ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

+1 ขอบคุณค่ะ คุณทองใหม่ :wub:

เซ็ทปอดว่างแล้ว หาจังหวะเข้าอยู่ค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 5 ต.ค.2553

วันอังคารที่ 05 ตุลาคม 2010 เวลา 10:00 น. กอง บก.ออนไลน์ ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 5 ต.ค.2553

 

หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันวันที่ 5 ต.ค. 2553 ว่า ราคาน้ำมันปรับฐานหลังดอลลาร์แข็งค่าและแรงขายทำกำไรในหุ้นสหรัฐฯ

 

-ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน พ.ย. ปรับลดลงเล็กน้อยที่ 0.11 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 81.47 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจาก

 

- ราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อวานนี้เทียบเคียงกับค่าเงินยูโร สาเหตุหลักเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ธนาคารพาณิชย์บางแห่งในยุโรปจำเป็นจะต้องปรับเพิ่มเงินทุนสำรองอีกครั้ง รวมทั้งมุมมองในแง่ลบต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤติหนี้สินว่ามีแนวโน้มจะหดตัวต่อในปี 2011 โดยเฉพาะประเทศกรีซ ที่ล่าสุดรัฐบาลออกมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีหน้าของกรีซจะหดตัวต่ออีก ร้อยละ 2.6 จากตัวเลขที่ติดลบไปแล้ว ร้อยละ 4 ในปีนี้

 

 

- นอกจากปัจจัยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแล้ว แรงขายทำกำไรของนักลงทุนบางส่วนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ วานนี้ก็เป็นอีกปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน โดยสาเหตุหลักมาจากความไม่มั่นใจในภาพเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรป

 

 

+/- ยอดสัญญาซื้อขายบ้านรอปิดการขายในเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 4.3% จากเดือนก่อนหน้า ถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 4 เดือน ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯมีแนวโน้มเข้าสู่สภาวะทรงตัวแล้วหลังจากอยู่ในช่วงขาลงมาตั้งแต่เดือนเม.ย. หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ต่อมาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่อผู้ซื้อบ้าน อย่างไรก็ดียอดคำสั่งซื้อของโรงงานเดือนส.ค. กลับปรับตัวลดลง 0.5% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

 

 

+ อย่างไรก็ดีราคาน้ำมันปรับลดลงไม่มากนักเน่องจากได้รับแรงหนุนจากข่าวเหตุการณ์การปิดท่าเรือประท้วงของคนงานในฝรั่งเศสที่ต่อเนื่องกันมาเป็นวันที่ 8 ที่ส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป รวมทั้งอุบัติเหตุที่เรือลากจูงชนกับเสาส่งไฟฟ้าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาบริเวณช่องทางเดินเรือบริเวณฮูสตัน (Houston Ship Channel) ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชายฝั่งสหรัฐฯจำเป็นต้องปิดช่องทางเดินเรือดังกล่าวเป็นการชั่วคราว โดยช่องทางดังกล่าวเป็นเส้นทางหลักของการขนส่งน้ำมันดิบไปยังโรงกลั่นจำนวน 4 แห่งบริเวณรัฐเทกซัส ที่มีกำลังการกลั่นรวมกันประมาณ 778,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 4.9 ของกำลังการกลั่นรวมในสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีคาดการณ์ว่าเส้นทางดังกล่าวจะกลับมาเปิดใช้การได้อีกครั้งภายในคืนวันอังคารนี้

 

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน พ.ย. ปรับลดลง 0.47 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 83.28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ตลาดสิงคโปร์ ส่งมอบเดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 0.31 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 79.75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

 

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์:

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ ประกอบกับข่าวการปิดท่าเรือประท้วงของคนงานในฝรั่งเศสที่ต่อเนื่องกันเป็นวันที่ 8 ส่งผลให้ปริมาณส่งออกน้ำมันเบนซินจากยุโรปลดน้อยลง นอกจากนี้ความต้องการนำเข้าน้ำมันเบนซินจากเอเชียไปยังตะวันออกกลางยังมีอย่างต่อเนื่อง

 

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ อย่างไรก็ดีปริมาณอุปทานที่มีค่อนข้างมากในภูมิภาคยังเป็นปัจจัยหลักกดดันราคาน้ำมันดีเซลภายในภูมิภาค

 

-ทิศทางราคาน้ำมันระยะสั้น

 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 77-84 เหรียญสหรัฐฯ ติดตามการประกาศตัวเลขดัชนีภาคบริการในสหรัฐฯ ที่จะประกาศในคืนนี้ และ ตัวเลขปริมาณน้ำมันคงคลังประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯที่จะประกาศในวันพุธ

 

 

 

-ปัจจัยที่น่าจับตามอง

 

• ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ได้แก่ :

วันอังคาร : ดัชนีภาคการบริการ

วันพุธ : GDP ไตรมาสที่ 2 ของกลุ่มสหภาพยุโรป

วันพฤหัสบดี : ยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงาน และ สินเชื่อผู้บริโภค

วันศุกร์ : อัตราการว่างงาน และ ยอดค้าส่ง

 

• การประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ สำหรับ ไตรมาส 3/53 โดยบริษัท อัลโค จะเป็นบริษัทแรกในกลุ่มดาวโจนส์ที่จะประกาศผลประกอบการในวันที่ 7 ต.ค. นี้

• ธนาคารกลางสหรัฐฯ เตรียมตัวที่จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบระลอก 2 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่ให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจช้าลงไปกว่านี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการประกาศในการประชุมของธนาคารกลาง ในวันที่ 2-3 พ.ย. นี้

• การประชุมโอเปกในวันที่ 14 ต.ค. นี้ ที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย ซึ่งในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศสมาชิก ได้แก่ ลิเบีย อิรัก คูเวต เอกวาดอร์ และกาตาร์ ได้ออกมาให้ความเห็นว่า โอเปกน่าจะตัวสินใจคงโควตาการผลิตน้ำมันดิบไว้ที่ระดับเดิม

• พายุเฮอริเคนในบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกของสหรัฐฯ ที่ยังมีโอกาสก่อตัวขึ้น แต่น่าจะลดปริมาณลงแล้วในเดือน ต.ค. โดยมีการพยากรณ์จำนวนพายุเฮอริเคนในปีนี้ไว้ที่ 8-12 ลูก ซึ่งนับจนถึงปัจจุบัน มีเฮอริเคนเกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น 6 ลูก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปภาวะ Gold Futures By GT Wealth Management 5 ต.ค. 53 (ภาคเช้า)

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- อังคารที่ 5 ตุลาคม 2553 11:58:32 น.

กรุงเทพฯ--5 ต.ค.--GT Wealth Management

ราคาทองคำในตลาดโลกช่วงเช้าทรงตัวใกล้ระดับเดิม 1,315 ดอลล่าร์ โดยราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลล่าร์ที่ปรับแข็งค่าเทียบสกุลหลัก หลังจากค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลงซึ่งได้รับผลจากการประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีปัญหาหนี้อย่างกรีซและไอร์แลนด์ โดยเฉพาะกรีซที่คาดว่าในปีหน้ามีความเป็นไปได้ที่อัตราการเติบโตน่าจะยังติดลบประมาณ 2.6% ขณะประมาณการณ์ทั้งปีนี้น่าจะติดลบ 4% ขณะ SPDR รายงานการขายทองออกอีก 0.44 ตัน ทำให้มีระดับการถือครอง 1,301.91 ตัน ค่าเงินบาทเช้าวันนี้ปรับอ่อนค่าลงเล็กน้อย 30.20 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ โกลด์ฟิวเจอร์สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนตุลาคม (GFV10) เปิดตลาดทรงตัวระดับเดิมจากช่วงปิดตลาดวันจันทร์ (4 ต.ค. 53) โดยเปิดที่ระดับราคา 18,820 บาท ส่วนราคาทองคำที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำวันนี้ ราคาเสนอซื้อ 18,700 บาท ราคาเสนอขาย 18,800 บาท

 

ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนบริษัทจีที เวลธ์แมเนจเมนท์ จำกัดกล่าวว่า เรายังคงมีความเห็นต่อแนวโน้มราคาทองคำในเชิงบวก โดยทองคำเริ่มกลับมามีความสัมพันธ์กับค่าเงินดอลล่าร์มากขึ้น ขณะแนวโน้มดอลล่าร์ยังคงอ่อนค่าจากการขาดความมั่นใจในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐร่วมถึงมาตรการเกี่ยวกับปริมาณเงิน ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาทองคำในช่วงต่อไป แต่อย่างไรก็ดีจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงกว่า 2 เดือนที่ผ่านมาอาจจะมีแรงขายทำกำไรเป็นระยะ ดังนั้นการลงทุนในทองคำอาจจะต้องเน้นจังหวะในการลงทุนมากขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กราฟตาแป๊ะทองรายวัน ตาแป๊ะเขาเปิดให้ดูฟรีเฉพราะวันอังคารกับพฤหัสฯจ้า มีบางวันหากเขาลืมปิดก็ได้ดูเพิ่มครับ

กราฟตาแป๊ะซ้ายบน ตัวหนังสือสีเขียว 卖 ---ขาย ตัวหนังสือสีแดง买----ซื้อ เส้นหักมุม(เส้นเส้นคู่เล็กบางสีขาง+เหลืองอ่อน)ขึ้น—ลง ตามมุมที่หัก(ให้ผลระยะกลางยาว)

ขวาบน เส้นสีแดง---เสนอซื้อมากกว่าเสนอขาย เส้นสีเขียว---เสนอขายมากกว่าเสนอซื้อ ส่วนช่วงกลางที่มีแท่งสีแดงกับเขียวนั้น แท่งแดง---แรงซื้อขึ้น แท่งเขียว---แรงขายลง

ขวาช่องสอง แท่งเหลืองคู่เส้นแดง---ขาขึ้น แท่งฟ้าคู่เส้นเขียว---ขาลง โดยปกติ ช่องนี้จะเปลี่ยนแนวโน้มช้ากว่าเพื่อน หากเปลี่ยนแนวโน้มเมื่อไหร่ เขาให้ขายออกหรือซื้อเข้าได้ทันที่ ยกเว้นมีปัจจัยพื้นฐานแรงๆแทรกเข้ามา จึงจะทำให้แนวโน้มกลับเปลี่ยนได้โดยกะทันหัน

ซ้ายช่องสอง หน้าเหลืองแป๊ะยิ้ม---ขาขึ้น หน้าแดงแป๊ะร้องไห้---ขาลง แท่งสีเขียว---เพดาน แท่งสีแดง---พื้นดินโดยปกติ ช่องนี้จะส่งสัญญาณว่า กำลังจะเปลี่ยนแนวทางแล้วนะ แต่ยังไม่เต็มร้อย อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหันก็ได้ ต้องดูซ้ายบนและขวาช่อง๒ประกอบด้วย จึงจะให้ความมั่นใจได้

post-237-035177100 1286258087.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กราฟตาแป๊ะดอลล์รายวัน ตาแป๊ะเขาเปิดให้ดูฟรีเฉพราะวันอังคารกับพฤหัสฯจ้า มีบางวันหากเขาลืมปิดก็ได้ดูเพิ่มครับ

กราฟตาแป๊ะซ้ายบน ตัวหนังสือสีเขียว 卖 ---ขาย ตัวหนังสือสีแดง买----ซื้อ เส้นหักมุม(เส้นเส้นคู่เล็กบางสีขาง+เหลืองอ่อน)ขึ้น—ลง ตามมุมที่หัก(ให้ผลระยะกลางยาว)

ขวาบน เส้นสีแดง---เสนอซื้อมากกว่าเสนอขาย เส้นสีเขียว---เสนอขายมากกว่าเสนอซื้อ ส่วนช่วงกลางที่มีแท่งสีแดงกับเขียวนั้น แท่งแดง---แรงซื้อขึ้น แท่งเขียว---แรงขายลง

ขวาช่องสอง แท่งเหลืองคู่เส้นแดง---ขาขึ้น แท่งฟ้าคู่เส้นเขียว---ขาลง โดยปกติ ช่องนี้จะเปลี่ยนแนวโน้มช้ากว่าเพื่อน หากเปลี่ยนแนวโน้มเมื่อไหร่ เขาให้ขายออกหรือซื้อเข้าได้ทันที่ ยกเว้นมีปัจจัยพื้นฐานแรงๆแทรกเข้ามา จึงจะทำให้แนวโน้มกลับเปลี่ยนได้โดยกะทันหัน

ซ้ายช่องสอง หน้าเหลืองแป๊ะยิ้ม---ขาขึ้น หน้าแดงแป๊ะร้องไห้---ขาลง แท่งสีเขียว---เพดาน แท่งสีแดง---พื้นดินโดยปกติ ช่องนี้จะส่งสัญญาณว่า กำลังจะเปลี่ยนแนวทางแล้วนะ แต่ยังไม่เต็มร้อย อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหันก็ได้ ต้องดูซ้ายบนและขวาช่อง๒ประกอบด้วย จึงจะให้ความมั่นใจได้

post-237-022288500 1286258141.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กราฟตาแป๊ะน้ำมันรายวัน ตาแป๊ะเขาเปิดให้ดูฟรีเฉพราะวันอังคารกับพฤหัสฯจ้า มีบางวันหากเขาลืมปิดก็ได้ดูเพิ่มครับ

กราฟตาแป๊ะซ้ายบน ตัวหนังสือสีเขียว 卖 ---ขาย ตัวหนังสือสีแดง买----ซื้อ เส้นหักมุม(เส้นเส้นคู่เล็กบางสีขาง+เหลืองอ่อน)ขึ้น—ลง ตามมุมที่หัก(ให้ผลระยะกลางยาว)

ขวาบน เส้นสีแดง---เสนอซื้อมากกว่าเสนอขาย เส้นสีเขียว---เสนอขายมากกว่าเสนอซื้อ ส่วนช่วงกลางที่มีแท่งสีแดงกับเขียวนั้น แท่งแดง---แรงซื้อขึ้น แท่งเขียว---แรงขายลง

ขวาช่องสอง แท่งเหลืองคู่เส้นแดง---ขาขึ้น แท่งฟ้าคู่เส้นเขียว---ขาลง โดยปกติ ช่องนี้จะเปลี่ยนแนวโน้มช้ากว่าเพื่อน หากเปลี่ยนแนวโน้มเมื่อไหร่ เขาให้ขายออกหรือซื้อเข้าได้ทันที่ ยกเว้นมีปัจจัยพื้นฐานแรงๆแทรกเข้ามา จึงจะทำให้แนวโน้มกลับเปลี่ยนได้โดยกะทันหัน

ซ้ายช่องสอง หน้าเหลืองแป๊ะยิ้ม---ขาขึ้น หน้าแดงแป๊ะร้องไห้---ขาลง แท่งสีเขียว---เพดาน แท่งสีแดง---พื้นดินโดยปกติ ช่องนี้จะส่งสัญญาณว่า กำลังจะเปลี่ยนแนวทางแล้วนะ แต่ยังไม่เต็มร้อย อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหันก็ได้ ต้องดูซ้ายบนและขวาช่อง๒ประกอบด้วย จึงจะให้ความมั่นใจได้

post-237-049251900 1286258184.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ค่าเงินเอเชีย-เงินบาทมีสิทธิผันผวนสูงขึ้นหลังแข็งค่าเร็วเกินไป

 

Posted on Tuesday, October 05, 2010

อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนในช่วงสัปดาห์นี้ต่อเนื่องไปจน 2 เดือนข้างหน้า มีแนวโน้มผันผวนสูงขึ้น จากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างหนัก ขณะที่ค่าเงินสกุลหลักอื่น ๆ อย่างยูโร และค่าเงินในเอเชียได้แข็งค่าอย่างรวดเร็ว และราคาสินทรัพย์ เช่น หุ้น ก็ยังได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้า ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นการปรับเพิ่มขึ้นที่มากเกินไปแล้ว โดยเป็นการสะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ ขณะที่มีความขัดแย้งเรื่องค่าเงินมากขึ้น ทั้งจีน-สหรัฐฯ จีน-ยุโรป และธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ยังมีแนวโน้มอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินเยน ทำให้ค่าเงินอาจมีความผันผวนสูง และอาจมีการขายทำกำไรในระยะสั้น

 

สำหรับประเด็นที่บราซิลประกาศนโยบายควบคุมเงินทุน (Capital Control) ด้วยการเพิ่มการเก็บภาษีระยะสั้นจากเงินที่ไหลเข้าไปลงทุนจาก 2% เป็น 4% อาจทำให้ตลาดกังวลว่าเอเชียรวมถึงไทยอาจประกาศมาตรการเดียวกันได้ แต่เชื่อว่าคงจะไม่มีการทำอย่างนั้น แต่ก็จะมีการแทรกซงค่าเงินในตลาดโดยตรงแทน เพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศในการลงทุนไป

 

สำหรับแนวทางสำหรับผู้นำเข้า นั้น จากการที่ค่าเงินบาทในขณะนี้แข็งค่ามากแล้ว อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทยอยเข้าซื้อสะสมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นานาประเทศเตือนประชาชนระวังภัยก่อการร้ายในยุโรป

 

Posted on Tuesday, October 05, 2010

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ (จันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2553)

• ยอดสั่งซื้อสินค้าโรงงาน (ส.ค.) ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้า

• ดัชนียอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (ส.ค.) เพิ่มขึ้น 4.3% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 82.3 จุด

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (อังคารที่ 5 ตุลาคม 2553)

• ดัชนีภาคการบริการ (ก.ย.) โดย สถาบันจัดการด้านอุปทาน

 

นานาประเทศเตือนประชาชนระวังภัยก่อการร้ายในยุโรป

 

กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นประกาศเตือนภัยสำหรับชาวญี่ปุ่นที่อาศัยหรือเดินทางในยุโรปตั้งแต่เมื่อวานนี้ว่า อาจเกิดการก่อการร้ายโดยเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออีดะห์รวมถึงกลุ่มอื่นๆ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาและอังกฤษออกประกาศเตือนในลักษณะเดียวกันไปก่อนหน้านี้

 

ประกาศเตือนดังกล่าวระบุให้ชาวญี่ปุ่นระมัดระวังสถานที่ที่อาจตกเป็นเป้าการก่อการร้ายอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ ระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ

 

กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นระบุว่า สหรัฐฯเตือนว่ากลุ่มอัลกออีดะห์และองค์กรต่างๆในเครือกำลังวางแผนก่อการร้ายในยุโรป

 

ขณะที่อังกฤษได้ประกาศยกระดับเตือนภัยก่อการร้ายสู่ระดับสูงสุดสำหรับประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี

 

ด้านกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯออกแถลงการณ์เตือนนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันอาจตกเป็นเป้าหมายต่อภัยก่อการร้ายในยุโรป

 

แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่ากลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ และกลุ่มก่อการร้ายในเครือยังคงวางแผนโจมตีอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมานั้น รัฐบาลยุโรปได้ใช้มาตรการป้องกันและบางประเทศได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการโจมตีจากกลุ่มก่อการร้าย

 

แถลงการณ์ของสหรัฐฯยังระบุด้วยว่า กลุ่มก่อการร้ายเลือกใช้ยุทธวิธีและอาวุธต่างๆ โดยมีเป้าหมายโจมตีผลประโยชน์ของรัฐบาลและเอกชน ทางการสหรัฐฯจึงเตือนให้ชาวอเมริกันระมัดระวังการโจมตีระบบขนส่งมวลชน ทั้งบนดินและใต้ดิน รวมทั้งสายการบินและเรือโดยสาร และสาธารณูปโภคด้านการท่องเที่ยว

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นอกเหนือจากการออกแถลงการณ์เตือนแล้ว รัฐบาลกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะร่วมมือกับพันธมิตรในยุโรป ในการป้องกันภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้ายนานาชาติ รวมทั้งก่อการร้ายอัลกออิดะห์

 

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้น หลังจากที่หน่วยข่าวกรองหลายแห่งในยุโรปตามแกะรอยแผนก่อการร้ายของเครือข่ายอัลกออิดะห์ที่มุ่งโจมตีหลายเมืองของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยใช้รูปแบบการโจมตีลักษณะเดียวกับเหตุวินาศกรรมที่นครมุมไบ ของอินเดียในปี 2551

 

AIA จ่อทำสถิติ IPO สูงสุดในฮ่องกง รองจาก ICBC

 

รายงานข่าวระบุว่าบริษัทประกันรายใหญ่จากสหรัฐฯ ได้ข้อสรุปถึงมูลค่ากิจการของตนในภูมิภาคเอเชียที่จะเสนอขายหุ้นทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ท่ามกลางโอกาสในการเติบโตรวมถึงศักยภาพของตลาดที่ทำให้หลายบริษัทต่างจับจ้องเข้ามาแย่งชิงพื้นที่

 

สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า American International Group (AIG) ตกลงกำหนดราคาหุ้น IPO สำหรับธุรกิจของตนในเอเชีย ด้วยมูลค่าที่อาจสูงถึง 3.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีแผนนำหุ้นในสัดส่วน 50% ของบริษัท AIA Group ออกขายสู่สาธารณะในตลาดฮ่องกง และมูลค่าหุ้นที่กำหนดไว้ในช่วงสูงสุดเป็นระดับที่เท่ากับข้อเสนอซื้อกิจการที่เคยได้รับจากบริษัท Prudential ก่อนที่ดีลดังกล่าวกลับต้องล้มไปเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว

 

การออกหุ้นขายของ AIG ครั้งนี้ เตรียมขึ้นเป็นดีล IPO ที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาดหุ้นฮ่องกง ต่อจากรายของ ICBC หรือ Industrial & Commercial Bank of China ที่เคยนำหุ้นออกขายเมื่อปี 2549

 

ผู้บริหารกองทุนจาก Aberdeen Asset Management ในเอเชียมองว่า นักลงทุนอาจสนใจมูลค่าหุ้นของ AIG ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ตลาดคิดว่าเป็นมูลค่าที่สะท้อนถึงอัตราการขยายตัวของธุรกิจในระดับสูง ท่ามกลางปัจจัยความไม่แน่นอนที่กำลังแวดล้อมธุรกิจทั่วโลกอยู่ในปัจจุบัน

 

AIG กำลังเดินหน้าแผนขายสินทรัพย์ของตนเพื่อนำมาจ่ายคืนเงินช่วยเหลือของรัฐมูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านเหรียญ ซึ่งดีลการขายบริษัท AIA นี้ ก็ได้ธนาคารชั้นนำ อย่าง Citigroup, Deutsche Bank, Goldman Sachs และ Morgan Stanley เข้ามาเป็นผู้ดูแลการจัดจำหน่ายหุ้น

 

อังกฤษอาจต้องเพิ่มเงินช่วยธนาคาร ส่วนเครดิต สวิส-ยูบีเอสต้องเพิ่มทุน

 

New Economics Foundation (NEF) กล่าวว่า ธนาคารพาณชิย์ในอังกฤษอาจจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลื่อจากรัฐบาลเพิ่มเติมในปีหน้า หรือ 2011 และความต้องการในการกู้ยืมต่อเดือนจะสูงถึง 3.94 หมื่นล้านปอนด์

 

จากการตรวจสอบข้อมูลจากธนาคารกลางอังกฤษ NEF กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ในอังกฤษกำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องเงินทุน

 

ทั้งนี้ ในช่วงสิ้นเดือน มกราคา 2555 จะเป็นเส้นตายที่ธนาคารพาณิชย์ในอังกฤษจะต้องคืนเงินให้กับธนาคารกลางอังกฤษกว่า 1.85 แสนล้านปอนด์

 

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ในอังกฤษ ยังมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนให้ได้ตามเกณฑ์ของ Basel 3 ภายในปี 2562 ซึ่งตามเกณฑ์ของบาเซิลนั้น ธนาคารจะต้องเพิ่มทุนส่วน Tier 1 capital ให้ได้ 7% แต่เกณฑ์ใหม่ค่อนข้างจะเข้มงวดเพราะ สินทรัพย์ต่างๆ ที่จะนับรวมนั้นจะมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยธนาคารขนาดใหญ่ในอังกฤษกล่าวว่า จะสามารถทำได้ตามเกณฑ์ของบาเซิลได้ ขณะที่ คณะกรรมการบาเซิลได้สั่งให้ธนาคารยักษ์ใหญ่ 2 แห่งของสวิตเซอร์แลนด์ ได้แก่ เครดิต สวิส และยูบีเอส ระดมทุนเพิ่มเติม ซึ่งธนาคารทั้ง 2 แห่งจะต้องเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้น (Common Equity Ratio) เป็น 10% ภายในปี 2561 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่ามาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ที่ 7%

 

สำหรับหนี้สินของ เครดิต สวิส และยูบีเอส รวมกันสูงกว่าจีดีพีของสวิตเซอร์แลนด์ถึง 4 เท่า ส่งผลให้ทางการสวิสต้องออกมาสั่งการดังกล่าว และยังได้เรียกร้องให้ธนาคารเพิ่มอัตราเงินทุนทั้งหมดเป็น 19% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่ามากเมื่อเทียบกับระดับ 10.5% ซึ่งเป็นมาตรฐานที่คณะกรรมการบาเซิลได้กำหนดไว้

 

การสั่งการให้เครดิต สวิส และยูบีเอส ระดมทุนด้วยสัดส่วนที่สูงกว่ามาตรฐานสากลสะท้อนให้เห็นว่า หากธนาคารแห่งใดแห่งหนึ่งล้มละลายก็อาจจะทำให้เกิดวิกฤตในระบบการเงินโลกขึ้นมาได้อีก ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์ที่เลห์แมน บราเธอร์สล้มละลายเมื่อปี 2551

 

ผู้การเฟด ฟิลาเดลเฟีย เตือนระวังการใช้มาตรการ QE

 

ชาร์ลส์ พลอสเซอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) สาขาฟิลาเดลเฟีย ให้สัมภาษณ์กับ Financial Times ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจยังไม่ประกาศถึงการซื้อสินทรัพย์รอบใหม่ หากยังไม่สามารถระบุได้ถึงจุดประสงค์หลักของนโยบายดังกล่าว

 

ชาร์ล กล่าวว่า ก่อนที่ FED จะเข้าไปมีภาระผูกพันในการประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม(Quantitative Easing) FED จำเป็นต้องมีความชัดเจนถึงแนวทางการทำ และการวัดผลความสำเร็จหรือไม่ รวมทั้งจะต้องรู้แนวทางการสื่อสารออกไปด้วย โดยให้เหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับ QE เนื่องจากคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะขยับขึ้นสู่ 2% ในปี 2554

 

ทั้งนี้ ชาร์ลส์ พลอสเซอร์ เป็นหนึ่งในผู้ว่าการ FED ที่ไม่เห็นด้วยกับการนำโครงการ QE ออกมาใช้เป็นรอบที่ 2 สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน

 

ธนาคารกลางสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณานำมาตรการ QEรอบสองออกมาใช้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ไม่กดดัน แต่อัตราการว่างงานสูงถึง 9.6%

 

ตลาดตราสารหนี้ท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกขยายตัวกว่า 18%

 

ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) เปิดเผยในรายงาน "Asia Bond Monitor" เมื่อวานนี้ว่า ตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ของเอเชียตะวันออก ขยายตัวขึ้น 18.8% ในไตรมาส 2/53 และพันธบัตรที่ยังไม่ครบกำหนดไถ่ถอนมีมูลค่าทั้งสิ้น 4.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย สามารถดึงดูดเงินทุนไหลเข้าได้เป็นจำนวนมาก

 

นายไอแวน อาซิส ผู้อำนวยการสำนักงาน Regional Economic Integration ของ ADB กล่าวว่า ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีกระแสเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าในตลาดท้องถิ่น

 

รายงานระบุว่า ความแข็งแกร่งของเวียดนาม จีน อินโดนเซีย และฟิลิปปินส์ ช่วยหนุนการเติบโตของตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งกลุ่มเอกชนโดยเฉพาะธุรกิจการเงินและสาธารณูปโภคพื้นฐานเป็นกลุ่มที่ออกพันธบัตรอย่างคึกคักที่สุดในช่วงไตรมาส 2/53

 

ทั้งนี้ ตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของจีนมีมูลค่าทั้งสิ้น 2.85 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลของจีนขยายตัว 17% และตลาดพันธบัตรเอกชนของจีนขยายตัว 52.7%

 

ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกได้ใช้นโยบายต่างๆเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของตลาดภายในประเทศ รวมทั้งขยายขอบข่ายการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน โดยจีนได้อนุญาตให้สถาบันการเงินต่างชาติสามารถเข้ามาทำธุรกรรมในตลาดพันธบัตรผ่านระบบอินเตอร์แบงค์

 

เกาหลีใต้เตรียมรับมือความผันผวนของตลาดเงิน

 

กระทรวงคลังเกาหลีใต้เผยพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาดปริวรรตเงินตรา และพร้อมที่จะใช้มาตรการใดๆ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น หลังจากที่ญี่ปุ่นได้เข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราและทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน และสหภาพยุโรปมากยิ่งขึ้น

 

สำนักข่าวยอนฮัพรายงานว่า กระทรวงยุทธศาสตร์และคลังเกาหลีใต้เปิดเผยว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้เกิดความผันผวนอย่างฉับพลันในตลาดปริวรรตเงินตรา ซึ่งทำให้ทุกฝ่ายต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อจำกัดผลกระทบที่อาจจะมีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ โดยกระทรวงจะปล่อยให้ตลาดเคลื่อนไหวอย่างเสรี แต่ก็อาจจะใช้มาตรการใดมาตรการหนึ่งเพื่อลดความผันผวน หากตลาดมีความผันผวนมากเกินไป

 

เงินวอนของเกาหลีใต้ที่ผันผวนอย่างมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆอาจจะส่งผลกระทบในด้านลบต่อการค้าและการขยายตัวของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของเกาหลีใต้มีแนวโน้มขยายตัว 5.8% ต่อปีในปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากปีที่แล้วที่เศรษฐกิจขยายตัว 0.2%

 

ขณะที่ เงินวอนแข็งค่าขึ้นใกล้ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 5 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ท่ามกลางกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยอดเกินดุลการค้าจำนวนมหาศาล

 

ขณะที่ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ก็ดีดตัวขึ้นเป็นประวัติการณ์เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจเกาหลีใต้ขยายตัวรวดเร็วกว่าคาดการณ์

 

นักวิเคราะห์ชี้มาตรการ QE อาจหนุนราคาทองทะลุ 1,400 เหรียญ

 

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำในตลาดโลกปิดเหนือแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐออนซ์เมื่อวันอังคารที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา จากนั้นสัญญาทองคำก็พุ่งขึ้นทะลุระดับ 1,310 ดอลลาร์สหรัฐ และ 1,320 ดอลลาร์สหรัฐไปได้อย่างรวดเร็ว

 

ความจริงแล้ว ตลาดทองคำซึ่งทะยานขึ้นมานับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนส.ค.ปีนี้นั้น เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนที่ได้รับความสนใจมากกว่าตลาดอื่นๆ และสัญญาทองคำทำนิวไฮครั้งแล้วครั้งเล่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดคำถามในหมู่เทรดเดอร์ว่า "ราคาทองจะสูงขึ้นไปจนถึงเท่าใด?"

สำหรับปัจจัยที่ดันราคาทองคำ มีดังนี้

- ความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ

ไมค์ ดาลี โบรกเกอร์จากบริษัท PFGBest ซึ่บริษัทโบรกเกอร์ตลาดล่วงหน้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดทองคำกำลังสะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจโลกด้วย โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการฟื้นตัวอย่างล่าช้า โดยมีหลายสัญญาที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังย่ำแย่ คือ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานครั้งแรกของสหรัฐฯ ในรอบสัปดาห์ล่าสุดพุ่งขึ้น 12,000 ราย ซึ่งจำนวนคนว่างงานที่สูงขึ้นกำลังส่งผลกระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่ตัวเลขจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐบ่งชี้ว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค.ยังคงยืนอยู่ที่ 288,000 หลัง ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ นับเป็นสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยสหรัฐยังคงซบเซา แม้ดอกเบี้ยจำนองบ้านปรับตัวลดลงก็ตาม นอกจากนี้ ดัชนีกิจกรรมภาคการผลิตของสหรัฐฯในเดือนก.ย.ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 54.4 จุด ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนส.ค.ที่ระดับ 56.3 จุด

 

ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตในกลุ่มยูโรโซน อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 53.6 จุดในเดือนก.ย. ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนส.ค.ที่ระดับ 55.9 จุด และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.เป็นต้นมา

 

- ความวิตกกังวลเรื่องการใช้มาตรการ QE

เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าในสหรัฐฯอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯตัดสินใจใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing:QE) เพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 

QE เป็นมาตรการด้านการเงินที่มุ่งเน้นการเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรของรัฐบาลและทรัพย์สินประเภทอื่นๆ โดยมาตรการ QE ถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเหมือนการพิมพ์ธนบัตรใหม่ๆเข้าสู่ระบบการเงิน ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้จะทำให้มูลค่าของสกุลเงินในประเทศนั้นๆ อ่อนค่าลง และเพิ่มความเสี่ยงในการเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ

 

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) กล่าวเป็นครั้งแรกในที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของ FED เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า การชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อและอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ อาจทำให้ FED จำเป็นต้องใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม ขณะที่เจ้าหน้าที่ FED หลายคนต่างออกมาส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่ FED จะใช้มาตรการเพิ่มเติม นอกเสียจากว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น

 

โดยทั่วไปแล้ว ราคาทองคำทั่วโลกมีการซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจึงทำให้นักลงทุนแห่เข้าไปถือครองสกุลเงินอื่นๆที่มีมูลค่าสูงกว่าดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น

- ความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้น

สิ่งที่ยังคงเป็นปัจจัยหนุนตลาดทองคำคือดีมานด์ เทศกาลวิวาห์และเทศกาลอื่นๆในอินเดียและจีนกำลังใกล้เข้ามา จะทำให้ปริมาณการซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นไปจนถึงเดือนพ.ย. ราคาทองคำจึงยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

อินเดียเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ของโลก และโดยปกติแล้วความต้องการทองคำในอินเดียจะเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลวิวาห์ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนก.ย.ไปจนถึงเดือนธ.ค. เทศกาลดังกล่าวส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นทุกๆปีนับตั้งแต่ปี 2545 และในเดือนก.ย.จะเป็นเดือนที่มีการซื้อทองคำอย่างหนาแน่นที่สุด

 

ดีมานด์เหล็กปีหน้าอาจทะยานสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤติ

 

สมาคมเหล็กโลกคาดว่า ความต้องการเหล็กทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 5.3% ในปีหน้า แตะ 1,340 ล้านตัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก และยังเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี 2551

 

ทั้งนี้ จีนยังเป็นประเทศที่ต้องการใช้เหล็กมากที่สุด โดยสมาคมฯ คาดว่าความต้องการเหล็กของจีนในปีหน้า จะสูงกว่าระดับของปี 2550 อยู่ถึง 42% ขณะที่ยุโรปก็ต้องการเหล็กในปริมาณมากเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เริ่มหมดอายุลงนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อดีมานด์เหล็กได้ ขณะที่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลกก็อาจจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์ผลผลิตเหล็ก

 

สำหรับปีนี้นั้น สมาคมฯคาดว่า ดีมานด์เหล็กมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น 13.1% แตะ 1,270 ล้านตัน

 

BOJ เริ่มประชุมวันแรกวานนี้หารือสกัดเยนแข็ง

 

การประชุมนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ระยะเวลา 2 วันได้เริ่มขึ้นแล้วในวันนี้ โดยที่ประชุมกำลังหารือเรื่องความเป็นไปได้ที่จะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม เนื่องจากการแข็งค่าของเงินเยนกำลังสร้างความวิตกกังวลว่าอาจทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับช่วงขาลง

 

ส่วนทางเลือกอื่นๆที่คาดว่า BOJ จะประกาศใช้ในการประชุมครั้งนี้นั้น ครอบคลุมถึงการขยายโครงการปล่อยกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า BOJ จะประกาศผลการประชุมในวันพรุ่งนี้ โดยขณะนี้ BOJ กำลังดำเนินการแก้ปัญหาการแข็งค่าของเงินเยนและปกป้องเศรษฐกิจไม่ให้กลับเข้าสู่ภาวะถดถอย

 

ในการประชุมฉุกเฉินเมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น BOJ ได้เข้าแทรกแซงตลาดด้วยการขยายโครงการเงินกู้ให้กับสถาบันการเงินเป็น 30 ล้านล้านเยน จากเดิม 20 ล้านล้านเยน พร้อมกับเลื่อนระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้เป็น 6 เดือน จากเดิม 3 เดือน ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.1%

 

ASEM เน้นความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจมากกว่าการเมือง

 

เดวิด โฟเกท์ ผู้อำนวยการโครงการยุโรป-เอเชีย ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมให้สัมภาษณ์สำนักข่าวซินหัวว่า การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป (ASEM) จะเน้นไปที่ความสำคัญด้านเศรษฐกิจในอนาคตมากกว่าความสัมพันธ์ด้านการเมือง

 

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะหดตัว โฟเกท์มองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปและเอเชียจะยังคงอยู่ในระดับที่ "ดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ ของโลก"

 

สหภาพยุโรป (EU) และเอเชียมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกันและยังมีหลายมิติ แต่ก็ยังคงมีความไม่แน่นอน เนื่องจากยังมีอุปสรรคในเรื่องของการเมือง และ เศรษฐกิจของ EU ซึ่งผู้อำนวยการโครงการยุโรป-เอเชีย มองว่า ในขณะที่ประเทศพันธมิตรในเอเชียยังคงสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยุโรป จึงควรรื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการ ASEM ซึ่งเคยมีบทบาทในการดูแลองค์กรเหมือนกับที่เคยมีก่อนหน้านี้

 

โฟเกท์กล่าวโดยเน้นว่า การประชุม ASEM ไม่ใช่การแสวงหาหนทางในการพัฒนากลไกที่จะนำไปสู่การบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม การประชุมยังขาดอำนาจในการจัดทำสนธิสัญญาเพื่อบังคับใช้ รวมทั้งโครงสร้างที่แท้จริงที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม

 

นอกจากนี้ เขากล่าวว่า ยุโรปเคยมีประสบการณ์ในสถานการณ์ดังกล่าวและได้แสวงหา "จุดยืนของตัวเองในโลก" ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมืองเนื่องจากการโอนถ่ายไปยังสนธิสัญญาลิสบอน

 

สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างจีนและยุโรปนั้น โฟเกท์มองว่า ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่ายยังเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง รวมทั้งความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการผลักดันความสัมพันธ์แบบทวิภาคีเพื่อ "ยกระดับสู่ความสัมพันธ์ที่ในระดับที่สูงกว่าประเทศอื่นๆในเอเชีย"

 

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาระหว่างเอเชียและยุโรป เช่นประเด็นการเข้าถึงตลาด โดยโฟเกท์กล่าวถึงกรณีญี่ปุ่น ที่ไม่มีเคยถูกกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมเมื่อ 30 ปีก่อน พร้อมกล่าวเสริมว่า "ปัญหาทุกอย่างได้เริ่มคลี่คลายลง เช่นเดียวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน"

 

การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป จะจัดขึ้นในวันที่ 4-5 ตุลาคมนี้ ที่กรุงบรัสเซลส์ เพื่อสานต่อการประชุมระหว่างยุโรปและเอเชียที่เริ่มต้นในปี 2539 เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นที่สำคัญของโลกและภูมิภาค

 

ที่ประชุมสภาพภูมิอากาศยูเอ็นเปิดฉาก 4-9 ต.ค.

 

ประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติที่เมืองท่าเทียนจินได้เปิดฉากขึ้นเป็นวันแรกแล้วเมื่อวานนี้ เพื่อปูทางไปสู่การประชุมสุดยอดที่เม็กซิโกในช่วงสิ้นปีนี้

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผู้แทนจากองค์กรและประเทศต่างๆ ประมาณ 3,000 คนเข้าร่วมการประชุม ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 4-9 ต.ค.นี้ ซึ่งที่ประชุมหาว่าจะได้หารือในประเด็นที่ได้มีการหารือกันไปในการประชุมที่กรุงบอนน์เมื่อเดือนส.ค.ของกลุ่มคณะทำงาน

 

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังจะได้หารือในร่างข้อเสนอการดำเนินการเพื่อความร่วมมือในระยะยาวของคณะทำงานด้วยเช่นกัน

 

การประชุมที่เมืองเทียนจินนี้จะเป็นการประชุมครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีการจัดการประชุมอีกครั้งที่เมืองแคนคูนในช่วงสิ้นปี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ได้มีการประชุมว่าด้วยสภาพภูมิอากาศที่จีน

 

ไถ่ ปิงกัว สมาชิกสภาจีน กล่าวในการเปิดการประชุมว่า จีนได้ดำเนินการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง และจีนจะมีบทบาทเชิงรุกในการเจรจาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเจรจาต่อรองครั้งนี้ควรจะยึดกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCC) และสนธิสัญญาเกียวโต รวมทั้งโร้ดแมพบาหลี เพื่อที่จะได้มีการดำเนินการตามหลักการหลักเช่นเดียวกัน

 

สำหรับประเทศพัฒนาแล้วนั้น ควรจะกำหนดเป้าหมายในการเป็นผู้นำในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และควรจะมีการให้การสนับสนุนทางการเงินและเทคโนโลยีอย่างเพียงพอแก่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

 

ไถ่ ปิงกัว ย้ำว่า จีนเอง ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากร 1,300 ล้านคน และมีรายได้ต่อจีดีพีที่อันดับราว 100 ของโลกนั้น ก็ต้องรับมือกับภารกิจที่สำคัญในเรื่องของเศรษฐกิจที่ขยายตัวและการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

 

ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ออกอากาศซ้ำเวลา 11.00 น. ทาง Money Channel

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...