ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

กฏหมายคุมเข้มวอลล์สตรีทบีบ Goldman Sachs ปรับแผนธุรกิจ

 

Posted on Friday, August 06, 2010

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (พฤหัสบดีที่ 5 ส.ค. 53)

• ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ 479,000 ราย

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (ศุกร์ที่ 6 ส.ค. 2553)

• ตัวเลขการจ้างงาน (ก.ค.) โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ

• สินเชื่อผู้บริโภค (มิ.ย.) โดย ธนาคารกลางสหรัฐฯ

 

 

กฏหมายคุมเข้มวอลล์สตรีทบีบ Goldman Sachs ปรับแผนธุรกิจ

 

กฏหมายกำกับดูแลภาคการเงินฉบับใหม่มีผลต่อการทำธุรกิจของสถาบันการเงิน และต้องหันกลับมาปรับกลยุทธ์ภายในองค์กรก่อนที่จะเดินหน้าเรียกลูกค้ากันต่อไป

 

สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า Goldman Sachs Group มีแผนที่จะปฏิรูปแผนกกลยุทธ์บริหารเงินทุน (Principal Strategies) ที่เดิมเคยใช้ทุนของบริษัทไปลงตราสารที่มีความเสี่ยง เพื่อหวังสร้างกำไร โดยวางแผนจะแปลงเงินในส่วนดังกล่าวให้กลายมาอยู่ในรูปของกองทุน รวมถึงให้สามารถระดมทุนจากภายนอกได้

 

ข่าวรายงานว่าสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่จะประกาศแผนดังกล่าวสู่สาธารณะในเร็วๆ นี้ ขณะที่ทางทีมงานก็วางเป้าไว้ว่าจะดำเนินการปรับเปลี่ยนทุกอย่างให้เสร็จก่อนสิ้นปี แม้จะยังไม่ได้กำหนดเป้าจำนวนเงินที่ต้องการจะระดมทุนเพิ่มก็ตาม

 

กฏหมายปฏิรูปวอลล์สตรีทที่ถูกปรับโดยสมาชิกระดับเก๋าของสภาคองเกรส อย่างนาย Christopher Dodd และ Barney Frank ถูกเซ็นรับรองอนุมัติโดยประธานาธิบดี บารัค โอบามา และบังคับใช้เป็นกฏหมายตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กฏใหม่มีผลห้ามไม่ให้สถาบันการเงิน อย่างเช่น Goldman Sachs ทำธุรกรรมที่ใช้พอร์ทตนเองซื้อขายหลักทรัพย์ และส่งผลให้แผนกที่เคยดูแลงานในส่วนนี้ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงาน โดยมีความเป็นไปได้ที่ Goldman อาจจะหาทางระดมทุนมาเพื่อการนี้ ก่อนที่จะเกิดการแข่งขันแย่งชิงตัวพนักงานจากแบงก์อื่น

 

แบงก์ใหญ่จากนิวยอร์กแห่งนี้ ไม่ได้เปิดเผยว่า แผนกดังกล่าวสร้างรายได้หรือกำไรให้กับธนาคารคิดเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ เพียงแต่เคยระบุว่า ธุรกรรมที่ซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อพอร์ทของตนเองนั้นคิดเป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ยราว 10% ของรายได้ทั้งปี

 

 

ECB-BOE มีมติตรึงดอกเบี้ยตามคาด

 

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 1% ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ECB ได้คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ 1.75% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากข้ามคืนที่ 0.25% ด้วย

 

ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจในยูโรโซน หรือ 16 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร จะฟื้นตัวขึ้น แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งนัก และเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้มีการคาดหมายกันว่า อีซีบีจะคงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ต่อไปอีกหลายเดือน

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร 16 ประเทศ เพิ่มขึ้น 1.7% ต่อปีในเดือนกรกฎาคม จากระดับ 1.4% ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่

 

ถึงแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อล่าสุดจะปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 หรือในรอบ 20 เดือน และเข้าใกล้ระดับเป้าหมาย 2% ที่ธนาคารกลางยุโรปกำหนดไว้ แต่นักเศรษฐศาสตร์ก็ยังเชื่อว่า ECB จะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 1% ต่อไปจนถึงปีหน้า

 

ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุด 0.5% เป็นเดือนที่ 18 ติดต่อกัน ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายวันนี้ ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ เนื่องจากยังคงมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอังกฤษว่าจะแข็งแกร่งและยั่งยืนหรือไม่

 

ทั้งนี้ แม้อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษ ซึ่งชี้วัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อยู่ที่ระดับ 3.2% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งสูงกว่าระดับเป้าหมายที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ที่ 2% แต่ธนาคารยังไม่กล้าขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะข้อมูลเศรษฐกิจต่างๆยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเศรษฐกิจอังกฤษฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งแล้ว

 

 

EU-IMF แย้มกรีซเตรียมรับเงินกู้งวดสอง

 

คณะผู้ตรวจการจากสหภาพยุโรป (EU) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้สูงที่กรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นครั้งที่สองจาก EU และ IMF

 

หลังจากที่คณะผู้แทนจากสององค์กรได้ร่วมกันทบทวนแผนลดรายจ่ายอย่างเข้มงวดของรัฐบาลกรีซมาเป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์ และพบว่ากรีซมีความคืบหน้าอย่างมากในการจัดการกับวิกฤตหนี้สาธารณะ อย่างไรก็ตาม คณะผู้ตรวจการเตือนว่า กรีซยังคงมีความท้าทายและความเสี่ยงต่างๆรออยู่ข้างหน้า

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวานนี้ผู้เชี่ยวชาญจากคณะกรรมาธิการยุโรป ธนาคารกลางยุโรป และ IMF ได้เข้าพบกับนายจอร์จ ปาปาคอนสแตนตินู รัฐมนตรีคลังกรีซ เพื่อพูดคุยถึงรายละเอียดสุดท้ายของรายงานการตรวจสอบบัญชี ซึ่งจะยื่นไปถึงบรัสเซลส์และวอชิงตันในเดือนกันยายนนี้

 

แหล่งข่าวจากรัฐบาลกรีซเปิดเผยว่า กรีซหวังว่ารายงานการตรวจบัญชีดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติ และกรีซจะได้รับเงินช่วยเหลืองวดที่สองมูลค่า 9 พันล้านยูโร (1.18 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในวันที่ 13 กันยายนนี้

 

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประเทศพันธมิตรในยุโรปและ IMF ตัดสินใจให้เงินช่วยเหลือกรีซมูลค่า 1.1 แสนล้านยูโร (1.452 แสนล้านดอลลาร์) เป็นระยะเวลา 3 ปี แลกกับการที่กรีซต้องใช้มาตรการลดค่าใช้จ่ายและปฏิรูประบบการคลัง

 

ผู้ตรวจการดูเหมือนว่าจะพอใจกับความคืบหน้าของกรีซในการผลักดันตนเองให้หลุดพ้นจากวิกฤตหนี้สินขั้นรุนแรง แต่ยังคงแสดงความวิตกกังวลเรื่องรายได้จากการเก็บภาษีที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงความเชื่องช้าในการปฏิรูปโครงสร้างการเงิน ทางผู้ตรวจการจึงแนะนำให้กรีซเร่งมือให้เร็วขึ้นก่อนถึงฤดูใบไม้ร่วงนี้

 

ทั้งนี้ โพล ธอมเซ่น เจ้าหน้าที่จาก IMF แสดงความเชื่อมั่นว่ากรีซจะได้รับเงินช่วยเหลืองวดต่อไปแน่นอน

 

 

อินโดฯ ยืนยันให้บริการแบล็คเบอร์รี่ตามปกติ

 

อินโดนีเซียยังคงเปิดให้มีการใช้บริการต่างๆ บนเครื่องแบล็คเบอร์รี่ของบริษัทรีเสิร์ช อิน โมชั่น จากแคนาดาได้ตามปกติ ระบุรัฐบาลไม่มีแผนเดินตามรอยซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)

 

"รัฐบาลยังไม่เห็นถึงผลกระทบในแง่ลบจากการให้บริการแบล็คเบอร์รี่ในประเทศ" ประธานศูนย์ข้อมูลและการประชาสัมพันธ์ในสังกัดกระทรวงข้อมูลและการสื่อสารของอินโดนีเซียกล่าว พร้อมแสดงความเห็นกรณีซาอุดิอาระเบียและ UAE ว่า นโยบายเรื่องการอนุญาตให้ใช้หรือระงับการใช้บริการต่างๆ ของแบล็คเบอร์รี่นั้น ถือเป็นเรื่องภายในของรัฐบาลแต่ละประเทศ

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ขณะนี้ซาอุดิอาระเบียและ UAE เป็น 2 ประเทศในตะวันออกกลางที่มีแผนระงับการให้บริการเว็บเบราเซอร์ อีเมล และบริการส่งข้อความบนแบล็คเบอร์รี่ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและความปลอดภัยในประเทศ โดยซาอุดิอาระเบียจะเริ่มระงับการให้บริการตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป ขณะที่ยูเออีจะงดให้บริการในเดือนตุลาคม

 

ทั้งนี้ อินโดนีเซียมีผู้ใช้แบล็คเบอร์รี่เพิ่มมากขึ้น โดยยอดผู้ใช้งานล่าสุดในปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 400,000 คน

 

 

ซีอีโอจาก 100 บริษัทเตรียมร่วมประชุม G-20 ปลายปีนี้

 

คณะผู้บริหาร 100 คนจากทั่วโลกเตรียมเข้าร่วมการประชุมสุดยอดด้านเศรษฐกิจโลกของกลุ่มประเทศ G-20 ที่กรุงโซลในปลายปีนี้

 

คณะกรรมการวางแผนการประชุมของเกาหลีใต้คาดว่า ซีอีโอจาก 100 บริษัททั่วโลกจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดด้านเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ G-20 ที่กรุงโซล ในระหว่างวันที่ 10 - 11 พฤศจิกายน ก่อนที่การประชุมสุดยอด G-20 จะเปิดฉากขึ้นในวันถัดไป

 

รายงานข่าวระบุว่า ในงานนี้จะมีผู้นำภาคธุรกิจ 80 คนจากประเทศสมาชิกในกลุ่ม G-20 เข้าร่วม ขณะที่ผู้นำภาคธุรกิจที่เหลืออีก 20 คนจะมาจากประเทศนอกกลุ่ม G-20 โดยที่ประชุมจะหารือถึงข้อตกลงด้านการค้าและการลงทุน การเงิน การขยายตัวด้านสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบขององค์กรที่มีต่อสังคม

 

สำหรับผู้บริหารที่จะเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ รวมถึง โจเซฟ แอคเคอร์มานน์ ซีอีโอของดอยช์แบงก์ สตีเฟ่น กรีน ประธานเอชเอสบีซี โฮลดิ้ง พีแอลซี และชอย แต-วอน ประธานบริษัทเอสเคกรุ๊ปของเกาหลีใต้

 

 

การค้า สิงคโปร์-มาเลเซียครึ่งปีแรกโต 36%

 

นายลิม ฮึง เกียง รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ กล่าวว่า การค้าระหว่างสิงคโปร์และมาเลเซียในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 มีมูลค่ารวม 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 3.9 พันล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

นายลิมระบุว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสิงคโปร์และมาเลเซียมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นายลิมยังกระตุ้นภาคธุรกิจของสิงคโปร์ให้เสริมสร้างความสัมพันธ์กับภาคธุรกิจของมาเลเซียและการค้าระหว่างสองประเทศมากยิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ นายลิม กล่าวเสริมว่า องค์กรธุรกิจควรใช้ความสัมพันธ์ระหว่างมาเลเซียและสิงคโปร์ในการพัฒนาธุรกิจที่ส่งเสริมการเติบโตของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) นอกจากนี้ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างมาเลเซียและสิงคโปร์สามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ตลาดอาเซียนได้

 

 

เศรษฐีรวยที่สุดในฮ่องกงมีแผนที่จะบริจาคเงินเพื่อการกุศลมากขึ้น

 

นายลี กาชิง เศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในฮ่องกง เผยว่า จะบริจาคเงินเพื่อการกุศลมากขึ้น แต่ไม่ตอบว่าจะเดินตามรอยกลุ่มเศรษฐีอเมริกัน 40 คน หรือไม่ ที่ประกาศจะบริจาคทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้การกุศล

 

นายลี กาชิงวัย 82 ปี มีทรัพย์สินรวม 21,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 702,900 ล้านบาท) จากการลงทุนในธุรกิจท่าเรือ อสังหาริมทรัพย์ โทรคมนาคม และโครงการสาธารณูปโภค กล่าวว่า พอใจมากที่ขณะนี้สุขภาพแข็งแรงดี

 

มูลนิธิลีกาชิงของเขาได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (มากกว่า 41,000 ล้านบาท) ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ส่วนใหญ่นำไปใช้ในจีน

 

เศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในฮ่องกง มั่นใจว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้ามูลนิธิจะบริจาคเงินมากกว่าช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และว่าเขาได้แบ่งทรัพย์สินให้แก่มูลนิธิไปแล้ว 1 ใน 3 ของที่มีอยู่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำ ประจำวันที่ 6 ส.ค.53

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- ศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2553 10:09:07 น.

กรุงเทพฯ--6 ส.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์

คำแนะนำการลงทุน Gold Futures

DAY TRADER

GFM10 ซื้อในช่วงราคา 18230 — 18260 ขายในช่วงราคา 18310 — 18340

GFQ10 ซื้อในช่วงราคา 18340 — 18370 ขายในช่วงราคา 18410 — 18450

SWING TRADER

ทิศทางราคาทองคำกลับเป็นแนวโน้มSIDEWAY UPโดยมีแนวรับและแนวต้านที่ 1190เหรียญและ1203เหรียญ คำแนะนำนักลงทุนรายวันให้เก็งกำไรในภาวะขาขึ้นระวังการเทขายทำกำไร คำแนะนำนักลงทุนรายสัปดาห์หาจังหวะเข้าสะสมLONG POSITION 60%ของPortfolio

 

GFQ10 รอเข้าซื้อที่ระดับ 18250รอขายที่ระดับ 18400

ปัจจัยสำคัญ

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว พุ่งขึ้น 19,000 ราย สู่ระดับ 479,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีนี้ และบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังอ่อนแอ ในขณะที่บริษัทหลายแห่งยังคงลดการจ้างงาน พร้อมกับจับตาดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payroll) เดือนก.ค. ในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนก.ค.จะลดลง 65,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนก.ค.จะอยู่ที่ 9.6% เพิ่มขึ้นจากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 9.5%

 

กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เข้าถือครองทองคำ1282.746ตัน ในช่วงเวลาที่สิ้นสุด ณ วันที่ 5ส.ค. ลดลง0.441ตันจากระดับ1,281.834 ของวันที่ 4ส.ค.

 

MORNING RECAP : ราคาทองคำต่างประเทศเปิดที่ระดับ 1,195 $ ส่วน Gold Future Q10 เปิดที่ 18,290 สมาคมค้าทองแท่งเปิดที่ 18,250 ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันทำการก่อน ตลาดทองคำอยู่ในทิศทางการปรับฐาน ในช่วงเช้าราคาทองคำแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,194 - 1,198 $ สำหรับช่วงบ่าย ราคาทองคำแกว่งตัว Side way ปิดตลาด Gold Future Q10 ปิดตลาดที่ 18,280 ในขณะที่ราคาทองคำแท่งของสมาคมค้าทองคำแท่งปรับขึ้นลง 50 บาท 2 ครั้ง ปิดตลาดอยู่ที่ 18,250 นักลงทุนซื้อขายทำกำไรอย่างเบาบาง เนื่องจาก Gold Spot ไม่เคลื่อนไหว

 

NIGHT RECAP:ราคาทองคำเปิดตลาดในประเทศไทยที่ระดับ 1195 เหรียญ โดยราคาเคลื่อนตัวอยู่ระหว่าง 1192 - 1197 เหรียญ ก่อนกลับมาปิดตลาดที่ 1195 เหรียญ ในเวลาประเทศไทย ต่อมาในตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก ราคาทองคำมีการเคลื่อนตัวอยู่ระหว่าง 1190-1200 เหรียญ และมาปิดตลาดที่ 1195.3 เหรียญ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หยิบเงินหยิบทอง : บล.กิมเอ็ง

วันศุกร์ที่ 06 สิงหาคม 2010 เวลา 09:45 น. บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

กลยุทธ์วันนี้ Next Station 880

 

ประเด็นสำคัญวันนี้ ในที่สุด SET INDEX วานนี้สามารถปิดเหนือ 870 จุดได้ หลังจากทดสอบแนวต้านดังกล่าวมา 4 วันติดต่อกัน แม้ว่าตลาดหุ้นเอเชีย – ยุโรปจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบก็ตาม แต่ด้วยเม็ดเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง วานนี้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 9 และซื้อสุทธิทั้ง 3 ตลาดพร้อมกันเป็นวันที่ 4 สะท้อนมุมมองเชิงบวกชัดเจน

 

 

 

ทิศทาง SET INDEX วันนี้เชื่อว่าจะยังมีความพยายามในการไต่ระดับขึ้นแบบ Sideways-to-Sideways-Up สู่บริเวณ 875-880 จุด แม้ว่า DJIA – NYMEX เคลื่อนไหวค่อนข้างแคบคืนวานนี้ อย่างไรก็ตามคาเกิดแรงขายทำกำไรช่วงบ่ายค่อนข้างหนาแน่นก่อนเข้าสู่วันหยุดสุดสัปดาห์ และนักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะชะลอการลงทุน เพื่อรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ คืนนี้ ตลาดมีมุมมองเชิงลบ คาดหดตัวลงถึง 1.00 แสนตำแหน่ง จากเดือนมิ.ย.ที่ลดลง 1.25 แสนตำแหน่ง

 

สำหรับมุมมองในสัปดาห์หน้า KimEng ประเมินว่า SET INDEX จะสามารถไต่ระดับขึ้นไปทดสอบ 886 จุด หากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรคืนนี้ออกมาดีกว่าคาด และการประชุดเฟดสัปดาห์หน้าหากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม ยิ่งกลายเป็นจุดที่สร้างแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ยังมีประเด็นงบการเงิน 2Q53 เข้ามาเสริมอีกด้วย

 

 

 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng เสนอ “ถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ” และ “ทยอยสะสม AP / TASCO

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้นักลงทุน “ควรพิจารณาปิดสถานะ Long ใน S50U10 เพื่อทำกำไรบริเวณ 600 +/-“ และถือเงินสด Stop Loss: S50U10 < 585 จุด ปิด Long และ เปิด Short

Portfolio Hold: CPF/ TASCO / MCOT/ BBL/ PTT/PTTEP/ BANPU/ TPC/ MINT/ THAI/ AOT/ KCE/ MAJOR/ ADVANC/ BTS/ TVO/ AP/ CPALL/ HEMRAJ

Accumulative Buy: AP/ TASCO

Technical View แนวรับ 862-865 จุด ส่วนแนวต้าน 886-888 จุด และ 925-930 จุด ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อขายตามแนวโน้ม หุ้นกลุ่มหลักยังกลับมาสลับกันผลักดันเช่นเดิม

 

 

 

-Strategy Today

 

แม้ว่าตลาดหุ้นในเอเชียและยุโรปวานนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ อีกทั้ง DJIA Futures และ NYMEX อ่อนตัวลงระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย แต่เม็ดเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง หลังรมว.คลังให้ความเห็นต่อ GDP ใน 2Q53 จะเติบโตได้ถึง 8% yoy ทำให้เกิดแรงซื้อในกลุ่มธนาคารเข้ามาอย่างหนาแน่น รวมถึงการเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลางที่คาดว่างบการเงิน 2Q53 จะออกมาเติบโตโดดเด่น ปิดตลาดวานนี้ SET INDEX อยู่ที่ 874.92 จุด บวก 7.58 จุด หรือ 0.88% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 37,256 ล้านบาท

 

 

 

กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดวานนี้ได้แก่ กลุ่มอาหาร +3.63%, กลุ่ม IMM +2.51% และกลุ่มเกษตร +2.36% ขณะที่กลุ่มหลักอย่างกลุ่มธนาคาร +1.29% กลุ่มพลังงานบวกเป็นวันที่ 4 อีก +0.3% และกลุ่ม ICT +2.27%

 

 

 

KimEng ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ SET INDEX ต่อเนื่อง โดยวันนี้มีโอกาสที่จะขยับขึ้นไปเคลื่อนไหวในกรอบด้านบน 875-880 จุด แต่เชื่อว่าจะยังไม่สามารถทะลุแนวดังกล่าวไปได้เช่นกัน แม้ว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะยังอยู่กับตลาดหุ้นไทยก็ตาม เนื่องจาก

 

 

 

1.ณ ระดับ SET INDEX ปัจจุบันถือว่าสร้างผลตอบแทนเกือบ 2% wow: แต่หากพิจารณาหุ้นบางตัวเช่น TRUE / TMB/ JAS ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 10% ในรอบสัปดาห์ เชื่อว่าจะมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่จะชะลอการลงทุน ด้วยการขายทำกำไร และถือเงินสด เพื่อรอดูทิศทางการลงทุนในต้นสัปดาห์หน้ากันอีกครั้ง

 

 

2.รอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ คืนนี้: ตลาดประเมินตัวเลขดังกล่าวว่าจะหดตัวลง 1.00 แสนตำแหน่ง จากเดือนมิ.ย.ที่ลดลง 1.25 แสนตำแหน่ง หรือมีมุมมองที่เป็นลบค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนทั่วโลกน่าจะชะลอการลงทุนในวันนี้ เพื่อรอดูตัวเลขดังกล่าวในคืนนี้

 

 

แต่ Downside risk ของ SET INDEX จะเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน เช่นเดียวกับ DJIA ในช่วงสั้นนี้ ไม่ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดค่อนข้างมาก แต่ DJIA ปรับฐานลงเพียงจำกัด แตกต่างกับในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนแรงเก็งกำไรต่อสินทรัพย์เสี่ยงมีเป็นจำนวนมาก

 

 

 

และทิศทาง SET INDEX สัปดาห์หน้าเชื่อว่าจะยังเป็นลักษณะของ Sideways-to-Sideways-Up สู่แนวสูงสุดก่อนหน้า 886 จุดในเดือนพ.ค. 2551 ด้วยปัจจัยสนับสนุนดังต่อไปนี้

1.หากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ คืนนี้ออกมาดีกว่าคาด: เมื่อตลาดมีมุมมองเป็นเชิง “ลบ” ไว้ก่อนหน้าแล้ว ดังนั้นโอกาสที่ผลจะออกมาดีกว่าคาดมีความเป็นไปได้สูง นั้นย่อมทำให้เม็ดเงินทุนไหลเข้าเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX

2.หากการประชุมเฟดสัปดาห์หน้ามีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม: แน่นอนว่านโยบายการเงิน โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate ที่ 0.10% ยังไม่สามารถขยับขึ้นได้ แต่ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจที่ทยอยประกาศออกมาส่งสัญญาณการชะลอตัว และประธานเฟดหลายท่านออกมาให้ความเห็นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้น หากมีมาตรการเสริมขึ้นมาในการประชุมรอบนี้ อาจทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง แรงเก็งกำไรกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง อย่างตลาดหุ้น และน้ำมัน ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน

3.กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงมองโอกาสของการลงทุนในไทย: หลังรมว.คลังและธปท.ออกมายืนยันถึงเศรษฐกิจใน 1H53 จะเติบโต 10% yoy หรือ 2Q53 จะขยายตัวได้ 8% yoy ยิ่งเป็นการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างมาก บวกกับทิศทางค่าเงินบาทน่าจะแข็งค่ามากยิ่งขึ้น หากตัวเลขการส่งออก – นำเข้าเดือนก.ค.ที่จะรายงานในสัปดาห์หน้ายังสร้างความเกินดุลการค้า ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดเม็ดเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดเงิน – ตลาดทุนไทยต่อเนื่องเช่นกัน

4.การเก็งกำไรงบ 2Q53 จะทำให้ Downside Risk ของตลาดหุ้นไทยจำกัดโดยเปรียบเทียบ: สัปดาห์หน้ากลุ่ม PTT และหุ้นหลักอื่นๆ อย่าง CPF / CPALL / BANPU/ PS / QH / SPALI จะทยอยประกาศงบ พร้อมกับเงินปันผลงวด 1H53 ในหุ้นบางตัว ย่อมทำให้ Downside Risk ของตลาดหุ้นไทย เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคน่าจะเป็นไปอย่างจำกัด แต่อาจกลายเป็นจุดของการเก็งกำไร เพื่อผลักดัน SET INDEX ได้เช่นกัน

 

 

 

ด้วยมุมมองต่อการลงทุนในวันนี้ และระยะสัปดาห์ เป็นบวก KimEng เสนอให้นักลงทุน “ถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ” ข้ามสัปดาห์ เพื่อไปรอขายบริเวณ 880-900 จุดในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนมีสภาพคล่องส่วนเกิน KimEng เสนอให้ “ทยอยสะสม” หุ้นที่คาดว่าจะประกาศงบ 2Q53 ออกมาโดดเด่น พร้อมกับแนวโน้มใน 2H53 ที่จะยังเติบโตได้ต่อเนื่อง

 

 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำให้นักลงทุน “ทยอยสะสม” หุ้นต่อไปนี้

1.AP: ราคาปิด 6.50 บาท เทียบกับราคาเหมาะสม 7.20 บาท

a.ด้วยมุมมองเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแข็งแกร่ง น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อยอดขายที่อยู่อาศัยในช่วง 2H53 แม้ว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น และธปท. ออกมาแสดงความกังวลต่อแรงเก็งกำไรในโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น แต่จากการรายงาน AREA พบว่า ความต้องการที่แท้จริงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บวกกับการลงทุนเพื่อปล่อยเช่า ทำให้ปัญหา Oversupply ยังไม่ใช่ประเด็นเสี่ยงในขณะนี้

b.แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2Q53 คาดว่าจะหดตัวลง 63% qoq และ 90% yoy เป็น 130 ล้านบาท จากยอดโอนที่ลดลง และบริษัทต้องกลับมาจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะอีกครั้ง ซึ่งราคาหุ้น น่าจะสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวไปแล้วเช่นกันกัน

c.คาดว่ายอด presales ของ AP จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในครึ่งปีหลัง จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและโครงการเปิดใหม่มากถึง 13 โครงการ มูลค่ารวม 2.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 10 โครงการ มูลค่ารวม 1.24 หมื่นล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่ารวม 9.60 พันล้านบาท จากที่เปิดเพียง 5 โครงการในครึ่งปีแรก มูลค่ารวม 8.35 พันล้านบาท

d.คอนโดมิเนียมยกมาโอนใน 2Q-4Q/53 ค่อนข้างน้อย ประมาณ 1.5 พันล้านบาท โดยหลักๆ มาจากโครงการ Rhythm รัชดา ซึ่งคาดว่าจะโอนใน 4Q53 ประมาณ 1.0 พันล้านบาท ด้วยเหตุนี้ เราจึงคาดว่าผลประกอบการจะชะลอตัวใน 2Q-3Q53 และฟื้นตัวแข็งแกร่งอีกครั้งใน 4Q53 หลังหักยอดรับรู้รายได้ใน 2Q53 คาดว่า Backlog ของ AP จะเท่ากับ 1.42 หมื่นล้านบาท จากยอด Backlog ทั้งหมด

 

 

2.TASCO: ราคาปิดวานนี้ 41.25 บาท ราคาเหมาะสม 44.00 บาท

a.KELIVE ประเมินกำไรใน 2Q53 จะทำได้ทั้งสิ้น 180 – 250 ล้านบาท เทียบกับ 2Q52 มีกำไรสุทธิ 107 ล้านบาท และ 1Q53 ที่ 317 ล้านบาท จากยอดขายที่น่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี 6,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% yoy แต่ลดลง 5% qoq เนื่องจากวันหยุดเทศกาลสงกรานต์หลายวัน

b.แนวโน้มยังคงเป็นบวก คาดปริมาณการจำหน่ายจะทำได้มากขึ้น 1.10 – 1.12 ล้านตัน เทียบกับปีก่อนที่ขายเพียง 0.72 ล้านตันเท่านั้น จากแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็งจนถึงปี 2555 ได้แก่ โครงการถนนไร้ฝุ่นของกรมทางหลวง บวกกับโรงกลั่นยางมะตอยในมาเลเซีย คาดว่าจะผลิตได้ 7.0 – 8.0 แสนตันในปีนี้ จะเป็นการส่งออกทั้งหมด เทียบกับปี 2552 ที่ผลิตได้เพียง 3.0 – 3.5 แสนตันเท่านั้น

c.คาดยอดขายทั้งปี 2553 ไว้ที่ 15,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% และกำไรสุทธิ 728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% ซึ่ง KELIVE มีแผนที่จะปรับประมาณการรายได้และกำไรปี 2553 ขึ้น หลังยอดขายและกำไรในช่วง 1H53 คิดเป็น 78% และ 68-78% ของประมาณการทั้งปี

 

 

 

What will DJIA move tonight? คืนนี้มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ

1.อัตราการว่างงานเดือนก.ค.: ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.6% จากเดือนก่อนหน้า 9.5%

2.การจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนก.ค.: ตลาดคาดว่าจะลดลง 1.00 แสนตำแหน่ง จากเดือนก่อนหน้าหดตัว 1.25 แสนตำแหน่ง

3.ยอดสินเชื่อเพื่อการบริโภคเดือนมิ.ย.: ตลาดคาดว่าจะลดลง US$5.5 พันล้าน จากเดือนก่อนหน้าลดลง US$9.1 พันล้าน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดแข็งค่าสุดในรอบ 1 ปี

Friday, 06 August 2010 10:49

นักค้าเงินจาก ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) (CIMBT) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดแข็งค่าสุดในรอบ 1 ปี ที่ระดับ 32.06-32.09 บาท/ดอลลาร์ โดยเป็นการแข็งค่าขึ้นทั้งภูมิภาคเอเชียและในแถบยูโรโซน ภายหลังจากที่ค่าเงินสกุลดอลลาร์อ่อนค่าลงเนื่องจากประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่ดีนัก

 

อย่างไรก็ตามได้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้อยู่ที่ระดับ 32-32.10 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งต้องติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทั้งในส่วนของการว่างงานและการจ้างงานนอกภาคเกษตรในคืนวันนี้ ซึ่งอาจมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คัมภีร์ไร้เทียมทาน ที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน ไม่ห่วงไม่รักไม่บอกนะเนี่ย ฮาฮา แหย่เล่นจ้า

 

แนวหนุนต้านระยะกลางยาว จุดยุทธศาสตร์ที่สำมะคัน

 

ต้าน๓1265.10-----------จุดสูงของวันที่21 มิย. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย

ต้าน๒1218.00-----------จุดสูงของวันที่14 กค. หากแตก ซื้อขึ้น หากไม่แตก ซื้อลง

ต้าน๑1204.40-----------จุดสูงของวันที่23 กค. หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย หากแตก ให้ซื้อขึ้น

 

วันที่ 06 สค. 2010

 

หนุน๑1167.00--------จุดต่ำของวันที่30 กค. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น หากด่านแตกทะลวงลง ให้ซื้อลง

หนุน๒1156.04--------จุดต่ำของวันที่5 พค. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น หากด่านแตกทะลวงลง ให้ซื้อลง

หนุน๓1123.69---------จุดต่ำของวันที่19 เมย. หากถึงและมีแรงต้าน ให้ซื้อขึ้น หากด่านแตกทะลวงลง ให้ซื้อลง

 

เวลาอ่านแล้วต้องรู้จักคิดด้วยนะครับ เช่น"หากถึงและมีแรงต้าน ผู้ซื้อขึ้นจะเทขาย" ต้องรู้จักคิดกลับ---"หากถึงและมีแรงส่งขึ้นต่อ ผู้ซื้อขึ้นก็ถือต่อ ผู้ซื้อลงให้ตัดเนื้อขายออกเสีย " อะไรทำนองนี้เป็นต้นนะครับ

วิธีดูทิศทางทอง เอาแนวดูวิธีทองรายวันมาลงโดยไม่ได้แก้ เวลาดูให้ทำความเข่าใจเองนะครับ

วิธีดูทิศทางทอง ต้าน๓----หนุน๓เป็นทิศทางทองที่จะเคลื่อนไหวในช่วงนี้ หากพุ่งทะลุต้าน๓หรือดิ่งทะลวงหนุน๓ แสดงถึงวันนั้นทองเคลื่อนไหวแรงเกินปกติ เส้นแดนเป็นเส้นที่จะแบ่งแยกทิศทางของทองที่จะขึ้นหรือลง หากทองเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางใดมากและนาน นั่นหมายถึงโอกาสเป็นไปได้มากที่ทองจะเคลื่อนไปในทิศทางนั้นๆ ในช่วงเวลานั้น (ยังต้องแบ่งออกในช่วงเวลาตลาดเอเซีย ยุโรป เมกาด้วย) ต้าน๑และหนุน๑หากถูกทดสอบแบบมีผล(ขึ้นลงมากกว่า๑ครั้ง)แล้วยืนอยู่ได้ นั่นคือทิศทางทองที่จะเดินต่อไปในช่วงเวลานั้น หากการวิเคราะเกิดขัดแย้งกันเมื่อไหร่ ให้หยุดมองดูอย่างเดียว ไม่ควรซื้อ-ขายในช่วงเวลานั้น แนวทางนี้เหมาะกับการเล่นสั้นมาก (เล่นแบบออนไลน์ในอนาคต) มีความแม่นยำถึง80%ครับ อีกอย่างข่าวปัจจัยพื้นฐานอาจเปลี่ยนทิศทางทองได้กะทันหันนะครับ

ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ถัาติดดอยเมื่อทองต่ำลงมา หากยังมีเงินเหลืออยู่ ควรซื้อเพิ่ม เพิ่มที่ละนิด ต่ำอีกซื้ออีก เพื่อดึงต้นทุนที่สูงให้ต่ำลงมา ใครที่ยังไม่มีทองในมือควรทยอยซื้อเข้าอย่ามากนัก หากทองลงอีก เราก็ซื้ออีก ดีกว่าเวลาทองขึ้นเราไปไล่ซื้อในราคาที่สูง จดจำเป็นคติเตือนใจว่า เรามิอาจซื้อได้ในราคาที่ต่ำสุด และขายได้ในราคาที่สูงสุด ไม่มีการลงทุนใดที่ไม่เสี่ยง การบริหารพอร์ตให้ได้จังหวะ จะลดความเสี่ยงลงได้ครับ

กราฟสำคัญ ปัจจัยพื้นฐานก็สำคัญ จิตวิทยาการโน้มเอียงของคนก็สำคัญ สิ่งเหล่านี้หากเป็นไปในแนวเดียวกัน ก็จะมุ่งไปทางนั้น หากแย้งกันก็ต้องดูฝ่ายไหนเหนือกว่า.....ด้วยเหตุนี้ไม่มีนักวิเคราะห์คนใดที่จะทำนายได้แม่นยำตลอดกาลได้ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รอดูกราฟตาแป๊ะดีกว่า

CV

กราฟตาแป๊ะเขาเปิดให้ดูเฉพาะวันอังคารกับพฤหัสฯครับ !17 !17

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปภาวะ Gold Futures By GT Wealth Management 6 ส.ค. 53 (ภาคเช้า)

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- ศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2553 11:58:51 น.

กรุงเทพฯ--6 ส.ค.--GT Wealth

ราคาทองคำในตลาดโลกช่วงเช้านี้เปิดตลาดในประเทศเคลื่อนไหวใกล้ระดับเดียวกับเมื่อวาน (5 ส.ค. 53) โดยใกล้ระดับ 1,195 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ โดยในช่วงการซื้อขายในตลาดนิวยอร์กราคายังคงปรับตัวในกรอบแคบระหว่าง 1,190-1,197 ดอลล่าร์ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงแรกของการซื้อขายหลังจากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด โดยเพิ่มขึ้น 19,000 รายมาอยู่ที่ระดับ 479,000 ราย สูงที่สุดตั้งแต่เดือนเมษายน ขณะที่การคาดการณ์ตัวเลขอัตราการว่างงานในช่วงคืนนี้คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้า ขณะ SPDR ซึ่งเป็นกองทุนที่ถือครองทองคำขนาดใหญ่ ซื้อทองคำเพิ่มหลังจากขายต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยซื้อเพิ่ม 0.92 ตัน ทำให้มีการถือครองที่ระดับ 1,282.75 ตัน ส่วนค่าเงินบาทเช้าวันนี้ปรับแข็งค่าขึ้นเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 32.02 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ โกลด์ฟิวเจอร์สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนสิงหาคม (GFQ10) เปิดตลาดราคาปรับตัวลดลงจากราคาปิดวันพฤหัสบดี (5 ส.ค. 53) โดยลดลง 20 บาท เปิดที่ระดับราคา 18,270 บาท ราคาทองคำที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำวันนี้ ราคาเสนอซื้อ 18,100 บาท ราคาเสนอขาย 18,200 บาท

 

ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนบริษัทจีที เวลธ์แมเนจเมนท์ จำกัดกล่าวว่า ในช่วงสองวันที่ผ่านมาราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ แต่ราคาทองคำล่วงหน้าในประเทศได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ปรับแข็งค่าขึ้น โดยแนวโน้มของค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าหลังจากเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเอเชียเพิ่มขึ้น ขณะราคาทองคำช่วงสั้นยังคงมีความสัมพันธ์กับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยเฉพาะด้านการจ้างงาน ส่วนแนวโน้มราคาทองคำเรายังคงมองว่าช่วงสั้นยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อในกรอบประมาณ 1,205-1,210 ดอลล่าร์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...