ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

วันนี้มีกราฟรายชัวโมงไหมครับ ขอบคุณมากครับ

CV

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เพลิงไหม้ที่แท่นผลิตในอ่าวเม็กซิโก หนุนราคาน้ำมันดิบปิดบวก

 

Posted on Friday, September 03, 2010

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 1.11 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปิดที่ 75.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

 

ปัจจัยบวกที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

 

+ นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่พายุเฮอร์ริเคน เอิร์ล จะกระทบต่อการผลิตของโรงกลั่นในแถบภาคตะวันออกของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำลังการกลั่นคิดเป็น 7% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดของประเทศ ภายหลังจากที่ศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติ (NHC) ของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า เฮอร์ริเคน เอิร์ล จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ และเคลื่อนต่อไปยังแคนาดาในช่วงสุดสัปดาห์นี้

 

+ ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากข่าวเหตุเพลิงไหม้เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่แท่นผลิตน้ำมันและก๊าซกลางทะเล (offshore oil & gas platform) บริเวณอ่าวเม็กซิโก (ห่างจากชายฝั่งของรัฐ หลุยส์เซียน่า ไปทางใต้ 145 กิโลเมตร) ของ บริษัท Mariner Energy ทำให้ต้องหยุดการผลิตชั่วคราว และอพยพพนักงานทั้ง 13 คน ออกจากแท่นผลิต ซึ่งจากข่าวดังกล่าว ทำให้เกิดความกังวลว่า อาจมีแรงกดดันต่อการผลิตและขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลในบริเวณดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่คำสั่งให้หยุดการขุดเจาะน้ำมันในบริเวณทะเลลึก ของสหรัฐฯ เป็นเวลา 6 เดือน จะสิ้นสุดช่วงสิ้นเดือน พ.ย. นี้

 

+ ยอดขายบ้านรอปิดการขาย ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5.2% ในเดือน ก.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สวนกับการคาดการณ์ของนักลงทุนที่มองว่า ตลาดบ้านและที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯน่าจะยังคงอยู่ในภาวะตกต่ำ หลังจากที่มาตรการสนับสนุนด้านภาษีของรัฐบาล หมดไปเมื่อเดือน เม.ย. ซึ่งส่งผลให้ตัวเลขในช่วง 2 เดือน ที่ผ่านมา ออกมาย่ำแย่

 

+ ยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงาน ในสหรัฐฯ ก็ลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน ส่งสัญญาณที่ดีต่อตลาด ก่อนที่ทางภาครัฐ จะออกมาประกาศตัวเลขการจ้างงาน และ อัตราการว่างงาน ในวันศุกร์

 

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 0.58 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาปิดที่ 76.93 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันดิบดูไบ ตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 0.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 73.55 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันเบนซินสำเร็จรูป ตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 1.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปิดที่ 81.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานของตลาดน้ำมันเบนซินเองยังไม่ค่อยดีนัก จากอุปทานส่วนเกินที่ยังมีอยู่มากในตลาด ซึ่งสะท้อนผ่านทาง ปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังที่สิงคโปร์ ที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 17 สัปดาห์

 

ราคาน้ำมันดีเซลสำเร็จรูป ตลาดสิงคโปร์ ปรับเพิ่มขึ้น 1.33 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปิดที่ 85.73 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบดูไบ และ จากแรงซื้อทางเทคนิค หลังราคาปรับลงไปอยู่ในระดับต่ำในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงกดดันจากการที่มีน้ำมันดีเซลส่งออกมาจาก คูเวต ซึ่งเดิมจะต้องส่งไปยังปากีสถานตามสัญญาระยะยาว เข้ามาในตลาดจร หลังจากที่อุทกภัยในปากีสถานทำให้การนำเข้าน้ำมันต้องหยุดชะงัก รวมไปถึงความต้องการเพื่อใช้ในการเดินทางในช่วงหน้าร้อนในภูมิภาคที่กำลังจะหมดลง

 

- สนับสนุนข้อมูลโดยบมจ. ไทยออยล์ -

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะอ.ทองใหม่ดีใจค่ะที่ทราบผลตรวจของอ.และขอให้อ.ทองใหม่มีสุขภาพแข็งแรงค่ะ !thk !thk !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดาวโจนส์ปิดบวก 50 จุด หลังสหรัฐฯเผยจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ลดลง

 

Posted on Friday, September 03, 2010

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงงหนุนหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯรายงานว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 28 ส.ค. ลดลง 6,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 472,000 ราย ทำสถิติลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 475,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ 473,000 ราย

 

ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ลดลง 2,500 ราย มาอยู่ที่ระดับ 485,500 ราย ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกหลังจากพุ่งขึ้นติดต่อกัน 4 สัปดาห์

 

ขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ประจำเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 5.2% จากเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 79.4 จุด สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 74.9 จุด

 

นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯที่ระบุว่า ประสิทธิภาพการผลิตลดลงน้อยกว่าคาดในไตรมาส 2/53 และยอดสั่งซื้อสินค้าในโรงงานของสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น

 

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payroll) เดือนส.ค. ในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนส.ค.จะร่วงลง 100,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 9.6% ในเดือนส.ค. จากเดือนก.ค.ที่ระดับ 9.5%

 

นอกเหนือจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรแล้ว สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาคบริการและดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจเดือนส.ค ในวันศุกร์นี้ด้วย

 

หุ้น 3Par ปิดบวก 2.5% หลังจากมีรายงานว่าบริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (HP) เข้าเทคโอเวอร์กิจการ 3Par ซึ่งเป็นผู้พัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลในสหรัฐฯ มูลค่า 33 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น แซงหน้าคู่แข่งอย่างบริษัท เดลล์ อิงค์ ที่เสนอซื้อในราคา 32 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

 

ส่วนหุ้นเบอร์เกอร์ คิง ปิดพุ่ง 25% และหุ้นมาริเนอร์ เอนเนอร์จี อิงค์ ปิดร่วง 59 เซนต์ ปิดที่ 22.76 ดอลลาร์สหรัฐ

 

- Dow Jones ปิดที่ 10,320.10 จุด (+0.49%)

- S&P 500 ปิดที่ 1,090.10 จุด (+0.91%)

- Nasdaq ปิดที่ 2,200.01 จุด (+1.06%)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาทองคำปิดพุ่ง 5.30 เหรียญ แตะนิวไฮในรอบ 2 เดือน

 

Posted on Friday, September 03, 2010

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาทองคำอ่อนตัวลงในระหว่างวัน หลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ประจำเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 5.2% จากเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 79.4 จุด สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 74.9 จุด

 

ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯรายงานว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 28 ส.ค. ลดลง 6,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 472,000 ราย ทำสถิติลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 475,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ 473,000 ราย

 

อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำดีดตัวขึ้นในช่วงบ่ายและสามารถปิดในแดนลบในที่สุด เนื่องจากเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง หลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนส.ค.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐฯจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์นี้ จะร่วงลง 100,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 9.6% ในเดือนส.ค. จากเดือนก.ค.ที่ระดับ 9.5%

 

- ทองคำ ส่งมอบเดือนธันวาคม ปิดที่ 1,253.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (+5.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์)

- เงิน ส่งมอบเดือนธันวาคม ปิดที่ 19.672 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (+0.27 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กราฟGold 1

ช่อง1 เส้นแดงอยู่เหนือเส้นเขียว---ทิศทางขึ้น ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง—ทิศทางลง สีขาว—กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นเขียวอยู่เหนือเส้นแดง---ทิศทางลง ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง—ทิศทางลง สีขาว—กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นแดงและเขียวประสานเป็นกากะบาด ---กำลังจะเปลี่ยนทิศ ให้ดูเส้นแนวโน้มประกอบ หากเส้นแดงและเขียวกำลังจะประสาน แต่ไม่ทันได้ประสานก็หันหันหัวกลับขึ้นหรือลง แสดงว่ากำลังมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนี่งเกิดขึ้น หากขึ้นทะลุเส้นปะแนวต้าน ให้ดูเส้นปะแนวต้านเส้นต่อไป หากลงทะลุเส้นปะแนวหนุน ให้ดูเส้นแนวหนุนเส้นต่อไป ส่วนจุดกลมเหลืองทอง---ทิศทางลง จุดกลมฟ้า---ทิศทางขึ้น หากกราฟวิ่งในยามปกติ พอเชื่อถือได้ หากกราฟวิ่งขึ้นลงแรงๆ คือยามไม่ปกติ ไม่อาจเชือถือได้

ช่อง2 ให้ดูเส้นสีม่วง ประกอบกับเส้นแนวโน้มในช่อง1 หากหันหัวไปในทิศทางเดียวกัน โอกาสที่จะผิดพลาดก็มีน้อย ส่วนเส้นปะสีเหลืองทองและฟ้า หากขึ้นเหนือเลข80 เข้าสู่เขตซื้อเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ หากลงต่ำกว่าเลข20 เข้าสู่เขตขายเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ตลอดเวลา

ช่อง3 ให้ดูทั้ง2เส้น คือเหลืองทองและฟ้า หันหัวไปทิศทางเดียวกันหรือไม่ เท่านั้นยังไม่พอ ให้ดูประกอบทิศทางในช่อง1ว่าเป็นทิศทางเดียวกันหรือไม่ หากทิศทางหันหัวในแนวเดียวกัน ทิศทางนั้นเชื่อถือได้

ดูกราฟทุกครั้งให้ดูที่หัวมุมซ้ายบน จะบอกเวลา H4=4ชม. H1=1ชม. D1=1วัน และบอกชนิดของกราฟด้วย เช่น goldหรือset50เป็นต้น

post-237-064945700 1283481921.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากครับ รวดเร็วทันใจจริงๆ เลย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากครับ รวดเร็วทันใจจริงๆ เลย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เส้นปากถุง (BollingerBandsเส้นสีขาวทั้ง๓เส้น)แบบง่ายๆ ไม่ปวดเศียรเวียนเกล้า

เส้นบน---แนวต้าน

เส้นกลาง---แนวโน้ม(สำคัญสุด)

เส้นล่าง---แนวหนุน

ลักษณะที่๑---ทิศทางขึ้นเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวขึ้น เส้นล่างหันหัวลง

ลักษณะที่๒---ทิศทางขึ้นเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวขึ้น

เมื่อเจอลักษณะทั้ง๒นี้ ราคาระหว่างวันที่ขึ้นๆลงๆ เมื่อเจอจุดที่เห็นว่าต่ำแล้วให้ซื้อเข้าได้เลยครับ ขอเพียงเส้นกลาง(แนวโน้ม)ยังหันหัวขึ้นอยู่ แม้ราคาเแท่งเทียนจะอยู่ต่ำกว่าเส้นกลาง ก็ยังซื้อเข้าได้ หากเส้นบนเดินขวางเมื่อไหร่ ให้ทยอยลดพอร์ตได้เลยครับ

ลักษณะที่๓---เลือกทิศทาง---เส้นบนหันหัวลง เส้นล่างหันหัวขี้น ปากถุงแคบลง ถึงช่วงนี้ ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว หากใครยังคิดอยากเคลื่อนไหว ก็จงเคลื่อนไหวไปหน้าทีวี จงอย่าทำการอย่างอื่นใด หากใครเป็นจอมยุทธ์ ก็ชิงเคลื่อนไหวก่อนใครได้

ขอแถมอีกนิด จงโฟกัสที่เส้นกลาง หากเส้นกลางเริ่มขยบหัวหัวขึ้นหรือลง ทิศทางอาจขึ้นหรือลงตามเส้นกลางแนวโน้มนั้น

ลักษณะที่๔---เคลื่อนไหวในกรอบแคบ---เส้นบน กลาง ล่าง เดินขวางทั้ง๓เส้น หากใครเล่นออนไลน์ สามารถเล่นได้เล็กน้อยอย่ามาก เมื่อราคาแท่งเทียนใกล้เส้นบน จงขาย ใกล้เส้นล่าง จงซื้อ ต้องเข้าออกให้ทันการณ์ หาไม่แล้วจากกำไรอาจขาดทุนได้นา ขอบอก

ลักษณะที่๕---ทิศทางลงเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวลง เส้ยล่างหัวหัวลง

ลักษณะที่๖---ทิศทางลงเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวลง เมื่อเส้นล่างเดินขวางเมื่อไหร่ ผู้ที่ใจกล้าที่เล่นออนไลน์ เริ่มทยอยซื้อเข้าได้ที่ละนิด อัตราเสี่ยงยังมีอยู่บ้างนะครับ สิบอกไห่

วิธีดูเส้นปากถุงที่กล่าวมานี้ .....ไม่ใช่ตำราของฝรั่ง แบบของฝรั่งผมเคยอ่านมาบ้างแล้ว ยาวมาก ปวดหัว ทำความเข้าใจได้ยากมากๆๆๆๆ ...........เหมาะเฉพาะกราฟราย๔ชม.และช่วงปกติเท่านั้นนะครับ (บางครั้งตลาดจงใจคึงขึ้นลงอย่าแรงๆ แทบหัวใจวายสำหรับผู้มีทองในมือและผิดทิศทางของตัวเอง เรียกว่า ช่วงไม่ปกติครับ)

ดูกราฟทุกครั้งให้ดูที่หัวมุมซ้ายบน จะบอกเวลา H4=4ชม. H1=1ชม. D1=1วัน และบอกชนิดของกราฟด้วย เช่น goldหรือset50เป็นต้น

post-237-064635600 1283482091.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่31.12/31.16บาทต่อดอลลาร์

วันศุกร์ที่ 03 กันยายน 2010 เวลา 09:24 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

 

นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทยรายงานว่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเปิดตลาดเช้านี้ (3 ก.ย.) ที่ระดับ 31.12/31.16บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ 31.15/31.17 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยยังมีเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในเอเชียรวมทั้งไทย เป็นแรงกดดันให้สกุลเงินภูมิภาคและเงินบาทแข็งค่าขึ้น

 

ซีไอเอ็มบีไทยสรุปสถานการณ์ตลาดเงิน บาท/ดอลลาร์ เมื่อวันพฤหัสบดี(2 ก.ย.) เงินบาทอยู่ในทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง หลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เศรษฐกิจชุดเล็ก ไม่ได้มีการออกมาตรการเสริม เพื่อมาดูแลการแข็งค่าของเงินบาท โดยรัฐบาลได้มอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จับตาเงินบาทอย่างใกล้ชิด เพื่อระวังการเก็งกำไรจนไปกระทบต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ รมว.คลัง เผยว่า มาตรการของ ธปท.ในขณะนี้ เพียงพอแล้วในการสกัดกั้นการเก็งกำไรเงินบาท หลังมีเงินทุนไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชีย ด้านผู้ว่าการ ธปท. ย้ำว่า ธปท.จะดูแลเงินบาทไม่ให้มีความผันผวนมากเกินไป หลังจากช่วงครึ่งหลังของเดือนส.ค. เงินบาทแข็งค่าค่อนข้างเร็ว พร้อมทั้งจะจับตาเงินทุนไหลเข้าอย่างใกล้ชิด

 

 

 

เยน/ดอลลาร์ เมื่อวันพฤหัสบดี(2 ก.ย.) เงินเยนแข็งค่าขึ้น หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์ได้รับแรงกดดันก่อนการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ขณะที่เทรดเดอร์กล่าวว่า นักลงทุนจำนวนมากขึ้นเริ่มไม่แน่ใจว่า เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงในตลาดเงินหรือไม่ พร้อมระบุว่า การทะยานขึ้นของสกุลเงินและสินทรัพย์เสี่ยงอาจเป็นไปในระยะสั้น เพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่หมดปัญหา และคาดว่า สกุลเงินที่ปลอดภัยจะยังคงแข็งแกร่ง หลังเยนพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี ในสัปดาห์ที่แล้ว

 

 

 

ยูโร/ดอลลาร์ เมื่อวันพฤหัสบดี(2 ก.ย.) เงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เงินยูโรได้แรงหนุนจากผลการประมูลพันธบัตรที่แข็งแกร่งในสเปนและฝรั่งเศส หลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบกับข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัยและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐที่ดีเกินคาด ทำให้กระตุ้นความต้องการเสี่ยงของนักลงทุน แม้นักลงทุนยังคงระมัดระวังก่อนสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาค เกษตรในวันศุกร์นี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำ ประจำวันที่ 3 ก.ย. 53

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- ศุกร์ที่ 3 กันยายน 2553 09:39:20 น.

กรุงเทพฯ--3 ก.ย.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์

คำแนะนำการลงทุน Gold Futures

DAY TRADER

GFV10 ซื้อในช่วงราคา 18510 — 18540 ขายในช่วงราคา 18610 — 18630

GFZ10 ซื้อในช่วงราคา 18630 — 18650 ขายในช่วงราคา 18710 — 18730

SWING TRADER

ทิศทางราคาทองคำโลก(Gold Spot) เข้าสู่สภาวะขาขึ้น แต่มีแรงเทขายเป็นระยะๆ โดยมีแนวรับและแนวต้านที่1240และ1265เหรียญ คำแนะนำนักลงทุนรายวันให้เก็งกำไรตามภาวะแกว่างตัวของตลาด คำแนะนำนักลงทุนรายสัปดาห์แนะนำถือสถานะ LONG POSITION 40%ชองPortfolioและWait & See

 

GFV10 รอเข้าซื้อที่ระดับ 18520 รอขายที่ระดับ 18650

ปัจจัยสำคัญ

ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐยังทำให้นักลงทุนบางกลุ่มเทขายดอลลาร์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อหันไปซื้อสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูงกว่า รวมถึงสกุลเงินยูโร โดยเมื่อวานนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 28 ส.ค. ลดลง 6,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 472,000 ราย ทำสถิติลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 475,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ 473,000 ราย ขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ประจำเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 5.2% จากเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 79.4 จุด สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 74.9 จุด

 

กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (nonfarm payroll) เดือนส.ค. ในคืนวันศุกร์ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนส.ค.จะร่วงลง 100,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 9.6% ในเดือนส.ค. จากเดือนก.ค.ที่ระดับ 9.5%.

 

GOLD Market Recap : 02/09/2010

MORNING RECAP : ราคาทองคำต่างประเทศเปิดที่ระดับ 1,246 $ ส่วน Gold Future V10 เปิดที่ 18,520 สมาคมค้าทองแท่งเปิดที่ 18,450 ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันทำการก่อน ตลาดทองคำอยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ 31.10 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐ ในช่วงเช้าราคาทองคำแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,245 - 1,248 $ สำหรับช่วงบ่าย ราคาทองคำแกว่งตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเช้า ปิดตลาด Gold Future V10 ปิดตลาดที่ 18,530 ในขณะที่ราคาทองคำแท่งของสมาคมค้าทองคำแท่ง ไม่เปลี่ยนแปลง ปิดตลาดอยู่ที่ 18,450 บาท นักลงทุนซื้อขายทำกำไรอย่างเบาบาง หลังจากที่ Gold Spot ไม่เคลื่อนไหว

 

NIGHT RECAP: ราคาทองคำเปิดตลาดในประเทศไทยที่ระดับ 1246 เหรียญ โดยราคาเคลื่อนตัวอยู่ระหว่าง 1244 - 1249 เหรียญ ก่อนกลับมาปิดตลาดที่ 1246 เหรียญ ในเวลาประเทศไทย ต่อมาในตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก ราคาทองคำมีการเคลื่อนตัวอยู่ระหว่าง 1243 - 1253 เหรียญ และมาปิดตลาดที่ 1250 เหรียญ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หยิบเงินหยิบทอง : บล.กิมเอ็ง

วันศุกร์ที่ 03 กันยายน 2010 เวลา 10:14 น. บล.กิมเอ็ง ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

User Rating: / 0

แย่ดีที่สุด

หยิบเงินหยิบทอง : บล.กิมเอ็ง

 

กลยุทธ์วันนี้ 930 Again

ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้เกิดปรับฐานลงแรงในช่วงท้ายตลาด หลังศาลฯ ประกาศยกเลิกใบอนุญาต 11 โครงการอันตรายในมาบตาพุด ทำให้เกิดแรงขายหุ้น PTT – SCC – PTTCH ออกมาอย่างหนัก กดดันให้ SET Index อ่อนตัวลงมาปิดบวกเพียง 1.20 จุดเท่านั้น ขณะที่เม็ดเงินทุนต่างชาติยังคงสะสมตลาดหุ้นไทยอีก 3,283 ล้านบาท เป็นวันที่ 5

คาด SET INDEX เช้าวันนี้จะเปิดกระโดดอีกวัน จากแรงซื้อหุ้นกลับใน PTT – SCC หลังวานนี้ตลาดเข้าใจผิดเกี่ยวกับ 11 โครงการอันตรายในมาบตาพุด ซึ่งโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ของ PTT และปิโตรเคมีขั้นปลายของ SCC ไม่เข้าข่ายดังกล่าว น่าจะทำให้ SET INDEX เปิดชน 925-930 จุดอีกครั้ง แต่เชื่อว่าจะมีแรงขายทำกำไรเข้ามาเป็นระยะๆ เพราะเป็นวันศุกร์ บวกกับคืนนี้มีตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ อีกครั้ง น่าจะกดดันการลงทุนอยู่ไม่น้อย

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะผันผวนมากขึ้น เพราะมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่การส่งออก – นำเข้าของจีน เพราะในความเห็นของ KimEng ยังไม่มั่นใจต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐฯ และจีนมากนัก รวมถึงการรายงาน Beige Book ของเฟด และคำปราศรัยของประธานาธิบดีโอบามา

 

 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng เสนอ “ทยอยขายทำกำไร 5-10% ของพอร์ต ต่อจากช่วงบ่ายวานนี้ และถือเงินสด” และ “ซื้อเก็งกำไร” BTS

การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้นักลงทุน “ปิดสถานะ Long ใน S50U10 บริเวณ 630 จุดหรือสูงกว่าและถือเงินสด” Stop Loss: S50U10 < 620 จุด ปิด Long และ เปิด Short

Portfolio Taking profit by 5-10% : CPF/ MCOT/ BEC/ BBL/ KTB/ PTT/BANPU/ TPC/ MINT/ MAJOR/ TVO/ AP/ LH / QH / CPALL/ HEMRAJ / TTA/ THCOM

Speculative Buy: BTS

Technical View แนวรับ 905-912 จุด, 888 จุด และ 860 จุด ส่วนแนวต้าน 925-930 จุด, 955-960 จุด และ 999 จุด ทั้งนี้ซื้อขายเก็งกำไรตามแนวโน้มและประเด็นประกอบ

 

 

-Strategy Today

 

ตลาดหุ้นรอบเอเชียปรับตัวขึ้นโดดเด่นตาม DJIA –NYMEX ที่ดีดตัวขึ้นแรงคืนวันก่อนหน้า ขณะที่ตลาดยุโรปเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เพราะได้สะท้อนปัจจัยบวกของ DJIA ไปก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ SET INDEX สามารถขยับขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 929 จุดระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย อย่างไรก็ตาม SET INDEX กลับปรับฐานลงแรงในช่วงท้ายตลาดจากกรณีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำสั่งศาลปกครองกลาง ยึดใบอนุญาตโครงการที่เข้าข่าย 11 โครงการอันตราย ทำให้เกิดแรงขายหุ้น PTT – SCC – PTTCH กดดันให้ SET INDEX อ่อนตัวลงมาปิดที่ 920.54 จุด เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 6 อีก 1.20 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 47,813 ล้านบาท

กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดวานนี้ได้แก่ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ +2.91%, กลุ่มโรงพยาบาล +2.89%, กลุ่ม IMM +2.32% ส่วนหุ้นหลักอย่าง ICT ฟื้นตัวได้ 0.11%, กลุ่มพลังงาน -0.34%, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ +1.43% และกลุ่มธนาคาร +0.50%

 

 

ทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET INDEX วันนี้คาดว่าจะเปิดแบบดีดตัวขึ้นโดดเด่นเพื่อทดสอบกรอบแนวต้าน 925-930 จุด ก่อนที่จะเกิดแรงขายทำกำไร เพราะเป็นวันซื้อขายสุดท้ายของสัปดาห์ น่าจะทำให้ SET INDEX ปิดบวกน้อยลง เพราะด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

 

 

1. ตลาดกลับมาลงทุนใน PTT – SCC กันอีกครั้ง: หลังเกิด Panic Sell ในท้ายตลาดวานนี้ หลังเกิดความสับสนเกี่ยวกับ 11 โครงการอันตรายในมาบตาพุด เพราะโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 และโครงการปิโตรเคมีปลายน้ำของ SCC นั้นไม่เข้าข่าย ลำดับถัดไป รอประกาศ 11 โครงการอันตรายจากกระทรวงทรัพยากรฯ ราว 1 เดือนจากนี้ เพื่อนำเสนอให้ศาลฯ พิจารณายกเลิกคำสั่งระงับชั่วคราว PTT ยืนยันเริ่มโครงการโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ใน 4Q53 นี้

 

 

2. เม็ดเงินทุนต่างชาติน่าจะยังทยอยสะสมตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องแต่อาจลดเม็ดเงินลง: เพราะตลาด 5 วันทำการที่ผ่านมา นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิไปแล้วทั้งสิ้น 9,398 ล้านบาท บวกกับวันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ และสหรัฐฯ มีรายงานตัวเลขการว่างงานและการจ้างงานนอกภาคการเกษตร น่าจะทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้ชะลอการสะสมหุ้นไทย แต่เชื่อว่าจะยังออกมาเป็นลักษณะของการซื้อสุทธิต่อเนื่อง

 

 

3. แต่แรงขายทำกำไรระหว่างชั่วโมงการซื้อขายก่อนวันหยุดยาว อาจกดดันช่วงท้ายตลาด: เพราะ SET INDEX ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นแล้ว 2.22% บวกกับคืนนี้สหรัฐฯ มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจเกี่ยวกับการจ้างงานที่สำคัญ อาจทำให้นักลงทุนภายในประเทศ และสถาบันภายในประเทศทยอยลดน้ำหนักการลงทุนต่อเนื่อง และน่าจะกดดันให้ SET INDEX บวกน้อยลงได้เช่นกัน

 

 

ภาพตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า KimEng คาดว่าจะมีความผันผวนมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ SET INDEX ขยับขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 27.6% นับตั้งแต่ปลายเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา บวกกับเม็ดเงินทุนต่างชาติที่เร่งตัวในการสะสมหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องและโดดเด่น อาจกลายเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้นไทยมากยิ่งขึ้นได้เช่นกัน ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญในตลาดหุ้นสัปดาห์หน้าได้แก่

 

 

1. ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน และสหรัฐฯ: สัปดาห์หน้าจะมีการรายงงานการส่งออก – นำเข้าเดือนส.ค.ของจีน ซึ่งตลาดเริ่มระมัดระวังต่อตัวเลขดังกล่าวมากขึ้น รวมถึงการรายงานด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผ่าน Beige Book ของเฟด หากประเด็นดังกล่าวส่งสัญญาณเสี่ยงต่อการชะลอตัวมากขึ้น อาจกลายเป็นจุดที่ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับฐานลงได้เช่นกัน แน่นอนว่าตลาดหุ้นไทยย่อมได้รับผลกระทบเช่นกัน

 

2. คำปราศรัยของโอบามา และการเยือนจีนของที่ปรึกษาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ: วันที่ 6 ก.ย.ประธานาธิบดีโอบามาจะให้คำปราศรัยต่อทิศทางเศรษฐกิจ เชื่อว่าจะเป็นมุมมองที่เรียกความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อเนื่อง ขณะที่การเยือนจีนของ Summer ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ วันที่ 5-8 ก.ย. อาจมีประเด็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และค่าเงินหยวน – ดอลลาร์สหรัฐฯ

 

 

3. การประชุมธนาคารกลาง BOE – BOJ: แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน ณ ปัจจุบัน BOE – BOJ ไม่สามารถทำได้ เพราะเศรษฐกิจในอังกฤษ และญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการชะลอตัวรอบ 2 มากขึ้น แต่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่มุมมองด้านเศรษฐกิจว่จะอยู่ในภาวะเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

 

 

4. การประชุมครม.เศรษฐกิจไทยต่อโครงการร่วมลงทุนกับจีนในโครงการรถไฟ High Speed: หลังจากสัปดาห์นี้ไม่สามารถสรุปผลการศึกษาและเสนอให้ครม.พิจารณาได้ทัน ซึ่งหากมีความชัดเจนถึงโครงการดังกล่าว กลุ่มรับเหมาก่อสร้างย่อมมีประเด็นบวกต่อยอดได้เช่นกัน

 

 

5. ติดตามธปท. ต่อการติดตามการเคลื่อนไหวค่าเงินบาท: หลังจากที่เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ ในเอเชียก็ตาม แต่ ณ ระดับปัจจุบัน เริ่มกลายเป็นจุดเสี่ยงและปัญหาให้แก่ภาคการส่งออก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อกาขับเคลื่อนการเติบโตให้แก่ประเทศไทย

 

 

เมื่อ SET INDEX ไต่ระดับขึ้นทดสอบเป้าหมายสูงสุดของ KimEng ในรอบปีนี้ที่ 925 จุดแล้วนั้น บวกกับแนวโน้มความผันผวนของ SET INDEX เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทำให้ KimEng เสนอให้นักลงทุนเริ่มพิจารณา “ทยอยขายทำกำไรราว 5-10% ของพอร์ตการลงทุนต่อเนื่องจากบ่ายวานนี้” บริเวณ 925 จุดหรือสูงกว่า และถือเงินสด

 

 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำให้นักลงทุน “ซื้อเก็งกำไร” หุ้นต่อไปนี้

1. BTS : ราคาปิด 0.89 บาท ราคาเหมาะสม 0.94 บาท

a. วันนี้ BTS จะมีการประชุมกรรมการ พิจารณาถึงการลดพาร์ เพื่อนำไปล้างขาดทุนสะสม ซึ่ง ณ สิ้นเดือนมิ.ย. BTS มีขาดทุนสะสม 4,206 ล้านบาท

b. คาดผลการดำเนินงานใน 2Q53 (ก.ค. – ก.ย.) จะกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้ง หลังจากที่ 1Q53 ขาดทุนสุทธิ 254 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นการรับรู้กำไรทางบัญชีราว 500 ล้านบาท และการกลับมาดำเนินงานได้ตามปกติเต็มไตรมาสอีกครั้ง จำนวนผู้โดยสารฟื้นตัวกลับมาแข็งแกร่งในเดือนมิ.ย. ที่มีจำนวนผู้โดยสารต่อวันที่ 446,791 คน ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 280 ล้านบาท หลังจากนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปชำระคืนหนี้ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 2.36 หมื่นล้านบาท

c. การเปิดใช้ของรถไฟฟ้า Airport Real Link วันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา เชื่อว่าจะเพิ่มจำนวนผู้โดยสารผ่านเส้นทางหลักของ BTS มากขึ้นเป็นลำดับ

 

 

What will DJIA move tonight? คืนนี้มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือ

1. ยอดการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนส.ค.: ตลาดคาดว่าจะหดตัวลง 1.00 แสนตำแหน่ง จากเดือนก่อนหน้าที่ลดลง 1.31 แสนตำแหน่ง

2. ยอดจ้างงานภาคเอกชนเดือนส.ค.: ตลาดคาดว่าจะจ้างงานเพิ่มขึ้น 4.2 หมื่นตำแหน่ง จากเดือนก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 7.1 หมื่นตำแหน่ง

3. อัตราการว่างงานเดือนส.ค.: ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.60% จากเดือนก่อนหน้า 9.5%

4. ดัชนี ISM ภาคบริการ เดือนส.ค.: ตลาดคาดว่าจะลดลงเป็น 53.2 จุด จากเดือนก่อนหนา 54.3 จุด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ECB คงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

 

Posted on Friday, September 03, 2010

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (พฤหัสบดีที่ 2 กันยายน 53)

• ตัวเลขการขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ 472,000 ราย

• ประสิทธิภาพการผลิต (Q2) ลดลง1.8% จากไตรมาสก่อนหน้า

• ต้นทุนการผลิตต่อหน่วย (Q2) เพิ่มขึ้น 1.1%จากไตรมาสก่อนหน้า

• ยอดสั่งซื้อสินค้าโรงงาน (ก.ค.) เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนก่อนหน้า

• ดัชนียอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (ก.ค.) อยู่ที่ 79.4 จุด

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (ศุกร์ที่ 3 กันยายน 2553)

• ดัชนีภาคบริการ (ส.ค.) โดย ISM

 

 

ECB คงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

 

เป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ เมื่อคณะกรรมการของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ต่อไป ขณะที่ประธาน ECB นาย Jean-Claude Trichet ยังแสดงความเป็นห่วงต่อวิกฤติภาคธนาคารที่อาจลากยาวไปจนถึงปีหน้า

 

คณะกรรมการ ECB ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานไว้ที่ระดับ 1% เป็นเดือนที่ 17 พร้อมส่งสัญญาณความเป็นไปได้ที่จะขยายมาตรการปล่อยกู้ฉุกเฉินให้แก่ภาคธนาคารต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ท่ามกลางความเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจวกกลับเข้าสู่สภาวะถดถอยอีกครั้งจนลุกลามมาที่ยุโรป

 

นักเศรษฐศาสตร์ของ Citigroup ที่ดูแลภาคพื้นยุโรป มองว่า จริงๆ แล้วทาง ECB คงอยากจะถอนมาตรการอัดฉีดต่างๆ หากแต่สถานการณ์ในปัจจุบันยังดูไม่น่าไว้วางใจและอาจจะเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้จนกว่าจะถึงช่วงปลายปี

 

ก่อนหน้านี้ ECB เคยล้มเลิกแผนที่จะถอนมาตรการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อวิกฤติหนี้ของประเทศกรีซกลับลุกลามไปกดดันสถานะทางการคลังของหลายประเทศในภูมิภาค และแม้ว่ามาจนถึงตอนนี้เศรษฐกิจของภูมิภาคจะเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่นักลงทุนก็กลับยังไม่เชื่อมั่นต่อสถานะทางการคลังของสมาชิกกลุ่มยูโรบางประเทศอยู่ดี

 

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนได้จากสเปรดอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรของประเทศกรีซ สเปน และไอร์แลนด์ ที่ยังขยับกว้างขึ้นเมื่อเทียบกับพันธบัตรของเยอรมันนับตั้งแต่มีการประกาศมาตรการช่วยเหลือเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

 

 

IMF แนะประเทศพัฒนาแล้วปฏิรูปนโยบายการคลังเพื่อลดหนี้ภาครัฐ

 

รายงานการวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า "เพื่อเป็นการประคับประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เปราะบาง และกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงสร้างงานและสร้างหลักประกันต่อตลาดทุน

 

กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วต้องปรับนโยบายการคลังให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยมุ่งถึงนโยบายที่มีผลต่อเศรษฐกิจในระยะกลางมากกว่าที่จะหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า"

 

คาร์โล คอตทาเรลลี ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการการคลังของ IMF กล่าวว่า ระดับหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วพุ่งขึ้นมาสู่ระดับที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะหนี้สินภาครัฐในกลุ่มประเทศจี20 ที่ทะยานขึ้นจากระดับ 78% ของ GDP เมื่อปี 2550 มาอยู่ที่ระดับ 97% ของ GDP ในปี 2552 และคาดว่าจะถีบตัวขึ้นแตะ 115% ของ GDP ในปี 2558

 

คอตทาเรลลีกล่าวว่า"หนี้สาธารณะที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลมาจากวิกฤตการเงินและการใช้นโยบายการคลังที่อ่อนแอมากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ระดับหนี้สินพุ่งสูงขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก"

 

ปัญหาต่อไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะยิ่งมีความยุ่งยากซับซ้อนต่อการกำหนดนโยบายการคลังมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาด้านสังคมผู้สูงอายุและภาวะโลกร้อนที่จะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อการใช้จ่ายเงินภาครัฐ ซึ่ง IMFอยากเรียกร้องรัฐบาลให้ความสำคัญกับการปฏิรูปนโยบายการคลังในระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นใจว่า ตัวเลขหนี้สินในอีกหลายสิบปีต่อจากนี้จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ"

 

 

บริษัทในจีน-ฮ่องกงติดอันดับ SMEs ยอดเยี่ยมของเอเชียมากที่สุด

 

นิตยสารฟอร์บส์ได้เปิดเผยรายชื่อบริษัทที่ติดอันดับ "Best Under a Billion" หรือบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางชั้นนำของเอเชีย 200 แห่งประจำปี 2553 ที่มียอดขายต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์

 

บริษัทของจีนและฮ่องกงที่ติดอันดับในปีที่แล้วมีจำนวนลดลงเหลือ 71 แห่ง จากปี 2551 ที่ติดอันดับ 78 แห่ง

 

ถึงแม้จะมีตัวเลขที่ลดลงแต่ จีนและฮ่องกงแซงหน้าประเทศที่เหลือในเอเชียแปซิฟิค ซึ่งถือเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่จีนและฮ่องกงครองตำแหน่งสูงสุดในรายชื่อ

 

ตามมาด้วยอินเดียที่บริษัทในประเทศติดอันดับไป 39 แห่ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ติดอันดับไป 20 แห่ง

 

การที่จำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นเพราะว่าอินเดียเปิดประเทศน้อยกว่าประเทศอื่นๆในเอเชีย จึงได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกน้อยกว่าตามไปด้วย

 

ขณะที่บริษัทของญี่ปุ่นติดอันดับเพียง 2 รายเท่านั้น คือ บริษัท อาซาฮี และบริษัท เอ็นพีซี อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ จากเดิมที่ปี 2552 บริษัทของญี่ปุ่นติดอันดับชั้นนำ 24 แห่ง

 

เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ซบเซา นอกจากนี้ บริษัทของญี่ปุ่นที่ติดอันดับในปีนี้ยังมีจำนวนน้อยกว่าบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย ไทย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์

 

ขณะที่บริษัทของเกาหลีใต้ติดอันดับไป 20 แห่ง จากสถิติปี 2552 ที่ติดอันดับไป 23 แห่ง และบริษัทไต้หวันที่ติดอันดับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19 แห่ง จากระดับปี 2552 ที่ 16 แห่ง

 

ทั้งนี้ บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอัตราการขยายตัวของรายได้และยอดขาย รวมทั้งผลตอบแทนการลงทุนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และช่วงระยะเวลา 3 ปี

 

ฟอร์บส์ เปิดเผยว่า ปีนี้มีบริษัทหน้าใหม่ถึง 151 แห่งที่ติดอันดับเข้ามา และบริษัทเหล่านี้เกือบครึ่งหนึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจไอที เฮลท์แคร์ และอิเล็กทรอนิกส์

 

 

ยอดขายรถในจีนพุ่งสวนทางยอดขายในสหรัฐที่ย่ำแย่

 

จีนซึ่งเป็นตลาดยานยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกเปิดเผยว่า ยอดขายรถในจีนดีดตัวขึ้นในเดือนสิงหาคมโดยได้รับแรงหนุนจากเงินหยวนที่แข็งค่ารวมถึงมาตรการให้เงินช่วยเหลือผู้ซื้อรถประหยัดพลังงาน ขณะที่ค่ายรถญี่ปุ่นและยุโรปผลิตรถขนาดเล็กและราคาถูกมากขึ้น

 

ศูนย์วิจัยและเทคโนโลยียานยนต์แห่งประเทศจีนของคณะรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ยอดขายรถในจีนขยายตัว 55.7% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 1.21 ล้านคันในเดือนสิงหาคม

 

หลังจากที่ขยายตัว 17% เมื่อเทียบรายปีในเดือนกรกฎาคม และ 19.4% ในเดือนมิถุนายน ส่วนยอดขายรถประหยัดพลังงานในจีนขยายตัว 32% แตะที่ 129,600 คัน

 

ศูนย์วิจัยและเทคโนโลยียานยนต์แห่งประเทศจีนคาดการณ์ว่ายอดขายรถในจีนตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคมอยู่ที่ 9.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้นเกือบ 32% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

 

ในทางตรงกันข้าม ยอดขายรถในสหรัฐกลับย่ำแย่ โดยบริษัท ออโต้ดาต้า คอร์ป รายงานในเบื้องต้นว่า ยอดขายรถอยู่ที่ระดับ 997,000 คันในเดือนสิงหาคม ลดลง 5% จากเดือนกรกฎาคม

 

ค่ายรถยนต์ต่างๆ มียอดขายในสหรัฐลดลงทั้งเมื่อเทียบรายเดือนและเมื่อเทียบรายปี โดยเจเนอรัล มอเตอร์ และ ฟอร์ด มอเตอร์ มียอดขายลดลง 11% ทั้งคู่ในเดือนสิงหาคมเมื่อเทียบรายปี ขณะที่โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป มียอดขายร่วงลง 34%

 

 

ค้าปลีกระดับโลกสนใจซื้อคาร์ฟูร์ในเอเชีย

 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บรรดาห้างค้าปลีกรายใหญ่ทั้งของอังกฤษ ญี่ปุ่น และในท้องถิ่น ต่างร่วมประมูลซื้อกิจการของห้างคาร์ฟูร์สาขาต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ในบรรดาห้างค้าปลีกรายใหญ่กว่า 10 แห่ง ที่เข้าร่วมประมูลซื้อกิจการของคาร์ฟูร์ ห้างค้าปลีกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทั้ง เทสโก้ของอังกฤษ แดรี่ฟาร์มของสิงคโปร์ และคาสิโนของฝรั่งเศส แต่ไม่มีชื่อวอลมาร์ทของสหรัฐ

 

ขณะที่ห้างอิออน ของญี่ปุ่น ปฏิเสธที่จะพูดถึงรายงานของสื่อธุรกิจนิคเคอิ ที่ระบุว่าอิออน หวังหนีสภาพตลาดซบเซาในญี่ปุ่น ด้วยการประมูลกิจการคาร์ฟูร์ เพื่อขยายธุรกิจเข้ามาในภูมิภาคนี้

 

ทั้งนี้คาร์ฟูร์มีห้างค้าปลีกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวม 61 สาขา ทั้งในมาเลเซีย สิงคโปร์ และ ไทย คาร์ฟูร์ เผยว่า เฉพาะครึ่งแรกของปีนี้สามารถทำกำไรได้ 104 ล้านดอลลาร์ หลังจากขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

 

มาเลเซียคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.75%

 

ธนาคารกลางมาเลเซียตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ เนื่องจากมองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกจะเคลื่อนตัวในระดับที่ชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวด้านการส่งออกของมาเลเซียให้ชะลอตัวตามไปด้วย

 

แบงค์ชาติมาเลเซียระบุว่า เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วมีอัตราการขยายตัวที่ชะลอตัวลงกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ เนื่องจากตลาดแรงงานยังคงอ่อนแอ

 

ขณะที่เศรษฐกิจในภูมิภาค จะมีอัตราการขยายตัวของการส่งออกที่ชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน

 

ธนาคารกลางมาเลเซียชี้ว่า อัตราการขยายตัวด้านการส่งออกของประเทศจะยังคงชะลอตัวต่อไป เนื่องจากอัตราการขยายตัวของทั่วโลกที่ชะลอตัว

 

ที่ผ่านมา ธนาคารกลางมาเลเซียได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 3 ครั้งในปีนี้ โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25%

 

ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับเดิมในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงกว่าเดิมในช่วงครึ่งหลังของปี

 

 

สิงคโปร์แอร์ไลน์ส์สั่งห้ามลูกเรือคุยเรื่องงานบนเฟซบุ๊ก

 

สายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลนส์ สั่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทุกคน ให้หลีกเลี่ยงกันพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานลงในเฟซบุ๊ก รวมถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์อื่นๆ

 

สายการบิน ที่ได้รับการจัดอันดับจากผู้โดยสารว่าเป็น 1 ในสายการบินดีที่สุดในโลก มีคำสั่งดังกล่าวหลังจากพบว่า ลูกเรือบางคนพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องงาน ซึ่งเป็นความลับ บนเฟซบุ๊ก

 

หนังสือพิมพ์สเตรท ไทมส์ฉบับเมื่อวานนี้รายงานว่า ลูกเรือสิงคโปร์ แอร์ไลนส์บางคนได้รับจดหมายเตือนจากการที่ชอบบ่นถึงภาระหน้าที่ ผู้โดยสาร หัวหน้า และเพื่อนร่วมงานของตัวเองบนเฟซบุ๊กแล้ว

 

โฆษกหญิงของสายการบินกล่าวว่า นโยบายของบริษัทระบุชัดเจนไม่ให้พนักงานของบริษัทแสดงความคิดเห็น หรือโพสต์ข้อความที่เกี่ยวกับธุรกิจ และลูกค้าของบริษัท เพื่อปกป้องข้อมูล และความเป็นส่วนตัวของทั้งพนักงาน และลูกค้าด้วย

 

ข้อความหนึ่งบนเว็บไซต์สหภาพพนักงานเอสไอเอระบุว่า เมื่อไม่นานมานี้ มีลูกเรือ 2-3 คนถูกลงโทษทางวินัย ฐานโพสต์ข้อความ ที่เกี่ยวข้องกับทางบริษัท เช่น บัญชีรายชื่อของพวกเขา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...