ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ธุรกิจวอลล์สตรีทแห่จ้างงานเพิ่มในเดือนพ.ค.

 

Posted on Tuesday, June 29, 2010

ธุรกิจวอลล์สตรีทแห่จ้างงานเพิ่มในเดือนพ.ค.

 

สภาวะการจ้างงานในวอลล์สตรีทฉายภาพที่สดใส เมื่อสำนักงานแรงงานแห่งรัฐนิวยอร์กเปิดเผยว่าภาคธุรกิจการเงินปรับเพิ่มการจ้างงานขึ้นอีก 5,800 ตำแหน่งในช่วงระหว่างสิ้นเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนพฤษภาคม และถือเป็นการสร้างสถิติการปรับตัวขึ้นในระยะเวลา 3 เดือนที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551

 

รายงานข่าวยังระบุว่า Morgan Stanley และ Citigroup ถือเป็นหนึ่งในหลายๆ ธนาคารที่กำลังเร่งหาพนักงานเข้ามาอุดตำแหน่งที่ยังว่าง ขณะที่ทาง Nomura Holdings และ Jefferies Group ก็มีรายงานว่าบริษัทกำลังพยายามเรียกคนมาจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ เพื่อหวังชิงส่วนแบ่งเค้กในวอลล์สตรีทให้ได้

 

ผู้บริหารของบริษัทที่ปรึกษาจัดหางานในธุรกิจการเงินรายหนึ่งกล่าวถึงสถานการณ์แย่งชิงตัวพนักงานในขณะนี้ว่า ผู้ที่ถูกหมายปองจากบริษัทต่างๆ กำลังถูกเสนอค่าเหนื่อยด้วยเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า ซึ่งนั่นก็หมายถึงการที่มีบริษัทหลายแห่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการสูญเสียคนฝีมือดีไป หากที่แห่งนั้นไม่สามารถหาวิธีการรับมือได้รวดเร็วพอ

 

และอีกปัจจัยที่ช่วยกำจัดความไม่แน่นอนของอุตสาหกรรมนี้ จนเป็นตัวจุดประกายให้บริษัทหันไปมองเรื่องการจ้างพนักงานมากขึ้น ก็คือ การที่สภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภาของสหรัฐฯ สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการปฎิรูปกฎหมายภาคการเงินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยมีการผ่อนปรนข้อเสนอในบางเรื่อง อย่างเช่น การจำกัดธุรกรรมแต่ไม่ใช่ห้ามทำธุรกรรม สำหรับการซื้อขายอนุพันธ์ การลงทุนใน hedge fund รวมถึง private-equity fund ทั้งหลายด้วย

 

 

ประธานาธิบดีสหรัฐฯคาดหวังเงินหยวนแข็งค่าเร็ว ๆ นี้

 

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ แสดงความหวังว่าจะได้เห็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้นในไม่ช้านี้ ในขณะที่จีนเตือนว่ายอดส่งออกของจีนอาจได้รับผลกระทบหากมีการปรับค่าเงินหยวน ซึ่งท่าทีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศอาจย่ำแย่ลงในปีนี้

 

โอบามากล่าวภายหลังการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา 20 ประเทศ หรือ G-20 เสร็จสิ้นลงเมื่อค่ำของวันอาทิตย์ตามเวลาประเทศไทยว่า สหรัฐคาดหวังว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะเคลื่อนไหวอย่างสอดคล้องกับกลไกตลาดมากขึ้น และเนื่องจากจีนมียอดเกินดุลการค้าสะสมอยู่มาก จึงอาจทำให้ค่าเงินหยวนแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

ส่วนสหรัฐกำลังจับตาดูความคืบหน้าว่าค่าเงินหยวนจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเช่นใดในช่วงหลายเดือนข้างหน้านี้

 

โอบามากำลังถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐกดดันให้สร้างความเชื่อมั่นว่าจีนจะดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในเดือนนี้ว่าจะปรับเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้น

 

ในขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกำหนดนโยบายของจีนได้ออกมาแสดงความกังวลว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน จึงทำให้จีนชะลอการปรับขึ้นค่าเงินหยวน

 

ธนาคารกลางจีนได้ตัดสินใจปรับเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 19 มิ.ย. 53 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของจีนอาจปูทางไปสู่การปรับขึ้นค่าเงินหยวนและอาจยกเลิกนโยบายการผูกติดค่าเงินหยวนกับดอลลาร์สหรัฐ

 

ส่วนเมื่อวานนี้ ธนาคารกลางของจีนกำหนดค่ากลางของอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนที่ระดับ 6.7890 เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

 

 

ยุโรปเผยอัตราการปล่อยสินเชื่อขยายตัวเร็วขึ้น

 

ธนาคารกลางยุโรปเปิดเผยว่า อัตราการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคครัวเรือนและภาคเอกชนในยุโรปขยายตัวเร็วขึ้นในเดือนพฤษภาคม สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่ขยายตัวเร็วขึ้นเช่นกัน

 

สินเชื่อที่ปล่อยให้กับภาคเอกชนขยายตัว 0.2% ในเดือนพฤษภาคมเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หลังจากที่ขยายตัว 0.1% ในเดือนเมษายน

 

ขณะที่ปริมาณเงิน M3 ซึ่งธนาคารกลางยุโรปใช้วัดอัตราเงินเฟ้อในอนาคต ปรับลดลง 0.2% ในเดือนพฤษภาคมเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่เท่ากับในเดือนเมษายน

 

เศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่งขึ้นและเงินยูโรที่อ่อนค่าลงกระตุ้นให้ต่างประเทศต้องการสินค้าจากยุโรปมากขึ้น

 

ขณะเดียวกันวิกฤตหนี้สินก็กดดันให้รัฐบาล 16 ประเทศยูโรโซนลดงบประมาณใช้จ่ายลง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในยุโรป

 

ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ปริมาณเงิน M3 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

 

ส่วนปริมาณเงิน M1 ขยายตัวช้าลงแตะ 10.3% จากเดิมที่ขยายตัว 10.7%

 

คำนิยามปริมาณเงิน

- ปริมาณเงิน M1 - เงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน (ธนบัตร/เหรียญกษาปณ์ในมือประชาชน+เงินฝากเผื่อเรียกของประชาชนที่ระบบธนาคาร

- ปริมาณเงิน M2 - ปริมาณเงิน M1 + เงินฝากประจำและออมทรัพย์ที่ระบบธนาคาร

- ปริมาณเงิน M2a - ปริมาณเงิน M2 + ตั๋วสัญญาใช้เงิน

- ปริมาณเงิน M3 - ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน (เงินสด+เงินฝากทุกประเภทของสถาบันการเงิน +เงินฝากในรูปของตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุน)

 

 

นายกฯออสซี่ไม่เชื่อนโยบายเพิ่มประชากรมีความยั่งยืน

 

จูเลีย กิลลาร์ด นายกรัฐมนตรีคนใหม่ออสเตรเลีย ส่งสัญญาณเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลชุดเก่าที่จะให้มีการขยายประชากรในประเทศ พร้อมระบุไม่เชื่อมั่นนโยบายบิ๊กออสเตรเลีย ของนายเควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรี

 

นางสาวกิลลาร์ด กล่าวว่า นโยบายเพิ่มจำนวนประชากรจำเป็นต้องมีความสมดุลกันระหว่างการขยายตัวกับความยั่งยืน และเธอไม่เชื่อว่านโยบายบิ๊กออสเตรเลียของนายรัดด์ ที่หวังเพิ่มประชากรภายในประเทศจะมีประสิทธิผล

 

นายกรัฐมนตรีกิลลาร์ด คิดว่า เธอต้องการออสเตรเลียที่มีความยั่งยืน และเห็นว่า การขยายตัวด้านประชากรของออสเตรเลีย อาจทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำที่ยากเกินกว่าจะแก้ปัญหาได้ในประเทศ

 

นโยบายดังกล่าวนั้น จะทำให้เกิดปัญหา และยังเป็นเรื่องยากในการจัดหาบริการทั่วประเทศ ตลอดจนสาธารณูปโภคด้านการขนส่ง

 

นอกจากนี้ นางสาวกิลลาร์ด กล่าวอีกว่า ออสเตรเลียต้องการแรงงานอพยพที่มีทักษะและความเชี่ยวชาญ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมแรงงานเหล่านี้ถึงมีความสำคัญ

 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกิลลาร์ด พร้อมด้วยครอบครัวอพยพมาตั้งรกรากในออสเตรเลีย ตอนเธออายุ 4 ขวบ

 

ปัจจุบัน ออสเตรเลียมีประชากร 22 ล้านคน แต่นายรัดด์ ต้องการเห็นออสเตรเลียมีประชากรเพิ่มขึ้นกว่า 36 ล้านคน ภายในปี 2593 ด้วยการกระตุ้นอัตราการเกิดและการอพยพเข้าเมืองให้มากขึ้น

 

ขณะที่ สมาคมการอนุรักษ์นิยมออสเตรเลีย หรือออสเตรเลีย คอนเซอร์เวทีฟ ฟาวน์เดชั่น ระบุว่า อัตราการขยายตัวของประชากรในออสเตรเลีย ติดอันดับสูงในโลกอุตสาหกรรมอยู่แล้ว

 

 

ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจนิวซีแลนด์ลดลง หลังขึ้นดอกเบี้ย

 

ผลสำรวจซึ่งจัดทำโดย ANZ National Bank บ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจของนิวซีแลนด์ปรับตัวลดลงในเดือนมิถุนายน

 

หลังจากธนาคารกลางนิวซีแลนด์ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจากความกังวลที่มีต่อวิกฤตหนี้สาธารณะที่ลุกลามในยุโรป

 

ANZ National Bank ระบุว่า 38.5% ของบริษัท 479 แห่งที่ร่วมตอบแบบสำรวจ คาดว่ายอดขายและผลกำไรจะเพิ่มขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งลดลงจากระดับ 45.3% ในเดือนพ.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทที่มีมุมมองในด้านลบต่อกำไรและยอดขายนั้น มีมากกว่าบริษัทที่มีมุมมองในด้านบวก

 

ผลสำรวจบ่งชี้ว่า 19% ของบริษัทที่ตอบแบบสำรวจในครั้งนี้ คาดว่ากำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้น ซึ่งลดลงจากระดับ 24% ในเดือนพ.ค.

 

ขณะที่ความตั้งใจในการจ้างงานก็ปรับตัวลงด้วย โดยมีบริษัทเพียง 13% เท่านั้นที่วางแผนจะเพิ่มการจ้างงาน

 

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังบ่งชี้ว่า 39% ของบริษัทที่ตอบแบบสำรวจ วางแผนจะปรับขึ้นราคาสินค้าในอีก 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 28% ในเดือนพ.ค.

 

ขณะที่ 40.2% คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจนิวซีแลนด์จะฟื้นตัวขึ้น ซึ่งลดลงจากระดับ 48.2% ในเดือนพ.ค.

 

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะค่อยๆปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้และปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว

 

นอกจากนี้ มีรายงานข่าวว่า นิวซีแลนด์ขยับขึ้นรั้งอันดับ 10 ในการจัดอันดับประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดิจิตอลประจำปีนี้ จากการสำรวจโดยหน่วยข่าวกรองเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยในเครือนิตยสารดิ อีโคโนมิสท์ ของอังกฤษ

 

หลังจากที่ได้ทำการสำรวจถึงความพร้อมด้านไอทีของ 70 ประเทศในปีนี้ โดยชี้ว่า ความก้าวหน้าของนิวซีแลนด์สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของสภาพสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงปัจจัยแวดล้อมด้านข้อกฎหมาย

 

ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจดิจิตอลสามอันดับแรกตกเป็นของสวีเดน เดนมาร์ก และสหรัฐอเมริกา

 

 

ผลสำรวจชี้ยอดค้าปลีกเอเชียแปซิฟิกแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 

สถานีโทรทัศน์ชาแนล นิวส์เอเชียของสิงคโปร์รายงานว่า ยอดค้าปลีกของสิงคโปร์และประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการฟื้นตัวของตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค

 

ดัชนี MasterCard Worldwide Index of Consumer Spending Capability (MWICSC) บ่งชี้ว่า ยอดค้าปลีกของสิงคโปร์ จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และมาเลเซีย อาจขยายตัวขึ้นถึง 2 หลักในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น

 

ผลสำรวจระบุว่า ดัชนี MWICSC ของสิงคโปร์ปรับตัวขึ้น 9.4 จุด สู่ระดับ 65.3 จุดเนื่องจากผู้บริโภคชาวสิงคโปร์จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

 

70% ของชาวสิงคโปร์ที่ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า พวกเขาวางแผนที่จะใช้จ่ายในการรับประทานอาหารนอกบ้านและสันทนาการในอีก 6 เดือนข้างหน้า ส่วนผู้ที่ต้องการซื้อสินค้าอิเลคโทรนิคส์ มีอยู่มากเป็นอันดับ 2 ที่ 52%

 

ขณะที่ผู้วางแผนใช้จ่ายซื้อเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย มีจำนวนเท่ากับผู้ที่เตรียมใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว ที่ 48%

 

นอกจากนี้ ผลการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคในจีน 26% อินเดีย 24% และเกาหลีใต้ 24% วางแผนเพิ่มการใช้จ่ายในอีก 6 เดือนข้างหน้า

 

ขณะที่ผู้บริโภคในฟิลิปปินส์ 65% อินโดนีเซีย 49% และประเทศไทย 47% มีแนวโน้มที่จะลดการใช้จ่าย

 

 

จีนเล็งเปิดตัวกองทุนเงินหยวน - ETF ในตลาดหุ้นฮ่องกง

 

จีนกำลังพิจารณาเรื่องการเปิดตัวกองทุนสกุลเงินหยวน รวมถึงกองทุน ETF ซึ่งอ้างอิงความเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์บนกระดานซื้อขาย A-Share ของจีนในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยมีวัตถุประสงค์ ตั้งเป้ายกระดับบรรยากาศการซื้อขายในตลาดทุนให้มีเสรีภาพมากขึ้น

 

เหยา กัง รองประธานคณะกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จีน (CSRC) กล่าวว่า ทางหน่วยงานกำลังศึกษาถึงสาระสำคัญของกองทุนดังกล่าว แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียด หรือกำหนดกรอบเวลาในการเปิดตัวกองทุนดังกล่าวได้

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ที่ผ่านมาจีนได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการอนุญาตให้มีการลงทุนด้านสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินหยวนในฮ่องกง โดยหวังที่จะยกระดับภาพลักษณ์สกุลเงินให้อยู่ในระดับสากลมากขึ้นด้วยการเปิดทางให้นักลงทุนใช้เงินหยวนในการซื้อขายนอกประเทศจีน

 

ทั้งนี้ เหยากล่าวเสริมว่า ทางหน่วยงานได้เดินหน้าร่างมาตรการกำกับดูแลด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างชาติในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะช่วยปูทางให้หุ้นของบริษัทต่างชาติสามารถจดทะเบียนซื้อขายในรูปสกุลเงินหยวนได้

 

อย่างไรก็ตาม ทางการจีนยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการเปิดตัวบริการดังกล่าวแต่อย่างใด

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (จันทร์ที่ 28 มิ.ย. 53)

• รายได้ส่วนบุคคล (พ.ค.) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้า

• รายจ่ายส่วนบุคคล (พ.ค.) เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้า

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (อังคารที่ 29 มิ.ย. 53)

• ดัชนีราคาบ้าน (เม.ย.) โดย S&P / Case Shiller

• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (มิ.ย.) โดย Conference Board

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ค่าบาทเช้านี้เปิดที่ 32.37-32.39 บ./ดอลล์ฯ

Tuesday, 29 June 2010 09:59

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักค้าเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)(BAY) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาด ที่ระดับ 32.37-32.39 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวันคาดค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เนื่องจากยังคงไร้ปัจจัยใหม่สนับสนุน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวระหว่างวันที่ 32.35-32.40 บาทต่อดอลลาร์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

29 มิ.ย. 2553

 

 

บาท/ดอลลาร์ภาคเช้าทรงตัวใกล้เคียงเมื่อวาน, รอดูตัวเลขศก.ไทยเดือนพ.ค.

 

 

*บาท/ดอลลาร์ภาคเช้าเคลื่อนไหวอยู่ใกล้เคียงกับระดับปิดเมื่อวานนี้ ขณะที่

ดีลเลอร์ มองว่า บาทในวันนี้จะแกว่งตัวในกรอบแคบ เพื่อรอดูตัวเศรษฐกิจ

ของไทยในเดือนพ.ค.ที่จะประกาศออกมาในวันพรุ่งนี้

*ยูโรเผชิญกับแรงกดดันในการซื้อขายที่ตลาดเอเชียช่วงเช้านี้ และเคลื่อนตัว

ใกล้ระดับแนวรับสำคัญ ขณะที่ความวิตกด้านการระดมทุนเกี่ยวกับยูโรโซน

ทำให้นักลงทุนพากันเข้าซื้อฟรังก์สวิส

*นักลงทุนระมัดระวังกับสกุลเงินที่เกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และยูโร

ท่ามกลางปัญหาในยูโรโซน โดยแรงกดดันต่อการระดมทุนในยูโรโซน เกิดขึ้น

อีกครั้ง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้อินเตอร์แบงก์ในยูโรโซน แตะระดับสูงสุด

ในรอบเกือบ 7 เดือนเมื่อวานนี้

*ธนาคารต่างๆต้องจ่ายคืนเงินกู้ จำนวน 4.42 แสนล้านยูโร ให้แก่ธนาคาร

กลางยุโรป(อีซีบี) ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งอาจทำให้เกิดการขาดสภาพคล่องใน

ระบบการเงินที่มีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านยูโร

*ตลาดการเงินจะจับตาดูการประมูลพันธบัตรของฝรั่งเศส และสเปน อย่าง

ใกล้ชิดในสัปดาห์นี้ หลังจากการขายพันธบัตรรัฐบาลวงเงิน 7 พันล้านยูโร

ของอิตาลี ซึ่งได้รับผลตอบรับไม่ดีนัก ทำให้มีความวิตกเกี่ยวกับปัญหาหนี้ของ

ยูโรโซน

*ปอนด์ได้แรงหนุน จากการแสดงความคิดเห็นของนายแอนดรูว์ เซนแทนซ์

กรรมการนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ ว่า การขึ้นภาษี และการลด

ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลอังกฤษในทันที จะไม่ทำให้การเริ่มวงจรคุมเข้มนโยบาย

ล่าช้าออกไปแต่อย่างใด

*ดัชนีดอลลาร์ขยับขึ้นเล็กน้อย โดยทรงตัวเหนือระดับ 85.09 ซึ่งเป็นระดับ

ต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว และเป็นแนวรับระยะใกล้

*08.53 น. บาท/ดอลลาร์ อยู่ที่ 32.36/38 จาก 32.37/38 เมื่อวาน

ขณะที่ใน offshore อยู่ที่ 32.37/39 จาก 32.34/39 เมื่อวาน

*เยน/ดอลลาร์ อยู่ที่ 89.31/34 จาก 89.42 ในตลาดนิวยอร์คเมื่อวาน

*ยูโร/ดอลลาร์ อยู่ที่ 1.2284/86 จาก 1.2276 ในตลาดนิวยอร์คเมื่อวาน

 

"ของเราวันนี้คงแกว่งใน range รอดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ตัว ที่จะ

ออกมาในวันพรุ่งนี้ ว่าจะสะท้อนผลกระทบจากการเมืองยังไง" ดีลเลอร์ กล่าว

เขา กล่าวว่า เงินบาทในช่วงเช้านี้ ยังแกว่งตัวใกล้เคียงกับระดับปิด

เมื่อวาน เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยที่มีน้ำหนักเข้ามากระทบตลาด

ขณะเดียวกัน นักลงทุนคงจะรอดูการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจเดือนพ.ค.

ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในวันพรุ่งนี้ ว่าจะสะท้อนผลกระทบจากปัจจัย

การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อเดือนก่อนอย่างไรบ้าง หากผลกระทบไม่มากนัก

เชื่อว่า บาทมีโอกาสแข็งค่าต่อได้ แต่วันนี้มองกรอบไว้ที่ 32.35/40

 

แหล่งที่มา : รอยเตอร์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

29 มิ.ย. 2553

 

 

สรุปภาวะตลาดก่อนหน้านี้

ราคาโกลด์ฟิวเจอร์สแกว่งตัวผันผวนอยู่ในช่วงแคบตามราคาทองคำสปอต ก่อนที่จะปรับตัวลดลงหลังTFEXปิดทำการ เงินบาททรงตัว ทองคำแท่งสมาคมปิดที่ 19,100/19,200 บาท

 

 

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อเนื่องถึงวันนี้

ส่วนหนึ่งของผลการประชุมจี20มีมติให้ยืดระยะเวลาการปฏิรูปภาคการธนาคารจากเดิมที่กำหนดให้เสร็จเรียบร้อยภายในปี 2012 (พ.ศ.2555) เปลี่ยนเป็นให้ปฏิรูปแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้กระทบเศรษฐกิจมากนัก การยืดระยะเวลาดังกล่าวเป็นการเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินสามารถแสวงกำไรในระดับสูงได้ต่อไป ส่งผลบวกต่อหุ้นอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามการยืดระยะเวลาดังกล่าวได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนบางส่วนเกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหลังจึงมีการเทขายเงินยูโรอย่างรุนแรง และส่งผลข้างเคียงต่อราคาทองคำด้วย [Reuters, G20, AFC Research]

รายงานแผนใช้จ่ายของผู้บริโภคออกมาใกล้เคียงกับที่คาดคือแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีความเชื่อมั่นมากขึ้น นักลงทุนที่ถือทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯจากรายงานเศรษฐกิจต่างๆที่ออกมาก่อนหน้านี้จึงเริ่มมีการขายทองคำออกมาเพื่อทำกำไรเมื่อเห็นว่าภาคผู้บริโภคไม่ได้เลวร้ายดังที่มีการกลัวกัน [Econoday, AFC Research]

นอกจากปัจจัยทั้งสองข้างต้นแล้ว ยังมีรายงานข่าวว่านักเก็งกำไรได้รับสัญญาณทางเทคนิคในการเทขายทองคำอีกด้วย ส่งผลให้ราคาทองคำเมื่อคืนนี้ปรับตัวลดลงรุนแรงและรวดเร็ว [Reuters, AFC Research]

วันนี้นักลงทุนในยุโรปไม่น่าจะมีการซื้อขายทองคำอย่างชัดเจนนัก ในขณะที่นักลงทุนสหรัฐฯจะจับตามองรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพื่อเป็นแนวทางในการยืนยันเกี่ยวกับความเป็นอยู่และมุมมองของผู้บริโภคอีกครั้งหนึ่ง

 

 

แนวโน้มทองคำวันนี้

เรามองว่าทองคำน่าจะเริ่มกลับมาเป็นสินทรัพย์เสี่ยงอย่างช้าๆโดยทองคำอาจมีสถานะแตกต่างกันในตลาดยุโรปและสหรัฐฯเราจึงมองว่า "ราคาทองคำน่าจะแกว่งตัวอยู่ในช่วงระหว่างวันก่อนแกว่งตัวรุนแรงข้ามคืน" เราจึงแนะนำให้ "ซื้อขายในช่วงตามแนวรับแนวต้านภายในวัน"

 

 

มุมมองทองคำ

สถานะของทองคำและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังผันผวน นักลงทุนจะต้องติดตามความคืบหน้าของปัญหาต่างๆ และแนวโน้มเศรษฐกิจแต่ละภูมิภาคอย่างใกล้ชิด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
5fc0f220.gif5fc0f220.gif5fc0f220.gif5fc0f220.gif5fc0f220.gif คะ อาจารย์ทองใหม่ เด๋วย้อนกลับมาอ่านอีกสองข่าว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

MTS Goldชี้ปัจจัยยูโรกดดันตลาดทองไม่พร้อมทำ New high

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2010 เวลา 11:03 น. MTS Gold Futures ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

MTS Gold Futures สรุปราคาซื้อขายทองคำ และ Gold Futures ภายในประเทศ ณ วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2553ประเมินทิศทางราคาทองคำ ราคา ทองคำเปิดตลาดวานนี้ที่ระดับ 1,257 เหรียญ ค่าเงินบาท 32.34-32.40 บาท ราคาสมาคมเปิดที่ 19,100 บาท กับ 19,200 บาท GFM10 เปิดที่ 19,290 บาท และ GFQ10 เปิดที่ 19,320 บาท บาท SPDR ถือครอง 1316.17 ตัน (เท่าเดิม) ดัชนีดาวโจนส์ลบ 5.29 จุด อยู่ที่ระดับ 10138.52 จุด น้ำมันลบ 61 เซนต์ อยู่ที่ระดับ 78.25 เหรียญต่อบาร์เรล

 

โดย ราคาทองคำในตลาดเอเชียแกว่งตัวในช่วงแคบๆ 1,253-1,257 เหรียญ และปิดตลาดที่ระดับ 1,256 เหรียญ ในขณะที่เข้าสู่ตลาดลอนดอนเองช่วงต้น ตลาดราคาขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดอีกครั้งที่ระดับ 1,263 เหรียญ และมีการเทขายทำกำไร ออกมาต่อเนื่องจนราคาไม่สามารถทะลุแนวต้านด้านบน เดิมได้ ตลาดจึงมีการ low off ลงมาจนหลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,240 เหรียญ ลงมาไปทำต่ำสุดที่ระดับ 1,234 เหรียญ และปิดตลาดที่ระดับ 1,239 เหรียญ

 

ตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ เมื่อวานมีการใช้จ่ายส่วนบุคคล และ Core PCE ออกมาดีขึ้น หมายความว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้นมาเล็กน้อย ในขณ้ความกังวลกับการที่ธนาคารในยุโรปต้องชำระเงิน คืน ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 นี้ทำให้ ยูโรเองเกิดแรงเทขายเข้ามาใน ตลาดต่อเนื่องจนหลุด 1.2300 ดอลลาร์/ยูโร อีกครั้งหนึ่ง ปิดที่ระดับ 1.2285 ดอลลาร์/ยูโร เป็นเหตุกดดันให้ราคาทองคำถูกแรงเทขายออกมาอย่างสม่ำ เสมอ น้ำมันเมื่อวานปรับตัวลดลง 61 เซนต์ ปิดที่ระดับ 78.25 เหรียญ/บาร์เรล ดัชนีดาวโจนส์ลบ 5.29 จุด ปิดที่ระดับ 10138.52 จุด โดยที่ข่าวทาง G-20 ออกมาเกี่ยวกับเรื่องพยายามที่จะพยุงค่าเงินยูโร ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างมาก

 

วิเคราะห์ทางเทคนิค

ราคา ทองคำยังเข้าสู่การปรับฐานทำกำไรอีกครั้งต่อเนื่อง โดยที่ราคาเมื่อวานขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิม แต่เมื่อไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้ก็เกิดแรงเทขายทำกำไรเข้ามาในตลาด ทำให้ราคาทองคำเข้าสู่การปรับฐานอีกครั้งหนึ่ง โดยที่ราคาลงมาทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันอีกครั้ง ที่ระดับ 1,235 เหรียญ เราคาดว่าราคาน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,230-1,240 เหรียญ โดยมีแนวต้านด้านบนที่ 1,240 เหรียญ และแนวรับ 1,230 เหรียญ ทิศทางยังเป็นขาขึ้นแต่ว่า ตลาดยังไม่พร้อมที่จะทำ New high โดยมีค่าเงินยูโรเป็นตัวกดดัน Oscillator ต่างๆในรายชั่วโมงเริ่มตัดลง และ MACD เข้าสู่การเคลื่อนตัวเป็น sideway อีกครั้งหนึ่ง หมายความว่า ภาพรวมตลาดเป็นปรับฐานทำกำไรต่อเนื่อง หลังจากที่ทะลุเส้นค่าเฉลี่ยขึ้นไป ด้านบน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...