ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ดอลล์แข็งเทียบเยนที่ตลาดโตเกียว หลัง G-7 ไฟเขียวแทรกแซงตลาดสกัดเงินเยน

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2554 09:00:04 น.

 

เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราโตเกียวเช้านี้ โดยตลาดขานรับการร่วมมือกันระหว่างญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา และสหภาพยุโรปในการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราด้วยการเทขายเงินเยน

 

โดยที่ประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่ม G-7 ได้มีมติที่จะร่วมมือกันแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา เพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ

 

ณ เวลา 10:00 น.ตามเวลาโตเกียว เงินดอลลาร์ซื้อขายที่ระดับ 81.26-81.27 เยน เพิ่มขึ้นจากระดับของเมื่อเวลา 09:00 น.ที่ 79.45 - 79.47 เยน เมื่อเทียบกับเมื่อเวลา 17:00 น.ของวันพฤหัสบดีที่ 78.84 - 78.94 เยนที่ตลาดนิวยอร์ก และ 79.21 - 79.22 เยนที่ตลาดโตเกียว

 

ด้านเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเหนือระดับ 113 เยนเมื่อเวลา 10:00 น.เพิ่มขึ้นจากระดับ 111.50 เยนในช่วง 1 ชั่วโมงก่อนหน้านี้

 

ทั้งนี้ แถลงการณ์ของที่ประชุม G-7 ระบุว่า "รัฐบาลสหรัฐ อังกฤษ แคนาดา และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะร่วมมือกับญี่ปุ่นในวันนี้ (18 มี.ค.) เพื่อเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา หลังจากตลาดมีความผันผวนมากเกินไป และเงินเยนได้พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเมื่อวานนี้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเงิน"

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ประเทศกลุ่ม G-7 ซึ่งประกอบไปด้วย สหรัฐ อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี อังกฤษ ได้เข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งในครั้งนั้นกลุ่ม G-7 เข้าแทรกแซงตลาดด้วยการเทขายเงินเยนและทุ่มซื้อสกุลเงินยูโร

 

by mgl

ถูกแก้ไข โดย mtts

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กวาดพื้นกวาดพื้นจิตร

พื้นจิตรไม่กวาดพื้นกวาดเปล่า(ไร้ประโยชน์)

ทุกคนก็มากวาดพื้นจิตร

โลกนี้ไม่มีพื้นใดไม่สะอาด(ผ่องใส)

42yg-.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอกชนญี่ปุ่นเรียกร้องรัฐบาลแทรกแซงเงินเยน

 

Posted on Friday, March 18, 2011

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (พฤ. 17 มี.ค. 2554)

• ดัชนีราคาผู้บริโภค (ก.พ.) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า

• ตัวเลขการขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ มีจำนวน 385,000 ตำแหน่ง

• ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (ก.พ.) ปรับตัวลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า

• ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (ก.พ.) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนก่อนหน้า

 

 

เอกชนญี่ปุ่นเรียกร้องรัฐบาลแทรกแซงเงินเยน หลังพบเก็งกำไรผิดปกติ

 

นายฮิโรมาสะ โยนิคูระ ประธานสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นได้เรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารกลางญี่ปุ่นใช้มาตรการที่จริงจัง รวมทั้งการเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากเงินเยนที่พุ่งสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์นั้น สะท้อนให้เห็นว่ามีการเก็งกำไรและยังเป็นการแข็งค่ามากจนเกินไป

 

นอกจากนี้ มาสะมิตสุ ซากุราอิ ประธานสมาคมผู้บริหารบริษัทของญี่ปุ่นก็ได้ออกแถลงการณ์เช่นกัน โดยเรียกร้องให้นักลงทุนเคลื่อนไหวอย่างสงบ เนื่องจากค่าเงินเยนนั้นไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น

 

ค่าเงินเยนแข็งค่าเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ 76.25 เยนต่อดอลลาร์ ช่วงเช้าเมื่อวานนี้ (17 มี.ค. 54) เนื่องจากนักลงทุนแห่ซื้อเงินเยน อันเป็นผลมาจากการคาดการณ์ที่ว่า บริษัทญี่ปุ่นอาจจะเทขายสกุลเงินดอลลาร์เพื่อหันมาซื้อเงินเยน หลังจากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงจนทำให้ญี่ปุ่นเผชิญวิกฤตการณ์นิวเคลียร์

 

รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า การที่เงินเยนพุ่งขึ้นไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของตลาด และยังกล่าวด้วยว่า การเก็งกำไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเยนพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง

 

นายคาโอรุ โยซาโนะ รมว.เศรษฐกิจและนโยบายการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า การเก็งกำไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ นายโยซาโนะกล่าวว่า มีข่าวลือในตลาดว่า บริษัทประกันญี่ปุ่นกำลังย้ายฐานเงินทุนจากต่างประเทศมายังญี่ปุ่น เพื่อนำเงินดังกล่าวมาเป็นค่าชดเชยให้กับลูกค้าที่ทำประกัน หลังจากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงและคลื่นสึนามิในญี่ปุ่น

 

 

ชาติ G7 จ่อถกด่วน รับมือวิกฤติญี่ปุ่น

 

รมต.คลังญี่ปุ่น Yoshihiko Noda บอกกับผู้สื่อข่าวว่า บรรดา รมต.คลังของประเทศกลุ่ม G7 จะประชุมด่วนในเวลา 7 โมงเช้าวันนี้ (18 มี.ค. 54) ตามเวลากรุงโตเกียว เพื่อหารือเรื่องวิกฤติการณ์ของญี่ปุ่น หลังค่าความเสี่ยงของพันธบัตรประเทศพุ่งสูงขึ้น ขณะที่ค่าเงินเยนแข็งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

และภายหลังการประชุมด่วนของชาติ G7 ครั้งนี้ นักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์บางค่ายก็คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ชาติสมาชิกจะร่วมมือกันเทขายเงินเยนออกมา

 

รมต.คลังของญี่ปุ่น ยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องที่ทางกระทรวงการคลังอาจสั่งแบงก์ชาติให้เข้าไปแทรกแซงตลาดเงินตราต่างประเทศ พร้อมกับกล่าวว่า ตลาดกำลังอยู่ในสภาวะหวาดวิตก โดยเมื่อวานนี้ ทางบีโอเจก็ได้อัดฉีดเงินมูลค่า 5 ล้านล้านเยน หรือราว 63,000 ล้านเหรียญเข้าไปในตลาดเงินแล้ว

 

 

WHO ชี้กัมมันตรังสียังไม่กระจายมากในตปท.

 

เจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกแถลงการณ์เพื่อลบล้างข่าวลือเรื่องการแพร่กระจายของกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่นไปยังเอเชียและภูมิภาคต่างๆ

 

ดร.ไมเคิล โอเลียรี ผู้แทน WHO ประจำประเทศจีน กล่าวว่า WHO ขอยืนยันกับรัฐบาลและประชาชนว่า ขณะนี้ยังไม่หลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ามีสารกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆในปริมาณมาก จากข้อมูลที่มีอยู่จนถึงปัจจุบัน WHO เชื่อว่า ยังไม่มีความเสี่ยงในด้านสาธารณสุขของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณรอบนอกเขตพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกัมมันตรังสี และขอให้รัฐบาลของประเทศต่างๆสกัดการแพร่กระจายของข่าวลือที่อาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของประชาชน

 

ทั้งนี้ ข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไปทำให้ชาวจีนแห่กันซื้อและกักตุนเกลือ ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งในกรุงปักกิ่งนั้น ไม่มีเกลือจำหน่าย

 

 

จีนกวาดล้างผู้กักตุนสินค้าหลังข่าวลือเรื่องเกลือขาดแคลน

 

คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีนสั่งให้มีการกวาดล้างการกักตุนข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ขณะที่ข่าวลือเรื่องเกลือขาดแคลนแพร่สะพัดไปทั่วประเทศ โดยบางเมืองมีข่าวลือออกมาว่า กัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จ.ฟูกุชิม่าได้รั่วไหลลงสู่ทะเล ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเกลือที่ผลิตจากน้ำทะเลได้ในอนาคต

 

ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งในมณฑลต่างๆตั้งแต่มณฑลเจอเจียงทางตะวันออกของประเทศไปจนถึงมณฑลกวางตุ้ง เจียงซี กุยโจว เสฉวน เจียงซู และเหอเป่ย รวมทั้งบางพื้นที่ของกรุงปักกิ่งและฉงชิ่งนั้น ไม่มีเกลือจำหน่าย เนื่องจากประชาชนได้แห่ซื้อเกลือด้วยความตื่นตระหนก

 

ทั้งนี้ บริษัท ไชน่า เนชั่นแนล ซอลท์ อินดัสทรี คอร์ป เปิดเผยว่า จีนมีสต็อกเกลือมากพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้น ประชาชนไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกและกักตุนเกลือ

 

 

มิซูโฮ แบงก์ ระงับธุรกรรม ATM-Online หลังระบบมีปัญหา

 

นายซาโทรุ นิชิโบริ ประธานมิซูโฮ แบงก์ เปิดเผยว่า ระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารยังคงทำงานผิดปกติเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันในเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ต้องระงับการทำธุรกรรมผ่านทางตู้เอทีเอ็มของธนาคาร 440 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงการทำธุรกรรมออนไลน์เกือบทั้งหมด

 

ข้อกพร่องที่เกิดขึ้นทำให้ลูกค้าทำธุรกรรมอะไรไม่ได้เลยนอกเหนือจากการเช็คยอดเงินคงเหลือในบัญชี และต้องถอนเงินผ่านทางเคาน์เตอร์แทน ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วในวันอังคารและวันพุธ ส่งผลให้การโอนเงิน 440,000 รายการ มูลค่ารวม 5.7 แสนล้านเยน ต้องล่าช้าออกไป และทางธนาคารเกรงว่าระบบที่มีปัญหาอาจทำให้ธนาคารต้องเปิดให้บริการช้ากว่าปกติในวันศุกร์

 

นายนิชิโบริได้แสดงความเสียใจที่ปัญหาเดิมๆเกิดขึ้นซ้ำอีก ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของญี่ปุ่น

 

 

ญี่ปุ่นเผยไม่มีรายงานบริษัทประกันถอนสินทรัพย์

 

นายคาโอรุ โยโซโนะ รมต.เศรษฐกิจญี่ปุ่นบอกว่า มีการคาดการณ์บริษัทประกันชีวิตและวินาศภัยจะเคลื่อนย้ายสินทรัพยสกุลเงินดอลลาร์ กลับประเทศเพื่อใช้เป็นหลักประกันเงินทุนหลังจากเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งจริงๆ แล้วบริษัทประกันภัยเหล่านั้นมีทั้งเงินสด เงินฝาก และสินทรัพย์สภาพคล่องอื่นๆ ที่มากเพียงพอ

 

คำกล่าวของนายโยโซโนะยังเป็นการตอกย้ำสิ่งที่ทางแบงก์ชาติญี่ปุ่นกับหน่วยงานที่กำกับสถาบันการเงิน ที่ต่างออกมาบอกว่า บริษัทประกันภัยไม่ได้ขายสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์แต่อย่างใด ซึ่งเป็นเหตุให้เงินเยนถีบตัวแข็งค่าขึ้น

 

นักกลยุทธ์ด้านค่าเงินของ Barclays Bank ในโตเกียวกล่าวว่า เมื่อญี่ปุ่นต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจซบเซามากขึ้น ผู้ส่งออกรายใหญ่ อย่าง Toyota Motor ประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นทุกๆ 1 เยน รายได้ของบริษัทหดหายไปราวๆ 3 หมื่นล้านเยน ขณะที่ Honda Motor คาดว่ารายได้จะหายไปราว 1.7 หมื่นล้านเยน สำหรับทุก 1 เยนที่แข็งค่าขึ้น

 

 

มูดี้ส์ เตือนสหรัฐฯ อาจจะถูกลดเครดิตในปีนี้

 

สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส เปิดเผยว่า สหรัฐฯ อาจจะต้องเผชิญกับการถูกปรับลดอันดับเครดิตในปี 2554 มากกว่าการปรับเพิ่มอันดับเครดิต ทั้งนี้สหรัฐฯ มีอันดับเครดิตที่เป็นแนวโน้มเชิงลบต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว

 

มูดี้ส์ให้เหตุผลว่าสิ่งที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็คือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาจจะมีความเปราะบาง หลังจากที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หมดอายุลง ประกอบกับ ความเคลื่อนไหวที่ต่อต้านการขึ้นภาษี ซึ่งอาจจะส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องรัดเข็มขัดมากขึ้นและต้องลดการจ้างงานลง แม้ว่าจะเป็นแนวทางที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงก็ตาม

 

อย่างไรก็ดี มูดี้ส์ ยอมรับว่า ปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของสหรัฐฯ ก็ยังมีอยู่บ้าง เช่น ยอดขายที่เพิ่มขึ้น การจัดเก็บรายได้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้นบ้าง การปรับตัวดีขึ้นของอัตราการว่างงาน และ ต้นทุนการกู้ยืมที่บริหารจัดการได้

 

 

การลงทุนในเอเชียมีแววขยายตัวขึ้นใน 3 ปีข้างหน้า

 

ผลสำรวจที่จัดทำโดยบริษัท Fidelity Investments ซึ่งเป็นบริษัทกองทุนร่วมทุนรายใหญ่ที่สุดในโลกระบุว่า 56% ของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในเอเชียที่ตอบรับการสำรวจ และ 58% ของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในยุโรปมีแผนเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียในอีก 3 ปีต่อจากนี้

 

นอกจากนี้ ผลสำรวจดังกล่าวพบว่า กว่าครึ่งหนึ่งของนักลงทุนในยุโรปเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นกู้ของบริษัทในเอเชีย และ 58% ของนักลงทุนในเอเชียจะเพิ่มสัดส่วนการซื้อตราสารหนี้ของรัฐบาลในกลุ่มประเทศเอเชีย

 

นายคาร์ลอส เวเนส หัวหน้ากลุ่มธุรกิจสถาบันของ Fidelity Investments ประจำเอเชียกล่าวว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่นักลงทุนให้ความสนใจ โดยกลุ่มนักลงทุนสถาบันในเอเชีย 40 แห่งมีกองทุนพิเศษในตลาดหุ้นจีน และ 11% ของนักลงทุนในยุโรปมีแผนเพิ่มการลงทุนในตลาดจีนเมื่อมีการจัดตั้งพอร์ทลงทุน

 

 

อินเดียขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ

 

ธนาคารกลางอินเดียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะควบคุมเงินเฟ้อ การประกาศขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวจะส่งผลให้ repo rate หรืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นที่ธนาคารพาณิชย์จ่ายให้กับธนาคารกลาง เพิ่มขึ้นเป็น 6.75% และ reverse repo rate หรืออัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางจ่ายให้กับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ เพิ่มขึ้นเป็น 5.75%

 

ธนาคารกลางอินเดียได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 8 ครั้งนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2553 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่ยังคงส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของประเทศ แถลงการณ์ระบุว่า ธนาคารกลางอินเดียยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเงินเฟ้อในปีนี้เป็น 8% จากเดิม 7% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

 

นอกจากนี้ ธนาคารกลางอินเดียเปิดเผยว่า ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นที่มีต่อเศรษฐกิจอินเดีย

 

 

เกาหลีใต้ควบคุมการปล่อยเงินกู้ของธนาคารออมทรัพย์

 

คณะกรรมาธิการบริการด้านการเงินของเกาหลีใต้ (FSC) ประกาศใช้มาตรการเข้มงวดต่อธนาคารออมทรัพย์ในเมื่อวานนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มเสถียรภาพด้านการเงิน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ในปีนี้ FSC ได้ระงับการดำเนินงานของธนาคารออมทรัพย์ 8 แห่งในประเทศที่ได้รับความเสียหายจากการปล่อยเงินกู้ให้กับโครงการก่อสร้างที่ประสบปัญหา

 

FSC ระบุว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสาเหตุของการปล่อยเงินกู้ที่ผิดกฎหมายของธนาคารออมทรัพย์ จะต้องถูกลงโทษหากพบว่ามีการทำผิด โดยจะถูกปรับเป็นเงินสูงถึง 40%

 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการปล่อยเงินกู้ ทาง FSC ได้วางแผนที่จะจำกัดเพดานการปล่อยเงินกู้ และจะคุมเข้มการลงทุนด้านสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารออมทรัพย์อย่างเข้มงวด

 

ติดตาม Money Insight ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อย. เผยผลตรวจวัดสารกัมมันตรังสีในอาหารที่นำเข้าจากญี่ปุ่น"ปกติ"

 

ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

เขียนโดย ณัฐญา เนตรหิน

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2011 เวลา 15:01 น.

อย. แจง ผลตรวจวัดสารกัมมันตรังสีในอาหารที่นำเข้าจากญี่ปุ่น วันที่ 17 มีนาคม 2554 โดย อย. ได้สุ่มเก็บตัวอย่าง จำนวน 4 ตัวอย่าง ได้แก่ พลับแห้ง สตรอว์เบอร์รี ปลากะพง ปลาตาเดียว ผลการตรวจวัดสารกัมมันตรังสี พบ “ปกติ”

 

นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหาร-และยา (อย.) ได้ดำเนินมาตรการในการเฝ้าระวังการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีในอาหารที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2554 ณ ด่านอาหารและยาทุกแห่ง โดยได้รับความอนุเคราะห์จากสำนักงานปรมาณู เพื่อสันติในการตรวจวัดสารกัมมันตรังสี โดยผลการเก็บตัวอย่างอาหารที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น วันที่ 17 มีนาคม 2554 ณ ด่านอาหารและยา อย. จำนวน 4 ตัวอย่าง ได้แก่ พลับแห้ง สตรอว์เบอร์รี ปลากะพง ปลาตาเดียว ซึ่งผลการวัดสารกัมมันตรังสี ทุกตัวอย่างมีค่า “ปกติ”

 

เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอผู้บริโภควางใจในการดำเนินงานของ อย. ซึ่งจะเฝ้าระวังและติดตามข้อมูลจากทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งมีมาตรการในการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ซึ่งหากเหตุการณ์ การรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีในประเทศญี่ปุ่นรุนแรงมากขึ้น อย. จะมีมาตรการในการปรับระดับการเฝ้าระวังเป็นระดับสูงขึ้น ทั้งนี้ อย. จะรายงานผลการตรวจวิเคราะห์และสถานการณ์ความคืบหน้าให้ประชาชนได้ทราบ ผ่านทางเว็บไซต์ www.fda.moph.go.th อย่างต่อเนื่อง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จากข่าว อ. สงสัย QE3 มาแน่เลยค่ะ เพื่อชดเชยการขายคืนพันธบัตรอเมริกันของญี่ปุ่น ทองเตรียมตัวพุ่งได้เลยยยยยย :rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับ

ขอขอบพระคุณอาจารย์ทองใหม่ด้วยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับอาจารย์ทองใหม่ + คุณ mtts + คุณ ohani

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับอาจารย์ปู่ทองใหม่ set50 มาอ่อนระทวยท้ายตลาด ดีว่าพี่กองคอยอุ้มไว้ ไม่งั้นคงรูดยาว

:ph34r:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป้าohaniไม่ว่าง ช่วยป้า ohaniครับ

 

สภาวะตลาดวันที่ 18 มีนาคม 2554 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ $1,402.40 – $1,413.50 ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFJ11 อยู่ที่ 20,500 บาท โดยราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 170 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 20,330บาทออกมา คือ ออกมา คือ

 

แนวโน้มวันที่ 19 มีนาคม 2554

 

ตลาดทองคำได้รับปัจจัยหนุนอีกครั้งจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่ปรับตัวลงมาจากปัญหาแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น โดยราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจาก ปัญหาในตะวันออกกลางเช่นเดิมแต่ดูเหมือนว่า ความรุนแรงกลับทวีเพิ่มมากขึ้นเมื่อ พันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบียประกาศ จะโจมตีเมืองเบงกาซีซึ่งเป็นเมืองที่ถูกควบคุมโดยฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่ สหประชาชาติ (ยูเอ็น) มีมติอนุญาตให้มีการโจมตีทางอากาศในลิเบีย ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เยเมน บาห์เรน และซาอุดิอาระเบีย ก็ยังมีปัญหาจลาจลอยู่ด้วยเหมือนกัน ทางวายแอลจีประเมินว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และปัจจัยนี้เองที่ทำให้ทางวายแอลจีเชื่อมั่นมาโดยตลอดถึงมุมมองที่จะทำให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะมีการปรับย่อตัวลงจากปัญหาแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น และสำหรับการย่อลงตัวลงของราคาทองคำจากประเด็นในญี่ปุ่นที่ผ่านมาทางวายแอลจีมองว่าจะเกิดในระยะสั้นเท่านั้น ในระยะกลางและยาวแล้วประเด็นในญี่ปุ่นจะสร้างความกังวลถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำได้อีกทาง แต่อย่างไรก็ตามอยากแนะนำนักลงทุนให้ติดตามประเด็นในญี่ปุ่น โดยเฉพาะเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการรั่วเพิ่มมากขึ้นของสารกัมมันตภาพรังสีรวมถึงอาจเกิดระเบิดขึ้นได้ ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากหากเกิดขึ้นจริงการปรับตัวลงของราคาทองคำในช่วงสั้นๆอาจมีให้ได้เห็นเช่นกัน

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ทางวายแอลจียังเห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นซึ่งทำให้มุมมองยังคงเป็นบวกต่อราคาทองคำเช่นเดิม สำหรับนักลงทุนที่เข้าซื้อทองคำตามคำแนะนำของทางวายแอลจีก่อนหน้า อาจจะถือต่อไปโดยหากไม่อยากแบกรับความเสี่ยงมากนักอาจทยอยขายบางส่วนที่บริเวณ 1,421ดอลลาร์/ออนซ์(20,580บาท)และส่วนที่เหลือยังคงสามารถถือต่อไปได้ เบื่องต้นประเมินแนวรับแนวต้านไว้ดังนี้

 

 

 

แนวรับ 1,403 (20,100บาท) 1,398 (20,040บาท) 1,394(19,980บาท)

 

แนวต้าน 1,421 (20,580บาท) 1,432(20,730บาท) 1,438(20,820บาท)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...