ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

27 ก.ค. 2553

 

 

USA:น้ำมัน NYMEX ทรงตัวใกล้ 79 ดอลล์เช้านี้ก่อนสหรัฐเผยตัวเลขสต็อกน้ำมัน

 

 

ราคาสัญญาน้ำมันดิบสหรัฐทรงตัวใกล้ 79 ดอลลาร์/บาร์เรล

ในการซื้อขายเช้านี้ ในขณะที่เทรดเดอร์จับตาดูตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ที่

จะออกมาในวันนี้และพรุ่งนี้ โดยตลาดคาดว่าสต็อกน้ำมันดิบอาจลดลง และสต็อก

น้ำมันเบนซินกับน้ำมันกลั่นอาจเพิ่มขึ้น

ณ เวลา 09.29 น.ตามเวลาไทย ราคาสัญญาน้ำมันดิบในตลาด

NYMEX ส่งมอบเดือนก.ย.ทรงตัวที่ 78.98 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามราคา

ปิดตลาดวานนี้

เมื่อวานนี้ราคาน้ำมันขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของวันที่ 79.33 ดอลลาร์

หลังจากแตะจุดสูงสุดรอบ 11 สัปดาห์ที่ 79.60 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ในขณะที่

บริษัทพลังงานยังคงปิดการผลิตน้ำมันดิบกว่า 25 % ในชายฝั่งของสหรัฐในอ่าว

เม็กซิโกเมื่อวานนี้

รัฐบาลสหรัฐระบุว่า บริษัทพลังงานได้กลับมาดำเนินการผลิตน้ำมัน

ไปแล้วราวครึ่งหนึ่งของส่วนที่ปิดไปในช่วงที่พายุโซนร้อนบอนนีพัดเข้าใกล้แหล่ง

ผลิตน้ำมัน

สหภาพยุโรป (อียู) เพิ่มความเข้มงวดในการคว่ำบาตรอิหร่าน

โดยอนุมัติมาตรการในการห้ามการลงทุนในน้ำมันและก๊าซ และลดความ

สามารถในการกลั่นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัฐบาลอิหร่าน

รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจนักวิเคราะห์, ธนาคาร และหน่วยงาน

รัฐบาล 31 รายเมื่อวานนี้ โดยผลสำรวจคาดว่าราคาน้ำมันดิบสหรัฐน่าจะมีค่า

เฉลี่ยอยู่ที่ 79.44 ดอลลาร์ในปีนี้ เทียบกับ 79.86 ดอลลาร์/บาร์เรลในการ

สำรวจในเดือนมิ.ย.

การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันประจำ

สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ค.ในวันนี้ ส่วนสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน

ของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ในวันพรุ่งนี้

โพลล์รอยเตอร์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐอาจลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล

ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ค., สต็อกน้ำมันกลั่นอาจเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล

และสต็อกน้ำมันเบนซินอาจเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการ

ผลิตอาจลดลง 0.6 %

 

แหล่งที่มา(รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

27 ก.ค. 2553

 

 

ตลาดทองเอเชีย:ราคาทองปรับตัวขึ้นเช้านี้ แม้ SPDR ลดการถือทอง

 

 

ราคาทองปรับตัวขึ้นในเช้าวันนี้ ขณะที่ราคาหุ้นที่อ่อนแรงและยูโรที่แข็งค่า

ได้กระตุ้นแรงซื้อจากกลุ่มนักเก็งกำไร ซึ่งได้ช่วยชดเชยผลกระทบของการลดการ

ถือครองทองคำของกองทุน ETF

ณ เวลา 07.53 น.ตามเวลาไทย ราคาทองสปอตมีการซื้อขายที่ระดับ

1,184.70 ดอลลาร์/ออนซ์ บวกขึ้น 95 เซนต์ เมื่อเทียบกับระดับปิดในตลาดสปอต

นิวยอร์คเมื่อวานนี้ หลังร่วงลงเกือบ 8 ดอลลาร์วานนี้ ขณะที่ยอดขายบ้านที่แข็งแกร่ง

ในสหรัฐได้ส่งผลกระทบต่อความน่าดึงดูดใจของทองในฐานะแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย

ราคาทองแท่งปรับตัวต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,264.90

ดอลลาร์ ที่ทำไว้เมื่อต้นเดือนมิ.ย.

สัญญาทองล่วงหน้าส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาด COMEX ดีดตัวขึ้น 1.1 ดอลลาร์

อยู่ที่ 1,184.2 ดอลลาร์/ออนซ์

กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก

เปิดเผยว่าทางกองทุนได้ถือครองทองคำที่ระดับ 1,301.742 ตัน ณ วันที่ 26 ก.ค.

ลดลง 0.304 ตัน จากวันที่ 22 ก.ค. โดยกองทุนได้ถือครองทองคำสูงเป็นประวัติการณ์

ที่ 1,320.436 ตันเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.

ดีลเลอร์กล่าวว่า การซื้อขายในตลาดส่งมอบปัจจุบันอาจจะเพิ่มขึ้นในเดือน

ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาลที่มีเทศกาลสำคัญในอินเดีย ซึ่งเป็นผู้บริโภคอัญมณี

รายใหญ่

 

แหล่งที่มา (รอยเตอร์ โดย พันธุ์ทิพย์ คำเพิ่มพูล แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หากเล่นทองแท่ง ก็ทยอยซื้อเก็บได้ครับ หากเล่นอย่างอื่น ก็ต้องคอยดูว่า ทองจะลงไปทดสอบที่ด่าน1175หรือไม่ หากทดสอบแล้วไม่แตก สัปดาห์นี้ทองอาจเห็นระดับ1200ขึ้นไปได้ หากแตกก็จะไหลไป1166ด่านต่อไปครับ

 

สวัสดีคะอ.ทองใหม่

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำคะ รอลุ้นด่าน1175 จะซื้อเก็บไว้lotหนึ่งก่อน ถ้าหลุด ก็รอเก็บแถว1166 อีกใช่รึเปล่าคะอ. :lol: พอดีเล่นแท่งคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ เฮียทองใหม่ :lol: !thk +1 ด้วยความขอบคุณ !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ อ.ทองใหม่กร๊าบบ ที่ตอบคำถามของผม และให้คำแนะนำ ขอบคุณมากๆกร๊าบบบบบบบ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีคะอ.ทองใหม่

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำคะ รอลุ้นด่าน1175 จะซื้อเก็บไว้lotหนึ่งก่อน ถ้าหลุด ก็รอเก็บแถว1166 อีกใช่รึเปล่าคะอ. :lol: พอดีเล่นแท่งคะ

ใช่ครับ ซื้อตามขั้นบันไดลง เวลาขายก็แบ่งขายตามขั้นบันไดขึ้น แบบนี้ปลอดภัยไร้กังวลดีครับ !01 !01 !01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ เฮียทองใหม่ :lol: !thk +1 ด้วยความขอบคุณ !thk

:rolleyes:

post-237-097070200 1280201078.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ุตามข้อมูล อาจารย์ น่าจะลงต่ออีกนิด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

27 ก.ค. 2553

 

 

สรุปภาวะตลาดก่อนหน้านี้

 

 

ราคาโกลด์ฟิวเจอร์สแกว่งตัวเพิ่มขึ้นตามราคาทองคำสปอตที่แกว่งตัวผันผวนรุนแรงหลังTFEXปิดทำการ เงินบาทผันผวนตามภูมิภาค ทองคำแท่งสมาคมปิดที่ 18,250/18,350 บาท

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อเนื่องถึงวันนี้

 

 

การทดสอบ Stress Test ในยุโรปได้ผลใกล้เคียงกับที่คาดคือมีเพียงธนาคารขนาดเล็ก 7 แห่งเท่านั้นที่อาจประสบปัญหารุนแรงหากเกิดวิกฤตขึ้น ซึ่งนักลงทุนบางส่วนยังข้องใจและแสดงความไม่เชื่อถือต่อผลหรือวิธีการในการทดสอบดังกล่าว ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจยุโรปมากขึ้นและเข้าไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง [EU, Reuters, AFC Research]

ราคาสินทรัพย์เสี่ยงได้รับข่าวดีอย่างต่อเนื่องทั้งจากผลประกอบการบริษัทต่างๆที่ออกมาดีพร้อมกับมุมมองแนวโน้มที่ดีขึ้น และจากรายงานเศรษฐกิจที่แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวทั้งในยุโรปและสหรัฐฯโดยเฉพาะรายงานผลสำรวจมุมมองผู้ประกอบการ IFO ของเยอรมนีที่ออกมาดีขึ้นอย่างมากและยอดขายบ้านใหม่ในเดือนมิถุนายนที่เริ่มกลับมาเป็นบวกอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดหุ้นและค่าเงินยูโร ในขณะที่ราคาทองคำยังแกว่งตัวผันผวนก่อนปรับตัวลดลงในภายหลัง [Econoday, CESIFO, AFC Research]

เรามองว่าราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงน่าจะเกิดจากมุมมองของนักลงทุนในระยะยาวที่เห็นว่าเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอาจกดดันให้ภาครัฐหยุดมาตรการกระตุ้นอย่างจริงจังและเริ่มดึงเม็ดเงินออกจากระบบจนส่งผลต่อราคาทองคำในที่สุด นักลงทุนจึงเริ่มลดสถานะการถือครองทองคำไปอยู่ในสินทรัพย์เติบโตดังเช่นหุ้นนั่นเอง [AFC Research]

วันนี้นักลงทุนจะจับตามองรายงานผลสำรวจผู้บริโภคของสหรัฐฯซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างยั่งยืนแล้วหรือยัง [AFC Research]

แนวโน้มทองคำวันนี้

 

 

ราคาทองคำน่าจะยังได้รับแรงเก็งกำไรต่อเนื่อง โดยเฉพาะบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆที่ดูดีน่าจะกดดันราคาทองคำได้อย่างช้าๆ เราจึงมองว่า "ราคาทองคำน่าจะแกว่งตัวลดลงช้าๆ" และแนะนำให้ "สะสม SHORT เมื่อราคาทองคำสปอตเพิ่มสูงขึ้น"

มุมมองทองคำ

 

 

สถานะของทองคำและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังผันผวน นักลงทุนจะต้องติดตามความคืบหน้าของปัญหาต่างๆ และแนวโน้มเศรษฐกิจแต่ละภูมิภาคอย่างใกล้ชิด

post-237-086469800 1280203701.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

5fc0f220.gif5fc0f220.gif5fc0f220.gif5fc0f220.gif5fc0f220.gif.... โซดารอปิด s 1175

เหมือนกันครับ อาคุงโซดา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักวิเคราะห์ติงทดสอบ “Stress Test” ยังไม่เข้มงวดเพียงพอ

 

Posted on Tuesday, July 27, 2010

นักวิเคราะห์ติงทดสอบ “Stress Test” ยังไม่เข้มงวดเพียงพอ

 

นักวิเคราะห์มองว่าการที่ธนาคารส่วนใหญ่ผ่านการทดสอบ ช่วยขจัดความกังขาว่าจะธนาคารยุโรปอาจล้ม และเปิดโอกาสให้ภาคธนาคารเพิ่มการปล่อยกู้แก่กัน รวมถึงการปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจ

 

ผลการทดสอบว่าฐานะของธนาคารต่างๆ ในสหภาพยุโรป( EU ) จะรับมือได้ขนาดไหนเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตในอนาคต ปรากฏว่ามีแบงก์ 7 แห่งซึ่งไม่ผ่าน จากที่ทำการทดสอบทั้งสิ้น 91 แห่ง ทั้งนี้ตามคำแถลงของคณะกรรมาธิการกำกับตรวจสอบการธนาคารแห่งยุโรป (CEBS) เมื่อคืนวันศุกร์(23 ก.ค. 53)

 

ธนาคารทั้ง 7 แห่งที่ไม่ผ่านการทดสอบ เป็นแบงก์ของสเปน 5 แห่ง ได้แก่ ดิอาดา (Diada), เอสปิกา (Espiga), บังกา ซิบิกา (Banca Civica), อุนนิม (Unnim), และ กาคาซูร์ (Cajasur) ที่เหลือเป็นแบงก์ของเยอรมนี 1 แห่ง ได้แก่ ไฮโป เรียลเอสเตท (Hypo Real Estate) และธนาคารของกรีซ 1 แห่ง คือ เอทีอีแบงก์ (ATEbank)

 

จิโอวานนี คาโรซิโอ ประธานของ CEBS แถลงว่า ธนาคารทั้ง 7 แห่งเหล่านี้ จำเป็นจะต้องเพิ่มทุนขึ้นอีกรวมทั้งสิ้น 3,500 ล้านยูโร จึงจะถือว่าอยู่ในฐานะแข็งแรงได้มาตรฐาน

 

ทั้งนี้ แบงก์เหล่านี้จะต้องไปทำตามตกลงกับหน่วยงานกำกับตรวจสอบภายในประเทศของตนเองภายในเวลาที่กำหนด เพื่อจัดทำแผนการซึ่งจะสามารถแก้ไขจุดอ่อนข้อบกพร่องของธนาคารแต่ละแห่ง

 

ทางด้าน รอเบิร์ต เพสตัน บรรณาธิการข่าวธุรกิจของ BBC ให้ความเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากเปลือกนอกแล้ว ผลลัพธ์ของการทดสอบคราวนี้ ซึ่งออกมาว่าแบงก์ใน EU ส่วนใหญ่มีฐานะเข้มแข็งเพียงพอ ควรถือเป็นข่าวดี แต่ก็มีการตั้งคำถามกันว่า การทดสอบได้ใช้หลักเกณฑ์ที่เข้มงวดเพียงพอแล้วหรือ

 

อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์บางคนให้ความเห็นออกมาแล้วว่า การทดสอบคราวนี้ยังไม่เข้มงวดเพียงพอ

 

มาร์ก โอซุลลิแวน แห่ง เคอร์เรนซีส์ ไดเร็กต์ อันเป็นกิจการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ให้ความเห็นว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะเป็นการประนีประนอมกันในหมู่พวกผู้กำกับตรวจสอบภาคการเงินการธนาคารของยุโรป และก็ก่อให้เกิดคำถามจำนวนมากว่าหลักเกณฑ์ในการทดสอบภาคการธนาคารของยุโรปนี้ ได้ถูกวางเอาไว้ต่ำเกินไปหรือไม่”

 

ทั้งนี้นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่ง เป็นต้นว่า นีล แม็กคินนอน นักเศรษฐศาสตร์แห่งวีทีบี แคปปิตอลในลอนดอน และคริส เทอร์เนอร์ นักวิเคราะห์แห่งธนาคารไอเอ็นจี ต่างโต้แย้งผลการทดสอบครั้งนี้โดยระบุว่าเป็นการอำพรางข้อเท็จจริง

 

ขณะที่มาร์โก อันนูนซิอาตา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งยูนิเครดิต กรุ๊ป ให้ทัศนะว่า ปฏิกิริยาของตลาดอาจไม่เป็นไปอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวังก็เป็นได้ เขาบอกว่า รายงานล่าสุดที่ระบุว่าภาพรวมของเงินทุนในระบบซึ่งขาดแคลนเพียงแค่ 3,500 ล้านยูโรนั้นน้อยเกินไป และอาจสร้างความเคลือบแคลงในหมู่นักลงทุนได้

 

นอกจากนี้ผลการทดสอบดังกล่าวก็ยังไม่มีอานุภาพเพียงพอที่จะสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการธนาคารในยุโรปให้กลับมาอย่างเห็นผลทันตาได้

 

นักวิเคราะห์ทั้งหลายยังวิพากษ์วิจารณ์ว่า คนตั้งโจทย์ข้อสอบกำหนดเกณฑ์ที่ต่ำเกินไปในการประเมินความเข้มแข็งของธนาคารในยูโรโซน ซึ่งหลายแห่งถือครองพันธบัตรที่ออกให้โดยรัฐบาลที่มีปัญหาด้านหนี้สาธารณะอยู่

 

วิตอร์ คอนสตันซิโอ แห่งธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยืนยันว่า การทดสอบคราวนี้ใช้หลักเกณฑ์ที่เข้มงวดและกว้างขวางครอบคลุมยิ่ง

 

ในการทดสอบ มีการสมมุติสถานการณ์ (scenario) เอาไว้เป็น 3 แบบ ได้แก่ สถานการณ์ที่เศรษฐกิจโดยรวมยังคงมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง, สถานการณ์ “กลับตาลปัตร” โดยเศรษฐกิจกลับดิ่งลงส่งสู่ภาวะถดถอยอีกรอบในช่วง 2 ปีข้างหน้า, และ สถานการณ์ “กลับตาลปัตร” ที่มีภาวะวิกฤตฐานะการคลังของภาครัฐ ดังเช่นที่เกิดขึ้นในกรีซ ผสมโรงเข้ามาด้วย

 

ธนาคารทั้ง 7 แห่งที่ไม่ผ่านการทดสอบ ก็คือเมื่ออยู่ในสถานการณ์สมมุติแบบสุดท้าย ปรากฏว่าสัดส่วนเงินกองทุนชั้นหนึ่ง (tier one) ของพวกเขาจะอยู่ต่ำกว่า 6% อันเป็นระดับต่ำสุดที่กำหนดเอาไว้ในการทดสอบคราวนี้

 

ถึงแม้ CEBS จะรีบแถลงออกตัวว่า เกณฑ์ 6% นี้กำหนดขึ้นเพื่อจุดประสงค์สำหรับการทดสอบคราวนี้เท่านั้น ไม่ควรจะไปตีความว่านี่คือเกณฑ์ขั้นต่ำสุดที่จะใช้ในการกำกับตรวจสอบต่อไป

 

สำหรับธนาคารสเปนที่ไม่ผ่านการทดสอบ 5 แห่งจากจำนวนที่เข้าทำการทดสอบทั้งสิ้น 27 แห่งนั้น ล้วนเป็นกิจกรรมธนาคารออมสินระดับภูมิภาค ซึ่งประสบภาวะขาดทุนหนักภายหลังการล้มครืนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสเปน โดยเฉพาะธนาคารกาคาซูร์ ทางแบงก์ชาติแดนกระทิงดุต้องเข้าไปช่วยเหลือโอบอุ้มไม่ให้ล้มละลายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

 

หลังจากมีการเปิดเผยผลการทดสอบคราวนี้ ธนาคารกลางของสเปนแถลงว่า การทดสอบยืนยันว่าระบบการธนาคารของสเปนยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งเป็นเครื่องยืนยันว่า กระบวนการปรับโครงสร้างและเพิ่มทุนบรรดาธนาคารออมสิน ที่ทางธนาคารกลางกระทำมาตลอด 1 ปีนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

 

ขณะเดียวกัน หน่วยงานกำกับตรวจสอบภาคธนาคารของเยอรมนี และแบงก์ชาติเยอรมนี ได้ร่วมกันออกคำแถลงว่า การที่ธนาคารเยอรมันที่เข้าทดสอบ 14 แห่ง มีไม่ผ่านเพียงแห่งเดียว ชี้ชัดว่าระบบธนาคารเยอรมันเข้มแข็ง โดยที่ ไฮโป เรียลเอสเตท แบงก์เพียงแห่งเดียวที่ไม่ผ่านการทดสอบ เวลานี้กำลังอยู่ในกระบวนการปรับโครงสร้างอย่างเต็มที่อยู่แล้ว

 

ทางด้านรัฐมนตรีคลัง จอร์จ ปาปาคนสแตนตินู ของกรีซ ก็ออกมาแถลงยืนยันความเข้มแข็งของระบบการธนาคารในประเทศของตนเช่นกัน

 

แฮร์มัน ฟาน รอมปุย ประธานสหภาพยุโรป กล่าวว่า ภาพรวมของผลการทดสอบคราวนี้บ่งชี้ให้เห็นว่า ภาคการธนาคารของ EU มีระดับความยืดหยุ่นที่สูงยิ่ง ซึ่งสะท้อนถึงการที่ธนาคารต่างๆ และรัฐบาลบางประเทศพยายามอย่างหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมาในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในภาคการธนาคารของยูโรโซน

 

ขณะที่โดมินิก สเตราส์-คาห์น กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ผลลัพธ์การทดสอบแสดงให้เห็นถึงก้าวเดินที่สำคัญในการปรับปรุงด้านความโปร่งใสและค้ำจุนความเชื่อมั่นของตลาด

 

ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนยังวิตกกังวลว่า หากธนาคารต่างๆ ไม่ได้รับข้อมูลความจริงที่จำเป็น อาจส่งกระทบต่อบัญชีงบดุลของพวกเขาอย่างร้ายแรง โดยที่แบงก์เหล่านี้อาจมีแนวโน้มปฏิเสธการทำธุรกิจร่วมกันต่อไป นอกจากนี้ยังอาจเลือกเก็บเงินทุนไว้ยังที่ปลอดภัยมากกว่าจะปล่อยกู้ตามปกติอีกด้วย

 

 

นักวิเคราะห์เชื่อยูโรกลับมาแข็งค่า

 

ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจยุโรปกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง หลังผล stress test ของสถาบันการเงินไม่ได้ชี้ถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างที่คิด ขณะที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวกลับมาสร้างความหวังมากขึ้น

 

ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มที่จะกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง หลังความเชื่อมั่นเศรษฐกิจยุโรปขยับดีขึ้น รวมถึงแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีโบรกเกอร์หลายค่ายที่ออกมาปรับเพิ่มคาดการณ์ค่าเงินยูโร ซึ่งรวมถึง Goldman Sachs Group, Wells Fargo, HSBC holdings และ Deutsche Bank

 

ในช่วงครึ่งปีแรก นักลงทุนหันไปหาตลาดขนาดใหญ่ อย่าง อเมริกา เมื่อวิกฤติหนี้ในยุโรปกดดันจนค่าเงินภูมิภาคร่วงลงไปถึง 15% ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง 8% หลังขึ้นไปทำสถิติสูงสุดในรอบ 4 ปีในเดือนมิถุนายน

 

ตามฐานข้อมูลของ Citigroup ระบุว่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในเดือนล่าสุดออกมาแย่กว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ และน่าผิดหวังที่สุดหากย้อนหลังไปจนถึงเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ขณะตัวเลขของทางยุโรปกลับน่าพอใจกว่าที่คาด

 

สำหรับเรื่องความเร็วในการฟื้นตัวที่ยุโรป เห็นได้ชัดมากขึ้นเมื่อสถาบัน Ifo ของเยอรมนีเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2007 ส่วนตัวเลขจากอีกสถาบัน อย่าง Markit Economics ในลอนดอน ก็รายงานดัชนีสภาวะภาคบริการและการผลิตในภูมิภาคที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกันในเดือนกรกฎาคม

 

 

ทำเนียบขาวคาดปีนี้ขาดดุลงบประมาณ 1.47 ล้านล้านเหรียญปีนี้

 

ทำเนียบขาวเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของรัฐในปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 1.47 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลง 84,000 ล้านดอลลาร์จากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์

 

สำนักงานจัดการงบประมาณเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลงบประมาณดังกล่าวมีสัดส่วน 10.0% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปีที่แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะลดลงอย่างมากจนเหลือ 5.6% ในปี 2555 และลดลงอีกจนเหลือ 4.3% ในปี 2556 ซึ่งหมดเทอมแรกของประธานาธิบดีบารัค โอบามา พอดี

 

ในรายงานของทำเนียบขาวระบุว่า "ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการลดงบประมาณขาดดุลยังเป็นไปตามเป้าหมายของประธานาธิบดีโอบามา และจะลดลงเหลือประมาณครึ่งหนึ่งเมื่อสิ้นสุดเทอมแรก"

 

ตัวเลขขาดดุลงบประมาณที่โอบามาได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช อยู่ที่ระดับ 9.2% ของจีดีพี

 

ทั้งนี้ ตัวเลขขาดดุลงบประมาณที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ก่อให้เกิดกระแสความวิตกกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจสหรัฐ

 

 

CEO ของ BP เตรียมสละเก้าอี้หลังเหตุน้ำมันรั่ว

 

“บีพี” ได้ทำการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของ โทนี เฮย์เวิร์ด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่แห่งอังกฤษรายนี้ ด้วยการให้เขาก้าวลงจากตำแหน่ง หลังจากที่ประสบความล้มเหลวในกรณีจัดการกับปัญหาน้ำมันรั่วครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ในอ่าวเม็กซิโก

 

บอร์ดบริหารของบีพีมีกำหนดประชุมหารือในกรุงลอนดอน เมื่อเย็นวันจันทร์ (26 ก.ค. 53) โดยจะพูดคุยถึงแผนการที่จะให้เฮย์เวิร์ด สละเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และดัน บ็อบ ดัดลีย์ ผู้บริหารระดับอาวุโสชาวอเมริกัน ซึ่งปัจจุบันดูแลปฏิบัติการยับยั้งการรั่วไหลของน้ำมันในอ่าวดังกล่าว ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้แทน แหล่งข่าวเผย

 

เฮย์เวิร์ด วัย 53 ปีถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกับกรณีที่ทำให้มหาชนในสหรัฐฯ โกรธกริ้วมากยิ่งขึ้น โดยระหว่างที่ยังดูแลอุดรูน้ำมันรั่วไม่ได้ เฮย์เวิร์ด กลับพูดว่า เขาต้องการชีวิตที่เป็นปกติของเขากลับคืนมา ตลอดจนการที่เขาหาโอกาสหยุดงานพาบุตรชายไปแข่งขันเรือใบอย่างสบายใจเฉิบ ทั้งๆ ที่น้ำมันยังคงไหลทะลักลงอ่าวด้วยปริมาณ 60,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ เขายังถูกโจมตีอย่างหนักจากบรรดาสมาชิกสภาของสหรัฐฯ ในระหว่างชี้แจงต่อสภาคองเกรส

 

ด้านนักลงทุนต่างก็หวาดเกรงกันว่า การที่เฮย์เวิร์ดยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป จะทำให้ บีพี ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้นไปอีก ในการกอบกู้ชื่อเสียงในสหรัฐฯ ให้กลับคืนมาได้

 

สำหรับ ดัดลีย์ ผู้ซึ่งเติบโตในมลรัฐมิสซิสซิปปี และเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการบริษัทร่วมทุนระหว่างบีพีกับบริษัท ทีเอ็นเค ของรัสเซียมาก่อน จะกลายเป็นซีอีโอของบีพีที่ไม่ใช่ชาวอังกฤษคนแรกทันที หากไม่มีการพลิกโผใดๆ

 

อย่างไรก็ตาม หนทางเบื้องหน้าของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากรอยรั่วของบ่อน้ำมันมาคอนโด ซึ่งขณะนี้ถูกอุดด้วยฝาครอบชั่วคราว และยังไม่ถูกปิดสนิทดีนั้น เกิดรั่วไหลกลายเป็นปัญหารุนแรงขึ้นมาอีก งานนี้จะกระทบต่อชื่อเสียงของเขาทันที

 

ทั้งนี้ หลังจากที่มีการอุดรอยรั่วของบ่อน้ำมันด้วยฝาครอบชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 53 เป็นต้นมา ทางบอร์ดบริหารก็ได้หันเหความสนใจไปที่ปัญหาเกี่ยวกับอนาคตของเฮย์เวิร์ดอย่างจริงจัง ซึ่งจากคำแถลงเมื่อวันจันทร์ (25 ก.ค. 53) บีพี ได้ละทิ้งถ้อยคำเดิมที่เคยยืนยันถึงสถานะอันมั่นคงของซีอีโอรายนี้

 

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทซึ่งปัจจุบันมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ร่วงลงถึง 40% นับตั้งแต่เกิดวิกฤตในอ่าวเม็กซิโก ยังคงยืนยันว่า ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องนี้ แม้ว่าทางบริษัทอาจต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดเพิ่มขึ้นอีกเมื่อคำแถลงผลประกอบการประจำไตรมาสที่สองออกมาในวันอังคาร (27)

 

บรรดานักวิเคราะห์แห่งธนาคารบาร์เคลย์ คาดว่า บีพีอาจรายงานตัวเลขขาดทุนในไตรมาสที่สองเป็นเงินจำนวนถึง 13,000 ล้านดอลลาร์

 

ขณะที่มีการประมาณการต้นทุนความเสียหายจากกรณีน้ำมันรั่วคราวนี้เพิ่มขึ้นเป็น 25,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าผลกำไร 77% ของบริษัทอยู่มากเลยทีเดียว

 

ด้านสถานการณ์เก็บกู้คราบน้ำมันล่าสุดนั้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เรือเก็บกู้คราบน้ำมันของบีพีเริ่มกลับเข้าประจำการเพื่อแก้ปัญหาน้ำมันรั่วไหลอ่าวเม็กซิโกได้ตามปกติ หลังจากที่พายุโซนร้อนบอนนีอ่อนกำลังลงเมื่อช่วงคืนที่ผ่านมา

 

พล.ร.อ. แท็ด อัลเลน หัวหน้าคณะทำงานที่ดูแลเรื่องน้ำมันรั่วไหลในอ่าวเม็กซิโกเปิดเผยว่า เรือเก็บกู้คราบน้ำมันส่วนใหญ่เริ่มทะยอยกลับเข้าประจำการในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาน้ำมันรั่วไหลตามเดิมแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐได้สั่งการให้อพยพเจ้าหน้าที่และนำเรือทั้งหมดกลับเข้าสู่ชายฝั่ง เนื่องจากเกรงว่าพายุโซนร้อนบอนนีจะเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวเม็กซิโก ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อปฏิบัติการขจัดคราบน้ำมันในพื้นที่ดังกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐเปิดเผยว่า พายุโซนร้อนบอนนี เริ่มอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ

 

ขณะที่นักอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ฤดูพายุเฮอริเคนปีนี้ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. – 30 พ.ย. อาจจะส่งผลกระทบต่อความพยายามของบีพีในการกำจัดคราบน้ำมันที่รั่วไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก โดย AccuWeather Inc คาดว่า จะมีพายุที่เคลื่อนตัวอยู่ในอ่าวเม็กซิโกอย่างน้อย 3 ลูกที่ส่งผลกระทบต่อปฏิบัติการขจัดคราบน้ำมันของบีพี

 

 

EU ลงมติคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่ม

 

สหภาพยุโรปลงมติคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มเติม หวังสกัดกั้นความพยายามพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน

 

รายละเอียดของมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่จะมุ่งเน้นไปที่การจำกัดการซื้อขายและส่งออกอุปกรณ์ รวมถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกลั่นน้ำมัน รวมถึงการสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของอิหร่าน

 

เจ้าหน้าที่ของสหภาพยุโรปบอกว่า ถือเป็นการคว่ำบาตรที่รุนแรงที่สุดที่ EU เคยปฏิบัติกับประเทศใด ๆ

 

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนที่แล้ว สหประชาชาติเพิ่งลงมติคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มเป็นครั้งที่ 4 โดยมุ่งเน้นไปที่กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่าน ขณะที่สหรัฐก็ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มเติมของสหรัฐเองไปแล้วเช่นกัน

 

ประธานาธิบดีมาห์มูด อาห์มาดิเนจัด ระบุว่าอิหร่านจะตอบโต้อย่างแข็งกร้าว หากถูกคว่ำบาตรเพิ่มเติม

 

 

นักเศรษฐศาสตร์ย้ำจีนไม่เสี่ยง “Double Dip”

 

นักเศรษฐศาสตร์ของจีนแสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจจีนจะไม่เผชิญกับภาวะถดถอยรอบสอง แม้ว่าเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสองจะขยายตัวช้าลง

 

ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนในไตรมาส 2 ขยายตัวที่ระดับ 10.3% ซึ่งชะลอตัวลงจากที่ขยายตัวได้ 11.9% ในไตรมาสแรก เนื่องจากบทบาทของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวนที่ได้ใช้ไปก่อนหน้านี้เริ่มลดลง

 

ตัวเลขเศรษฐกิจดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายเกิดกระแสความกังวลว่าจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลกอาจเผชิญภาวะถอยถอยรอบสองได้

 

เหลียน ผิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารแบงก์ ออฟ คอมมิวนิเคชั่นกล่าวว่า การขยายตัวของจีดีพีที่ชะลอตัวลงมาอยู่ในระดับ 10.3% นั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นตัวเลขที่อยู่ในระดับต่ำ

 

ในทางตรงกันข้ามตัวเลขการขยายตัวดังกล่าวบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง และแม้ว่าจีดีพีจะปรับตัวมาอยู่ที่ 9% ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงสำหรับเศรษฐกิจจีน

 

นอกจากนี้ เหลียนเชื่อว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนจะไม่ปรับตัวลงมาอยู่ต่ำกว่าเมื่อช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 ที่ 6.1% ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตการเงินโลก แต่ยอมรับว่าภาคการส่งออกซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อาจได้รับผลกระทบในช่วงไตรมาสสามของปีนี้ จากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป

 

ขณะเดียวกัน เขาชี้ว่า ผู้บริโภคไม่ควรวิตกกังวลต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจมากจนเกินไป เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจในขณะนี้ยังเป็นปกติ

 

ขณะที่รัฐบาลควรรักษาเสถียรภาพด้านนโยบายด้านเศรษฐกิจมหภาคเพื่อให้นักลงทุนคาดการณ์แนวโน้มตลาดได้อย่างถูกต้อง

 

ทั้งนี้ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมการเงินสอดคล้องกับประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ของจีนที่กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า รัฐบาลควรยึดมั่นในการใช้นโบยการเงินเชิงรุกและมาตรการทางการเงินแบบผ่อนคลายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อปูทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วและมีเสถียรภาพ

 

พร้อมทั้งย้ำว่า เศรษฐกิจกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้องภายใต้มาตรการควบคุมด้านเศรษฐกิจมหภาคของรัฐบาล และรัฐบาลจะยังคงใช้นโยบายเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้บรรลุเป้าหมายและสร้างความยืดหยุ่นได้มากขึ้น

 

 

เวเนซุเอลาขู่ ไม่ส่งน้ำมันให้สหรัฐฯ หากยังสนับสนุนโคลัมเบีย

 

ประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ ขู่ระงับการส่งน้ำมันให้สหรัฐฯ หากยังคงสนับสนุนให้ทหารโคลอมเบียโจมตีเวเนซุเอลา และเตือนให้วอชิงตัน อย่ามาข้องแวะกับกรณีพิพาทดังกล่าวนี้

 

ชาเวซ ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับโคลอมเบีย เพื่อตอบโต้ประธานาธิบดี อัลวาโร อูริเบ ที่กล่าวหาว่ากองกำลังหัวรุนแรงชาวโคลอมเบียจำนวน 1,500 คนตั้งค่ายอยู่ในเวเนซุเอลา และเปิดฉากโจมตีมาจากที่นั่น

 

ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา แถลงเมื่อวันอาทิตย์ (25 ก.ค. 53) ว่า ได้รับข่าวกรองมาว่า “มีความเป็นไปที่โคลอมเบียจะรุกรานดินแดนเวเนซุเอลา” สูงกว่าที่เคยเป็นมา “ในรอบ 100 ปี”

 

หากโคลอมเบียโจมตีเรา “โดยรับการสนับสนุนจากจักรวรรดิแยงกี้ เราจะระงับการส่งน้ำมันให้สหรัฐฯ แม้ทุกคนในประเทศนี้ต้องเก็บหินมากินแทนข้าวก็ตาม” เขาเตือน “แม้น้ำมันหยดเดียว เราก็จะไม่ส่งให้”

 

ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นลูกค้าน้ำมันอันดับหนึ่งของเวเนซุเอลา โดยประเทศในแถบละตินอเมริกาประเทศนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกของโอเปก และเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกน้ำมันมากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้

 

ชาเวซ ผู้ซึ่งเคยวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐอย่างหนัก กรณีการตั้งฐานทัพทหารในโคลัมเบียเมื่อปีที่แล้ว นิยามสหรัฐว่าเป็น “สุดยอดนักยุยง” และอยู่เบื้องหลังกรณีพิพาทระหว่างเวเนซุเอลา กับโคลอมเบียในขณะนี้

 

ทางทหารเวเนซุเอลา ให้ข้อมูลว่า กำลังทหารประมาณ 20,000 คน ที่ประจำการอยู่ตลอดแนวชายแดนที่ติดกับโคลอมเบียกว่า 2,000 กิโลเมตร ได้รับคำสั่งให้ยกระดับการป้องกันเป็น “การเฝ้าระวังสูงสุด”

 

น้ำมันเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่สุดของเวเนซุเอลาที่ส่งไปยังสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วเฉพาะน้ำมันเพียงอย่างเดียวส่งออกเป็นมูลค่ากว่า 27,120 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 96.5 ของสินค้าทั้งหมดที่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันประเทศนี้ส่งออกไปยังสหรัฐฯ

 

 

Fed Ex ปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไรปี 53

 

FedEx ขยับขึ้นคาดการณ์กำไรประจำไตรมาสที่จะสิ้นสุดในเดือนสิงหาคมและของทั้งปี 2553 ขึ้นเหนือการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเห็นความต้องการขนส่งแบบเร่งด่วนระหว่างประเทศมีมากขึ้น จนทำให้ราคาหุ้นพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์

 

ยักษ์ใหญ่ขนส่งจากรัฐเทนเนสซี่รายนี้คาดการณ์กำไรในไตรมาสปัจจุบันว่า น่าจะออกมาในช่วง 1.05 – 1.25 เหรียญต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากตัวเลขเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 85 เซนต์ – 1.05 เหรียญ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่แถวๆ 1 เหรียญ

 

FedEx ระบุว่า ปริมาณการส่งมอบวัสดุระหว่างประเทศแบบเร่งด่วน จะกระโดดขึ้นมากกว่า 20% สำหรับไตรมาสปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลกที่มีมากขึ้น เพราะปกติแล้วสภาวะธุรกิจของทั้ง FedEx และคู่แข่ง อย่าง United Parcel Service หรือ UPS ถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีสำหรับทิศทางอุตสาหกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ หรือแม้แต่เอกสารทางการเงินที่ภาคธุรกิจนิยมใช้บริการผ่านช่องทางนี้

 

ความเคลื่อนไหวของ FedEx เกิดขึ้นภายหลัง UPS ที่เพิ่งปรับขึ้นประมาณการกำไรไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จากเหตุผลดีมานด์ในเอเชียและยุโรปที่ดีขึ้น ขณะที่ความต้องการในสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มที่จะขยายตัวดีกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง

 

 

ส่งออกหนุนเศรษฐกิจเกาหลีใต้ Q2/53 โต 1.5%

 

ธนาคารกลางเกาหลีใต้เผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีไตรมาส 2 ของเกาหลีใต้ขยายตัว 1.5% จากระดับไตรมาส 1

 

หลังจากที่ได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่สดใสและดีมานด์ภายในประเทศที่ปรับตัวขึ้น นับเป็นสถิติที่ช่วยสนับสนุนมุมมองเรื่องการฟื้นตัวอย่างมั่นคงของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ ขณะที่จีดีพีของเกาหลีใต้ขยายตัว 7.2% จากระดับปีที่แล้ว (Q2/2009) เมื่อเทียบเป็นรายครึ่งปีนั้น เศรษฐกิจเกาหลีใต้ขยายตัว 7.6% จากช่วงปีที่แล้ว (Q1-2/2009)

 

ธนาคารกลางเกาหลีใต้ระบุว่า ยอดการใช้จ่ายภาคเอกชนขยายตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ส่วนการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคและการส่งออกก็ขยายตัวขึ้นอย่างมาก โดยธนาคารกลางได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้เป็น 5.9% จากระดับคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 5.2%

 

ทั้งนี้ การส่งออกของเกาหลีใต้พุ่งขึ้น 7.1% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส หลังจากที่ขยายตัว 3.7% ในไตรมาสแรก

 

 

กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเพิ่มคาดการณ์ ศก. เม.ย.-มิ.ย.

 

กระทรวงการคลังญี่ปุ่นปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจเดือนเม.ย.-มิ.ย.ติดต่อกัน 2 ไตรมาส หลังจากที่ยอดการซื้อรถและสินค้าหรูหราขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับระบุว่า เศรษฐกิจยังคงอยู่สถานการณ์ที่เรียกได้ว่ายากลำบาก แต่ก็ยังฟื้นตัวอย่างช้าๆโดยเฉพาะในภาคของการผลิต

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานผลการสำรวจรายไตรมาสที่รวบรวมโดยสำนักงานระดับภูมิภาคทั่วประเทศของกระทรวงคลังว่า การผลิตฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากดีมานด์ในเอเชียที่สูงขึ้น รวมทั้งผลผลิตช้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการผลิตอุปกรณ์ใช้สอยภายในบ้านและมือถือขยายตัวขึ้น

 

ส่วนการบริโภคส่วนบุคคลนั้น ยอดขายรถขยายตัวอย่างรวดเร็วหลังจากที่รัฐบาลได้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับสินค้าหรูหรามากขึ้น

 

ขณะที่สถานการณ์ด้านแรงงานยังอยู่ในภาวะที่หนักหนาสาหัสทั่วประเทศ แม้ว่าจะมีสัญญาณของการฟื้นตัวออกมาในบางพื้นที่ก็ตาม

 

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (จันทร์ที่ 26 ก.ค. 53)

• ยอดขายบ้านใหม่ (มิ.ย.) อยู่ที่ระดับ 330,000 ยูนิต (เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า)

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (อังคารที่ 27 ก.ค. 53)

• ดัชนีราคาบ้าน (พ.ค.) โดย S&P/Case-Shiller

• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ก.ค.) โดย Conference Board

 

 

ตัวเลขยอดขายบ้านใหม่สหรัฐฯเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นดีกว่าคาด

 

ตัวเลขยอดขายบ้านใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน และดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ หลังจากร่วงลงไปแบบไม่คาดคิดในเดือนก่อนหน้า ซึ่งตัวเลขล่าสุดก็ทำให้หลายคนเริ่มเบาใจขึ้นได้สำหรับเรื่องผลกระทบที่จะตามมาภายหลังจากมาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีหมดอายุลง

 

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานยอดการซื้อบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม มาอยู่ที่อัตรา 330,000 หน่วยต่อปี แม้ตัวเลขดังกล่าวยังถือว่าเป็นระดับที่เกือบต่ำสุดหากย้อนหลังไปจนถึงปี 2509

 

นักเศรษฐศาสตร์รายหนึ่งในนิวยอร์กมองว่า รายงานตลาดบ้านล่าสุดถือเป็นการดีดตัวขึ้นในระหว่างที่ตลาดกำลังอยู่ในฐานต่ำสุด ซึ่งอนาคตคงต้องขึ้นอยู่กับตัวแปรที่สำคัญ ก็คือ อัตราการจ้างงาน ที่จะเป็นเครื่องตัดสินว่าความเชื่อมั่นในตลาดบ้านจะเป็นอย่างไร ท่ามกลางปัจจัยทางด้านราคาที่ยังคงร่วงลงอยู่ในเดือนล่าสุด ขณะที่ทางด้านซัพพลายปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 7.6 เดือน จาก 9.6 เดือน ในเดือนพฤษภาคม

 

 

ผู้หญิงญี่ปุ่นอายุยืนกว่าเดิมทำสถิติโลกใหม่

 

กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการแดนปลาดิบ เผยวันนี้ (26 ก.ค. 53) ชาวญี่ปุ่นมีอายุยืนกว่าแต่ก่อน ด้วยสตรีมีช่วงอายุชีวิตเฉลี่ย 86.44 ปี ซึ่งนับเป็นสถิติโลกใหม่ ขณะที่ช่วงอายุชีวิตเฉลี่ยของผู้ชายอยู่ที่ 79.59 ปี

 

ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังครองอันดับ 5 ของประเทศซึ่งบุรุษมีอายุชีวิตเฉลี่ยสูงสุดในโลก โดยอันดับ 1 เป็น กาตาร์ 81.0 ปี ตามมาด้วย ฮ่องกง ไอซ์แลนด์ และ สวิตเซอร์แลนด์

 

ผู้คนในญี่ปุ่นมีกิตติศัพท์ด้านอายุยืน เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การใช้ชีวิตประจำวันแบบกระฉับกระเฉงและการดูแลสุขภาพที่ดี

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงชีวิตที่ยืนยาวก็ก่อปัญหาแก่ญี่ปุ่นเช่นกัน ทั้งด้านพลเมืองวัยทำงานที่ลดน้อยลงและคนวัยเกษียณที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ประเทศแห่งนี้เผชิญปัญหาอัตราเกิดต่ำด้วย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...