคยประมาณไว้เมื่อครั้งที่เกิดเหตุระเบิดที่บ่อน้ำมัน Ixtoc-1 ในอ่าวแคมเปเชของเม็กซิโกเมื่อปี 2522

 

ไอรา เลเฟอร์ แห่งจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และเป็นหนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ของสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ กล่าวว่า การประมาณการณ์ของสำนักงานฯถือเป็นตัวเลขที่ผ่านการคำนวณมาอย่างถ้วนถี่แล้ว

 

ข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไปเป็นหลักฐานในการพิจารณาลงโทษบีพี เนื่องจากกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐกำหนดไว้ว่าบริษัทพลังงานที่เป็นต้นเหตุของน้ำมันรั่วไหลลงสู่มหาสมุทรจะต้องถูกเปรียบเทียบปรับเป็นเงินต่อบาร์เรล

 

นายเอ็ดเวิร์ด มาร์คีย์ ส.ส.รัฐแมสซาชูเซตส์ สังกัดพรรคเดโมแครต ประเมินว่า บีพีจะถูกปรับอย่างน้อย 1,100 ดอลลาร์/บาร์เรล และอาจมากที่สุดถึง 4,300 ดอลลาร์/บาร์เรล ภายใต้กฎหมาย Clean Water Act แห่งสหรัฐอเมริกา

 

หากศาลพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาท ซึ่งเท่ากับว่า บีพีอาจถูกเปรียบเทียบปรับเป็นเงินสูงถึง 4.5 พันล้านดอลลาร์ ถึง 1.76 หมื่นล้านดอลลาร์

 

เหตุการณ์ระเบิดที่บ่อน้ำมันมาคอนโดในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้พนักงานบีพีเสียชีวิต 11 คน และทำให้แท่นขุดเจาะ Deepwater Horizon ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ ซึ่งภัยพิบัติร้ายแรงในครั้งนี้ส่งผลให้บีพีขาดทุนถึง 1.72 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่สามารถทำกำไรได้ 4.39 พันล้านดอลลาร์ และยังกดดันให้นายโทนี่ เฮย์เวิร์ด ซีอีโอของบีพีตัดสินใจลาออกเพื่อเปิดทางให้นายโรเบิร์ต ดัลลีย์ เข้ามารับตำแหน่งแทน

 

ส่วนความคืบหน้าในการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วนั้น ล่าสุดมีรายงานว่า บีพีได้เลื่อนการทดสอบครั้งสำคัญก่อนอุดบ่อน้ำมันขั้นสุดท้าย หลังพบรอยรั่วขนาดเล็กที่ฝาครอบบ่อน้ำมัน

 

เดิมทีบีพีวางแผนว่าจะเริ่มใช้วิธี "static kill" ในการอุดรอยรั่วอย่างถาวรในวันนี้ หลังเสร็จสิ้นการทดสอบครั้งสำคัญที่เรียกว่า "injectivity test" เพื่อทดสอบว่าวิธีการอุดรอยรั่วดังกล่าวได้ผลหรือไม่

 

 

นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียขานรับแบงก์ชาติออสเตรเลียคงดอกเบี้ย

 

นางจูเลีย กิลลาร์ด นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียขานรับการตัดสินใจของธนาคารกลางในการตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม 4.5% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้

 

กิลลาร์ดกล่าวว่า การตัดสินใจตรึงดอกเบี้ยของธนาคารกลางออสเตรเลียถือเป็นข่าวดีที่เอื้อประโยชน์ให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยให้พรรคแรงงานมีทางเลือกในการใช้นโยบายทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในยามที่ทั่วโลกเผชิญวิกฤตการเงินโลก

 

ทั้งนี้ การที่ธนาคารกลางออสเตรเลียตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในวันนี้อาจช่วยให้นางจูเลีย กิลลาร์ด ผ่อนคลายจากความตึงเครียดก่อนถึงการเลือกตั้งในวันที่ 21 ส.ค.นี้ ซึ่งเธอยืนยันว่าจะไม่อวดอ้างหรือสร้างความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับความสามารถของรัฐบาลในการควบคุมอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้ธนาคารกลางทำงานได้อย่างอิสระ

 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจดำเนินนโยบายที่จะสามารถสร้างแรงกดดันด้านอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

 

 

นักวิเคราะห์คาดสินค้าเกษตรราคาสูงขึ้นหลังจีนประสบอุทกภัย

 

นักวิเคราะห์กล่าวว่า อุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษของจีนอาจทำให้ผลผลิตข้าว ฝ้าย และเนื้อหมูในประเทศลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาในตลาดปรับสูงขึ้นและอาจเป็นอุปสรรคต่อความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3%

 

นายหลี่ เฉียง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซี่ยงไฮ้ เจซี อินเทลลิเจนซ์ ประเมินในเบื้องต้นว่า ภัยพิบัติจากธรรมชาติจะทำให้ผลผลิตข้าวลดลง 5 - 7% และฝ้ายลดลง 5 - 10% ซึ่งผลผลิตที่ลดลงอาจเพิ่มแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อหากรัฐบาลไม่มีมาตรการรับมือที่ดีพอ

 

ทั้งนี้ ผลผลิตข้าวและฝ้ายของจีนคิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั่วโลก ในขณะที่การผลิตเนื้อหมูมีปริมาณสูงถึงครึ่งหนึ่งของโลก ปริมาณผลผลิตที่ลดลงอาจส่งผลให้ราคาในตลาดโลกขยับขึ้น

 

ราคาข้าวในตลาดชิคาโกเพิ่มสูงขึ้น 15% ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน ในขณะที่ราคาฝ้ายในตลาดนิวยอร์ก เพิ่มขึ้น 26% ในปีที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ ภาวะน้ำท่วมยังทำให้ราคาอาหารในจีนซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่สุดในโลกปรับตัวสูงขึ้น

 

กระทรวงกิจการพลเรือนของจีนรายงานว่า นายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีนเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพิ่มความพยายามในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบกว่าสิบปี ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 928 คน และสูญหาย 477 คน

 

เหตุการณ์น้ำท่วมและโคลนถล่มที่ผ่านมาทำลายบ้านเรือนราษฎรกว่า 450,000 หลังคา และพื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 400,000 เฮคเตอร์ คิดเป็นมูลค่า 5.27 หมื่นล้านหยวน (7.8 พันล้านดอลลาร์)

 

ทั้งนี้ จีนประสบกับภาวะน้ำท่วมรุนแรงที่สุดในปี 2541 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 4,000 คน รัฐบาลต้องอพยพราษฎร 18.4 ล้านคนออกนอกพื้นที่ และคิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 1.66 พันล้านหยวน

 

ทรีกอร์จ คอร์ป ผู้บริหารเขื่อนสามผา (Three Gorges Dam) ซึ่งเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกของจีน ประสบกับภาวะแม่น้ำแยงซีเอ่อล้นถึงสองครั้งในรอบ 8 วัน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องเร่งระบายน้ำออกในอัตรา 42,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

 

หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ รายงานโดยอ้างคำกล่าวของนาย จ้าว เสี่ยวหยู่ รองประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีผลกระทบต่ออุปทานธัญพืช อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้ ผลผลิตธัญพืชในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมามีปริมาณลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี

 

เว็บไซต์ cngrain.com ซึ่งรายงานข่าวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเกษตร ประมาณการว่า ผลผลิตข้าวของปีนี้อาจมีปริมาณลดลงถึง 10% เนื่องจากอุทกภัย

 

ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อขยายตัวขึ้น 3.1% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเร็วสุดในรอบ 19 เดือน ก่อนที่อัตราการขยายตัวจะชะลอตัวลงที่ระดับ 2.9% ในเดือนมิถุนายน

 

 

มาเลเซียเปิดช่องแบงก์ต่างชาติทำธุรกิจในประเทศ

 

นายอาห์มัด ฮุสนี ฮานัดซะลาห์ รัฐมนตรีช่วยลำดับสองของกระทรวงคลังมาเลเซียกล่าวว่า ธนาคารต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนในมาเลเซียได้หลายช่องทาง

 

ขณะที่รัฐบาลกำลังหาทางปรับท่าทีเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้มีธนาคารต่างชาติหลายแห่งสนใจที่จะเปิดสำนักงานสาขาในมาเลเซีย โดยนายอาห์มัด ฮุสนี อ้างถึงฟีดแบ็คที่ได้รับจากการเดินทางไปต่างประเทศว่า มีธนาคารต่างชาติแสดงความสนใจที่จะเปิดสำนักงานสาขาในมาเลเซีย

 

ขณะที่รายงานในเดือนมิ.ย.ระบุว่า ธนาคารกลางของมาเลเซียเตรียมออกใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจให้ธนาคารพาณิชย์ต่างชาติ 5 แห่ง เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการเปิดเสรีในภาคอุตสาหกรรมการเงิน

 

อย่างไรก็ตาม นายอาห์มัด กล่าวว่า การออกใบอนุญาตจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อธนาคารได้ทำการศึกษารายละเอียดการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังเสียก่อน

 

นอกจากนี้ ธนาคารจะจับตาความเคลื่อนไหวของตลาดในมาเลเซียอย่างใกล้ชิดเพื่อหาความชัดเจนจำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยหรือไม่

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ธนาคารกลางมาเลเซียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไปแล้ว 3 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้ปัจจุบันมาเลเซียมีอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.75%

 

ด้านนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ของมาเลเซียกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจของมาเลเซียช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเผชิญภาวะขาลง

 

ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นครั้งต่อไปในปีหน้า

 

 

เกาหลีใต้คาดเศรษฐกิจโตเพียง 4.6% ช่วงครึ่งหลังของปีนี้

 

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งเกาหลีใต้ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้มีแนวโน้มขยายตัว 4.6% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกที่สามารถขยายตัวได้ 7.6% ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ ส่วนแนวโน้มการขยายตัวตลอดปี 2553 นั้น ทางสถาบันคาดว่าจะอยู่ที่ 6.1%

 

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งเกาหลีใต้มองว่า ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลงมาจากการที่ประเทศในแถบยุโรปใช้นโยบายคุมเข้มด้านการคลัง และดัชนีเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงทั้งในจีนและสหรัฐ รวมทั้งผลกระทบในด้านบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เบาบางลง

 

นอกจากนี้ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งเกาหลีใต้คาดการณ์ว่า อัตราการบริโภคภายในประเทศจะขยายตัว 3.4% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 5% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะการที่ธนาคารกลางเกาหลีใต้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งภาวะซบเซาในตลาดแรงงานและตลาดอสังหาริมทรัพย์

 

ขณะเดียวกันคาดว่า ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะลดลงสู่ระดับ 8.4 พันล้านดอลลาร์ จากช่วงครึ่งแรกของปีที่ระดับ 1.16 หมื่นล้านดอลลาร์ และคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคจะยืนอยู่เหนือระดับ 3% เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น

 

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจของซัมซุงคาดว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้จะขยายตัว 3.3% ขณะที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจของแอลจีคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 4.2%

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คัมภีร์ไร้เทียมทาน ที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน ไม่ห่วงไม่รักไม่บอกนะเนี่ย ฮาฮา แหย่เล่นจ้า

 

แนวหนุนต้านระยะกลางยาว จุดยุทธศาสตร์ที่สำมะคัน

 

ต้าน๓1265.10-----------จุดสูงของวันที่21 มิย. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย

ต้าน๒1218.00-----------จุดสูงของวันที่14 กค. หากแตก ซื้อขึ้น หากไม่แตก ซื้อลง

ต้าน๑1204.40-----------จุดสูงของวันที่23 กค. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย หากแตก ให้ซื้อขึ้น

 

วันที่ 04 สค. 2010

 

หนุน๑1167.00--------จุดต่ำของวันที่30 กค. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น หากด่านแตกทะลวงลง ให้ซื้อลง

หนุน๒1156.04--------จุดต่ำของวันที่5 พค. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น หากด่านแตกทะลวงลง ให้ซื้อลง

หนุน๓1123.69---------จุดต่ำของวันที่19 เมย. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น หากด่านแตกทะลวงลง ให้ซื้อลง

 

เวลาอ่านแล้วต้องรู้จักคิดด้วยนะครับ เช่น"หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย" ต้องรู้จักคิดกลับ---"หากถึงและมีแรงส่งขึ้นต่อ ผู้ซื้อขึ้นก็ถือต่อ ผู้ซื้อลงให้ตัดเนื้อขายออกเสีย " อะไรทำนองนี้เป็นต้นนะครับ

วิธีดูทิศทางทอง เอาแนวดูวิธีทองรายวันมาลงโดยไม่ได้แก้ เวลาดูให้ทำความเข่าใจเองนะครับ

วิธีดูทิศทางทอง ต้าน๓----หนุน๓เป็นทิศทางทองที่จะเคลื่อนไหวในช่วงนี้ หากพุ่งทะลุต้าน๓หรือดิ่งทะลวงหนุน๓ แสดงถึงวันนั้นทองเคลื่อนไหวแรงเกินปกติ เส้นแดนเป็นเส้นที่จะแบ่งแยกทิศทางของทองที่จะขึ้นหรือลง หากทองเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางใดมากและนาน นั่นหมายถึงโอกาสเป็นไปได้มากที่ทองจะเคลื่อนไปในทิศทางนั้นๆ ในช่วงเวลานั้น (ยังต้องแบ่งออกในช่วงเวลาตลาดเอเซีย ยุโรป เมกาด้วย) ต้าน๑และหนุน๑หากถูกทดสอบแบบมีผล(ขึ้นลงมากกว่า๑ครั้ง)แล้วยืนอยู่ได้ นั่นคือทิศทางทองที่จะเดินต่อไปในช่วงเวลานั้น หากการวิเคราะเกิดขัดแย้งกันเมื่อไหร่ ให้หยุดมองดูอย่างเดียว ไม่ควรซื้อ-ขายในช่วงเวลานั้น แนวทางนี้เหมาะกับการเล่นสั้นมาก (เล่นแบบออนไลน์ในอนาคต) มีความแม่นยำถึง80%ครับ อีกอย่างข่าวปัจจัยพื้นฐานอาจเปลี่ยนทิศทางทองได้กะทันหันนะครับ

ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ถัาติดดอยเมื่อทองต่ำลงมา หากยังมีเงินเหลืออยู่ ควรซื้อเพิ่ม เพิ่มที่ละนิด ต่ำอีกซื้ออีก เพื่อดึงต้นทุนที่สูงให้ต่ำลงมา ใครที่ยังไม่มีทองในมือควรทยอยซื้อเข้าอย่ามากนัก หากทองลงอีก เราก็ซื้ออีก ดีกว่าเวลาทองขึ้นเราไปไล่ซื้อในราคาที่สูง จดจำเป็นคติเตือนใจว่า เรามิอาจซื้อได้ในราคาที่ต่ำสุด และขายได้ในราคาที่สูงสุด ไม่มีการลงทุนใดที่ไม่เสี่ยง การบริหารพอร์ตให้ได้จังหวะ จะลดความเสี่ยงลงได้ครับ

กราฟสำคัญ ปัจจัยพื้นฐานก็สำคัญ จิตวิทยาการโน้มเอียงของคนก็สำคัญ สิ่งเหล่านี้หากเป็นไปในแนวเดียวกัน ก็จะมุ่งไปทางนั้น หากแย้งกันก็ต้องดูฝ่ายไหนเหนือกว่า.....ด้วยเหตุนี้ไม่มีนักวิเคราะห์คนใดที่จะทำนายได้แม่นยำตลอดกาลได้ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...